เกาหลีเหนือจะปล่อยดาวเทียมสอดแนมด้านการทหารดวงแรกของตนเองขึ้นสู่วงโคจรในเดือนมิถุนายน เป้าหมายคือสังเกตการณ์แบบสดๆ ความเคลื่อนไหวต่างๆ ของกองทัพสหรัฐฯ ตามรายงานของสำนักข่าวเคซีเอ็น สื่อมวลชนแห่งรัฐในวันอังคาร (30 พ.ค.)
ในถ้อยแถลงที่เผยแพร่ผ่านทางสำนักข่าวเคซีเอ็นเอ นายรี พยอง ชอล รองประธานคณะกรรมาธิการทหารกลางแห่งพรรคแรงงาน พรรครัฐบาลเกาหลีเหนือ ประณามการซ้อมรบร่วมกับสหรัฐฯ และเกาหลีใต้ว่าเป็นการแสดงออกอย่างเปิดเผยเกี่ยวกับความทะเยอทะยานอันขาดความยั้งคิดเกี่ยวกับการรุกรานเกาหลีเหนือ
กองกำลังสหรัฐฯ และเกาหลีใต้ ได้ทำการซ้อมรบในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ในนั้นรวมถึงสิ่งที่พวกเขาเรียกว่าเป็นการซ้อมรบกระสุนจริงครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หลังจากก่อนหน้านี้การซ้อมรบจำนวนมากถูกลดระดับลงท่ามกลางข้อจำกัดสกัดโควิด-19 และความหวังสำหรับความพยายามทางการทูตกับเปียงยาง
รี กล่าวว่า การซ้อมรบเหล่านั้นบีบให้เปียงยางจำเป็นต้องมีวิถีทางต่างๆ ในศักยภาพรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวทางทหารของฝ่ายศัตรูแบบแบบเรียลไทม์
เกาหลีเหนือ ชาติที่ติดอาวุธนิวเคลียร์เผยว่าได้พัฒนาดาวเทียมสอดแนมทางทหารดวงแรกของประเทศเสร็จสมบูรณ์แล้ว และท่านผู้นำ คิม จองอึน ได้อนุมัติเตรียมการขั้นสุดท้ายสำหรับการปล่อยขึ้นสู่วงโคจร
ถ้อยแถลงไม่ได้ระบุอย่างเจาะจงเกี่ยวกับวันเวลาของการปล่อยดาวเทียม แต่เกาหลีเหนือแจ้งกับญี่ปุ่นเกี่ยวกับแผนการปล่อยระหว่างวันที่ 31 พฤษภาคมถึง 11 มิถุนายน กระตุ้นให้โตเกียวสั่งให้กองกำลังป้องกันขีปนาวุธของพวกเขาอยู่ในภาวะเฝ้าระวัง
อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมาสื่อมวชนแห่งรัฐอ้างแหล่งข่าวเจ้าหน้าที่กลาโหมระดับอาวุโส ยืนยันว่าเกาหลีเหนือจะยิงดาวเทียมสอดแนมในเดือนมิถุนายน โดยบอกว่ามันมีความจำเป็นเพื่อสังเกตการณ์ความเคลื่อนไหวของสหรัฐฯ และพันธมิตรแบบเรียลไทม์
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุว่าการยิงใดๆ ของเกาหลีเหนือที่ใช้เทคโนโลยีขีปนาวุธแบบทิ้งตัว ในนั้นรวมถึงใช้ส่งดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจรจะเป็นการละเมิดมติของสหประชาชาติ
ญี่ปุ่นบอกว่าพวกเขาจะสอยร่วงจรวดที่เป็นภัยคุกคามต่อดินแดนของพวกเขา
การปล่อยดาวเทียมครั้งนี้จะเป็นก้าวย่างล่าสุดในการยิงขีปนาวุธและทดสอบอาวุธต่างๆ ของเกาหลีเหนือ ในนั้นรวมถึงการยิงขีปนาวุธข้ามทวีปเชื้อเพลิงแข็งรุ่นใหม่เมื่อเดือนที่แล้ว
พวกนักวิเคราะห์มองว่าดาวเทียมจะช่วยยกระดับศักยภาพการสอดแนมของเกาหลีเหนือ จะช่วยให้พวกเขาโจมตีเป้าหมายต่างๆ ได้แม่นยำยิ่งขึ้นในกรณีที่เกิดสงคราม
(ที่มา : รอยเตอร์/เอเอฟพี)