xs
xsm
sm
md
lg

ฟังชัดๆ 4 ปีก่อน “พิธา” บอกกัญชาติดยากกว่ากาแฟ ต้องทำให้เสรีมากขึ้น มีคนต้านเพราะมายาคติเก่าๆ-เสียประโยชน์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



ย้อนฟังคำพูด “พิธา” ขณะร่วมเดินรณรงค์ปลดล็อกกัญชา 4 ปีก่อน บอกกัญชาติดยากกว่ากาแฟ แต่ที่ยังมีคนต่อต้านเพราะมายาคติเก่าๆ และมีคนเสียประโยชน์ ลั่นจะเดินหน้ารณรงค์ทั้งในฐานะผู้ป่วยลมชักที่ใช้กัญชารักษา และในฐานะ ส.ส. ต้องทำให้เสรีมากขึ้นแล้วไปจำกัดในกลุ่มเสี่ยง



เมื่อวันที่ 28 พ.ค.นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต ได้โพสต์วิดีคลิปในเฟซบุ๊ก ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ซึ่งเป็นภาพเหตุการณ์ขณะนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เมื่อครั้งเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคอนาคตใหม่ ได้ร่วมกิจกรรมที่ชื่อว่า “เดินเพื่อผู้ป่วย กัญชารักษาโรค” ระหว่างวันที่ 21 พ.ค.-9 มิ.ย.2562 จากวัดป่าวชิรโพธิญาณ จ.พิจิตร ไปยังวัดบางปลาหมอ จ.สุพรรณบุรี นำการเดินโดยนายเดชา ศิริภัทร ประธานมูลนิธิข้าวขวัญ เพื่อรณรงค์ให้นำกัญชาออกจากบัญชี​ยาเสพติด​ให้โทษ

ในระหว่างที่ร่วมเดินรณรงค์ดังกล่าว นายพิธาได้ตอบคำถามผู้มาสัมภาษณ์ โดยบอกว่า ปัญหาที่ทำให้กัญชายังเป็นยาเสพติดอยู่ในขณะนั้น คือมายาคติเก่าๆ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงก็มีคนได้มีคนเสีย อย่างที่รัฐโคโลราโด ยอดขายเบียร์กับยอดขายบุหรี่น้อยกว่ายอดขายกัญชาไปเรียบร้อยแล้ว หลังจากคนมอมเมากับเหล้ากับบุหรี่มานาน พอมีอะไรที่เป็นสมุนไพรกว่า ที่มันไม่ติด หยุดเมื่อไหร่ก็หยุดได้ถ้าไม่อยากจะใช้แล้ว ติดยากกว่าบุหรี่เยอะ ยากกว่ากาแฟอีก แต่เมื่อมีคนที่ได้ มีคนที่เสียก็จะทำให้มีแรงต้านอยู่

นอกจากนี้ นายพิธายังบอกว่า ในฐานะผู้ป่วยโรคลมชักที่เคยได้ประโยชน์จากการใช้กัญชารักษา ก็จะรณรงค์ สร้างความเข้าใจและบอกต่อให้คนในสังคมรับรู้ และในฐานะผู้แทนราษฎรด้วยก็จะผลักดันทั้งนอกสภาอย่างที่มาร่วมเดิน และในสภาก็จะผลักดันผ่านกลไกกรรมาธิการ รวมถึงการตั้งกระทู้ถาม

รวมทั้งบอกว่า มีความจำเป็นที่จะผลักดันกัญชาจากที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ในวงจำกัดในกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง ต้องทำให้เสรีขึ้นแล้วก็ไปจำกัดในกลุ่มที่เป็นกลุ่มเสี่ยงแทน เป็นการพลิกกระดานจากขาวในดำให้เป็นดำในขาว

คำให้สัมภาษณ์ของนายพิธาโดยละเอียด

ถาม - ในฐานะคนธรรมดา คิดว่าอะไรคือปัญหาที่ทำให้กัญชายังเป็นยาเสพติดอยู่ตอนนี้
พิธา - มายาคติเก่าๆ ใช่ไหมฮะ ต้องยอมรับว่า เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเมื่อไหร่ มันก็ต้องมีคนได้แล้วก็ต้องมีคนเสีย ไม่ต้องดูแค่ประเทศไทยประเทศเดียว แต่ดูบริบทของโลกเลย ที่โคโรราโด เป็นต้น ยอดขายเบียร์กับยอดขายบุหรี่ตอนนี้น้อยกว่ายอดขายกัญชาไปเรียบร้อยแล้ว เรื่องของอุตสาหกรรมยา คนมอมเมากับเหล้ากับบุหรี่มานาน พอมันมีอะไรที่เป็นสมุนไพรกว่า ที่มันไม่ติด ที่หยุดเมื่อไหร่ก็หยุดได้ ถ้าไม่อยากจะใช้แล้ว ยากกว่าบุหรี่เยอะ ยากกว่ากาแฟอีก ถูกมั้ย

เพราะฉะนั้นมันมีคนที่ได้ แต่ก็มีคนที่เสียอยู่ ก็จะทำให้มีแรงต้านอยู่ เพราะฉะนั้น จริงๆ เรื่องพวกนี้ เวลาที่มีการเปลี่ยนแปลงมันก็ต้องมีความยากลำบาก นี่คือสาเหตุที่พวกเรามาเดินในวันนี้

ถาม - ในฐานะที่เราเป็นปัจเจกชนคนธรรมดา เราควรจะทำอะไร
พิธา - เราก็ควรที่จะรณรงค์ อย่างที่ผมมาวันนี้ ผมเป็นผู้ป่วยลมชัก เป็น 1 ใน 5 แสน คนทั่วประเทศไทย 1 ใน 39 ล้านคนทั่วโลกที่ต้องการสร้างความเข้าใจและก็อธิบายแล้วก็บอกต่อ แล้วก็คอยช่วยกันเป็นหูเป็นตาในสังคมว่า การที่เรามีกัญชามาใช้นี่มันไม่ใช่เพื่อจะเอามามอมเมากันเอง หรือว่าเอามาเพื่อที่จะให้ประสิทธิภาพแรงงานน้อยลง ไม่ใช่เอามาเพื่อให้เกิดการเมาแล้วขับ เราใช้อย่างมีการควบคุม ใช้อย่างมีความรู้แล้วก็มีหน้าที่ที่จะเผยแพร่ความเข้าใจของเรา แล้วก็แพทย์แผนไทยของเราออกไปให้คนในสังคมรับรู้ แล้วก็บอกต่อไปเรื่อยๆ เป็นความจำเป็นที่จะต้องคอยรณรงค์

แล้วก็สำหรับผมที่เป็นผู้ป่วยด้วย แล้วก็เป็นผู้แทนราษฎรด้วยก็มีหน้าที่ที่จะผลักดันทั้งในสภาแล้วก็นอกสภา

นอกสภาก็อยู่กับทุกคนในตรงนี้ในฐานะผู้ป่วยหนึ่งคนที่เคยได้รับประโยชน์กับมันมา 10 กว่าปี ที่จริงเป็นมาตั้งแต่อายุ 15 แล้วก็ 23 ปีแล้ว แต่ว่าในสภามันก็มีกลไกของมัน ไม่ว่าจะผ่านกรรมาธิการ ไม่ว่าจะเป็นการตั้งกระทู้ถาม ถ้าเป็นฝ่ายบริหารก็สามารถที่จะทำได้ เป็นฝ่ายค้านก็สามารถที่จะทำได้

ก็มีความจำเป็นตรงนี้ที่จะผลักดันออกมา จากที่ตอนนี้ มันอนุญาต แต่จำกัดให้กลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง อาจจะต้องทำให้เสรีขึ้นแล้วก็ไปจำกัดในกลุ่มที่เป็นกลุ่มเสี่ยงแทน ถ้าอย่างนี้นี่มันเป็นการพลิกกระดานจากขาวในดำให้เป็นดำในขาว มันก็อาจจะพอช่วยได้

กำลังโหลดความคิดเห็น