xs
xsm
sm
md
lg

[คำต่อคำ] SONDHI TALK : : “พิธา-ก้าวไกล” จิ๊กซอว์ตัวใหม่ของความวุ่นวาย? - 14 พ.ค.ผมจะเลือกใคร? - เรื่องนี้ผมไปแบบสุดซอยแน่นอน! - การเลือกตั้งไม่ใช่ทางออกประเทศไทย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



วันที่ 12 พ.ค.2566 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ไลฟ์สด “SONDHI TALK” ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ คุยทุกเรื่องกับสนธิ ช่องยูทูป Sondhitalk หรือ Sondhitalk (ช่องสำรอง) และแอปพลิเคชัน Sondhi App โดยมีประเด็นที่ได้เล่าในวันนี้ ได้แก่
- เรื่องนี้ผมไปแบบสุดซอยแน่นอน!
- 10 เมตรสุดท้าย เลือกตั้ง 14 พ.ค. งัดวิชามาร มุมมอง-จุดยืน ผมจะเลือกใคร?
- คำโกหกของว่าที่นายกฯ ของคนรุ่นใหม่ที่ชื่อ
“พิธา ลิ้มเจริญรัตน์”
- “พิธา-ก้าวไกล” จิ๊กซอว์ตัวใหม่ของความวุ่นวาย?

ติดตามได้ใน SONDHI TALK : ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง Ep.188



คำต่อคำ SONDHI TALK EP. 189 [12 พ.ค. 66]
ช่องทางการรับชมรับฟัง "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" หรือ SONDHI TALK
แอปพลิเคชัน : SONDHI APP
ระบบ iOS ดาวโหลดได้ที่ AppStore : https://apps.apple.com/th/app/sondhi-app/id1588046647.
ระบบ Android ดาวโหลดได้ที่ Google Play : https://play.google.com/store/apps/details?id=com.sondhitalk.asia.android
เฟซบุ๊กแฟนเพจ : คุยทุกเรื่องกับสนธิ
YouTube : Sondhitalk
เว็บไซต์: www.sondhitalk.com
Podcast หรือ podbean : SONDHI TALK
สวัสดีครับท่านผู้ชมที่กำลังรับชมสดทาง Facebook, Sondhi App, YouTube และ TikTok วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 12 พฤษภาคม 2566 วันมะรืนนี้เป็นวันเลือกตั้ง ก่อนที่จะเข้ารายการก็ขออนุญาตแนะนำสินค้า ซึ่งมันเป็นของดีที่ผมจำเป็นต้องแนะนำ เพราะว่าสเปรย์สมุนไพรที่ฉีดเข้าปากนี่ขายดีมาก ผมพกติดตัวตลอดเวลา เวลาผมออกไปข้างนอก ถึงแม้จะไม่ได้เจอใครก็ตาม แค่ออกจากบ้านแล้วมาถึงที่ทำงานปั๊บ ผมก็ฉีดเข้าปาก เพราะว่าสเปรย์นี้ต่างจากสเปรย์สมุนไพรอันอื่นหลายยี่ห้อซึ่งท่านผู้ชมเคยชินแล้ว อันนี้มีส่วนผสมของสารแอนโดรกราโฟไลด์ (Andrographolide) ก็คือฟ้าทะลายโจร อันนี้สามารถที่จะรักษาเชื้อไวรัสต่างๆ ได้ชะงัดพอสมควร

สเปรย์นี้ท่านต้องพกติดตัว มีคนในครอบครัวกี่คนก็ซื้อไปคนละขวด ให้เขาพกติดตัวกันไว้ คันคอ เจ็บคอ อะไร ฉีดเข้าไปทันทีเลย

หมดจากสเปรย์นี้แล้ว เราก็ต้องมาพูดถึงเรื่องฟ้าทะลายโจร ท่านผู้ชมครับ ผมมีประสบการณ์ฟ้าทะลายโจรหลายๆ แบบ อาจารย์ปานเทพเป็นคนแนะนำให้ผมทราบ ถ้าท่านติดเชื้อ ท่านก็ทานไป 4 เม็ด วันละ 4 มื้อ เช้า กลางวัน เย็น ก่อนนอน 5 วัน พิสูจน์มาตั้งไม่รู้กี่รายต่อกี่รายแล้ว หาย ที่ผมพิเศษนิดหนึ่งก็คือว่า ถ้าท่านเกิดคออักเสบ เจ็บคอ หรือหวัดลงคอจริงๆ ซึ่งปกติแล้วสเปรย์อันนี้จะเอาไม่อยู่ ท่านเอาฟ้าทะลายโจร 2 แคปซูล แกะออกมา ละลายในน้ำร้อน น้ำร้อนไม่ต้องเยอะนะครับ สัก 1/4 แก้ว ก็พอ ละลายให้ละเอียด เสร็จแล้วท่านดื่มเข้าไปแต่อย่าเพิ่งกลืน หงายคอแล้วก็กลั้วคอสักพักหนึ่งแล้วค่อยกลืนลงไป แต่ผมเตือนก่อนนะครับ โคตรขมเลย แต่ท่านผู้ชมที่เคยชินกับ "ยาลม ๓๐๐ จำพวก" แล้ว ท่านผู้ชมเคยชินกับความขมมาแล้ว อันนี้จะไม่ค่อยมีผลเท่าไร ท่านผู้ชมที่ไม่เคยชินต้องอดทนนิดหนึ่ง สองเม็ด แกะ กลั้วคอ เชื่อไหมครับ คอที่อักเสบอยู่ เหมือนกับจะหายจะฉับพลันเลย ทั้งคันคอ ทั้งโน่นทั้งนี่ พิสูจน์มาแล้ว โดยผมเป็นคนพิสูจน์ให้ดู ฟ้าทะลายโจรตอนนี้ยังพอมีอยู่บ้าง แต่ต้องรีบสั่ง


ส่วน "ยาลม ๓๐๐ จำพวก" อย่างที่ผมเรียนให้ทราบว่า อย่างไรก็ตาม มีผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้าน ใครก็ตามอายุเกิน 45 - 50 ปี ควรจะมีเอาไว้ รับประทานวันละ 1 ซอง กล่องหนึ่งมี 30 ซอง ทานได้ 1 เดือน เป็นยาอายุวัฒนะ ท่านผู้ชม ผมทานมาสองปีกว่าแล้ว แล้วเมื่อเช้านี้ก่อนที่จะออกรายการ ผมนั่งดูเอกสารข้อมูล ท่านผู้ชมเชื่อหรือเปล่า ผมผายลมไม่หยุดเลย ไล่ลมออกเหมือนเป็นปืนกลเลย ขี้เกียจเล่าให้ฟังครับ เดี๋ยวท่านผู้ชมจะทนไม่ไหว เอาเป็นว่าเป็นยาระบายด้วย ไล่ลมในร่างกายเรา ร่างกายเรามีลมเยอะ ที่สำคัญที่สุด เป็นยาอายุวัฒนะ เหมาะสำหรับคนอายุมาก จะบาลานซ์ธาตุของท่านผู้ชม ดิน น้ำ ลม ไฟ ให้อยู่ในสภาวะที่สมดุลมาก "ยาลม ๓๐๐ จำพวก" ก็พอมีของอยู่บ้าง มีคนสั่งซื้อทุกวัน

อีกอันหนึ่งที่ผมอยากแนะนำให้ท่านผู้ชมก็คือ สเปรย์ SABAI CBD PLUS ซึ่งมีส่วนผสมของ CBD อยู่ ท่านปวดคอ ออฟฟิศซินโดรม ท่านฉีดเลย จะบรรเทาได้ทันที ก็มีอยู่สามอย่างนี้ที่ผมอยากจะแนะนำให้รู้จัก

ถ้าท่านผู้ชมจะติดต่อสั่งซื้อสินค้าทั้งหมดนี้ได้ ให้เข้าไปที่ไลน์ (LINE) @Sunherb หรือทางเว็บไซต์ www.sunherbth.com ตอนนี้มีโปรโมชันฉลองการเปิดเว็บไซต์อยู่ หรือเข้าไปทาง Shopee, Lazada ค้นหาคำว่า "ร้านสมุนไพรบ้านพระอาทิตย์"

เรื่องนี้ผมไปแบบสุดซอยแน่นอน!


ท่านผู้ชมครับ ก่อนที่จะเข้าประเด็นหลักวันนี้ เมื่อวานซืนที่ผ่านมา ผมได้ไปยื่น ป.ป.ช. พร้อมอาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ให้ตรวจสอบที่ดินของคุณชูวิทย์ ที่แต่ก่อนเขาเรียกว่า สวนชูวิทย์ คือผมต้องการทำความจริงให้ประจักษ์ เพราะว่าความจริงมีหนึ่งเดียว เพราะว่าผมเชื่อมั่นจากหลักฐานต่างๆ ที่ผมมี รวมไปจนถึงคำร้องของคุณชูวิทย์ที่ยื่นต่อศาลฎีกา ก่อนที่จะมีการอ่านคำพิพากษาว่าคุณชูวิทย์ได้เขียนคำร้องชัดเจน ผมเคยเอาลงให้ดูแล้วว่ายินดีที่จะยกพื้นที่พิพาทซึ่งอยู่ที่สุขุมวิท ให้เป็นสวนสาธารณะ แล้วคำร้องนั้นศาลฎีกาก็มีคำพิพากษาว่า เห็นแก่คุณงามความดีที่คุณชูวิทย์ให้ ก็ลดโทษ จาก 5 ปี เหลือ 2 ปี เพราะฉะนั้นแล้ว สวนแห่งนี้มีการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กัน คุณชูวิทย์ให้กับประชาชนชาวกรุงเทพมหานครใช้สวนนี้ โดยถือว่าเป็นสวนสาธารณะ โดยไม่กำหนดเวลา เพื่อที่จะได้ลดจำนวนปี จาก 5 ปี เหลือ 2 ปี มีผลประโยชน์ต่างตอบแทน และมิหนำซ้ำคุณชูวิทย์ก็ยังออกมาให้สัมภาษณ์อีก ต่างกรรมต่างวาระ ว่าได้ยกสวนนี้ให้เป็นสวนสาธารณะ หลักฐานมีหมดทุกอย่าง แล้วก็มีฎีกาที่ผมแนบไปในการร้องเรียนต่อ ป.ป.ช. 14 ฎีกา ครอบคลุมทุกมิติ คือจะออกมาทางไหนก็จะมีฎีกากันเอาไว้ ว่าอันนี้เป็นแล้ว อันนี้เอาคืนไม่ได้ อันนี้ลั่นเป็นวาจาก็ไม่ได้


ก็ปรากฏว่าพอไปยื่นแล้ว คุณชูวิทย์ก็ออกมาฟาดงวงฟาดงา เหมือนเดิม ด่าผมอย่างโน้นอย่างนี้ หาว่าผมเหี้ยมอำมหิต ประชาชนหลายหคนที่เชียร์คุณชูวิทย์ก็บอกว่าเขาผิดตรงไหน ผมไม่ได้ว่าเขาผิดหรือไม่ผิด ก็เนื่องจากเขาอ้างว่าเขาไม่ผิด ผมก็เลยต้องทำความจริงให้ปรากฏ เพราะความจริงมีหนึ่งเดียว เรื่องนี้ผมเรียนให้ทราบแล้วว่าต้องจบที่ศาล

แล้วทำไมผมต้องร้อง ป.ป.ช. ? ที่ผมต้องร้อง ป.ป.ช. เพราะว่าผมส่งจดหมายไปแจ้งท่านผู้ว่าฯ ชัชชาติ แล้ว ว่ากรณีสวนชูวิทย์ ที่ตอนขณะนั้นกำลังก่อสร้างอยู่ เพื่อสร้างอาคารสูงนั้น น่าจะเป็นสวนสาธารณะแล้ว และส่งเอกสารให้ดูแล้ว ในที่สุดแล้วท่านผู้ว่าฯ ก็ยังเฉยอยู่ตอนแรก มิหนำซ้ำยังให้สัมภาษณ์ในทำนองเข้าข้างคุณชูวิทย์ว่าสวนนั้นเป็นของบริษัทนะ ไม่ใช่ของคุณชูวิทย์ จนกระทั่งเจอจดหมายของผมเข้าไป ท่านผู้ว่าฯ ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็เลยต้องตั้งคณะกรรมการสอบ


หลังจากนั้นแล้ว พอผ่านพ้นไป 7 - 8 วัน ผมส่งจดหมายไปอีกฉบับหนึ่ง ให้ท่านผู้ว่าฯ และคนที่เกี่ยวข้อง ก็คือ ผู้อำนวยการเขต เขตคลองเตย ผู้ที่รับผิดชอบฝ่ายโยธา ว่าผมได้ให้เวลาท่านอีก 30 วันนะ ให้จบเรื่องนี้ให้ได้ เพราะถ้าครบ 30 วันแล้ว ท่านยังไม่มีมติอะไรออกมา ผมมีความจำเป็นต้องยื่นเรื่องนี้ต่อ ป.ป.ช. แล้วก็เล่นงานท่านผู้ว่าฯ ท่านปลัด กทม. และท่านผู้อำนวยการเขตคลองเตย ข้อหา 157 คือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ แล้วเมื่้อวันที่ 7 ที่ผ่านมานี้ ก็ถือว่าครบแล้ว 30 วัน ผมก็เลยไปยื่นให้ที่ ป.ป.ช. โดยที่ในการยื่นครั้งนี้เป็นการยื่นครบถ้วนทุกกระบวนการ มีโรดแมปให้ ป.ป.ช. ไม่ต้องทำงานหนัก สามารถเดินตามโรดแมปที่ผมวางเอาไว้ แล้วไปเช็กดู พิสูจน์ดูว่าสิ่งที่ผมยื่นมานั้นถูกหรือผิด แน่นอนที่สุดครับ ถ้าถูก ก็เป็นหน้าที่ของ ป.ป.ช. ต้องทำหน้าที่ต่อไป ถ้าผิด ไม่ใช่ ป.ป.ช. ก็มีสิทธิ์ที่จะยกคำร้องไป


ไม่เป็นไรครับเรื่องนี้ ผมต้องการให้มันจบที่ศาล ผมไม่ได้มีอะไรเป็นส่วนตัวกับคุณชูวิทย์ ผมไม่ค่อยจะชอบตอบโต้คำพูดที่เลอะเทอะของคุณชูวิทย์ วนไปวนมาเหมือนเดิม โดยอ้างว่า เนื่องจากว่าคุณชูวิทย์ออกมาต่อสู้เรื่องกัญชาเสรี ก็เลยโดนรุมยำเรื่องนี้ ไม่เกี่ยวข้องกันครับ ที่ผมยื่น เพราะว่าคุณชูวิทย์เป็นคนที่โกหกพกลมหลายๆ เรื่อง จนกระทั่งผมต้องต่อสู้ในปรัชญาที่ว่า ความจริงนั้นมีหนึ่งเดียว กระทั่งตอนหลังคุณชูวิทย์ก็เริ่มเสียทรง เพราะฉะนั้นแล้ว ผมทำหน้าที่นี้ ผมไม่ได้มีอะไรเคียดแค้นคุณชูวิทย์ แต่ว่าผมเรียนให้ท่านผู้ชมและคุณชูวิทย์ทราบ เมื่อมาถึงขนาดนี้แล้ว ไม่ต้องกังวล ผมเดินสุดซอยแน่นอน สุดซอยจริงๆ คนอย่างผมไม่เคยไปร้องใครที่ ป.ป.ช. คุณชูวิทย์ควรจะภูมิใจและรู้สึกเป็นเกียรติที่ผมไปร้อง ป.ป.ช. ในเรื่องของผู้ว่าฯ กทม. ที่เกี่ยวพันกับตัวคุณ เรื่องนี้คงจะยาว แต่ผมคิดว่าน่าจะจบก่อนที่ผมตายแน่นอน เพราะฉะนั้นแล้ว คุณชูวิทย์เองก็ ขอให้มีชีวิตอยู่ต่อไป อย่าเพิ่งรีบตายก่อนนะครับ


ท่านผู้ชมครับ สัปดาห์นี้มีประเด็นใหญ่ประเด็นเดียวเลย เพราะมันจะถึงวันเลือกตั้ง วันอาทิตย์ที่ 14 นี้แล้ว คือเรื่องอนาคตของประเทศไทยกับการเลือกตั้งทั่วไปในวันอาทิตย์ที่ 14 นี้ ผมจะบอกเล่าให้ท่านผู้ชมได้รับทราบถึงมุมมองและจุดยืนของผม แต่ผมจะแบ่งซอยเป็นประเด็นย่อยๆ คือ หนึ่ง ผมจะพูดถึงสภาวะการเมือง การเลือกตั้งในปัจจุบัน ช่วง 10 เมตรสุดท้ายก่อนถึงเส้นชัย และการเข้ามาปั่นกระแส "ไม่เลือกเรา เขามาแน่"

สอง ผมจะพูดถึงเรื่องพรรคก้าวไกล กับคำโกหกของว่าที่นายกฯ ของคนรุ่นใหม่ที่ชื่อ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์

สาม "พิธา-พรรคก้าวไกล" จิ๊กซอว์ตัวใหม่ Hybrid Warfare หรือที่ผมเรียกมันว่า "สงครามพันทาง" เขาเรียกกันว่า "สงครามพันธุ์ผสม" แต่สำหรับผมแล้วคือ "สงครามพันทาง" ของอเมริกาในอินโด-แปซิฟิก แล้วมันเกี่ยวข้องอย่างไรกับการเลือกตั้ง ? เกี่ยวมากๆ เลยท่านผู้ชม เพราะถ้าเราเลือกคนที่ผิดเข้าไป หรือว่าคนที่มีอำนาจในการสั่งการรัฐบาลชุดนี้ ถ้าเป็นคนที่ใกล้ชิดกับประเทศทางตะวันตก แล้วแสดงพฤติกรรมมาแล้วว่าเป็นคนที่ยืนข้างตะวันตก ถ้าวันนั้นมาถึงจริงๆ ประเทศไทยจะกลายเป็นยูเครน 2 และผมไม่ต้องการให้ประเทศไทยนองเลือดหรือกลายเป็นยูเครน 2 ก็เลยจำเป็นต้องพูดเรื่องนี้

สุดท้าย ผมจะพูดถึงว่าทำไมการเลือกตั้ง 14 พฤษภาคม 2566 มันไม่ใช่ทางออกของประเทศไทย

EP. นี้ วันที่ 12 วันศุกร์นี้ เป็น EP. ที่สำคัญมาก ท่านผู้ชมอย่าฟังแล้วลบทิ้ง หรือว่าละเลย เก็บเอาไว้ ฟังแล้วฟังอีกได้ แล้วก็ลองดูว่าฉายานามของผมว่า "พ่อหมอ" นั้น จะถูกต้องหรือเปล่า หลายอย่างที่ผมเคยพูดในอดีต ไม่เคยผิด อาจจะใช้เวลาสักนิดหนึ่ง และผมก็เชื่อมั่นว่า EP. นี้ผมก็พูดไม่ผิดอีกเช่นกัน ตอนนี้กระแสเชียร์พรรคก้าวไกลสูงมาก ผมเชื่อว่าจะมีทัวร์มาลงรายการนี้ แต่ไม่เป็นไรครับ ผมพร้อมรับอยู่แล้ว อย่าว่ากันนะครับ เมื่อคุณมาลงทัวร์ผม ผมก็ต้องมีมาตรการอะไรที่ปกป้องตัวผมเองเช่นกัน

จุดยืน“สนธิ”กับการเลือกตั้ง

ท่านผู้ชมครับ มีท่านผู้ชมไม่น้อยเลยที่ติดตามถามผมมาว่า การเลือกตั้งวันที่ 14 พฤษภาคม ควรจะเลือกพรรคไหนดี ? ผมคิดว่าในช่วงก่อนที่จะมีการเลือกตั้งนั้น และรายการวันนี้ ซึ่งวันนี้เป็นวันศุกร์ อีกสองวันจะถึงวันเลือกตั้ง ผมอยากจะเอาภาพรวมของการเมืองเมืองไทยมาเล่าให้ท่านผู้ชมฟัง อาจจะให้ข้อคิดท่านผู้ชมได้พอสมควร ไม่มากก็น้อย อย่างน้อยที่สุด คนที่ดูรายการผม ที่ดูประจำเป็น FC ก็เป็นกลุ่มคนที่ผมค่อนข้างจะมั่นใจในเรื่องของปัญญา ก็จะเข้าใจในสิ่งที่ผมพูดดี


อีกสองวันเราจะต้องไปเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 500 คน ช่วงนี้ถ้าเป็นการเปรียบเทียบการเลือกตั้งกับการวิ่ง 400 เมตร ช่วงนี้เป็นช่วงโค้งสุดท้าย เหลือทางตรงแค่ประมาณ 10 - 20 เมตรสุดท้ายก่อนจะถึงเส้นชัย ตอนนี้ท่านผู้ชมสังเกตอะไรไหมว่า ทุกพรรคการเมืมองมีกลเม็ดเด็ดพราย มีวิชาเทพ วิชามาร มียุทธวิธีบนดิน-ใต้ดิน อะไรก็งัดมาใช้กันหมด ช่วงนี้ล่ะครับท่านผู้ชม ไม่มีใครสนใจวิธีการหรือความถูกต้องชอบธรรม ไม่มีคำว่าคุณธรรม หรือจริยธรรมในการเลือกตั้ง ในช่วง 2 - 3 วันนี้

10 เมตรสุดท้ายก่อนที่จะหย่อนบัตรเลือกตั้งลงคะแนนเสียงตาม "ระบอบประชาธิปไตย 4 วินาที" ที่ผมเคยพูดมานานแล้ว เป็นสิบๆ ปี ท่านผู้ชมที่อินกับการเมือง โดยเฉพาะที่หลงไปกับข้างใดข้างหนึ่งอย่างไม่ลืมหูลืมตา ซึ่งผมหมายถึงทุกฝั่งนะครับ คือฝั่งอนุรักษ์นิยม หรือฝั่งเสรีนิยม ก็พร้อมใจกันโพสต์ พร้อมใจกันแชร์ พร้อมใจกันปล่อยข่าวโน่นข่าวนี่ จริงสักส่วนหนึ่ง แต่ส่วนใหญ่จะเท็จหมด หลายคนก็สงสัย ก็ถามผมมาตลอด ให้พูดหน่อยสิ วันศุกร์นี้

พูดง่ายๆ ว่าเหลืออีก 10 - 20 เมตรสุดท้ายก่อนถึงเส้นชัยนี้ นโยบายข้อเท็จจริงอะไรที่ทำได้หรือไม่ได้ ไม่มีใครสนใจทั้งนั้น เพราะเวลานี้คือห้วงเวลาการต่อสู้ทางวาทกรรมเท่านั้นเอง ไม่ว่าจะเป็น "มีเรา ไม่มีลุง" "เลือกเราเปลี่ยนทันที" "ไม่เอาลุง" "ไม่เอาความขัดแย้ง" "คุณอยากให้ประเทศไทยเหมือนเดิมจริงหรือเปล่า" เป็นอย่างนี้ครับ มีอีกหลายวาทกรรม

เผอิญในช่วง 10 - 20 เมตรสุดท้ายนั้น มีเรื่องบางเรื่อง ประเด็นบางประเด็นที่มีผู้ไม่หวังดีแชร์ลงไปในโลกออนไลน์ ตามโซเชียลมีเดีย ไม่ว่าจะเป็นเฟซบุ๊ก ไลน์ เกี่ยวข้องกับผม ที่ผมคิดว่าผมจำเป็นต้องพูดถึงและชี้แจงเพื่อให้เกิดความกระจ่างและถูกต้อง


เสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมา มีคนรู้จักส่งข้อความมาบอกผมว่า ในช่วง 1 - 2 สัปดาห์ก่อนมีการเลือกตั้ง มีข้อความที่กล่าวถึงผมเกี่ยวกับจุดยืนของการเลือกตั้ง ส่งไปที่ไลน์ส่วนตัวและไลน์กลุ่มต่างๆ ของคนจำนวนมาก ข้อความนี้ระบุว่า "วันนี้ดูข่าวสนธิช่องนิวส์1 สนธิได้ตัดสินใจสละ อัตตา โดยเอาประโยชน์สังคมเป็นหลัก จึงจะเอนเดียงมาทางลุงตู่แล้วทุกทีจะออกมาด่าลุงตู่ ตอนนี้สนธิบอกว่าถ้าก้าวไกลขึ้นมาบ้านเมืองจะลุกเป็นไฟ อเมริกากับจีนจะต้องรบกัน ไอ้ก้าวไกลจะต้องให้อเมริกาเข้ามาตั้งฐานทัพ จีนก็ไม่ยอม ชาวบ้านราชธานีอโศกทุกคนประกาศพร้อมใจสนับสนุนลุงตู่ พวกสันติอโศกต่างๆ ก็ออกมาเทใจให้ลุงตู่ แม้แต่ แอ๊ด คาราบาง เคยด่าก็หันมาเชียร์พี่ตู่"

ท่านผู้ชมครับ คนที่รู้จักดังกล่าวก็เลยถามว่า จริงหรือเปล่าที่ผมพูดอย่างนั้น ผมเลยตอบไปว่า ข้อความข้างต้น บางส่วนเท็จ บางส่วนจริง เพราะเรื่องที่ผมพูดทั้งหมดนี้ ผมพูดไปแล้วในรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ตอนที่ 187 ออกอากาศเมื่อวันศุกร์ที่ 28 เมษายน 2566 ในตอนย่อยที่ผมตั้งหัวข้อว่า "เบื่อสองลุง กลัวสองหลาน" ถ้าใครยังไม่ได้ฟังแบบครบถ้วน ลองเปิดฟังอีกรอบหนึ่ง


เรากลับมาถึงข้อความที่มีการแชร์กันไปทั่วว่าผมละอัตตา หันไปเชียร์ลุงตู่นั้น ข้อความส่วนที่เป็นเท็จคือ หนึ่ง ผมไม่ได้เชียร์ลุงตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แคนดิเดตนายกฯ พรรครวมไทยสร้างชาติ ในรายการเต็มๆ เมื่อสองสัปดาห์ก่อน ถ้าใครได้ชมหรือได้อ่านถอดเทปแบบคำต่อคำแล้ว จะทราบชัดเจนว่า ลุงตู่ หรือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นั้น บริหารงานล้มเหลวในหลายประเด็น ไม่ว่าจะเป็นการคอร์รัปชันที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ระดับคอร์รัปชันตกลงไป ข้าราชการต่างรู้ว่ามันเหลวแหลก ฉิบหายไปถึงระดับรองเลขาธิการ ป.ป.ช. ที่ควบคุมการคอร์รัปชัน ยังคอร์รัปชันเสียเองจนร่ำรวยผิดปกติเป็นร้อยๆ ล้านบาท มิหนำซ้ำยังถูกศาลสั่งจำคุกเนื่องจากการแจ้งทรัพย์สินอันเป็นเท็จ


เรื่องกระบวนการยุติธรรมที่ล้มเหลวตั้งแต่ต้นน้ำ ยันปลายน้ำ ตำรวจ อัยการ ศาล หลักฐานมีกลาดเกลื่อนไปหมด ตั้งแต่คดี บอส อยู่วิทยา ไปจนถึงเจ้าของเว็บพนันเยอะแยะไปหมด ไม่ว่าจะเป็นคุณแทนไทป้ายแพง เสี่ยฟลุ๊ค Mawinbet ที่ถูกจับแต่หลุดคดีเพราะอัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้อง และอีกมากมายมหาศาล


ความเหลื่อมล้ำในสังคมสูงขึ้นเรื่อยๆ แปดปีที่ผ่านมานั้นมหาเศรษฐีรวยเอาๆ ชนชั้นกลางยากจนลงๆ สังเกตได้จากความทุกข์ยากของชาวบ้าน ผู้ประกอบการทั่วประเทศ ปัจจุบันก็คือประเด็นเรื่องค่าพลังงานที่แพง ค่าไฟแพง ค่าแก๊สแพง ค่าน้ำมันแพง ส่งไปถึงราคาสินค้า ค่าครองชีพความเป็นอยู่

ทั้งหมดที่ผมพูดออกมานี้เป็นแค่น้ำจิ้ม ถึงความล้มเหลวของแปดปีกว่าในการบริหารของลุงตู่ ผมคงไม่ต้องอธิบายอะไรไปมากกว่านี้ หรือต้องเอาหลักฐานอะไรมาให้ดูมากกว่านี้ เพราะท่าผนู้ชมคงรับทราบกันอยู่แล้ว

ขอกลับมาถึงข้อความที่เกี่ยวกับผม ที่ส่งต่อกันทางไลน์ไปทั่ว ที่ผมบอกว่ามีส่วนที่เป็นจริง คือ หนึ่ง ผมยึดเอาประโยชน์ของสังคมเป็นหลัก เพราะเมื่อผมเห็นว่าลุงตู่ พล.อ.ประยุทธ์ ล้มเหลวในการทำแล้ว ทำอยู่ ยังไม่ต้องพูดถึงทำต่อ


ซึ่งในเบื้องลึกผมทราบว่าคนใกล้ชิดท่านไปกระซิบกับฝั่งลุงป้อม คือพูดง่ายๆ ว่าคนใกล้ชิดไปกระซิบฝั่งลุงป้อม อ้างว่าที่ลุงตู่จะอยู่ต่อนั้น เพื่อปกป้องสถาบันของชาติ แม้จะเหลือการเป็นนายกฯ เพียงสองปีเท่านั้น ก็ต้องเป็นลุงตู่เท่านั้น ผมก็ถามกลับคนที่พูดอย่างนั้นว่า อย่างนั้นก็แสดงว่าถ้า พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ อีกสองปี หลังจากนั้นเมื่อไม่ได้เป็นนายกฯ แสดงว่าสถาบันหลักของชาติจะไม่มีใครมาปกป้องแล้วหรือ ?

อีกอย่างหนึ่ง นอกจากลุงตู่ ผู้รักสถาบันคนอื่นๆ จะปกป้องสถาบันไม่ได้เลยหรืออย่างไร ? มีลุงตู่คนเดียวเท่านั้นใช่ไหมที่จะปกป้องสถาบันได้ ? แล้วใครกันแน่ที่โหนสถาบัน โหนเจ้า อ้างเรื่องการปกป้องสถาบันอย่างพร่ำเพรื่อเพื่อผลประโยชน์ เพื่ออำนาจตัวเอง

ท่านผู้ชมครับ จนทุกวันนี้ เด็กสามนิ้วออกมาเคลื่อนไหวล้มเจ้า ล้มล้างมาตรา 112 กัน จนจุดติดเป็นกระแสในหมู่คนรุ่นใหม่ ส่วนพรรคการเมืองที่สนับสนุนเด็กสามนิ้วกับเรื่องล้มสถาบันอย่างพรรคอนาคตใหม่ พรรคก้าวไกล ก็โตเอาๆ จากการเลือกตั้งปี 2562 มาจนถึงการเลือกตั้งปีนี้ กระแสดูจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนฝังลึกกลายเป็นประเด็นความขัดแย้งระหว่างรุ่นของคนในชาติไปแล้ว ดูเหมือนจะเป็นความขัดแย้งที่แก้ไม่ได้ด้วย เป็นเรื่องจริงครับท่านผู้ชมที่ผมวิเคราะห์ว่าถ้าก้าวไกลขึ้นมา บ้านเมืองมีโอกาสจะลุกเป็นไฟ ประเด็นเกี่ยวกับคุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ผู้อยู่เบื้องหลังพรรคก้าวไกล ผมพูดมานานมากแล้ว เป็นสิบปี ไม่ใช่เพิ่งมาพูดในการเลือกตั้งปี 2566 ผมพูดตั้งแต่พรรคไทยรักไทยของคุณทักษิณยังเป็นรัฐบาลอยู่


ตั้งแต่คุณธนาธรตอนนั้นยังทำแค่นิตยสารฟ้าเดียวกัน ซึ่งเป็นนิตยสารหมิ่นสถาบันกษัตริย์อย่างเต็มที่ ยังไม่เข้ามาเล่นการเมือง มาสร้างพรรคอนาคตใหม่ หรือพรรคก้าวไกล แบบเต็มตัวเช่นทุกวันนี้

แต่น่าเสียดาย ในตอนนั้นทุกคนจะดูเบาปัญหา บางคนถึงขั้นหัวเราะเยาะผม บอกว่าผมมโนไปไกล คิดไปเอง แต่ท่านผู้ชมครับ ทุกวันนี้ทุกอย่างพิสูจน์ให้เห็นกันชัดๆ แล้ว ซึ่งเรื่องนี้ประเดี๋ยวผมจะขยายความต่อว่าเป็นอย่างไร และมีความเคลื่อนไหวอะไรเพิ่มเติมบ้าง เพราะผมเห็นว่าเรื่องการเมืองในประเทศไทยนั้นมีความเชื่อมโยงกับการเคลื่อนไหวและความขัดแย้งทางการเมืองโลก หรือที่ผมเรียกว่า ภูมิรัฐศาสตร์ อย่างแยกกันไม่ออก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผมอธิบายไปหลายครั้งแล้ว ว่าประเทศไทยเป็นแค่เบี้ยตัวหนึ่งในกระดานหมากรุกของชาติมหาอำนาจตะวันตก และเป็นเบี้ยอีกตัวหนึ่งในกระดานหมากล้อมของประเทศจีน เพราะฉะนั้นแล้ว ความเคลื่อนไหวทางการเมืองและการเลือกตั้งในประเทศที่จะชี้ชะตาผู้มากุมอำนาจในการบริหารประเทศย่อมถูกจับตาอย่างใกล้ชิดจากตัวแทนของชาติเหล่านี้


ผมจะเล่าเบื้องหลังให้ฟังก็ได้ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 7 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ในประเทศไทยมีการเลือกตั้งล่วงหน้า มีคนมาเล่าให้ผมฟังและยืนยันเป็นแน่ชัดว่า มีชาติมหาอำนาจตะวันตก 6 ชาติ เริ่มด้วยกลุ่ม FIVE EYES หรือ 5 ตา ที่ผมเคยพูดว่าเป็นกลุ่ม FIVE EYES 5 ประเทศที่พูดภาษาอังกฤษ คือ อเมริกา อังกฤษ ออสเตรเลีย แคนาดา นิวซีแลนด์ และมีเกาหลีใต้ ซึ่งเกาหลีใต้นั้น ประธานาธิบดีคนใหม่ของเกาหลีใต้ ก็กระทำตัวเป็นสุนัขรับใช้อเมริกาอย่างเต็มตัว เข้าไปเยือนโจ ไบเดน ที่วอชิงตัน ดี.ซี. และรับทราบนโยบายทุกอย่าง ยอมทุกอย่าง ให้อเมริกามาติดตั้งอาวุธนิวเคลียร์ที่เกาหลีใต้ มิหนำซ้ำในงานเลี้ยงยังเอาใจ โจ ไบเดน ด้วยการร้องเพลง American Pie น่าอับอายขายหน้ามาก ศักดิ์ศรีของประธานาธิบดีเกาหลีใต้ หนึ่งในมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลกนั้น มันไม่มีเหลืออยู่เลยแม้แต่นิดเดียว และผมรู้ว่าคนเกาหลีใต้หลายคน จำนวนมากเลย กำลังเดือดแค้นประธานาธิบดียุน มาก


ท่านผู้ชมครับ หัวโจกที่นำพวกตัวแทนของตะวันตก ซึ่งมีทั้ง 5 ประเทศที่ผมพูดไปแล้ว และรวมเกาหลีใต้ รวมทั้งทูตอียูประจำประเทศไทย ได้รวมตัวเพื่อใช้สถานทูตนิวซีแลนด์เป็นสถานที่พบปะ แล้วได้เรียกตัวแทนพรรคการเมืองหลักๆ ซึ่งมีแนวโน้มว่าอาจจะร่วมจัดตั้งรัฐบาลกัน คือ 1) พรรคเพื่อไทย 2) พรรคพลังประชารัฐ 3) พรรคก้าวไกล

นอกจากนี้แล้ว ยังมีนักวิชาการจำนวนหนึ่งที่มีชื่อเสียงมาก ว่าเป็นคนที่โปรตะวันตก ตะวันตกพูดอะไรก็เห็นชอบไปหมดเลย คนหนึ่งมาจากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ อีกคนหนึ่งมาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ท่านผู้ชมครับ การเลือกนักการเมือง ตัวแทนพรรคการเมืองไทยเข้าไปพูดคุยครั้งนี้ เพื่ออะไร ? เพื่อสอบถามถึงจุดยืนทางการเมืองและแนวนโยบายเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยเฉพาะแนวนโยบายเศรษฐกิจ ความมั่นคง หลังการเลือกตั้งวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 นี้ ถามว่าแต่ละพรรคมีจุดยืนอย่างไรในแต่ละเรื่องที่พูดถึง และมีความคิดเห็นเป็นอย่างไร สอดคล้องกัน หรือขัดแย้งกับผลประโยชน์ของชาติมหาอำนาจตะวันตกหรือไม่

ประเด็นเรื่องนี้อยู่ที่ไหน ? ผมถามท่านผู้ชมครับ และผมถามว่าการกระทำเช่นนี้ของบรรดาทูตมหาอำนาจ มันเป็นแค่การหยั่งเชิง หรือกำลังเริ่มจะเข้ามาแทรกแซงการเลือกตั้ง การกำหนดนโยบายของประเทศไทยหรือไม่ ? ท่านผู้ชมเอาไปคิดดู ทำไมต้องเรียก 3 พรรคนี้ เพราะเขาคาดคะเนว่า 3 พรรคนี้ ก็คือ เพื่อไทย ก้าวไกล และ พลังประชารัฐ จะร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล


เรากลับมาถึงข่าวลือที่แพร่สะพัดเกี่ยวกับความเห็นและจุดยืนของผมเกี่ยวกับการเลือกตั้งในวันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคม ที่จะมาถึงนี้ พอมีกระแสข่าวความเห็นของผมเกี่ยวกับการเลือกตั้งออกมา วันเสาร์ที่ 6 พฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา อาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ก็เลยชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อให้เกิดความกระจ่าง ไม่ให้เกิดกระแสความเข้าใจผิด อาจารย์ปานเทพ ก็โพสต์ข้อความลง ผมจะอ่านให้ฟังคร่าวๆ ก็แล้วกัน

"สืบเนื่องด้วยมีวิชามารจากฝ่ายที่อ้างว่าเป็นคนดีมีศีลธรรม โดยส่งต่อกันเป็นไวรัลว่าคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ได้ออกรายการถึงอันตรายของพรรคก้าวไกล ในจุดยืนการเมืองระหว่างประเทศ หลังจากนั้นจึงมีการโพสต์ข้อความด้วยการบิดเบือนต่อว่า คุณสนธิได้ละอัตตาหันมาเชียร์ลุงตู่แล้ว ซึ่งเป็นเรื่องเท็จทั้งสิ้น

เพราะในความจริงคุณสนธิไม่เพียงวิพากษ์วิจารณ์พรรคก้าวไกลเท่านั้น แต่ยังวิพากษ์วิจารณ์พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อย่างหนักว่าไม่ปฏิรูปประเทศอย่างรอบด้านเพื่อครองใจประชาชน ทำให้ปัญหาได้ถูกพัฒนามาจนถึงในวันนี้ แต่คนที่มีวาระซ่อนเร้นกลับใช้วิธีตัดต่อคลิปวิดีโอท่อนที่วิพากษ์วิจารณ์เฉพาะพรรคก้าวไกลอย่างเดียวให้เกิดความเข้าใจผิด

และขอยืนยันว่าไม่มีแม้แต่ครั้งเดียวที่คุณสนธิจะปากาศว่าให้เลือกตั้งเพื่อให้ลุงตู่กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีเลยแม้แต่ครรั้งเดียว

การกระทำบิดเบือนแบบนี้ควรจะเลิกได้แล้ว เพราะเป็นการโกหก บิดเบือนความจริง น่าละอายอย่างยิ่ง

จึงเรียนมาเพื่อทราบ"

ท่านผู้ชมเชื่อไหม พออาจารย์ปานเทพ โพสต์ข้อความดังกล่าวลงไป ก็มีผู้ให้ความสนใจอย่างมาก ในเว็บไซต์ของ MGROnline มีคนเข้ามาอ่านคำชี้แจงหลายหมื่นครั้ง แต่กลับมีคนที่อ้างว่าตัวเองเป็นคนดีมีศีลธรรม ทะลึ่งไปปล่อยข่าวต่ออย่างบัดซบว่า สนธิ ลิ้มทองกุล นั้น ไม่ปกป้องสถาบันแล้ว และมีการร่ำลือกันด้วยว่า ผมกับอาจารย์ปานเทพ ออกมาสนับสนุนเรื่องกัญชา เนื่องจากไปลงทุนปลูกกัญชาอยู่ที่อเมริกา ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วผมกับอาจารย์ปานเทพนั้น กัญชาสักต้นก็ไม่เคยปลูก ไม่เคยมีไว้ในครอบครอง การออกมารณรงค์เรื่องการปลดล็อกกัญชาเพื่อผลประโยชน์ทางการแพทย์ การดูแลสุขภาพ และการปลดล็อก ปลดแอกจากบริษัทยาฝรั่ง ให้คนไทยสามารถพึ่งพาตัวเองได้เท่านั้น เพราะฉะนั้นแล้ว พวกที่อ้างว่าเป็นคนดีมีศีลธรรม แท้จริงแล้วเป็นคนจอมปลอมที่บัดซบมาก ไม่ได้แตกต่างอะไรจากฝ่ายตรงข้ามเลยแม้แต่นิดเดียว

สรุปแล้ว พอเอาผมกับอาจารย์ปานเทพเป็นพวกไม่ได้ ก็ใส่ร้ายไปเลย ไม่สนใจวิธีการ ข้อเท็จจริง หรือความถูกต้องใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากนั้นแล้ว การที่บอกว่าต้องเลือกลุงตู่ เพราะถ้าไม่เลือกลุงตู่ พวกล้มสถาบันจะมาแน่ หมายความว่าอย่างไร ท่านผู้ชมคุ้นๆ ไหมกับวาทกรรมนี้ มันเป็นวาทกรรมที่ใช้กันมานมนานแล้วในหมู่พวกอนุรักษ์นิยม ที่พูดติดปากว่า "ไม่เลือกเรา เขามาแน่"


ผมจะเล่าเรื่องเก่าๆ ให้ฟัง ท่านผู้ชมบางท่านคงเคยได้ยินมาแล้ว แต่บางท่านที่เพิ่งเข้ามาดูรายการนี้ อาจจะไม่เคยได้ยิน วาทกรรม "ไม่เลือกเรา เขามาแน่" ท่านผู้ชมรู้หรือเปล่าว่ามันเกิดขึ้นสมัยเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. เมื่อสิบปีที่แล้ว (2556) ในการเลือกตั้งผู้ว่าฯ ครั้งที่ 10 ตอนนั้นมีผู้แข่งขันอยู่ 2 ท่าน ตัวเต็ง ก็คือ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ตัวแทนจากพรรคประชาธิปัตย์ และ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ตัวแทนจากพรรคเพื่อไทย

ในเวลานั้น พล.ต.อ.พงศพัศ พรรคเพื่อไทย ซึ่งตอนนั้นพรรคเพื่อไทยมีอำนาจอยู่ในรัฐบาล ในช่วงหนึ่งสัปดาห์ก่อนการเลือกตั้ง โพลทุกสำนักให้ พล.ต.อ.พงศพัศ ชนะ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ แต่ในที่สุดแล้ว ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ สามารถเอาชนะ พล.ต.อ.พงศพัศ ตัวแทนพรรคเพื่อไทย ที่ได้คะแนนตามมาอันดับ 2 ที่ 1 ล้าน 8 หมื่นเสียง ส่วน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ได้ 1 ล้าน 2 แสน 5 หมื่นเสียง จากการปั่นกระแส "ไม่เลือกเรา เขามาแน่" ผมจำได้ ตอนนั้นผมประท้วงอยู่ที่เวทีที่สะพานมัฆวานฯ มีคนที่เป็นสายพรรคประชาธิปัตย์ ที่เป็นพันธมิตรฯ ออกมาขอร้องให้ช่วยพูดให้หน่อยว่า ให้เชียร์ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ โดยใช้วาทกรรมว่า "ไม่เลือกเรา เขามาแน่"


สถิติคนออกมาใช้เสียงตอนนั้น 63.38 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งนับว่าสูงสุดเมื่อเทียบกับการเลือกตั้งผู้ว่าฯ ทุกครั้ง

หลังจากปี 2556 ความสำเร็จจากการสร้างวาทกรรม "ไม่เลือกเรา เขามาแน่" ก็ถูกนำกลับมาใช้อีกหลายครั้ง ซึ่งการเลือกผู้ว่าฯ สุขุมพันธุ์ นั้นก็เป็นความอัปยศ และเป็นความเสียใจอีกระดับหนึ่งที่ผมไปเกี่ยวข้องด้วย เพราะว่าคุณสุขุมพันธุ์ ทำงานใช้ไม่ได้เลย และมีข้อกล่าวหามากมาย คดีความอยู่ที่ ป.ป.ช. ท่านผู้ชมจำเรื่องอุโมงค์ไฟได้ไหม โดนฟ้องร้องกัน

หลังจากนั้นแล้วก็มีการนำวาทกรรมนี้มาใช้อีก การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ปีที่แล้ว 22 พฤษภาคม 2565 วาทกรรม "ไม่เลือกเรา เขามาแน่" เป็นการปั่นกระแสว่าเบื้องหลังชัชชาติ คือ ทักษิณ ชินวัตร แต่ครั้งนี้ประสบความล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า เพราะว่าชัชชาติได้รับคะแนนเสียงจากชาว กทม. อย่างท่วมท้น ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะว่าชาว กทม. เบื่อหน่ายกับการทำงานของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ผู้ว่าฯ คนนั้นไปอย่างมากมายมหาศาล และคุณชัชชาติ ก็ซ้ำรอยสุขุมพันธุ์ อีกเหมือนกัน ชาว กทม. เริ่มตั้งคำถามกับการทำงานของคุณชัชชาติแล้วว่า หนึ่งปีที่ผ่านมาคุณมีผลงานอะไรที่สัญญาเอาไว้ระหว่างหาเสียง ที่คุณสามารถทำให้เสร็จสิ้นเป็นรูปธรรมได้ มีบ้างหรือยัง


รวมไปถึงการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อสี่ปีที่แล้ว 24 มีนาคม 2562 ก็ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง อย่างน้อย พล.อ.ประยุทธ์ ก็สามารถกลับมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ภายหลังจากการรัฐประหารเมื่อปี 2557 ในการเลือกตั้งครั้งนั้น หลังจากผ่านการรัฐประหารมาแล้วตั้ง 5 ปี วาทกรรม "ไม่เลือกเรา เขามาแน่" ก็ยังใช้ได้อีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งวาทกรรมนี้ใช้กับกลุ่มแกนนำ กปปส. ผมเอารูปของคุณทยา ทีปสุวรรณ ภรรยาของคุณณัฏฐพล ทีปสุวรรณ ออกมา ซึ่งเป็นคนชูประเด็นว่า "ไม่เลือกเรา เขามาแน่"


ท่านผู้ชม ผมมีคำถาม ถ้าไม่นับถึงความล้มเหลวในการบริหารงาน ทั้งความเหลวแหลกของกระบวนการยุติธรรม ปัญหาการคอร์รัปชัน การสร้างธรรมาภิบาล การลดความเหลื่อมล้ำต่ำสูงทางเศรษฐกิจที่ผมกล่าวไปแล้วตั้งแต่ตอนต้น มันมีอีกประเด็นหนึ่งที่ผมจำเป็นต้องสอบถามในหมู่ประชาชนที่เป็นกลุ่มอนุรักษ์นิยม ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Conservative ซึ่งที่ผ่านมาพยายามว่าที่ออกมาส่งเสียงและเคลื่อนไหวต่างๆ นั้น ก็เพื่อจุดประสงค์ในการปกป้องสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

พวกคุณเคยตั้งข้อสงสัยไหมว่า ในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา ทำไมและเพราะเหตุดใดกลุ่มคนที่ต่อต้านสถาบันจึงเติบโตขึ้นมาอย่างเรื่อยๆ

มีคนเล่าให้ฟังว่า สมัยก่อนเวลาไปดูภาพยนตร์ในโรงหนัง คนที่ไม่ลุกเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมี กลายเป็นคนแปลกแยก ทุกคนจะหันมามอง แต่วันนี้ตรงกันข้าม ไม่มีใครลุก ใครก็ตามลุกขึ้นมาเคารพพระบรมฉายาลักษณ์ กลับกลายเป็นคนที่ดูแปลกแยก ตลกไหมท่านผู้ชม นี่ไงพวกคุณอ้างว่าออกมาปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ถ้าคุณปกป้องได้จริง มันไม่ควรจะมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นใช่ไหม

ผมมีข้อมูลอีก จากนักวิชาการเพียงไม่กี่คน ทำหนังสือนิตยสารรายสะดวก 6 เดือน/เล่ม ปีละ 2 เล่ม คนอ่านแคบๆ ไม่กี่ร้อยคน ต่อมาก็แผ่อิทธิพลแนวคิดในหมู่ NGO นักวิชาการตามมหาวิทยาลัย ตามสถาบันการศึกษาต่างๆ ผลิตผลงานวิชาการออกมากลายเป็นหนังสือขายดี ถึงแม้จะมีจุดยืนที่บิดเบือน ใช้อคติส่วนตัวบ้าง แต่คนรุ่นใหม่กลับนิยมมากขึ้น มีการขยายแนวร่วมจนกลายเป็นพรรคการเมืองอย่างเป็นทางการ


ไม่ว่าจะเป็นพรรคอนาคตใหม่ หรือพรรคก้าวไกล มี ส.ส. จำนวนไม่น้อย เลือกตั้งปี 2562 ลงครั้งแรกก็เป็นพรรคขนาดกลางได้เสียงถึง 80 กว่าเสียง ส่วนในการเลือกตั้งอีกสองวันที่จะถึงนี้ ก็มีกระแสที่สูงขึ้นมากกว่าเก่าเยอะ ทั้งยังเกี่ยวพันกับกลุ่มม็อบสามนิ้วที่ทรงอิทธิพลในหมู่เยาวชนและคนรุ่นใหม่ สร้างแรงสั่นสะเทือนอย่างที่ไม่เคยเกิดมาก่อนให้กับ 3 สถาบันหลัก คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

ประเด็นเรื่องนี้อยู่ที่ไหน ผมถึงมาพูดเรื่องนี้ ? ผมสงสัย ท่านผู้ชม และต้องการถามพวกท่านจริงๆ ว่าถ้าลุงตู่ปกป้องสถาบันสำคัญแห่งชาติได้ดีจริงๆ แต่เพราะเหตุใดในช่วง 8 ปีที่ผ่านมานี้ กลุ่มคนล้มสถาบันถึงมากขึ้นเรื่อยๆ และเติบโต จนในวันหนึ่งอีกไม่นานนี้ ผมทำนายไว้เลยว่าจะกลายเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศนี้แทนกลุ่มอนุรักษ์นิยมอย่างแน่นอน โดยคำว่า "อีกไม่นานนี้" ที่ผมทำนาย ในการเลือกตั้งปี 2566 หรืออย่างช้าก็ 2570 ท่านผู้ชมได้เห็นแน่นอน


ผมเอารูปของ 14 ตุลาคม 2563 ขบวนเสด็จของพระราชินี และสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติฯ ถูกม็อบปลดแอกล้อมบนถนนพิษณุโลก ข้างทำเนียบรัฐบาล ระหว่างเสด็จฯ ไปถวายผ้ากฐินที่วัดราชโอรส และวัดอรุณฯ ซึ่งมันเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมา แล้วยุคนั้นคนที่เป็นผู้บัญชาการตำรวจนครบาล คือ พล.ต.ท.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผมจำได้ ผมเคยพูดเรื่องนี้ออกมา ตำหนิคุณสุวัฒน์อย่างรุนแรง แล้วคุณสุวัฒน์ก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติต่อมาในภายหลัง นี่ไง พวกคุณทั้งหลาย ทั้งมีอำนาจ รวมทั้งคนในวังบางคนที่สนับสนุนคุณสุวัฒน์ แจ้งยอดสุข หรืออดีตนายทหารคนหนึ่งระดับ ผบ.ทบ. ที่เป็นเพื่อนคุณสุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ตั้งคุณสุวัฒน์ แจ้งยอดสุข โดยลุงตู่เป็นคนตั้งขึ้นมา นี่คือความสำเร็จในการปกป้องสถาบันของคุณหรืออย่างไร ?

ส่วนคนที่พอผมไม่เชียร์ลุงตู่ ออกมาโจมตีว่าผมนั้นไม่ปกป้องสถาบัน ผมขอให้พวกคุณรู้ไว้ด้วยว่า ตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมานั้น จุดยืนผมไม่เคยเปลี่ยนแปลง ฝนจะตก ฟ้าจะร้อง พายุจะเข้า ต้องติดคุกติดตะราง จุดยืนผมคือปกป้องสถาบันให้อยู่เป็นมิ่งขวัญของประเทศชาติ ประชาชน และยั่งยืนสถาพร ผมไม่ใช่ทำแบบคนบางกลุ่ม ทหารบางพวก นักการเมืองบางคน โหนแต่สถาบันเพื่อหาประโยชน์เข้าตัวเอง แท้ที่จริงแล้วการกระทำของตัวเองนั้นยิ่งทำให้สถาบันตกอยู่ในอันตรายมากขึ้น

ในช่วง 3 - 4 ปีหลัง ใครที่ติดตามผ่านรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" มาตลอด จะรู้ดีว่าหลายๆ ประเด็นเกี่ยวกับสถาบัน ผมเป็นคนที่ออกมาต่อสู้เป็นคนแรก และยังทำกันต่อเนื่อง เป็นการเตือนสติ ทั้งเตือนสติ ห้ามปราม รวมทั้งอธิบายความให้เยาวชน ประชาชน และกลุ่มคนไม่หวังดีต่างๆ อย่างน้อยได้ฉุกใจคิด หรือเข้าใจข้อมูลอย่างแท้จริงว่าไม่เป็นเรื่อง ผมต่อสู้อธิบายว่าทำไมเราต้องดำรงไว้ซึ่งกฎหมายอาญา มาตรา 112 ทำไมต้องฉีกหน้ากากพวกขบวนการอีแอบที่อยู่เบื้องหลังเด็กๆ ม็อบสามนิ้ว


ข้อที่สาม วิทยานิพนธ์ปริญญาเอกลวงโลกของนายณัฐพล ใจจริง ที่จงใจแต่งเรื่องบิดเบือนประวัติศาสตร์ ใส่ร้ายสถาบัน ต่อมากลายเป็นหนังสือประวัติศาสตร์ขายดี ตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน ของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ

สี่ เรื่องที่ดินจุฬาฯ อธิบายว่าที่ดินจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาจากไหน เหตุใดประวัติศาสตร์จึงถูกบิดเบือนโดยคนรุ่นหลัง ซึ่งอ้างว่าจุฬาฯ เกิดขึ้นได้เพราะคณะราษฎร ไม่ใช่รัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 6


ห้า เรื่องคณะราษฎร 2475 ผมบอกว่ามันเป็นคณะโจร ปล้นสมบัติสถาบันพระมหากษัตริย์ รวมไปถึงความจริงเรื่อง จอมพล ป. พิบูลสงคราม แกนนำคณะราษฎร 2475 ซึ่งต่อมาถูกยกให้เป็นไอดอลของแกนนำม็อบสามนิ้ว หลายคนว่าจริงๆ แล้วมีแผนชั่วในการประพฤติตัวเป็นเจ้า เป็นสถาบันเอง


รายละเอียดเกี่ยวกับการปล้นชิงทรัพย์สถาบันพระมหากษัตริย์แบบหน้าด้านๆ มีหลักฐานทุกชิ้นโดยละเอียด เอามาตีพิมพ์ในหนังสือชื่อว่า "ศึกชิงพระคลังข้างที่ 2475 จากการปล้นราชทรัพย์ ถึงคดีสวรรคต ร.8" โดยทีมงานของผม คืออาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ท่านผู้ชมครับ นี่ไง ยังมีอยู่ในลิ้นชักเลย พิมพ์เป็นครั้งที่สามแล้ว พวกผมเป็นคนทำ แล้วที่คุณอ้างว่าเข้ามาเพื่อปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ รวมทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ด้วย คุณทำอะไรบ้าง จนกระทั่งคนที่มีความต้องการจะล้มเจ้ามีแต่เพิ่มขึ้นๆ ทุกวัน แล้ววันนี้คุณมาอ้างว่าคุณจะขอเข้ามาเป็นนายกฯ อีก เพื่อที่จะมาปกป้องสถาบันอีก คุณทำได้อย่างไร


ผมยังติดตามเรื่องการปล้นชิงทรัพย์สินจากสถาบันมาเป็นทรัพย์สินส่วนตัว ตกทอดไปยังวงศ์ตระกูลลูกหลานของพวกคณะราษฎรอย่างต่อเนื่องมาเรื่อย ถ้าใครได้ติดตามเรื่องนี้ รายการนี้มาตลอด ก็คงทราบดี เพราะฉะนั้นแล้ว ใครบ้างที่มาชี้หน้าแล้วกล่าวหาว่าการที่ผมไม่เชียร์ลุงตู่ และพรรครวมไทยสร้างชาติ เป็นการไม่ปกป้องสถาบัน กรุณาส่องกระจกพิจารณาตัวเองด้วยว่า ตัวพวกคุณเองนั่นล่ะกำลังทำอะไรอยู่ แท้จริงแล้วคนที่คุณเชียร์นั้นทำเพื่อใคร ทำเพื่อสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ทำเพื่อชาติและประชาชน หรือเพื่อตัวเองและพวกพ้องกันแน่

แต่ผมก็ไม่ตำหนิพวกคุณนะ หลายคน เพราะว่าในโลกนี้มันก็มีคนประเภทสมองหมาปัญญาควายอยู่เยอะ แต่อย่ามาใส่ร้ายผมแบบ "วรนุส" อย่างนี้อีกต่อไป

 “พรรคก้าวไกล” กับคำโกหกของว่าที่นายกฯ ของคนรุ่นใหม่ที่ชื่อ
“พิธา ลิ้มเจริญรัตน์”


ท่านผู้ชมครับ ปีหน้า 2567 ก็จะครบรอบสิบปีของการรัฐประหารในวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 แล้ว ฝั่งอนุรักษ์นิยมที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงตัวเอง ในทางกลับกัน กลับทำให้เสื่อมถอยลงทุกวัน ทั้งการทำงานแบบ"รัฐราชการ" ท่านผู้ชมจำได้ไหม ผมน่าจะเป็นคนแรกๆ ที่บอกว่าลุงตู่เป็นคนที่สร้างรัฐราชการให้เกิดขึ้น

"รัฐราชการ" คือการผสมรัฐตำรวจ รัฐทหาร ปกป้องพวกพ้องตัวเอง คอร์รัปชัน เอื้อผลประโยชน์นายทุนมหาเศรษฐี จนประชาชนทนไม่ไหว หันมาหาทางเลือกใหม่ คือพรรคในแนวเสรีนิยมอย่างพรรคก้าวไกล ที่ผมเคยบอกไปแล้วว่า ในวันนี้พรรคก้าวไกล ภาพสะอาด บริสุทธิ์ รู้หรือเปล่าว่าเพราะอะไร ? เพราะเขาไม่เคยทำงานเลยแม้แต่นิดเดียว แต่พวกอนุรักษ์นิยมทำมา 8 ปี ทำให้มันเละเทะไปหมด แตะไปที่ไหนก็เหมือนหมาขี้เรื้อน มีแผลเต็มไปหมด มีความเป็นขี้เรื้อนเต็มไปหมด แต่พรรคก้าวไกลไม่เคยทำงาน ได้แต่ด่า แล้วเผอิญด่าตรงใจกับที่ประชาชนอัดอั้นตันใจและขมขื่น

พรรคก้าวไกล เสรีนิยม มีแต่ประโยคสวยงามเอามาขายฝัน หลายๆ เหตุการณ์ของคุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ก็ไม่อยู่กับร่องกับรอย เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ซึ่งผมจะหยิบยกตัวอย่างหลายๆ ตัวอย่างให้ดูถึงพฤติกรรมก่อนเข้าสู่อำนาจของคุณพิธา ที่คนรุ่นใหม่หลายคนเขาหมายมั่นปั้นมือให้คุณนั้นเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยคนต่อไป


คุณพิธา กลับกลอก แก้ไขมาตรา 112 ไม่ใช่ยกเลิก เริ่มมาตั้งแต่มาตรา 112 ในช่วงหาเสียงนี้ พรรคก้าวไกลพยายามบอกว่านโยบายคือ "แก้ไข" ไม่ใช่ "ยกเลิก" เพื่ออะไร ? เพื่อลดแรงต้านจากกลุ่มที่รักและเห็นความสำคัญของสถาบัน ไม่ว่าจะเป็นคุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หรือคุณช่อ พรรณิการ์ วานิช อดีตแกนนำพรรคอนาคตใหม่ ก็พยายามออกมาพูดในแนวนี้


แต่เนื้อแท้ความจริงมันโผล่ออกมาเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2566 ที่สวนสาธารณะเทศบาลนครแหลมฉบัง อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี พรรคก้าวไกลจัดเวทีปราศรัยใหญ่ แนะนำนโยบายพรรค แนะนำว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. ชลบุรี ครบทั้ง 10 เขต คุณพิธาได้ปราศรัยปิดท้าย

ก่อนการปราศรัยนั้น นางสาวทานตะวัน ตัวตุลานนท์ และ แบม นางสาวอรวรรณ ภู่พงษ์ วัยรุ่นที่ถูกดำเนินคดีตามกฎหมายอาญา มาตรา 112 ได้วิ่งขึ้นมาบนเวที ชูป้ายกระดาษโพล ให้เลือกระหว่างการ "แก้ไข" หรือ "ยกเลิก" มาตรา 112 ปรากฏว่านายพิธาได้แปะสติกเกอร์ลงในช่อง "ยกเลิก" นายพิธาต้องการจะยกเลิกมาตรา 112 นะ แต่กลับกล่าวว่า ในฐานะพรรคก้าวไกล ตนติดสติกเกอร์ "ยกเลิก" แต่ต้องขอโทษตะวัน และแบม ที่ต้องขอ "แก้ไข" ก่อน เพราะการแก้ไขจะทำให้โอกาสที่กฎหมายนี้ได้รับการแก้ไขในสภาฯ เป็นไปได้มากกว่า และหากยังมีภาคประชาชนเช่นกลุ่มคณะราษฎร เสนอร่างกฎหมายเพื่อยกเลิกมาตรา 112 พรรคก้าวไกลก็จะสนับสนุนเช่นกัน ก็คือว่าจุดประสงค์คือต้องการยกเลิกอยู่นั่นล่ะ แต่แกล้งมาชูประเด็นเรื่องของการ "แก้ไข" ก่อน เพื่ออำพราง


ท่านผู้ชมครับ นี่เป็นพฤติกรรมแรก เป็นพฤติกรรมที่ชี้ให้เห็นความกลับไปกลับมา อยู่ต่อหน้าคนกลุ่มหนึ่งพูดอย่างหนึ่ง อยู่ต่อหน้าคนอีกกลุ่ม ก็พูดอีกอย่าง ของคุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ซึ่งอายุแค่ 42 ปี หน้าตาดี บุคลิกดี การศึกษาสูง เรียนจบมาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด มีครอบครัวที่ดี อดีตสามีนักแสดงสาว ต่าย ชุติมา ทีปะนาถ แต่แม้ว่าจะมีหน้าตาดี ท่าดี ประวัติการศึกษาดี ทุกอย่างจะเริ่มไม่ดีเมื่อคุณพิธาเริ่มโกหก


ท่านผู้ชมครับ พุทธพจน์ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผมเคยพูดมาแล้ว ท่านผู้ชมจำได้หรือเปล่า "คนพูดเท็จที่ไม่ทำชั่วนั้นไม่มี"

นอกจากนี้ ยังมีกรณีจับโป๊ะอีก กรณีวันที่ 20 เมษายน 2566 เมื่อคุณพิธาไปให้สัมภาษณ์รายการ "เปิดอกคุย" ของนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา กรณีที่เดินทางกลับมาจากอเมริกาเมื่อปี 2549 เพื่อมางานศพพ่อตัวเอง คือคุณพงษ์ศักดิ์ ลิ้มเจริญรัตน์ คุณพิธาพูดอย่างน่าสงสารว่า ตอนพ่อเสียชีวิตนั้นเป็นช่วงรัฐประหารนายทักษิณ ชินวัตร ขณะนั้นตนเองเรียนหนังสืออยู่ที่เมืองบอสตัน ประเทศอเมริกา ได้นั่งเครื่องบินไทยคู่ฟ้ากลับมาไทย เพราะเป็นคณะทำงานของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกฯ แล้วโดนกักตัวที่กองทัพอากาศจนทำให้ไปงานศพพ่อไม่ทัน นอกจากนี้ ยังโดนอายัดบัญชี ทำให้ไม่มีเงินไปจัดงานศพ น่าสงสาร! คนเราทำไมโดนกลั่นแกล้งรังแกถึงขนาดนั้น


ท่านผู้ชมครับ เมื่อฟังอย่างนี้ แฟนคลับหรือติ่งนายพิธา ฟังแล้วน้ำตาไหลพราก สงสารจับใจ โกรธแค้น เกลียดชังคู่ต่อสู้ทางการเมืองของนายพิธา เขาเรียกว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว แต่เวรกรรมมีจริง หลังจากนั้นไม่นาน พิธาถูกจับได้ว่า เรื่องนี้นายพิธาเคยให้สัมภาษณ์กับแหม่ม สุริวิภา กุลตังวัฒนา ทางช่อง 9 อสมท เมื่อปี 2552 ตอนที่ยังไม่ได้เป็นนักการเมือง

คำที่ให้สัมภาษณ์ตอนนั้น กับที่พูดตอนนี้ เป็นหนังคนละม้วนกัน เพราะเมื่อปี 2552 นายพิธาบอกเล่าถึงเหตุการณ์การเดินทางกลับมางานศพของบิดา ว่า ในปี 2549 ตอนที่ผมเป็นนักศึกษาอยู่ เดินทางกลับมาจากอเมริกาเพื่อร่วมงานศพพ่อ หลังจากลงจากเครื่องที่กองทัพอากาศแล้ว ถูกกักตัวอยู่ประมาณ 4 - 5 ชั่วโมง แต่ก็ไปงานศพพ่อทัน


ท่านผู้ชมครับ ติ่งคุณพิธาครับ ปี 2552 คุณพิธาบอกว่าไปงานศพคุณพ่อทัน

งานนี้ก็เลยมีคนออกมาตั้งข้อสังเกต เปิดเผยข้อเท็จจริง ผมสรุปมาย่อๆ อย่างเช่น คุณนริศโรจน์ เฟื่องระบิล อดีตเอกอัครราชทูตไทย โพสต์เฟซบุ๊กตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับเที่ยวบินที่นายพิธาบินกลับ ท่านถามว่า มีการใช้เส้นสายอะไรหรือไม่ เพราะเที่ยวบินดังกล่าวเป็นเที่ยวบินไทยคู่ฟ้า เป็นเครื่องบินของรัฐบาล และเป็นเที่ยวบินนำคณะรัฐมนตรียุคนายทักษิณ ที่ไปประชุมสหประชาชาติที่นิวยอร์ก แต่ทำไมเจ้าตัวที่ไม่ได้มีตำแหน่งหรือบทบาทอะไรเลยถึงได้ร่วมบินกลับได้ เพราะเที่ยวบินนี้เป็นเที่ยวบินพิเศษที่รัฐบาลใช้ภาษีประชาชนเช่าเหมาลำไป การที่จะเอาใครกลับมาด้วยต้องมีเหตุผลและมีคนที่สำคัญรับรองอนุญาตให้ขึ้นเครื่องกลับมาได้


ท่านทูตนริศโรจน์ บอกว่า ตั้งคำถามเพราะเห็นว่าคุณอาของนายพิธาก็คือนายผดุง ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นคนสนิทของนายทักษิณ ถึงได้มีอภิสิทธิ์โดยสารเครื่องบินเที่ยวพิเศษนี้กลับไทย อ้าว ไหนว่าไม่ชอบความเหลื่อมล้ำ ไม่ชอบการใช้เส้น ไม่ชอบการจะเป็นอภิสิทธิ์ชน

ข้อที่สอง คุณปานปรีย์ พหิทธานุกร ที่ปรึกษาคณะกรรมการเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย ในฐานะอดีตผู้แทนการค้าสมัยรัฐบาลนายทักษิณ และหัวหน้าคณะที่นำข้าราชการนำเครื่องบินกลับตอนมาถึงเมืองไทย ให้สัมภาษณ์ว่า กลับมาถึงตอนนั้นไม่มีการควบคุมตัว เจ้าหน้าที่สอบถามตามปกติ แล้วปล่อยกลับบ้านทุกคน ตนเองเป็นหัวหน้าคณะนำข้าราชการกลับนั้น ทราบแต่เพียงว่านายพิธานั้นเป็นหลานชายของนายผดุง ลิ้่มเจริญรัตน์ ซึ่งได้รับการฝากฝังให้ขึ้นเครื่องบินมาด้วย แต่ไม่ทราบว่ามีตำแหน่งใดๆ ในรัฐบาลชุดทักษิณ


ข้อที่สาม พล.อ.ท.วัชระ ฤทธาคนี หรือ เสธ.นิด อดีตนายทหารนักบินกองทัพอากาศ เป็นเพื่อนรุ่นพี่ สนิทสนมกับคุณพงษ์ศักดิฤ์ ลิ้มเจริญรัตน์ พ่อนายพิธา ได้โพสต์ข้อความว่า ที่นายพิธาพูดนั้นเป็นไปไม่ได้ เพราะว่า หนึ่ง ถูกควบคุมตัวที่กองทัพอากาศดอนเมืองจนมางานศพไม่ทัน แท้จริงแล้วเขาถูกกักตัวที่กองทัพอากาศ เพราะวันนั้น คมช. ยึดอำนาจแล้ว และตัวเขาเองก็ได้ให้สัมภาษณ์ครั้งแรก 2552 ว่าถูกกักตัวเพียง 4 - 5 ชั่วโมงเท่านั้น เพราะว่าเหตุการณ์นั้นกำลังตึงเครียด นายพิธากุเรื่องเป็นดรามาว่าต้องวิ่งหาเงินทำศพพ่อ ไร้สาระจริง คุณพงษ์ศักดิ์เป็นนักธุรกิจ ฐานะมหาเศรษฐี ตระกูลนั้นร่ำรวย เป็นผู้ผูกขาดการนำเชือกมะนิลาเข้าประเทศไทยแต่ผู้เดียว สมัยสงครามเอเชียบูรพา ในห้างสำเพ็ง ก่อนที่คุณพงษ์ศักดิ์จะเสียชีวิต คุณพงษ์ศักดิ์บริหารกิจการกว่าสิบกว่าบริษัท และ คสช. ไม่เคยควบคุมการเงินของตระกูลนี้เลย


เสธ.นิด ท่านบอกว่า ผมต้องรู้ครับ เพราะลุงคุณพิธามีโยงใยกับเพื่อนทหารหลายคน และคงต้องแจ้งให้พวกเราทราบ และบุคคลในตระกูลนี้ไม่มีใครถูก คสช. ควบคุมตัวแม้แต่นายผดุงก็ตาม

ข้อที่สี่ พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม สมาชิกวุฒิสภา อดีตหัวหน้าคณะสำนักงานเลขาธิการ คมช. ที่ พล.อ.วินัย ภัททิยกุล อดีตเลขาธิการ คมช. กล่าวยืนยันว่า ในฐานะที่ร่วมกับ คมช. ในเวลานั้น ช่วง คมช. อยู่ในอำนาจ ไม่เคยมีการออกคำสั่งให้มีการอายัดทรัพย์สินของบุคคลใดแม้แต่คนเดียว เพราะ คมช. ยุค 2549 ไม่ได้มีอำนาจหรือใช้อำนาจเหมือนยุครัฐประหาร 2557 ที่มีการอายัดทรัพย์สิน ส่วนการอายัดทรัพย์สินในปี 2549 นั้น เป็นการดำเนินการโดยคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.)


พอโดนจับโป๊ะว่าพูดสองครั้งไม่เหมือนกัน คุณพิธาออกมาแก้ตัวว่า ที่พูดสองครั้งนั้นไม่ได้ขัดแย้งกัน เพราะมางานศพพ่อทันครึ่งหนึ่ง วันที่ 22 - 24 กันยายน และไม่ทันครึ่งหนึ่ง วันที่ 18 - 20 กันยายน

ท่านผู้ชมครับ ผมนี่ต้องยอมรับคุณพิธา นับถือเลย นักการเมืองหนุ่มภาพใสซื่อบริสุทธิ์คนนี้ จริงๆ มีทักษะในการพลิกลิ้นได้ยิ่งกว่านักการเมืองเต็มขั้น เหมือนกับว่าปูทางให้เป็นนักการเมืองออกมาเต็มที่ เอาดีเข้าตัวเอาชั่วให้คนอื่นได้อย่างแนบเนียน ก็คุณเดินทางมากับเครื่องบินรัฐบาลไทย กลับสู่ประเทศไทย หลังการรัฐประหารวันที่ 21 กันยายน 2549 งานศพมันเริ่ม 18 กันยายน 2549 มันจะไปทันได้อย่างไรล่ะ แล้วไม่ได้เกี่ยวข้องกับการควบคุมตัว 4 - 5 ชั่วโมงเลย โอ้โห โกหกอย่างหน้าด้านๆ


นอกจากนี้ ประเด็นที่นายพิธาอ้างว่าโดนอายัดบัญชี ทำให้ไม่มีเงินไปจัดงานศพ ก็เลยเงียบ ไม่ยอมพูด อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าการให้สัมภาษณ์เรื่องนี้ของคุณพิธาในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง สุ่มเสี่ยงมากครับว่าจะผิดกฎหมายเลือกตั้ง หากพบว่ามีการแต่งเรื่องขึ้นมาเพื่อสร้างความเห็นอกเห็นใจ ติ่งของนายพิธานั้นน้ำตาไหลพราก โอดครวญ บางคนทนไม่ไหวถึงกับร้องห่มร้องไห้ น่าสงสารจังเลย ต้องเลือกพรรคก้าวไกล เอาทั้งพ่อ ทั้งแม่ ทั้งทุกคนในโคตรเหง้าตระกูลมาเลือกพรรคก้าวไกล แล้วไปใส่ร้ายความมั่นคงหรือทหารว่าตนเองเป็นผู้ถูกกระทำเพื่อสร้างความนิยมพรรคของตัวเองหรือเปล่า

คุณพิธาครับ เรื่องนี้เป็นข้อห้ามอย่างชัดเจนตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. 2561 มาตรา 73 (5) ที่ระบุไว้อย่างชัดเจนว่าห้ามพรรคการเมืองหาเสียงโดยวิธีการหลอกลวง ใส่ร้ายด้วยความเท็จ หรือจูงใจให้เข้าใจในคะแนนนิยมตัวเองหรือพรรคการเมืองที่ผิดไป


แต่เรื่องนี้คุณพิธษสบายใจได้ เพราะว่าคุณเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ได้เข้ายื่นหลักฐานขอให้ กกต. ตรวจสอบกรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ถึงการร่วมงานศพของพ่อในช่วงรัฐประหารเมื่อปี 2549 ว่าเข้าข่ายการกระทำผิดตามมาตรา 73 (5) ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง หรือไม่

เอาล่ะ มาจับโกหกอีกเรื่องหนึ่ง กลับกลอก ตอหลดตอแหลในเรื่องกัญชา วันที่ 4 พฤษภาคม 2566 นายพิธาไปพูดกับนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ขณะหาเสียงที่ตลาดนกฮูก จังหวัดนนทบุรี ถึงจุดยืนเกี่ยวกับประเด็นกัญชา พิธาพูดอย่างนี้ครับ ติ่งคุณพิธาฟังให้ดีๆ "ไม่เอากัญชาเสรี ไม่เอากัญชาเสรีสุดโต่ง ไม่เอากัญชาเสรีสุญญากาศ เอากัญชาให้กลับไปเป็นยาเสพติด แล้วควบคุมให้ประโยชน์มากกว่าโทษ" ชัดพอไหมครับ นี่คือสิ่งที่พิธาพูดกับชูวิทย์ เอาใจชูวิทย์


ชูวิทย์ก็บอกว่า คุณพิธาครับ ผมสนับสนุนพรรคก้าวไกล ผีกับโลงคุยกันเลยสองคนนี้ ส่วนพิธากล่าวต่อ พรรคอื่นพูดแล้วทำ พรรคนี้ทำแล้วพูด พรรคก้าวไกลมีการอภิปรายในรัฐสภาแล้วเรื่องกัญชาเสรี กัญชาสุญญากาศไปแล้ว ปลดล็อกออกจากยาเสพติดก่อน พ.ร.บ. ยังไม่เสร็จ แต่นั่นล่ะครับ คุณพิธา คุณเป็นหัวหน้าพรรคก้าวไกล พูดสองครั้งหนังคนละม้วนอีก เพราะถ้าย้อนกลับไปในการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว เมื่อ 4 ปีก่อน คุณจำได้หรือเปล่าว่าคุณพูดอะไรเอาไว้ ถ้าจำไม่ได้ผมจะทบทวนความทรงจำให้คุณฟัง เผื่อมันจะกระตุกต่อม กระตุกคุณธรรม จริยธรรม กระตุกหิริโอตัปปะที่ไม่ได้เจือปนด้วยอคติ ความหลงตัวเอง ความอยากเอาชนะคะคานทางการเมืองของคุณได้บ้าง

คุณพิธาครับ 23 กุมภาพันธ์ 2562 คุณปราศรัยนโยบายกัญชาในการปิคนิคของอนาคตใหม่ ในสวนเบญจกิติ มีคลิปวิดีโอเผยแพร่ในเฟซบุ๊กของคุณณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2562 เนื้อหาคำปราศรัยของคุณดังกล่าวพอสรุปได้ดังนี้


อันดับแรกเราต้องคิดก่อนว่ากัญชาไม่ใช่ยาเสพติดอีกต่อไป เวลาเราพูดถึงเรื่องนโยบายยาเสพติด กัญชาไม่ใช่ส่วนหนึ่งของยาเสพติด ประเทศไทยต้องเป็นหนึ่งในห้าผู้นำเกี่ยวกับกัญชา มีออสเตรเลีย แคนาดา อเมริกา เนเธอร์แลนด์ อิสราเอล ก็ต้องมีไทยอยู่ในนั้นด้วย เพราะกัญชาไทยดีที่สุดในโลกแน่นอนในเรื่องของศักยภาพ คุณพิธา นี่คุณพูดเองนะ เรามีความจำเป็นต้องบริหารมันให้ถูกต้อง เมื่อปลายทางเราคิดไว้แล้วเราต้องเป็นผู้นำในเอเชีย จะเป็นหนึ่งในห้าของโลก ต้องย้อนกลับมาดูการแก้ปัญหาของเรา ฝั่งแรกคือผู้ป่วยที่เป็นโรคลมชัก ที่เป็นโรคอัลไซเมอร์ ที่เป็นโรคพาร์กินสัน โรคไต คนที่อาจจะเจ็บป่วยจากโรคมะเร็ง ผู้ป่วยเหล่านี้จำเป็นต้องอยากหาวิธีรักษาทางเลือกมากกว่าแพทย์แผนปัจจุบัน

นี่คือสิ่งแรก (คุณพิธาพูดเองนะ) เราจะต้องเข้าไปแก้ให้เร็วที่สุด เพราะเรื่องความเจ็บปวด เรื่องของชีวิต เรื่องของศีลธรรม บางทีมันสำคัญกว่ากฎหมาย มีความจำเป็นต้องเข้าไปกระจายโอกาสเรื่องนี้ คุณพิธาครับ ท่านผู้ชมครับ ติ่งคุณพิธาครับ ผมย้ำนะว่า คุณพิธา วันนั้นคุณพูดเองว่าศีลธรรมสำคัญกว่ากฎหมาย และคุณก็หาเสียงเอาเลยกับคนที่มีความต้องการใช้กัญชาเพื่อรักษา

นอกจากนี้ คุณยังเล่าว่าคุณเดินสายไปเจอแม่ผู้ป่วยลมชักที่ต้องลักลอบสั่งน้ำมัน CBD จากอเมริกาขวดละสี่พันกว่าบาท มารักษาลูก ยิ่งกว่านั้นคุณยังเปิดเผยว่าตัวคุณเองเป็นโรคลมชัก และคุณก็ใช้น้ำมันกัญชา CBD รักษาเหมือนกัน คุณพิธาครับ ท่านผู้ชมครับ ติ่งคุณพิธาครับ คุณพิธาก็ใช้น้ำมันกัญชาในการรักษาเหมือนกัน

คุณพิธาพูดอย่างนี้ครับ ตอนผมอยู่อเมริกา เรื่องการที่มันเป็นสันทนาการไม่ใช่เป็นเรื่องน่ากลัวเลย เพราะเขากำหนดไว้หมดแล้วว่า 1 จ๊อย เท่ากับ 1 ออนซ์ 30 กรัม อายุต้อง 21 ปีขึ้นไป ห้ามขับรถ ห้ามสูบในที่สาธารณะ ต้องอยู่ในพื้นที่ที่เป็นที่จำกัดของตัวเอง เพราะฉะนั้นถามว่าถึงสันทนาการไหม อาจจะเร็วเกินไปที่จะคิดถึงตรงนั้น แต่ผมคิดว่าในระยะกลางเราต้องมีระบบ Sandbox ที่ใช้ประโยชน์ ทำให้กลายเป็น Medical Hub ให้กลายเป็น Tourism Hub แล้วให้ดูว่าในบริบทไทยกัญชาสันทนาการเหมาะสมหรือไม่ ใช้ตรงนั้นเป็นตัวศึกษา จะได้ไม่ต้องมาโต้แย้งกันในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น

ประเด็นครับ คุณพิธา คุณจำได้หรือเปล่า คุณเคยพูดแบบนี้ หรือว่าเวลาผ่านไปแค่สี่ปี คนอายุสี่สิบกว่าอย่างคุณกลับกลายเป็นอัลไซเมอร์ไปแล้ว คุณลืมไปหมดแล้ว นี่ขนาดคุณยังไม่ได้เป็นรัฐบาล ยังไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ความจำของคุณยังโคตรสั้นแบบนี้ มาตอนนี้คุณบอกว่าจะเอากัญชากลับไปเป็นยาเสพติด คุณอายตัวเองบ้างหรือเปล่า คุณอายหรือเปล่า คุณพิธา


ล่าสุด นายประสิทธิ์ชัย แกนนำเครือข่ายกัญชา ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก ประสิทธิ์ชัย หนูนวล ระบุข้อความว่า "พิธา หัวหน้าพรรคก้าวไกล เมื่อไหร่คุณจะพูดเรื่องกัญชาให้ตรงกันเสียที คนที่เป็นนักประชาธิปไตยต้องพูดความจริงและพูดให้ตรงกันในทุกวาระ ไม่ใช่พูดตอนนี้อย่างหนึ่ง พูดตอนอื่นก็พูดอีกอย่างหนึ่ง มันไม่ใช่ลักษณะของผู้นำ

ผมเข้าใจว่า พรรคก้าวไกลมีกระแสดีเหตุเพราะมีความชัดเจน และคนรุ่นใหม่ชอบความชัดเจน

ผมเจ็บปวดที่สุดวันที่พรรคก้าวไกล ยื่นฟ้องศาลให้กัญชากลับไปสู่ยาเสพติด ขอย้ำว่า มันคือการฟ้องศาล พรรคก้าวไกลไม่ได้ทำแบบพรรคเพื่อไทย ประชาธิปัตย์ หรือประชาชาติ ที่แสดงความเห็นกัญชาในเชิงนโยบายของพรรค แต่พรรคก้าวไกลเชื่อมั่นยิ่งกว่าว่ากัญชาต้องเป็นยาเสพติด นั่นคือการดำเนินการมากกว่าพรรคอื่น คือ ดำเนินการฟ้องศาลให้เป็นยาเสพติด นี่คือจุดยืนของพรรคก้าวไกล"

ประชาชน 3 - 4 ล้านคน ที่ต้องพึ่งกัญชา ท่านจำเอาไว้นะครับ ให้จำเอาไว้ ถ้าท่านเลือกพรรคก้าวไกล เท่ากับท่านตบหน้าตัวเอง ไม่ว่าท่านจะเป็นคนอายุน้อยหรืออายุมาก

คุณประสิทธิ์ชัย พูดต่อว่า "ทำไมภาคประชาชนถึงเจ็บปวดกับพรรคก้าวไกลกรณีกัญชา

ผมเป็นกรรมาธิการ พ.ร.บ.กัญชา ในนามพรรคก้าวไกล ร่วมกับคุณเท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร ส.ส.พรรคก้าวไกล เหตุที่ผมได้เป็น กมธ.ในนามพรรคก้าวไกล ทั้งที่ไม่ได้เป็น ส.ส. ก็เพราะว่าภาคประชาชนได้ยื่นร่าง พ.ร.บ.กัญชา ให้พรรคก้าวไกลรับไปดำเนินการต่อในขั้นตอนการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ตรงนี้แหละครับ คือประเด็นของความเจ็บปวด ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นลองนึกตามนะครับ หากมีพรรคการเมืองพรรคหนึ่งที่ประกาศอยู่เคียงข้างประชาชนมาตลอด และยินดียิ่งที่ภาคประชาชนจัดทำร่าง พ.ร.บ.กัญชา ยื่นให้กับพรรค เพราะพรรคเห็นด้วยกับหลักการที่ภาคประชาชนนำเสนอ พรรคจึงอาสานำไปดำเนินการต่อ

อยู่มาวันหนึ่ง พรรคก้าวไกลประกาศว่าจะเอากัญชากลับสู่ยาเสพติด และไม่ได้ประกาศเป็นแค่นโยบายพรรค แต่ยังเอากัญชาไปฟ้องศาลให้กลับไปสู่ยาเสพติดอีกด้วย คำถามที่สำคัญคือ หลักการ พ.ร.บ.กัญชา ของประชาชนถูกพรรคหยิบทิ้งไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ตลอดระยะเวลาของการทำหน้าที่ของ กมธ.พ.ร.บ.กัญชา ทำไมพรรคก้าวไกลไม่นำเสนออะไรเลยว่าค้นพบข้อเท็จจริงใหม่ หรือพรรคมีมติใหม่ ต้องเอากัญชากลับสู่ยาเสพติด กี่เดือนที่ทำงานกันมา แต่พรรคไม่พูดเรื่องนี้เลย แถมยังมีข้อเสนอที่ก้าวหน้าไปอีก"

คุณพิธาครับ ผมขอเตือนคุณ ณ วันนี้เลย อยากให้คุณและติ่งที่เชียร์คุณ จดจำคำเตือนของผมแปะไว้ที่ข้างฝา คุณจะโกหกพ่อคุณ แม่คุณ พี่คุณ น้องคุณ ลูกเมียคุณได้ กี่เรื่อง เรื่องของคุณ แต่อย่าโกหกประชาชน คุณพิธา นี่คุณโกหกประชาชน แล้วคุณจะไปเป็นหัวหน้าพรรคการเมือง ผมหมดปัญญาและหมดหวังกับประชาชนคนไทยในสังคมไทยที่ด้อยปัญญาแบบนี้ ผมเข้าใจว่าโค้งสุดท้ายการเลือกตั้ง นโยบายอะไรก็ไม่สำคัญแล้ว เหลือแต่วาทกรรมว่าใครจะจับใจคนได้มากกว่ากัน ก็เลยไม่แปลกใจที่มีคอนเทนต์ประเภทนี้ออกมา ไม่รวมที่ระยะนี้อดีตภรรยาคุณ ชุติมา ทีปะนาถ หรือคุณต่าย นักแสดง อดีตภรรยาคุณพิธา ออกมาพยายามสร้างภาพให้คุณ โพสต์ภาพครอบครัว พ่อแม่ลูก ลงโซเชียลถี่ๆ เป็นทำนองให้กำลังใจ ให้อภัยคุณพิธาในเรื่องเก่าๆ ไปหมดแล้ว


ณ วันนี้ กระแสของคุณพิธา ความนิยมของคุณพิธา พรรคก้าวไกล สูงมาก คุณพิธาเขาไม่สนใจอะไรแล้ว ต่อให้คุณพิธาโกหกทุกๆ วัน ทำระยำตำบอนอย่างไร ติ่งคุณพิธาที่เชื่อคุณพิธา ก็ยังเชียร์คุณอยู่ อันนี้ผมเข้าใจ และผมต้องอุเบกเขา คือวางเฉย ปล่อยไปตามกรรม ตามธรรมชาติไป ซึ่งท่านผู้ชมเชื่อผมสิครับ กรรมมันตามทัน เชื่อผมสิ เหมือนคุณชูวิทย์ วันนี้กรรมก็ตามทันแล้ว หลายๆ เรื่อง คุณจะโกหกใครโกหกได้ แต่คุณโกหกประชาชน กรรมนี้ใหญ่หลวงมาก

“พิธา - พรรคก้าวไกล” จิ๊กซอว์ตัวใหม่ Hybrid Warfare ของมะกันในอินโด-แปซิฟิก

ท่านผู้ชมครับ ตอนนี้ผมกำลังจะพูดถึงเรื่องคุณพิธา และพรรคก้าวไกล เป็นจิ๊กซอว์ตัวใหม่ของสงครามพันทางของประเทศทางตะวันตก นำโดยประเทศสหรัฐอเมริกา ในยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก

ผมคิดว่าการโกหกและพูดจากลับกลอกของคุณพิธา ก็คือความคิดและสิ่งที่คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล รวมไปถึงแกนนำคณะก้าวหน้า อดีตแกนนำพรรคอนาคตใหม่ ไม่ว่าจะเป็นคุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ซึ่งเป็นเจ้าของพรรค คุณพิธาเป็นเพียงลูกน้องคุณธนาธรเท่านั้นเอง คุณปิยบุตร แสงกนกกุล และคุณช่อ พรรณิการ์ วานิช

สิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้สอดคล้องกับความพยายามในการยกเลิกมาตรา 112 ซึ่งเขาบอกชัด สัญญากับเด็กสามนิ้วไว้ว่า เขาชูธงการแก้ไขไว้ก่อน ถ้าแก้ไขไม่ได้ เขาจะเคลื่อนไหวให้ยกเลิกไปเลย

ท่านผู้ชมบางท่านยังพอจำได้ว่าเมื่อวันศุกร์ที่ 20 ตุลาคม 2564 หรือประมาณสักปีครึ่งที่ผ่านมา ในรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ตอนที่ 109 นอกจากการเคลื่อนไหวเรื่องการยกเลิกกฎหมายอาญามาตรา 112 แล้ว ผมยังกล่าวเตือนคุณพิธาในเรื่องของความไร้เดียงสาในฐานะ ส.ส. รวมทั้งการเป็นหัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้ระมัดระวังในคำพูดที่เกี่ยวโยงกับความสัมพันธ์ของไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งไปๆ มาๆ มันจะกลายเป็นการชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้าน


ตอนนั้นคุณพิธาพูดไว้อย่างนี้ครับ เขาเขียนข้อความในเฟซบุ๊ก แสดงความเห็นถึงบทบาททางการต่างประเทศของไทยต่อประเด็นการสังหารประชาชนและการรัฐประหารในพม่า เขาระบุว่า รัฐบาลไร้จุดยืน ไร้น้ำหนัก ไร้ราคาในเรื่องเมียนมา หากก้าวไกลได้เป็นรัฐบาล เราจะทวงคืนศักดิ์ศรีทางการเมืองระหว่างประเทศของไทย

ในวันที่ 21 ตุลาคม 2564 คุณพิธาบอกว่า เขาได้ร่วมเวทีแสดงวิสัยทัศน์ด้านการต่างประเทศของไทยในงานเสวนา "ปรับยุทธศาสตร์ เพิ่มพลังประเทศไทยในเวทีโลก" โดยสรุปแล้ว คุณพิธาพูดว่า วิธีความคิดทางการเมืองไทยที่เชื่อว่าเราจะมีที่ยืนในเวทีโลก เราต้องประนีประนอมโอนอ่อนตามกับทุกคน แต่พอประเทศของเราไม่มีหลักการ คำพูดและการกระทำของไทยจึงไม่มีจุดยืน ไม่มีน้ำหนัก ไม่มีราคา

คุณพิธาพูดต่อไปว่า ตัวอย่างเช่น การแสดงจุดยืนของไทยต่อการที่อาเซียนจะไม่เชิญผู้นำเมียนมาเข้าประชุมผู้นำอาเซียน ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไทย ได้กล่าวว่า ไม่มีปัญหา แต่ก็เป็นเรื่องที่ไม่เคยทำมาก่อน สวนทางกับ 5 ชาติอาเซียน ได้แก่ บรูไน สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ที่ยืนยันว่าไม่ต้องการให้ผู้นำเมียนมาเข้ามาประชุม เนื่องจากฉันทามติ 5 ข้อในการหาทางออกจากวิกฤตความรุนแรงในเมียนมาไม่มีความคืบหน้า


คุณพิธาพูดไปเรื่อยๆ แล้วก็สรุปตบท้ายว่า ต้องไม่มีอีกแล้วที่ประเทศไทยที่ไม่แสดงจุดยืนอะไรเลย ตอนที่อาเซียนมีมติไม่เชิญผู้นำทหารเมียนมาเข้ามาประชุม เพราะไม่ทำตามฉันทามติ 5 ข้อ ต้องไม่มีอีกแล้ว ประเทศไทยที่ไม่ยอมโหวตในมติ Non binding หรือมติที่ไม่ได้มีความผูกพันทางกฎหมายด้วยซ้ำของสมัชชายูเอ็น เพื่อป้องกันการไหลเวียนของอาวุธเข้าเมียนมา ต้องไม่มีอีกแล้วครับ ประเทศไทยที่นายกรัฐมนตรีแอบไปพบรัฐมนตรีต่างประเทศที่เพิ่งขึ้นจากการรัฐประหารที่สนามบิน

ประเด็นเรื่องนี้ ท่านผู้ชมครับ ในรายการที่ผมออกไปวันนั้น ผมเตือนทั้งคุณพิธา และคุณธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ออกมาตอบโต้คุณพิธาไปด้วยว่า อย่าอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์ เพราะท่าทีคนทั้งสองฝ่าย ทั้งคุณพิธา และรัฐบาล ล้วนแต่ผลักให้ไทยก้าวไปอยู่ในจุดสุ่มเสี่ยงว่าจะลากไทยเข้าสู่สมรภูมิความขัดแย้ง


สำหรับฝั่้งของคุณพิธานั้น ที่ผมตำหนิไป วิจารณ์ไป ก็คือ เรียกร้องให้เปิดประตูอ้าซ่า ให้ต่างชาติเข้ามาปู้ยี่ปู้ยำทำอะไรกับไทยก็ได้เลย ให้รัฐบาลไทยร่วมกดดันรัฐบาลพม่า ให้ NGO ฝรั่งเข้ามาครอบงำ ดำเนินนโยบายแทรกแซงพม่าได้เต็มที่ ก็คือชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้าน คุณพิธายินดีที่จะให้ใช้ประเทศไทยเป็นดินแดนที่ฝรั่งเอามาใช้เพื่อมารุกรานประเทศเพื่อนบ้านของเรา

ส่วนฝั่งรัฐบาล ซึ่งคุณธนกรออกมาเป็นกระบอกเสียง ก็มุบมิบ ให้อเมริกาไปตั้งกงสุลที่ใหญ่โตมโหฬาร มูลค่าหมื่นล้าน ที่จังหวัดเชียงใหม่


ให้รัฐบาลไทยปล่อยให้มีการขนอาวุธ ขนหน่วยสืบราชการลับ เข้าไปปฏิบัติการฝึกอาวุธฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหารพม่าแบบสบายใจเฉิบ ใช้พื้นที่อย่างเชียงใหม่เป็นศูนย์กลางในการบัญชาการ และกระจายหน่วยงานต่างๆ ออกไปช่วยเหลือชนกลุ่มน้อยที่ตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์และสู้รบกับทหารในรัฐบาลพม่า ไม่ว่าจะเป็นกะเหรี่ยง หรือกองกำลังพิทักษ์ประชาชน ซึ่งเป็นกองกำลังติดอาวุธฝั่งของนางอองซาน ซูจี ที่ทางตะวันตกหนุนหลังอยู่ ผมเอารูปหลายๆ รูปให้ดูว่าได้มีการตั้งกองกำลังติดาวุธจริง


นอกจากนี้ ปีที่แล้ว เดือนพฤษภาคม ในช่วง 12 - 13 พฤษภาคม ปีที่แล้ว พอนายโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ กวักมือเรียกบรรดาผู้นำอาเซียนให้ไปประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา ลุงตู่ คือ พล.อ.ประยุทธ์ ก็รีบวิ่งแจ้นไปทันที การที่เรียกผู้นำอาเซียนไปโดยนายไบเดน ก็เพื่อที่ไบเดนจะได้เป่ากระหม่อมบอกว่าอเมริกายังทรงอิทธิพลกับภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก รวมทั้งมาตรการระยะยาวเพื่อรับมือความท้าทายจากจีนที่อเมริกาถือว่าเป็นคู่แข่งอันดับหนึ่งด้วย ซึ่งเวลาต่อมาได้มีหลักฐานอันเป็นประจักษ์ชัดว่าประเทศในภูมิภาค ในพื้นที่ที่มีความอ่อนไหวทางยุทธศาสตร์ พิสูจน์ได้ชัด เช่น ฮ่องกง ไต้หวัน ซินเจียง ทะเลจีนใต้ ลุ่มแม่น้ำโขง ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่ถูกแทรกซึมและแทรกแซงโดยอเมริกาทั้งหมด มีจุดประสงค์เพื่อปิดล้อมประเทศจีน


นอกจากนี้ ยังมีกรณีล่าสุดที่ประจักษ์ชัดถึงผลกระทบอันร้ายแรงของการแทรกแซงของอเมริกาและชาติตะวันตก ก็คือการปะทุขึ้นของสงครามยูเครนในเดือนกุมภาพันธ์ 2565 เพียงแค่สี่เดือน ภายหลังจากที่คุณพิธาโชว์วิสัยทัศน์ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ความอ่อนหัดทางการเมืองการต่างประเทศออกมา ด้วยการออกมาบอกว่าประเทศไทยต้องดำเนินนโยบายทางการทูตแบบยืนหลังตรง ด้วยการกดดันรัฐบาลพม่าตามชาติตะวันตก และถ้าพรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาล จะทวงคืนศักดิ์ศรีการต่างประเทศของไทย โดยจะทำการทูตแบบยืนหลังตรงในเวทีโลก สงครามยูเครนก็เลยปะทุขึ้นมาเป็นตัวอย่าง ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต ทั้งทหารและพลเรือน ไปแล้วหลายแสนคน จากข้อมูลของสหประชาชาติ ประชาชนยูเครน 20 เปอร์เซ็นต์ 8 ล้านคน ต้องหลบหนีออกไปนอกประเทศ นับถึงวันที่ 2 พฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา


นี่ไงล่ะครับท่านผู้ชม ตัวอย่างและผลลัพธ์ผู้นำประเทศที่ดำเนินนโยบายแบบยืนหลังตรง เหมือนที่คุณพิธา และพรรคก้าวไกล บอกว ไม่ต่างอะไรกับการดำเนินนโยบายของนายโวโลดิมีร์ เซเลนสกี กับพรรคผู้รับใช้ประชาชนของยูเครน กล่าวอีกนัยหนึ่ง พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ก็ไม่ได้ต่างกว่าเซเลนสกีเลยแม้แต่นิดเดียว อาจจะรวมไปถึงคุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ด้วย คนพวกนี้ก็คือตัวตายตัวแทนของเซเลนสกี ผู้นำที่โง่เขลาบัดซบของยูเครน ที่เปิดประตูบ้านให้หมาป่าอย่างเช่นอียู โดยการนำของหัวหน้าหมาป่า คืออเมริกา เข้ามาแล้วก็มาปะทะกับรัสเซีย เป็นผลทำให้ประชาชนทหารยูเครนตายไปหลายแสนคน ประชาชนต้องอพยพลี้ภัยไป


และนี่คือสิ่งที่คุณพิธา และพรรคก้าวไกล พยายามจะทำ เดินตามรอยของเซเลนสกี ผลลัพธ์พวกเราเห็นอยู่ชัด เชื่อว่าวันนี้ยูเครนกลายเป็นประเทศที่บ้านแตกสาแหรกขาด ประชาชนล้มตายเป็นใบไม้ร่วง ประเทศชาติล่มสลาย เศรษฐกิจล้มละลาย ประเทศกลายเป็นซากปรักหักพัง ไม่รู้ว่าอีกกี่สิบปีจึงจะสามารถพลิกฟื้นคืนได้

ผมเอาการ์ตูนของบัญชา คามิน ในวันจันทร์ที่ 1 พฤษภาคม ที่ผ่านมา รูปของคุณพิธาว่า "เลือกก้าวไกล ประเทศไทยเปลี่ยน ..." อีกข้างหนึ่งคือ โจ ไบเดน พูดต่อจากคุณพิธา ว่า "เป็นยูเครน"


ผมเคยเตือนคุณไปแล้วครับคุณพิธา แล้วผมจะขออนุญาตเตือนคุณอีก ผมไม่แน่ใจว่าคุณพิธาพูดไปคราวที่แล้ว แกล้งโง่หรือเปล่าที่พูดออกมาเรื่องพม่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกนะท่านผู้ชม หลายครั้งแล้ว ว่าไทยต้องแสดงจุดยืน ต้องเข้าแทรกแซงการเมืองในพม่า ผมอยากถามคุณพิธา และพรรคพวกคุณ รวมทั้งคุณธนาธร คุณปิยบุตร คุณช่อ พรรณิการ์ วานิช และสื่อมวลชน พิธีกรบางคนในรายการ Voice TV ผมอยากถามว่า พวกคุณไปเสือกอะไรกับการเมืองภายในของเขา เพราะแค่ปัญหาภายในประเทศไทยยังแก้ไม่ได้เลย แค่ม็อบสามนิ้ว หรือม็อบทะลุฟ้า ม็อบทะลุแก๊ส ซึ่งโยงไปโยงมาถึงพวกคุณ ถึงจะไม่ใช่ผู้สนับสนุนโดยตรง แต่โดยที่ไม่มีหลักฐานโยงถึง แต่ว่าทีมงานของพวกคุณก็เป็นทีมงานที่ดำเนินการช่วยเหลือทางกฎหมาย

ล่าสุด พวกคุณเข้าไปยื่นหนังสือต่อประธานศาลฎีกา ว่า ส.ส. พรรคก้าวไกล พร้อมเสนอเป็นตัวประกันให้กับผู้ต้องหาในคดี 112

ท่านผู้ชมครับ 112 ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรกับประชาชนคนไทย ตราบใดถ้าคุณไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการวิพากษ์วิจารณ์ หรือดูหมิ่น เหยียดหยามองค์พระมหากษัตริย์ คุณจะยกเลิก 112 ก็เพียงเพราะคุณต้องการที่จะล้มสถาบันกษัตริย์ แต่กระแสล้มสถาบันกษัตริย์นั้นคุณฝืนไม่ได้ เพราะว่ามีฝ่ายต่อต้านแรงมาก คุณก็เลยเริ่มเปลี่ยน พลิกลิ้นมาเป็นว่า ขอให้มีการแก้ไขกฎหมาย แต่ไม่ยอมแก้ไข คุณจะขอยกเลิก จริงๆ แล้วนั่นคือการอำพรางความชั่วที่คุณต้องการจะทำ

ท่านผู้ชมครับ การเมืองระหว่างประเทศซึ่งไม่ได้มีแค่พม่า คุณพิธายังมีทั้งฮ่องกง ไต้หวัน ซินเจียง ทิเบต ปัญหาข้อพิพาทของจีนใต้ ม็อบอิหร่าน ที่พรรคก้าวไกลของคุณพิธา กับคณะก้าวหน้าของคุณธนาธร พยายามทำตัวให้เท่ ชอบอ้างนักว่ายืนอยู่ข้างประชาธิปไตย ประชาธิปไตยของอเมริกา คุณไปดูได้เลย อเมริกาใกล้เจ๊งเต็มแก่แล้ว ประชากรที่ไร้บ้านมากมายมหาศาล อาหารการกินก็แพง นายทุนวอลล์สตรีทรวยเอาๆ ธนาคารระดับภูมิภาคเจ๊งเอาๆ ไม่มีสิทธิเสรีภาพอย่างที่อ้างอิง


ผมเอารูปให้ดูนะ รูปเก่าๆ พิสูจน์ยืนยันชัดเจนว่าคุณธนาธรนั้น ก็คือเอเยนต์ หรือเป็นอาวุธของทางตะวันตก นำโดยอเมริกา ท่านผู้ชมจำรูปนี้ได้ไหม คุณธนาธร พบกับโจชัว หว่อง แกนนำม็อบฮ่องกงต่อต้านรัฐบาลปักกิ่ง ตุลาคม 2562 ทำให้สถานทูตจีนต้องออกมาประท้วง แล้วก็รูปคุณพิธาออกแถลงการณ์ประณามรัฐบาลพม่าเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2565

ท่านผู้ชมลองสังเกตรูปนี้ดู ม็อบคณะราษฎรที่ทางบุคลากรพรรคก้าวไกลสนับสนุน คุณต้องเอามาต่อสู้ในเรื่อง 112 แต่คุณทะลึ่งโบกธงเรียกร้องเอกราชในฮ่องกง ไต้หวัน ทิเบต และเตอร์เกสถาน คือซินเจียง ในช่วงเดือนตุลาคม 2563 มันมาเกี่ยวข้องได้อย่างไร


จู่ๆ การประท้วงของฮ่องกง ไต้หวัน ทิเบต ซินเจียง ? ก็เพราะว่าพรรคก้าวไกล โดยผู้ที่อยู่เบื้องหลังพรรคก้าวไกล เจ้าของพรรคก้าวไกล คุณธนาธร หรือพวกคนรับใช้หัวหน้าหน้าพรรคตัวจริง ก็คือคุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นคนที่รับใช้ตะวันตกอย่างชัดเจน ปราศจากข้อสงสัยใดๆ ทั้งสิ้น พร้อมจะนำพาประเทศไทยไปอยู่ใต้การครอบงำของอเมริกา

ท่านผู้ชมจำได้ไหม ตอนนั้น ตอนที่ม็อบของประเทศไทย ม็อบสามนิ้ว ก็มีม็อบฮ่องกงแอบหนุนม็อบไทย เสร็จแล้วอิหร่าน ซึ่งไกลไปถึงตะวันออกกลาง มีปัญหาในประเทศที่ต้องต่อสู้กับผู้ต่อต้าน

ต้นกุมภาพันธ์ 2566 ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ทวีตสนับสนุนม็อบอิหร่านในการต่อต้านรัฐบาล ไม่ได้ทำเองนะ ตามการชี้นำของ Freedom House NGO ในการควบคุมของรัฐบาลวอชิงตัน ดี.ซี. จนทำให้สถานทูตอิหร่านต้องออกมาตอบโต้


คุณพิธาครับ คุณยอมรับความจริงเสียทีว่าในความเป็นจริงคุณคือลิ่วล้อ สุนัขรับใช้ เป็นแค่เครื่องมือของการครอบงำมหาอำนาจในโลก โดยยุทธศาสตร์แทรกแซงการเมืองในภูมิภาคนี้เท่านั้น จุดประสงค์หลักๆ ของมหาอำนาจที่เขาครอบงำพื้นภูมิภาคนี้ แล้วคุณไปทำตัวเป็นสุนัขรับใช้ คือการปิดล้อมจีนตามยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก

ผมจะเอาเบื้องหลังของคุณพิธามาเล่าให้ท่านผู้ชมฟัง จะได้ยืนยันในสิ่งที่ผมพูด คุณพิธายอมรับว่า ผมคือผลผลิตของระบบการศึกษาอเมริกัน จบมาจากฮาร์วาร์ด ทำงานร่วมกับราล์ฟ บอยซ์ อดีตทูตอเมริกันในไทย มานานแล้ว เดี๋ยวผมจะเล่าเบื้องหลังให้ฟัง คุณพิธา ผมก็ผลผลิตของการศึกษาอเมริกาเหมือนกัน ผมเรียนอเมริกาทั้งปริญญาตรี และปริญญาโท ร่วม 8 - 9 ปี มิหนำซ้ำยังทำงานอยู่ในอเมริกาอีกประมาณ 2 ปี เป็นผู้สื่อข่าวพิเศษของสำนักข่าว AP

ท่านผู้ชมครับ ทั้งนี้ทั้งนั้น ปัญหาพม่าไม่ใช่เรื่องเดียวที่คุณพิธาโชว์โง่ออกมา ต้นปีที่แล้ว คุณพิธาให้สัมภาษณ์กับทางสำนักข่าวทูเดย์ ในเครือเวิร์คพอยท์ เมื่อถูกถามในเรื่องความเห็นและแนวนโยบายการต่างประเทศของตัวเองในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคก้าวไกล คุณพิธายังโจมตีว่านโยบายปัจจุบันของไทยนั้นไม่มีกระดูกสันหลัง และเป็นนโยบายที่เรียกว่า "ไผ่ลู่ลม" มันจะมีได้อย่างไรล่ะครับ คุณจะยืนตรงได้อย่างไร ในเมื่อสิ่งที่คุณยืนตรง กระดูกสันหลังที่คุณใช้อยู่ พิงอยู่ ก็คือกระดูกสันหลังของสหรัฐอเมริกา คุณไม่มี ตัวคนที่ไม่มีกระดูกสันหลังคือตัวคุณ เพราะคุณไปพึ่งกระดูกสันหลังของประเทศทางตะวันตก


คุณพิธาพูดชัดเจนเป็นภาษาอังกฤษว่า ถ้าผมอยู่ในอำนาจ นโยบายต่างประเทศของผมคือ "ถ้าคุณไม่พูด คุณจะไม่มีตัวตน คุณไม่สามารถที่จะไม่มีกระดูกสันหลังได้ คุณต้องมีจุดยืนและพูดออกมา และจุดยืนของคุณนั้น คุณไม่ได้ขยายความ คือจุดยืนที่ตะวันตก (คืออเมริกา) เป็นผู้นำนั้น ยืนอย่างไร คุณก็ยืนอย่างนั้นเช่นกัน ใช่หรือเปล่า

ในรายการดังกล่าว คุณพิธายังยอมรับว่าตัวเองเป็นศิษย์เก่าอเมริกา เป็นผลิตผลทางการศึกษาอเมริกา ทำงานร่วมกับสหรัฐอเมริกาอย่างใกล้ชิดมาตั้งแต่สมัยนายราล์ฟ บอยซ์ เอกอัครราชทูตอเมริกาประจำประเทศไทยในช่วงปี 2547 - 2550 คุณพิธา บอกว่า ในช่วงที่ผ่านมารู้สึกถึงการขาดช่วงในบทบาทของอเมริกาในสมัยของประธานาธิบดีทรัมป์ ผมเป็นศิษย์เก่าของอเมริกา โอ๊ย! คุณพิธา ทำไมคุณโคตรภูมิใจ เป็นศิษย์เก่าอเมริกา แล้วยังไง! คุณเป็นศิษย์เก่าอเมริกาแล้วคุณเหนือกว่าชาวบ้านเขาหรืออย่างไร ผมก็เป็นศิษย์เก่า แต่ผมไม่เคยมาโม้ ผมกลับรู้สึกอับอายขายหน้าเสียด้วยซ้ำที่ผมดันไปเรียนอเมริกา


นี่คือคำพูดคุณพิธานะครับ "ผมเป็นผลผลิตของระบบการศึกษาอเมริกา ผมเคยทำงานมาตั้งแต่เอกอัครราชทูตราล์ฟ บอยซ์ เราคุยกันเรื่องการศึกษา เราคุยกันเรื่องเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม สำหรับนายราล์ฟ บอยซ์ นั้น ทูตคนนี้พูดได้หลายภาษา อังกฤษ เปอร์เชียน ฝรั่งเศส รวมทั้งภาษาไทยที่พูดคล่องมาก"

ท่านผู้ชมครับ ผมมีเบื้องหลังนายราล์ฟ บอยซ์ เพื่อพูดให้ท่านผู้ชมได้ฟัง และเป็นการให้การศึกษากับคุณพิธาด้วย

ผมจะบอกให้ว่า นายราล์ฟ บอยซ์ ช่วงที่ทักษิณ ชินวัตร กับพรรคไทยรักไทย อยู่นั้น เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย มีบทบาทในการชักจูงให้อเมริกาปรับเปลี่ยนนโยบายต่างประเทศโดยลดความสำคัญของสถาบันกษัตริย์ไทยลงมาอย่างมาก


ท่านผู้ชมครับ ข้อมูลนี้ผมกล้าพูดได้ เพราะผมอยู่ในเหตุการณ์ นายราล์ฟ บอยซ์ จะติดต่อคนในวงการทุกคน ไม่ว่าจะเป็นอานันท์ ปันยารชุน ไม่ว่าจะเป็นสุลักษ์ ศิวลักษณ์ นักวิชาการต่างๆ นายราล์ฟ บอยซ์ ทำตัวเป็นหัวหน้า CIA ของอเมริกาในเมืองไทย และเป็นคนที่พยายาม ที่เคลื่อนไหว และพยายามที่จะรายงานข่าวกลับไปทางอเมริกาว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 กำลังแย่ คะแนนนิยมตกต่ำมาก นี่คือฝีมือนายราล์ฟ บอยซ์ ผมจำได้ ผู้ใหญ่หลายๆ คนที่นายราล์ฟ บอยซ์ ไปคุยด้วย นายราล์ฟ บอยซ์ สืบราชการลับ แล้วก็แจ้งไป หรือพูดกับผู้ใหญ่หลายคนว่า ตอนนี้ประชาชนไม่ค่อยศรัทธาในพระเจ้าอยู่หัวเท่าไรนัก ท่านผู้ชมรู้หรือเปล่าว่าอะไรเกิดขึ้น ?

นายราล์ฟ บอยซ์ ติดต่อหมดทุกคน แม้กระทั่งคุณปีย์ มาลากุล ซึ่งเป็นตัวประสานงานระหว่างสำนักพระราชวังกับกลุ่มต่างๆ นายราล์ฟ บอยซ์ เชื่อมั่นเลยว่าสถาบันกษัตริย์จะเริ่มเสื่อมถอยลงไปตั้งแต่รัชกาลที่ 9 เป็นต้นไป แล้วท่านผู้ชมรู้ไหม อะไรเปลี่ยนแปลง ? ท่านผู้ชมจำได้ไหม วันเฉลิมพระชนมพรรษาปีหนึ่ง ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ มกุฎราชกุมาร สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ออกสีหบัญชรที่หน้าพระที่นั่งอนันตสมาคม ท่านผู้ชมจำได้ไหม จำได้สิ ผมยังไปเลย ผมใส่เสื้อเหลือง คนแน่นไปหมดเลยทั้งหน้าพระที่นั่งอนันตฯ ยาวไปจนถึงสนามหลวง


นายราล์ฟ บอยซ์ เห็นแล้วประสาทรับประทานเลย ตกใจ นึกไม่ถึงว่าคนรักพระเจ้าอยู่หัว มีความรักอย่างล้นหลาม แล้วเสื้อเหลืองออกมาเต็มบ้านเต็มเมือง ทุกจังหวัด นายราล์ฟ บอยซ์ ประสาทแดก (ขอโทษนะครับต้องใช้ภาษาที่หยาบหน่อย) เฮ้ย กูเข้าใจผิดแล้ว ทีท่าของนายราล์ฟ บอยซ์ ก็เลยเปลี่ยนไป นี่ไง นายราล์ฟ บอยซ์ ที่คุณพิธาบอกว่าสนิทด้วย นี่คือเบื้องหลัง

กลับมาถึงเรื่องมุมมองด้านการต่างประเทศของคุณพิธากันต่อ คุณพิธายังบอกด้วยว่าความฝันสูงสุดของตัวคุณเองคือการเป็นเลขาธิการสหประชาชาติ สารภาพว่าจากการคลุกคลีของตนจากเพื่อนฝูงทำงานให้สหประชาชาติ ออกซ์แฟม (OXFAM) องค์การการกุศลในอังกฤษ Amnesty International, ICCPR และองค์การโลกบาลอื่นๆ ท่านผู้ชมครับ คุณพิธาไม่รู้หรอก ที่เอ่ยชื่อแต่ละชื่อด้วยความภูมิใจ ไอ้โลกบาลต่างๆ ที่คุณพูดถึง ไม่ว่าจะเป็น OXFAM ไม่ว่าจะเป็น Amnesty International โดยเฉพาะ Amnesty International หรือ ICCPR องค์การโลกบาลพวกนี้มันคือตัวแทนอิทธิพลของตะวันตก สหราชอาณาจักร อังกฤษ และอเมริกา

Amnesty นี่คือตัวแสบเลย แล้วมาตั้งสาขาในประเทศไทย Amnesty International ไม่เคยรายงานความชั่วร้ายของประเทศมัน แต่มันจะใช้สูตรสำเร็จ ก็คือ Democracy ประชาธิปไตย องค์กรนิรโทษกรรมสากล หลายอย่าง สิทธิมนุษยชน (Human Rights) เอาสูตรบ้าของพวกมันมาครอบงำประเทศที่มันต้องการจะก่อความวุ่นวาย เอามายุยงส่งเสริมคนอย่างเช่นคุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หรือคุณธนาธร หรือคุณปิยบุตร คนพวกนี้จะลุ่มหลง หลงใหลไปกับองค์กรโลกบาลพวกนี้

ท่านผู้ชมที่มีปูมหลังและมีพื้นฐานเรื่องประวัติศาสตร์การเมืองระหว่างประเทศต้องทราบว่าองค์กรเหล่านี้เป็นองค์กรที่อยู่ในอาณัติและการครอบงำของรัฐบาลชาติตะวันตกทั้งนั้นเลย พอคุณพิธาเห็นอย่างนั้น สัมผัสคนพวกนั้น ก็เลยลืมตัว คิดว่าอนาคตตัวเองน่าจะเป็นเลขาธิการสหประชาชาติได้ มิหนำซ้ำยังพูดว่า นี่มันเป็นรัฐบาลที่ใหญ่ที่สุดในโลกเลยนี่นา มันเป็นของจริง และมันท้าทายมาก คุณพิธาพูด ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือเปล่า ที่ความฝันของคุณไปตรงกับคนที่จบ MIT รุ่นพี่ ชื่อ ดร.เอ้ สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ผู้สมัคร ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ อดีตผู้สมัครผู้ว่าฯ กรุงเทพมหานคร ด้วย


ประเด็นครับ คุณพิธา คุณอย่าคิดว่าคุณเรียนจบฮาร์วาร์ด MIT มีความฝันอันยิ่งใหญ่ อยากเป็นเลขาธิการสหประชาชาติ มันเท่นะ คุณพิธา พูดแล้วมันดูยิ่งใหญ่ จบ MBA จาก Sloan School of Management ที่ MIT มันไม่ได้ทำให้คุณเป็นยอดมนุษย์ IRON MAN นะ เวลาคุณดำเนินนโยบายผิดพลาดกับบ้านเมือง เวลามันล้มละลาย ล่มสลาย ผลกระทบมันกว้างใหญ่ไพศาล มันกลายเป็นตราบาปติดตัวไปชั่วลูกชั่วหลาน ซึ่งจริงๆ แล้ว คุณพิธา คุณก็ไม่ใช่คนไทยแท้หรอก คุณก็ลูกเจ๊ก หลานเจ๊ก แซ่ลิ้มเหมือนผม ลิ้มเจริญรัตน์ ส่วนผมลิ้มทองกุล บรรพบุรุษของเราหนีความทุกข์ยากจากประเทศจีนมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารของราชวงศ์จักรี ของสถาบันพระมหากษัตริย์ เหมือนผมนี่ล่ะ คุณอย่าลืมรากเหง้าและอย่าลืมจุดนี้ไป ผมขอเตือนคุณไว้ รวมไปจนถึงคุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ก็ลูกเจ๊กเหมือนกัน มาทำงานร่ำรวยจากผืนแผ่นดินนี้ และคุณก็จะหาทางล้มกษัตริย์ของประเทศนี้ ที่คุณเคย ครอบครัวคุณเคย ต้นตระกูลคุณเคยมาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร

เมื่อพูดถึงการแแทรกแซงทางการเมืองในประเทศต่างๆ ของอเมริกา วัยรุ่น รุ่นใหม่หลายคน รวมทั้งรุ่นเก่าบางคน ยังไม่ทราบถึงพัฒนาการของการดำเนินนโยบายต่างประเทศของชาติมหาอำนาจยุคปัจจุบัน เขาพัฒนาสู่สงครามที่พูดเสียเท่ว่า "สงครามผสมผสาน" หรือ Hybrid War สำหรับผมแล้วถือว่าสงครามบ้านี่คือ "สงครามพันทาง"

ผมกำลังจะพูดเรื่องเกี่ยวกับประเทศไทยสำคัญที่สุดในสายตาอเมริกา แล้วเป็นหมากของอเมริกาในสงครามผสมผสาน ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Hybrid Warfare แต่ผมเรียกว่า "สงครามพันทาง"

ท่านผู้ชมครับ ก่อนผมจะเข้าไปในรายละเอียด EP. นี้ท่านผู้ชมต้องแชร์ออกไปให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แชร์ไปให้เต็มที่เลยครับ สำหรับคนที่เข้าใจ มีอุดมการณ์ร่วมกับเรา หรือคนที่เราคิดว่าเราจะให้เขาได้รับข้อมูลข่าวสาร แชร์ออกไปเลย และ EP. นี้ ท่านผู้ชมเก็บเอาไว้ ขอให้เชื่อผม ผ่านไปสักระยะหนึ่ง กลับมาฟังอีกทีก็ยังทันสมัย และที่ผมทำนายเอาไว้ ไม่มีวันผิดอย่างแน่นอนที่สุด

ท่านผู้ชมครับ ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจคำว่า "สงครามพันทาง" ก่อน


"สงครามพันทาง" เป็นยุทธศาสตร์การทหาร เป็นการใช้การสงครามการเมือง ผสมร่วมกับสงครามอื่นๆ เช่น สงครามตามแบบปกติธรรมดา สงครามนอกแบบ และการทำสงครามไซเบอร์ สงครามเฟซบุ๊ก สงครามไซเบอร์ เหมือนกับพวกก้าวไกล ผู้หลักผู้ใหญ่ เจ้าของพรรคก้าวไกล จ้างบริษัทฝรั่งมาออกแบบสงครามไซเบอร์ เพื่อปั่นกระแสของพรรคก้าวไกลขึ้นมา นอกจากนั้น ยังมีวิธีชักจูงจิตใจแบบอื่น ที่ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Phychological Warfare เช่น ข่าวปลอม การทูต การเมือง การแบ่งฝักแบ่งฝ่ายทางสังคม การต่อสู้ทางกฎหมาย การแทรกแซงการเลือกตั้งต่างประเทศ ท่านผู้ชมครับ เพื่อความเข้าใจตรงกัน อเมริกานั้นเข้าไปแทรกแซงการเลือกตั้งในยูเครน แล้วก็ล้มรัฐบาลที่โปรรัสเซีย แล้วตั้งรัฐบาลที่โปรตัวเอง เซเลนสกี คือผลผลิตของการทำงานของอเมริกัน

เรื่องนี้มีการยืนยันมาแล้วครับ ไม่ว่าจะเป็นคุณศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ Voice TV คุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หรือ คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หรือแม้กระทั่งสถานทูตอเมริกัน ท่านทูตโกเดค คนที่ยืนยันเรื่องนี้ก็คือ นางวิคตอเรีย นูแลนด์ (Victoria Nuland) เป็น Under Secretary ของกระทรวงการต่างประเทศ เป็นสายเหยี่ยวที่ต้องการจะล้มล้างรัสเซียออกไป

 นางวิคตอเรีย นูแลนด์
การปฏิบัติการข่าวสาร (IO) มหาอำนาจในโลกอย่างอเมริกา จะทำสงครามพันทาง หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Hybrid Warfare สงครามผสมผสาน ในการโฆษณาชวนเชื่อ บิดเบือนข้อมูลที่ซับซ้อน สร้างข่าวปลอม ข่าวเท็จ เฟกนิวส์ โน้มน้าว จูงใจ ต่อต้านรัฐบาลและสถาบัน สร้างความแตกแยก ร่วมกับการใช้แรงกดดันทางการทูต และการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ สะท้อนถึงผลประโยชน์ทางยุทธศาสตร์ในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ท่านผู้ชมครับ จำคำพูดผมเอาไว้ จำเอาไว้เลยว่า อเมริกาต้องการล้มล้างสถาบันกษัตริย์ในประเทศไทย แน่นอนที่สุด นายโกเดค 


ทูตอเมริกาคนนี้ ประวัติการรับราชการของเขา เขาไปที่ไหน ประเทศนั้นวุ่นวายฉิบหายหมด เขาเป็นคนที่ก่อให้เกิดอาหรับสปริงขึ้นมา โดยฝีมือของเขา ในความวุ่นวาย ในการประท้วงในกลุ่มประเทศอาหรับ ในอิรักก็ฝีมือของเขาอีก

การที่อเมริกาส่งนายโกเดคมา นั่นคือจุดเริ่มต้นของสงครามพันทางแล้ว แล้วเขามีเครื่องมือที่พร้อมให้เขาใช้ได้แล้ว ก็คือพรรคก้าวไกล กับนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และกลุ่มบุคคลต่างๆ ที่อยู่กับพวกเขา รวมทั้งอาจารย์มหาวิทยาลัย นักวิชการ ที่ขายชาติ ขายบ้านขายเมือง ไอ้พวกนี้ถ้าล้มสถาบันกษัตริย์ไม่ได้ ก็จะทำทีว่าสถาบันกษัตริย์ดีต่อประเทศไทย แต่เผลอเมื่อไร ถ้าล้มได้ มันล้มทันที

เป็นที่ทราบว่าอเมริกาใช้สงครามพันทางในการแทรกแซงภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ใช้กลวิธีต่างๆ เพื่อบ่อนทำลาย ปิดล้อม วัตถุประสงค์มีอยู่อย่างเดียวก็คือปิดล้อมประเทศจีน กลยุทธ์บางอย่างที่อเมริกาใช้ ยกตัวอย่าง ข้อพิพาทเกาะไต้หวันและทะเลจีนใต้


อเมริกาพยายามเข้ามามีส่วนร่วมในข้อพิพาทที่เกี่ยวข้องกับประเทศจีน และประเทศสมาชิกอาเซียนทั้งหลาย มีการร่วมฝึกซ้อมรบทางทหารในภูมิภาคนี้ ซึ่งจีนมองว่าเป็นการยั่วยุ การฝึกเหล่านี้เกี่ยวข้องกับการติดตั้งเรือบรรทุกเครื่องบิน เรือรบ เครื่องบินขับไล่ มีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงถึงแสนยานุภาพทางทหารของอเมริกาในภูมิภาคนี้

แรงกดดันทางการทูต อเมริกาสร้างแนวร่วมกับประเทศต่างๆ ในอินโด-แปซิฟิก เพื่อท้าทายอำนาจ อ้างสิทธิเหนือดินแดนของจีนในทะเลจีนใต้ และเกาะไต้หวัน รวมทั้งการสนับสนุนประเทศต่างๆ เช่น ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม ในข้อพิพาทกับจีน


ใช้อิทธิพลทางการทูตในทางพหุภาคี สำหรับยุทธวิธีการสร้างแรงกดดันทางเศรษฐกิจ และการทูตอเมริกา เป็นกลวิธีในการทำสงครามแบบผสมผสาน กำหนดมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ พุ่งเป้าไปที่บริษัท/ตัวบุคคลของจีนที่เกี่ยวข้องกับการสร้างเกาะเทียม ศูนย์ปฏิบัติการทางทหารในภูมิภาค รวมทั้งเทคโนโลยีสารสนเทศ อ้างเป็นภัยคุกคามความมั่นคงและผลประโยชน์ของอเมริกา เช่น อเมริกาบังคับใช้มาตรการคว่ำบาตรเมียนมาหลังการรัฐประหารในปี 2564

แต่ที่มีบทบาทในมิติสงครามข่าวสารก็คือนักรบปฏิบัติการทางข้อมูลข่าวสารที่มีการโจมตีทางไซเบอร์เกี่ยวกับข้อพิพาททางดินแดนจีน อเมริกาและพันธมิตรตะวันตกได้ใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อเผยแพร่โฆษณาชวนเชื่อว่าอเมริกาเป็นผู้ปกป้องกฎหมายระหว่างประเทศ เสรีภาพในการเดินเรือ ขณะเดียวกัน ก็ให้ทุนแก่ฝ่ายค้านทางการเมืองที่เป็นตัวแทนของแนวคิดอเมริกา โดยผ่านองค์กร เช่น NED หรือกองทุนแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (National Endowment for Democracy) หรือที่ผมบอกให้ฟังแล้วว่า จริงๆ แล้ว NED คือ CIA ภาคพลเมือง


เป็นที่รู้กันดีว่าสำนักข่าวกรองกลางของอเมริกา หรือ CIA มักจะแทรกแซงการเมืองภายในประเทศที่ขัดผลประโยชน์อเมริกา และมีส่วนเกี่ยวข้องกับปฏิบัติการลับและการเปลี่ยนแปลงระบบ และการปกครอง การปกครองประเทศนั้น รวมทั้งใช้ Model การปฏิวัติสี (Color Revolution) ซึ่งเป็นการชุมนุมประท้วงที่เคลื่อนไหวทางการเมือง มักจะใช้สีเฉพาะเป็นสัญลักษณ์ โดยมีเป้าหมายเพื่อโค่นล้มรัฐบาล มุ่งเปลี่ยนแปลงทางการเมืองสำคัญในประเทศ ปลุกกระแสคนหนุ่มสาวออกมาชุมนุมประท้วงใหญ่ ยั่วยุให้เกิดความขัดแย้งมากขึ้นระหว่างตำรวจ ทหาร กับประชาชน กระทั่งยกระดับความรุนแรงมากขึ้น ไปสู่แนวโน้มการก่อการร้ายและสงครามการเมือง


เช่น ปี 2562 - 2563 ท่านผู้ชมจำได้ไหม การประท้วงจีนครั้งใหญ่ของคนหนุ่มคนสาวฮ่องกง เพื่อต่อต้านร่างพระราชบัญญัติส่งผู้ร้ายข้ามแดนฮ่องกง ในรัฐบาลของนางแคร์รี แลม จนในที่สุดประเทศจีนได้นำกฎหมายความมั่นคงมาบังคับใช้ จับกุมแกนนำข้อหาการโค่นล้ม แบ่งแยกดินแดน ก่อการร้าย และการแทรกแซงจากต่างประเทศ เป็นความผิดอาญาร้ายแรง ซึ่งเป็นจุดจบของนายโจชัว หว่อง และแกนนำต่างๆ ที่เดินเข้าคุกกันหมด


เมื่อปฏิบัติการในฮ่องกงไม่สำเร็จ ล้มเหลว เพราะทางรัฐบาลปักกิ่งกวาดล้างเอาจริงเอาจัง CIA หันมาดำเนินการแทรกซึมและแทรกแซงประเทศไทย ท่านผู้ชมจำได้ไหมผมเคยพูดให้ท่านผู้ฟังแล้ว ถ้าท่านผู้ชมที่เคยติดตามรายการผม FC ผมจริงๆ จะจำได้ ผมเคยพูดว่า อเมริกาล้มเหลวที่ฮ่องกง และกำลังจะย้ายสมรภูมิจากฮ่องกงมาที่ประเทศไทย

CIA และสถานทูตอเมริกา และเจ้าหน้าที่ของอเมริกา รวมทั้ง NED, iLaw ทุกอย่าง อยู่เบื้องหลังการขับเคลื่อนม็อบสามนิ้วที่ไม่เอาเจ้า ไม่เอา ม.112 ทำสไตล์เดียวกับฮ่องกงเลย ยุยงส่งเสริมให้เด็กเล่นแรง ก้าวร้าว อาฆาตมาดร้ายสถาบัน ใช้เด็กสร้างอำนาจต่อรองกับรัฐ ใช้มืออาชีพกระจายข่าวการชุมนุมประท้วง การโจมตีรัฐบาลในโลกไซเบอร์ เบื้องหลังมีคนที่บงการอยู่

วันที่ 22 ธันวาคม 2553 เว็บไซต์ประชาไท ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ NED คนที่ทำเว็บไซต์ประชาไท คือคนที่ต้องการล้มล้างระบอบการปกครอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ เว็บไซต์ประชาไท เคยเสนอข้อมูลจากวิกิลีกส์ รายงานลับของสถานทูต เปิดโปงบทบาทของสหรัฐฯ ในการทำรัฐประหารปี 2549 เป็นรายงานทางการทูตที่รั่วไหลออกมาผ่านทางวิกิลีกส์ เปิดโปงให้เห็นว่าอเมริการู้ล่วงหน้าแล้วว่าประเทศไทยจะเกิดการรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549


โดยรายงานลับทางการทูตจากสถานทูตสหรัฐฯ ในกรุงเทพฯ เมื่่อวันที่ 20 กันยายน 2549 บันทึกการสนทนาระหว่างนายราล์ฟ บอยซ์ ทูตอเมริกา ที่ผมพูดให้ฟังแล้วเมื่อกี้นี้ กับ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะรัฐประหาร สองคนพบกันเป็นส่วนตัว

นายราล์ฟ บอยซ์ เขียนว่า เมื่อกล่าวถึงปฏิญญาสหรัฐฯ ผมเตือนเขาถึงการสนทนาของเราในวันที่ 31 สิงหาคม เมื่อผมบอกเขาว่าปฏิบัติการทหารใดๆ ย่อมส่งผลให้มีการระงับโครงการความช่วยเหลือในทันที ผมบอกเขาว่า เราจะต้องคาดหมายไว้ว่าเราจะประกาศมาตรการแบบนี้ออกมาโดยเร็ว เขาก็เข้าใจดี ผมเสริมต่อว่า การฟื้นฟูความช่วยเหลือต่างๆ จะเกิดขึ้นหลังจากรัฐบาลได้รับการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยที่เข้ามาดำรงตำแหน่ง


ท่านผู้ชมครับ หลังจากที่กองทหารและรถถังเคลื่อนเข้าเมืองหลวง ล้มรัฐบาลทักษิณ ในบ่ายวันที่ 19 กันยายน 2549 ปมรัฐประหารครั้งนี้นำไปสู่กระบวนการตอบโต้ด้วยการจัดตั้ง นปก. และเครือข่ายมวลชนเสื้อแดงที่สนับสนุนทักษิณ ในปี 2550

ท่านผู้ชมครับ เรามาดูกันสักนิดหนึ่ง ผมไม่ได้พูดมั่วๆ โดยไม่มีหลักฐาน ผมกำลังจะบอกว่า CIA นั้นคือตัวการสร้างความวุ่นวายที่ใหญ่ที่สุดในโลก ล้มรัฐบาลมาแล้วอย่างน้อย 50 ประเทศในโลก

4 พฤษภาคม 2566 มีบทความที่เขียนเรื่อง CIA once again confirm US' title as the world's biggest source of choa's แปลเป็นไทยว่า อีกครั้งที่ CIA ได้รับการยืนยันว่าเป็นแหล่งสร้างความวุ่นวายที่ใหญ่ที่สุดในโลก รายงานผลการสอบสวนของศูนย์รับมือเหตุฉุกเฉินต้านไวรัสคอมพิวเตอร์แห่งชาติของจีน และบริษัทรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ 360 ได้เปิดเผยให้เห็นว่า CIA ได้ยุยง ปลุกระดมให้เกิดการปฏิวัติสีทั่วโลกด้วยการนำวิธีการทางเทคโนโลยีมาใช้ รวมทั้งเทคโนโลยีการเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองประเทศที่ขัดผลประโยชน์อเมริกา โดยใช้เครื่องมือนี้ชักจูงหนุ่มสาวเคลื่อนไหว นัดชุมนุม ประท้วงผ่านมือถือ


ลองนึกภาพดูว่าโลกจะสงบสุขได้อย่างไร เมื่อเครื่องมือทันสมัยเช่นนี้อยู่ในมือ CIA ซึ่งวิธีโกหก โกง ขโมย ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา อเมริกาเผยแพร่โมเดลการปฏิวัติสีผ่านทาง CIA ทั่วโลก วอชิงตันไม่ได้สนใจว่าจะทำให้เกิดความไม่สงบในสังคมมากน้อยเพียงใด และความเจ็บปวดที่ชาวบ้านและประเทศนั้นต้องจ่ายไป ไม่ว่าจะเป็นจำนวนผู้เสียชีวิต จะเป็นแค่ตัวเลขสำหรับวอชิงตัน ไม่ต้องพูดถึงความเสียหายอื่นๆ มันคือความหายนะและการทำลายล้างประเทศซีเรีย การนองเลือดในสนามรบของยูเครน โศกนาฏกรรมของอีกหลายประเทศที่อเมริกากังวลก็คือว่า ผู้ที่มีอำนาจเข้ามามีอำนาจจะต้องเป็นหุ่นเชิดที่เชื่อฟังคำสั่งอเมริกาเท่านั้น

CIA มีการสร้างปัญหาใน 50 ประเทศ ในหลายทศวรรษที่ผ่านมา การปฏิวัติสีส้มในยูเครนก็ฝีมือ CIA การปฏิวัติดอกกุหลาบในจอร์เจียก็ฝีมือ CIA


การปฏิวัติทิวลิปในคีร์กีซสถานก็ CIA ที่สำคัญคือการขับเคลื่อนขบวนการดอกทานตะวัน ที่เขาเรียกว่า Sunflower Movement ที่เกาะไต้หวัน เพื่อต่อต้านสัตยาบันแก่ความตกลงการค้าระหว่างจีน กับ ไต้หวัน เมื่อปี 2557 ท่านผู้ชมครับ นี่เป็นส่วนเล็กๆ ของภูเขาน้ำแข็งในการปฏิบัติการลับของ CIA


CIA เป็นมือมืดใช้ทุกวิถีทางในการแทรกแซง ดักฟังความลับประเทศอื่น ไม่คำนึงถึงอำนาจอธิปไตยของประเทศอื่น เป็นอาชญากรรมที่ CIA ก่อขึ้น และจีนเป็นเป้าหมายใหญ่ที่สุดของ CIA ท่านผู้ชมเชื่อผมหรือเปล่าล่ะ ขบวนการปั่นกระแสก้าวไกลนั้นเกิดขึ้นมาจากฝีมือการทำงานของ CIA ที่อยู่เบื้องหลัง เผอิญโชคดีของ CIA และก้าวไกล ก็คือว่า พรรคก้าวไกลไม่เคยทำอะไรผิด เพราะไม่เคยมีอำนาจ ในขณะซึ่งพรรคสองลุง ไม่ว่าจะเป็นลุงตู่ หรือลุงป้อม บาดแผลเต็มตัวไปหมด มันก็เลยทำให้การเจริญเติบโตของปรัชญาพรรคก้าวไกลเตะตาและโดนใจของคนที่ลงคะแนนเสียงให้พรรคก้าวไกล

ท่านผู้ชมครับ บางประเทศไม่กล้าพูดคำว่า "ไม่" ไม่กล้า say no กับอเมริกา ยอมทนกับพฤติกรรมที่ผิดกฎหมายและบีบบังคับ ไร้จริยธรรม ของอเมริกา บางประเทศถึงกับเป็น Stockholm Syndrome คือตัวเองเป็นเชลยหรือตัวประกันที่ถูกครอบงำจากคนร้ายเป็นระยะเวลายาว และเชลยเกิดมีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจ ปกป้องคนร้าย หรือยอมเป็นพวกเดียวกัน นี่คือลักษณะของอาจารย์ในมหาวิทยาลัยหลายคนที่ออกมาปกป้องอเมริกา และอาจารย์มหาวิทยาลัยพวกนี้ก็จะเอาความคิดผิดๆ นี้สอนไป ร้ายที่สุดคือคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ หรือธรรมศาสตร์ ตัวการทั้งนั้น พวกอาจารย์ที่นับถือฝรั่งเป็นโคตรพ่อโคตรแม่ นี่คือคนที่เปิดประตูให้ฝรั่งเข้ามา มาทำร้ายทำลายประเทศไทย ก่อให้เกิดการนองเลือด ให้ประเทศไทยกลายเป็น ยูเครน 2

ท่านผู้ชมครับ ผมจะยกตัวอย่างให้ฟัง กลุ่มประเทศ 5 ตา (FIVE EYES) ผมเคยพูดมาหลายครั้งแล้ว มีออสเตรเลีย แคนาดา นิวซีแลนด์ อังกฤษ และ อเมริกา ท่านผู้ชมเห็นหรือยังครับ ผมเคยเล่าให้ฟังแล้วไม่ใช่หรือว่า กลุ่มพวกนี้คือกลุ่มประเทศเดียวกันกับที่ตัวแทนพรรคการเมืองไทยหลายพรรคไปพบกันที่สถานทูตนิวซีแลนด์เมื่อวันอาทิตย์ที่ 7 พฤษภาคม ที่ผ่านมานี้ ก่อนการเลือกตั้งเพียง 7 วัน ญี่ปุ่นที่เฮ้าเลี่ยน อยากเป็นตาที่หก (Sixth Eyes) ทำหน้าที่เป็นผู้สมรู้ร่วมคิด CIA เนื่องจากญี่ปุ่นเห็นแก่ตัว และแรงจูงใจของตัวเอง


ท่านผู้ชมเชื่อหรือเปล่า ความเลวของมัน ญี่ปุ่น นาโต มีแผนเปิดสำนักงานประสานงานแห่งแรกของนาโตในอินโด-แปซิฟิก นาโตของยุโรป มาวุ่นวายอะไรอยู่ในเอเชียแปซิฟิก ก็เพราะว่ารับงานของอเมริกามาเพื่อขยายอิทธิพล มันเป็นความมากกว่าสัญลักษณ์การพยายามเผยแผ่อิทธิพลนาโต ย้ายสมรภูมิจากยูเครนมาเอเชีย ท่านผู้ชมรู้หรือเปล่าว่าเพราะอะไร ? ยูเครนนั้น อเมริกาและตะวันตกแพ้แล้ว เชื่อผมสิ อีกไม่นานนี้ยูเครนจะล่มสลายทั้งประเทศ นายเซเลนสกี จนวันนี้หนีออกจากยูเครนไปอยู่ที่เยอรมนี ยังไม่ยอมกลับยูเครน เพราะตัวเองส่งโดรนสังหารเพื่อไปสังหารนายวลาดิมีร์ ปูติน รัฐบาลรัสเซียถึงกับบอกว่า ถึงเวลาแล้วที่จะต้องสังหารนายเซเลนสกี นายเซเลนสกี ก็เลยหนีออกนอกประเทศไปเลย

ท่านผู้ชมครับ ข้อเสนอการเปิดสำนักงานประสานงานนี้ยังอยู่ในการเจรจา ตามรายงานของหนังสือพิมพ์นิกเกอิของญี่ปุ่น ซึ่งก็เป็นเครื่องมือของญี่ปุ่น ท่านผู้ชมรู้หรือเปล่าว่าญี่ปุ่นตอนนี้เปลี่ยนไป เกาหลีใต้ก็เปลี่ยนไป เพราะได้รัฐบาลขวาจัด นายคิชิดะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น และนายยุน ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ แต่ก่อนทะเลาะกันในเรื่องสงครามโลกครั้งที่สอง ที่ญี่ปุ่นมาครองเกาหลีใต้ แต่วันนี้ภายใต้ร่มเงาของอเมริกา ทั้งสองคนจูบปากกันอย่างแน่นแฟ้น จนกระทั่งพรรคฝ่ายค้านและประชาชนเกาหลีใต้ไม่พอใจ ประท้วง คะแนนนิยมของประธานาธิบดียุน ตกต่ำที่สุดตั้งแต่เป็นประธานาธิบดีมา


นายฟูมิโอะ คิชิดะ นายเยนส์ สโตลเทนเบิร์ก เลขาธิการนาโต เดินทางมาเยือนกรุงโตเกียวต้นปี 2566 แล้วท่านผู้ชมรู้หรือเปล่าว่า นาโตอัญเชิญรัฐมนตรีต่างประเทศญี่ปุ่นในการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศของนาโต ในเดือนเมษายน 2566 นอกจากนี้ นิกเกอิเอเชีย ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์เครื่องมือของทางตะวันตก CIA ของอเมริกา ยังอ้างคำกล่าวเจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นและนาโตว่า สำนักงานนี้จะเปิดทางให้นาโตได้ปรึกษาหารือเป็นระยะๆ กับบรรดาพันธมิตรในภูมิภาค อย่างออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และเกาหลีใต้ด้วย

ท่านผู้ชมครับ ท่านผู้ชมอย่าลืมว่า นาโต ภาษาอังกฤษมันสะกดว่า N-A-T-O มันย่อมาจากคำว่า North Atlantic Treaty Organization หรือ องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ ซึ่งชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นองค์กรที่ก่อตั้งอ้างอิงลักษณะภูมิศาสตร์ คือมหาสมุทรแอตแลนติกตอนเหนือ 74 ปีที่แล้ว (2492) นาโต ก่อตั้งโดยกลุ่มพันธมิตรด้านการทหาร เพื่อต่อสู้กับภัยคุกคามจากสหภาพโซเวียตที่แผ่ขยายอำนาจไปในยุโรป ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง โดยเริ่มแรกมีสมาชิกก่อตั้ง 12 ประเทศ คือ เบลเยียม แคนาดา เดนมาร์ก ฝรั่งเศส ไอส์แลนด์ อิตาลี ลักเซมเบิร์ก เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ โปรตุเกส สหราชอาณาจักร และสหรัฐฯ


แต่หลายสิบปีหลังมานี้ เมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลายไปแล้ว นาโตก็ยังไม่ยอมหยุดแผ่ขยายอิทธิพล ทำผิดสัญญาที่ให้ไว้กับรัสเซีย ขยายจำนวนสมาชิกมาเรื่อยๆ ลุกลามจนล่าสุดกลายเป็นความขัดแย้งใหญ่ คือสงครามในยูเครน ซึ่งอดีตเคยเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต และมีพรมแดนประชิดติดกับรัสเซีย เอาประวัติศาสตร์เก่ามาเล่าให้ฟังก็ได้ นิดหน่อย

วิธีการที่จะใช้ยูเครนเป็นเครื่องมือก็คือ ให้ CIA จากคำสั่งของนางวิคตอเรีย นูแลนด์ ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ที่ผมเอ่ยชื่อไปแล้วนั้น ให้ CIA อยู่เบื้องหลังในการล้มรัฐบาลโปรรัสเซีย แล้วตั้งรัฐบาลโปรอเมริกาขึ้นมา อันนี้เป็นข้อมูลที่ชัดเจน ท่านผู้ชม ไม่ต้องมาเถียงกัน ที่คุณอวยฝรั่ง อวยอเมริกา คุณไม่ต้องเถียงผม เพราะหลักฐานชัดเจน ทางยุโรปยอมรับกัน บรรดานักวิชาการที่เป็นอิสระต่างยอมรับกัน แล้วเคลื่อนไหวล่าสุด นาโต จากมหาสมุทรแอตแลนติกตอนเหนือ มายุ่ง มาจุ้นอะไรกับทวีปเอเชีย ภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ก็ไม่ทราบ ด้วยการพยายามตั้งสำนักงานนาโตในญี่ปุ่น

ท่านผู้ชมจำได้หรือเปล่า ผมเคยบอกว่า อเมริกานั้นใช้เกาหลีใต้ ซึ่งประธานาธิบดีเป็นฝ่ายขวาจัด และนายคิชิดะ ซึ่งต้องการที่จะให้ญี่ปุ่นเป็นมหาอำนาจทางเอเชีย เป็นลูกน้องอเมริกา แล้วมาปกครอง ปกคลุมเอเชียด้วยอิทธิพลการค้าและอำนาจทางทหาร หมดจากญี่ปุ่น หมดจากเกาหลีใต้แล้ว ก็เหลือไต้หวัน ซึ่งอเมริกาต้องการยุยงให้เกิดความแตกแยกระหว่างจีน ให้หลายชาติเข้ามารุมสกรัมจีน ถ้าจีนยึดไต้หวันคืน

ท่านผู้ชมครับ แต่อเมริกาตอนนี้กำลังกลัว กลัวอะไร ? เพราะว่าปีหน้าจะมีการเลือกตั้งที่ไต้หวัน แล้วโอกาสซึ่งนางไช่ อิงเหวิน ประธานาธิบดีของไต้หวัน ซึ่งเป็นผู้หญิงรับใช้อยู่ในบ้านของโจ ไบเดน จะหลุดจากการเป็นประธานาธิบดีได้ เพราะว่าประชาชนชาวไต้หวันเริ่มรู้สึกแล้วว่าตัวเองไม่ต้องการสงคราม ตัวเองต้องการค้าขาย ต้องการสันติภาพ เพราะฉะนั้น ค.ศ. 2024 อาจจะเป็นปีสุดท้ายที่นางไช่ อิงเหวิน จะมีอิทธิพลอยู่


แล้วถ้าประธานาธิบดีคนใหม่ที่ขึ้นมา เป็นคนที่ต้องการสร้างสันติภาพ และต้องการเข้าไปร่วมกับจีน การรวมประเทศจีนอย่างสงบก็จะเกิดขึ้นทันที อเมริกาก็จะไม่มีเหตุอะไรเลยที่จะมาใช้ไต้หวันเป็นตัวการป่วน ขัดขวาง กลั่นแกล้ง ยุยง ยั่วยุประเทศจีนอีกต่อไป เพราะฉะนั้นแล้ว อเมริกาก็ต้องเคลื่อนตัวเองมาที่ไหน ? ให้ท่านผู้ชมทาย ก็คือประเทศไทยไง เพราะอเมริกา ในอาเซียนด้วยกัน ประเทศไทย ฟิลิปปินส์ไม่ต้อง เพราะฟิลิปปินส์ถูกปครองโดยอเมริกามานานแล้ว นายมาร์กอส จูเนียร์ ลูกชายของอดีตประธานาธิบดีมาร์กอส เผด็จการของฟิลิปปินส์ ยกแผ่นดินฟิลิปปินส์ให้อเมริกาตั้งฐานทัพอยู่ 4 ฐานทัพในฟิลิปปินส์ แต่ก็กลัว ก็เขิน ยังพูดออกมาได้ว่า ฟิลิปปินส์จะไม่ยอมให้อเมริกาใช้ฐานทัพที่มาตั้งในฟิลิปปินส์นั้นมาประจันหน้ากับจีน ไอ้เด็กยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม พูดจาเหมือนพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เลย เป็นไปได้อย่างไร ก็อเมริกามาตั้งฐานทัพตั้ง 4 แห่งแล้ว ถ้ามีการปะทะกันระหว่างจีน กับอเมริกา ในพื้นภูมิภาคทะเลจีนตอนใต้ ฟิลิปปินส์จะเป็นดินแดนกระสุนตกอย่างแน่นอนที่สุด หนีไม่พ้น


เพราะฉะนั้นก็เหลือกลุ่มประเทศอาเซียน ลาวยืนอยู่ข้างจีน เวียดนามเป็นกลาง เพราะต้องการค้าขายอย่างดี ในขณะเดียวกัน เขมรเองก็ยืนอยู่ข้างจีน มาเลเซียไม่มีความหมาย เพราะเป็นประเทศมุสลิม สิงคโปร์ก็เล็กเกินไป เหลือประเทศไทย ทำไมประเทศไทยถึงสำคัญ ? เพราะประเทศไทยเป็นจุดที่จะเชื่อมต่อไปทางพม่า ทางตะวันตก ที่จะไปยึดครองพม่า ประเทศไทยเป็นจุดที่เมื่อลากเส้นไปแล้วผ่านเชียงใหม่ ทำไมอเมริกาต้องเลือกเชียงใหม่เป็นที่ตั้งของกงสุลอเมริกา สร้างตั้งหมื่นล้าน กงสุลอะไรใช้เงินสร้างตั้งหมื่นล้าน ไอ้หมื่นล้านนี่เป็นการขุดลงไปใต้ดินอย่างน้อย 100 - 200 เมตร และฝังด้วยวัตถุอิเล็กทรอนิกส์สำหรับดักฟังประเทศจีน ผมจะเล่าที่มาที่ไปให้ฟัง


สมัยก่อน ที่จีน-อเมริกายังไม่ปะทะกัน กำลังเริ่มความสัมพันธ์ การค้าขายกันมั่นคง แล้วจีนไม่ได้เป็นอันตรายต่ออเมริกา ไม่ได้มาชิงตำแหน่งที่หนึ่งของอเมริกา ยังล้าหลังอยู่ อเมริกาไปตั้งสถานกงสุลที่เมืองเฉิงตู รัฐเสฉวน เฉิงตู อยู่ติดทิเบต ขึ้นไปออกไปก็เป็นซินเจียง ปรากฏว่าอเมริกาใช้กงสุลที่เฉิงตูเป็นแหล่งสืบราชการลับ ตรวจสอบข่าวสารต่างๆ ที่เกิดขึ้น แล้วออกนโยบายดักฟังโทรศัพท์ไปหมดทุกอย่าง จีนก็รู้ แต่จีนไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะไปปิดสถานกงสุลไม่ได้ จีนเป็นคนที่เคารพกฎหมายระหว่างประเทศมากที่สุด แต่โชคดีที่ประธานาธิบดีทรัมป์มันบ้า มันกำลังทะเลาะกับจีน มันก็เลยสั่งปิดกงสุลจีนที่เมืองฮูสตัน รัฐเทกซัส ก็เลยเข้าทางจีน จีนก็เลยถือโอกาสตอบโต้ด้วยการปิดสถานกงสุลของอเมริกาที่เฉิงตู ก็เลยทำให้อเมริกาที่เคยมีตาข้างหนึ่งแอบมองจีนอยู่และดักฟังโทรศัพท์ กลายเป็นคนตาบอด หูหนวกไปเลย


ในที่สุด ยุทธศาสตร์ก็เลยต้องมาสร้างกงสุลที่เชียงใหม่ ถ้าท่านผู้ชมดูแผนที่ดีๆ ท่านผู้ชมลากเส้นจากเชียงใหม่ขึ้นไป ก็จะไปสู่ทิศตะวันตกเฉียงใต้ของจีน นั่นคือเสฉวน นั่นคือเฉิงตู ขึ้นไปอีกก็จะเป็นทิเบต ขึ้นไปอีกก็เป็นซินเจียง เพราะฉะนั้นประเทศไทยก็เลยกลายเป็นโอกาสดินแดนกระสุนปืนตกเยอะมากถ้ามีการปะทะกันเกิดขึ้น จีนก็ไม่เอาไว้แน่นอน เชียงใหม่ก็เชียงใหม่เถอะ


ทุกวันนี้อเมริกาก็แอบส่งคนมา ส่งอาวุธมา ส่งเครื่องไม้เครื่องมือมา สมัยก่อนส่งมาทางอู่ตะเภา ตอนหลังเข้ามาทางบังกลาเทศ มาทางตะวันตกของพม่า เพื่อเอามาป้อนให้กับกลุ่มกบฏของพม่าที่นำโดยนางอองซาน ซูจี และทีมของอองซาน ซูจี ส่งทหารเข้าไปฝึก อย่างที่ผมเคยเอารูปให้ดูแล้ว แต่ไม่มีพื้นที่ปฏิบัติการ ต้องพึ่งบังกลาเทศ ต้องพึ่งทางโน้นทางนี้ ก็เลยจะมาปักหมุดอยู่ที่ประเทศไทย เพราะที่อเมริกาต้องการมากที่สุดก็คือใช้ประเทศไทยเป็นที่ตั้งขีปนาวุธพิสัยกลาง ที่ยิงได้ประมาณ 1,000 - 2,000 กิโลเมตร สามารถจะคุมประเทศจีนตอนใต้ได้หมดเลย

เพราะทางตะวันออกของจีน ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ เทียนจิง ซันตง อเมริกาไปไม่ได้เลย เพราะอาวุธขีปนาวุธจีนนั้นวางเรียงรายตามชายฝั่งตะวันออกของประเทศจีน ก็เหลือทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีนเท่านั้นเองที่อเมริกาจะบุกเข้าไปได้ เพราะฉะนั้นประเทศไทยจึงเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่สุด ผมพูดเดี๋ยวนี้เลย ประเทศไทยเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่สุดในเอเชียแปซิฟิก ไม่ใช่ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ เพราะญี่ปุ่น และเกาหลีใต้อยู่ในมือของอเมริกาอยู่แล้ว ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ถึงประกาศยินยอมให้อเมริกาตั้งขีปนาวุธนิวเคลียร์ที่ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ได้ แต่ไม่มีประโยชน์ เพราะญี่ปุ่นและเกาหลีใต้นั้นไกลเกินไปจากจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางทิศตะวันตกเฉียงใต้

เพราะฉะนั้นแล้วท่านผู้ชมจะเห็นว่า เมื่อผมมองภาพรวมทั้งหมด และรู้ว่าเหมือนอะไรจะเกิดขึ้น เหมือนอย่างที่ผมพูดไว้ในรายการนี้เมื่อสองสัปดาห์ที่ผ่านมาว่านักการเมืองฝ่ายเสรีนิยมของไทย ปัจจุบัน คนพวกนี้เป็นเอเยนต์ของอเมริกา นำโดยอเมริกา และกลุ่มอียู ซึ่งคำให้สัมภาษณ์ณของคุณพิธาเองก็ยอมรับเลยว่าตัวเองเป็นศิษย์เก่าอเมริกา พูดคุย ทำงานใกล้ชิดเอกอัครราชทูตอย่างราล์ฟ บอยซ์ มานาน


คุณธนาธรก็ไปอเมริกา มีบริษัทล็อบบี้ให้คุณธนาธรเข้าไปเจอวุฒิสมาชิกอเมริกา ก็คือพูดง่ายๆ ว่า ก้าวไกล คนที่เป็นเจ้าของพรรค คนที่เป็นลูกน้อง ก็คือพรรคการเมืองสาขาย่อยของ CIA นั่นเอง

คุณพิธาครับ ผมจบอเมริกาเหมือนกัน ผมอยู่อเมริกานานกว่าคุณ ยังไม่นับว่าผมเป็นสื่อสารมวลชนอีก 50 ปี อดีตผมเคยทำธุรกิจหลายอย่างในอเมริกา แต่ผมไม่เคยเป็นเอเยนต์ชาติตะวันตกหรือชาติอื่นๆ ในการเปิดทางให้ชาติพวกนี้เข้ามาแทรกแซงหรือครอบงำการเมืองในประเทศไทยแต่อย่างใด

เอาล่ะ เรามาดูสัญญาณที่ส่งออกมาถึงเราว่าไทยกลายเป็นสมรภูมิพันทางของอเมริกาไปเรียบร้อยแล้ว เรามาดูว่าชาติที่เราอ้างว่าเป็นมหามิตรของเรา กำลังทำอะไรกับเราบ้าง

ตัวอย่างแรก ท่านผู้ชมน่าจะพอคุ้นชื่อ คุ้นหน้าคุ้นตาเอกอัครราชทูตอเมริกาคนใหม่ ชื่อ โรเบิร์ต เอฟ. โกเดค ผมเรียกท่านว่าท่านทูตโกเต๊ก ผมเป็นสื่อคนแรกๆ ที่พูดถึงประวัตินายโกเดค อย่างละเอียด ตั้งแต่รายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ตอนที่ 147 เมื่อวันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม 2565 ตั้งแต่ก่อนที่นายโกเดคจะเดินทางมารับตำแหน่งที่ประเทศไทย ครั้งนั้นผมฟันธงไว้ว่าเอกอัครราชทูตอเมริกาคนใหม่นี้ได้รับธงมาแล้วให้มาปั่นป่วนประเทศไทยให้หนัก ถ้าล้มล้างสถาบันกษัตริย์ได้ ก็ล้มล้างไปเลย ปั่นป่วนอย่างไรท่านผู้ชมลองย้อนไปดูได้


13 กรกฎาคม 2565 หลังจากนายโจ ไบเดน เสนอชื่อนายโกเดค ให้ดำรงตำแหน่งทูตอเมริกาประจำไทย นายโกเดค ได้ยืนหยัดเข้าไปชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการต่างประเทศ วุฒิสภาสหรัฐฯ ระบุถึงนโยบายความตั้งใจว่าพอรับตำแหน่งเขาจะทำอะไรบ้าง นายโกเดคพูดอย่างนี้กับกรรมาธิการฯ ว่า หนึ่ง เรื่องพม่า เขาตั้งใจช่วยไทยปรับปรุงเรื่องสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย และให้ไทยร่วมกดดันรัฐบาลพม่าด้วย ปรับปรุงสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย มันหมายถึงมาตรา 112 ไงล่ะ ท่านผู้ชมเข้าใจหรือยัง แต่มันใช้คำที่กว้างขึ้น เรื่อง ม.112 นายเอ็ด มาร์คีย์ วุฒิสมาชิกสังกัดพรรคเดโมแครต รัฐแมสซาชูเซตส์ ตั้งคำถามถึงนายโกเดค ถึง ม.112 ซึ่งเป็นผลต่อเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ฝรั่งพวกนี้มันโง่ 112 ไปเกี่ยวอะไรกับการแสดงความคิดเห็น ก็เขาบอกว่าจะแสดงความคิดเห็นอะไรก็แสดงไป แต่สถาบันกษัตริย์นั้นเป็นลักษณะพิศษ ซึ่งก้าวล่วงไม่ได้ ก็แค่สถาบันกษัตริย์อย่างเดียว แล้วไปปิดกั้นความเห็นบ้าบอคอแตกอะไร นี่คือข้อผิดพลาดที่อเมริกามี

อ้างว่ามีผู้ถูกจับกุมคุมขังมากมาย ก็คนที่ถูกจับกุมคุมขังมันเป็นคนที่ด่าพระเจ้าอยู่หัว เผาพระบรมฉายาลักษณ์ กล่าวคำหยาบคาย ซึ่งพระเจ้าอยู่หัวเป็นประมุขของประเทศ มีกฎหมายรับรองและป้องกันอยู่แล้ว ก็เหมือนประมุขของประเทศพวกมัน ใครจะไปขู่ฆ่าหรือด่าโคตรพ่อโคตรแม่ก็ไม่ได้ ก็ถูกจับเข้าคุกตั้งไม่รู้กี่คนแล้ว ทำไมมีได้ ทำไมของประเทศไทยมีไม่ได้

แล้วนายโกเดค บอกว่าสหรัฐฯ เคารพราชวงศ์ไทยในฐานะสถาบันหนึ่ง เข้าใจความภักดีของคนไทยที่มีต่อราชวงศ์ แต่เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นมีความสำคัญยิ่ง เขาเคยเน้นย้ำ ทั้งต่อสาธารณะและในทางส่วนตัวถึงความสำคัญของประชาชนที่มีความคิดเห็นได้อย่างเสรี โดยไม่ต้องหวาดกลัวการถูกจับกุม และจะพยายามทุกวิถีทางในการปกป้องเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ผมขอย้ำว่า คนที่ถูกจับกุมตัวจะต้องได้รับการปฏิบัติ เคารพสิทธิขั้นพื้นฐานอย่างเต็มที่ในระหว่างการดำเนินคดี มีอะไรบ้างที่คนถูกคดี 112 ไม่ได้รับสิทธิเสรีภาพ ? ได้หมดทุกคน ได้แม้กระทั่งสิทธิในการประกันตัว ใช่ไหมท่านผู้ชม เมื่อประกันตัวมาแล้ว เงื่อนไขที่รัฐบาลหรือศาลให้ มีเงื่อนไขข้อเดียว เมื่อประกันตัวออกมาแล้วห้ามประพฤติแบบนี้อีก แต่พวกนี้ก็ยังประพฤติเหมือนเดิม ศาลก็เลยยกคำร้องในการปล่อยตัวชั่วคราว ให้กลับไปติดคุกเหมือนเดิม

ศาลไทยไม่ผิด ให้สิทธิเสรีภาพเต็มที่ คุณขึ้นศาลคุณมีทนายหรือเปล่า คุณก็มีทนาย มิหนำซ้ำคุณยังมีพวกทูตผิวขาว ทูตเผือก ไม่ว่าจะเป็นอียู หรืออเมริกา เวลาคุณธนาธรไปขึ้นโรงพัก ขนกันไปทุกสถานทูตในอียู รวมทั้งอเมริกา


ไปฟังว่าตำรวจจะทำอย่างไร ทั้งๆ ที่ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องไปยุ่ง เพราะตำรวจและกระบวนการยุติธรรมไทยนั้น ให้ความยุติธรรมดีมาก ดีมากกว่ากระบวนการยุติธรรมของพวกมันในอเมริกาอีก

สิทธิมนุษยชน โกเดคพูดอย่างไร ? โกเดคบอกว่าจะช่วยเหลือประเทศไทยปรับปรุงสิทธิมนุษยชน เรื่องการค้ามนุษย์ การบังคับใช้แรงงาน ประเทศไทยทำอยู่แล้ว ประเทศไทยเล่นงานคนค้ามนุษย์หนักหนาสาหัส หลายต่อหลายคนยังติดคุกหัวโต ยังไม่ได้ออกมา ระดับพลโทก็ยังถูกจำคุกอยู่ ในฐานะที่ค้ามนุษย์ และในที่สุดก็เสียชีวิตในคุก เพราะฉะนั้นเป็นคำอ้างที่โกหกตอแหล จะช่วยเหลือประเทศไทยปรับปรุงสิทธิมนุษยชน คุณไปปรับปรุงสิทธิมนุษยชนในประเทศคุณดีกว่า

บีบไทยลดการพึ่งพาก๊าซพม่า บ้าหรือเปล่า ก็ถ้าพม่าขายก๊าซให้ไทยในราคาถูก ทำไมไทยจะไม่ซื้อล่ะ เหมือนแกที่ไปบีบพวกกลุ่มอียูให้ตัดการซื้อก๊าซจากยูเครน แล้วเกิดอะไรขึ้น พวกอเมริกาก็แอบขายก๊าซ LNG และซื้อก๊าซจากอินเดีย จากที่อื่นๆ เอามา re-package ใหม่ ส่งไปขายอียูแล้วบวกราคาเข้าไป 30 - 40 เปอร์เซ็นต์ อย่างนี้โกหกใครก็ได้ แต่โกหกคนที่รู้เรื่องนี้ไม่ได้ แล้วเราจะซื้อก๊าซพม่า เราจะซื้อก๊าซมาเลเซีย มันหนักหัวกบาลอะไรคุณ ผมถามคุณหน่อยซิ คุณโกเดค ถ้าเราจะซื้อก๊าซจากพม่า มันหนักหัวกบาลอะไรคุณ เพราะคนไทยต้องการใช้ก๊าซ ถ้าเราไม่ซื้อจากพม่า แล้วพวกคุณจะส่งมาไหมในราคาที่เราซื้อได้จากพม่า พวกคุณก็ไม่ส่ง นี่ผมพูดด้วยอารมณ์นะท่านผู้ชม ถ้าท่านผู้ชมรู้เหมือนที่ผมรู้ แล้วท่านผู้ชมจะรับไม่ได้เลย แล้วท่านผู้ชมจะเกลียด รังเกียจ เกลียดชัง คนไทยขายชาติที่เป็นเอเยนต์ของอเมริกา

เรากำลังจะหาทางให้ไทยเพิ่มแรงกดดันต่อพม่า ทางเลือกทุกอย่างวางบนโต๊ะ รวมทั้งน้ำมันและก๊าซ เห็นไหม มายุ่งอะไรเรื่องความเป็นอยู่ของคนไทย

ท่านผู้ชมจะเห็นได้ว่ากฎหมายเรื่องมาตรา 112 มันสอดคล้องเกี่ยวพันกับเรื่องประมุขผู้แทน รวมไปถึงธง เครื่องหมายของรัฐต่างประเทศด้วย ตามมาตรา 130 - 135 เพราะฉะนั้นจะตั้งธงมาแก้เฉพาะมาตรา 112 จึงไม่สมเหตุสมผลด้วยประการทั้งปวง โดยเฉพาะผู้ที่ตั้งธงในเรื่องนี้ ก็คือผู้แทนหรือทูตจากต่างชาติ พูดง่ายๆ ว่าพวกคุณมายุ่งอะไรกับเรื่องของประเทศไทย คือจะให้กฎหมายไทยคุ้มครองคุณ คุ้มครองประมุขคุณ คุ้มครองแม้แต่ธงชาติ ตราสัญลักษณ์ของคุณ แต่ไม่มีกฎหมายไทยมาคุ้มครองพระมหากษัตริย์ที่เป็นเสาหลักค้ำจุนชาติบ้านเมือง คุณบ้าหรือเปล่า


ประเด็นสำคัญที่ท่านผู้ชมหลายท่านน่าจะพอเห็นได้คือประเด็นที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพรรคก้าวไกล ออกมาเคลื่อนไหวแบบหนักๆ ท่านผู้ชมรู้ไหม ล้วนแล้วแต่สอดคล้องกับคำแถลงของนายโกเดค ทูตสหรัฐฯ ที่ให้การต่อวุฒิสภา ทั้งนั้น ไม่ว่าเรื่องพม่า เรื่องการแทรกแซง กดดันรัฐบาลทหารพม่า เรื่องสิทธิมนุษยชน ที่สำคัญมากที่สุดคือกฎหมายอาญา มาตรา 112 หรืออาจะเรียกได้ว่านโยบายพรรคก้าวไกล กับอเมริกา เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย สอดรับกันเป็นลูกคู่ คอหอยกับลูกกระเดือกกันมาตลอด ไม่น่าแปลกใจว่านายพิธาจะหลุดออกมาว่าตัวเองทำงานและพูดคุยอย่างใกล้ชิดกับอเมริกามาตั้งแต่ทูตสหรัฐฯ ที่ชื่อ ราล์ฟ บอยซ์

พอนายโกเดคมาประเทศไทย ความเคลื่อนไหวของเขายังมีประเด็นน่าสนใจ น่าจับตามองอีก ยกตัวอย่าง ทูตอเมริกาลงพื้นที่ยะลา พร้อมสนับสนุนการศึกษา สานสัมพันธ์สองประเทศ อเมริกาไปจงใจตั้ง American Corner ยะลา เพื่อหาเหตุที่จะให้เจ้าหน้าที่สถานทูตลงไปที่มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา อำเภอเมืองยะลา นายโรเบิร์ต โกเดค คณะ ไปพบนักศึกษา และเจ้าหน้าที่ ฟังผลดำเนินการ และมี ผศ.อับดุลรอซะ วรรณอาลี รองอธิการบดีฝ่ายกิจการพิเศษ ร่วมให้การต้อนรับ


ท่านผู้ชมครับ ยะลา เป็นหนึ่งในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งมีความไม่สงบ มีขบวนการแบ่งแยกดินแดนออกมาตลอดเวลา ถึงคุณจะมี American Corner แล้วคุณควรหรือไม่ควร มีมารยาทหรือไม่ ที่จะรู้ว่ายะลาเป็นพื้นที่อันตราย สุ่มเสี่ยงต่อการแบ่งแยกดินแดนออกมา แล้วคุณยังจะไป นี่คุณไม่ได้ให้เกียรติประเทศไทยเลยหรือ ผมถึงเข้าใจว่าทำไมคุณต้องไปตั้งศูนย์ American Corner ที่ยะลา เหตุผลง่ายๆ นิดเดียว คุณจะได้หาเหตุลงไป แล้วไปปลุกปั่น คุณไปคุยอะไรลับๆ กับพวกเขา ไม่มีใครรู้หรอก

ท่านรองอธิการบดีฝ่ายกิจการพิเศษ ราชภัฏยะลา ต้องให้คำตอบได้ เพราะข่าวแว่วมาว่าท่านก็เป็นหนึ่งในคนที่อยากจะให้ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส แยกออกมาเป็นรัฐอิสระ ผมไม่รู้ว่าจริงหรือไม่จริง ผมตั้งคำถามถามท่าน แต่เป็นการเสียมารยาทมากที่ทูตอเมริกาลงไปเยือน

ท่านผู้ชมครับ ไปเยือนที่ไหน ไปเยือนได้ แต่ทำไมต้องไปเยือนสถานที่ที่มันอ่อนไหวมาก ผมไม่รู้ว่าเขาสัญญาอะไรกันหรือเปล่า

การเข้ามาแทรกแซง การเคลื่อนไหวของเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ทำให้วุฒิสภาของไทย นำโดยคุณสมชาย แสวงการ เชิญนายโรเบิร์ต โกเดค มาสอบถาม


พฤหัสบดีที่ 4 พฤษภาคม สมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา ประธานคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพ การคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา โพสต์เฟซบุ๊กว่า "คนไทยชักศึกเข้าบ้าน และสหรัฐฯ แทรกแซงอธิปไตย" เขาบอกว่าจากเอกสารที่คนไทยกลุ่มหนึ่งอ้าง กล่าวหาให้ร้ายประเทศไทย ส่งถึงรัฐมนตรีต่างประเทศอเมริกา วุฒิสมาชิกกลุ่มหนึ่งของอเมริกาเคลื่อนไหวต่อเนื่อง ออกมติวุฒิสภาที่ 114 ต่อประเทศไทย

วันพุธที่ 3 พฤษภาคม เขาเชิญนายโรเบิร์ต เอฟ. โกเดค และคณะ แลกเปลี่ยนความเห็นข้อเท็จจริงในห้องรับรองพิเศษวุฒิสภา คุณสมชาย แสวงการ เล่าว่า ในการหารือกันได้เสนอให้ท่านทูตสหรัฐฯ รับทราบข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง ยืนยันว่า มิได้เป็นไปตามที่กลุ่มบุคคลเหล่านั้นไปกล่าวหาให้ร้ายคณะกรรมาธิการของวุฒิสภาไทยที่ติดตามดูแลการเลือกตั้งของคณะกรรมการ ไม่พบปัญหาข้อกล่าวหา ซึ่งมีคนทำจดหมายไปถึงวุฒิสมาชิก ท่านผู้ชมครับ มันจัดฉากกันทั้งนั้น คุณช่วยทำจดหมายมากล่าวหาหน่อย แล้วเดี๋ยวเราจะประชุมวุฒิสภา เอาเฉพาะวุฒิสภาพวกที่อยู่ภายใต้การแทรกแซงของ CIA และรัฐบาลอเมริกา ที่สายเดโมแครต เดี๋ยวเราจะออกมติที่เขาเรียกว่า Resolution


คุณสมชายบอกว่า ประเทศไทยให้เสรีภาพเต็มที่ในการหาเสียงเลือกตั้งของทุกพรรคการเมือง สื่อมวลชนสามารถจะสื่อข่าวสารได้อย่างเสรี ไม่ปิดกั้น คณะกรรมาธิการวุฒิสภาไทยเห็นว่าร่างมติ 114 ที่วุฒิสภาอเมริการ่าง ให้ร้าย และข่มขู่ กล่าวหาสถาบันกษัตริย์ แทรกแซงการเลือกตั้ง ทั้งก่อน ระหว่าง และหลังการเลือกตั้งนั้น ไม่เป็นความจริง ทำให้วุฒิสภาไทยไม่สบายใจ เกรงจะกระทบกระเทือนความสัมพันธ์อันดี เพราะข้อเท็จจริงแล้วสถาบันกษัตริย์ไทยทรงอยู่เหนือการเมือง มิได้ยุ่งเกี่ยวในการเลือกตั้งใดๆ ตามที่กล่าวหาให้ร้าย

ท่านผู้ชมครับ ผมจะอ่านให้ฟัง ภาษาอังกฤษ ข้อ 10 unequivocally states that direct or indirect military or royal intervention before, during, or after the general election would (a) profoundly undermine belateral relations between the United States and Thailand and (b) endanger economic and security assistance to Thailand and regional and economic cooperation.


ผมจะแปลเป็นไทยให้ฟัง ข้อ 10 กล่าวอย่างชัดเจนว่า การแทรกแซงทางทหาร หรือราชวงศ์ ทั้งทางตรง และทางอ้อม ก่อน ระหว่าง หรือหลังการเลือกตั้งทั่วไป จะเป็นบ่อนทำลายความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างอเมริกาและประเทศไทยอย่างร้ายแรง และ (b) ส่งผลกระทบต่อความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจและความมั่นคงต่อประเทศไทย และความร่วมมือระหว่างภูมิภาค และความร่วมมือทางเศรษฐกิจ

คุณสมชาย แสวงการ พูดว่า มีวุฒิสมาชิกบางท่านในอเมริกาเข้าใจผิด นำข้อมูลดังกล่าวไปร่างยื่นขอมติวุฒิสภาที่อเมริกา Resolution 114 ที่กล่าวร้ายรุนแรงต่อประเทศไทยโดยไม่เป็นความจริง

ส่วนประเด็นที่สอง เขาหารือเรื่องกองทุน NED ที่ให้ทุนสนับสนุนพวกเคลื่อนไหวทางการเมือง เพื่อยกเลิกรัฐธรรมนูญ 2560 และยกเลิกมาตรา 112 ซึ่งเป็นกฎหมายคุ้มครองพระประมุข เอกอัครราชทูตประเทศไทยได้ตอบรับทราบเรื่อง 2 เรื่อง รับปากว่าจะสื่อสารไปที่รัฐบาลและวุฒิสภาเพื่อจะดำเนินการต่อไป

ท่านผู้ชมรู้ไหม เมื่อประชุมเสร็จแล้ว นายโกเดค ยื่นมือไปจับมือกับทุกคนเลย ยกเว้น ส.ว.สมชาย แสวงการ ที่มันไม่ยอมจับมือด้วย เพราะคุณสมชาย แสวงการ เขาออกมาต่อสู้เพื่อปกป้องประเทศไทย ปกป้องสถาบันกษัตริย์ และได้ทำหน้าที่วุฒิสมาชิกอย่างเต็มที่ที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน คุณสมชายเป็นคนแรกที่ทำ

ตัวอย่างที่สอบ สืบเนื่องจากมติวุฒิสมาชิกของอเมริกาในการออก 114 เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2566 กล่าวร้ายอย่างรุนแรงต่อประเทศไทยโดยไม่เป็นความจริง ถือว่าเป็นการแสดงท่าทีแทรกแซงการเมืองไทย รวมทั้งข่มขู่หน่วยงาน สถาบัน องค์กรต่างๆ ในประเทศไทย ในเวลาต่อมา สภาคองเกรสออกมติสภาผู้แทนราษฎร (เมื่อกี้คือวุฒิสมาชิก หรือสภา Senate) ตอนนี้มันให้สภาคองเกรสออกอีกฉบับหนึ่ง มตินี้เสนอโดยนางซูซาน ไวลด์ พรรคเดโมแครต จากรัฐเพนซิลเวเนีย ระบุว่า เพื่อเป็นการสนับสนุนความเป็นพันธมิตรระหว่างไทย-อเมริกา และเรียกร้องให้รัฐบาลไทยปกป้อง ผดุงไว้ซึ่งประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน หลักนิติธรรม สิทธิเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบ เสรีภาพในการแสดงออกก่อนการเลือกตั้งในประเทศไทย 2566 และอื่นๆ วัตถุประสงค์


เนื้อหาของมติสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ก็ร่ายยาว พร้อมทั้งตบท้ายด้วยการเข้ามายุ่ง มาจุ้น มาเสือกกับกิจการในประเทศ ในตอนท้ายเขาเขียนว่าอย่างไร ผมจะแปลให้ฟัง

เรียกร้องให้รัฐบาลไทยยกเลิก แก้ไขกฎหมายกฤษฎีกาในการใช้เซ็นเซอร์เนื้อหาคำพูดออนไลน์ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการเลือกตั้ง รวมทั้งประเทศไทย เช่น กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ กฎหมายยุยงปลุกปั่น กฎหมายอาญามาตรา 116

ท่านผู้ชมครับ นี่มันประเทศไทยนะ ส.ส. วุฒิสมาชิกอเมริกามายุ่งอะไรกับพวกเรา มาเสือกอะไรด้วย จุ้นจ้านอะไร จะให้แก้โน่นแก้นี่ มันกงการอะไรของพวกคุณ นี่คือการแทรกแซงทางการเมือง กิจการภายในของประเทศไทยหรือเปล่า ซึ่งเป็นแน่นอน และผมเชื่อว่ามีการประสานงานเลยจากกลุ่มคนที่ผมเอ่ยชื่อไปแล้วหลายคน เฮ้ย! ผมส่งจดหมายไปนะ คุณช่วยออกมติเรื่องนี้หน่อย ท่านผู้ชมครับ มตินี้เคยออกมาแล้วสมัยที่รัฐบาลจีนปราบปรามโจชัว หว่อง ที่ฮ่องกง วุฒิสมาชิกและคองเกรสอเมริกาก็ออกมตินี้ออกมา เพื่อให้การสนับสนุน ฉันใดฉันนั้น แสดงว่าความวุ่นวาย การนองเลือดในประเทศไทยใกล้จะเกิดขึ้นแล้ว เพราะมันได้ปูทางไว้เรียบร้อยแล้ว

ท่านผู้ชมเห็นหรือยัง เห็นชัดหรือยังว่าสงครามผสมผสาน สงครามพันทางที่เราเผชิญอยู่นั้นมีรูปลักษณ์หน้าตาเป็นอย่างไร หมากกล จิ๊กซอว์ต่างๆ ที่เขาวางเอาไว้มีความลึกลับซับซ้อน ถักทอผสานรวมกันไว้อย่างแยกกันไม่ออก โดยหมากหรือจิ๊กซอว์ทางการเมืองที่เผยโฉมออกมาชัดเจน คือการเลือกตั้งครั้งนี้ ปี 2566 ก็คือคุณพิธา พรรคก้าวไกล รับมรดกตกทอดมาจากธนาธร แบบโคลนนิ่งกันมา แต่ต้นแบบยังถูกควบคุมโดยมหาอำนาจเจ้าจักรวรรดินิยมอย่างอเมริกา ซึ่งกระทำทุกวิถีทาง สงครามทุกรูปแบบ เพื่อจะแทรกแซงการปกครอง ทางเศรษฐกิจ ธุรกิจ ผลประโยชน์ทางการจัดระเบียบสังคม เรื่อยไปจนกระทั่งถึงการจัดการ ควบคุมสถาบันต่างๆ โดยเฉพาะสถาบันหลักของชาติ คือสถาบันกษัตริย์ของไทย ให้อยู่ในกำมือของเขาให้ได้ ถ้าควบคุมแก้ไขให้อยู่ในอาณัติไม่ได้ ก็ล้มล้างสถาบันกษัตริย์ไปเลย

ท่านผู้ชมครับ นี่ล่ะครับเป็นความคิดเชิงยุทธศาสตร์ระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาว ที่ผมเห็นด้วยเกี่ยวกับประเทศไทย ข้อสรุปสุดท้ายที่ผมได้ คือ พวกเราอาจจะเปรียบได้ว่าเป็นฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่ก้าวหน้า ผมอนุรักษ์นิยมครับ แต่เป็นฝ่ายก้าวหน้า คือกลุ่มที่ยังเห็นคุณค่า เชื่อมั่นในรากฐานทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ประเพณีดั้งเดิมอยู่ แต่ผมยอมรับพลวัตการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ ที่เข้ามา การพลิกขั้วของโลกในทุกมิติ เพื่อผลักดันประเทศไทยให้อยู่กับร่องกับรอย สามารถทำให้ประเทศชาติก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง ยั่งยืน ทำให้ประชาชนชาวไทยใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างร่มเย็นเป็นสุข สามารถปกป้องประเทศชาติ ประชาชน และสถาบันพระมหากษัตริย์ให้อยู่รอดปลอดภัยได้ ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วและรุนแรงในโลกนี้


ถ้าท่านเห็นด้วยกับผมว่าประชาธิปไตย 4 วินาที คือการเลือกตั้งเลือกผู้แทน 4 ปี เข้ามาในสภาฯ เพื่อปู้ยี่ปู้ยำประเทศไทย ไม่ใช่ทางออก เราต้องสร้างกระแสผลักดันให้มีการเปลี่ยนแปลงจากสายอนุรักษ์นิยมที่ก้าวหน้า ให้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ไม่ใช่อนุรักษ์นิยมในอดีตที่เป็นอยู่ในขณะนี้

ท่านผู้ชมครับ ผมคือฝ่ายอนุรักษ์นิยม แต่เป็นหัวก้าวหน้าที่ยังคงต้องการรักษาระเบียบแบบแผน ประเพณี ที่สมควรจะรักษาเอาไว้ และผมเป็นอนุรักษ์นิยมก้าวหน้าที่เอาพระมหากษัตริย์ และผมจะต่อสู้ทุกรูปแบบ ทุกมิติ ต่อกลุ่มคนที่ต้องการล้มล้างสถาบันกษัตริย์ ไม่ว่าจะเป็นคนไทย หรือว่าจะเป็นอเมริกา บิดาของคนหลายคนและอาจารย์หลายคน นักการเมืองหลายคน ที่อ้างว่าตัวหัวก้าวหน้า ที่อยู่เบื้องหลังคนพวกนี้

ท่านผู้ชมครับ วันนี้จัดกันอย่างเต็มๆ ชุดใหญ่ไฟไหม้บ้านเลย ท่านผู้ชมครับ วันที่ 14 วันเลือกตั้ง ตั้งแต่ 17.00 น. เป็นต้นไป หลังปิดหีบแล้ว ท่านผู้ชมสามารถติดตามได้จากเพจเฟซบุ๊ก News1 และเว็บไซต์ MGROnline เราจะมีทีมงานที่วิเคราะห์การเมืองอย่างถึงพริกถึงขิงจริงๆ ท่านหาไม่ได้หรอกช่องอื่น มีคุณโสภณ โองการณ์ คุณปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คุณนพรัฐ พรวนสุข คุณชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย คุณนงวดี ถนิมมาลย์ และคุณอุษณีย์ เอกอุษณีย์ อย่าพลาดนะครับ ตั้งแต่ 17.00 น. เป็นต้นไป วันที่ 14 สำหรับวันนี้ เป็นชุดใหญ่ไฟไหม้บ้าน ท่านผู้ชมครับ แชร์รายการนี้ไปให้มากที่สุด และเก็บเอาไว้ มาดูต่อไปได้ตลอดเวลา คำทำนายของผมไม่มีวันผิด ถ้าเราเปิดประตู สนับสนุนคนที่พร้อมจะทำให้ประเทศไทยเป็นยูเครน 2 เราได้รับแน่นอนคือการเป็นยูเครน 2 ต้องมีการนองเลือดแน่นอน อย่างแน่นอนที่สุด เพราะถ้าเราตกเป็นเครื่องมืออเมริกาในการปะทะกับจีนแล้ว ประเทศไทยคือประเทศกระสุนตกของจีนล่ะ วันนั้น ถึงเวลานั้น อ้าย และอีทั้งหลาย ที่เป็นตัวการที่เปิดประตูให้ฝรั่งเข้ามานั้น มันจะรับผิดชอบกับประเทศไทยที่พังล่มสลายเหมือนยูเครนได้หรือเปล่า ท่านผู้ชมครับ อาทิตย์หน้าอย่าลืม ต้องดูรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ให้ได้ เพราะจะมีการขุดเบื้องลึกเบื้องหลังการเลือกตั้งครั้งนี้ สำหรับวันนี้ขอลาไปก่อน สวัสดีครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น