วันที่ 28 เม.ย.2566 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ไลฟ์สด “SONDHI TALK” ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ คุยทุกเรื่องกับสนธิ ช่องยูทูป Sondhitalk หรือ Sondhitalk (ช่องสำรอง) และแอปพลิเคชัน Sondhi App โดยมีประเด็นที่ได้เล่าในวันนี้ได้แก่
- วิเคราะห์เลือกตั้ง 66 “สองลุง-สองหลาน”
- เลือกตั้ง 66 รถด่วนขบวนสุดท้าย ฝ่ายอนุรักษ์นิยม
- “ชูวิทย์-เอกรักษ์” เบื้องหลังถุงเงิน 6 ล้าน เบื้องลึก “เกมยึด ป.ป.ง.”
- ตำรวจน้ำดียังมีอยู่
ติดตามได้ใน SONDHI TALK : ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง Ep.186
คำต่อคำ SONDHI TALK EP. 187 [28 เม.ย. 66] : “ชูวิทย์-เอกรักษ์” เบื้องหลังถุงเงิน 6 ล้าน เบื้องลึก เกมยึด ป.ป.ง. - เลือกตั้ง 66 “สองลุง-สองหลาน” รถด่วนขบวนสุดท้ายฝ่ายอนุรักษ์นิยม
ช่องทางการรับชมรับฟัง "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" หรือ SONDHI TALK
แอปพลิเคชัน : SONDHI APP
ระบบ iOS ดาวโหลดได้ที่ AppStore : https://apps.apple.com/th/app/sondhi-app/id1588046647.
ระบบ Android ดาวโหลดได้ที่ Google Play : https://play.google.com/store/apps/details?id=com.sondhitalk.asia.android
เฟซบุ๊กแฟนเพจ : คุยทุกเรื่องกับสนธิ
YouTube : Sondhitalk
เว็บไซต์: www.sondhitalk.com
Podcast หรือ podbean : SONDHI TALK
สวัสดีครับท่านผู้ชมที่กำลังชมรายการสดทาง Sondhi App, Facebook, YouTube และ TikTok วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2566 วันนี้ก่อนที่จะเข้ารายการผมต้องพูดสักนิดหนึ่ง ช่วงนี้โควิดอีกสายพันธุ์หนึ่งกำลังเริ่มกลับมาระบาดอีกทีหนึ่งแล้ว ผมเคยพูดกับท่านผู้ชมแล้วไม่ใช่หรือว่า อย่าลืม ต้องมีฟ้าทะลายโจรติดตัวไว้ที่บ้าน แล้วฟ้าทะลายโจรที่ดีที่สุดก็คือของอาจารย์ปานเทพ เพราะทำจากใบ เนื่องจากในใบนั้นมีสารแอนโดรกราโฟไลด์ (Andrographolide) มากที่สุด
อีกประการหนึ่ง ผมจะมีของแนะนำให้ในวันนี้ สเปรย์สมุนไพร คล้ายๆ สเปรย์ยี่ห้อคามิโลซาน (Kamilosan) แต่ว่าดีกว่าเยอะเลย คามิโลซาน มีประมาณ 15 ซีซี แต่นี่ 30 ซีซี ผมอยากให้ท่านผู้ชมมีติดตัวไว้ เนื่องจากอันนี้มีสารแอนโดรกราโฟไลด์ คือสารที่อยู่ในฟ้าทะลายโจร ที่เจ้าอื่นไม่มีเลย ผมใช้ประจำแล้วตอนนี้ เจ็บคอหรืออะไรก็ตาม ให้ฉีดเข้าไปเลย 2-3 ครั้ง 30 ซีซี มากกว่าคามิโลซานประมาณเท่าตัว ควรจะติดตัวเอาไว้ เวลาท่านผู้ชมไปที่ไหน อยู่ในระหว่างทาง หรืออยู่ในที่ๆ เราไปเจอคนหลายคน เปิดหน้ากาก แล้วฉีดเข้าคอสักนิด สารแอนโดรกราโฟไลด์ที่ฟ้าทะลายโจรมีอยู่ อยู่ในนี้ด้วย เพราะฉะนั้น เจ็บคอ เป็นหวัด ฉ๊ดได้ทันที
แล้วผมจะแนะนำให้ท่านผู้ชม เวลากลับบ้าน อย่างเช่นท่านผู้ชมไปงานศพ หรือไปประชุมอะไรก็ตาม ตอนเย็นๆ นอกจากฉีดอันนี้แล้ว พอกลับบ้านแล้วให้เอาฟ้าทะลายโจรของอาจารย์ปานเทพ ทานเข้าไป 4 เม็ด เป็นมาตรฐานเลย 4 เม็ด อาจารย์ปานเทพก็ทำแบบนี้ ผมก็ทำแบบนี้ พอตื่นเช้ามาถ้าไม่มีอาการเพิ่มเติมก็จบ แต่ถ้ามีอาการ ก็เฝ้าดูอาการและทานต่อ วันละ 4 มื้อ มื้อละ 4 เม็โ 5 วันหายขาด ไม่ว่าจะเป็นสายพันธุ์ไหนก็ตาม อย่าลืมนะครับ นี่คือเพื่อสุขภาพของท่านผู้ชม
อยากให้ท่านผู้ชมซื้อเก็บเอาไว้ ท่านผู้ชมซื้อได้เลยที่ Shopee, Lazada เพราะว่าเป็นยาฉีดสมุนไพรที่มีส่วนผสมของ "แอนโดรกราโฟไลด์" ที่มีอยู่ในฟ้าทะลายโจร ทุกบ้านน่าจะมีฟ้าทะลายโจรติดบ้านเอาไว้ ถ้ามีอาการก็หยิบมาเลย ถ้าไม่มีอาการก็ยังทานได้ เวลาไปข้างนอก เจอผู้คนมากๆ แล้วเราไม่มั่นใจในตัวเอง กลับบ้านปั๊บ ทาน 4 เม็ด ก็หลับสบาย ไม่มีปัญหา
ส่วนตัวสมุนไพรฉีดนั้น นอกจากมีแอนโดรกราโฟไลด์แล้ว ยังมีสารสกัดจากธรรมชาติ มีเปลือกมังคุด ซึ่งลดการอักเสบ และสารแอนโดรกราโฟไลด์นั้นมีประสิทธิภาพในการยับยั้งการแบ่งตัวของไวรัส และยับยั้งการอักเสบได้
ก่อนที่จะเดินหน้าต่อไป ก็อย่าลืม "ยาลม ๓๐๐ จำพวก" สอบถามเข้ามาเยอะเลย มีของพร้อมส่งแล้วนะครับ ทั้งฟ้าทะลายโจรของอาจารย์ปานเทพ หรือว่าสเปรย์พ่นสมุนไพร พ่นปาก บรรเทาอาการเจ็บคอ ทั้งหมดนี้สามารถจะสั่งซื้อได้จากไลน์ (LINE) @sunherb หรือทางเว็บไซต์ www.sunherb.com ซึ่งเรามีโปรโมชันอยู่ หรือทาง Shopee, Lazada ก็มี อย่าลืมนะครับ เพื่อสุขภาพ "ยาลม ๓๐๐ จำพวก" ซื้อให้ผู้หลักผู้ใหญ่ ผมทานมาแล้วสองปีกว่า ยังไม่หยุดทานเลย ผมไม่มีปัญหาเรื่องลมในร่างกายผม แม่บ้านที่นี่มีอาการเหมือนกับว่าเป็นกรดไหลย้อน ทานเข้าไปประมาณเกือบเดือน กรดไหลย้อนก็หายสนิท ไม่มีปัญหาอะไรทั้งสิ้น เป็นการไล่ลม
ท่านผู้ชมครับ อาทิตย์นี้มีแค่ 3 เรื่องเท่านั้นเอง เรื่องแรก เราจะพูดถึงเรื่องการเลือกตั้ง 66 ระหว่าง "สองลุง กับ สองเด็ก" แล้วผมจะพูดต่อว่ามันเป็นรถด่วนขบวนสุดท้ายของฝ่ายอนุรักษ์นิยมแล้ว ครั้งสุดท้าย ถ้าอนุรักษ์นิยมจะรวมตัวกัน แล้วพึ่ง ส.ว. 250 เสียง ก็มีสิทธิ์ที่จะตั้งรัฐบาลได้ แต่ขณะเดียวกัน ผมขอเตือนก่อนว่ามันเป็นรถไฟขบวนสุดท้ายของกลุ่มอนุรักษ์นิยม ถ้าไม่ปรับปรุงตัวเอง เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟังว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง
อีกเรื่องหนึ่งของการเมือง เลือกตั้ง 66 นั้น สิ่งที่ผมกังวลมาก เดี๋ยวผมจะพูดต่อ คือ ใครก็ตามที่เข้าไปบริหารชาติบ้านเมือง ผมกลัวว่าคนที่สนิทสนมกับสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะอย่างยิ่งพรรคก้าวไกล และพรรคเพื่อไทย ไม่ว่าจะเป็นคุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หรือคุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ซึ่งเป็นเอเยนต์ของอเมริกาเต็มตัว แล้วเดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟังว่า ถ้าคนพวกนี้มีอำนาจในแผ่นดินแล้ว ประเทศไทยลุกเป็นไฟแน่ เกิดสงครามแน่นอน เพราะว่าคนพวกนี้จะเปิดประตูประเทศไทยให้อเมริกามาตั้งฐานทัพ มาตั้งขีปนาวุธ เพื่อมาปิดล้อมจีน แล้วคราวนี้ไม่จืดเลย เพราะฉะนั้นประเทศไทยจะอยู่รอดหรือไม่รอด การเลือกตั้งเป็นส่วนหนึ่ง แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ ภูมิรัฐศาสตร์ที่เปลี่ยนแปลงไปแล้ว เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟังว่ารายละเอียดเป็นอย่างไรบ้าง
เรื่องที่สอง ผมค้างท่านผู้ชมมานานแล้ว คือเรื่องถุงเงิน 6 ล้าน กับเกมยึดอำนาจ ปปง. ผมชี้ให้เห็นในรายการวันนี้ว่ามันเป็นก๊วนคุณชูวิทย์ กับ พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ ซึ่งสองคนนี้เกี่ยวข้องกันตั้งแต่ต้นมาจนจบ และผมมีหลักฐานข้อมูลต่างๆ เพราะว่า "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ยึดถือปรัชญาของ "ความจริงนั้นมีหนึ่งเดียว" ท่านผู้ชมฟังต่อไปแล้วท่านผู้ชมจะเข้าใจป่าทั้งป่าเลย
เรื่องสุดท้าย เรื่องเล็กๆ เป็นเรื่องที่น่ารักมาก ตำรวจน้ำดีก็ยังมีเหลืออยู่บ้าง วันนี้ผมจะเอาเรื่องของตำรวจน้ำดี เรื่องสั้นๆ ไม่ยาว แต่กินใจและให้ข้อคิดกับเราได้เยอะว่า จริงๆ แล้วตำรวจที่ดีๆ ก็ยังมีอยู่ เพียงแต่ว่าหลายๆ ครั้งที่เขาทำอะไรแล้วไม่ได้รับการเชิดชู
เลือกตั้ง 66 รถด่วนขบวนสุดท้ายฝ่ายอนุรักษ์นิยม
ท่านผู้ชมครับ อีกไม่เกินสองสัปดาห์ที่จะถึงนี้ก็จะถึงการเลือกตั้งทั่วไป ในวันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคม 2566 ซึ่งเป็นการเลือกตั้งที่น่าสนใจ มีหลากหลายมิติด้วยกัน และจะเป็นการเลือกตั้งที่ชี้ชะตาอนาคตประเทศไทยจริงๆ รวมไปจนถึงสังคมไทยในอีกหลายสิบปีข้างหน้า
ท่านผู้ชมหลายท่าน inbox เข้ามา คนรู้จักผมหลายคนก็ถามว่า คุณสนธิมีมุมมองและมีประเด็นวิเคราะห์การเลือกตั้งครั้งนี้อย่างไรบ้าง ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยอยากจะวิเคราะห์เรื่องคนทะเลาะกันไปทะเลาะกันมา เรื่องการพูดจาว่าผมไม่เอาคุณ คุณไม่เอาผม เพราะผมรู้ว่าการเมืองเมืองไทยในระหว่างหาเสียงใส่ร้ายสาดโคลนป้ายสีกันเป็นเรื่องปกติธรรมดา แล้วพอจบการเลือกตั้ง ก็มาดูที่ผลประโยชน์ของฝ่ายใครจะลงตัวมากที่สุด คนที่เคยด่ากันจะเป็นจะตาย ในที่สุดก็มาจับมือ กอดคอกัน แล้วก็พูดในทำนองที่เป็นภาษาอมตะวาจาเลยว่า ผมต้องการเข้ามาทำงานเพื่อชาติ เพราะฉะนั้นเรื่องเก่าๆ ผมลืมไปแล้ว เรามาจับมือกันเพื่อเดินหน้าต่อไป หรืออีกนัยหนึ่ง ขณะนี้พวกเรากำลังดูลิเกกันอยู่ ก็เป็นลิเกที่เป็นอย่างนี้มานานแล้ว
มุมมองทางการเมืองในการเลือกตั้งในความเห็นของผมนั้น ผมมีประเด็นอยากจะพูดอย่างนี้ครับ จริงๆ แล้วการเลือกตั้งครั้งนี้ผมแบ่งอย่างนี้ได้เลยว่ามันเป็นการต่อสู้กันระหว่าง "กลุ่มอนุรักษ์นิยม" และ "กลุ่มเสรีนิยม"
"เสรีนิยม" ก็คือแนวนโยบายประเทศทางตะวันตก ที่เขาเรียกว่า Liberalism ตอนนี้มียุคใหม่แล้ว ที่เขาเรียกว่า "เสรีนิยมใหม่" (Neoliberalism)
การเลือกตั้งนั้นจะเป็นการต่อสู้ระหว่าง 2 ฝ่าย อย่างชัดเจน ที่ผ่านมาทางฝั่งเสรีนิยม คือฝั่ง Liberalism นั้น หรือขั้วตรงข้ามรัฐบาล จะมีการหยิบยกเรื่องเดิมมาพูด คือเรื่องข้อตกลงลับระหว่างพรรคเพื่อไทย กับ ฝั่งพลังประชารัฐ ถึงกับทางพรรคก้าวไกลใช้วลีทีเด็ด ทำให้คะแนนพรรคก้าวไกลกระโดด ตามโซเชียลมีเดีย คือพรรคก้าวไกลบอกว่า เลือกเพื่อไทยจะได้ลุงป้อมเป็นนายกฯ มีการปล่อยข่าวกันว่า ถ้าไม่อยากได้ลุงป้อม ฝั่งเสรีนิยมก็ต้องเลือกพรรคให้ถูก ก็หมายถึงพรรคก้าวไกลนั่นเอง
เจอเข้าแบบนี้ หนูอุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ชินวัตร แคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย และหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย พร้อมแกนนำเพื่อไทย ถึงกับสั่นสะเทือน จนต้องตั้งโต๊ะแถลงข่าวพร้อมกับบอกเป็นนัยว่า จะไม่ร่วมรัฐบาลกับฝ่ายรัฐประหารอย่างแน่นอนที่สุด เดือดร้อนมาก ต้องออกมาชี้แจง
ต่อมา วันที่ 21 เมษายน 2566 คุณเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ก็ประกาศตอกย้ำว่า พรรคเพื่อไทย จะไม่ร่วมกับพรรคพลังประชารัฐ และพรรครวมไทยสร้างชาติ พอแล้ว 8 ปีที่ผ่านมา เพราะสองพรรคนี้มีส่วนร่วมในการทำรัฐประหาร ปล้นอำนาจอธิปไตยของประชาชน ไม่ร่วมอย่างแน่นอน
มีการ์ตูนของบัญชา คามิน ออกมา ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ให้เห็นว่ามันเป็นตลกร้าย เป็นรูปของทักษิณ ชินวัตร นอนเคียงคู่กับลุงป้อม แล้วก็ดูทีวีที่คุณเศรษฐาบอกว่า ขอประกาศชัดเจน เราไม่จับมือกับพลังประชารัฐ รวมไทยสร้างชาติ แน่นอน เพราะร่วมทำรัฐประหาร
ทั้งหมดนี้เป็นการแก้เกมทางการเมืองก่อนการเลือกตั้งที่จะมาถึงอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้
ส่วนเลือกตั้ง 2566 นั้น มันมีรอยร้าวในกลุ่มพรรคเสรีนิยม หรือพวกเพื่อไทย และก้าวไกล ทั้งคู่อ้างว่าตัวเองอยู่ฝั่งเสรีนิยม ก่อนหน้านั้นทั้งคู่ก็ประเมินว่ามีฐานเสียงเดียวกัน ในช่วงหลัง การที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ และพรรคก้าวไกล ออกมาประกาศว่า "มีลุง ไม่มีเรา มีเรา ไม่มีลุง" เพื่อตอกย้ำว่าพรรคก้าวไกลไม่มีวันเกี้ยเซียะ หรือจับมือกับฝ่ายอนุรักษ์นิยม ไม่ว่าจะเป็นพรรคพลังประชารัฐ หรือพรรครวมไทยสร้างชาติ ของสองลุงอย่างแน่นอน ทำให้ผลโพลต่างๆ คะแนนของพรรคก้าวไกลพุ่งขึ้นแรงในช่วงหลังสงกรานต์ที่ผ่านมา สร้างความสั่นคลอนให้กับเป้าหมายแลนด์สไลด์ของพรรคเพื่อไทยอย่างมาก
ด้วยเหตุนี้พรรคเพื่อไทยจึงออกมาสำทับด้วยคำพูดที่ว่า "ไม่มีพรรคพี่ พรรคน้อง ไม่มีขายพ่วง" นั่นก็คือสัญญาณของการตัดขาดญาติมิตร รณรงค์เลือกพรรคเพื่อไทยให้ชนะขาด
นอกจากนี้แล้ว ทางพรรคขั้วเพื่อไทยยังปล่อยวลีเด็ดออกมาว่า "เลือกก้าวไกล ได้ลุงตู่" ด้วยเหตุว่า ปฏิเสธไม่ได้ว่าพรรคก้าวไกล อย่างไรก็เป็นพรรคขนาดกลาง ไม่สามารถเป็นแกนหลักในการจัดตั้งรัฐบาลได้ด้วยตัวเอง ดังนั้น การเลือกพรรคก้าวไกลจึงเปรียบได้กับการเลือกพรรคฝ่ายค้าน และยิ่งผลักให้ขั้วอนุรักษ์นิยมกลับมาจัดตั้งรัฐบาลได้อีกอย่างแน่นอน เพราะว่ายังมีเสียง ส.ว. อีก 250 เสียง เป็นทุนรอนอยู่ในกระเป๋าที่จะเรียกมาใช้เมื่อไรก็ได้ แต่ก็ใช้ได้แค่ครั้งนี้ครั้งสุดท้ายเท่านั้นเอง
ท่านผู้ชมครับ เราจะเห็นได้ชัดว่าการเติบโตของพรรคก้าวไกล ที่อ้างว่าเป็นฝ่ายเสรีนิยม ฝั่งเดียวกับพรรคเพื่อไทย กลายเป็นแย่งคะแนนเสียงกันเอง การที่รณรงค์ให้เลือกขาด ไม่มีพรรคพี่ พรรคน้อง ไม่มีเลือกพวกเมื่อยังไม่ได้ผล และการโหวตยังมีแนวโน้มไม่สวิงข้ามขั้ว ตรงกันข้าม กลับส่งผลกระทบอย่างหนัก เพราะยิ่งก้าวไกลมีอันดับเปอร์เซ็นต์ความนิยมเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ แบบหายใจรดต้นคอเข้ามาเรื่อยๆ มันจะทำให้เป้าหมายแลนด์สไลด์ของพรรคเพื่อไทยยิ่งห่างไกลจากความเป็นจริง
พรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกล กับการแทรกแซงทางการเมืองของชาติตะวันตก
ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา มีเหตุการณ์หลายเหตุการณ์พิสูจน์แล้วว่า ฝั่งเสรีนิยมของไทย ณ ปัจจุบันนั้น ลึกๆ แล้วเป็นเอเยนต์หรือตกเป็นเครื่องมือการแทรกแซงประเทศไทยและภูมิภาคนี้ ของชาติตะวันตก นำโดยสหรัฐอเมริกา และกลุ่มอียู หลายๆ เหตุการณ์พิสูจน์ให้เห็นชัดเลย ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนกลุ่มม็อบสามนิ้ว ที่มีการล้มล้างสถาบันกษัตริย์ ล้มมาตรา 112 ของพรรคอนาคตใหม่ มาจนถึงพรรคก้าวไกล ซึ่งนายใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังคือ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ปิยบุตร แสงกนกกุล และช่อ น.ส.พรรณิการ์ วานิช เรื่อยมาจนถึงพรรคก้าวไกลยุคที่หัวหน้าพรรคคือ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์
จากความคิดเห็น พฤติกรรม และสายสัมพันธ์นั้น ชัดเจนว่าฝั่งอนาคตใหม่ ก้าวไกล มีความใกล้ชิดถึงขั้นเป็นเอเยนต์ที่เอนเอียงไปทางผลประโยชน์ของชาติตะวันตก ที่หากสองพรรคมีอำนาจในรัฐบาล ก็สุ่มเสี่ยงว่ามีโอกาสสูงมากที่จะเปิดประตูให้ตะวันตก นำโดยอเมริกา เข้ามาแทรกแซงการเมืองไทย สนับสนุนนโยบายอเมริกา ชาติยุโรป ดำเนินนโยบายในการปิดล้อมมหาอำนาจเพื่อนบ้านของเราอย่างจีน แบบเข้มข้น
ท่านผู้ชมลองสังเกตพฤติกรรมของแกนนำพรรคฝั่งเสรีนิยมที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนผู้ประท้วงฮ่องกง นายโจชัว หว่อง ไต้หวัน การเข้าแทรกแซงกิจการในพม่า สนับสนุนม็อบที่ต่อต้านรัฐบาลอิหร่าน กดดันให้รัฐบาลไทยประณามรัสเซียในสงครามยูเครน
ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ได้พบ โจชัว หว่อง แกนนำม็อบฮ่องกงต่อต้านรัฐบาลปักกิ่ง เมื่อตุลาคม 2562
นอกจากนั้นแล้ว ธนาธรยังได้ว่าจ้างบริษัท แอปโก้ เวิร์ลด์ไวด์ ล็อบบี้ยิสต์อเมริกา เพื่อให้นายธนาธร ... นายธนาธร ยินดีจ่ายค่าที่ปรึกษาเดือนละถึง 306,300 บาท รวม 6 เดือน เพื่อให้ล็อบบี้ยิสต์ดังกล่าวพาธนาธรไปพบพวกบรรดาสมาชิกสภาคองเกรส และวุฒิสภาของอเมริกา เพื่อเอามาชี้แจงว่าตัวเองนั้นต่อสู้กับเผด็จการในประเทศไทย แล้วก็ด้อยค่าประเทศไทยอย่างรุนแรง
แม้กระทั่งการเมืองระหว่างประเทศ นายพิธา หัวหน้าพรรคก้าวไกล ก็ออกมาแถลงการณ์ประณามรัฐบาลทหารพม่า เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2565
ต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2566 นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ได้ทะลึ่งทวีตสนับสนุนม็อบอิหร่านในการต่อต้านรัฐบาล ตามการชี้นำของ Freedom House ซึ่งเป็นองค์กรเอกชนในความควบคุมของรัฐบาลอเมริกา จนทำให้สถานทูตอิหร่านประจำประเทศไทยต้องออกมาตอบโต้
ม็อบคณะราษฎรที่นำบุคลากรของพรรคก้าวไกลสนับสนุนและอยู่เบื้องหลัง โบกธงเรียกร้องเอกราชในฮ่องกง ให้ฮ่องกงประกาศตัวเป็นเอกราช ให้ไต้หวันประกาศตัวเป็นเอกราช ปฏิเสธสิทธิอันชอบธรรมว่าไต้หวันนั้นเป็นส่วนหนึ่งของจีน ยุยงส่งเสริมให้ทิเบตแยกตัวออกจากจีน เตอร์กิสถานตะวันออก ก็คือซินเจียง ในช่วงเดือนตุลาคม 2563
การกระทำเช่นนี้มันพิสูจน์ชัดเจนว่าสหรัฐอเมริกาและตะวันตกประสบผลสำเร็จในการแทรกแซงเข้ามาในกลุ่มพรรคก้าวไกล และกลุ่มม็อบสามนิ้ว และมีกลุ่มพวก CIA ทั้งหลายเข้ามาสนับสนุนและแอบให้การช่วยเหลืออย่างลับๆ เป็นที่รู้กันในบรรดาหมู่สำนักข่าวกรองต่างๆ ของประเทศไทยว่าอเมริกานั้นมีบทบาทอย่างแรง ผมจะไม่ประหลาดใจเลยว่า ผมดูทรงของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แล้ว ทรงพวกนี้ ตลอดจนรายการใน Voice TV หลายรายการ ไม่ว่าจะเป็นพิธีกรอย่างนายศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ ทรงนี้เป็นทรงที่เชียร์อเมริกาสุดลิ่มทิ่มประตู เพราะฉะนั้นแล้ว โอกาสที่จะทำให้ประเทศไทยนั้นเปิดโอกาสให้อเมริกามาตั้งฐานทัพ หรือมาตั้งฐานขีปนาวุธ ถ้าพรรคก้าวไกล หรือพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลนั้น มีโอกาสสูงมาก แล้ววันนั้นผมอาจจะยังมีชีวิตอยู่ หรือผมอาจจะตายไปแล้ว แต่ผมทำนายไว้ก่อนล่วงหน้าเลย ถ้าวันนั้นมาตามที่ผมคาดคะเน ประเทศไทยลุกเป็นไฟแน่นอน เพราะถ้าให้อเมริกามาตั้งฐานทัพ หรือมาตั้งขีปนาวุธในไทย ก็เท่ากับไปจ่อเรื่องความมั่นคงของจีนทันทีเลย เหมือนกับการเอาอาวุธไปจ่อหลังของจีน จีนไม่มีทางยอม แล้วคนที่ซวยก็คือประเทศไทย
ถ้าท่านผู้ชมติดตามรายการผมมาตลอด ท่านผู้ชมจะเห็นว่าสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่หน้าด้านอย่างบัดซบ ตัวเองต้องการครองโลก ต้องการเป็นเจ้าโลก ต้องการให้ทุกคนเชื่อฟังตัวเอง ทำตามกติกาที่ตัวเองร่าง ถ้าตัวเองบอกว่าอันนี้ถูกกฎหมาย ก็ถูกกฎหมาย ถ้าตัวเองบอกอันนี้ผิดกฎหมาย ไปทำอะไรที่ตรงข้ามนโยบายอเมริกา อเมริกาก็จะใช้เงื้อมมือของตัวเองเข้าไปจับคนพวกนั้นมา เหมือนกับนางเมิ่ง หว่านโจว
ซึ่งแต่ก่อนนั้นเป็นผู้อำนวยการฝ่ายการเงินของหัวเว่ย ที่ถูกอเมริกาใช้แคนาดาจับตัวอยู่ในแคนาดา แล้วต่อสู้กันมาทางศาลสองปีกว่า จนในที่สุด อเมริการู้ว่าพ่ายแพ้แน่นอน ก็เลยจำเป็นต้องปล่อยนางเมิ่ง หว่านโจว นี่ยกตัวอย่างให้ฟังง่ายๆ
กลุ่ม NED ที่ประเทศอเมริกา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง NED เป็นสาขาส่วนหนึ่งของกระทรวงการต่างประเทศอเมริกา ผู้อำนวยการ NED ถึงกับลั่นว่า NED คือ CIA ภาคพลเมือง NED ได้งบประมาณมา แล้วเอางบประมาณนี้มาสนับสนุนพวกม็อบสามนิ้วผ่านอาจารย์หลายคน และนักการเมืองต่างๆ ไม่มีอะไรที่อเมริกาจะพอใจเท่ากับทำให้ประเทศไทยวุ่นวาย เพราะประเทศนี้ถนัดในการสร้างความแตกแยก
แล้วท่านผู้ชมดูสิครับ เวลามันสร้างความแตกแยก เวลามีเรื่องกัน มันจะให้แต่ละประเทศออกหน้า เหมือนกับในเอเชียตอนนี้ มันเชิญประธานาธิบดีเกาหลีใต้ แล้วมันจับประธานาธิบดีเกาหลีใต้จับมือกับญี่ปุ่น ทั้งๆ ที่ญี่ปุ่นเป็นประเทศในทางประวัติศาสตร์แล้วเข้าไปยึดครองเกาหลีใต้ และใช้นโยบายที่โหดเหี้ยมอำมหิตกับคนเกาหลี แต่ประธานาธิบดีเกาหลีใต้คนนี้ นายยุน เป็นฝ่ายอนุรักษ์นิยม โง่ คะแนนเสียงและความนิยมชมชอบของประธานาธิบดีเกาหลีใต้นั้นตกต่ำกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ ทั้งๆ ที่อเมริกาแอบดักฟังโทรศัพท์ของผู้นำเกาหลีใต้หลายๆ คน ซึ่งประชาชนชาวเกาหลีใต้ไม่พอใจ แต่นายยุน ก็เฉย คลานเข้าไปหาอเมริกา ไปจูบเท้าอเมริกา แล้วอเมริกาบอกว่า เฮ้ย ต้องจับมือกับญี่ปุ่นนะ เพราะฉะนั้นแล้ว จะเห็นได้ชัด
ท่านผู้ชมจะเห็นได้ว่า อเมริกาไม่ได้สนใจเลยแม้แต่นิดเดียวว่าประเทศไทยจะมีหรือไม่มีกษัตริย์ ในสายตาอเมริกาแล้ว ในทางสาธารณะก็บอกว่าเคารพนับถือสถาบันกษัตริย์ แต่ลับหลังแล้วล้มได้ก็ล้มเลย เพราะไอ้พวกนี้ไม่ได้สนใจเลยว่าแต่ละประเทศจะมีวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีที่แตกต่างกับมันอย่างไร ที่สำคัญก็คือว่า มึงต้องเป็นคนของกู มึงต้องมีสภาที่กูสั่งมึงได้ และมึงต้องมีนายกรัฐมนตรีที่เป็นพวกกู ที่กูกระซิบบอกว่า เฮ้ย เปิดประตูให้กูส่งคนเข้ามา ตอนนี้อเมริกามี CIA อยู่เต็ม ที่เชียงใหม่นี่ CIA ทั้งนั้น รวมทั้งทหารรับจ้างที่อเมริกาทยอยเอาเข้ามา และอเมริกาก็ทยอยส่งข้าวของ อาวุธ ผ่านมาทางตะวันตกของพม่า ก็คือผ่านมาทางบังกลาเทศ เข้ามาป้อนให้กับกองกำลังกบฏของนางอองซาน ซูจี ส่วนทางอู่ตะเภาก็มีเรือขนอาวุธมาเต็มไปหมดเลย ตลอดเวลา แล้วคนที่เป็นทหารรับจ้างที่อเมริกาจ้างมานั้น เดินเพ่นพ่านอยู่ในเมืองเชียงใหม่ ไปดูสิครับ ฝรั่งเต็มเมืองเชียงใหม่เลย เพราะฉะนั้น เมืองไทยกำลังจะกลายเป็นหม้อน้ำเดือดของภูมิรัฐศาสตร์ที่กำลังมาอย่างเข้มข้น การเมืองเมืองไทยตอนนี้ อเมริกาก็เลยต้องแอบแทรกแซงอย่างเต็มที่
ทั้งหมดนี้ผมมองว่า โอกาสที่พรรคอนุรักษ์นิยม เป็นโอกาสครั้งสุดท้ายแล้ว เขามีเวลา 8 ปี พล.อ.ประยุทธ์ มีเวลา 8 ปี แต่ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ไม่ได้จะทำเรื่องราวที่จะทำให้ประชาชนพอใจ อย่างเช่น ที่สำคัญที่สุด กระบวนการยุติธรรมที่เหลวแหลกมากในยุค พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา การคอร์รัปชันที่ พล.อ.ประยุทธ์ พูดตลอดเวลาว่าเป็นวาระแห่งชาติ แต่กับพรรคพวกตัวเอง ลูกหลานตัวเอง คนใกล้ชิด คนโน้นคนนี้ ไม่ว่าปัญหาเรื่องนาฬิกาของลุงป้อม โน่นนี่ สมัยก่อน พล.อ.ประยุทธ์ ปิดตาข้างหนึ่ง หลานตัวเอง ลูกของ พล.อ.ปรีชา ใช้อภิสิทธิ์อย่างไร ตัวเองก็ไม่สนใจ หลานตัวเองถือหุ้นในทุนจีนสีเทา ตู้ห่าว ก็ไม่สนใจเช่นกัน ปล่อย ปล่อยไปหมด เมื่อมันเป็นเช่นนี้แล้ว ข้อได้เปรียบของพรรคก้าวไกล ก็คือ พรรคก้าวไกล และพรรคเพื่อไทย ไม่ได้เป็นรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งพรรคก้าวไกลนั้นไม่เคยเป็นรัฐบาลเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะฉะนั้นภาพของพรรคก้าวไกล เลยกลายเป็นภาพที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง ทำให้คนมีความรู้สึกเบื่อหน่ายฝ่ายอนุรักษ์นิยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งสาย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็เลยพร้อมจะเทไปให้ทางพรรคก้าวไกล
ทั้งๆ ที่พรรคก้าวไกลคืออันตรายที่ร้ายแรงที่สุดของประเทศไทย ที่สนับสนุนให้มีการโค่นล้มสถาบันกษัตริย์ และที่รับงานเป็นเอเยนต์ ท่านผู้ชม พรรคก้าวไกล นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นายปิยบุตร แสงกนกกุล และ น.ส.พรรณิการ์ วานิช
ทั้งหมดนี้คือเอเยนต์ตัวฉกาจของตะวันตก ของอเมริกา และของอียู ที่ต้องการจะล้มสถาบันกษัตริย์ แล้วก็ดึงประเทศไทยซึ่งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่สุดในอาเซียน เพื่อมาเป็นพวกของตัวเอง ที่จะเอาตัวเองนั้นเข้าไปยันกับประเทศจีน โดยขอยืมมือคนไทย ขอยืมมือทหารไทย ขอยืมแผ่นดินไทยตั้ง เหมือนกับที่อเมริกาไปตั้งฐานทัพที่ฟิลิปปินส์ อเมริกาตั้งฐานทัพที่ญี่ปุ่น โอกินาวา อเมริกาตั้งฐานทัพที่เกาะกวม อเมริกามีฐานทัพใหญ่อยู่ที่เกาหลีใต้ ทั้งหมดนี้ทำเพื่อที่จะมาปิดล้อมประเทศจีน ท่านผู้ชมคิดว่าประเทศจีนจะยอมให้ปิดล้อมง่ายๆ อย่างนั้นหรือ ทั้งๆ ที่ประเทศจีนยืนยันแล้วว่า ไต้หวัน เป็นส่วนหนึ่งของประเทศจีน ไม่มีใครสามารถแบ่งแยกได้ แต่อเมริกาก็ส่งอาวุธเข้าไป ขายอาวุธให้ไต้หวัน จัดระเบียบการทหารไต้หวันเพื่อให้ไต้หวันต่อสู้กับจีน โดยที่ตัวมันเองไม่ได้สนใจ แต่อยู่ห่างๆ แล้วคอยยุยงส่งเสริมและส่งอาวุธให้
นี่ครับท่านผู้ชม ภูมิรัฐศาสตร์ที่ตอนนี้เริ่มรุกคืบเข้ามาในประเทศไทยแล้ว โดยผ่านการเลือกตั้งครั้งนี้ เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้าพรรคอนุรักษ์นิยม กลุ่มอนุรักษ์นิยม ได้รวบรวมตัว แล้วเป็นรัฐบาลได้ สิ่งที่ต้องทำ พล.อ.ประยุทธ์ จะเป็นคนที่ทำให้ชาติบ้านเมืองล่มสลาย หรือลุกขึ้นมาต่อต้านอิทธิพลของตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งอเมริกา ขึ้นอยู่กับบทบาทของ พล.อ.ประยุทธ์ หนึ่ง ท่านจะทำให้กระบวนการยุติธรรมศักดิ์สิทธิ์ได้หรือไม่ สอง ท่านจะจัดการกับตำรวจเลวๆ ได้อย่างศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ สาม ท่านเลิกเสียทีได้ไหมในเรื่องของการสนับสนุนกลุ่มทุนต่างๆ ให้รวยเอาๆ แล้วประชาชนจนลงๆ ประชาชนก็ได้เฉพาะเศษกระดูกที่ท่านโยนให้ในเรื่องของเบี้ยผู้สูงอายุเอย เรื่องโน้นเรื่องนี้เอย แต่คนรวยจริงๆ มีอยู่เพียงไม่กี่คนในประเทศไทย ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ สนับสนุนกลุ่มคนพวกนี้มาตั้งนมตั้งนาน แล้วนโยบายที่ออกมาก็เป็นการสนับสนุนคนพวกนี้
คำถามคือว่า พล.อ.ประยุทธ์ สามารถจะเดินออกจากคนกลุ่มพวกนี้ได้หรือเปล่า และกลับเข้าไปทำหน้าที่ที่เป็นนายกรัฐมนตรีของคนไทยทั้งหมดได้หรือไม่ ด้วยความยุติธรรม พล.อ.ประยุทธ์ จะยุติธรรมเฉพาะพรรคพวกตัวเอง แต่คนอื่นช่างหัวมัน พล.อ.ประยุทธ์ ต้องยอมรับว่าท่านพลาดมามากใน 8 ปี ในเรื่องของกระบวนการยุติธรรม ในเรื่องของความเป็นนิติรัฐ ในเรื่องของการดำเนินคดีกับผู้คนต่างๆ
ท่านผู้ชมครับ นี่คือฟางเส้นสุดท้ายแล้ว และการเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นการเลือกตั้งครั้งสุดท้ายที่ฝ่ายอนุรักษ์นิยม ถ้ารวมตัวกันได้ แล้วถ้ายังไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาประเทศชาติได้ เหมือนอย่างที่ผมบอก ยังใช้นโยบายแบบเดิม ทำมาหารับประทานกันเหมือนเดิม พรรคพวกกูเองทำอะไรผิดกฎหมาย กูหรี่ตาข้างหนึ่ง ตำรวจยุ่งเกี่ยวกับเว็บพนัน มีเงินทุนสีเทาเข้ามา ก็เงียบสนิท ไม่ยอมทำอะไรเลยทั้งสิ้น ถ้าอย่างนั้นก็เป็นจุดจบของกลุ่มอนุรักษ์นิยม และเป็นจุดจบของประเทศไทย และในที่สุดก็จะสะเทือนไปถึงสถาบันกษัตริย์เช่นกัน เพราะฝ่ายอนุรักษ์นิยมนั้นจะโหนเจ้าตลอดเวลา เอะอะอะไรก็อ้างเจ้า แต่ตัวเองไม่เคยทำอะไรที่ทำให้เจ้ามั่นคง การบริหารงานของตัวเองที่ผ่านมานั้นกลับทำให้เจ้าอ่อนแอลงไปเยอะเลย
นี่คือความคิดเห็นของผม ถ้าท่านผู้ชมจำได้ ผมเคยพูดใช่ไหม ผมเคยทักท้วง เตือนสติ ชี้ให้เห็นมาตลอด ทั้งกับผู้ใหญ่ และเด็ก ทั้งสองฝ่าย ว่าทั้งสองฝ่ายนั้นทำงานแบบสุดโต่ง ก้าวไกลก็สุดโต่ง พล.อ.ประยุทธ์ ก็สุดโต่งไปในทางด้านอนุรักษ์นิยม ทำให้คนอย่างผม ท่านผู้ชมจำได้ไหม ผมเคยออกรายการมา ชื่อเรื่อง "ผมอยู่ไม่เป็นจริงๆ"
"คุยทุกเรื่องกับสนธิ" เมื่อตอนที่ 56 วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม 2563 ผมเปรียบเทียบว่า เมื่อฝั่งอนุรักษ์นิยมก็เจอสองลุงที่ปล่อยให้มีการคอร์รัปชันเละเทะ เล่นพรรคเล่นพวก เปิดประตูให้ทุนต่างๆ มาขูดรีดประชาชน หันขวาไปฝั่งเสรีนิยมก็เจอทักษิณ กับเด็กสามนิ้ว ที่มีเบื้องหลัง มีกุ๊ยมหาอำนาจแห่งโลกที่ชื่ออเมริกาอยู่เบื้องหลัง เพราะฉะนั้นการเลือกตั้งครั้งนี้จึงเป็นการต่อสู้ของพรรคอนุรักษ์นิยม และเสรีนิยม ซึ่งยังจะสู้กันอีกหลายปี ปีนี้มีคนที่เข้าสู่การเลือกตั้งมากกว่าปีที่แล้ว 8 แสนคน เป็นเสียงคนรุ่นใหม่ ซึ่งจะเทไปทางฝั่งเสรีนิยม และจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ถ้าการเมืองฝ่ายอนุรักษ์นิยมไม่สามารถปฏิรูปให้ประชาชนทั้งประเทศพอใจ ยังเป็นรูปแบบเก่าๆ ฝ่ายอนุรักษ์นิยม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะเสื่อมถอยลงไปเรื่อยๆ ในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ พลังงาน การศึกษา ศาสนา ระบบราชการ แล้วก็จะพ่ายแพ้ต่อฝ่ายเสรีนิยม
อย่าลืมนะครับท่านผู้ชม พรรคก้าวไกลเป็นพรรคที่ไม่เคยบริหารชาติบ้านเมือง ภาพก็เลยดูสะอาด ไม่มีแผล แต่ผมก็เชื่อว่าถ้าพรรคก้าวไกลมีอำนาจในรัฐบาล ก็จะสร้างแผลขึ้นมาเยอะแยะไปหมด เพราะดูตัวละครพรรคก้าวไกลแต่ละคนแล้วก็ไม่ใช่ธรรมดา ความชั่ว ความเลว ไม่ได้ต่างจากพรรคอนุรักษ์นิยม เป็นเพียงแต่ว่าโกหกเก่งกว่า แล้วปิดบังได้เก่งกว่า และยังไม่ได้เข้าสู่วงจรแห่งอำนาจ ก็เลยไม่สามารถที่จะมองเห็นได้ชัดว่าคนพวกนี้ทำงานแล้วเป็นอย่างไร
ท่านผู้ชมครับ ทั้งสองฝ่ายนี้ยังจะต้องสู้กันไปอีกหลายปี คะแนนเสียงวันนี้อาจจะยังไม่เพียงพอ เพราะก้าวไกลได้คะแนนนิยมในกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ๆ เช่น ขอนแก่น เชียงใหม่ แต่ยังไม่ลงลึกถึงรากหญ้า อย่างไรก็ตาม ในการเลือกตั้งงวดหน้า 2570 เราอาจจะเห็นการเปลี่ยนแปลงในดุลอำนาจ เป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างทางประชากร และถ้าฝ่ายอนุรักษ์นิยมยังไม่สำเหนียกตัวเอง พ้นการเลือกตั้งรอบปี 2566 ไปแล้ว เลือกตั้งครั้งหน้าจะไม่มีวุฒิสมาชิก 250 เสียง มาคอยยกมือช่วยสองลุงในการลงคะแนนเลือกนายกฯ วันนั้นคงไม่พ้นบ้านเมืองต้องเข้าสู่กลียุค หรืออาจจะถลำตัวลึกลงไปในเกมสงครามที่เราต้องเลือกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ไม่เลือกจีนก็ต้องเลือกอเมริกาในการสัประยุทธ์ของการเมืองระดับโลก ประเทศไทยนั้นเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญในการช่วงชิงของมหาอำนาจในเวทีการเมืองระดับโลกอย่างแน่นอน และมหาอำนาจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอเมริกา และทางตะวันตก กำลังเข้ามาแทรกแซงการเมืองเมืองไทยอย่างลึกซึ้ง และอยู่เบื้องหลังหลายๆ เรื่อง โดยผ่านเอกอัครราชทูตอเมริกาคนปัจจุบัน ซึ่งถูกส่งมาโดยเฉพาะเพื่องานในการก่อความวุ่นวายและปั่นป่วนประเทศไทย
เท่านี้เองล่ะครับท่านผู้ชม ด้วยความรักและปรารถนาดีต่อประเทศไทย ช่วยกันคิด คิดว่าสิ่งที่ผมพูดนั้นมีเหตุมีผลไหม ถ้ามีเหตุมีผล เราต้องเตรียมตัวตั้งรับให้ดีๆ ครับ
“ชูวิทย์-เอกรักษ์” เบื้องหลังถุึงเงิน 6 ล้าน เบื้องลึกเกมยึด ปปง.
ท่านผู้ชมครับ เรื่องที่ผมจะพูดตอนนี้ มันเป็นเรื่องที่ผมติดค้างท่านผู้ชมมานานพอสมควร คือเรื่องเบื้องหน้าเบื้องหลังเกี่ยวกับความพัวพันกันระหว่างนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ กับนายตำรวจยศพลตำรวจตรี ที่ดำรงตำแหน่งใหญ่โตในสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ก็คือ พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ ผมให้สัญญาว่าจะพูดตั้งแต่ก่อนสงกรานต์แล้ว แต่เผอิญว่ามันยุ่ง ผมไม่ได้เลยลืมเลยแม้แต่นิดเดียว พอดีช่วงที่ผ่านมามันมีเรื่องประเด็นอื่นๆ ที่ไม่พูดไม่ได้ ที่สำคัญการจัดเตรียมข้อมูลในเรื่องนี้มันต้องมีเหตุการณ์หลายอย่าง ความเชื่อมโยงเกี่ยวกับกระบวนการต่างๆ หลายๆ กระบวนการ ซึ่งถ้าท่านผู้ชมตั้งใจฟังวันนี้ให้ดีๆ แล้วท่านจะเข้าใจ ท่านจะบอกว่า อ๋อ มันเป็นของมันอย่างนี้ล่ะ
ก่อนจะเข้าสู่เรื่องนี้ก็พูดถึงที่มาที่ไป สิ่งที่มันเกิดขึ้นไม่มีใครคาดคิด คือกรณีถุงเงินปริศนา 6 ล้านบาท ซึ่งผมจะลำดับเหตุการณ์ให้ฟังอย่างคร่าวๆ อีกครั้ง
เราเริ่มจากเย็นวันพุธที่ 22 มีนาคม ทนายตั้ม คุณษิทรา เบี้ยบังเกิด ได้โพสต์ภาพถุงกระดาษบรรจุเงินสดจำนวน 2 ถุง ลงเฟซบุ๊กตัวเอง แล้วเขียนข้อความว่า "แฉไป ไถไป" กลางดึกวันนั้นเลย
วันพุธที่ 22 มีนาคม คุณชูวิทย์ก็รีบออกมาโพสต์เฟซบุ๊กถึงภาพที่ทนายตั้ม ษิทรา ออกมาเปิดเผย โดยสร้างความตกอกตกใจให้กับแฟนคลับคุณชูวิทย์ และประชาชนทั่วไป คุณชูวิทย์สารภาพออกทางโซเชียลมีเดียเลยว่า "เงิน 2 ถุง ถุงละ 3 ล้าน ที่ทนายตั้มพูดถึง เห็นแล้วจำได้ชัดเจน เป็นเงินที่นายตำรวจใหญ่นอกราชการคนหนึ่งที่ผมรู้จักมานาน นำมาให้ที่โรงแรมของผม โดยบอกว่าเป็นเงินของ ซัว ให้ผมช่วยหยุดโจมตี ผมบอกไปว่า ไม่รับเคลียร์ มันไม่สามารถช่วยอะไรได้ ผมยังต้องแฉต่อ แต่นายตำรวจท่านดังกล่าว ยืนยันยัดเยียดให้ผมรับไว้ และสิ่งที่ง่ายที่สุด คือ ผมเก็บเงินไปใช้ส่วนตัว เพราะไม่มีใครทราบ แต่ผมเลือกที่จะนำเงินในถุงแรกจำนวน 3 ล้าน ไปบริจาคให้โรงพยาลธรรมศาสตร์ ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ วาเลนไทน์เดือนที่แล้ว และอีกถุงจำนวน 3 ล้านเท่ากัน ไปบริจาคให้โรงพยาบาลศิริราช ในวันที่ 15 มีนาคมที่ผ่านมา ทั้งสองครั้งมีสื่อมวลชนไปทำข่าวเป็นสักขีพยาน และผมก็ยังแฉเรื่อง ซัว อย่างต่อเนื่อง"
ต่อมา วันพฤหัสบดีที่ 23 มีนาคม ทนายตั้ม และนายชูวิทย์ ต่างก็จัดแถลงข่าวขึ้นกรณี "แฉไป ไถไป" จากการที่สารวัตรซัว พ.ต.ท.วสวัตติ์ มุครสกุล เจ้าของเว็บพนันเครือข่ายเป็นต่อ ได้ติดต่อให้คนใกล้ชิดเอาเงินไปให้คุณชูวิทย์ ที่โรงแรมเดวิส เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2566 ซึ่งมีรายละเอียดน่าสนใจและก่อให้เกิดคำถามที่น่าสนใจหลายประการ ดังนี้
หนึ่ง เงินจำนวนดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นจำนวน 6 ล้านบาท 10 ล้านบาท หรือกี่ล้านบาทก็แล้วแต่ สารวัตรซัว ให้ตำรวจที่รู้จักนำไปจ่ายให้กับคุณชูวิทย์เพื่ออะไร ?
หนึ่ง เพื่อปิดปากกรณีที่จะกลับมาเปิดบริการอาบอบนวดลาลิซ่า หรือชื่อเดิมคือ โคปาคาบาน่า หรือ
สอง เกี่ยวข้องกับการไม่ให้แฉเว็บไซต์การพนันในเครือเป็นต่อ ซึ่งสารวัตรซัวเป็นเจ้าของ หรือเปล่า ?
สาม เกี่ยวข้องกับญาติสนิทของนายชูวิทย์ ที่ชื่อ นายเปา จิรวัฒน์ โพธิ์สุวรรณ ซึ่งเป็นน้องภรรยา ที่นายชูวิทย์กาหัวว่าเป็นหลาน แต่เป็นเด็กในบ้านที่ทรยศไปเข้ากับสารวัตรซัว จากคอนเนกชันโรงเรียน ภปร. โดยนายเปา จิรวัฒน์ เข้าไปเป็นผู้ถือหุ้นบริษัทที่ดำเนินการอาบอบนวดลาลิซ่า
นายเปา จิรวัฒน์ โพธิ์สุวรรณ หลานนายชูวิทย์ มีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นบริษัท ลาลิซ่า 2020 จำกัด ซึ่งเป็นผู้ประกอบการอาบอบนวดลาลิซ่า (โคปาคาบาน่าเดิม) ซึ่งเป็นของนายชูวิทย์เก่า แต่ต่อมาขายกิจการให้กับบุคคลอื่้น โดยตั้งบริาท ลาลิซ่า 2020 เพิ่งจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2565 หรือปีที่แล้ว แล้วก็ดำเนินการปรับปรุงอาบอบนวดโคปาคาบาน่า ในปีเดียวกัน
มันมีข้อสังเกตอย่างนี้ครับในเรื่องนี้ นอกจากนี้แล้ว นายเปา จิรวัฒน์ ยังมีสถานะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ถึง 40 เปอร์เซ็นต์ ในบริษัท เดวิส โคปาคาบาน่า ด้วย ซึ่งบริษัทนี้เป็นบริษัทเดิมของนายชูวิทย์ ก่อนจะขายกิจการอาบอบนวดออกไป
สอง ประเด็นนี้สำคัญมาก และเป็นประเด็นที่ผมจะขยายความต่อไปอีก ใครเป็นผู้แนะนำและเป็นผู้หิ้วเงินเอาไปให้นายชูวิทย์ถึงโรงแรมเดวิส เพราะในช่วงเที่ยงวันพฤหัสบดีที่ 23 มีนาคม 2566 ที่โรงแรมเดวิส ชูวิทย์จัดแถลงข่าว โดยก่อนการแถลงข่าวคุณชูวิทย์ได้อัญเชิญรูปปั้นของพระเจ้าตากสินมา พร้อมกล่าวสบถสาบานไว้ดังนี้ คุณชูวิทย์สาบานว่า "สิ่งที่ผมพูดวันนี้ หากผิดจากที่ผมพูดไป ขอให้ฟ้าดินลงโทษผม ให้ผมวิบัติ ให้ผมฉิบหาย ขอให้ไม่มีความสุขความเจริญ แต่ถ้าผมพูดสิ่งใดเป็นความจริง เป็นความจริงเท่านั้น ความจริงหนึ่งเดียว ก็ขอให้ผมเจริญ ขอให้ผมจัดการสิ่งที่ผมตั้งใจได้สมเจตนารมณ์ สาธุ"
ในการแถลงข่าวตอนหนึ่งที่คุณชูวิทย์แถลงประมาณ 1 ชั่วโมง ในวันนั้น คุณชูวิทย์ได้พูดถึงที่มาของเงิน 6 ล้านบาท ดังกล่าวไว้อย่างชัดเจน พูดอย่างชัดเจนเลยว่าเป็นนายตำรวจ 2 คน ที่เป็นคนเอามาให้ รายละเอียดในการแถลงข่าววันพฤหัสบดีที่ 23 มีนาคมนั้น มีความชัดเจน ชัดเสียยิ่งกว่าชัด เพราะชูวิทย์ไม่ได้พูดเพียงแต่ชื่อย่อของนายตำรวจ 2 คน แต่ยังเขียนชื่อบนกระดานไวท์บอร์ดอีก ท่านผู้ชมดูและฟังให้ละเอียด วันที่ 24 มีนาคม 2566 คุณชูวิทย์กล่าวและเขียนชื่อย่อนายตำรวจ 2 คน ที่หิ้วเงินใส่ถุงจำนวน 6 ล้านบาท มาให้ตนเองที่โรงแรมเดวิส ประกอบด้วยตำรวจชื่อ อ. และตำรวจชื่อ ป. คุณชูวิทย์เขียนชื่อย่อนายตำรวจ อ. ก่อน แล้วเขียนชื่อย่อนายตำรวจ ป. แล้วขีดเส้นกำกับไว้ด้วยว่าตนเองรู้จักนายตำรวจ ป. มาสามสิบปี ตั้งแต่ยุคทำอาบอบนวด
ส่วนคำพูดนั้น คุณชูวิทย์พูดเองว่า "เงินในถุง 2 ถุง อันนี้เรื่องสำคัญ 2 ถุง ผมยืนยัน 2 ถุงนั้น ถุงละ 3 ล้าน มีนายตำรวจที่ไม่ได้เป็นตำรวจแล้วหนึ่งคน ชื่อย่อ อ. อีกคนหนึ่งชื่อย่อ ป. เกษียณอายุแล้ว บุคคลนี้ผมรู้จักมากว่า 30 ปี ตั้งแต่ผมทำอาบอบนวด ได้มาพบผมพร้อมกับนำเงินมา โดยบอกว่าเงินทั้งหมดนี้ 2 ถุงนี้ 6 ล้าน ยืนยันต่อหน้าพระ ผมได้รับ 6 ล้าน" เดี๋ยวผมจะอธิบายให้ฟัง "พี่ ผมไม่เอานะ ผมรับเคลียร์ไม่ได้ เงินพี่เอามาให้ผม เอากลับไป แต่เงินทั้งหมดนี้ก็ไม่ยอมเอากลับ ยัดเยียดให้ผม" ท้ายสุดก็บอกว่า "พี่ ถ้าให้มาอย่างนี้ ผมต้องเอาไปทำอย่างอื่นแล้ว ผมเอาไว้ไม่ได้ เขาบอกแล้วแต่ชูวิทย์จะทำอะไร แล้วแต่ชูวิทย์"
สรุปในช่วง 3 วันแรก คือวันพุธที่ 22 ที่ทนายตั้มชี้แจงออกมา แล้วคุณชูวิทย์โพสต์ทันทีเลย ยอมรับว่าใช่ แล้วพฤหัสฯ ก็ออกมาพูดยืนยันว่าคนที่เอาเงินมาให้นั้นเป็นอดีตตำรวจที่เคยเป็นตำรวจมาแล้ว คือ อ. หมายถึง พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ ซึ่งเคยเป็นรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 ตอนนี้ไม่ได้เป็นตำรวจแล้ว เพราะมาดำรงตำแหน่งเป็นรองเลขาธิการ ปปง. นี่คุณชูวิทย์พูดเอง และตำรวจอีกคนชื่อ ป.
ต่อมา วันศุกร์ที่ 24 มีนาคม ทนายตั้ม ษิทรา ได้เปิดเผยเรื่องถุงเงินและผู้หิ้วเงินไปให้นายชูวิทย์ที่โรงแรมเดวิส ระบุว่า "ชื่นมื่น ภาพนี้ถ่ายที่โรงแรมเดวิน และเป็นวันที่คนของสารวัตรซัว ซึ่งเป็นเจ้าของเว็บหนึ่ง (คนซ้ายในรูป) เอาเงินไปให้พี่ชูวิทย์ครั้งแรก เมื่อปีที่แล้ว ไม่ใช่มีแต่ตำรวจ 2 คนอย่างที่พี่ชูวิทย์ให้สัมภาษณ์ คนบนโต๊ะมีทั้งตำรวจระดับนายพล 2 คน (ตามที่พี่บอกกับสังคม) เจ้าของเว็บ กล่องดวงใจ และพี่ชูวิทย์ นั่งเจรจากัน เรื่องเว็บไหนแตะได้ เว็บไหนแตะไม่ได้ และที่สำคัญตำรวจระดับนายพลที่พี่ชูวิทย์พยายามเลี่ยง ไม่พูดถึง คนนึงเกษียณแล้วเป็นคนสนิทพี่ชูวิทย์เอง ผมไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ แต่อีกคนไม่ใช่ตำรวจแล้ว พี่พูดความจริงครึ่งเดียว คนนี้มีตำแหน่งสำคัญเกี่ยวกับการปราบปรามพนันออนไลน์ ซึ่งถ้าสังคมรู้ว่ามีตำแหน่งอะไรคงช็อคกันทั้งประเทศ ช็อคแรกคือคนนี้มาเกี่ยวข้องกับแก๊งพนันออนไลน์ได้ยังไง ช็อคที่สองก็คือทำไมพี่ชูวิทย์ต้องปกปิด ผมว่าพี่ควรจะเปิดเผยความจริงต่อสาธารณชนนะครับว่าคือใคร ถือว่าทำเพื่อชาติ เหมือนที่พี่พูดมาตลอด ผมจะได้เลิกคลางแคลงใจในตัวพี่ซะทีว่าเบื้องหน้ากับเบื้องหลังมันต่างกันสิ้นเชิง?"
ท่านผู้ชมครับ สรุปแล้วในช่วง 3 วันแรก คือวันพุธที่ 22 มีนาคม พฤหัสฯ ที่ 23 มีนาคม และวันศุกร์ที่ 24 มีนาคม ที่มีการเปิดโปงเรื่องนี้ออกมา ทั้งฝั่งทนายตั้ม และชูวิทย์ แม้จะมีข้อมูลหลายอย่างไม่ตรงกัน ยกตัวอย่างเช่น จำนวนเงินสดในถุง มีการจ่ายด้วยเงินดิจิทัลด้วยหรือไม่ ประเด็นความเกี่ยวพันกับเรื่องราวต่างๆ ของลูกชายนายชูวิทย์ แต่ก็มีการเปิดเผยข้อมูลสอดคล้องกันในหลายประเด็น สอดคล้องกันอย่างไรบ้าง ?
ข้อที่หนึ่ง เงินในถุงกระดาษนั้นมีที่มาจากสารวัตรซัว พ.ต.ท.วสวัตติ์ มุครสกุล เจ้าของเครือข่ายเว็บพนัน XL ในเครือเป็นต่อกรุ๊ป สอง เงินในถุงนั้นเป็นเงินสีเทาที่มีความเกี่ยวโยงกับเว็บไซต์การพนัน หรือการเปิดอาบอบนวดลาลิซ่า ซึ่งชัดเจนว่าเป็นเงินที่มาจากธุรกิจผิดกฎหมาย และนายชูวิทย์ก็รู้เรื่องนี้ดี จึงพยายามแก้ตัวว่า แม้ตนจะรับเงินมา แต่นำไปบริจาคให้กับโรงพยาบาล 2 แห่ง คือ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ และโรงพยาบาลศิริราช โดยหวังว่าการนำเงินไปบริจาคโรงพยาบาลดังกล่าวจะทำให้ตัวเองพ้นผิดและพ้นข้อหาเกี่ยวกับการฟอกเงิน
สาม ผู้ที่นำเงินสกปรกจำนวน 6 ล้าบนาท จากสารวัตรซัว มาให้นายชูวิทย์นั้น เป็นผู้ที่เป็นตำรวจอยู่ 2 นาย คนหนึ่งเป็นนายตำรวจยศพันตำรวจโทที่เกษียณอายุไปแล้ว อีกคนหนึ่งเป็นนายตำรวจยศพลตำรวจตรี ซึ่งยังรับราชการอยู่ที่ ปปง.
ประเด็น นายตำรวจสองคนนี้คือใคร ? ที่สำคัญอย่างยิ่ง ทนายตั้มว่าไว้ คือ นายตำรวจคนหนึ่งมีตำแหน่งสำคัญเกี่ยวกับการปราบปรามการพนันออนไลน์ ซึ่งถ้าสังคมรู้ว่ามีตำแหน่งอะไร คงจะช็อกกันทั้งประเทศ ช็อกแรกคือคนที่มาเกี่ยวข้องกับแก๊งพนันออนไลน์ได้อย่างไร ช็อกที่สองคือ ทำไมนายชูวิทย์ต้องปกปิดคนๆ นี้ ไม่ยอมเปิดเผยเลย
ต่อมามีการเปิดเผยกัน ตำรวจคนหนึ่งซึ่งเกษียณอายุราชการไปแล้ว ชื่อ ป. คือผู้การเปี๊ยก ตามประวัติจบนักเรียนนายร้อยรุ่น 35 รุ่นเดียวกับ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. และในเวลาต่อมาก็มีการเปิดเผยตามสื่อว่า พล.ต.ท.เกียรติพงศ์ ขาวสำอางค์ อดีตรองจเรตำรวจ สบ 7 และอดีตผู้บังคับการตำรวจภูธร จ.สุราษฎร์ธานี โดยในภาพที่ทนายตั้มโพสต์ ผู้การเปี๊ยก หรือ พล.ต.ท.เกียรติพงษ์ คือชายในชุดเสื้อโปโลสีเขียว ส่วนคนยืนข้างๆ กับผู้การเปี๊ยกคือนายบ่อนเจ้าของฉายา "ศักดิ์ พระรามสาม"
ท่านผู้ชมครับ เรามาถึงจุดที่เราต้องตั้งคำถามแล้วว่า คุณเอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ ที่ชูวิทย์พยายามปกป้องและไม่พูดถึง แล้วข่าววงในบอกว่าคุณชูวิทย์กลุ้มใจมาก ว่าทำอย่างไรจะปกป้องเอก ไม่ให้เอกเอ่ยชื่อออกมา
เรามารู้จัก เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ หน่อยดีไหมครับท่านผู้ชม ?
จันทร์ที่ 27 มีนาคม 2566 ต้นสัปดาห์ถัดมา ท่านผู้ชมอย่าลืมนะครับ เรื่องนี้เกิดขึ้นวันที่ 23 มีนาคม มาถึงวันที่ 27 มีนาคม วันจันทร์ คุณอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ได้เดินทางไปศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ได้ไปพบเจ้าหน้าที่เพื่อแจ้งความดำเนินคดี พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ รองเลขาธิการ ปปง. พล.ต.ท.เปี๊ยก เกียรติพงศ์ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณีนำเงินของสารวัตรซัว หรือ พ.ต.ท.วสวัตติ์ มุครสกุล อดีตสารวัตรฝ่ายโยธาธิการ 2 กองโยธาธิการ สำนักงานส่งกำลังบำรุง เกี่ยวพันกับแก๊งพนันออนไลน์ ไปมอบให้นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ จำนวน 6 ล้านบาท ในฐานความผิดพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ปี 2542
ในตอนนั้นคุณอัจฉริยะกล่าวว่า วันนี้ได้มาแจ้งความกับ พล.ต.ต.เอกรักษ์ พร้อมกับ พล.ต.ท.เปี๊ยก และพวกรวม 4 คน ที่เกี่ยวข้องกับการนำเงิน 6 ล้านบาท จากสารวัตรซัวไปมอบให้กับคุณชูวิทย์ ให้กองปราบปรามซึ่งเป็นเจ้าของสำนวนคดีเอาผิดสารวัตรซัว ให้อายัดเงินจำนวน 6 ล้านบาท มาตรวจสอบ และเอาผิดคุณชูวิทย์ในความผิดเรื่องการฟอกเงิน
นอกจากนี้ จากการตรวจสอบยังพบเส้นทางการเงินของเว็บพนันถูกโอนเข้าบัญชีภรรยาของ พล.ต.ต.เอกรักษ์ หลายล้านบาท อีกด้วย
(รูป) คนที่อยู่ทางซ้ายมือชื่อ นายกานต์ เป็นคนเคลียร์หน้าเสื่อให้กับนายแทนไท ณรงค์กูล เจ้าของเครือข่ายเว็บพนันรายใหญ่ และขวา พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ รองเลขาธิการ ปปง.
คุณอัจฉริยะกล่าวต่อว่า อยากฝากไปถึงท่านนายพลสองท่าน คือ พล.ต.ต.เอกรักษ์ และ พล.ต.ท.เปี๊ยก ว่ารู้จักบุคคลที่อยู่ในรูปภาพที่ตนนำมาโชว์ด้วยหรือไม่ (รูป นายกานต์ หน้าเสื่อคอยเคลียร์เรื่องให้นายแทนไท)
อีกทั้งยังมีข้อมูลจากคุณอัจฉริยะว่า นายกานต์เป็นบุคคลที่เข้าไปหาคุณชูวิทย์อยู่บ่อยครั้ง ส่วนกรณีที่คุณชูวิทย์ระบุว่าได้รับเงิน 6 ล้านบาท ในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ตามที่ชี้แจงกับสื่อมวลชน คุณอัจฉริยะระบุว่า คุณอัจฉริยะไม่เชื่อว่าเป็นวันดังกล่าว เพราะในวันที่ 5-9 กุมภาพันธ์ นายชูวิทย์ได้ไลฟ์สดโจมตีสถานอาบอบนวดของนายเปา หลานตัวเอง และสารวัตรซัว จนถูกให้ออกจากราชการ จึงตั้งข้อสงสัยว่าน่าจะรับเงินหลังจากนั้น นายอัจฉริยะกล่าวว่า ตนจะไปแขวนป้ายที่หน้าสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เพื่อให้คนในสำนักงานออกมาต่อสู้หลังมีบุคคลเข้าไปทำให้องค์กรนี้เสื่อมเสีย
บุคคลที่คุณอัจฉริยะอ้างว่าทำให้องค์กร ปปง. เสื่อมเสีย ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็คือ พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ รองเลขาธิการ ปปช. ผู้ที่นายชูวิทย์ยอมรับว่าเป็นหนึ่งในสองตำรวจที่หิ้วเงิน 6 ล้านบาท เข้าไปให้ที่โรงแรมเดวิสนั่นเอง
ถัดไปอีกวันหนึ่ง อังคารที่ 28 มีนาคม คุณอัจฉริยะเดินทางเข้ามาแขวนป้ายบริเวณกระจกด้านหน้าสำนักงาน ปปง. จริงๆ ข้อความในป้ายระบุว่า "สำนักงานปกป้องดูแลพนันออนไลน์แห่งชาติ มีหน้าที่ดูแลผลประโยชน์และคุ้มครองเจ้าของเว็บพนันทั่วประเทศ และรับฟอกเงินให้เจ้าของเว็บพนันทั่วประเทศทุกเครือข่าย โดยมี รองเลขาธิการ ปปง. รับผิดชอบด้านการเงิน มีนายพลทุกหน่วยงานร่วมสนับสนุนให้การดูแล และรับจัดทำงบประมาณและดูแลยอดประจำเดือน โดยมีงบประมาณสำนักงานนี้ ปีละ 1 แสนล้านบาท ไม่ต้องใช้งบประมาณแผ่นดิน (ประชด)"
ข้อความด้านล่างก็ระบุว่า "แก๊งค์ตำรวจสังกัด พลตำรวจเอก ... ทำ ปปง. ฉิบหายมาเยอะแล้ว ให้ข้าราชการที่ ปปง. เขาเติบโตในหน่วยงานเข้าบ้างเถอะ ขอเรียกร้องข้าราชการสำนักงาน ปปง. ช่วยกันมาเก็บกวาดบ้านตัวเอง เพื่อองค์กร ลุกขึ้นมาสู้กับสิ่งที่ไม่ถูกต้องสักที!" หลังจากที่ตกอยู่ในแดนสนธยาภายใต้กลุ่มตำรวจนานหลายปีจนหน่วยงานเกิดความเสียหาย ไม่สามารถจะเป็นที่พึ่งของประชาชนได้
นอกจากนี้ คุณอัจฉริยะยังกล่าวให้สัมภาษณ์ว่า กลุ่มตำรวจในสำนักงาน ปปง. ทำเป็นเครือข่ายเรียกรับผลประโยชน์จากเว็บพนันออนไลน์ ดูแลเรื่องการเงิน อ้างว่ามีคณะกรรมการธุรกรรมพิจารณา จึงเป็นช่องโหว่ในการเพิกถอนอายัดการเงินบุคคลใดก็ได้ ซึ่งก่อนหน้านี้สำนักงาน ปปง. ทำงานโปร่งใส ไม่เคยมีข่าวเรียกรับเงินจากคดีพนันออนไลน์ จนกระทั่ง 4-5 ปีที่ผ่านมา
คุณอัจฉริยะ พูดว่า ส่วนกรณี พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ รองเลขาธิการ ปปง. ได้ยอมรับแล้วว่ารู้จักกับกลุ่มเว็บพนันออนไลน์ หรือเจ้าของบ่อนพนันย่านพระราม 3 ซึ่งกฎหมาย ปปง. นั้น คนเป็นข้าราชการต้องสำนึกและไม่ควรคบหาสมาคมกับกลุ่มเว็บพนัน เพราะถือว่าผิดกฎหมาย นอกจากนี้ ต้องสอบถาม พล.ต.ต.เอกรักษ์ มารับตำแหน่งที่ ปปง. เป็นเพราะ นายพล จ. เกษียณอายุราชการตำแหน่งรอง ผบ.ตร. นักเรียนนายร้อยรุ่น 35 ส่งมาหรือไม่ เพื่อมาดูแลพนันออนไลน์
ท่านผู้ชมครับ คุณเอกรักษ์ก็เลยเอาคืนบ้าง มาแจ้งความว่าคุณอัจฉริยะหมิ่นประมาท เรียกสิบล้าน แล้วปฏิเสธว่าไม่ได้สนิทกับชูวิทย์ และสารวัตรซัว
ถัดมา ... นี่เหตุการณ์มันวันต่อวันเลยนะท่านผู้ชม วันนี้มีเรื่องนี้ พรุ่งนี้มีอีกเรื่องหนึ่ง
28 มีนาคม 2566 สน.พหลโยธิน พล.ต.ต.เอกรักษ์ ได้เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับนายอัจฉริยะ ในข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา พล.ต.ต.เอกรักษ์ กล่าวว่า การที่นายอัจฉริยะไปแจ้งความดำเนินคดีพร้อมกับพาดพิงตนเองและภรรยาที่กองปราบนั้น ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงเป็นอย่างมาก เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อต้นปี 2565 และยอมรับว่าตัวเองเป็นคนแนะนำให้บุคคลสองคนในภาพที่นายอัจฉริยะเผยต่อสื่อจริง ซึ่งเขาอ้างว่าเขาเป็น FC แฟนคลับของนายชูวิทย์ คุณเอกรักษ์ก็เลยแนะนำให้สองคนนี้รู้จักกัน เพราะอีกคนรู้จักนายชูวิทย์ ส่วนจะไปพูดคุยกันหรือไปโรงแรมนายชูวิทย์หรือไม่นั้น ตัวเองไม่ทราบ สารวัตรซัว ตัวเองก็ไม่รู้จักมาก่อน แต่หลายปีก่อนมีคนพาคนชื่อซัวมาไหว้ แต่ไม่รู้ว่าคือซัวเดียวกันหรือไม่ เพราะไม่เคยติดต่อกันหลังจากนั้น
พล.ต.ต.เอกรักษ์ กล่าวต่อ ในส่วนภรรยาตนที่คุณอัจฉริยะกล่าวหาว่ารับเงินจากเว็บพนันออนไลน์หลายแห่งนั้น ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง ยืนยันว่าภรรยาของตัวเองนั้นเป็นเซลขายไม้อัด เป็นอาชีพที่สุจริต ไม่เกี่ยวข้องกับการรับเงินอย่างแน่นอน
ส่วนภาพที่ตัวเองถ่ายรูปคู่กับชายคนหนึ่ง ร่างท้วม หมายถึงนายกานต์ ที่คุณอัจฉริยะอ้างว่าเป็นเจ้าของเว็บพนันออนไลน์นั้น ยอมรับว่ารู้จัก เพราะว่าเป็นลูกของเพื่อนที่เป็นนักการเมืองท้องถิ่นในจังหวัดอ่างทอง แล้วมาขอถ่ายรูปตอนเป็นอาจารย์สอนที่สถานศึกษาที่เขาเรียนอยู่เท่านั้น
คุณเอกรักษ์พูดต่อว่า ผมไม่รู้จักคุณชูวิทย์เป็นการส่วนตัว อาจจะเคยพูดกันบ้าง แต่นานแล้ว และยืนยันว่าไม่ได้ไปโรงแรมเดวิสแม้แต่ครั้งเดียว
รองเลขาธิการ ปปง. กล่าวว่า ถ้าคุณอัจฉริยะมีหลักฐานว่าไปจริง สามารถนำหลักฐานหรือกล้องวงจรปิดออกมาชี้แจงได้ และขอย้ำว่า ตัวเองไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องการเคลียร์หน้าเสื่อให้กับเว็บพนันออนไลน์ หรือพัวพันกับสิ่งผิดกฎหมาย เพราะตำแหน่งตนนั้นเป็นสายงานธุรการ ไม่มีอำนาจในการยึดหรืออายัดทรัพย์สินใครทั้งนั้น หากพบว่าตัวเองมีส่วนเกี่ยวข้องหรือกระทำความผิดจริง ยินดีลาออกเพื่อรับผิดชอบทันที
คุณเอกรักษ์พูดว่าวันนี้มาเพื่อแจ้งความดำเนินคดีคุณอัจฉริยะเพียงคนเดียว และเรียกร้องค่าเสียหายถึงสิบล้านบาท
ท่านผู้ชมครับ ผมได้เล่าเหตุการณ์ให้ฟังวันต่อวัน ตั้งแต่วันที่ 22 หรือ 23 มีนาคม มาจนกระทั่งถึงสุดท้าย คุณอัจฉริยะเข้าไปแจ้งความ และคุณเอกรักษ์ก็เข้าไปแจ้งความ หาว่าคุณอัจฉริยะหมิ่นประมาท ประเด็นอยู่ที่ไหน ?
อย่างที่ผมเคยถกถึงปรัชญาในการทำรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" และเคยเตือนท่านผู้ชมมาตลอดเกี่ยวกับการเลือกฟังและการคัดกรองข้อมูลข่าวสารว่า "ความจริงนั้นมีเพียงหนึ่งเดียว" ท่านผู้ชมจำได้ไช่ไหมครับ วันนั้นผมยังได้ยกพุทธสุภาษิตขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นมาเตือนใจว่า "คนพูดเท็จไม่ทำชั่วนั้นไม่มี" จากบทแรก ถึงวันนี้ ที่ผมพูดไปตอนต้น ท่านผู้ชมจะเห็นได้ชัดว่าความสับสนวุ่นวายยุ่งยากเริ่มปรากฏแล้ว และแต่ละคนเมื่อยิ่งพูดโกหก ยิ่งแก้ตัว ยิ่งเฉไฉไป ยิ่งประสบกับความเคลือบแคลงสงสัยและความฉิบหายวายวอดมากขึ้น เพราะสิ่งที่คุณชูวิทย์ และคุณเอกรักษ์ พูดนั้นเริ่มไม่สอดคล้องกันแล้ว คำพูดหลักฐานเหล่านี้ในเวลาต่อมากลายเป็นสิ่งที่บีบรัดทั้งสองคนให้ต้องยอมรับกับความจริงที่ทั้งคู่ต่างหนีไม่พ้น
ท่านผู้ชมครับ ก่อนที่ผมจะพูดต่อไป ผมขอเล่าพื้นเพของ พล.ต.ต.เอกรักษ์ รองเลขาฯ ปปง. ว่ามีประวัติความเป็นมาอย่างไร และได้รู้จักคุณชูวิทย์อย่างไร
พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ เกิดเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2508 อายุ 58 ปี พอดิบพอดี เป็นบุตรของ พ.อ. (พิเศษ) สุทัศน์ ลิ้มสังกาศ เป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 41 (นรต. 41) เคยดำรงตำแหน่งสำคัญๆ เช่น เป็นผู้กำกับกองบังคับการสืบสวนสอบสวน กองบังคับการตำรวจนครบาล 6 (ผกก.สส. บก.น.6) ผู้กำกับกองบังคับการสืบสวนสอบสวน กองบังคับการตำรวจนครบาล 9 (ผกก.สส.บก.น.9) เป็นผู้กำกับสถานีตำรวจมักกะสัน โดยข้อมูลวงในระบุว่าช่วงนี้เองที่ พล.ต.ต.เอกรักษ์ ได้รู้จักคุณชูวิทย์ เพราะในเวลานั้นชูวิทย์เป็นเจ้าของอาบอบนวดฮอนโนลูลู ซึ่งอยู่ในพื้นที่ความดูแลของ สน.มักกะสัน ต่อมาเป็นรองผู้บังคับการอำนวยการ กองบัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผบก.อก.บช.น.) แล้วหลังจากนั้นได้เลื่อนตำแหน่งไปเป็นผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดอ่างทอง แล้วมาเป็นรองผู้บังคับการตำรวจจราจร รองโฆษก บช.น. สมัยที่ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล เป็น ผบช.น.
คนที่อยู่ในวงแดง คือคุณศรีวราห์ และนายตำรวจข้างหลังที่อยู่ในวงนั้นคือ พล.ต.ต.เอกรักษ์ ในปี 2557
ตุลาคม 2561 พล.ต.ต.เอกรักษ์ ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 (รอง ผบช.ภ.6) ดูแลภาคเหนือตอนล่างทั้งหมด 9 จังหวัด ในช่วงที่ พล.ต.ต.เอกรักษ์ ดำรงตำแหน่งรอง ผบช.ภ.6 มีข่าวใหญ่อึกทึกครึมโครมมาก ท่านผู้ชมคงจำได้ ผู้กำกับโจ้ ที่มีฉายาว่าผู้กำกับถุงดำ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล อดีตผู้กำกับ สภ.เมืองนครสวรรค์ กับพวกรวม 7 คน ลงมือฆ่าผู้ต้องหาคดียาเสพติดด้วยการคลุมถุงดำ เหตุเกิดขึ้นประมาณวันที่ 4-6 สิงหาคม 2564 ที่นครสวรรค์
ท่านผู้ชมครับ ปีที่แล้ว 8 มิถุนายน 2565 ศาลอาญาคดีทุจริตประพฤติมิชอบกลางได้มีคำพิพากษาประหารชีวิตผู้กำกับโจ้ กับพวกบางส่วนไปแล้ว
คำถามที่น่าสนใจต่อมา คือ พล.ต.ต.เอกรักษ์ ไปเกี่ยวข้องอะไรกับคดีผู้กำกับโจ้ถุงดำ ที่ฆ่าผู้ต้องหาคดียาเสพติด ? คำตอบ ทั้งสองคนรู้จัก สนิทสนม และไว้วางใจกันอย่างยิ่ง ไว้วางใจขนาดไหน ? ขนาดตอนที่ผู้กำกับโจ้ซึ่งหลบหนีการจับกุมอยู่ จะเข้ามอบตัว ได้ติดต่อไปยัง พล.ต.ต.เอกรักษ์ โดยวันที่ 26 สิงหาคม 2564 ก่อนที่ผู้กำกับโจ้จะเข้ามอบตัว พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 ได้เปิดเผยต่อสื่อมวลชนว่า ในช่วงกลางดึกวันที่ 25 สิงหาคม พ.ต.อ.ธิติสรรค์ หรือผู้กำกับโจ้ ได้โทรศัพท์ติดต่อตน มีความเครียด ต้องการฆ่าตัวตาย ตัวเองก็เลยแนะนำให้มามอบตัว พร้อมนัดหมายมอบตัวกันที่หน้าสถานีตำรวจภูธรแสนสุข จังหวัดชลบุรี เมื่อเวลา 16.00 น. ก่อนจะถูกนำตัวมาสอบสวนขยายผลเพิ่มเติมที่กองบังคับการปราบปราม
ข้อมูลข้างต้นพิสูจน์ชัดเจนว่าทั้งสองคน คือ พล.ต.ต.เอกรักษ์ และ ผู้กำกับโจ้ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ ต้องสนิทสนมและไว้วางใจกันในระดับสูง จึงเกิดเหตุการณ์ข้างต้นได้ โดยการสนิทสนมดังกล่าวได้ชักนำมาสู่ความขัดแย้งของคนสองคนเกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้กำกับโจ้ในภายหลัง
เอาล่ะ ท่านผู้ชมครับ เรามาดูทรัพย์สินของผู้กำกับโจ้กัน ทรัพย์สินพันล้าน ผมพูดเรื่องนี้เมื่อตอนที่ 146 ออกอากาศเมื่อวันศุกร์ที่ 15 กรกฎาคม 2565 ท่านผู้ชมคงพอจำได้ ปีที่แล้ว รายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ตอนที่ 146 ผมเป็นสื่อมวลชนคนแรกในประเทศไทยที่เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับข้อมูลความร่ำรวยระดับมหาเศรษฐีของผู้กำกับโจ้ อดีตผู้กำกับ สภ.เมืองนครสวรรค์ ว่ามีเงินมากมายมหาศาล โดย ป.ป.ช. ตรวจพบเกือบ 1,400 ล้านบาท มีบ้านหรูหราใหญ่โต รถยนต์ราคาแพงเป็นสิบๆ คัน ไม่ว่าจะเป็น Ferrari, Lamborghini, Porsche, Mini Cooper, Benz, Volkswaken ทั้งๆ ที่เป็นตำรวจแค่ระดับผู้กำกับ อายุเพียงสี่สิบต้นๆ เงินเดือน 43,330 บาท พื้นเพครอบครัวก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไร หรือเคยประกอบธุรกิจอะไรจนประสบผลสำเร็จ
ตอนนั้นถ้าท่านผู้ชมจำได้ ผมพูดว่า ผมไม่เชื่อว่าด้วยจำนวนทรัพย์สินที่มากมายมหาศาลขนาดนี้ ผู้กำกับโจ้จะกระทำผิดมาด้วยตัวเอง ผมบอกว่ามันต้องมีขบวนการอะไรที่ยิ่งใหญ่อยู่เบื้องหลังแน่นอน ผมพูดอย่างนี้ครับ "นี่คือตำรวจหนุ่มนายหนึ่ง รับราชการมาแค่สิบเจ็ดปี ถูกจับตอนอายุ 41 มีเงิน 1,500 ล้านบาท ในชื่อเขาเอง ไม่ได้มีในชื่อคนอื่น ยังไม่นับทรัพย์สินที่ซุกซ่อนหรือฝากเอาไว้กับนอมินีอีกไม่รู้กี่คน อีกไม่รู้กี่ร้อยล้านบาท ผมดูแล้วขบวนการแบบนี้ จำนวนเงินที่เข้ามาแบบนี้ ระยะเวลาที่เงินเข้าแบบนี้ คงไม่น่าจะเอี่ยวกับขบวนการยึดหรือจับประมูลรถยนต์เถื่อนเท่านั้น" ถ้าท่านผู้ชมยังจำได้ ผมพูดต่อว่า "ผมอนุมานได้ว่าต้องเกี่ยวข้องกับขบวนการทำผิดกฎหมายอย่างอื่น เช่น ยาเสพติด ค้าของเถื่อน ค้าแรงงานเถื่อน การพนันออนไลน์ แน่นอนว่าแค่ผู้กำกับโจ้คนเดียวไม่อาจจะทำได้ น่าจะมีขบวนการใหญ่ที่มีผลประโยชน์มหาศาลอยู่เบื้องหลัง เผลอๆ เงินที่ผู้กำกับโจ้ฝากเอาไว้นั้น อาจจะเป็นเงินก่อนที่จะนำมาแบ่งกับหลายๆ คนที่อยู่เบื้องหลัง แล้วก็เป็นผู้ใหญ่ทั้งนั้น และนี่คือความจริงของระบบข้ราชการไทย ของตำรวจไทยบางนาย"
ที่ผมพูดไปเมื่อกี้นี้เป็นคำพูดที่ผมพูดและทำนายไว้ตั้งแต่ปีที่แล้ว เกี่ยวกับขบวนการผิดกฎหมายที่เชื่อมโยงกรณีผู้กำกับโจ้ถุงดำ ซึ่งวันนี้อะไรต่ออะไรหลายอย่างก็เริ่มคลี่คลายออกมาแล้วว่าสิ่งที่ผมพูดนั้นเป็นความจริง
เอาล่ะ เรากลับมาที่ตัวละครเอกของเราในวันนี้กันต่อ คือ พล.ต.อ.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ
หลังจากดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 ตั้งแต่ปี 2561 โดยนายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ได้มีการชงเรื่องเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณารับโอน พล.ต.ต.เอกรักษ์ จากตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 มาบรรจุเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ โดยแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการ ปปง. โดย ครม. มีมติเห็นชอบตามที่นายวิษณุเสนอไปเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม
ต่อมา วันที่ 18 สิงหาคม 2565 พล.ต.ต.เอกรักษ์ ได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้เป็นรองเลขาธิการ ปปง.
คุณเอกรักษ์ กับชีวิตครอบครัวเป็นอย่างไร ? ที่ต้องพูดเรื่องชีวิตครอบครัวนั้นก็เพราะว่าในคดีความหลายๆ อย่างที่ผมจะกล่าวต่อไป บุคคลในครอบครัวของ พล.ต.ต.เอกรักษ์ ถือเป็นตัวละครสำคัญที่เชื่อมโยงและพัวพันเกี่ยวกับการกระทำผิดต่างๆ ที่ผมจะเล่ารายละเอียดให้ฟัง
พล.ต.ต.เอกรักษ์ เดิมทีเป็นพ่อม่าย มีลูกชายกับอดีตภรรยา 1 คน ชื่อ เบิร์ด ภานุรุจ ลิ้มสังกาศ ภรรยาคนปัจจุบันมีชื่อเล่นว่า ดา ชลลดา ลิ้มสังกาศ โดยกับภรรยาคนนี้ รองฯ เอก ปปง. มีบุตรอีก 2 คน รวมแล้ว พล.ต.ต.เอกรักษ์ มีบุตรทั้งสิ้น 3 คน
ดา ชลลดา คนนี้นี่เองที่คุณอัจฉริยะกล่าวหาว่าเป็นภรรยาของ พล.ต.ต.เอกรักษ์ ที่เกี่ยวข้องกับแก๊งเว็บพนันออนไลน์ เพราะมีเงินโอนเข้าบัญชีจำนวนมาก ทำให้เจ้าตัว (พล.ต.ต.เอกรักษ์) ออกมาปฏิเสธเสียงหลงกับผู้สื่อข่าวว่าไม่จริง เพราะภรรยาเป็นแค่เซลขายไม้อัด ไม่พูดเรื่องนี้่ต่อไปก็ไม่ได้ ผมต้องพูดว่าคุณชูวิทย์เองก็หลุดออกมาว่า ถ้า ปปง. จะตรวจสอบตัวเองเรื่องฟอกเงิน ก็สอบไปเลย เพราะว่าโยงกับคนใน ปปง. เอง
คำปฏิเสธเสียงแข็งของ พล.ต.ต.เอกรักษ์ ที่ว่าผมไม่รู้จักคุณชูวิทย์เป็นการส่วนตัวนั้น เป็นประเด็นที่เชื่อถือได้ยาก เพราะก่อนหน้านั้นนอกจากออกมายอมรับเลย เขียนชื่อ พลตำรวจตรี อ. คู่กับนายพลตำรวจ ป. บนกระดานไวท์บอร์ดระหว่างการแถลงข่าวที่โรงแรมเดวิส เมื่อ 24 มีนาคม ที่ผ่านมา
ในวันเดียวกันนั้น สำนักงาน ปปง. โดยนายเทพสุ บวรโชติดารา เลขาธิการ ปปง. ยังออกแถลงการณ์ต่อสื่อด้วยว่า ตามที่สื่อมวลชนเสนอข่าวกรณีมีบุคคลนำเงินที่ได้จากผู้มีการกระทำความผิดมูลฐานไปบริจาคแก่โรงพยาบาล 2 แห่ง จำนวน 6 ล้านบาท มีข้อเท็จจริงเบื้องต้นค้นพบว่า เป็นเงินจากผู้มีพฤติการณ์กระทำผิดเกี่ยวกับการพนันออนไลน์ สำนักงาน ปปง. จึงจะดำเนินการพิจารณาเรื่องนี้ใน 2 ประเด็น
ประเด็นที่หนึ่ง เงินบริจาคดังกล่าวเป็นทรัพย์สินเกี่ยวกับการกระทำความผิดมูลฐานตาม พ.ร.บ. การฟอกเงิน ปี 2542 หรือไม่ ? ประเด็นที่สอง พฤติการณ์การกระทำความผิดอาญาฐานฟอกเงินหรือเปล่า ?
เมื่อนายเทพสุ เลขาธิการ ปปง. ออกแอกชันมา ทำให้วันเดียวกัน ในช่วงค่ำของวันที่ 24 มีนาคม 2566 ท่านผู้ชมรู้ไหม นายชูวิทย์รีบออกมาโพสต์เฟซบุ๊กตอบโต้ทันที โดยใช้หัวเรื่องว่า "คนสีเทา" ในตอนหนึ่งพาดพิงถึงการตรวจสอบของ ปปง. กรณีความผิดของตนข้อหาฟอกเงิน ระบุว่า "ล่าสุด ปปง. จะตรวจสอบ ชอบครับ เพราะก็คนในนี้ล่ะครับ ไม่ได้ไกลที่ไหนเลย ห่างกันแค่ไม่กี่โต๊ะ"
ด้วยเหตุนี้จึงเป็นเรื่องยาก ถึงแม้ พล.ต.ต.เอกรักษ์ จะปฏิเสธอย่างไรก็ตามว่าไม่รู้จักคุณชูวิทย์เป็นการส่วนตัว แต่จากคำพูด ข้อเขียน และหลักฐานต่างๆ นานาที่ออกมาจากคุณชูวิทย์ กลับตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิงกับที่นายตำรวจใหญ่ระดับพลตำรวจตรีที่โอนย้ายมานั่งรองเลขาธิการ ปปง. ซ้ำในช่วงหนึ่งยังเคยตกเป็นข่าวว่ากำลังจะก้าวขึ้นดำรงตำแหน่งเลขาธิการ ปปง. เสียด้วยซ้ำ พยายามที่จะบอกกับสังคมอย่างนี้ครับ
ท่านผู้ชมครับ มาถึงตอนนี้แล้ว ถ้าผมไม่พูดถึงขบวนการพวกคุณชูวิทย์ และเอกรักษ์ ต้องการจะยึด ปปง. ก็คงไม่ได้ เพราะคนที่คลุกคลีในวงการตำรวจจะทราบดีว่า อยู่ดีๆ ไม่ใช่เป็นเรื่องปกติธรรมดาที่นายตำรวจคนหนึ่งจะข้ามห้วยมานั่งตำแหน่งใหญ่ เป็นรองเลขาธิการ ปปง. เพื่อปูพื้นในการขึ้นไปเป็นเลขาธิการ ปปง. ตำแหน่งของเลขาธิการ ปปง. นั้นเป็นตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่มาก มีอำนาจล้นฟ้า จะตรวจสอบใครก็ได้ ไม่ตรวจสอบใครก็ได้ จะละเว้นใครก็ได้ จะเล่นงานใครก็ได้
ถ้าเราค้นข้อมูลย้อนหลังไปเมื่อปีที่แล้ว (2565) จะพบคอลัมน์จากสื่อหลายสำนัก เช่น ไทยรัฐ คมชัดลึก ฟันธงได้เลยว่าการย้าย พล.ต.ต.เอกรักษ์ มาจากรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 นั้น เพื่อเตรียมตัวขึ้นดำรงตำแหน่งเลขาธิการ ปปง. ผมจะเอาตัวอย่างให้ฟัง
จากคมชัดลึก คอลัมน์ส่องตำรวจ เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2565 โดยคอลัมนิสต์ที่ใช้ชื่อว่า หนึ่งตะวันพันดาว พาดหัวว่า "ยุคทองสีกากี ทำไมต้องดัน พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ นั่งเก้าอี้ เลขาฯ ปปง." คอลัมน์นี้เขาเขียนว่า ยุคทองสีกากี ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีอนุมัติรับโอน พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ตามที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เสนอ ปะองค์ทรงเครื่องเตรียมรับตำแหน่งเลขาธิการ ปปง. แทน พล.ต.ต.ปิยะพันธ์ ปิงเมือง ที่จะเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 กันยายน 2565
มาดูไทยรัฐบ้าง คอลัมน์กากบาท เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม ระบุเช่นกันว่า "อีกข่าวดีของตำรวจกับว่าที่เลขาฯ ปปง. พล.ต.ต.ปิยะพันธ์ ปิงเมือง เลขาธิการ ปปง. เกษียณ มีชื่อ พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 เป็นตัวเลือก พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ลงนามคำสั่งโอน พล.ต.ต.เอกรักษ์ ไปเป็นรองเลขาธิการ ปปง. รอจ่อคิวนั่งเก้าอี้ใหญ่เลขาฯ ปปง. เป็นนายตำรวจอีกคนที่ถูกเลือกใช้งาน
ท่านผู้ชมครับ คำถามที่น่าสนใจ ทำไมจึงเกิดเกมยึด ปปง. และเรื่องนี้มีความสำคัญอย่างมาก ณ เวลานี้ ? ท่านผู้ชมยังจำแผนผังอาณาจักรพนันออนไลน์ที่ผมเคยแสดงให้ท่านผู้ชมดูในรายการ และแจกผ่านเฟซบุ๊กไปหลายร้อยรอบแล้ว
ท่านผู้ชมจะเห็นว่าสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) นั้น เป็นหนึ่งในสี่องค์กรหัวใจภาครัฐที่มีภารกิจโดยตรงในการปราบปรามบรรดาเว็บพนันและอาชญากรรมออนไลน์ทั้งหลาย ร่วมกับตำรวจไซเบอร์ ดีเอสไอ และกระทรวงดีอี
หากอำนาจในการจัดการบริหาร ปปง. ตกอยู่ในมือใคร ถ้าเป็นคนดี ประเทศชาติก็รุ่งเรือง ถ้าเป็นคนชั่ว โจรก็ครองเมือง พ่อค้ายาเสพติด พ่อค้ามนุษย์ เจ้าของเว็บไซต์พนันออนไลน์ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ กลายเป็นเสือติดปีก ด้วยเหตุนี้ ตำแหน่งผู้บริหาร เลขาธิการ ปปง. จึงมีความหอมหวานมากเป็นพิเศษ ใครๆ ก็อยากจะส่งพรรคพวกคนของตัวเองมานั่งเพื่อครอบครองอำนาจตรงนี้
ย้อนรอยคดีดัง ท่านผู้ชมจำคดีของนายอั้ม ได้ไหม แยม กับอั้ม รวยอู้ฟู่ เพราะทำเว็บพนัน เข้าทางของคุณชูวิทย์ ตีเมืองขึ้น ปปง. เด้งปิยะพันธ์ ย้อนรอยไปเมื่อกลางเดือนธันวาคม ปี 2565 ท่านผู้ชมคงจะจำได้ว่ามีกรณีบุกจับสองสามี-ภรรยา เจ้าของเว็บพนันรายใหญ่ นำโดย พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ได้บุกจับเครือข่ายเว็บไซต์พนันออนไลน์ และเว็บไซต์ที่เผยแพร่ภาพยนตร์ การแข่งขันฟุตบอล และหนังโป๊เถื่อน เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมนายภูมิพัฒน์ หรือ อั้ม ประเสริฐวิทย์ อายุ 42 ปี นายเชษฐชัย หงส์คำ อายุ 38 ปี นางสาวธมลพรรณ์ หรือ แยม ภานุชิตพุทธิวงศ์ อายุ 40 ปี นางเอกละครพื้นบ้านชื่อดัง ข้อหาร่วมกันเผยแพร่ภาพสื่อลามกอนาจาร ร่วมกันจัดให้มีการเล่นหรือชักชวนผู้อื่นให้พนันออนไลน์ สมคบเพื่อกระทำผิดฐานฟอกเงิน และร่วมกันฟอกเงิน รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ผมเคยเล่าให้ฟังไปแล้วในรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ในตอนที่ 169 ตอนย่อยที่ผมพูด "อวดรวยไม่เกรงใจใคร" ออกอากาศเมื่อวันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม 2565
ในตอนนั้นนายชูวิทย์กำลังง่วนลุยอยู่กับเรื่องของตู้ห่าว ทุนจีนสีเทา ที่กินเวลายาวนานเป็นเดือน และกระแสก็เริ่มซาลง คุณชูวิทย์ก็เลยได้ทีกระโดดลงไปเล่นเรื่องนี้ด้วย
ในการแถลงข่าวเมื่อวันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2565 ที่โรงแรมเดอะ เดวิส คอร์เนอร์วิง สุขุมวิท นายชูวิทย์ได้เขียนชื่อชาร์ตในกระดาษระหว่างการแถลงข่าว โดยระบุว่า อั้ม PSV หรืออั้ม ภูมิพัฒน์ รวมทั้งนายแทนไท การแถลงข่าวนั้นนายชูวิทย์ระบุด้วยว่า นายอั้ม ภูมิพัฒน์ นอกจากจะเป็นเจ้าของเว็บพนัน เว็บหนังเถื่อน เว็บถ่ายทอดสดฟุตบอลเถื่อน เว็บโป๊ใหญ่ระดับประเทศ มีเงินหมุนเวียนกว่าเป็นพันๆ ล้านบาท และเจ้าตัวยังมีความสนิทสนม เป็นเด็กในคาถาของบิ๊กปิง ผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เลขาธิการ นายอั้มยังเป็นหน้าเสื่อคอยวิ่งเต้นเคลียร์ตั๋ว หรือเงินสินบนกับทางเจ้าหน้าที่ระดับสูงของ ปปง. ให้กับกลุ่มเว็บพนันออนไลน์เครือข่ายใหญ่ๆ อีกหลายสิบเว็บ
ท่านผู้ชมครับ นายอั้มยังเป็นหน้าเสื่อเคลียร์ตำรวจทุกหน่วยที่มีอำนาจจับเว็บพนันออนไลน์ รวมไปถึงดีเอสไอ โดยนายอั้มทำงานแบบ One Stop Service ทุกเว็บถ้าผ่านอั้ม ภูมิพัฒน์ ทุกอย่างสะดวกโยธิน บิ๊กปิง ปปง. นั้น นายชูวิทย์ระบุชัดเจนว่าคือ พล.ต.ต.ปิยะพันธ์ ปิงเมือง เลขาธิการ ปปง. นอกจากนี้แล้ว ชูวิทย์ยังออกโหมโรงเปิดโปงอั้ม ภูมิพัฒน์ ด้วยว่ามีหลักฐานยืนยันความสนิทชิดเชื้อของอั้ม ภูมิพัฒน์ กับบิ๊กปิง จากภาพวงจรปิดที่จับภาพอั้ม ภูมิพัฒน์ เข้า-ออกสำนักงาน ปปง. เป็นว่าเล่น หิ้วเหล้าดีๆ ไวน์ชั้นเยี่ยมขึ้นชั้น 3 อยู่บ่อยครั้ง ระยะหลังถึงขั้นนั่งดื่มนั่งดริงก์กันเลย โดยมีเด็กเอนฯ คอยชงเหล้า และลูกสมุนของบิ๊กปิงที๋โตข้ามหัวคน ปปง. มานั่งบริการ
คุณชูวิทย์แถลงข่าวเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม ปีที่แล้ว คุณชูวิทย์แถลงสำทับว่า เมื่อการบริหารงานใน ปปง. เป็นอย่างนี้แล้ว ตัวเองขอเปลี่ยนชื่อ ปปง. เป็น "ป้องปิงเงิน"
พล.ต.ต.ปิยะพันธ์ ปิงเมือง หรือ ปิง ตอนนั้นเป็นประธานกรรมการ ปปง. ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งเลขาธิการ ปปง. ถึงแม้จะเกษียณอายุไปแล้วในตำแหน่งเลขาฯ แต่ยังมีอิทธิพลคงอยู่ ยึดครองสำนักงาน ปปง. อยู่ ต้องลาออก
นอกจากนี้แล้ว ยังผลักดันให้นายเทพสุ บวรโชติดารา รองเลขาธิการ ปปง. รักษาการแทนเลขาธิการ ให้ลาออกพร้อมกันด้วย
คุณเทพสุ บวรโชติดารา ซึ่งปัจจุบันเป็นเลขาธิการ ปปง. เป็นข้าราชการพลเรือนที่ไม่ใช่ตำรวจคนแรกที่ได้ขึ้นมาเป็นเลขาธิการ ปปง.
คุณชูวิทย์สำทับในการแถลงข่าวว่า ถ้าบิ๊กปิง พล.ต.ต.ปิยะพันธ์ ไม่ยอมลาออก ตัวเองก็มีหลักฐานเด็ดที่พร้อมจะแฉเพิ่มเติม หลังจากนั้นเพียง 3 วัน 19 ธันวาคม 2565 คุณชูวิทย์มาโพสต์ข้อความของตัวเองระบุว่า พล.ต.ต.ปิยะพันธ์ ได้ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งประธาน ปปง. อ้างว่ามีปัญหาด้านสุขภาพ หลังถูกพาดพิง พร้อมโพสต์ภาพเอกสาร ซึ่งนายชูวิทย์ยังเขียนชื่นชม พล.ต.ต.ปิยะพันธ์ ด้วยว่า ประธาน ปปง. ลาออก ผมพาดพิงถึงประธาน ปปง. ทำให้ท่านตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง ต้องยอมรับว่าเป็นลูกผู้ชาย ชื่นชมความกล้าหาญในการตัดสินใจ
เมื่อประชาชนไม่มีตำแหน่งแห่งหนอย่างผมพูด ท่านไม่ตอบโต้ ไม่ปฏิเสธ ไม่กอดอำนาจไว้ หรือแม้แต่แก้ตัวต่อหน้าสื่อ กลับตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวลาออกทันที ถือว่าเป็นวิถีทางที่หาได้ยากยิ่งสำหรับคนมีอำนาจในสังคมไทยทุกวันนี้ เพื่อตอบข้อครหาและพิสูจน์ตัวเองอย่างเต็มภาคภูมิ ไร้ซึ่งตำแหน่งเป็นเกราะป้องกัน
ท่านผู้ชมครับ ประเด็นเรื่องนี้อยู่ที่ไหน ? ในเวลานั้น ท่านผู้ชมยอมรับไหมว่า ถ้าท่านผู้ชมที่ไม่รู้เรื่องตื้นลึกหนาบางของเรื่องราว จับไม่ได้ไล่ไม่ทันว่านายชูวิทย์กำลังเล่นเกมอะไรอยู่ ก็ออกมาปรบมือเชียร์ แต่ท่านผู้ชมครับ เมื่อเวลาผ่านไป มีเหตุการณ์ได้พิสูจน์แล้วว่าความจริงมีหนึ่งเดียว
การกระทำของคุณชูวิทย์ในการไล่บี้บิ๊กปิง พล.ต.ต.ปิยะพันธ์ ปิงเมือง ให้ลาออกนั้น จริงๆ แล้วไม่ได้เป็นการปัดกวาดหรือล้างบ้างสำนักงาน ปปง. ให้สะอาดขึ้นแต่อย่างใด โดยความจริงแล้วเป็นการกระทำที่มีวาระซ่อนเร้น เป็นเกมการแย่งชิงอำนาจใน ปปง. ซึ่งถ้าท่านผู้ชมได้ติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างละเอียดจะพบว่าในการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2565 ของคุณชูวิทย์ ไม่ได้ไล่ พล.ต.ต.ปิยะพันธ์ ประธาน ปปง. เพียงคนเดียว แต่ยังไล่นายเทพสุ บวรโชติดารา รองเลขาธิการ ปปง. ที่ขณะนั้นรักษาการตำแหน่งเลขาธิการ ปปง. ให้ออกด้วย ก็ถามว่าในเชิงลึกแล้ว คุณชูวิทย์ออกโรงขับไล่ผู้บริหารระดับสูงของ ปปง. ทั้งสองคนเพื่ออะไร ?
คำตอบสั้นๆ ได้ใจความคือ เพื่อเปิดทางสะดวกให้ พลตำรวจตรี อ. ของคุณชูวิทย์ ที่บอกว่าไม่รู้จักกัน หรือ พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ รองเลขาธิการ ปปง. ผู้รู้จักมักคุ้นกับนายชูวิทย์เป็นอย่างดี สามารถขึ้นมาผงาดเป็นเลขาฯ ปปง. ได้อย่างสะดวกโยธินอย่างไรเล่า
สรุป การแฉความเน่าเฟะของ ปปง. ครั้งนั้นของคุณชูวิทย์ ที่ประชาชนทั่วไป ที่แฟนคลับออกมาสรรเสริญเยินยอว่าเป็นฮีโร่ เป็นผู้กล้า เป็นจอมแฉ สรุปแล้วคนที่ได้ประโยชน์คือเพื่อนก๊วนชูวิทย์ ส่วนผม ประชาชนคนไทยที่เรียกได้ว่า "หนีเหี้ยเจอห่า" ก็คงจะไม่ผิดนักหรอกครับ
ท่านผู้ชมครับ เรื่องราวของชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ ผู้กำกับโจ้ถุงดำ ตลอดจนเรื่องเว็บพนันออนไลน์ ทุกอย่าง "มันเป็นคนละเรื่องเดียวกันหมดเลย" ถ้าท่านผู้ชมได้ฟังเรื่องราววันนี้แล้ว ซึ่งผมพูดไปแล้วประมาณ 3 ช่วง 3 เรื่อง เรียกว่าบทที่หนึ่ง บทที่สอง บทที่สามแล้ว ตอนนี้กำลังจะเข้าบทที่สี่ ซึ่งเป็นตอนจบ ท่านผู้ชมตั้งใจฟังให้ดีๆ หรือจะเปิดฟังซ้ำอีกครั้งหนึ่งก็ได้ แล้วท่านผู้ชมจะเข้าใจป่าทั้งป่า และภาพรวมทั้งหมดเลย ว่ามันเป็นคนละเรื่องเดียวกันจริงๆ มันเกี่ยวพันกันไปหมดเลย ตั้งแต่ผู้กำกับโจ้มา ตั้งแต่ผมทำเรื่องผู้กำกับโจ้
ผมเพิ่งจะพูดถึงเรื่องของคุณชูวิทย์ และแก๊งคุณชูวิทย์ ตลอดจน พล.ต.ต.เอกรักษ์ ที่ต้องการที่จะก้าวเข้ามาสู่ตำแหน่งเลขาธิการ ปปง. แต่อย่างที่ผมเรียนให้ทราบว่า คนโบราณเขาพูดว่า "คนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิต" แม้ พล.ต.ต.ปิยะพันธ์ ปิงเมือง จะชิงลาออกจากตำแหน่งประธาน ปปง. ตามคำขู่ของคุณชูวิทย์ แต่คุณเทพสุ บวรโชติดารา รองเลขาธิการ ปปง. รักษาการแทนเลขาธิการ ปปง. ก็ไม่ได้บ้าจี้ลาออกตามไปด้วย
วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 วุฒิสภาประชุมลับ มีมติเสียงข้างมาก 124 เสียง ต่อ 52 เสียง ให้ความเห็นชอบ คุณเทพสุ บวรโชติดารา รองเลขาธิการ ปปง. ให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ ปปง. ขณะที่ พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ รองเลขาธิการ ปปง. อีกคนที่ได้รับการหมายมั่นปั้นมือและการสนับสนุนจากคุณชูวิทย์ และ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ตั้งแต่มีการย้ายข้ามห้วยจากสังกัดตำรวจ มานั่งตำแหน่งรองเลขาธิการ ปปง. หวังว่าจะมีโอกาสก้าวขึ้นตำแหน่งเลขาธิการ ปปง. ต้องกินแห้วไปโดยปริยาย
มิหนำซ้ำ หลังจากนั้นไม่นาน จากเหตุการณ์ถุงเงินสีเทา 6 ล้าน ของนายชูวิทย์ ส่งผลกระทบกลายเป็นประกายไฟไหม้ลุกลามไปถึงตัวรองฯ เอก ปปง. พล.ต.ต.เอกรักษ์ ไปถึงครอบครัว ทั้งภรรยา คือนางชลลดา ลิ้มสังกาศ และลูกชายคนโตที่ชื่อ เบิร์ด ภานุรุจ ลิ้มสังกาศ
มีความเป็นไปได้สูงว่ารองฯ เอก อาจจะต้องหลุดออกจากวงจร ปปง. อาจจะถูกย้ายขาดไปที่สำนักนายกรัฐมนตรี และจะต้องถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนอีก ส่วนจะได้ออกจากราชการหรือถูกดำเนินคดี ติดคุกติดตะราง หรือมีมลทินติดตัวจบชีวิตราชการนั้น ก็ขึ้นอยู่กับการดำเนินคดีที่ขณะนี้กองปราบปรามกำลังมุ่งมั่นและเร่งหาหลักฐานเพิ่มเติม
ด้วยเหตุนี้ ท่านผู้ชมเชื่อหรือเปล่า กลุ่มก๊วนของคุณชูวิทย์จึงสุมหัวกันก่อให้เกิดภารกิจ "Save เอก ปปง." ขึ้น เพื่อแก้ไขข้อผิดพลาดที่คุณชูวิทย์ทำปืนลั่นใส่ตีนตัวเองกรณีถุงเงิน 6 ล้าน ซ้ำร้ายกระสุนที่ลั่นใส่ตีนตัวเองนั้นยังกระทบชิ่งไปโดนมิตรสหายในกลุ่มด้วย
การเดินหมากแก้เกมแรกนั้นหนีไม่พ้นต้องตัดพลตำรวจตรี อ. ออกจากวงจรอื้อฉาวเรื่องถุงเงิน 6 ล้านบาท เสียก่อน ซึ่งการที่จะตัดพลตำรวจตรี อ. ออกไปจากถุงเงิน 6 ล้านบาท นำมาสู่การพลิกลิ้นของคุณชูวิทย์ เกี่ยวกับที่มาที่ไปของถุงเงิน 6 ล้านบาท ที่พูดกี่ครั้งก็ไม่ตรงกันสักครั้งเลย ท่านผู้ชมครับ คุณชูวิทย์กลับกลอกพลิกลิ้นแจงถุงเงิน 6 ล้านบาท 4 ครั้ง 4 เรื่อง
ครั้งที่หนึ่ง พุธที่ 22 มีนาคม 2566 หลังจากทนายตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด โพสต์เรื่อง "แฉไป ไถไป" พร้อมภาพถุงเงิน คืนวันเดียวกัน นายชูวิทย์รีบออกมาสารภาพ ระบุว่า "แฉไป ไถไป" ที่ทนายตั้มพูดนั้น จำได้ชัดเจน บอกเรียบร้อยเลยว่าเงินทั้งหมด 6 ล้านบาทนั้น เป็นเงินสีเทาจริง
วันพฤหัสบดีที่ 23 มีนาคม แถลงข่าวว่าเงินในถุง 2 ถุง ผมยืนยันว่าถุงละ 3 ล้าน มีนายตำรวจที่ไม่ได้เป็นตำรวจแล้ว หนึ่งคน ชื่อย่อ อ. (ความหมายก็คือ พล.ต.ต.เอกรักษ์ นั่นเอง) อีกคนหนึ่งชื่อย่อ ป. เกษียณอายุแล้ว บุคคลนี้ผมรู้จักมากว่า 30 ปี ตั้งแต่ผมทำอาบอบนวด ได้มาพบผมพร้อมกับนำเงินมา โดยบอกว่าเงินทั้งหมดนี้ 2 ถุงนี้ 6 ล้าน ยืนยันต่อหน้าพระ ผมได้รับ 6 ล้าน
ครั้งที่สอง วันศุกร์ที่ 24 มีนาคม หลังจากนั้นอีกเพียง 1-2 วัน นายชูวิทย์ได้ให้สัมภาษณ์เจาะลึกทั่วไทย โดยคนที่ถามก็คือ "หมาแก่" ชูวิทย์ตอบว่ามีตำรวจ 2 คน คือ ผู้การเปี๊ยก กับอีกคนหนึ่งก็แล้วกัน ไม่ยอมพูดว่า อ. คุณดนัย ถามว่าผู้การเปี๊ยก พลตำรวจตรี อ. อยู่ด้วย โอเค คุณชูวิทย์ตอบ แล้วคุณถ่ายวันไหน ผมไม่รู้ เดิมทีบอกผู้สื่อข่าวว่าเงิน 6 ล้านบาทดังกล่าว มีคนนำมาให้เมื่อ 3 กุมภาพันธ์ 2566 คุณชูวิทย์พูดต่อ ส่วนคุณจะมีอะไร นี่ คุณดนัย ผมนี่ของแข็ง คุณษิทรา เบี้ยบังเกิด เด็กๆ อยากทำอะไร คุณทำได้เลย คุณคิดหรือว่าเมื่อวานคุณโพสต์มาแล้วผมจะเดือดร้อน ผมไม่ได้เดือดร้อน แต่ปัญหาคือผมไม่เข้าใจว่าคุณต้องการอะไร คุณถึงมาแฉในช่วงนี้ คุณจะให้ผมหยุดเหรอ
ครั้งที่สาม 28 มีนาคม ต่อไปอีก 1-2 วัน ก็เปิดแถลงข่าว คราวนี้หลังจากที่ยืนยันว่า พลตำรวจโท ป. และ อ. หิ้วถุงเงินมา ครั้งนี้ปฏิเสธว่า พล.ต.ท.เปี๊ยก นำเงินมา แต่ พลตำรวจตรี อ. ไม่ได้มาด้วย เพียงแต่พลตำรวจตรี อ. เป็นผู้แนะนำมา คนๆ เดียวกันครับ แต่ผมไม่ได้เจอพี่้ ป. เป็นคนบอก อ. เป็นคนแนะนำมา ตำรวจ ป. รู้จักกับผมมาสามสิบปี ผมมีความเกรงใจ เพราะเป็นนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ผมถามว่า เอ๊ะ มากันยังไง มาได้อย่างไร ก็บอกว่ามาด้วยการแนะนำของ อ. ไม่ได้หมายถึงตัวเขานะ หมายถึงเงินที่มา มีการแนะนำกันมา เพราะเขาอยากจะเอามาให้ผมทำบุญ เพราะก่อนหน้านั้นผมก็ไปทำอยู่ คุณไปเช็กดูได้ แล้วก็สาบานว่าไม่เคยเจอพลตำรวจตรี อ. อีกเลย
เมื่อถามว่า อ. เป็นคนถือถุงเงินเข้าไปที่โรงแรม คุณชูวิทย์ตอบว่า ไม่มี จะมีได้อย่างไร อ. มันมีคนเอามาคือ ป. คุณต้องไปถาม ป. คุณมาถามผมก็ต่อเมื่อผมเจอ ป. แล้ว ผมจะไปรู้ได้อย่างไรล่ะครับ ในเมื่อ ป. เขาบอกอย่างนั้น ผมก็ต้องฟังอย่างนั้น ผมก็มัวแต่ตื่นเต้นกับเงิน 2 ถุง บอก เฮ้ยพี่ ผมไม่เอานะ ตั้ง 6 ล้าน
ครั้งที่สี่ คุณชูวิทย์พลิกลิ้นจากเงินสีเทาของสารวัตรซัว กลายเป็นเงินฝากทำบุญ ค่าที่ปรึกษาทำอาบอบนวด เปลี่ยนจาก 3 กุมภาพันธ์ 2566 มาเป็น 30 มีนาคม 2565 เปลี่ยนไปปีหนึ่ง
ศุกร์ที่ 31 มีนาคม 2566 หลังจากที่คุณชูวิทย์เดินเข้าพบ พล.ต.ต.มนตรี เทศขัน ผู้บังคับการกองปราบปราม (ผบก.ป.) เพื่อนำเงินจำนวน 6 ล้าน ไปส่งมอบตำรวจ ให้ยึดไว้เป็นหลักฐาน แล้วให้ปากคำชี้แจงที่มาของเงิน คุณชูวิทย์ให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้มากองปราบฯ เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าเงินที่ได้ทั้งหมดยินดีจะคืนกลับไปยังต้นทาง ซึ่งเงินนี้ผู้ให้ตั้งใจจะทำบุญอยู่แล้ว "เงินก็คือเงิน แต่ถ้าถามว่าที่มาของเงินมาจากไหน ต้องไปถามนายพล ป. ทั้งนี้ ยืนยันว่าเงินก้อนนี้มันไม่ใช่การขู่เข็ญ ไม่ได้ให้ในที่หลบซ่อนออฟฟิศตั้งอยู่ริมถนนใหญ่ ให้เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2565 ขณะนั้นตนอยู่ที่จังหวัดปทุมธษนี พักผ่อนอยู่ ซึ่งติดต่อมาอยากจะทำบุญ จนกระทั่งต้นปี 66 ผู้ที่นำเงินมาติดต่ออยากจะทำธุรกิจอาบอบนวด อยากปรึกษาผมเพราะมีความรู้เรื่องนี้"
ท่านผู้ชมครับ แผน Save เอก ปปง. พังครืน เมื่อภรรยาของเอก ปปง. พัวพันเว็บพนัน Kingpin 88 ส่วนลูกนั้นก็มีข้อหาลักรถผู้กำกับโจ้ขาย ท่านผู้ชมครับ คนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิต แม้กลุ่มก๊วนของนายชูวิทย์ ไม่ว่าจะเป็นนายตำรวจใหญ่ที่ยืนคุมเกมอยู่เบื้องหลัง จะพยายามทำเช่นไรก็ตาม แต่ความจริงย่อมมีหนึ่งเดียวเท่านั้น
ความจริงประการแรก คุณดา ชลลดา ลิ้มสังกาศ ภรรยา พล.ต.ต.เอกรักษ์ ไม่ได้เป็นเซลขายไม้อัด หรือเป็นแค่แม่บ้านธรรมดา แต่มีเรื่องพัวพันเว็บพนันระดับเส้นก๋วยจั๊บที่ชื่อ kingpin88.com
คุณดา ภรรยาของ พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ พัวพันอย่างไร ตามผมมาครับ
ภรรยาของ พล.ต.ต.เอกรักษ์ ชลลดา ลิ้มสังกาศ นามสกุลเดิม สังขวร จบ ม.เกษตรฯ สาขาส่งเสริมนิเทศศาสตร์เกษตร เธอมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้น เจ้าของโรงพิมพ์แห่งหนึ่ง ใช้ชื่อนิติบุคคลว่า บริษัท คอมโพส พับลิชชิ่ง จำกัด
ย้อนไปเมื่อปี 2565 วันที่ 8 มิถุนายน ตำรวจ สน.บางขุนเทียน เข้าตรวจค้นบริษัท คอมโพส พับลิชชิ่ง ในซอยเอกชัย 89/1 เขตบางบอน กทม. หลังจากที่สืบค้นพบว่า ฉากหน้าเป็นธุรกิจโรงพิมพ์ รับจ้างพิมพ์กล่องและสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ แต่ฉากหลังกลับเป็นบริษัทที่ตั้งของเว็บพนันออนไลน์ kingpin88.com โดยตำรวจบางขุนเทียนจับกุมผู้ต้องหาได้ 3 คน ยึดทรัพย์สินได้หลายรายการ โดยเฉพาะเงินสด มีมากถึง 27 ล้านบาท
การจับกุมเว็บพนันดังกล่าวมีส่วนที่มาเกี่ยวข้องกับนางชลลดา ลิ้มสังกาศ ก็คือนางชลลดาดันมีชื่อเป็นเจ้าของโรงพิมพ์คอมโพสแห่งนี้ ถือหุ้นจำนวนถึง 35 เปอร์เซ็นต์ จำนวน 7,000 หุ้น หุ้นส่วนอีก 2 ราย รายหนึ่งถือหุ้น 7,000 หุ้น อีกราย 6,000 หุ้น รวมทั้งหมด 20,000 หุ้น เมื่อเราไปตรวจสอบข้อมูลทางธุรกิจของโรงพิมพ์คอมโพส จัดตั้งเมื่อ 14 กันยายน 2553 ประกอบธุรกิจกิจการออกแบบ ผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ทุกประเภท มีทุนจดทะเบียน 2 ล้านบาท มีชื่อนางสาวชลลดา สังขวร เป็นกรรมการบริษัทมาตั้งแต่แรก ชื่อนางสาวชลลดา สังขวร ปรากฏในเอกสารบริษัทเรื่อยมาจนถึงปี 2564 ก็เปลี่ยนมาใช้นามสกุลลิ้มสังกาศของ พล.ต.ต.เอกรักษ์
เมื่อตำรวจ สน.บางขุนเทียน บุกทลายโรงพิมพ์คอมโพส เว็บ kinpin88.com ก็เลยล่มสลายไป เช่นเดียวกับกิจการโรงพิมพ์ต้องยุติไปด้วย แต่ชื่อนางชลลดา ลิ้มสังกาศ ยังปรากฏเป็นผู้ถือหุ้นอยู่ในบริษัท คอมโพส พับลิชชิ่ง จนถึงเดือนกรกฎาคม 2565 ก่อนจะถูกเปลี่ยนมือ ใช้ชื่อคนอื่นแทน เมื่อเดือนมกราคม 2566 สามเดือนมานี่เอง
ในเอกสารผู้ถือครองหุ้นระบุว่า นางชลลดา เป็นนักธุรกิจที่ถือหุ้นไม่ใช่แค่โรงพิมพ์นี้โรงพิมพ์เดียว แต่ยังมีที่อื่นอีกจำนวน 2 แห่ง อีกหนึ่งแห่งเลิกกิจการไปแล้ว คือ บริษัท มาล้างรถ จำกัด ประกอบกิจการการบำรุงรักษายานยนต์ทั่วไป ถือหุ้นอยู่ 60 เปอร์เซ็นต์ 6,000 หุ้น สอง บริษัท อินโปร โซลูชั่น (2012) จำกัด ประกอบกิจการขายส่งเครื่องจักรและอุปกรณ์อื่นๆ ซึ่งมิได้จัดประเภทไว้ที่อื่น ถือหุ้นอยู่ 4,000 หุ้น 40 เปอร์เซ็นต์ สาม อธิวัมน์ การพิมพ์ จำกัด ซึ่งเลิกกิจการไปแล้ว
การกระทำของพนักงานที่ดันเอาบริษัทไปทำเว็บพนันคงเป็นเรื่องที่ยากจะเชื่อ เรื่องโรงพิมพ์ซ่อนเงื่อนจึงเป็นหลักฐานที่สอดคล้องกับข้อกล่าหาของคุณอัจฉริยะ ที่อ้างว่าตรวจค้นพบเส้นทางการเงินจากเว็บพนัน โยงมาถึงตัวภรรยาของ พล.ต.ต.เอกรักษ์
ประเด็น พล.ต.ต.เอกรักษ์ ในเรื่องนี้จะปฏิเสธอย่างไรก็ปฏิเสธไป แต่ในมือที่ผมมีอยู่คือเอกสารรายละเอียดข้อมูลเกี่ยวกับการจับกุมเว็บพนัน kingpin88.com ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.บางขุนเทียน ระบุรายละเอียด ดังนี้
หนึ่ง เลขคดี 1161/2565 สอง วันที่เกิดเหตุ 8 มิถุนายน 2565 สาม สถานที่เกิดเหตุ บริษัท คอมโพส พับลิชชิ่ง เลขที่ 15, 17, 19 ถนนเอกชัย 89/1 แขวงบางขอน เขตบางบอน กรุงเทพมหานคร สาม พบของกลางจำนวนมาก เป็นโทรศัพท์สารพัดยี่ห้อ ได้ถึง 18 เครื่อง คอมพิวเตอร์ 2 เครื่อง บัญชีม้า 4 เล่ม เงินสดในตู้เซฟ 27 ล้านบาท ปืน .357 แมกนัม พร้อมกระสุนอีก 24 นัด ที่เกี่ยวกับการพนันออนไลน์ของ kingpin88.com
สำหรับหลักฐานที่ตำรวจยึดได้เป็นเงินจำนวนถึง 27 ล้านบาทนั้น เทียบเคียงได้ว่า เว็บพนัน kingpin88 เป็นบ่อนไซส์ M (คือบ่อนจะมีไซส์ XL, L, M และ S)
การบุกทลายเว็บพนัน kingpin88 เริ่มต้นเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2565 สายตรวจ 191 นครบาล ได้หลักฐานนี้จากการไปทดลองเล่นการพนันกับ kingpin88 และใบหน้าคนกดเงินจากบัญชีม้าที่ตู้ ATM จนระบุผู้ต้องหาได้ และสถานที่ทำเว็บ คือโรงพิมพ์คอมโพส
ต่อมาวันที่ 8 มิถุนายน ตำรวจ สน.บางขุนเทียน นำหมายศาลบุกค้นโรงพิมพ์คอมโพส จับกุมผู้ต้องหาได้ทั้งหมด 3 คน คือ หนึ่ง นายอิทธิ คงศิริ อายุ 52 ปี ในขณะเกิดเหตุ สอง นายภาคิน ฐานะบวรเดช อายุ 27 ปี ลูกเลี้ยงของนายอิทธิ สาม นางสาวน้องยา ปานเมือง อายุ 24 ปี แฟนสาวของนายภาคิน
ท่านผู้ชมครับ ที่ผมเล่าให้ฟังถึงหลักฐานและรายละเอียดพวกนี้ ผ่านมือตำรวจขึ้นไปสู่ชั้นอัยการเรียบร้อยแล้ว แต่ยังมีขบวนการดึงเรื่องไว้ที่ชั้นอัยการ ตามสูตรของพวกวิ่งคดี แต่สุดท้ายแล้วเมื่อเรื่องแดงมาถึงขณะนี้แล้ว ผมว่าอัยการที่ในช่วงหลายปีหลังนี้เสียชื่อเสียงมากจากการปล่อยเจ้าของเว็บพนันด้วยการสั่งไม่ฟ้องหลายคดี คดี kingpin88.com ซึ่งไม่ใช่เว็บพนันรายเล็กๆ ยังมีสายใยความเกี่ยวพันกับข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่อยู่ในกระบวนการปราบปรามการฟอกเงินด้วย ผมคิดว่าอัยการคดีนี้ไม่กล้าสั่งไม่ฟ้อง
นอกจากนี้ ความช่างพูดช่างจำนรรจาของเอก ปปง. หรือ พล.ต.ต.เอกรักษ์ สร้างความพิรุธไปที่ภรรยาโดยตรงด้วย อย่างที่บอกครับท่านผู้ชม คุณดา ภรรยา พล.ต.ต.เอกรักษ์ ก็รู้จักกับภรรยาของศักดิ์ พระรามสาม หนึ่งในสองบุคคลภาพถ่ายกับถุงเงิน 6 ล้านบาท ศักดิ์ พระรามสาม ผู้ผันตัวจากบ่อนการพนันแบบเดิมๆ มาเป็นบ่อนการพนันออนไลน์ ในสายของสารวัตรซัว แห่งเป็นต่อกรุ๊ปด้วย
ศักดิ์ พระรามสาม คนนี้เป็นคนสีเทาเต็มขั้น เนื่องจากเริ่มต้นความร่ำรยจากการทำธุรกิจเทปผีซีดีเถื่อนในยุคเฟื่องฟู ก่อนต่อยอดมาทำบ่อนการพนัน ซึ่งตัว พล.ต.ต.เอกรักษ์ เองก็ยอมรับว่าเขานี่เองล่ะเป็นคนแนะนำให้ ศักดิ์ พระรามสาม ไปรู้จักกับผู้การเปี๊ยก พล.ต.ท.เกียรติพงศ์ ขาวสำอางค์ เพื่อต่อสายไปถึงนายชูวิทย์อีกที จนเกิดรายการฝากเงินทำบุญ ถุงเงิน 6 ล้านบาทขึ้นมา
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อพูดถึงการโยกย้ายจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มา ปปง. พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ ก็ยังพูดแบบไม่เกรงใจประชาชนคนไทย อ้างว่าตัวเองย้ายจากตำรวจมาเป็น ปปง. ก็เพื่อต้องการพักผ่อน ไม่ได้ตั้งใจมาทำงาน เพราะลูกคนสุดท้องยังเล็ก อายุแค่ 9 เดือน "ผมอยู่ธุรการ ผมอยากพักผ่อน ผมมา ปปง. เพื่อมาพักผ่อน เพราะว่าลูกผมยังเล็ก ลูกคนสุดท้องผมอายุ 9 เดือน ผมจะขอมาพักผ่อนและเลี้ยงลูก เพราะว่างานตำรวจทำให้ผมไม่มีเวลาดูแลครอบครัว" พล.ต.ต.เอกรักษ์ กับ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง รู้สึกจะมี DNA คล้ายๆ กัน คนหนึ่งบอกมาเพื่อมาพักผ่อน อีกคนบอกว่าอาชีพตำรวจเป็นงานไซด์ไลน์ นี่ล่ะครับท่านผู้ชม ตำรวจชั้นผู้ใหญ่ของบ้านเรา
การให้สัมภาษณ์ของ พล.ต.ต.เอกรักษ์ ว่าต้องการมาพักผ่อน ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวไม่อายฟ้าอายดิน อายประชาชน ในวันที่ 28 มีนาคม 2566 หลังจากที่แจ้งความว่าคุณอัจฉริยะหมิ่นประมาท
เอาล่ะ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว มาถึงลูกชายของ พล.ต.ต.เอกรักษ์ มีคนกล่าวหาว่าลักทรัพย์รถยนต์ของผู้กำกับโจ้มาขาย 13 คัน ไม่เพียงแต่ภรรยาของ พล.ต.ต.เอกรักษ์ ที่ไม่ได้เป็นเพียงเซลขายไม้อัด แม่บ้าน เลี้ยงลูกให้สามี แต่กลับมีรอยด่างจากการไปพัวพันกับเว็บพนันออนไลน์ขนาดไซส์ M อย่างยากที่จะปฏิเสธได้
ท่านผู้ชมครับ แม้แต่ลูกชายคนโตซึ่งเกิดจากภรรยาคนแรก คือ ร.ต.อ.ภานุรุจ ลิ้มสังกาศ เป็นตำรวจตามรอยพ่อ จบการศึกษาด้านนิติศาสตร์จาก ม.หัวเฉียว ถูกฝากเข้าเป็นตำรวจ ก็กำลังมีคดีความเช่นกัน เส้นใหญ่หรือไม่ ท่านผู้ชมลองดูจดหมายฉบับนี้ก็แล้วกัน คือคำสั่งกองบัญชาการตำรวจนครบาล ที่ 119/2566 เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ ลงวันที่ 10 มีนาคม 2566 ลงนามโดย พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล รายชื่อบัญชีแนบท้ายอันดับที่ 20 ร.ต.ท.ภานุรุจ ลิ้มสังกาศ ตำแหน่งเดิม รองสารวัตรกลุ่มงานวิชาการ 2 สบส. ตำแหน่งใหม่ รอง สว.สอบสวน สน.ทองหล่อ
วันที่ 5 เมษายน ที่ผ่านมา คุณอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เดินทางไปที่กองบังคับการปราบปราม ระบุว่า ตัวเองได้รับมอบอำนาจจากอดีตผู้กำกับโจ้ หรือ โจ้ถุงดำ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล ให้นำเอกสารหลักฐานต่างๆ มาแจ้งความร้องทุกข์ เพื่อดำเนินคดีต่อ พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ และ ร.ต.ท.ภานุรุจ ลิ้มสังกาศ ลูกชาย กับพวก 4 ข้อหา หนึ่ง ร่วมกันลักทรัพย์ สอง ร่วมกันลักของโจร สาม ปลอมแปลงเอกสารราชการ สี่ ใช้เอกสารราชการอันเป็นเท็จ
คุณอัจฉริยะระบุว่า อดีตผู้กำกับโจ้ได้เปิดเผยกับคุณอัจฉริยะว่า เมื่อต้นปี 2564 พล.ต.ต.เอกรักษ์ ซึ่งขณะนั้นเป็นรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 รับผิดชอบดูแลคดีนี้ และเป็นคนไปรับตัวอดีตผู้กำกับโจ้ รับปากว่าจะหาทนายและจัดการทุกอย่างให้ แต่พอผู้กำกับโจ้เข้าเรือนจำไป พล.ต.ต.เอกรักษ์ กับลูกชาย ก็ร่วมกันปลอมเอกสารเพือลักรถทั้งหมดไปขายต่อ เพราะเห็นว่าด้วยอัตราโทษที่อดีตผู้กำกับโจ้น่าจะถูกลงโทษ ไม่น่าจะออกจากเรือนจำได้ง่ายๆ
ทรัพย์สินดังกล่าวเกี่ยวข้องกับรถยนต์ 13 คัน มูลค่ากว่า 25 ล้านบาท รถราคาแพง หรูทั้งนั้นเลย BMW, Volkswaken กรณีนี้ยังมีทนายความอดีตผู้กำกับโจ้เกี่ยวข้อง โดยได้หลอกน้องสาวของอดีตผู้กำกับโจ้เซ็นเอกสารรับรองทำสัญญาซื้อขาย ซึ่งภายหลังน้องสาวของผู้กำกับโจ้ได้เข้าไปสอบถามอดีตผู้กำกับโจ้ในเรือนจำ จึงทราบว่าไม่ได้มีเจตนาขายรถ จึงไปขอเอกสารคืน แต่ทนายความได้แจ้งว่าได้ส่งเอกสารให้ ร.ต.อ.ภานุรุจ ลิ้มสังกาศ รองสารวัตรสอบสวน สน.ทองหล่อ หรือ เบิร์ด ลูกชายของ พล.ต.ต.เอกรักษ์
มิหนำซ้ำยังเปิดเผยเอกสารเกี่ยวกับการเซ็นโอนขายรถยนต์ และเอกสารเกี่ยวกับการจดทะเบียนชื่อผู้ครองครองรถอดีตผู้กำกับโจ้ ซึ่งเป็นชื่อลูกชายของ พล.ต.ต.เอกรักษ์ ซึ่งอ้างว่าเอกสารที่มีอยู่ทั้งหมดนั้นเป็นเอกสารปลอม
ส่วนคุณเอกรักษ์ ว่าอย่างไร ? คุณเอกรักษ์ออกมาแก้ข่าวว่า ผู้กำกับโจ้ถูกนำตัวเข้าเรือนจำ ทางทนายความและแฟนสาวอดีตผู้กำกับโจ้ ก็คือน้องใบเตย ซึ่งเป็นลูกสาวของอดีตผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 ได้มาขอให้ตนช่วยนำรถที่มีอยู่ไปขาย เพื่อนำเงินมาใช้จ่ายทางคดี ทนายจึงได้นำรถ กุญแจ และเอกสารมาให้ตน พร้อมยืนยันยว่าผู้กำกับโจ้ให้แฟนสาวเป็นคนตัดสินใจ ตนจึงช่วยเหลือโดยให้ ร.ต.อ.ภานุรุจ ลิ้มสังกาศ บุตรชาย ซึ่งนอกจากจะเป็นตำรวจแล้ว ยังมีอาชีพไซด์ไลน์เหมือนกับ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ขายรถมือสองอีกต่างหาก ได้นำรถไปขายให้ จากนั้นเมื่อขายได้ ก็เอาเงินให้แฟนสายผู้กำกับโจ้ไป
พล.ต.ต.เอกรักษ์ เปิดเผยว่า ต่อมาสำนักงาน ป.ป.ช. มีคำสั่งยึดอายัดทรัพย์สิน รถยนต์หรู 13 คัน ตามบัญชีฟ้อง เป็นเหตุให้รถที่ขายไปแล้วนั้น ตนต้องควักเงินส่วนตัวไปคืนคนที่ซื้อรถไป จากนั้นก็ไปนำรถมาเก็บไว้ระหว่างรอคำสั่งศาล ปัจจุบันนี้รถทุกคันอยู่ในระหว่างถูกการอายัด ยังอยู่ในประเทศไทย เพื่อรอคำสั่งศาลเด็ดขาด โดยหากศาลมีคำสั่งยึด ก็ต้องนำรถไปส่งให้กับศาล ดังนั้น ในมือ ป.ป.ช. อายัดทั้งหมด ตนจะไปขโมยรถผู้กำกับโจ้ทำไม
บทสรุป ผมทบทวนความทรงจำท่านผู้ชมทราบเรื่องเกี่ยวกับความใกล้ชิดสนิทสนมของ พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ ตั้งแต่เป็นรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 กับอดีตผู้กำกับโจ้ ที่มีเงินและทรัพย์สินเป็นพันๆ ล้าน เชื่อมโยงเหตุการณ์ตั้งแต่ปี 2564 จนถึงวันนี้ จริงๆ แล้วเรื่องนี้ยังมีอีกมาก ไม่ว่าจะเป็นความใกล้ชิดระหว่าง ร.ต.ท.ภานุรุจ ลิ้มสังกาศ ลูกชาย พล.ต.ต.เอกรักษ์ กับนายภาคิน ฐานะบวรเดช ผู้ต้องหาเว็บพนัน kingpin88.com หลักฐานธุรกรรมทางการเงินระหว่างผู้ต้องหาคดีเว็บ kingpin88.com กับ พล.ต.ต.เอกรักษ์ และภรรยา ข้อมูลการครอบครองรถยนต์และต่อทะเบียนภาษีรถยนต์ของผู้กำกับโจ้ ทั้งที่เจ้าตัวอยู่ในคุก
เรื่องทั้งหมด กับเรื่องเบื้องลึกเบื้องหลังของถุงเงิน 6 ล้านบาท เกมยึด ปปง. ที่เชื่อมโยงคุณชูวิทย์ พล.ต.ต.เอกรักษ์ ก็เอวังด้วยประการฉะนี้ล่ะครับท่านผู้ชม
ผมลืมไป ยังมีข้อมูลอีกเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับความอื้อฉาวของวงการพนันที่เชื่อมโยงไปแวดวงตำรวจ จากหนังสือสำนักงานจเรตำรวจแห่งชาติ ฉบับนี้ ลงวันที่ 5 เมษายน ที่ผ่านมา รายละเอียดมีระบุว่า พล.ต.อ.วิสนุ ปราสาททองโอสถ จเรตำรวจแห่งชาติ ได้ทำหนังสือแจ้งข้อเท็จจริงนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เมื่อวันที่ 5 เมษายน ที่ผ่านมา กรณีร้องเรียนกล่าวหาตำรวจว่ากระทำผิดวินัย ประพฤติตนไม่เหมาะสม และมีพฤติกรรมเกี่ยวกับการพนันออนไลน์ ซึ่งสำนักงานตำรจแห่งชาติได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตำรวจสอบข้อเท็จจริงนั้น บัดนี้กระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริงมีมติเอกฉันท์ มีความเห็นว่า หนึ่ง พล.ต.ต.ประกาศ พงษ์พานิช สอง พ.ต.อ.กวินศักดิ์ พีรยศธนนนท์ สาม ว่าที่ พ.ต.ต.ปภิณวิช รอดบางยาง ท่านผู้ชมจำนามสกุลได้ไหม รอดบางยาง ที่มีฉายาว่า ฉลามตาฟาง อดีตผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 แล้วเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่หนุนหลังหลงจู๊สมชาย ที่ระยอง และ สี่ ร.ต.อ.รัฐศักดิธัช พงค์ภิภัทราภาคิน มีความผิดทางวินัย เห็นควรเสนอให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติแต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง
ก่อนหน้านี้คุณอัจฉริยะได้เคยออกมาแถลงแฉข้าราชการกลุ่มหนึ่ง เป็นเครือข่ายหลงจู๊สมชาย จ.ระยอง มีการเรียกรับสินบน จ่ายสินบน พร้อมเข้าให้ข้อมูลกับจเรตำรวจแห่งชาติ กรณีมีการจ่ายสินบนให้กับตำรวจระดับสูง มีการปล่อยให้ตำรวจที่เป็นลูกอดีตนายตำรวจใหญ่ในพื้นที่ภูธรภาค 2 เปิดเว็บไซต์พนันออนไลน์รายใหญ่ของภาคตะวันออกอีกด้วย
ท่านผู้ชมครับ เรื่องนี้มีความเชื่อมโยงกับเนื้อหารายการที่ผมเคยออกอากาศไปเมื่อสองปีกว่าที่แล้ว กรณีจับเสี่ยโป้ นายโป้ โป้อานนท์ และหลงจู๊สมชาย นายสมชาย จุติกิติ์เดช เรื่องนี้ผมมีข้อมูลรายละเอียดแบบลึกๆ สนุกมาก เอาไว้จะนำมาเปิดเผยให้ท่านผู้ชมได้รับทราบ
ท่านผู้ชมครับ เรื่องราวต่างๆ ที่ผมทำนั้น ผมไม่ได้ทำแบบฉาบฉวย เหมือนกับว่าผมอยากจะไลฟ์สดเมื่อไร ออกเฟซบุ๊กเมื่อไรก็ออก เขีนยด่านคนโน้นที ด่าคนนี้ที ไลฟ์เฟซบุ๊กกล่าวหาคนโน้นคนนี้ ผมต้องลงไปทำการบ้าน ท่านผู้ชมที่ติดตามรายการผมมาตลอดจะเห็นว่าผมยึดหลักความจริงมีหนึ่งเดียว ผมต้องมีหลักฐาน มีความเชื่อมโยงให้เห็น แล้วผมถึงจะเอาเรื่องทั้งหมดมาเล่าให้ท่านผู้ชมได้เห็นป่าทั้งป่า หวังว่าเรื่องนี้ท่านผู้ชมคงเข้าใจดี ถ้าท่านผู้ชมฟังมาตั้งแต่ต้น เรื่องนี้เป็นมหากาพย์จริงๆ ท่านผู้ชมจะเห็นว่าสิ่งที่ผมทำอยู่นั้นก็คือความจริงนั้นมีหนึ่งเดียว ผมไม่ได้ไปซี้ซั้วด่าคนนั้นด่าคนนี้ กล่าวหาคนโน้น กล่าวหาคนนี้ ไม่ได้ซี้ซั้วที่จู่ๆ ผมนึกจะไลฟ์สดมาปกป้องตัวเอง แล้วตอหลดตอแหล โกหกเป็นรายวัน พูดจาตั้งไม่รู้กี่ครั้งไม่ตรงกันสักครั้งเลย
ท่านผู้ชมครับ ถ้าท่านผู้ชมต้องการความจริงมีหนึ่งเดียว ท่านต้องเข้ามาฟังรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ"
ท่านผู้ชมครับ ผมได้เห็นคลิปวิดีโออันหนึ่งที่ดีมาก ออกมาสักพักแล้ว แต่ไม่ค่อยมีใครรายงานเท่าไรนัก เป็นคลิปวิดีโอที่ดูแล้วก็ซาบซึ้งใจมาก วันที่ 7 มีนาคม เมื่อเดือนกว่าๆ ที่แล้ว เวลาบ่ายสองโมงสี่สิบนาที ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริ โดยพนักงานวิทยุได้รับการประสานงานจากศูนย์ควบคุมและสั่งการจราจรว่า มีรถยนต์ส่วนบุคคลสีบรอนซ์ กำลังนำเด็กป่วยส่งโรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน รถคันนี้กำลังจะขึ้นทางด่วนด่านบางนา มุ่งตรงไปที่ด่านพระราม 4 และมีที่หมายคือ โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน ที่สีลม ขอให้ตำรวจจราจรโครงการพระราชดำริสนับสนุนอำนวยความสะดวกในเส้นทาง หลังจากได้รับแจ้งแล้ว พ.ต.ต.พีรวุฒิ ใหม่อ่อง สารวัตรงาน 2 กองกำกับที่ 6 บก.จราจร โครงการใต้ 1 ร.ต.ท.มานะ จอกโคกสูง รองสารวัตรงาน 1 กองกำกับการ 6 บก.จราจร และ ร.ต.ต.ศักดิ์ชาย กระแสร์ญาณ รองสารวัตรงาน ได้นำกำลังชุดเคลื่อนที่เร็ว มี ด.ต.สุทิน อินทโชติ ด.ต.อารยะ ป้อมค่าย และ ส.ต.ท.อัศวิน ยิ้มชูเดช วิ่งเข้าไปสนับสนุนในเส้นทางนี้ โดย พ.ต.ต.พีรวุฒิ ใหม่อ่อง รอรับบริเวณเหนือด่วนท่าเรือ ส่วนกำลังอีกชุดหนึ่งรอรับบริเวณลงด่วนพระราม 4 เมื่อพบรถคันดังกล่าว ก็เลยเร่งอำนวยความสะดวกเปิดทางนำส่งถึงโรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน ถนนสีลม อย่างเรียบร้อย ปลอดภัย
ท่านผู้ชมเชื่อไหมครับ เมื่อส่งลูกถึงหมอได้ทันท่วงที ในช่วงเวลาความเป็นความตาย ซาบซึ้งมาก พ่อเด็กลงจากรถ คุกเข่ากราบตำรวจด้วยความขอบคุณอย่างที่สุด หาได้ยากมาก ท่านผู้ชมครับ เรื่องเล็กๆ แค่นี้เอง แต่ผมอ่านแล้วผมซาบซึ้งใจ อดไม่ได้ น้ำตาคลอเล็กน้อย ผมรู้สึกว่าการทำหน้าที่ของตำรวจที่แท้จริง ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นถึงระดับนายพล มาจากไหน ถ้าตำรวจทำหน้าที่ตำรวจจริงๆ รับใช้ประชาชนจริงๆ ประชาชนเขาจะเคารพและยกย่องด้วยใจจริง แต่ไม่ใช่ตำรวจที่ผมเอามาออกแล้วฉีกหน้ากากหลายๆ คนในอดีต พวกนั้นคือตำรวจที่ชั่้ว ผมเห็นใจตำรวจน้ำดีประเภทนี้ เราควรให้การสนับสนุน มีอะไรที่ตำรวจน้ำดีได้ทำให้กับประชาชนแล้ว ถ้ามีข้อมูล ส่งมาทางผมครับ พวกเราต้องเชิดชูคนดีเอาไว้ ต้องสนับสนุนให้คนดีได้มีโอกาสทำงาน และต้องสนับสนุน ให้กำลังใจคนดี
ท่านผู้ชมครับ วันนี้ รายการวันนี้ก็มีเพียงแค่นี้ อาทิตย์หน้าก็จะมีวันหยุดอีก ก็คือวันที่ 1 พฤษภาคม วันจันทร์ แล้วเราก็จะออกรายการเป็นปกติธรรมดาในวันศุกร์เช่นกัน อาทิตย์หน้าก็ยังจะมีอีกหลายๆ เรื่องซึ่งเตรียมเอาไว้พอสมควร บางเรื่องอาจจะไม่ใช่เรื่องที่ใหม่ แต่ว่ามันมีนัยมาก แล้วไม่ค่อยมีใครพูดกัน รายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" นั้นจะเอาเรื่องที่คนไม่ค่อยจะพูดกัน แต่มีนัย ความหมายสูงมาก เอามาอธิบายให้ท่านผู้ชมฟัง เพราะว่าท่านผู้ชมและ FC ของรายการนี้เป็นบุคคลพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง FC ที่ฟังรายการผมมาตลอด ทั้งที่เพิ่งเริ่มฟังเมื่อสามปีกว่าที่แล้ว หรือฟังมาก่อนหน้านั้นในรายการ "มองโลก มองเรา" ยาวไปจนถึง FC ที่ดูรายการผมสมัยที่ผมออกกับคุณแอ้ม สโรชา พรอุดมศักดิ์ รายการ "เมืองไทยรายสัปดาห์" ทั้งหมดนี้เป็น FC ที่มั่นคงอยู่กับรายการนี้และผม และคงจะรู้แล้วว่า ผมนั้นยึดถือในเรื่องความจริงนั้นมีหนึ่งเดียว ไม่พล่ามเพ้อเจ้อ ไม่ออกมาไลฟ์ ไม่ออกมาทำอะไรที่เลอะเทอะ พูดผิด พูดอย่างทำอย่าง พูดโกหกไปวันๆ เพียงเพื่อให้ตัวเองได้แสง เพราะที่นี่เป็นที่เดียวที่ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว สวัสดีครับ