หนังเจมส์ บอนด์ พยัคฆ์ร้าย 007ตอนที่3 ชื่อไอ้นิ้วทอง Goldfinger นำออกมาฉายเมื่อปี 1964 เป็นหนังสายลับ บู้ระทึกใจ เป็นที่เป็นที่นิยมชมชอบของคนดูทั่วโลกได้บอกเป็นนัยว่า ทองคำจะกลับมาฉายแสง และมีบทบาทที่สำคัญในระบบการเงินโลกอีกอีกคร้ังในปี 2023
เรื่องนี้ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ
ตัวละคร เจมส์ บอนด์ แสดงโดยชอน คอนเนอร์รี่ ซึ่งปัจจุบันได้เสียชีวิตไปแล้ว อยู่ฝ่ายหน่วยสืบราชการลับของอังกฤษ หรือ MI6 ที่ทำงานลับในต่างประเทศให้กับควีนของอังกฤษ
พล็อตเรื่องของซีรีส์ 007 เขียนโดยเอียน เฟลมมิ่งออกมาในแนวการต่อสู้ระหว่างMI6กับผู้ก่อการร้ายสากล โดยมีเจมส์ บอนด์ รับบทเป็นอัศวินคู่ราชบัลลังก์คอยปฏิบัติการลับตามลำสั่งเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของอังกฤษ และความมั่นคงของราชวงศ์อังกฤษ
นับว่าอังกฤษใช้หนังเจมส์ บอนด์เพื่อสร้างภาพโฆษณาชวนเชื่อว่าอังกฤษเป็นพระเอก ผู้ดีที่ปกป้องโลก ท้ังๆที่ในโลกแห่งความเป็นจริง อังกฤษเป็นผู้ร้ายเต็มตัวท้ังในยุคล่าอาณานิคม และยุคหลังการล่าอาณานิคมตลอดระยะเวลา 200-300 ปี ที่ผ่านมา
ภาพยนต์ Goldfinger เริ่มต้นด้วยเจมส์ บอนด์ สายลับมือหนึ่งของ MI6 ได้รับมอบหมายจากหัวหน้าให้ไปสืบและทำลายขบวนการลักลอบขนทองระดับโลก โดยมีออริค โกลด์ฟิงเกอร์ Auric Goldfinger หรือไอ้นิ้วทอง ซึ่งเป็นนักค้าทอง และเป็นตัวการใหญ่อยู่เบื้องหลัง
MI6 สืบทราบว่า ไอ้นิ้วทองลักลอบขนทองคำจากอังกฤษไปสวิตเซอร์แลนด์ และอาจจะคิดการใหญ่อะไรบางอย่าง จึงมอบหมายให้เจมส์ บอนด์ไปสืบดู
บอนด์เริ่มต้นงานใหญ่นี้ที่ไมอามี่ ก่อนที่จะจบลงที่ Fort Knox ค่ายทหารที่มมลรัฐเคนตั๊กกี้ ประเทศสหรัฐ
บอนด์สืบทราบว่า ดอกเตอร์หลิง นักฟิสิกซ์ชาวจีนเป็นหัวหน้าทีมงานที่ช่วยไอ้นิ้วทองหลอมทองคำเข้าตัวโครงรถยนต์โรลล์ส รอยซ์ ก่อนที่จะถูกส่งไปขายที่สวิตเซอร์แลนด์ บอนด์แอบได้ยิน ไอ้นิ้วทองพูดกับดอกเตอร์หลิงเกี่ยวกับปฏิบัติการลับสุดยอด หรือ Operation Grand Slam
แผนการของไอ้นิ้วทอง คือจะใช้หน่วยจู่โจมพิเศษบุกเข้าไปใน Fort Knox ซึ่งเป็นที่เก็บทองคำสำรองของสหรัฐท้ังหมด10,500 ตัน มีมูลค่ารวม $15,000 ล้าน
ไอ้นิ้วทองมีผู้ช่วยมือสังหารคือไอ้งานจิปาถะ (Oddjob) ซึ่งดูหน้าตาท่าทางแล้วน่าจะเป็นชาวเกาหลี
จะเห็นได้ว่า ภาพยนต์เรื่องนี้สร้างภาพให้เกาหลี และจีนเป็นผู้ร้าย เรื่องอื่นๆของเจมส์บอนด์ ผู้ร้ายมักจะเป็นรัสเซียน หรือไม่ก็พวกโรคจิตต้องการครองโลก
สหรัฐมีทองคำ 20,000 ตัน ตั้งแต่ก่อนช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองไปจนถึงปี 1950s เพื่อใช้หนุนค่าเงินดอลล่าร์ในระบบมาตรฐานทองคำ สหรัฐฯเปรียบเหมือนแอ่งกระทะใหญ่ที่ทองคำจากประเทศต่างๆทั่วโลกไหลเข้า เหมือนกับจะรู้ว่าสงครามโลกจะเกิดขึ้น จึงเอาไปฝากไว้ที่สหรัฐ
หลังชนะสงครามโลก อังกฤษและสหรัฐจัดให้มีการประชุมระดับนานาชาติที่ Bretton Woods รัฐนิวแฮมเชียร์ ประเทศสหรัฐเพื่อกำหนดให้ดอลล่าร์เป็นเงินสกุลหลักของโลกผ่านระบบมาตรฐานทองคำ ซึ่งเป็นระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่โดยสหรัฐใช้ทองคำ 20,000 ตัน เพื่อหนุนค่าเงินดอลล่าร์ ที่ผูกกับทองคำที่อัตรา $35 ต่อทองคำ 1 ออนซ์
ประเทศต่างๆทั่วโลกที่ผูกค่าเงินของตัวเองกับดอลล่าร์เท่ากับว่าอิงกับทองคำโดยปริยาย ทำให้มีคำกล่าวว่าดอลล่าร์เปรียบเหมือนทองคำ The dollar is as good as gold.
นี้คือระบบการเงิน Bretton Woods system
ย้อนกลับมาที่ปฏิบัติการลับสุดยอด Operation Grand Slam บอนด์สืบทราบว่า ไอ้นิ้วทองต้องการเอาระเบิดมหาประลัย ซึ่งดอกเตอร์หลิงได้มาจากรัฐบาลจีนเพื่อที่จะทำลายทองคำสำรองทั้งหมดของสหรัฐ 10,500 ตัน ให้กลายเป็นตะกั่วจากการถูกสารรังสีของระเบิดมหาประชัย
ไอ้นิ้วทองเปิดเผยว่า ฤทธิ์ของระเบิดสกปรกอาบรังสีจะทำงานเพียง 58 ปี
ไอ้นิ้วทองบอกว่า หลังจากเวลา 58 ปี ผ่านไป รังสีจากระเบิดมหาประลัยจะหมดฤทธิ์ ทองคำที่กลายเป็นตะกั่วจะกลับมาเป็นทองคำที่มีค่าเหมือนเดิม
ทำไมถึง 58 ปี?? อ่านต่อไปแล้วจะค่อยๆเห็นภาพชัดขึ้น
แต่ในระหว่างนั้นที่ทองคำของ Fort Knox เป้นตะกั่ว ทองคำของไอ้นิ้วทองจะมีราคาพุ่งสูงทะลุไปดวงจันทร์ เพราะว่าทองคำที่เหลือบนโลกมีน้อย
เมื่อทองคำสำรองของสหรัฐที่หนุนค่าเงินดอลล่าร์ในระบบมาตรฐานทองคำกลายเป็นตะกั่ว ดอลล่าร์จะขาลอย ไม่มีอะไรอ้างอิง จะกลายเป็นกระดาษไร้ค่า หรือแบงก์กงเต๊ก ความเชื่อมั่นในดอลล่าร์จะหมดไป สิ่งที่ตามมาคือเงินเฟ้อพุ่งสูงทะลุฟ้า ระบบเศรษฐกิจสหรัฐ และระบบเศรษฐกิจโลกจะพังพินาศไปด้วย
จีนจะได้ประโยชน์จากการล่มสลายของดอลล่าร์ และการพังทะลายของเศรษฐกิจสหรัฐ และเศรษฐกิจโลก
แต่ด้วยความสามารถเก่งกล้าของบอนด์ จึงสามารถทำลายแผนการของไอ้นิ้วทองได้ ด้วยการปิดสวิตซ์ระเบิดมหาประชัยก่อนที่มันจะทำลายทองคำสำรองของสหรัฐ
เรื่องจบลงด้วยดี เพราะว่าบอนด์สามารถปกป้องระบบการเงินโลกที่อิงมาตรฐานทองคำได้ ดอลล่าร์ไม่ไร้ค่า เงินเฟ้อไม่ถามหา เศรษฐกิจโลกไม่ปั่นป่วน จีนไม่สามารถหาประโยชน์จากเศรษฐกิจโลกที่ไม่ล่มสลายตามแผน
บอนด์จึงเป็นพระเอกหรือฮีโร่ตามเคยที่สามารถกอบกู้วิกฤติโลกจากการก่อการร้ายทางการเงินได้ โดยเกาหลีเหนือและจีนถูกสร้างภาพว่าเป็นผู้ร้าย
เรื่องที่เล่ามาทั้งหมดนี้เป็นหนังภาพยนต์ แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง ผู้ร้ายไม่ใช่ไอ้นิ้วทอง หรือจีนที่ทำลายระบบมาตรฐานทองคำ แต่ผู้ร้ายกลายเป็นประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสันของสหรัฐเสียเอง
ไอ้นิ้วทอง#1: ในปี 1971 หรือ7 ปีหลังจากหนัง Goldfinger ออกฉาย นิกสันประกาศยกเลิกระบบมาตรฐานทองคำที่ก่อต้ังขึ้นมาในปี 1944 ดอลล่าร์จะไม่ผูกกับทองคำอีกต่อไป
ท้ังนี้เนื่องจากสหรัฐมีการพิมพ์เงินออกมาใช้จ่ายเกินตัว หรือเกินทองคำสำรองที่หนุนธนบัตรดอลล่าร์ มีการใช้จ่ายมากในการทำสงครามเวียดนาม ทำให้เกิดเงินเฟ้อ ผู้ที่ถือครองดอลล่าร์เป็นรีเสิร์ฟเกิดความไม่มั่นใจ จึงเอาดอลล่าร์มาขึ้นทองคำกับธนาคารกลางสหรัฐ มีผลทำให้ทองคำไหลออกจากคลังของสหรัฐมากจนกระทั่งเหลือเพียง 8,113 ตัน ทำให้มีความเสี่ยงว่าสหรัฐจะไม่มีทองคำเหลือ
นิกสันเลยล้มโต๊ะ เบี้ยวหนี้ ด้วยการไม่ให้ผู้ใดเอาดอลล่าร์มาขึ้นทองคำอีก โดยอ้างว่าแม้ไม่มีทองคำหนุนหลัง แต่ความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐ และความสามารถในการเก็บภาษีของรัฐบาลสหรัฐจะจะการันตีความมั่นคงของดอลล่าร์แทน
นิกสันคือไอ้นิ้วทอง ผู้ร้ายตัวจริงนี้เอง
ต้ังแต่นั้นมาจนถึงทุกวันนี้ ดอลล่าร์จึงกลายเป็นกระดาษไอโอยูธรรมดาหรือแบงก์กงเต๊ก ที่ไม่มีทรัพย์สินอะไรหนุนหลัง แต่เนื่องจากสหรัฐเอาแสนยานุภาพทางทหารมาขมขู่ทำให้ประเทศต่างๆต้องจำยอมถือดอลล่าร์กระดาษต่อไป
นายจอห์น คอนนัลลี อดีต รมวคลังของสหรัฐกล่าวอย่างหยิ่งยะโสว่า ดอลล่าร์เป็นเงินของเรา แต่เป็นปัญหาของคุณ
ไอ้นิ้วทอง #2: สหรัฐรู้ดีว่า ดอลล่าร์ขาลอยอย่างนี้จะอยู่ได้ไม่นาน เพราะว่าไม่มีความน่าเชื่อถือ ปี 1974 หรือ 3 ปี หลังจากไอ้นิ้วทองนิกสันเบี้ยหนี้ทองคำ สหรัฐส่งนายเฮนรี่ คิสซิงเจอร์ รมว ต่างประเทศไปตกลงกับซาอุ และประเทศผู้ผลิตน้ำมันในตะวันออกกลางให้ขายน้ำมันเป็นเงินสกุลดอลล่าร์เท่านั้น และเมื่อขายน้ำมันได้ดอลล่าร์ก็ให้เอาดอลล่าร์รีไซเกิ้ลกลับไปลงทุนในพันธบัตรัฐบาลสหรัฐ ทำให้ดอลล่าร์กลับมาเกิดใหม่เป็นเปโตรดอลล่าร์
ในเมื่อเกือบทุกประเทศในโลกต้องซื้อน้ำมัน จึงต้องสำรองดอลล่าร์ในรีเสิร์ฟของประเทศ เพื่อใช้ในการชำระการนำเข้าน้ำมัน ทำให้มีดีมานด์สำหรับดอลล่าร์ ซึ่งยังคงสามารถรักษาการเป็นเงินสกุลหลักของโลกเอาไว้ได้
คิสซิงเจอร์จึงเป็นไอ้นิ้วทองตัวต่อไป ที่ทำงานต่อจากนิกสัน ที่สามารถเล่นกลเสกคาถาเอาบ่อน้ำมันของตะวันออกกลาง หรือที่เรียกว่าทองคำดำ Black Gold มาหนุนความน่าเชื่อถือของดอลล่าร์แทนทองคำที่ถูกนิกสันยกเลิกไป
ไอ้นิ้วทอง#3: The Boston Globe รายงานว่าระหว่างปี 1973-1974 ทองคำสำรองของสหรัฐท้ังหมดที่ Fort Knox ถูกปล้นไปหมด โดยที่ไม่มีใครสนใจใยดี
มีการเอารถบรรทุก300คันไปขนทองคำที่ Fort Knox 7,000 ตันไป โดยที่ไม่สามารถจับมือใครดมได้
เรื่องนี้คือ Operation Grand Slam ของจริง ไม่ใช่ Operation Grand Slam ของเทียมในหนังเจมส์ บอนด์
แต่คนที่ส่ังขโมยทองจาก Fort Knox ต้องมีอำนาจล้นฟ้า บางสื่อบอกว่าพวกตระกูลดังเป็นผู้บงการ หรือทำตัวเป็นไอ้นิ้วทอง#3 เป็นที่รู้กันว่า พวกตระกูลดังของอังกฤษมีความใกล้ชิดกัน ทองคำสหรัฐน่าที่จะถูกลำเลียงไปอยู่ที่อังกฤษ หรือสวิตเซอร์แลนด์ก็ได้
ตั้งแต่นั้นมา ไม่มีการไปตรวจสอบ หรือต้ังคณะกรรมการอิสระขึ้นมาเพื่อตรวจสอบทองคำที่ Fort Knoxว่า ยังคงมีอยู่หรือไม่ ถ้ามีอยู่เหลืออยู่เท่าใด หรือที่มีอยู่เป็นแค่อิฐทาด้วยสีทอง
ในสมัยของประธานาธิบดีทรัมป์ นายสตีฟ มนูชิน รมว คลังสหรัฐเดินทางไปสำรวจทองคำสำรองที่ Fort Knox เพื่อแก้ข้อครหา แต่เหมือนเป็นการไปพีอาร์มากกว่า เพราะว่าไม่ได้มีการต้ังคณะกรรมการไปตรวจสอบนับแท่งทองอย่างจริงๆจังๆ
Bill Still ผู้สื่อข่าว และบรรณาธิการชาวอเมริกัน เชื่อว่า ไม่มีทองคำเหลืออยู่ที่ Fort Knox
ไอ้นิ้วทอง#4: หลังจากนั้นมีขบวนการอั้งยี่ที่ทำหน้าที่กดราคาทองให้ต่ำกว่าความเป็นจริงตลอด เพื่อไม่ให้ทองกลับมามีบทบาทในระบบการเงินโลกอีกต่อไป จะได้ไม่มากลบรัศมีของดอลล่าร์กระดาษ
มีความเป็นไปได้หัวหน้าของขบวนการนี้ เป็นนายธนาคารกลางของ Bank for International Settlements (BIS) ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ในสวิตเซอร์แลนด์ และทำหน้าที่เป็นธนาคารกลางของธนาคารกลาง
มีรายงานเป็นระยะๆว่า BIS มีบทบาทสูงในการทุบราคาทอง โดยทำงานประสานกันกับธนาคารกลางสหรัฐ ธนาคารกลางอังกฤษ ธนาคารกลางสวิส และธนาคารพานิชย์ในเครือ โดยมีเจพี มอร์แกนมือปั่นรายใหญ่ผ่านตลาดค้าทองคำฟิวเจอร์ส
นอกจากนี้ยังมีการล้างสมองทางวิชาการการเงินเนื่องว่า ระบบมาตรฐานทองคำไม่เหมาะกับระบบเศรษฐกิจสมัยใหม่ เพราะว่าจะเป็นข้อจำกัดของนโยบายการเงิน หรือการขยายตัวของเครดิต ทำให้จีดีพีไม่เติบโตเต็มศักยภาพ ท้ังๆที่ในความจริงแล้ว เมื่อไม่มีทองคำคอยเป็นบรรทัดฐาน ทำให้ธนาคารกลางเพิ่มปริมาณเงินอย่างบ้าคลั่ง ซึ่งมีผลทำให้เกิดเงินเฟ้อ และวงจรบูม และพังทลายของตลาดการเงินและระบบเศรษฐกิจ
ย้อนกลับไปพิจารณารหัสลับของไอ้นิ้วทองว่าทำไมบอกว่าฤทธิ์ของระเบิดมหาประชัยทำงานได้เพียง 58 ปี
หนัง Goldfinger ออกฉายในวันที่ 17 กันยายน ปีคศ 1964 เมื่อบวกปี 1964กับ 58 ปี จะได้ปี 2022 พอดี !!!
ในปี 2022 จะเห็นได้ว่า ธนาคารกลางทั่วโลกหันมาซื้อทองคำกันขนานใหญ่ รวมกันถึง 1,136 ตัน นับเป็นสถิติสูงสุดในรอบ 70 ปี ในขณะที่ก่อนหน้านี้เป็นเวลาหลายสิบปี ธนาคารกลางทั่วโลกซื้อทองรวมกันแต่ละปีแค่ 200-300 ตัน และมีหลายปีเป็นผู้ขายทองคำสุทธิด้วยซ้ำ เนื่องจากเห็นดอลล่าร์กระดาษดีกว่าทองคำ ในปี 2005 ธนาคารกลางทั่วโลกเป็นผู้ขายสุทธิ 700 ตัน
การที่ธนาคารกลางทั่วโลกหันกลับมาให้น้ำหนักกับทองคำ ต่างกับความนิยมในการถือครองดอลล่าร์เป็นหลัก เนื่องจากไม่มั่นใจในระบบการเงินสหรัฐ ที่มีการกดดอกเบี้ยต่ำ พร้อมกับการพิมพ์เงินแบบอีลุ่ยฉุยแฉกเป็นเวลา 14 ปี ตั้งแต่หลังวิกฤติ ปี 2008 ทำให้เกิดฟองสบู่การเงิน พอถึงวงจรที่ต้องหันมาขึ้นดอกเบี้ย เพราะเกิดเงินเฟ้อจากปริมาณเงินที่เพิ่มขึ้นมหาศาล ทำให้เกรงว่าระบบธนาคาร หรือระบบการเงินจะพัง
หลังจากที่มีการตะลุยซื้อทองคำปีที่แล้ว ทองคำเริ่มฉายแสงออกมาใน ปี 2023 นี้ ตามคำบอกใบ้ของไอ้นิ้วทองในหนัง Goldfinger โดยราคาทองสามารถยืนเหนือระดับ $2,000 ต่อออนซ์หลายคร้ัง ท่ามกลางการความกังวลใจของการล่มสลายของหลายแบงก์ในสหรัฐ และการล้มละลายของธนาคารเครดิต ซูอิส
มองไปข้างหน้า หลังจากการล่มสลายของระบบดอลล่าร์กระดาษ อังกฤษและสหรัฐเตรียมการที่จะเปิดตัวเงินดิจิทัลโลก CBDC (Central Bank Digital Currency) เพื่อล้างหนี้เก่าทั้งหมด และเริ่มต้นระบบการเงินแบบดิจิทัลใหม่ โดยไม่มีทองคำหนุนหลังอยู่ดี
ต้องจับตาดูว่า ใครจะรับบทเป็นไอ้นิ้วทองคนต่อไป ที่จะทำลายทองคำ รวมท้ังสกัดเปโตรหยวนของจีน และความพยายามของกลุ่มบริกส์ที่จะออกเงินสกุลร่วมเพื่อออกจากอิทธิลของดอลล่าร์กระดาษ เพื่อว่าอังกฤษและสหรัฐจะได้ครอบงำระบบการเงินโลกต่อไปผ่านเงินดิจิทัลลโลก