xs
xsm
sm
md
lg

[คำต่อคำ] SONDHI TALK : เปิดเอกสารลับตอกฝาโลง “สวนชูวิทย์” - หักหลังอินเดีย BBC เปิดแผลเก่า “นเรนทรา โมดี” - De-dollarization กับการเททิ้งดอลลาร์สหรัฐฯ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



วันที่ 7 เม.ย.66 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ไลฟ์สด “SONDHI TALK” ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ คุยทุกเรื่องกับสนธิ ช่องยูทูป Sondhitalk หรือ Sondhitalk (ช่องสำรอง) และแอปพลิเคชัน Sondhi App โดยมีประเด็นที่ได้เล่าในวันนี้ ได้แก่
- หักหลังอินเดีย BBC เปิดแผลเก่า “นเรนทรา โมดี”

- De-dollarization กับการเททิ้งดอลลาร์สหรัฐฯ

- เปิดเอกสารลับตอกฝาโลง “สวนชูวิทย์”
- เบิกเนตร 2 ทนายมีขวด คนนึงช่วย “แทนไท” มีคนช่วย “สวนชูวิทย์”

ติดตามได้ใน SONDHI TALK : ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง Ep.184



Sondhitalk EP184 : เปิดเอกสารลับ ตอกฝาโลง “สวนชูวิทย์”

ช่องทางการรับชมรับฟัง "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" หรือ SONDHI TALK
แอปพลิเคชัน : SONDHI APP
ระบบ iOS ดาวโหลดได้ที่ AppStore : https://apps.apple.com/th/app/sondhi-app/id1588046647.
ระบบ Android ดาวโหลดได้ที่ Google Play : https://play.google.com/store/apps/details?id=com.sondhitalk.asia.android
เฟซบุ๊กแฟนเพจ : คุยทุกเรื่องกับสนธิ
YouTube : Sondhitalk
เว็บไซต์: www.sondhitalk.com
Podcast หรือ podbean : SONDHI TALK

วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2566 สวัสดีครับท่านผู้ชม อีกไม่กี่วันก็จะเป็นวันสงกรานต์แล้ว วันสงกรานต์ วันที่ 13 เราก็ยังออกอากาศอยู่เหมือนเดิมในวันศุกร์ที่ 14 เมษายน ไม่เคยพลาดครับ จะปีใหม่ สงกรานต์ ตรุษจีน คริสต์มาส เรามีหน้าที่ต้องมาให้ความรู้ ให้ปัญญากับท่านผู้ชม โดยที่พวกเราทุกคน ทั้งทีมงานและผม ยอมเสียสละเวลาทั้งหมดที่จะมา เพราะส่วนตัวผมอายุมากแล้ว ผมไม่มีเวลาอยู่บนโลกนี้อีกนาน สามารถให้ปัญญาท่านผู้ชมได้มากน้อยแค่ไหนก็จะทำอย่างสุดความสามารถ ที่สำคัญผมต้องการให้ท่านผู้ชมเริ่มเคยชินกับคำว่า "ความจริงมีหนึ่งเดียว" มีอยู่ที่นี่ที่เดียว ที่อื่นมีแต่ความโกหกและละครลิงให้ท่านผู้ชมได้ดู

ท่านผู้ชมครับ ขอแสดงความยินดีและต้อนรับท่านผู้ชมที่ดูรายการนี้ไลฟ์สดผ่านทาง Sondhi App, Facebook, YouTube และ TikTok

ช่วงนี้น่ากลัวมากครับท่านผู้ชม เมื่อวานนี้ก็ร้อนตับแทบแตก ตอนนี้อากาศร้อนจริงๆ ผู้ชม โดยเฉพาะเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ต้องระวังตัวเอง อย่าออกแดด อยู่ในที่อบอ้าว หรือออกกำลังกายอย่างหักโหมเกินไป พยายามทานน้ำเยอะๆ แต่ถ้ามีโอกาส อากาศร้อนๆ อย่างนี้ ไม่มีอะไรที่จะน่าดื่มเท่ากับโอเลี้ยงใส่น้ำแข็งเย็นๆ

แม่บ้านที่ออฟฟิศผมเขาเอาโอเลี้ยงมาเทใส่บล็อกน้ำแข็ง แล้วทำน้ำแข็งโอเลี้ยง เวลาดื่มก็เอาน้ำแข็งโอเลี้ยงใส่แก้ว เทน้ำโอเลี้ยงใส่ลงไป แล้วจะดื่มโอเลี้ยงได้ทั้งเย็นและได้รสโอเลี้ยงอย่างเข้มข้น แล้วก็จะคลายร้อนได้จริงๆ


ใครสนใจโอเลี้ยงโบราณ มีจำหน่ายที่ร้าน SUN PAN ถนนวิภาวดี ในปั๊ม ปตท. ตรงข้ามมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และร้าน "พอดีช้อป" ถนนพระอาทิตย์

ตอนนี้เรามีของชิ้นหนึ่งที่เพิ่งออกมาสู่ตลาด จากบริษัท สมุนไพรบ้านพระอาทิตย์ ที่เราทำเรื่องยาสีฟันเอย Quercetin หรือ LUTEIN ซึ่งก็ยังขายอยู่ทุกวันนี้ ตอนนี้เรามีสินค้าใหม่ชิ้นหนึ่งเรียกว่า SABAI CBD PLUS เป็นสเปรย์ดับร้อน เพิ่มความสดชื่นให้ผิวกาย ลดกลิ่นเหงื่อ ช่วยผ่อนคลาย และบรรเทาอาการออฟฟิศซินโดรม ลดอาการปวดเมื่อย เหมาะสำหรับท่านผู้ชมที่นั่งทำงานที่ออฟฟิศ หรือนั่งทำงานที่บ้าน นั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ใช้โทรศัพท์มือถือเป็นประจำ รู้สึกปวด จะปลดปล่อยความตึงเครียดเหนื่อยล้าบริเวณคอ บ่า และหลัง ส่วนอื่นๆ ถ้ารู้สึกเมื่อย หยิบมาฉีดได้เลย ตรงไหนที่ฉีดไม่ถึงก็ให้คนที่บ้านช่วยฉีดให้ก็แล้วกัน


คุณนก นพรัฐ พรวนสุข ซึ่งเป็นทีมงานของพวกเรา เป็นคนที่ดำเนินรายการ NEWS1 คุณนกเป็นคนตีกอล์ฟ บอกว่าเอาสเปรย์ตัวนี้ติดตัวไปตีกอล์ฟด้วย ตีไปตีมาปวดเมื่อย ใช้สเปรย์ตัวนี้ฉีด อาการปวดเมื่อยก็ดีขึ้นมากเลย

สำหรับสเปรย์ตัวนี้มีส่วนผสมจากสารสกัดธรรมชาติ ไม่มีสเตียรอยด์ ไม่มีตัวยาอันตราย ข้อดีของสเปรย์ตัวนี้คือ ใช้ง่าย หยิบขึ้นมาแล้วก็ฉีดเลย ไม่เลอะมือเหมือนพวกน้ำมันนวดทั่วไป ใช้ได้บ่อยตามความต้องการ สามารถจะฉีดสเปรย์ผ่านเสื้อผ้าโดยไม่ทิ้งคราบ สนใจติดต่อสั่งซื้อได้ที่ LINE @sunherb หรือทางเว็บไซต์ www.sunherbth.com กำลังมีโปรโมชันฉลองเปิดเว็บไซต์อยู่ หรือทาง Shopee, Lazada ร้านสมุนไพรบ้านพระอาทิตย์ ท่านผู้ชมอย่าลืมนะครับ อันนี้เป็นสเปรย์ทีเด็ด ลดความปวดเมื่อย นั่งคอแข็ง ดูคอมพิวเตอร์ หรือดูโทรศัพท์ ก็ฉีดตรงคอ ตรงบ่า ผมีติดตัวไว้ตลอดเวลา

อีกเรื่องหนึ่งที่อยากจะให้ท่านผู้ชมติดตัวไว้และเก็บเอาไว้ก็คือฟ้าทะลายโจร ผมนานๆ จะพูดที แต่เมื่ออาทิตย์ที่แล้วผมเจ็บคอมาก ลักษณะกลืนน้ำลายลงไปแล้วเจ็บทันที ผมรู้ทันทีเลยว่าหวัดกำลังลงคอ ท่านผู้ชมรู้ไหม ผมไม่ต้องไปหาหมอ ผมเอาฟ้าทะลายโจรของอาจารย์ปานเทพ ทานเข้าไปสี่เม็ดต่อมื้อ สี่มื้อต่อวัน ผมทานอยู่ 3-4 วัน อาการเจ็บคอหายไปแล้ว ไม่มีเหลือ ทุกอย่างกลับไปเป็นปกติด้วยฟ้าทะลายโจร ฟ้าทะลายโจรแก้อักเสบได้ ถ้าผมไปหาหมอ ปกติหมอก็จะเอายาพวก Antibiotic ให้ผมกิน ก็ต้องกินเป็นเซ็ตเลย

อีกเรื่องหนึ่งก็คือว่า ช่วงนี้ท่านผู้ชมก็คงอยากจะรู้ว่า "ยาลม ๓๐๐ จำพวก" ยังมีขายอยู่หรือเปล่า ยังมีขายอยู่ครับ ท่านผู้ชมอย่าไปสนใจเรื่องอะไรเลย ขอให้เชื่อ เหมือนกับที่ผมบอกว่าฟ้าทะลายโจรดี ท่านผู้ชมครับ เราพิสูจน์มาแล้วว่าฟ้าทะลายโจรนั้นดีจริง เราพิสูจน์มาหลายปีแล้ว ในขณะซึ่งวงการแพทย์ไม่ยอมรับ


ส่วน "ยาลม ๓๐๐ จำพวก" นั้น ดี และดีมากๆ สำหรับคนสูงอายุ ผมเห็นแต่ว่ามีคนอายุมาก พระสงฆ์องค์เจ้าที่อายุมาก นำไปทานแล้วดีมาก สุขภาพดี ขับลมออกได้อย่างเต็มที่ ผมเป็นคนที่มีเสมหะเยอะ แต่ผมทาน "ยาลม ๓๐๐ จำพวก" แล้วเสมหะผมลดน้อยลงไป หมดไป เพราะฉะนั้นแล้ว รักพ่อ รักแม่ รักผู้หลักผู้ใหญ่ ซื้อให้กับผู้หลักผู้ใหญ่เป็นของขวัญ สำหรับท่านผู้ชมที่อายุเกิน 40 ปีขึ้นไป หรือ 45 ปี ตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป ซื้อทานได้เลย วันละซอง 1 กล่องทานได้ 1 เดือน 30 ซอง วันละซอง ถูกกว่าที่ท่านไปทานเหล้าทานเบียร์ หรือถูกกว่าที่ท่านไปทานเป๊ปซี่ โคล่า ดีกว่าทุกอย่างครับ อย่าลืมนะครับ ของตอนนี้ยังพอมีอยู่ ถ้าท่านผู้ชมต้องการให้รีบสั่งมา

รายการวันนี้จะมีหลายเรื่อง เรื่องแรกก็คือ อาทิตย์ที่แล้วคุณทอม เครือโสภณ ได้ไลฟ์สดและขอขมาผมผ่านทางเฟซบุ๊ก และผมก็ถอนฟ้องคุณทอมไปแล้ว ลดค่าเสียหายให้ จาก 1 ล้าน เหลือ 3 แสน คุณทอมก็จ่ายมาหมดแล้ว ข้อความที่คุณทอมพูดว่าอย่างไร เดี๋ยวก็ไปฟังกันว่าเป็นอย่างไร และยังมีอีกหลายเรื่องสำหรับคนที่ปากเสีย หิวแสง เยอะเลย แต่ถ้าเป็นประเภทชาวบ้านธรรมดาที่พลาดพลั้งไปด้วยความฮึกเหิม ก้าวร้าว เมาเหล้า ผมฟ้องไปแล้วก็มานั่งกราบเท้าผมขอขมา นั่นผมจะให้อภัย ไม่เป็นไร แต่พวกที่มีศักดิ์ มีฐานะอยู่ในสังคมหลายคน หลายอาชีพ ต้องการที่จะใช้ผมเป็นบันไดไต่เต้าอัปตัวเองขึ้นไปนั้น ท่านผู้ชมใจเย็นๆ ครับ โดนแน่ ผมแคปไว้หมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นใครต่อใคร น่าสงสารทนายความผม คุณอัจฉรา หรือคุณปุย และคุณสุวัตร อภัยภักดิ์ ช่วงหลังๆ ก็มีแต่ร่างคำฟ้องพวกนี้ ท่านผู้ชมที่หิวแสง ไม่ว่าท่านจะมีอาชีพอะไร มีศักดิ์ฐานะอย่างไร ท่านโดนแน่นอน สำหรับท่านพวกนี้ผมถือว่าเป็นคนที่มีการศึกษา แต่ทะลึ่งกับผม ผมไม่รับขอขมาเฉพาะพวกนี้ ถึงไหนถึงกันครับ

ท่านผู้ชมรู้จัก บีบีซี ดีไหม ? คงจะรู้จักดี ผมพูดถึงช่องข่าวช่องนี้มาหลายครั้งแล้วว่ามันไม่ได้เป็นช่องข่าวจริงๆ มันเป็นช่องที่ยุยงส่งเสริม เป็นเครื่องไม้เครื่องมือของทางตะวันตก ล่าสุด บีบีซี ซึ่งเป็นธาตุแท้จักรวรรดินิยม ถูกรัฐบาลอังกฤษสั่งให้เปิดแผลเก่านายนเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีของอินเดีย เพื่อหวังจะป่วนทางการเมืองอินเดีย ก็คือหวังจะมีผลทางการเลือกตั้งปีหน้า

เรื่องที่สี่ คือ กระบวนการตกต่ำและเททิ้งเงินดอลลาร์ หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า De-Dollarization นี่คือจุดเปลี่ยนของเศรษฐกิจโลก ท่านผู้ชมฟังผมดีๆ ผมมั่นใจว่าไม่มีใครวิเคราะห์ได้แบบนี้มาก่อนเลย

ส่วนเรื่องสุดท้ายก็เป็นเรื่องที่อาทิตย์ที่แล้วทนายความของคุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ไม่ว่าจะเป็นคุณเชาว์ มีขวด หรือคุณอนันต์ชัย ไชยเดช ท่านออกมาสวนหมัดเลย บอกว่าที่ดินเป็นของคุณชูวิทย์ โน่นนี่นั่น แล้วคุณชูวิทย์ก็ยังหลงเชื่อว่ายังเป็นของตัวเองอยู่ ผมเอาข้อมูลหลักฐานชี้ไปแล้วระดับหนึ่ง วันนี้ผมจะเอาข้อมูลหลักฐานและตอกฝาโลงคุณชูวิทย์ และผมอยากให้คุณอนันต์ชัย (ทนาย) และคุณเชาว์ มีขวด ได้ฟังเรื่องนี้ให้ดีๆ แล้วพิจารณาจากหลักฐานของผม แล้วจะเข้าใจว่าทำไมผมถึงพูดเช่นนี้ และผมมีความมั่นใจอย่างไร

ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว "ทอม เครือโสภณ"

ท่านผู้ชมครับ ผมนี่น่าจะเป็นผู้ดำเนินรายการแรกๆ ในบ้านนี้เมืองนี้ ที่ตั้งแต่ทำรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" มาเกือบสี่ปีแล้ว น่าจะได้รับกระเช้าขอขมาจากผู้แสดงความคิดเห็นแบบโง่ๆ หรือแบบสิ้นคิด มากที่สุดในประเทศไทย ถ้านับนิ้วที่พอจะจำได้ประมาณเกือบ 50 รายแล้ว


สาเหตุที่ผมต้องรับกระเช้า เพราะหลายคนจำคำพูดเขามา พูดตามเขาไป จนมีความเชื่อฝังหัวผิดๆ เกี่ยวกับตัวผมในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ผมต้องให้ทีมงาน ทีมทนาย ฟ้องร้องเพื่อให้เกิดความกระจ่าง และให้เป็นที่เข้าใจว่าผมเคยทำอะไร ไม่เคยทำอะไร ผมติดคุกเพราะเรื่องอะไร ไม่ใช่เพราะผมโกง ชอบว่านักว่าผมโกง โดนเข้าไปทุกดอกในเรื่องนี้ เข่าอ่อนเข่าทรุดต่อหน้าศาล เพราะฉะนั้นใครที่เที่ยวไปพูดว่าผมโกง ให้ระวังตัวเอาไว้ เชื่อเถอะครับ ผมมีอยู่แล้วทั้งหมดทุกคนที่พูด และผมจะดำเนินคดีทุกคน

ไม่ใช่ว่าผมอยากจะทำ ท่านผู้ชมครับ เพราะแต่ไหนแต่ไรมา ชีวิตของผม การทำสื่อมา 50 ปี ผมโดนคดีมาเกือบ 200 คดี มีแม้กระทั่ง ผมเอาเรื่องคนที่มาขอขมาให้ดู แล้วล่าสุด ท่านผู้ชมรู้ไหม ท่านผู้ชมจำนายตั้ม บุญเจริญ ได้ไหม ท่านผู้ชมที่เป็น FC ผมคงจำได้ ปากสุนัข ด่าผมว่าหน้าผมเหมือนอวัยวะเพศผู้หญิง โน่นนี่นั่น แล้วก็มาออกคอมเมนต์ต่อว่ากูไม่กลัวมึงฟ้อง แน่จริงฟ้องมา ปรากฏว่าฟ้องแล้วครับท่านผู้ชม ศาลนัดไต่สวนมูลฟ้องอาทิตย์ที่แล้ว ท่านผู้ชมทายสิ มันไม่มา หาตัวไม่เจอ เพราะฉะนั้นสิ้นเดือนนี้ศาลจะนัดชี้มูลแล้ว ผิดแน่นอน คดีมีมูลแน่นอน และนายตั้ม บุญเจริญ ก็จะเป็นจำเลยแน่นอน


ท่านผู้ชมครับ ใครรู้จักนายตั้ม บุญเจริญ บอกมันด้วยนะ หนีได้หนีไป ผมจะจ้างตำรวจให้ตามล่าคุณ เพราะคุณหนีหมายจับ จะจับคุณใส่กุญแจมือ แล้วจะลากคุณมาขึ้นศาลให้เห็นเลย ปากดีนัก พ่อแม่ไม่สั่งสอน

ท่านผู้ชมที่รู้จักผม จะทราบดีว่าผมไม่ชอบค้าความ เรื่องไหนเป็นเรื่องที่ผิดเล็กน้อย หรือแม้กระทั่งเรื่องที่ผมดูแล้วผมสงสาร พอนั่งอย่างสงบเรียบร้อย ถามไปถามมา ทำงานอะไรครับคุณ ? ผมเป็นวินมอเตอร์ไซค์ ทำงานอะไรครับคุณ ? ผมรับจ้างทั่วไป ทั่วไปนี่ทำอะไรครับ ? ดูแลบ้าน กวาดขยะ คนประเภทนี้ทั้งนั้น แล้วทำไมคุณถึงทำ ? ผมคึกคะนอง มีอยู่ไม่น้อยที่บอกว่าผมเมาเหล้า เอาขึ้นมา ผมก็กดไปเลย ไม่ได้คิด ให้อภัยผมเถอะครับ ถ้าเป็นอย่างนั้นผมจะให้อภัย ไม่ถือสา ขึ้นโรงขึ้นศาลแต่ละคดีเสียเวลาครับ สำหรับผมแล้ว ผมเฉยๆ เหมือนกับผมเข้าห้องน้ำปัสสาวะตอนเช้าหลังจากตื่นมา แล้วผมก็เดินออกมา นี่คือความเคยชินในการขึ้นศาลของผม

แต่ในช่วงที่ผ่านมาผมต้องตัดใจฟ้องพวกเกรียนคีย์บอร์ด หรือคนในแวดวงสื่อสารมวลชนจำนวนหนึ่ง นอกจากโง่แล้วยังปากดี ประกอบกับการที่โลกโซเชียลนั้น สิ่งต่างๆ แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว การฟ้องโดยพึ่งพากระบวนการยุติธรรมเพื่อสร้างความกระจ่างและเอาหลักฐานมากางกันชัดๆ เพื่อหยุดยั้งวงจรอุบาทว์ตามปรัชญาและหลักการที่รายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ยึดถือมาตลอด นั่นคือ "ความจริงมีหนึ่งเดียว"

สัปดาห์ที่ผ่านมาเผอิญมีประเด็นโกหกประเด็นหนึ่งเกี่ยวกับตัวผมที่ค้างคาเป็นคดีความมาหลายปี เกือบสามปีแล้ว ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2563 จากคุณจุลภาส เครือโสภณ หรือ คุณทอม เครือโสภณ


พฤหัสบดีที่ 30 มีนาคม 2566 คุณจุลภาส เครือโสภณ (ทอม) โพสต์ข้อความจดหมายเปิดผนึกลงในเฟซบุ๊กของคุณทอมเอง รวมทั้งโพสต์คลิปวิดีโอด้วย กล่าวขอโทษผมต่อสาธารณะ กรณีเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2563 หรือเมื่อสองปีสิบเดือนที่ผ่านมา กล่าวหาว่าผมได้รับผลประโยชน์จากการออกใบอนุญาตทีวีในขณะที่นายทักษิณ ชินวัตร ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี ข้อที่สอง อ้างว่าผมได้เคยไปเลี้ยงฉลองแชมเปญกับนายทักษิณ ชินวัตร ที่โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ หรือปัจจุบันเป็นโรงแรมอนันตรา แล้วยกแก้วแล้วพูดว่า ทักษิณจงเจริญ ทักษิณจงเจริญ ข้อที่สาม อ้างว่าเรื่องธุรกรรมต่างๆ ในอดีตของผมกับธนาคารกรุงไทยนั้น ได้รับความช่วยเหลือจากนายทักษิณ สุดท้ายผมฟ้องคุณทอม แล้วในที่สุด บนศาล คุณทอมยอมรับสารภาพว่าประเด็นดังกล่าวนั้นพูดออกมาลอยๆ โกหก ปั้นน้ำเป็นตัวขึ้นมาเองโดยไม่มีหลักฐานรองรับ แล้วคุณทอมก็สารภาพต่อศาล ต่อสาธารณะ ดังที่ผมได้โพสต์ลงไปให้ดูแล้ว ผมจะไม่เอามาพูดอีกต่อไป เพราะผมถือว่าคุณทอมเขาได้มีความเป็นนักเลงพอสมควรที่เขากล้าพอที่จะมาขอโทษต่อหน้าสาธารณะในรายละเอียดทุกข้อว่าเขาผิด เขาโกหก ผมถือว่านี่ก็มีความเป็นลูกผู้ชายพอ ผมก็จะไม่เอามาตอกย้ำซ้ำอีกว่าเขาพูดอะไรบ้าง

คดีผมกับคุณทอมยืดเยื้อมาเกือบสามปี คุณทอมส่งทนายความ นักกฎหมาย คนนู้นคนนี้ที่รู้จักผมมาคุยด้วยหลายครั้ง ไกล่เกลี่ยกับทนายของผมที่ศาลก็หลายครั้ง โน่นนี่นั่น จนล่วงเลยมาถึงวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 เหตุผลที่คุณทอมพยายามเจรจา ก็เพราะคุณทอมรู้ว่าแพ้แน่ๆ คุณทอมก็เลยยื่นคำร้องต่อศาลว่าเขาขอรับสารภาพผิดกับข้อความที่เขาเขียนหมิ่นประมาทผม ตอนหลังก็มีการคลาดกันไปตลอดเวลาว่าคุณทอมจะขอขมาเมื่อไร เงินที่จะจ่ายให้ผมจะเป็นอย่างไรบ้าง


จบเรื่องคุณทอมแล้ว ต้นเดือนมีนาคม 2566 ที่ผมออกมานำความจริงที่เป็นหนึ่งเดียวมาให้คุณชูวิทย์ได้รับทราบ ก็มีสื่อบางพวกกับประชาชนบางกลุ่มด้อยปัญญาฟังเขามาแบบไม่ได้ศัพท์จับมากระเดียด เอาประเด็นที่คุณชูวิทย์พูดมาถึงผมแบบไม่ระบุชื่อ มีสื่ออยู่เจ้าหนึ่ง คุณชูวิทย์เขาเก๋า เขาไม่กล้าระบุชื่อผม แต่สื่อหน้าโง่บางคนซึ่งผมกำลังเรียบเรียงข้อความ และผมจะฟ้องเร็วๆ นี้ เสือกทะลึ่งเรียบเรียงเรื่องราวและเอ่ยชื่อผม ว่าผมคือตัวการนี้ ทั้งๆ ที่เรื่องราวที่เขาเอามาจากคุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ซึ่งคุณชูวิทย์เขาเขี้ยวกว่าเยอะ เขาระวังตัว แต่คุณคนนี้มาทะลึ่งกับผม ถ้าอย่างนั้นคุณรอรับหมายศาลก็แล้วกัน อย่าเพิ่งให้ผมบอกเลยว่าชื่ออะไร ให้ผมยื่นฟ้อง ไต่สวนมูลฟ้องเสร็จเรียบร้อย แล้วศาลบอกว่าคดีมีมูล แล้วคุณคนนี้ก็จะเป็นจำเลยทันที แล้วผมจะมาเปิดให้ดูว่าไอ้หมอนี่ชื่ออะไร ไอ้หมอนี่ก็คือนักข่าวปากดีคนหนึ่ง อวดอุตริ ทำตัวเก่ง รู้ไปทุกเรื่อง


คุณต้องรู้นะว่าคุณชูวิทย์เขาไม่ธรรมดา เขาเรียกตัวเขาเองว่า "มหาโจร" เพราะฉะนั้นเล่ห์เหลี่ยมทางกฎหมายในการเขียนอะไร พูดอะไร เขาเป็นมวยมีเชิงระดับหนึ่ง คุณจะทึกทักขยายความว่าเขาพูดอย่างนี้ เขาหมายถึงผม แล้วเอ่ยชื่อผม คุณนี่โง่ โดนคุณชูวิทย์หลอกใช้เป็นเครื่องมือ ทะลึ่งไม่เข้าเรื่อง เพราะฉะนั้นผมเตือนเอาไว้ก่อนนะ คุณชูวิทย์เขาไม่ธรรมดา ก็คือเรียกว่าเขาไปที่ไหน ถ้าบ้านหลังนั้นปูพรม บ้านหลังนั้นจะไม่ให้เขาเข้า เพราะว่าเขี้ยวเขาลากจนกระทั่งพรมขาดหมด แล้วคุณยังทะลึ่งเอาคำพูดของคุณชูวิทย์มา ทั้งๆ ที่ชูวิทย์ไม่ได้เอ่ยชื่อผม แต่คุณกลับใส่ชื่อผมไป คุณก็ไปเจอผมในศาล

หักหลังอินเดีย บีบีซี เปิดแผลเก่า "นเรนทรา โมดี"

ผมเป็นคนทำข่าวมาตั้ง 50 ปีแล้ว รู้เช่นเห็นชาติสื่อทางตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสื่อสัญชาติอังกฤษที่ชื่อว่า บีบีซี ซึ่งสื่อบ้านี่มีวิธีการบ่อนทำลาย สร้างความแตกแยก ไม่จำเป็นต้องลงข่าวตรงๆ แต่ปล่อยข่าวบางข่าวออกมาให้เป็นเชิงลบ บีบีซี จึงไม่ใช่สื่อ แต่เป็นหน่วยรบปฏิบัติการการข่าวเพื่อแทรกแซงและบ่อนทำลายความเชื่อมั่นต่อสถาบัน หรือผู้นำการเมืองในประเทศนั้นจนล้มพังลงไป


ยกตัวอย่างกรณีประเทศไทยที่ บีบีซีไทย มาบ่อนเซาะ ทำลายความมั่นคงสถาบันหลักของชาติ ผมเคยพูดถึงเรื่อง บีบีซีไทย สื่อล้มเจ้า วิเคราะห์อย่างละเอียดไว้ในรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ตอนที่ 60 ออกอากาศไปตั้งแต่ 20 พฤศจิกายน 2563

ล่าสุด บีบีซี สื่อของนักล่าอาณานิคม แล้วก็ปล้นชิงทรัพยากรของโลกทั้งโลก แล้วยังมาทำสาขา บีบีซีไทย อีก คนไทยที่ไปรับใช้ บีบีซี ก็ช่างรู้สึกหูหนวกตาบอด ดำเนินรายการตามลักษณะวิธีการของ บีบีซี ที่เลวร้ายต่างๆ ที่อังกฤษ

บีบีซี ได้เผยธาตุแท้ จุดประสงค์ของรัฐบาลอังกฤษ ซึ่งธำรงไว้ซึ่งสื่อ และชอบอ้างเหลือเกินพวกนี้ว่าเป็นสื่อสาธารณะ แต่จริงๆ แล้วมันคือหน่วยงานปฏิบัติการด้านข่าวสารเพื่อตอบสนองผลประโยชน์ของจักรวรรดิอังกฤษ ล่าสุด กรณีที่ บีบีซี ของอังกฤษ ได้เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารออกมาทิ่มแทงผู้นำอินเดียคนปัจจุบัน คือ นายนเรนทรา โมดี ด้วยการเผยแพร่สารคดี 2 ตอน ที่ชื่อว่า "India : The Modi Question" หรือ "อินเดีย : คำถามที่มีถึงนายโมดี" ไปขุดเอาเรื่องเดิม เปิดแผลเก่าของโมดี เมื่อปี 2545 หรือยี่สิบเอ็ดปีที่แล้ว


สารคดีของ บีบีซี ที่มุ่งเป้าไปที่ตัวนายโมดี โดยอ้างว่าเป็นการตีแผ่และตั้งคำถามเกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ของผู้นำสูงสุดของอินเดีย คือสมัยที่นายโมดี เป็นมุขมนตรีรัฐคุชราต รัฐเล็กๆ ในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดีย ขณะที่เกิดจลาจลรุนแรงทางศาสนาที่คุชราตเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2545 หรือยี่สิบเอ็ดปีทีแล้ว จนทำให้มีผู้เสียชีวิต 1,044 คน ส่วนใหญ่จะเป็นชาวมุสลิม 800 คน ชาวฮินดู 244 คน


เหตุจลาจลนี้เกิดขึ้นหนึ่งวันหลังจากรถไฟสายซาบาร์มาตี เอ็กซ์เพรส (SABARMATI EXPRESS) คือรถด่วนสายซาบาร์มาตี ที่พาผู้แสวงบุญชาวฮินดูเดินทางกลับ เกิดเหตุไฟไหม้ ส่งผลให้ชาวฮินดูในรถไฟนั้นตายถึง 50 คน กลายเป็นชนวนก่อจลาจลที่รุนแรงของชาวฮินดูทั่วรัฐคุชราต ถือเป็นเหตุการณ์เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์อินเดีย ซึ่งมีประชากรมุสลิมถึง 200 ล้านคน

จากโศกนาฏกรรมเรื่องนี้ มีการส่งเรื่องฟ้องร้องถึงศาลฎีกาอินเดีย ซึ่งแต่งตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจสืบสวนสอบสวนและทำรายงานสรุปยาวกว่า 541 หน้า ในปี 2555 ระบุว่า ไม่มีหลักฐานที่จะเอาผิดนายโมดี และเจ้าหน้าที่ระดับสูง 62 คน กรณีที่ละเลย เพิกเฉย ไม่ปฏิบัติหน้าที่ควบคุมสถานการณ์จลาจลในขณะนั้น ทำให้นายโมดี พ้นมลทิน อังกฤษ และอเมริกา ยกเลิกการคว่ำบาตรทางการทูตกับอินเดียในปี 2548 และยกเลิกการห้ามนายโมดี เดินทางด้วย


ท่านผู้ชมครับ แปลกมาก ข้อกล่าวหาดังกล่าวก็ยังเป็นรอยด่างพร้อยที่ยังติดตัวนายโมดี มาตลอด แม้จะขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอินเดียถึง 2 สมัย สมัยละ 5 ปี หลังจากที่พรรคชาตินิยมฮินดู ของโมดี ชนะเลือกตั้งสมัยแรกในปี 2557 และชนะเลือกตั้งสมัยที่สอง ปี 2562 อย่างถล่มทลาย

หลังจากนั้นอีกไม่นาน นายโมดี จะครบวาระการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีรอบที่สองภายในเดือนพฤษภาคม 2567 ทำไม บีบีซี ถึงจงใจขุดเรื่องเก่าเมื่อ 20 ปี ของนายโมดี ซึ่งจบไปเรียบร้อยแล้ว จบเรียบร้อยแล้วโดยศาลฎีกาตั้งคณะกรรมการสอบสวนสืบสวนและบอกว่านายโมดี และพรรคพวก ไม่ผิด ยังเป็นผลให้อังกฤษซึ่งเป็นเจ้าของ บีบีซี และอเมริกา ยกเลิกบอยคอตนายโมดี แล้วก็ยอมรับสภาพ ยอมรับความจริงที่ถูกพิพากษาโดยศาล


แต่ทำไมอังกฤษออกมาพูดอีก ? เพราะว่าจุดเปลี่ยนผู้นำอินเดียคนใหม่ในปี 2567 หรือปีหน้านี้ ที่เป็นชนวนของสถานการณ์การเมืองที่อ่อนไหวภายในประเทศอินเดีย เป็นเหตุให้สื่ออังกฤษ (บีบีซี) ซึ่งเป็นเครื่องมือของรัฐบาลอังกฤษ เริ่มภารกิจปลุกปั่นกระแสเปิดแผลเก่า โมดี ตั้งแต่ปี 2566 ก็คือปีหน้าจะมีการครบวาระของนายโมดี วาระ 2 ก็ลุยมันตอนนี้เลย เอาเรื่องเก่าซึ่งไม่เป็นเรื่องอะไรแล้วตอนนี้ เพราะจบไปตั้งแต่มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนและตัดสินว่านายโมดี ไม่ผิด คณะกรรมการชุดนั้นเป็นของศาลฎีกา แต่ก็ยังหาเรื่อง เอาเรื่องเก่าขึ้นมา เผยแพร่สารคดีนายโมดี ชื่อ The Modi Question ออกมา เนื้อหาสำคัญได้อ้างอิงรายงานที่ยังไม่เคยถูกเผยแพร่มาก่อน มาจากกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษ ซึ่ง บีบีซี ได้ข้อมูลมา 

น่าสงสัยมาก มาอ้างว่าได้ข้อมูลจากกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษ ทำให้เกิดการตั้งคำถามเกี่ยวกับนายโมดี ระหว่างการจลาจลเนื่องจากศาสนา และรายงานนี้สรุปได้ว่า ตราบใดที่นายโมดี ยังคงอยู่ในอำนาจ การปรองดองจะเกิดขึ้นไม่ได้ นั่นก็คือปูพื้นไว้แล้วว่าปีหน้าเลือกตั้ง อย่าให้นายโมดี กลับมาอีก หรือถ้าเลือกตั้งครั้งที่สาม นายโมดี ไม่ได้ ก็อย่าให้ทีมงานของนายโมดี กลับเข้ามาอีก

ท่านผู้ชมเห็นหรือยังว่าฝรั่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอังกฤษ และอเมริกา นี่ตัวการสำคัญเลย ใช้สื่อมวลชนของตัวเอง ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าล่าสุดนายอีลอน มัสก์ พูดถึงนิวยอร์กไทมส์ว่าอย่างไร ? อีลอน มัสก์ บอกว่านิวยอร์กไทมส์นั้นคือมืออาชีพทางการโฆษณาชวนเชื่อ


สารคดีที่เอามาออก 2 ตอน ยาว 59 นาทีนี้ อ้างว่า นายโมดี ได้พบผู้บัญชาการตำรวจ ออกคำสั่งให้ตำรวจทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นต่อการจลาจลโจมตีชาวมุสลิม ชี้ว่าการจลาจลเป็นเหตุจูงใจทางการเมืองที่มีเป้าหมายกวาดล้างชาวมุสลิมอย่างเป็นระบบ

นอกจากนี้ บีบีซี ยังรายงานบทสัมภาษณ์อดีตนักการทูตอังกฤษ ซึ่งแน่นอนว่าไม่ยอมเปิดเผยตัวตน เป็นส่วนหนึ่งของสารคดีดังกล่าว ตอกลิ่มความขัดแย้งทางศาสนาให้มากขึ้นไป


ท่านผู้ชมครับ นี่คือสันดานฝรั่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝรั่งเชื้อชาติอังกฤษ จะเลวทรามบัดซบกันจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่อยู่ในแวดวงการเมืองอังกฤษ

ย้อนไปนิด ไอ้หัวยุ่ง บอริส จอห์นสัน การประชุมเพื่อเจรจาสันติภาพครั้งแรกที่กรุงอิสตันบูล เซเลนสกี พร้อมแล้วที่จะลงนามเพื่อที่จะมีสันติภาพเกิดขึ้น โดยข้อตกลงต่างๆ นั้นเป็นข้อตกลงที่มีเหตุมีผลมาก ก็คือให้รัสเซียยุติการรุกยูเครน ให้ดินแดนดอนบาสที่วันนี้รัสเซียยึดอยู่ ให้กลับกลายเป็นรัฐอิสระ แล้วยูเครนต้องให้คำมั่นสัญญาว่าจะไม่ใช้กำลังทหารไปทำร้ายประชาชนชาวรัสเซียในดอนบาส แต่ปรากฏว่า เซเลนสกี กำลังจะเซ็นสัญญา ไอ้หัวยุ่งบอริส จอห์นสัน ได้รับคำสั่งจากเจ้านาย คืออเมริกา ในฐานะที่อังกฤษก็คือหมาพุดเดิ้ลของอเมริกา วิ่งเข้าไปบอกเซเลนสกี ที่อิสตันบูล ว่าอย่าเซ็นนะ อย่าเซ็น เราจะหนุนหลังคุณเต็มที่ ทั้งอาวุธ ทั้งกำลังเงินกำลังทอง


นี่คือสันดานอังกฤษ และ บอริส จอห์นสัน ก็คือนายกรัฐมนตรีอังกฤษในตอนนั้น ท่านผู้ชมครับ นี่คือความเลวทรามต่ำช้าของมัน

ถ้าพูดถึงสงครามในโลกนี้ที่เกิดขึ้น เกิดขึ้นจากพวกคนผิวขาวทั้งนั้น ทั้งอังกฤษ ทั้งอเมริกา โทนี แบลร์ เองยังออกมาขอโทษประชาชนเรื่องอิรัก ว่าได้ข้อมูลที่ผิด ทำให้อังกฤษต้องเข้าไปสงครามในอิรัก เข่นฆ่าฟันชาวอิรักตายเป็นล้านๆ คน มันเลวทรามบัดซบจริงๆ

ในที่สุดแล้ว อินเดียก็เลยสั่งแบนสารคดี บีบีซี ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีอินเดีย ใช้อำนาจฉุกเฉินภายใต้กฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศ และนายกันจัน กุปตา (Kanchan Gupta) รัฐมนตรีเทคโนโลยีอินเดีย ออกคำสั่งห้ามเผยแพร่สารคดี "India : The Modi Question" เรื่องนี้ ในยูทูบ และในทวิตเตอร์ แต่มันกลับกลายเป็นการยุยงให้นักศึกษาอินเดียบางกลุ่มจัดกิจกรรมฉายสารคดี บีบีซี เกิดการประท้วงและถูกควบคุมตัวไป


ท่านผู้ชมครับ เหมือนไหม เหมือนที่ บีบีซีไทย เคยลงข่าวยั่วยุในเรื่องของม็อบสามนิ้ว และการต่อสู้เพื่อยกเลิกคดีอาญามาตรา 112 เหมือนกัน อย่างไรอย่างนั้นเลย ฝีมือพวกมันทั้งนั้น

เป็นที่น่าสังเกตอย่างหนึ่งว่า กลุ่มเยาวชนหนุ่มสาวชาวอินเดียที่เป็นเป้าหมายของ บีบีซี ที่มุ่งหมายปลุกปั่นกระแสขึ้นมา ทำลายความมั่นคงภายในอินเดีย สมคบกับพวก NGO โจมตี กล่าวหารัฐบาลอินเดียของนายโมดี ว่าเป็นผู้นำขวาจัด ใช้อำนาจเกินเหตุ ปิดกั้นสารคดีของ บีบีซี ทั้งนี้ เคยมีตัวอย่างแล้วในปี 2563 ซึ่งองค์กรนิรโทษกรรมสากล (Amnesty International) ได้วิพากษ์วิจารณ์นโยบายรัฐบาลของนายโมดี ที่เลือกปฏิบัติต่อชาวมุสลิม ทำให้รัฐบาลโมดี เล่นงาน Amnesty ระบุว่า องค์กรนี้ละเมิดกฎเกณฑ์การรับเงินบริจาคจากต่างประเทศ ปิดสำนักงานในอินเดีย หลังจากที่บัญชีธนาคารถูกสั่งระงับ และถูกบุกค้นสำนักงาน


ฝั่งกระทรวงการต่างประเทศอินเดียออกแถลงการณ์ประณามสื่อ บีบีซี ว่าเป็นโฆษณาชวนเชื่อที่ต่อต้านอินเดียที่ต้องการสร้างความเสื่อมเสียต่อผู้นำอินเดีย โดยการนำเสนอเรื่องราวที่เต็มไปด้วยอคติ ยังคงจมไปด้วยการนำเสนอเนื้อหาภายใต้ชุดความคิดในยุคการล่าอาณานิคมอย่างโจ่งแจ้ง

อินเดียมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนหนึ่งซึ่งเก่งมาก ฝีปาก ฝีไม้ลายมือในการพูดจาคมกริบ เชือดเฉือนกันได้เต็มที่ ชื่อ นายเอส. ไจแชนการ์ รัฐมนตรีต่างประเทศอินเดีย มีบทบาทเด่นในเวทีโลก ได้พูดถึง บีบีซี ว่า พยายามให้ร้ายนายโมดี ปล่อยข่าวที่น่าตกใจกลัว ยึดแนวคิดหัวโบราณในเรื่องประชาธิปไตย และไม่ให้ความเคารพกับการตัดสินใจแบบประชาธิปไตยของประชาชนชาวอินเดีย


ท่านผู้ชมครับ วันหลังผมจะเอาประชาธิปไตยในสายตาตะวันตก เอามาฉีกเป็นชิ้นๆ ให้ท่านผู้ชมได้เห็นว่าฝรั่งมังค่าพวกนี้มันเป็นพวกหน้าไหว้หลังหลอก ท่านผู้ชมจำไว้นะครับ ผมจะเอาเรื่องนี้มาพูด กรณีฝรั่งเศสนี่ชัดเจนว่า มาครง เป็นคนละเมิดประชาธิปไตย แล้วก่อให้เกิดการประท้วงของคนฝรั่งเศสเป็นล้านๆ คน

นายไจแชนการ์ เหน็บแนมฝรั่งตะวันตกว่า ยังมีคนบางกลุ่มยังเชื่อว่าคำจำกัดความของตัวเอง ความชอบของตัวเอง และความคิดเห็นของตัวเองจะต้องอยู่เหนือสิ่งอื่นใดในโลกนี้

ไจแชนการ์ เคยให้สัมภาษณ์ว่า ปัญหาของอินเดียไม่ใช่ปัญหาของยุโรป และปัญหาของยุโรปก็ไม่ใช่ปัญหาของอินเดีย คือพูดง่ายๆ ว่าตัวใครตัวมัน พวกคุณอย่ามายุ่งเรื่องอินเดีย แล้วพวกคุณอย่าเอาเรื่องยูเครน กับ รัสเซีย มาบีบบังคับให้อินเดียต้องทำตามแนวนโยบายของพ่อของคุณ คืออเมริกา และอังกฤษ เพราะอินเดียเป็นประเทศเอกราช คิดเองเป็น

14 กุมภาพันธ์ 2566 สองเดือนที่แล้ว สรรพากรอินเดียบุกค้นสำนักงาน บีบีซี ทั้งสองเมือง คือในนิวเดลี และมุมไบ เป็นเวลา 3 วัน หลังจากมีการเผยแพร่สารคดีวิจารณ์นายกฯ โมดี อ๋อ แน่นอน บีบีซี ก็ออกแถลงการณ์ bla bla bla ... ประกาศว่า บีบีซี เป็นอิสระ เชื่อถือได้ ท่านผู้ชมครับ มันจะโกหกตอแหลได้เฉพาะคนที่ลุ่มหลง หลงใหล และคลั่งไคล้สื่อตะวันตก คนไทยบางประเภทก็มีครับ มีเยอะเลยที่เชื่อ บีบีซี ว่ามันเป็นสรณะทางการข่าว มันไม่ใช่นะท่านผู้ชม มันเป็นขยะทางการข่าวที่ถูกตะวันตกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นเครื่องมือในการปลุกปั่นให้ร้ายประเทศที่ไม่ยอมทำตามมัน


ผมเคยเล่าให้ฟังหลายครั้งจนเป็นที่รู้กันว่า บีบีซี เอ็มไพร์ เซอร์วิส หรือบริการสื่อจักรวรรดิ บริติช ซึ่งตอนหลังเปลี่ยนชื่อมาเป็น บีบีซี เวิลด์ เซอร์วิส (BBC WORLD SERVICE) ปัจจุบัน บีบีซีไทย ก็รวมอยู่ในนี้ด้วย ไม่เคยมีความเป็นกลาง ไม่น่าเชื่อถือ เพราะดำเนินการภายใต้ทุนสนับสนุน และควบคุมโดยกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษ

ที่ผ่านมา นายนเรนทรา โมดี ผู้นำอินเดีย เดินหน้าทางนโยบาย STRONGER INDIA ชูอินเดียก่อน ให้อินเดียเข้มแข็ง ยึดเอาผลประโยชน์ของชาติอินเดียเป็นหลักบนเวทีการเมือง การค้าโลก อินเดียมีประชากร 1,300 ล้านคน มีประชากรหนุ่มสาวที่มากที่สุดในโลก กลายเป็น และกำลังจะกลายเป็นยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจที่ประสบความสำเร็จท่ามกลางวิกฤตโลกที่รุมเร้า คาดกันว่าถ้าจีนแซงอเมริกาในเรื่องเศรษฐกิจแล้ว อเมริกาตกไปอยู่อันดับสอง อีกไม่นาน ต่อไปอินเดียก็จะเตะอเมริกาอันดับสองออก แล้วก็มาหายใจรดต้นคอจีน

อินเดียมีนโยบายที่ชาญฉลาดในการกระจายความเสี่ยง ยึดผลประโยชน์ของชาติและประชาชนเป็นหลัก ไม่ปล่อยให้ตัวเองกลายเป็นหุ่นเชิดของตะวันตก จะเห็นได้ชัดเกี่ยวกับการดำเนินนโยบายเกี่ยวกับกรณีสงครามของยูเครน

อินเดียเดินนโยบายต่างประเทศ เอาประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้ง แล้วปรับเงื่อนไข ผูกมิตรกับมหาอำนาจแบบทวิภาคี และพหุภาคี เจรจากันตัวต่อตัว หรือเจรจารวมกันก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นอเมริกา รัสเซีย จีน เช่น QUAD, BRICS หรือ SCO เป็นต้น นอกจากนี้ อินเดียยังเข้าไปร่วมไตรภาคีกับฝรั่งเศส ออสเตรเลีย อินโดนีเซีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ด้วย

พูดถึงนายไจแชนการ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของอินเดีย ผมอดคิดไม่ได้ที่จะพูดถึงพี่ดอน เฮ้าเลี่ยนของผม ดอน ปรมัตถ์วินัย


ท่านผู้ชมครับ เปรียบเทียบคุณสมบัติ เปรียบเทียบความกล้าหาญ เปรียบเทียบความเชิดชูอินเดียของนายไจแชนการ์ เมื่อเทียบกับพี่ดอนเฮ้าเลี่ยนแล้ว ห่างกันหนึ่งล้านแปดหมื่นเก้าพันแปดร้อยห้าสิบห้าลี้ ห่างกันสวรรค์ กับ นรกเลย

ท่านผู้ชมยังพอจำคำพูดของนายไจแชนการ์ รัฐมนตรีต่างประเทศ ผมเคยเล่าให้ฟังแล้ว ผมพูดเมื่อวันศุกร์ที่ 17 มิถุนายน ปีที่แล้ว (2565) ตอนที่ 142

ท่านผู้ชมครับ เรื่องราวต่างๆ ผมเคยพูดมาหมดแล้ว ถ้าท่านผู้ชมเป็น FC จริงๆ และอยากได้ความรู้จริงๆ ท่านผู้ชมจะต้องจำได้ว่าผมเคยพูดเรื่องนี้ไปแล้ว


นายไจแชนการ์ ตอนนั้นที่ผมอธิบาย เขาตอบคำถามถึงจุดยืนของอินเดียเอาไว้เป็นประโยคทอง เมื่อถูกถามว่าอินเดียจะเลือกข้างอเมริกา หรือข้างจีน เขาบอกว่า เราไม่ยอมรับว่าอินเดียต้องเลือกข้างระหว่างสหรัฐฯ หรือจีน เนื่องจากเราเป็น 1 ใน 5 ของประชากรโลก มีขนาดเศรษฐกิจอันดับ 5 หรือ 6 ของโลก เรามีสิทธิที่จะเลือกข้างของเราเอง คำพูดนี้คงจะไม่มีทางหลุดออกมาจากพี่ดอนเฮ้าเลี่ยนของผมหรอก ไม่มีทาง เพราะพี่ดอนวันนี้ รัฐบาลจะหมดแล้ว งวดหน้าคงไม่ได้เป็นรัฐมนตรีฯ ต่างประเทศ แต่กำลังวิ่งตีนขวิดเพื่อขอเข้าไปเป็นคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ ก็คือเดินตามรอยเท้าฝรั่ง ที่พี่ดอนเกิดมาเพื่อรับใช้ฝรั่งมังค่าจริงๆ

เมื่อกุมภาพันธ์ 2566 สองเดือนที่แล้ว มีวิวาทะกันระหว่างนายไจแชนการ์ กับนายจอร์จ โซรอส ขึ้นมาอีก เป็นข่าวดังไปทั่วโลก คนรุ่นใหม่หลายคน รวมทั้งท่านผู้ชมหลายคน เพิ่งจะเข้ามาดูรายการนี้ คงไม่รู้จัก นายจอร์จ โซรอส ผมอธิบายให้ฟังสั้นๆ แล้วกัน ส่วนรายละเอียด ไปค้นหาความรู้กันเอง


นายจอร์จ โซรอส มีฉายาว่าพ่อมดทางการเงิน เป็นคนอเมริกาเชื้อสายยิวฮังการี เป็นคนยิว อายุ 92 ปี เกิดที่กรุงบูดาเปสต์ของฮังการี เมื่อปี 2473 ปัจจุบันเป็นประธานของ Soros Fund Management LLC เป็นที่รู้จักว่าเป็นหนึ่งในกองทุนเฮดจ์ฟันด์ (Hedge Fund) เก็งกำไรที่ทำลายเศรษฐกิจหลายประเทศมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ไอ้เวรตะไลคนนี้ล่ะ ตัวการทำร้ายประเทศต่างๆ ทางเศรษฐกิจมากที่สุดในประวัติศาสตร์ วิกฤตเศรษฐกิจไทย หรือวิกฤตต้มยำกุ้ง ปี 2540 หรือยี่สิบหกปีที่แล้ว สาเหตุส่วนใหญ่ก็มาจากไอ้เบื๊อกนี่ โจมตีค่าเงินบาท ฝีมือนายโซรอส ความร้ายกาจของโซรอส ทำให้สื่อทางการจีนอย่างโกลบอลไทมส์ ตั้งฉายานายจอร์จ โซรอส ว่า "ผู้ก่อการร้ายทางเศรษฐกิจระดับโลก"

16 กุมภาพันธ์ 2566 สองเดือนที่แล้ว นายโซรอส ได้พูดบนเวทีประชุมใหญ่ความมั่นคงที่เมืองมิวนิก ช่วงหนึ่งเขาวิพากษ์วิจารณ์ประเด็นอินเดีย กับประชาธิปไตย เขาโจมตีนายโมดี ผู้นำอินเดีย อย่างรุนแรงว่า อินเดียเคยเป็นประชาธิปไตย แต่นายโมดี ไม่เป็นประชาธิปไตยแม้แต่น้อย เนื่องจากยั่วยุให้เกิดความรุนแรงต่อชาวมุสลิม เป็นการตอกย้ำเนื้อหาของสารคดี บีบีซี นอกจากนี้ ยังพยายามชี้ว่าอินเดียแม้จะอยู่กลุ่มพันธมิตรความร่วมมือต่อต้านความมั่นคงของ QUAD ที่มีอเมริกา ออสเตรเลีย และญี่ปุ่น แต่อินเดียก็ยังซื้อน้ำมันราคาถูกจากรัสเซีย และทำกำไรในจำนวนมหาศาล


นอกจากนี้ นายโซรอส ยังพูดถึงนายอดานี วิกฤตอดานี (Adani Crisis) ที่ถูกบริษัทวิจัยการลงทุน ชื่อบริษัท Hindenburg Research เปิดโปงความผิดว่านายอดานี มีความสัมพันธ์อย่างแนบแน่นกับนายโมดี แล้วก็กล่าวโทษนายโมดี ให้ข้อมูลอันเป็นเท็จ ทำให้ราคาหุ้นในเครืออดานี กรุ๊ป ร่วงทันที เสียหายหนักประมาณ 12,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 4 แสนกว่าล้านบาท ความมั่งคั่งส่วนตัวของนายโกตัม อดานี (Gautam Adani) หายไปทันที 5,500 ล้านดอลลาร์ หรือ 1 แสน 8 หมื่นล้านบาท

ท่านผู้ชมครับ คำพูดของนายจอร์จ โซรอส มีเป้าประสงค์จะแทรกแซงอินเดียอย่างชัดเจน ทำให้นายไจแชนการ์ รัฐมนตรีฯ ต่างประเทศของอินเดีย ตอบโต้กลับอย่างแรงผ่านการประชุมที่นครซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2566 ว่านายจอร์จ โซรอส และพวก ชอบกระจายข่าวลือ สร้างความหวาดกลัวโดยใช้มุมมองเก่าๆ แบบอาณานิคม ผ่านสายตาของยูโร-แอตแลนติก (EURO-ATLANTIC) ในการนิยาม วิธีคิดและมุมมองต่อประชาธิปไตย แต่นายจอร์จ โซรอส กลับล้มเหลวในการเคารพในการเลือกเส้นทางประชาธิปไตยของประชากร 1,300 ล้านคน ของอินเดีย

ขณะเดียวกัน นาง Smriti Irani รัฐมนตรีกระทรวงสหภาพอินเดีย ร่วมประณามนายจอร์จ โซรอส ด้วยการกล่าวเตือนทุกคนว่า นายโซรอส ที่พวกม็อบสามนิ้ว พรรคก้าวไกล หลายคน เชิดชูว่าเป็นวีรบุรุษ ทั้งๆ ที่เบื้องหลังคือมหาโจร (เอ๊ะ พูดถึงมหาโจร ผมนึกถึงใครก็ไม่รู้นะ) นายโซรอส เป็นอาชญากรทางเศรษฐกิจในหลายประเทศ ออกมาแสดงเจตนาร้ายที่จะแทรกแซง ทำลายประชาธิปไตยของอินเดีย ซึ่งจะมีการเลือกตั้งทุกๆ 5 ปี ให้คนเลือกรัฐบาล

ส่วนนายไจรัม ราเมศ (Jairam Ramesh) ซึ่งเป็นผู้นำ Congress Leader ของอินเดีย กล่าวว่า ไม่ว่ากรณีการฉ้อฉลของอดานี ที่เชื่อมโยงกับนายกฯ จะจุดประกายต้องฟื้นฟูประชาธิปไตยในอินเดียหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับสภาคองเกรส พรรคฝ่ายค้าน และกระบวนการเลือกตั้งทั้งหมด ไม่ได้เกี่ยวข้องกับนายจอร์จ โซรอส ไม่ได้หนักหัวกบาลนายจอร์จ โซรอส ท่านผู้ชมครับ อินเดียบอกจอร์จ โซรอส ว่าอย่าเสือก มันเป็นเรื่องของข้า เอ็งไม่เกี่ยว ไม่ต้องมาอ้างประชาธิปไตยและสังคมเปิดกว้าง โดยแฝงวาระซ่อนเร้นในการปลุกปั่นกระแสการเมืองภายในอินเดีย หนุนการเปลี่ยนรัฐบาลนิวเดลีของนายกฯ โมดี ในการเลือกตั้งอินเดียในปีหน้านั่นเอง

ทั้งนี้ทั้งนั้น หลังจากที่ล่าสุดอินเดียเข้ารับตำแหน่งประธานกลุ่ม G 20 ต่อจากอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2565 นายนเรนทรา โมดี ได้เขียนบทความลงสื่ออังกฤษ เรียกร้องให้ยุติสงคราม ชูคติพจน์ว่า "1 แผ่นดิน 1 ครอบครัว 1 อนาคต"


ท่านผู้ชมครับ ห้าปีที่ผ่านมา ดูตัวเลขแล้ว ชัดเจนว่ามหาอำนาจชาติตะวันตกอย่างอเมริกา เสียตลาดอาวุธสงครามในอินเดียให้กับรัสเซีย โดยรัฐบาลอินเดียซื้ออาวุธจากอเมริกาเพียง 6 พันล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 2 แสนล้านบาท แต่อินเดียซื้ออาวุธจากรัสเซีย 1 หมื่น 3 พันล้านดอลลาร์ หรือ 4 แสน 6 หมื่นล้านบาท ตอนนี้อินเดียยังสั่งซื้ออาวุธเพิ่มอีก 1 หมื่นล้านดอลลาร์ รวมเป็นงบอาวุธที่ซื้อจากรัสเซียถึง 2 หมื่น 3 พันล้านดอลลาร์ หรือ 8 แสน 1 หมื่นล้านบาท งบนี้มากกว่าซื้อจากอเมริกาถึง 4 เท่า อินเดียก็เลยกลายเป็นคนที่ซื้ออาวุธรายใหญ่ที่สุดของรัสเซียอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด ลงนามในข้อตกลงระบบขีปนาวุธต้านอากาศยาน S-400 ที่ล้ำสมัย มูลค่า 5 พันล้านดอลลาร์ โดยไม่หวั่นคำขู่คว่ำบาตรของมหาอำนาจอเมริกา

ตุลาคม 2565 นายโมดี นายกรัฐมนตรีอินเดีย ลงนามในแถลงการณ์ร่วมกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ที่เยือนอินเดียอย่างเป็นทางการ ระบุว่า รัสเซียสนับสนุนให้อินเดียเข้าเป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ และให้อินเดียเข้าเป็นสมาชิกกลุ่มผู้ขายเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ของโลก ยังมีข้อตกลงรัสเซียช่วยด้านรถไฟ ฝึกนักบินอวกาศ สร้างโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ในอินเดียอีกด้วย


รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของอินเดีย นางนิรมล สีตารามัน พูดว่า อินเดียอยากเป็นเพื่อนที่ดีกับชาติตะวันตก แต่อินเดียไม่อยากจะอ่อนแอ และจำเป็นต้องรักษาความมั่นคงของชาติ อเมริกาอยากขายอาวุธให้อินเดียมากขึ้น และนี่คือจุดที่อินเดียมีอำนาจต่อรอง

นอกจากนั้นแล้ว อินเดียยังไม่เห็นด้วยกับการกำหนดเพดานราคาน้ำมันรัสเซียตามชาติตะวันตก กลุ่ม G7 และสหภาพยุโรป ที่กำหนดไว้ที่ 60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เพื่อตัดรายได้รัสเซีย

ประเด็น ภาวะการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกของอเมริกา และชาติตะวันตก ที่มีต่อรัฐบาลอินเดีย จากการนำของนายนเรนทรา โมดี ที่ไม่เดินตามก้นพวกเขา จึงต้องทำลายสายสัมพันธ์นี้ตามหลักสงครามภูมิรัฐศาสตร์ เพราะอินเดียยืนกรานจะเลือกผลประโยชน์และความมั่นคงของชาติตัวเองเป็นหลัก คืออ้างอิงถึงความเป็นอิสระทางยุทธศาสตร์ จะค้าขายหรือซื้ออาวุธหรือพลังงานจากใครก็ตามที่ยื่นข้อเสนอที่ดีที่สุดสำหรับอินเดีย ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นอเมริกา รัสเซีย จีน หรือประเทศอื่นๆ เพราะฉะนั้นแล้ว เมื่ออินเดียโดยการนำของนายโมดี เป็นก้างขวางคอการครอบงำทางเอเชียใต้ของอเมริกา และตะวันตก เพื่อชูอินเดียขึ้นมาเป็นหนึ่งในการต่อต้านอิทธิพลจีน

ก่อนสิ้นสุดวาระการเลือกตั้งปีหน้า ก็เลยใช้ บีบีซี เครื่องมือในคราบสื่อ ซึ่งไม่ใช่เหตุบังเอิญอย่างแน่นอน จงใจเลย สารคดี บีบีซี เรื่อง "India : The Modi Question" พยายามเปิดแผลเก่าเมื่อ 20 ปีที่แล้วของนายกรัฐมนตรีโมดีในเวลานี้ ชัดยิ่งกว่าชัดว่าเป็นเรื่องที่ดำเนินการโดยมีวาระซ่อนเร้น อันมีเป้าหมายในการปลุกปั่นความขัดแย้งรุนแรงทางศาสนาในอินเดียให้ลุกลาม ที่อาจจะกลายเป็นจลาจลในอินเดียขึ้นมาอีก

ท่านผู้ชมครับ ผู้ที่อยู่เบื้องหลังจริงๆ ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็คืออดีตเจ้าอาณานิคมของอินเดีย คือ อังกฤษ กับมหามิตรอย่างสหรัฐฯ นั่นเอง


ท่านผู้ชมครับ ผมขอเตือนนักการเมืองไทยให้ระวังชาติตะวันตกตลบหลัง ท่านผู้ชมรู้ไหม วันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ นายโรเบิร์ต เอฟ. โกเดค ทูตอเมริกาประจำไทย และคณะ เข้าพบนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรคและคณะผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์


9 มกราคม 2566 นายโรเบิร์ต เอฟ. โกเดค ทูตอเมริกา พบนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย นายศุภชัย ใจสมุทร นายทะเบียนและสมาชิกพรรคภูมิใจไทย


1 มีนาคม 2566 เวลา 16.00 น. ที่พรรคประชาธิปัตย์ คณะเอกอัครราชทูตจากประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย 16 ประเทศ นำโดยนายเดวิด เดลี ทูตสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย เดินไปพบปะเยี่ยมเยียนที่ที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ โดยนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรค นายนิพนธ์ บุญญามณี นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ รองหัวหน้าพรรค และ นายเกียรติ สิทธีอมร ประธานคณะทำงานด้านต่างประเทศของพรรค ร่วมให้การต้อนรับ

เป็นเรื่องปกติที่เอกอัครราชทูตต่างประเทศต้องติดต่อ มีปฏิสัมพันธ์กับนักการเมืองไทย หรือข้าราชการไทย ยิ่งใกล้เวลาเลือกตั้ง คุณจะเห็นพวกนี้เดินสายมากเป็นพิเศษ ขอนัดกินข้าวกลางวัน กินข้าวเย็น กินกาแฟ เลี้ยงขนม เลี้ยงไวน์ เพื่อจะขอทราบข่าวคราวการเมืองเมืองไทยว่าก่อนเลือกตั้งเป็นอย่างไร หลังเลือกตั้งขั้วไหนจะจับกับขั้วไหน ท่านผู้ชมเชื่อผมสิครับ พวกทูตฝรั่ง โดยเฉพาะอยางยิ่งทูตตะวันตก มันมีวาระซ่อนเร้นพกเอาไว้เต็มกระเป๋า ช่วงแรกอาจจะปล่อยหมัดแย้บก่อน แต่พอเวลาเหมาะๆ ค่อยปล่อยหมัดชุด เวลาต้องการสร้างอำนาจต่อรองหรือใครที่กระด้างกระเดื่อง ยกตัวอย่างกรณีของนายนเรนทรา โมดี ผู้นำอินเดีย ก็ถือเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด เมืองไทยก็เช่นกัน ท่านหัวหน้าพรรคทั้งหลายที่มีนายโกเดค ไปเยี่ยม ให้จำเอาไว้ ทูตเหล่านี้ถนัดนักภาษาการทูต พูดจาไพเราะ ปฏิบัติตนด้วยความนบนอบ แต่ทั้งหมดเป็นสิ่งที่บอกได้เลยว่า มีวาระซ่อนเร้นด้วยกันทั้งสิ้น สุภาษิตจีนโบราณเขาบอกว่า คนพวกนี้ซ่อนดาบในรอยยิ้ม


ผมก็อยากจะฝากบอกถึงคุณจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ คุณอนุทิน ชาญวีรกูล นะครับ รัฐบาลอเมริกาเป็นรัฐบาลที่มีหน่วยงาน CIA ภาคพลเมือง เป็นส่วนหนึ่งของกระทรวงการต่างประเทศอเมริกา ที่ชื่อว่า NED : National Endowment for Democracy หน่วยงานนี้คือหน่วยงานที่ได้รับทุนสนับสนุนจากสภาคองเกรส ให้คนที่ทำงานอยู่ในนี้ ซึ่งอ้างตัวเองว่าเป็น NGO แล้วพามาประจำตามประเทศต่างๆ และประเทศไทย พวก NED พวกนี้คือพวกที่อยู่เบื้องหลังม็อบสามนิ้ว อยู่เบื้องหลังของอาจารย์สถาบันการศึกษาที่ปลุกปั่นเด็กรุ่นหลังให้ต่อต้านสถาบันกษัตริย์ แล้วให้เดินหน้าสุดซอยในการยกเลิกมาตรา 112 เพราะสถาบันกษัตริย์เป็นอุปสรรคอันใหญ่หลวงที่ทำให้พวกฝรั่งผิวขาวตาน้ำข้าวพวกนี้ไม่สามารถที่จะมาครอบงำสังคมไทยและประเทศไทยได้

จำเอาไว้เลยนะครับ ถ้าเขามาเยี่ยมคุณ ให้รู้ว่าไอ้พวกนี้ปากปราศรัยน้ำใจเชือดเฉือน ซ่อนดาบในรอยยิ้ม พูดแต่เรื่องประชาธิปไตย ประชาธิปไตยของมันในประเทศมัน มันยังเอาตัวไม่รอดเลย ท่านผู้ชมไปดูประชาธิปไตยในอเมริกาเป็นอย่างไร กัดกันอย่างกับหมา ประชาชนเดือดร้อนจะตาย ไม่มีข้าวกิน รักษาพยาบาลก็ไม่มีเงินใช้ รถจอดกันเต็มที่เมืองซานฟรานซิสโก ซีแอตเทิล โดนทุบกระจกหมด ตำรวจไม่สนใจ ตำรวจผิวขาวฆ่าชายฉกรรจ์ชาวผิวดำเป็นเบือ นี่คือประชาธิปไตยของพวกมัน แล้วมันมาขึ้นธรรมาสน์เทศน์เรื่องประชาธิปไตยให้พวกเราฟัง ท่านผู้ชม มันเป็นเรื่องตลกร้ายที่บัดซบที่สุด ย้อนแย้ง ไอ้พวกทูตตะวันตก ทั้งอียู อเมริกา และอังกฤษ คือพวกหน้าไหว้หลังหลอกทั้งสิ้น ระวังตัว อย่าไปเชื่อมันเลย

De-dollarization กับการเททิ้งดอลลาร์สหรัฐ

ท่านผู้ชมครับ เรื่องที่ผมจะพูดต่อไปนี้ เป็นเรื่องที่ผมพูดมาตั้งหลายปีแล้ว ถ้าท่านผู้ชมติดตามผมมาตลอด เป็น FC ที่มีปัญญา ไม่ใช่กลุ่ม FC โง่ๆ ของคนบางคน ท่านผู้ชมจะจำได้ว่าผมพยายามปูพื้นให้ท่านผู้ชมรับทราบว่าระบบเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมโลก กำลังถึงยุคของการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ เรียกได้ว่าในรอบร้อยปีไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงยิ่งใหญ่เท่านี้อีกแล้ว


หนึ่งในการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดในรอบเจ็ดสิบกว่าปี หรือนับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 2488 หรือ ค.ศ. 1945 คือการเปลี่ยนแปลงเรื่องสกุลเงินหลักของโลก คือเงินดอลลาร์สหรัฐ ท่าผนู้ชมครับ ผมเอาให้ดูว่าผมพูดมากี่ตอนแล้ว ผมพูดมา 2565 วันที่ 11 กุมภาพันธ์ ตอนที่ 124 "หนี้สหรัฐฯ พุ่ง ดอลลาร์ = แบงก์กงเต๊ก" แล้วเรื่องแบงก์กงเต๊ก ถ้าท่านผู้ชมจำได้ ที่ติดตามผมมาตลอด ที่เคยดูรายการ หรือเข้ามาเรียนหนังสือกับผมในเรื่อง "มองโลก มองเรา" เกือบสิบปีแล้ว ผมเป็นคนตั้งฉายาแบงก์ดอลลาร์ ว่า แบงก์กงเต๊ก ตอนนั้นทุกคนก็ยังหัวเราะเยาะผมพอสมควร แต่วันนี้เสียงหัวเราะเยาะเริ่มหายไปแล้ว ไม่ได้ยินเลย ได้ยินแต่เสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่


อีกรายการหนึ่ง วันที่ 15 เมษายน 2565 "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ตอนที่ 133 ผมพูดหัวข้อ "อวสานดอลลาร์ อวสานอเมริกา" แล้วก็รายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ตอนที่ 168 วันที่ 16 ธันวาคม 2565 ชื่อตอนว่า "เปโตรดอลลาร์ ถึงคราวล่มสลาย"

ทั้งหมดที่ผมพูดมานี้ รวมทั้งตอนล่าสุด ออกรายการไปเมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว คือเรื่อง "หายนะการเงินอเมริกา อภิมหาแชร์ลูกโซ่" ในรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ตอนที่ 182 ซึ่งเฉพาะในยูทูบ และในเฟซบุ๊ก คลิปสั้นตอนนี้มีคนชมไปแล้วหลายแสนคน กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แสดงว่าผู้คนกำลังให้ความสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างมาก เพราะเกี่ยวพันกับเศรษฐกิจ ธุรกิจ การทำมาหากิน ความเป็นอยู่ และเรื่องปากท้องโดยตรง

สิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นชัด ณ เวลานี้ คือ วิกฤตระบบการเงินการคลังของสหรัฐอเมริกาลุกลามมาถึงยุโรป ส่งสัญญาณเป็นการล้มของธนาคารหลายแห่งในอเมริกา ธนาคารเครดิต สวิส และก่อให้เกิดปัญหาการเงินอย่างง่อนแง่นต่อธนาคารยักษ์ใหญ่อย่างเช่น ดอยช์แบงก์ ในเยอรมนี


จนกระทั่งวันอาทิตย์ที่ 19 มีนาคม 2566 เฟด คือธนาคารกลางสหรัฐฯ ออกมาประกาศความร่วมมือกับธนาคารของชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอีก 5 ชาติ รวมเป็น 6 ชาติ คือ ธนาคารกลางแคนาดา อังกฤษ ญี่ปุ่น ธนาคารกลางยุโรป และธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ พวกธนาคารกลางพวกนี้ก็คือกลุ่มอำนาจเก่า กลุ่มระเบียบโลกเก่าทั้งสิ้น หันมาจับมือร่วมกันเพื่อเสริมสภาพคล่องให้ระบบการเงิน ผ่านการปรับธุรกรรมสวอปออนไลน์สกุลเงินดอลลาร์ ก็คือว่า ใครขาดเงินดอลลาร์ให้ติดต่อได้เลยใน 6 ประเทศนี้ เดี๋ยวเขาจัดให้ เพื่อไม่ให้ดอลลาร์ซวนเซหรือทรุดลงมากกว่านี้

การประกาศมาตรการแบบนี้บ่งบอกให้เห็นถึงวิกฤตเกี่ยวกับการเงินในสถาบันการเงินตะวันตกทั้งระบบ ลามไปถึงความเชื่อมั่นต่อเงินดอลลาร์สหรัฐ ที่ถูกสหรัฐฯ ใช้เป็นเครื่องมือในการจัดการ ควบคุม แบล็กเมล์ ทำสงครามทางเศรษฐกิจกับประเทศต่างๆ ทั่วโลก

ความเสื่อมถอยของเงินดอลลาร์ หรือที่ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า De-Dollarization ผมเคยเปรียบเทียบแบงก์ดอลลาร์ เป็นแบงก์กงเต๊ก คึอเป็นแบงก์กระดาษที่เขาใช้เผาเพื่อส่งไปให้บรรพบุรุษในช่วงเทศกาลเชงเม้ง ก็มีคนที่ด้อยปัญญา สายตาแคบ ออกมาบอกว่า "เห็นพูดตั้งนานแล้วว่าดอลลาร์จะเป็นแบงก์กงเต๊ก วันนี้ยังเห็นดอลลาร์ที่ 34-35 บาท" อีกความเห็นหนึ่ง "เศรษฐกิจอเมริกาเป็นมหาอำนาจเบอร์หนึ่งของโลก อยู่ๆ เงินดอลลาร์ไม่ล่มสลายไปหรอก"


ท่านผู้ชมครับ ถ้าเราย้อนประวัติศาสตร์ที่ดอลลาร์กลายเป็นเงินสกุลหลักของโลก ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ปี 2487 ประเทศพันธมิตรทางตะวันตก 44 ประเทศ ประชุมกันที่โรงแรมเมานท์วอชิงตัน ที่เมืองเบรตตันวูดส์ นิวแฮมป์เชียร์ ซึ่งตอนหลังกลายเป็นข้อตกลงของเบรตตันวูดส์ ฝรั่งได้มีการสร้างองค์กรโลกบาล 2 แห่ง คือ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ ไอเอ็มเอฟ (IMF) และ ธนาคารโลก หรือ เวิลด์แบงก์ (World Bank) ซึ่งถูกควบคุมโดยประเทศทางตะวันตก ทำให้อเมริกาได้ประโยชน์เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ เกือบ 80 ปี มาจนถึงปัจจุบัน

ระบบดังกล่าวเป็นอย่างไร ? กำหนดให้มีการตรึงอัตราแลกเปลี่ยนไว้กับเงินสกุลดอลลาร์ ส่งผลให้อเมริกากลายเป็นมหาอำนาจครอบงำเศรษฐกิจโลกไว้โดยสกุลเงินอเมริกาจะเป้นเงินสกุลหลักส่วนใหญ่ของสิทธิพิเศษในการถอนเงิน หรือเงินกระดาษของไอเอ็มเอฟ ก็คือถ้าจะถอนเงิน ต้องถอนเงินจากไอเอ็มเอฟ ถ้าต้องการใช้เป็นเงินดอลลาร์


เป็นที่มาที่ไปว่าทำไมทุกวันนี้ข้อมูลไอเอ็มเอฟระบุว่า อิทธิพลของเงินดอลลาร์สหรัฐที่มีส่วนช่วยอุ้มชูเศรษฐกิจสหรัฐฯ ให้มีสถานภาพเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับหนึ่งของโลกตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา เพราะอะไร ? เพราะ หนึ่ง การหมุนเวียนของธนบัตรดอลลาร์อเมริกาใช้อยู่ปัจจุบันมีจำนวน 2 ล้านล้านดอลลาร์ มีอยู่ครึ่งหนึ่ง คือ 1 ล้านล้านดอลลาร์ หมุนเวียนอยู่ภายนอกประเทศอเมริกา โดยบางประเทศใช้เงินดอลลาร์สหรัฐ เป็นสกุลเงินแลกเปลี่ยนจับจ่ายใช้สอยในท้องถิ่นได้เสียด้วยซ้ำ

ข้อที่สอง สัดส่วนปริมาณหนี้ในโลกนี้ มากถึง 40 เปอร์เซ็นต์ อยู่ในเงินสกุลดอลลาร์ ข้อที่สาม ทุนสำรองระหว่างประเทศของประเทศต่างๆ ในโลกนี้เกือบ 60 เปอร์เซ็นต์ อยู่ในเงินสกุลดอลลาร์ รวมทั้งประเทศไทยด้วย

การค้าขาย การแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเกือบ 90 เปอร์เซ็นต์ ของทั้งหมดในโลกนี้ เกี่ยวข้องกับเงินดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม กำลังมีกระบวนการหนึ่งเกิดขึ้น ซึ่งกำลังกัดกร่อนทำลายการผูกขาดของเงินดอลลาร์สหรัฐ ทั้งในการค้าขาย แลกเปลี่ยน ในการให้กู้ยืม รวมถึงการเป็นเงินสกุลที่ใช้การเก็บเป็นเงินสำรองระหว่างประเทศด้วย กระบวนการนี้เรียกว่า DE-DOLLARIZATION


DE-DOLLARIZATION คืออะไร ? หมายถึงกระบวนการที่ประเทศต่างๆ พยายามลดการพึ่งเงินดอลลาร์สหรัฐในการทำธุรกรรม และเงินสำรองระหว่างประเทศ โดยแสวงหาทางเลือกอื่นๆ แทนเงินดอลลาร์สหรัฐ ในการแลกเปลี่ยนและจัดเก็บข้อมูลให้พ้นจากความผันผวนของเงินดอลลาร์สหรัฐที่ด้อยค่าลงเรื่อยๆ ประกอบกับภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้นเรื่อยๆ

ทั้งนี้และทั้งนั้น ปัจจุบันเป็นที่ชัดเจนว่าเงินที่ก้าวมาท้าชิงกับเงินดอลลาร์สหรัฐ คือเงินหยวนของจีน และสาเหตุที่เงินหยวนของจีนกำลังกลายเป็นผู้ท้าชิงสำคัญของเงินดอลลาร์สหรัฐ เพราะในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จีนเป็นประเทศที่มีเขตเศรษฐกิจขนาดใหญ่อันดับสองของโลก และกำลังจะขึ้นอันดับหนึ่งของโลกในไม่กี่ปีนี้ เป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของประเทศต่างๆ ทั่วโลก ได้เดินหน้าทำข้อตกลงทางเศรษฐกิจกับประเทศต่างๆ มากมาย


แผนภาพข้างต้นแสดงให้เห็นว่า ถ้าท่านผู้ชมย้อนกลับไปเมื่อสี่สิบกว่าปีที่แล้ว ในช่วงทศวรรษที่ 1980 อเมริกาเป็นศูนย์ค้าอันดับหนึ่งของเกือบทุกประเทศทั่วโลก เมื่อเวลาผ่านไปเกือบสี่สิบปี ในปี 2561 จีนได้เข้ามายึดครอง กลายเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของประเทศส่วนใหญ่ในโลกนี้แทนอเมริกาไปเรียบร้อยแล้ว

ท่านผู้ชมครับ จุดเปลี่ยนที่สำคัญในปี 2544 (ค.ศ. 2001) เป็นปีที่จีนเข้ามาเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก ทำให้จีนก้าวขึ้นมาเป็นประเทศคู่ค้ากับประเทศต่างๆ ทั่วโลก จนทำให้ปัจจุบันมีประเทศมากกว่า 2 ใน 3 ของโลกนี้ หรือ 128 ประเทศ จาก 190 ประเทศ ค้าขายกับจีนมากกว่าสหรัฐฯ (ให้สังเกตแผนที่ประเทศที่มีสีแดง) ส่วนประเทศที่ค้าขายกับอเมริกาจะเป็นสีฟ้า หรือสีน้ำเงิน


นอกจากนี้แล้ว กว่า 90 ประเทศ จาก 128 ประเทศที่ค้าขายกับจีนมากกว่าอเมริกา ยังค้าขายกับจีนมากกว่าค้าขายกับอเมริกาคิดเป็นมูลค่าถึง 1 เท่าตัว

ส่วนประเทศทางยุโรปที่ถูกทาด้วยสีส้ม แสดงให้เห็นว่าประเทศคู่ค้าที่สำคัญที่สุดคือมหาอำนาจ ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านในยุโรปด้วยกัน คือประเทศเยอรมนี ตอนนี้เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าหลายประเทศกำลังพยายามหาช่องทางที่จะลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์สหรัฐ ทั้งในด้านการค้าและเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ โดยที่ชัดเจนคือ กลุ่ม BRICS

ผมพูดเรื่องกลุ่ม BRICS มานานแล้ว แต่จะทวนความจำให้ B คือ บราซิล (Brazil) R คือ รัสเซีย (Russia) I คือ อินเดีย (India) C คือ จีน (China) และ S คือ แอฟริกาใต้ (South Africa) นอกจากนี้แล้ว ยังรวมถึงกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง เช่น ซาอุดีอาระเบีย และประเทศในตะวันออกกลางที่เริ่มถอยห่างจากเปโตรดอลลาร์ ผมจะยกตัวอย่าง 5 ตัวอย่างของปรากฏการณ์ DE-DOLLARIZATION ให้เห็นทีละภาพ ชัดเจนขึ้น


ตัวอย่างที่หนึ่ง "จีน-ฝรั่งเศส ซื้อขายก๊าซ LNG ด้วยเงินหยวน เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์" ข่าวใหญ่ในแวดวงพลังงานเมื่อปลายเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา ฝรั่งเศสเป็นชาติยุโรปชาติแรกที่ยอมใช้เงินหยวนซื้อขายก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) เป็นจำนวน 65,000 ตัน เป็นการซื้อขายระหว่างบริษัทน้ำมันแห่งชาติ CNOOC และบริษัท TotalEnergies ของฝรั่งเศส ทำข้อตกลงซื้อขายก๊าซ LNG ผ่านตลาดซื้อขายปิโตรเลียมและก๊าซ ที่นครเซี่ยงไฮ้ และเป็นครั้งแรกที่มีการซื้อขาย LNG จากฝรั่งเศส โดยใช้เงินหยวน

ตัวอย่างที่สอง "จีน กับ บราซิล ลงนามข้อตกลงทำการค้า โดยการใช้เงินสกุลของตัวเอง" ศุกร์ที่แล้ว 31 มีนาคม สดๆ ร้อนๆ จีน-บราซิล ได้ทำข้อตกลงร่วมกันที่จะใช้เงินสกุลหยวน และเงินเรอัล (Real) ของบราซิล ใช้หยวนของจีน และเงินสกุลเรอัลของบราซิล ในการทำการค้าระหว่างกัน ไม่ต้องผ่านเงินดอลลาร์อเมริกาอีกต่อไป


เดิมทีบราซิล และจีน เวลาจะซื้อขายอะไรกันต้องทำการผ่านเงินดอลลาร์อเมริกา เนื่องจากภูมิรัฐศาสตร์ของบราซิลอยู่ในทวีปอเมริกาใต้ ใกล้ชิดกับอเมริกามาก เงินดอลลาร์อเมริกามีเสถียรภาพมากกว่าเงินเรอัลของบราซิล การค้าขายระหว่างจีน กับบราซิล จึงต้องแลกเปลี่ยนเงินเรอัลจากบราซิลเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐ จากนั้นค่อยเปลี่ยนเงินดอลลาร์สหรัฐ เป็นเงินหยวนของจีนอีกต่อหนึ่ง การทำเช่นนี้ในระบบเดิมทำให้ต้นทุนของจีนและบราซิลต้องสูงมากขึ้นจากค่าธรรมเนียม และยังมีความเสี่ยงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน ยิ่งเมื่อธนาคารกลางสหรัฐฯ ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง และเกิดปัญหากับธนาคารหลายแห่งในอเมริกา ทำให้เสถียรภาพที่เคยเป็นจุดแข็งที่สุดของเงินสกุลดอลลาร์ สูญสิ้นไป การค้าด้วยสกุลเงินท้องถิ่นของทั้งสองชาติจะช่วยลดความเสี่ยงและลดต้นทุนของผู้ประกอบการทั้งสองชาติ

อนึ่ง ในปัจจุบันบราซิล และจีน ถือว่าเป็นคู่ค้าอันดับที่ 9 ของโลก ตอนนี้จีนแซงหน้าอเมริกาเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของบราซิลตั้งแต่ปี 2552 แล้ว และยังรั้งสถานภาพต่อเนื่องถึงปัจจุบัน นานกว่า 14 ปี ทุกวันนี้มูลค่าการค้าระหว่างจีน กับบราซิล มีมูลค่าสูงกว่า 1 แสน 7 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือ 5.8 ล้านล้านบาท ทำให้สองประเทศนี้ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสมาชิกของกลุ่ม BRICS มีแนวคิดจะใช้เงินสกุลตัวเองในการค้าขายระหว่างกันและกัน ทุกวันนี้การค้าระหว่างประเทศบราซิลมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ชำระธุรกรรมด้วยเงินสกุลดอลลารสหรัฐ แต่ข้อตกลงล่าสุดกับจีนทำให้ผู้ประกอบการบราซิลมีทางเลือกมากขึ้น เช่น เกษตรกรของบราซิลสามารถเลือกที่จะรับเงินเข้าเป็นดอลลาร์ หรือเงินหยวน และจ่ายออกเป็นเงินบราซิล แบบไหนคุ้มค่าที่สุดก็ใช้แบบนั้น นอกจากนี้แล้ว บราซิลยังมีโอกาสที่จะขยายตลาดไปจีน ซึ่งแน่นอน การใช้เงินหยวนนั้นจะสะดวกที่สุด

ผู้สื่อข่าวของจีนที่ประจำอยู่ประเทศบราซิลมานานหลายปี เล่าว่า เดิมทีชาวบราซิลพึ่งพาอเมริกาอย่างมาก ใช้สินค้าที่นำเข้าจากอเมริกาเป็นหลัก แต่ทุกวันนี้ชาวบราซิลใช้สินค้าจากจีนเข้ามามาก ผู้สื่อข่าวได้รับคำถามจากชาวบราซิลจำนวนมากเกี่ยวกับโทรศัพท์มือถือ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ รถยนต์ไฟฟ้าจากจีน นอกจากนี้ BYD ค่ายรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ของจีน กำลังเสนอซื้อโรงงานผลิตรถยนต์แห่งหนึ่งในบราซิล โรงงานนี้เดิมทีเป็นบริษัทผลิตรถยนต์ของอเมริกา คือ ฟอร์ด แต่ได้ถอนทุนไปแล้ว บราซิลบอกว่าธุรกิจอเมริกาถอนทุนจากบราซิล แต่ธุรกิจจีนเดินเข้ามาสู่บราซิล


ข้อตกลงระหว่างจีน-บราซิล มีขึ้นก่อนการเยือนประเทศจีนของประธานาธิบดีลูลา ดา ซิลวา ของบราซิล การกลับมาเป็นผู้นำบราซิลอีกครั้งหนึ่ง ลูลา ดา ซิลวา มีแนวคิดสังคมนิยม เป็นไม้เบื่อไม้เมากับอเมริกา ยิ่งจะทำให้บราซิล กับ จีน และกลุ่ม BRICS ใกล้ชิดกันมากขึ้น ซึ่งก็หมายความว่าบราซิล ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในลาตินอเมริกา มีแนวโน้มที่จะถอยห่างจากอเมริกาและเงินดอลลาร์สหรัฐ ไปเรื่อยๆ ทีละก้าวๆ

ทั้งนี้และทั้งนั้น ไม่เพียงบราซิล หลายประเทศในลาตินอเมริกาก็รู้สึกว่าถูกสหรัฐฯ กดขี่ข่มเหงรังแกมานาน ต้องการยกเลิกใช้เงินดอลลาร์เช่นกัน แต่ยากที่จะทำได้ ขณะนี้ประเทศอื่นๆ อย่างเวเนซุเอลา ชิลี นิการากัว คิวบา อาร์เจนตินา รวมทั้งโคลัมเบีย ชักสนใจที่จะทำธุรกิจกับจีน โดยใช้เงินท้องถิ่นแลกซึ่งกันและกัน


ตัวอย่างที่สาม รัสเซียบอกลาเงินดอลลาร์ หลังจากถูกตัดออกจากระบบสวิฟต์ (S.W.I.F.T.) ท่านผู้ชมครับ สงครามในยูเครนเกิดขึ้นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2565 อเมริกาใช้เงินดอลลาร์อเมริกาเป็นเครื่องมือเพื่อบีบรัสเซียในสงครามยูเครน โดยอายัดเงินทุนสำรองของรัสเซียในต่างประเทศ และตัดรัสเซียออกจากระบบชำระเงินของสวิฟต์ที่อเมริกาเป็นเจ้าของ และมีอิทธิพลอยู่ ทำให้รัสเซีย จีน กับอินเดีย ได้พัฒนาระบบชำระเงินของตัวเอง ถึงแม้รัสเซียจะถูกคว่ำบาตรจากประเทศชาติตะวันตก แต่รัสเซียยังคงขายพลังงานให้กับประเทศต่างๆ ทำการซื้อขายด้วยเงินสกุลรูเบิลของรัสเซีย เงินหยวนของจีน เงินรูปีของอินเดีย และเงินสกุลท้องถิ่นของประเทศคู่ค้า

บรรดาชาติตะวันตกประโคมข่าวว่า เงินรูเบิลของรัสเซียจะล่มสลายตั้งแต่ช่วงแรกของสงครามยูเครน มาจนกระทั่งบัดนี้ เงินรูเบิลของรัสเซียยังไม่มีวี่แววจะล่มสลายแต่อย่างใด เนื่องจากรัสเซียมีทองคำสำรองจำนวนมาก แตกต่างจากดอลลาร์สหรัฐ ที่พิมพ์ออกมาเหมือนแบงก์กงเต๊ก จนก่อให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อและวิกฤตทางการเงิน รวมถึงการคลัง ทั้งในประเทศอเมริกาและอีกหลายๆ ประเทศทั่วโลกที่อยู่ปัจจุบัน


ท่านผู้ชมครับ เพื่อเตือนความจำ คนที่บอกว่าเงินรูเบิลของรัสเซียจะกลายเป็นดิน เป็นกรวด เป็นใบไม้อยู่บนดิน คนที่พูดคำนี้ชื่อ นายโจ ไบเดน ทันทีที่สงครามในยูเครนเกิดขึ้น หนึ่งปีที่ผ่านมา เงินรูเบิลแข็งเอาๆ แข็งกว่าก่อนจะเกิดสงครามยูเครนเสียอีก ขณะเดียวกัน ที่เงินรูเบิลไม่ได้กลายเป็นดิน เป็นหิน เป็นกรวด ตามที่นายโจ ไบเดน พูด แต่เวรกรรมมีจริง เงินดอลลาร์ตอนนี้ไม่ได้กลายเป็นหิน เป็นดิน เป็นกรวดหรอก แต่กำลังกลายเป็นแบงก์กงเต๊กอยู่

ณ วันที่ 1 มีนาคม 2566 ตามรายงานธนาคารกลางรัสเซีย ระบุปริมาณทองคำสำรองของประเทศรัสเซียเพิ่มเป็น 74.9 ล้านออนซ์ ปีที่แล้ว ทองคำสำรองรัสเซียเพิ่มขึ้นอีก 1 ล้านออนซ์ จากปีก่อนหน้านี้

ณ เดือนมีนาคม 2566 ประเมินกันว่าทองคำสำรองรัสเซียมีมูลค่าถึง 135,600 ล้านดอลลาร์ สัดส่วนของทองคำในทุนสำรองระหว่างประเทศรัสเซียในปีที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นถึง 23.6 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่สัดส่วนของเงินตราต่างประเทศลดลงเหลือ 71.5 เปอร์เซ็นต์


เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2566 นายฉิน กัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจีน เคยตอบคำถามผู้สื่อข่าวในการแถลงข่าวระหว่างการประชุมสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติจีน ผู้สื่อข่าวรัสเซียจากสำนักข่าวทรัสส์ ถามว่า มีความเป็นไปได้ไหมที่ทั้งสองชาติจะเลิกใช้ดอลลาร์ และเงินยูโร ในการค้าระหว่างกัน รัฐมนตรีต่างประเทศจีนตอบว่า การค้าระหว่างจีน และรัสเซีย จะใช้เงินสกุลใดก็ได้ที่สะดวก ปลอดภัย และเชื่อถือได้ เงินตราไม่ควรถูกใช้เป็นเครื่องมือในการคว่ำบาตรเพื่อข่มเหงและบีบบังคับ (เหมือนอย่างที่อเมริกาใช้อยู่)

ประเด็นอยู่ตรงไหน ? ด้วยเหตุนี้จึงเป็นเรื่องที่ชัดยิ่งกว่าชัดเสียอีกว่าจีน-รัสเซีย จะลดการใช้เงินดอลลาร์สหรัฐ และยูโรของยุโรปในการทำการค้า ซึ่งน่าจะมีการขยายขอบเขตไปทั้งประเทศกลุ่ม BRICS รวมทั้งประเทศกลุ่มพันธมิตรทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นในตะวันออกกลาง เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แอฟริกา และอเมริกาใต้ด้วย ภายในระยะเวลาอันใกล้นี้

ตัวอย่างที่สี่ อินเดียใช้รูปีซื้อพลังงานรัสเซีย แต่รัสเซียอยากได้เงินหยวน 
อย่างที่ท่านผู้ชมทราบว่าอินเดียเป็นประเทศใหญ่แห่งโลก ประชาธิปไตยที่ไม่ได้คว่ำบาตรรัสเซียจากกรณีสงครามยูเครนโดยอินเดีย ได้ประโยชน์อย่างมากจากการซื้อพลังงานในราคามิตรภาพจากรัสเซีย โดยตกลงกันใช้เงินรูปีของอินเดีย อินเดียทำกำไรมหาศาลด้วยการซื้อพลังงานรัสเซีย จากนั้นเอาไปขายต่อในประเทศชาติยุโรป ที่โง่ งี่เง่า ต้องซื้อพลังงานรัสเซีย แต่ต้องผ่านมือคนกลาง คืออินเดีย ในราคาที่บวกบวก เหตุผลเพราะต้องเดินตามก้นอเมริกา


ท่านผู้ชมครับ มีหัวหน้าที่งี่เง่าและโง่อย่างอเมริกา ยุโรปก็เลยต้องกัดฟันแบกรับภาระต่างๆ

ทั้งหมดนี้เป็นพลังงานที่อินเดียซื้อไปเพื่อขายต่อชาติยุโรป ที่ชาติยุโรปอ้างว่าคว่ำบาตรรัสเซีย แต่ซื้อน้ำมันรัสเซียที่แปะฉลากว่าขายโดยอินเดีย แต่ปัญหาคือ รัสเซียรับเงินรูปีมาจากอินเดียจำนวนมากเป็นค่าซื้อน้ำมัน แต่ว่ารัสเซียแทบจะไม่ได้ซื้ออะไรจากอินเดียเลย อินเดียซื้อน้ำมันจากรัสเซียหลายหมื่นล้านดอลลาร์ รัสเซียซื้อสินค้าจากอินเดียเพียงแค่ 2,500 ล้านดอลลาร์ ด้วยเหตุนี้รัสเซียจึงมีเงินรูปีอยู่เต็มมือ แต่กลับหาที่ใช้ไม่ได้ แม้แต่จะนำเงินนี้ไปลงทุนในอินเดียก็ยากลำบาก เพราะอินเดียมีมาตรการจำกัดการลงทุนของต่างชาติที่เข้มงวดมาก รัสเซียก็เริ่มไม่อยากได้เงินรูปีอินเดีย เพราะไม่มีที่จะใช้ แต่ว่าการใช้เงินหยวนนั้นแตกต่างกัน เพราะจีนเป็นฐานการผลิตที่ใหญ่ มีสินค้ามากมายที่จะขายให้รัสเซีย และการลงทุนในจีนก็ง่ายกว่าลงทุนในอินเดีย รัสเซียก็เลยปรับเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศในทุนสำรองระหว่างประเทศให้เงินหยวนมีสัดส่วนมากถึง 60 เปอร์เซ็นต์ อินเดียก็คงต้องเดินตามกลุ่ม BRICS ในกลุ่มนี้เงินสกุลที่สะดวกใช้ที่สุดคือเงินหยวนจีน

ตัวอย่างที่ห้า ตัวอย่างสุดท้าย ซาอุดีอาระเบีย และตะวันออกกลาง ธันวาคม 2565 จีน และซาอุดีอาระเบีย ทำข้อตกลงชำระเงินข้ามพรมแดนด้วยเงินสกุลหยวนเป็นครั้งแรก การใช้เงินสกุลหยวนของจีนในซาอุดีอาระเบียยังไม่แพร่หลายมากนัก เนื่องจากอเมริกาข่มขู่ซาอุดีอาระเบียว่าหากถอยห่างจากเปโตรดอลลาร์สหรัฐฯ จะไม่ให้ความคุ้มครองด้านความมั่นคงของซาอุดีอาระเบียอีกต่อไป

ความสัมพันธ์ระหว่างซาอุดีอาระเบีย กับ จีน ใกล้ชิดยิ่งขึ้น เมื่อจีนเป็นตัวกลางเจรจาฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างซาอุดีอาระเบีย อิหร่าน และล่าสุด ซาอุดีอาระเบียได้ตัดสินใจที่จะฟื้นฟูความสัมพันธ์กับซีเรีย


นอกจากนี้ ซาอุดีอาระเบียกำลังจะได้รับการรับรองเข้าเป็นสมาชิกองค์กรความร่วมมือแห่งเซี่ยงไฮ้ ที่เขาเรียกว่า SCO : Shanghai Cooperation Organization และยังจะขอเข้าเป็นสมาชิก BRICS อีก เพื่อสร้างหลักประกันทั้งด้านความมั่นคง เพราะว่า SCO เป็นองค์กรที่เน้นย้ำเรื่องความมั่นคง ส่วน BRICS เป็นด้านเศรษฐกิจ แทนที่จะพึ่งพาอเมริกาเพียงอย่างเดียว สักวันหนึ่ง ซาอุดีอาระเบีย แม้ว่าวันนี้ก็ตาม ไม่มีความจำเป็นต้องพึ่งพาอเมริกาในเรื่องความมั่นคงอีกต่อไป เนื่องจากจีนทำหน้าที่เอาศัตรูของซาอุดีอาระเบียทุกคนมานั่งคุยกัน แล้วจับมือเป็นเพื่อนกันต่อไปในตะวันออกกลาง เพื่อยุติสงครามในตะวันออกกลาง

ซึ่งถูกปลุกปั่นโดยอเมริกาที่อยู่เบื้องหลังในการสร้างความวุ่นวายในพื้นภูมิภาคตะวันออกกลาง

ไม่เพียงแต่ซาอุดีอาระเบีย แต่พื้นภูมิภาคตะวันออกกลางกำลังหวนคืนสู่ความสงบ ทำให้สหรัฐฯ ที่แสวงหาผลประโยชน์จากสงคราม ความขัดแย้งมาตลอด ต้องสูญเสียสถานะประเทศในกลุ่มประเทศอาหรับและตะวันออกกลาง และกำลังจะปลดแอกจากเปโตรดอลลาร์ เพื่อแสวงหาเงินสกุลใหม่เพื่อเป็นทางเลือก ปัจจุบันเงินหยวนมีศักยภาพมากที่สุด ทั้งนี้ ปัจจุบันจีนเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของประเทศอาหรับ


ท่านผู้ชมรู้หรือเปล่า ในปี 2564 การลงทุนในจีน ในกลุ่มประเทศอาหรับ มีมูลค่าสูงถึง 23,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 787,000 ล้านบาท ส่วนยอดการค้าระหว่างประเทศระหว่างจีน กับ ประเทศอาหรับ สูงถึง 330,300 ล้านดอลลาร์ หรือราวๆ 11.3 ล้านล้านบาท

ท่านผู้ชมครับ นี่คือความเปลี่ยนแปลง 5 ประการ ถ้าท่านเอาความเปลี่ยนแปลง 5 ประการนี้มานั่งรวม แล้วมองไปในอนาคตอีก 5 ปี 10 ปี ท่านจะเห็นว่าเงินดอลลาร์จะกลายเป็นแบงก์กงเต๊กจริงๆ

ท่านผู้ชมครับ ผมขอนอกเรื่อง แต่เกี่ยวพันกับเรื่องนี้ ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าอเมริกาเกลียดอะไรที่สุด ? แล้วกลัวอะไรที่สุดในโลกนี้ ? ผมจะบอกให้รู้ก็ได้ อเมริกา และชาติอียู เกลียดและกลัวคำว่า "สันติภาพ" เพราะถ้ามีสันติภาพเมื่อไร ประเทศทางตะวันตกไม่มีสิทธิ์ที่จะมาครอบงำ และไม่มีสิทธิ์ที่จะมาสร้างความวุ่นวายในแต่ละภูมิภาค แล้วก็ดำเนินนโยบายที่เอาประโยชน์เข้าตัวเอง สิ่งที่จีนได้ทำคือ ให้แต่ละคนเข้าใจว่าสันติภาพนั้น มีนัย มีความหมายมากต่อเศรษฐกิจ การเมือง และความเป็นอยู่ของประชาชนในภูมิภาคนั้น เมื่อใดก็ตามที่มีสันติภาพเกิดขึ้น สงครามหายไปแล้ว การที่อเมริกาจะหลอกขายอาวุธให้กับซาอุดีอาระเบียเหมือนสมัยก่อน ก็ขายไม่ได้ ทุกคนเป็นเพื่อนกันหมด

แล้วทำไมเงินหยวนถึงมีโอกาสขึ้นทดแทนเงินดอลลาร์ได้มากที่สุด ? ภายหลังจากเกิดสงครามในยูเครน โลกได้เห็นกรณีตัวอย่างรัสเซียที่ถูกชาติตะวันตกอายัดเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ทำให้หลายชาติเริ่มตระหนักว่าเงินดอลลาร์ไม่ใช่สวรรค์ที่ปลอดภัย ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Safe Heaven อีกต่อไป ยิ่งเมื่อธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ขึ้นดอกเบี้ย เพื่อเอาตัวเองรอด แต่ชาติทั่วโลกฉิบหายอย่างไร กูไม่สน นี่คือสันดานของอเมริกา และนี่คือสันดานของตัวแทนอเมริกา คือทูตอเมริกา นายโกเดค นี่คือเนื้อแท้ที่แท้จริง คือความชั่วร้ายของอเมริกา

อเมริกาขึ้นดอกเบี้ยของตัวเอง ไม่สนใจประเทศอื่นๆ จะกระทบอย่างไร ทำให้ทุกประเทศเริ่มคิดแล้วว่า ถึงเวลาหรือยังที่ต้องกระจายความเสี่ยงออกจากเงินดอลลาร์อเมริกา

เมื่อเรามาพิจารณาเรื่องเงินสกุลสำคัญของโลก นอกจากดอลลาร์แล้ว เงินยูโรของยุโรปก็ได้รับผลกระทบอย่างแรงจากสงครามยูเครน เงินปอนด์อังกฤษสูญเสียสถานภาพมานานแล้ว แล้วยังทรุดหนักลงตั้งแต่อังกฤษถอนตัวจากสหภาพยุโรป


ส่วนเงินเยนของญี่ปุ่นก็ชะงักงันเหมือนเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่ติดชะงักมาหลายสิบปี และยิ่งถูกซ้ำเติมจากธนาคารกลางของญี่ปุ่นที่ใช้นโยบายผ่อนคลายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้ค่าเงินเยนอ่อนค่าเป็นประวัติการณ์ ทุบสถิติในรอบ 20 ปี

เงินหยวน เป็นสกุลเงินของประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลก คือ จีน นี่คือเหตุผลว่าทำไมเงินหยวนถึงสำคัญ เงินหยวน เป็นสกุลเงินของประเทศที่ค้าขายกับทั่วโลก เป็นห่วงโซ่ เป็นศูนย์กลางของห่วงโซ่อุปทานโลก จีนมีมูลค่านำเข้า-ส่งออกในปีที่แล้วสูงถึง 6.2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือราวๆ 212 ล้านล้านบาท ขณะที่อเมริกามีมูลค่าการส่งออกในปีที่แล้วเพียง 5.2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือเพียง 178 ล้านล้านบาท จีนเป็นโรงงานใหญ่ของโลก เป็นฐานการผลิตใหญ่ มีสินค้าขายไปทั่วโลกได้ แตกต่างจากอเมริกาที่มีฐานเศรษฐกิจจากภาคการเงิน การเก็งกำไร ซึ่งไม่ใช่เศรษฐกิจที่แท้จริง หรือที่ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Real Sector

สรุปว่า ปรากฏการณ์ DE_DOLLARIZATION ซึ่งก็คือความเสื่อมทรุด ความถดถอยของเงินดอลลาร์สหรัฐ ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศเศรษฐกิจใหม่ แต่สาเหตุที่สำคัญมาจากพฤติกรรมของอเมริกาที่ใช้เงินดอลลาร์เป็นอาวุธยุทโธปกรณ์ทางเศรษฐกิจ เพื่อบีบบังคับ ต่อรองกับประเทศต่างๆ ทั่วโลก ยิ่งเมื่อสหรัฐฯ พยายามทำให้โลกแบ่งแยก แตกขั้ว เหมือนกับสหรัฐฯ พยายามแจะแบ่งแยกแตกขั้วกับจีน ก็ยิ่งทำให้ประเทศต่างๆ ที่ไม่อยากจะถูกบีบ ให้เลือกอยู่ข้างมหาอำนาจเดียว จำเป็นต้องแสวงหาโอกาสที่หลากหลายกับโลกที่เริ่มมีหลายๆ ขั้ว


ท่านผู้ชมครับ แนวโน้มระเบียบโลกใหม่ที่นำโดยสกุลเงินหยวนของจีนได้เริ่มแล้ว กระบวนการเททิ้งเงินดอลลาร์ เป็นขั้นตอนสำคัญในการบรรลุระบบโลกที่เท่าเทียมกันมากขึ้น เนื่องจากการลดอำนาจและอิทธิพลที่เอาเปรียบฝ่ายเดียวของอเมริกา แม้ว่าการยุติใช้เงินดอลลาร์เป็นเงินสกุลหลักของโลกอาจนำไปสู่ความไม่แน่นอนและความผันผวนในเศรษฐกิจโลก และตลาดการเงินระหว่างประเทศ และการที่อเมริกากำลังจะถูกขับออกจากการเป็นสกุลเงินตราหลักของโลก เนื่องจากนโยบายสงครามที่ต่อเนื่อง และก่อหนี้สาธารณะมหาศาล ที่เป็นวิกฤตการเงินของการคลังสหรัฐฯ นี่คือความหายนะของดอลลาร์อเมริกา ก่อนที่จะถึงวันพรุ่งนี้ของการจัดระเบียบโลกใหม่

ก่อนจะจบเรื่อง DE-DOLLARIZATION ผมจะยกตัวอย่างบางตัวอย่างให้ฟัง ท่านผู้ชมจำวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 ได้ไหม ที่เมืองไทยจะไปขอให้ไอเอ็มเอฟเข้ามาช่วย อเมริกาคุมไอเอ็มเอฟอยู่ คุมเวิลด์แบงก์อยู่ อเมริกาบังคับให้ประเทศไทย รัฐบาลไทย ห้ามไม่ให้ไปช่วยภาคเอกชนที่กำลังล้มละลายอยู่ เพราะเขาใช้เหตุผลว่ามันเป็น Moral Hazard หรือ ความผิดทางศีลธรรม ไม่ให้ใช้ ทั้งๆ ที่รัฐบาลสามารถจะใช้ได้ แต่ไม่ให้ใช้ แล้วท่านผู้ชมรู้หรือเปล่า ในช่วงเศรษฐกิจที่ล่มสลายของอเมริกานั้น ท่านผู้ชมจำได้ไหม ยุคสมัยนายบารัก โอบามา เจเนอรัลมอเตอร์ล้มละลาย AIA ล้มละลาย ปรากฏว่า เฟด เอาเงินยัดให้กับ AIA เอาเงินยัดให้กับเจเนอรัลมอเตอร์ และอีกหลายๆ บริษัทเพื่อให้อยู่รอดไป นี่คือการใช้นโยบายหน้าไหว้หลังหลอก อะไรที่ทำแล้วพวกกูได้ กูจะทำ ช่วย แต่อะไรที่มึงทำแล้ว มึงจะรอด กูไม่ยอมให้มึงทำ เพราะต้องการให้มึงวุ่นวาย เมื่อมึงวุ่นวายแล้วกูจะได้เข้ามาสูบเลือด ทำตัวเป็นอีแร้ง เหมือนกับที่อเมริกา บริษัทวาณิชธนกิจ ไม่ว่าจะเป็นโกลด์แมนแซคส์ หลายคนเข้ามาในยุคที่เรามี ปรส. แล้วพวกมันเข้ามาทำไม ? เข้ามาเอาทรัพย์สมบัติต่างๆ บังคับให้เจ้าของต้องขายทรัพย์สมบัติต่างๆ เหล่านี้ให้กับมันในราคาถูก แล้วมันก็เอาทรัพย์สมบัติต่างๆ เหล่านี้มาย้อนรอยขายกลับให้กับคนไทย เหมือนกับกรณีที่มันมาซื้อหนี้สินของการผ่อนรถ จากมูลค่าพันล้าน มันซื้อไปแค่ 20 เปอร์เซ็นต์ คือ 200 ล้าน แล้วมันก็เอาเงินก้อนนี้กลับมา แล้วบังคับให้คนที่ต้องผ่อนรถต่อในจำนวน 100 เปอร์เซ็นต์ ไม่ใช่ 20 เปอร์เซ็นต์ แล้วมันกำไร 80 เปอร์เซ็นต์ และนี่คืออเมริกา

เปิดเอกสารลับ ตอกฝาโลง "สวนชูวิทย์"

ท่านผู้ชมครับ ตั้งแต่วันศุกร์ที่แล้ว คือวันศุกร์ที่ 31 มีนาคม 2566 ในรายการ "คุยทุกเรี่องกับสนธิ" ผมได้นำเสนอเรื่อง "ชำระคดีสวนชูวิทย์" ไป ปรากฏว่ามีท่านผู้ชมหลายท่านได้รับฟังข้อมูล ข้อเท็จจริง ได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีรื้อบาร์เบียร์ ได้เห็นคำให้การของคุณชูวิทย์ ซึ่งจากปฏิเสธ กลับมารับสารภาพในขั้นตอนสุดท้ายแล้ว ก็เลยถึงขั้นที่ภาษาญี่ปุ่นเขาเรียกว่า "ซาโตริ" คือเข้าใจธรรมอย่างแท้จริงแล้วว่า นี่คือความจริงอันเป็นหนึ่งเดียว เกิดความกระจ่างสว่างโร่ขึ้นมาทันทีว่าสวนชูวิทย์นั้น ปัจจุบันกลายเป็นไซต์ก่อสร้างโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับหมื่นล้านนั้น จริงๆ แล้วมีกลิ่นตุๆ มีความไม่ชอบมาพากลอย่างไร


ท่านผู้ชมครับ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของทรัพย์สินส่วนบุคคลอย่างที่ FC โง่ๆ ของคุณชูวิทย์ ที่ยังโง่งมหลงเชื่อ ที่ท้องออกมาเหมือนนกแก้ว นกขุนทอง นี่เป็นเรื่องเกี่ยวพันกับคำพิพากษาศาลฎีกา และประเด็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินอย่างชัดเจน

ท่านผู้ชมครับ เรื่องนี้มีคนให้ความสนใจมากอย่างนึกไม่ถึง และเรื่องนี้ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คุณชูวิทย์ ออกมาฟาดงวงฟาดงา เล่นงานผมลงในโพสต์ของตัวเอง แต่ไม่ยอมเอ่ยชื่อ แต่ผมก็รู้ว่าหมายถึงตัวผม ไอ้คำว่า "สื่อเฒ่า" นั่นคือผมล่ะ ท่านผู้ชม แต่ไม่เป็นไรครับ เรื่องนี้มีคนเข้ามาชมตั้งหลายแสนครั้ง เว็บไซต์ mgronline และ Sondhi Talk มีคนเข้ามาชม ดูรายละเอียดต่างๆ ในข่าวต่างๆ หลายแสนวิว


ข้อมูลข้อเท็จจริงที่ถูกเผยแพร่ออกไปดังกล่าวทำให้ฝั่งคุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อยู่นิ่งไม่ได้ ออกอาการอย่างเห็นได้ชัดเลย ไล่เรียงตามไทม์ไลน์มาก็ปรากฏว่า ศุกร์ที่ 31 มีนาคม ที่ผมออกไป มีการสัมภาษณ์จากคุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ข้อที่สอง วันอาทิตย์ที่ 2 เมษายน 2566 มีการให้สัมภาษณ์จากทนายคนหนึ่ง คือคุณเชาว์ มีขวด ซึ่งเป็นอดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ที่เพิ่งจะอกหักกันเมื่อไม่กี่วันมานี้ ที่ตัวเองไม่มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อ ไม่ว่าจะเป็น ส.ส. เขต หรือไม่ว่าจะเป็นปาร์ตี้ลิสต์ ในพรรคประชาธิปัตย์

ข้อที่สาม ต่อมาวันรุ่งขึ้น วันที่ 3 เมษายน ทนายคนที่ 2 คือคุณอนันต์ชัย ไชยเดช ก็ออกมาโวยวายหลายเรื่อง พร้อมกับขู่ว่า ถ้ามาทำอะไรให้สวนชูวิทย์ผิดไปจากการเป็นสมบัติส่วนตัวของคุณชูวิทย์แล้ว ก็จะฟ้อง 157


ประเด็น ผมได้รับทราบคำชี้แจงเรื่องที่ดินเจ้าปัญหาจาก หนึ่ง คุณชูวิทย์ สอง คุณเชาว์ มีขวด สาม คุณอนันต์ชัย ไชยเดช แล้วผมอดขำไม่ได้ เพราะว่าต่างคนต่างให้สัมภาษณ์ไปคนละทิศคนละทาง

เราเริ่มที่คุณชูวิทย์ก่อน นัยการให้สัมภาษณ์ไปคนละทิศคนละทางย่อมแสดงให้เห็นว่ามีความพยายามหาช่องทางเพื่อแก้เกม เทคนิคทางกฎหมายในเรื่องที่ดินสวนชูวิทย์ ซึ่งเคยเป็นสวนสาธารณะทั่วไป และเป็นปอดใจกลางกรุงเทพมหานคร ในรูปแบบที่ต่างกัน แต่ท่านผู้ชมลองดูแผนผังไทม์ไลน์ข้างบน แล้วดูข้อมูลหลักฐานที่ปรากฏชัดต่อสาธารณะในสื่อวิดีโอเทป คลิปเสียงการให้สัมภาษณ์ คำให้การต่อศาลของคุณชูวิทย์เอง และคำพิพากษาศาลฎีกาแล้ว ท่านผู้ชมคงตัดสินใจเองได้ว่า จากหลักฐานที่ปรากฏทั้งหมด เมื่อเปรียบเทียบกับคำพูดของคน 3 คน เพื่อหาช่องเอาสมบัติที่ยกให้สาธารณะกลับมาเป็นสมบัติส่วนตัวอีกครั้งให้ได้ สุดท้ายแล้วผลจะเป็นอย่างไร


เอาล่ะ ท่านผู้ชมครับ เหมือนอย่างที่ผมเรียนให้ท่านผู้ชมทราบว่าความจริงนั้นมีหนึ่งเดียวในที่นี้ คือรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" เรามาลงรายละเอียดกันดีกว่า

รายละเอียดฝั่งคุณชูวิทย์พยายามแก้เกมหาช่องนั้นมีอะไรบ้าง ? ผมจะชี้และเปิดหลักฐานให้เห็นชัดๆ เลยว่าทำไมการแก้เกมหาช่องเหล่านั้นผมถึงรู้สึกขำขัน เพราะว่านี่คือมหกรรมการแถอย่างหน้าด้านๆ

คำแถจากคุณชูวิทย์ ที่เรียกตัวเองว่าเป็น "มหาโจร" จะแปลงที่ดินสวนสาธารณะเพื่อสร้างตึกหรู เริ่มต้นจากหลังจากที่ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" จบรายการเช้าวันศุกร์ที่ 31 มีนาคม 2566 วันเดียวกันคุณชูวิทย์ได้เดินทางไปมอบเงินสีเทา 6 ล้านบาท ให้กับกองบังคับการปราบปราม แล้วกลับคำพูดตัวเอง


แถไปจนถลอกไปหมดทั้งตัว เพื่อให้รอดจากคดีฟอกเงินให้ได้ นี่คือตัวเองไปกลับคำให้การนะ จากที่เคยบอกว่านี่คือเงินของสารวัตรซัว แล้วนี่เป็นเงินที่ตำรวจที่ชื่อ อ. และตำรวจอีกคนที่ชื่อ ป. เอามาให้ ตอนหลังเปลี่ยนไปหมดแล้ว เคยพูดอย่างไร เปลี่ยนไปพูดอีกแบบหนึ่ง จนกระทั่งกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางต้องออกมาแถลงข่าวว่า ผู้ต้องหา หรือใครก็ตาม (ซึ่งคงหมายถึงคุณชูวิทย์) จะพูดอะไรก็ได้ พูดไปเถอะ แต่เจ้าหน้าที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อนั้น อีกเรื่องหนึ่ง

สำหรับเหตุการณ์วันนั้น ผมจะพูดเฉพาะผลกระทบต่อที่ดินคุณชูวิทย์ที่เกิดขึ้น วันนั้น วันศุกร์ที่ 31 มีนาคม คุณชูวิทย์ได้เอ่ยปากเรื่องที่ดินทั้งหมด 2 ประเด็น ประเด็นที่หนึ่ง คุณชูวิทย์อ้างว่า ที่เคยพูดว่า "ให้" หรือ "บริจาค" ที่ดินให้เป็นสวนสาธารณะนั้น ไม่ได้ระบุว่าจะให้ทั้งหมด หรือให้บางส่วน เพราะฉะนั้นตัวเอง (ชูวิทย์) สามารถที่จะสร้างเป็นอาคารบางส่วน และเป็นสวนสาธารณะบางส่วนด้วยก็ได้

ท่านผู้ชมครับ สำหรับประเด็นข้างต้นนี้แสดงให้เห็นว่า คุณชูวิทย์ยอมรับแล้วว่าเคยเอ่ยปากเรื่องที่ดินว่ามีลักษณะการให้ หรือการบริจาคจริง แต่พยายามแถว่าอาจจะไม่ได้แปลว่าให้ทั้งหมดก็ได้ ซึ่งประเดี๋ยวผมจะวิเคราะห์และแสดงหลักฐานอย่างละเอียดให้ฟังต่อไป


ประเด็นที่สองที่คุณชูวิทย์แถ เมื่อนักข่าวถามคุณชูวิทย์ว่า ตอนนี้ กทม. ตั้งคณะกรรมการมาพิจารณาเรื่องนี้ คุณชูวิทย์ตอบด้วยอาการหงุดหงิดออกแนวประชดว่า "ก็ตั้งเลยครับ อยากจะให้ผมเสียหาย ผมจะเสียหายให้ ตอนนี้ผมก็หยุดโครงการให้แล้ว จะเอาลูกเมียผมไปด้วยไหม" ท่านผู้ชมครับ คุณชูวิทย์ครับ ผมคิดว่าคุณชูวิทย์จำเป็นจะต้องอ่านเอกสารในมือคุณชูวิทย์เอง ในวันที่คุณชูวิทย์ไม่ใช้บริการทนายคนใดแล้ว เพราะคุณชูวิทย์ไล่เขาออกหมด ใครที่เป็นทนายคุณชูวิทย์ ทำงานได้สักพักก็โดนไล่ออกหมด อันนี้ไม่มีข้อยกเว้นนะครับ คุณอนันต์ชัย ก็อาจจะเป็นอีกกรณีหนึ่ง แต่ผมเชื่อว่าคุณอนันต์ชัยนั้น ก็มี DNA คล้ายๆ คุณชูวิทย์ เก่งด้วยกันทั้งคู่ เรียกว่ากินกันไม่ลง คุณชูวิทย์จะไล่คุณอนันต์ชัยออก ก็คงจะไม่ง่ายนัก

คุณชูวิทย์ลองอ่านเอกสารคำให้การต่อศาลฎีกาเรื่องที่ดินที่คุณเป็นคนร่างและส่งขึ้นไปให้กับศาลฎีกาด้วยตัวเอง


ผมขอวิเคราะห์ภาษา 2 คำสำคัญเพื่อให้การขอลดโทษชูวิทย์ต่อศาลฎีกา จะทำให้เป็นสวนสาธารณะทั่วไป และ จะทำต่อไป

ประการแรก เอกสารที่คุณชูวิทย์ได้ยื่นคำให้การต่อศาลฎีกาในวันที่ 15 ตุลาคม 2558 เพื่อขอลดโทษนั้น ระบุข้อความดังต่อไปนี้ใช่หรือเปล่า คุณชูวิทย์ ซึ่งคงต้องใช่ล่ะ เพราะว่าผมมีตัวจริงอยู่ที่ผมว่านั่นคือคำให้การของคุณ ข้อความแรกที่คุณส่งให้ศาลฎีกา คุณบอกว่า แต่จำเลยที่ 129 ซึ่งหมายถึงตัวคุณชูวิทย์ ก็ไม่ทำโครงการต่อ โดยยอมทิ้งผลประโยชน์มูลค่ากว่าพันล้านบาท และยังได้นำเงินส่วนตัวมาลงทุนก่อสร้างสวนสาธารณะ ชื่อ "สวนชูวิทย์" ด้วยเงินลงทุนกว่าร้อยล้านบาท มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนได้ใช้ เป็นประโยชน์ดังเช่นสวนสาธารณะทั่วไป และเป็นปอดใจกลางกรุงเทพมหานคร


ผมแคปเอาข้อความในบันทึกคำให้การที่ผมได้มาจากศาลอาญากรุงเทพใต้ นี่เป็นของจริง และเป็นคำให้การของคุณชูวิทย์เอง คุณชูวิทย์ ไม่รู้คุณจำได้หรือเปล่า ผมได้ข่าวว่าคุณกำลังส่งคนไปค้นคำให้การมาใหม่ เพราะคุณไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน เนื่องจากคุณไปไล่ทนายความชุดเก่าที่เขาทำงานให้คุณออก และผมทราบมาว่าคำให้การนั้นมีเป็นร้อยๆ กล่อง ผมไม่รู้ว่าปีหน้าแล้ว คดีสิ้นสุดแล้ว จะค้นเจอหรือเปล่า

วิเคราะห์ข้อความว่า "ทิ้งประโยชน์มูลค่ากว่าพันล้านบาท" ขอย้ำ คุณชูวิทย์ใช้คำว่า "ทิ้ง" ไม่ได้ใช้คำว่า "ชะลอโครงการ" ท่านผู้ชมครับ คุณชูวิทย์ครับ ศาลเวลาพิจารณา พิจารณาจากข้อความ ศาลจะจริงจังมากกับคำพูดในคำยื่นคำร้อง ข้อความต่างๆ เพราะว่าแต่ละข้อความนั้นมันมีทั้งช่องว่าง ช่องโหว่ และมีการผูกมัด ก็เลยต้องพิจารณาอย่างละเอียด


พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานระบุว่า คำว่า "ทิ้ง" มีความหมายถึง "สละ" เช่น ทิ้งทาน ละไป ทิ้งบ้าน ทิ้งเรือน โยนหรือเทเสียโดยไม่ต้องการ ข้อความนี้จึงเป็นการ "สละ" ผลประโยชน์จากโครงการแบบไม่มีกำหนดระยะเวลา

นอกจากนั้น ข้อความที่ว่า "ได้ใช้เงินส่วนตัวมาลงทุนก่อสร้างสวนสาธารณะ และมีวัตถุประสงค์ให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ดังเช่นสวนสาธารณะทั่้วไป และเป็นปอดใจกลางกรุงเทพมหานคร อย่างที่ผมได้พูดไปแล้ว ข้อความคำกล่าวว่า "สวนสาธารณะ" นั้น แปลตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิยสถาน หมายถึง สวนเพื่อประชาชนทั่วไป

เมื่อถูกย้ำอีกครั้งในคำถามถัดไป ว่า "ทั่วไป" ในข้อความ "ให้ประชาชนได้ใช้ดังเช่นสวนสาธารณะทั่วไป ย่อมหมายถึงสวนสาธารณะทั่วไป เช่น สวนลุมพินี สวนจตุจักร สวนรถไฟ สวนหลวง ร.๙ และอื่นๆ คือเป็นสวนสาธารณะทั่วไปที่มีการปิดและเปิดเป็นเวลา ไม่เก็บค่าใช้จ่าย พลเมืองมาใช้บริการได้ ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินทั้งสิ้น


เอาล่ะ คุณอนันต์ชัย ฟังตรงนี้ให้ดีๆ เพราะคุณเป็นทนาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304 (2) บัญญัติเอาไว้ว่า มาตรา 1304 สาธารณสมบัติของแผ่นดินนั้น รวมทรัพย์สินทุกชนิดของแผ่นดิน ซึ่งใช้เพื่อสาธารณประโยชน์ หรือสงวนไว้เพื่อเป็นประโยชน์ร่วมกัน เช่น (2) ทรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน เป็นต้น ที่ชายตลิ่ง ทางน้ำ ทางหลวง ทะเลสาบ

เมื่อคุณชูวิทย์สร้างสวนสาธารณะให้เป็นดังเช่นสวนสาธารณะทั่วไป ย่อมหมายถึงแผ่นดินซึ่งใช้สาธารณประโยชน์ที่สงวนไว้เพื่อใช้ประโยชน์ร่วมกัน เป็นทรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน จึงย่อมเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน เช่นเดียวกับที่ชายตลิ่ง ทางน้ำ ทางหลวง ทะเลสาบ ยิ่งเมื่อคุณชูวิทย์ตอกย้ำในคำให้การต่อศาลฎีกาด้วยคำพูดที่ว่าให้ที่ดินแห่งนี้เป็นปอดใจกลางกรุงเทพมหานคร


ท่านผู้ชมครับ คุณชูวิทย์ครับ คุณอนันต์ชัยครับ ความหมายตามตัวอักษรของคำว่า "ปอด" นั้น หมายถึงอวัยวะที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการหายใจอยู่ภายในร่างกายของคน หรือสัตว์ที่มีกระดูกสันหลังเป็นส่วนมาก ย่อมเป็นการเปรียบเสมือนเป็นอวัยวะหายใจสำหรับผู้ที่อาศัยทั่วไปสำหรับคนที่อยู่ในจังหวัดกรุงเทพมหานคร

ข้อความนี้หมายถึงเป็นสถานที่ที่ใช้ประโยชน์ต่อการหายใจของพลเมือง ร่วมกันของคนกรุงเทพมหานคร จึงไม่อาจจะให้ปอดใจกลางกรุงเทพมหานครที่ให้ไปแล้วจะมาเอาคืนได้


ท่านผู้ชมครับ ยิ่งตอกย้ำว่าเป็นสาธารณสมบัติของพลเมืองกรุงเทพมหานคร เป็นการ "สละ" เพื่อพลเมืองกรุงเทพมหานครที่ไม่สามารถกำหนดเวลาเอาคืนกลับได้แล้ว

ข้อความที่สอง คือคำให้การที่มีต่อศาลฎีกาเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2558 ให้เป็นสวนสาธารณะต่อไปอีกด้วย ความว่า "ซึ่งปัจจุบันจำเลยที่ 129 ก็ยังให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์สาธารณะจากสวนชูวิทย์และจะทำต่อไป" คุณชูวิทย์ครับ คุณอนันต์ชัย คุณเชาว์ มีขวด ครับ และท่านปลัดกรุงเทพมหานครครับ นี่คือสิ่งที่ชัดเจนยิ่งกว่าชัดเจน "เพื่อแสดงความสำนึกผิดในการกระทำของตนเองที่กระทำต่อผู้อื่น และละเมิดกฎหมายของรัฐ ทั้งที่ปัจจุบันที่ดินแปลงดังกล่าวหากทำการซื้อขายจะมีมูลค่าเกือบสามพันล้านบาท"


ผมเอาข้อความที่อยู่ในคำร้องของคุณชูวิทย์เลยนะครับ โปรดสังเกตคำว่า "จะทำต่อไป" ย่อมแสดงให้เห็นว่าเป็นการ "สละ" ให้เป็นสวนสาธารณะต่อไปในอนาคต โดยไม่มีกำหนดระยะเวลา เพราะคำว่า "ทำต่อไป" ไม่มีกำหนดระยะเวลา ถ้ากำหนดต้องบอกว่าทำต่อไปอีก 3 ปี 5 ปี 10 ปี แต่ไม่มี เขียนว่า "ทำต่อไป" คือพูดง่ายๆ ว่าไม่ได้บ่งบอกว่าเป็นการสละที่ดินชั่วคราวจากอดีตถึงปัจจุบันเท่านั้น ดังนั้น จึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่มีผลต่อไปในอนาคตโดยไม่ได้กำหนดเวลาด้วย จึงย่อมเป็นไปตามกฎหมาย คือ ให้แล้วให้เลย ไม่สามารถจะนำกลับคืนมาได้อีก เพราะตามคำพิพากษาศาลฎีกา เลขที่ 11089/2556 นี่ผมไม่ได้มโนเองนะครับ ความจริงมีหนึ่งเดียว คำพิพากษาศาลฎีกาเลขที่ 11089/2556 ชี้ชัดว่า ผู้อุทิศที่ดินเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินไปแล้วจะขอยกเลิกการอุทิศที่ดินไม่ได้ เราทำความเข้าใจกันตรงนี้ก่อนนะครับ

กรณีที่คุณชูวิทย์ออกมาอ้างว่าการให้ หรือบริจาคที่ดินนั้น ไม่ได้แปลว่าให้ทั้งหมดก็ได้ อาจจะให้บางส่วน และสร้างอาคารบางส่วน โดยอ้างว่าเพราะคุณชูวิทย์เป็นเจ้าของที่ดิน ฟังดูก็มีเหตุผลนะ แต่! ช้าก่อน อย่างที่ผมย้ำแล้วย้ำอีก ความจริงมีหนึ่งเดียวเท่านั้น คำถามคือ คุณชูวิทย์ได้แจงคำให้การเรื่องที่ดินเป็นสวนสาธารณะเป็นบางส่วน หรือทั้งหมด ต่อศาลฎีกากันแน่หรือเปล่า เพราะนอกจากคำให้การของคุณชูวิทย์เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2558 แล้ว คุณชูวิทย์ยังอาจลืมไปแล้วนะ คุณน่ะเป็นคนขี้ลืม เพราะคุณพูดอะไรคุณก็ลืมหมด คุณด่าใครไว้อย่างไร คุณลืม คุณเคยพูดถึงสารวัตรซัว แล้ววันหนึ่งคุณก็ลืม คุณพูดถึงนายตำรวจชื่อ อ. ตอนนี้คุณลืมหมดแล้ว


คุณลืมไปหรือยังว่าคุณได้ยื่นเอกสารเพิ่มเติมอีกชิ้นหนึ่ง หลังจากที่คุณยื่นคำร้องในวันที่ 15 ตุลาคม 2558 แล้ว อีก 13 วัน หรืออีก 2 อาทิตย์ 28 ตุลาคม 2558 คุณยื่นเอกสารอีกชิ้นหนึ่ง ชิ้นนี้มีรายละเอียด มีทั้งแผนที่ ภาพถ่าย ซึ่งทั้งหมดครอบคลุมการทำสวนสาธารณะเต็มพื้นที่ทั้งหมดครับ

ที่ผมขึ้นให้ดูนี้เป็นเอกสารที่คุณชูวิทย์ยื่นต่อศาลฎีกาในวันที่ 28 ตุลาคม 2558 ผมไม่รู้ว่าคุณชูวิทย์ลืมเรื่องเอกสารเพิ่มเติมที่ตัวเองยื่นให้ศาลฎีกาในวันที่ 28 ตุลาคม 2558 ชิ้นนี้หรือไม่ ถ้าไม่หลงลืมไปจริงๆ ถ้ายังจำได้


การอ้างของคุณชูวิทย์ว่าไม่ได้แปลว่าให้ทั้งหมดก็ได้ แต่อาจจะหมายถึงให้บางส่วน เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว จึงเป็นการแถที่ทำให้ตัวคุณถลอกไปหมดทั้งตัว นอกจากเป็นการแถแล้ว เป็นไปได้ไหมว่านี่คือการโกหกศาล นี่ผมยังไม่ได้กล่าวไปถึงคดีอาญาอีกนะ ที่คุณได้กระทำไปในการโกหกศาล เพราะถ้าตั้งแต่วันที่ 28 ตุลาคม 2558 วันนั้นที่คุณชูวิทย์แถลงว่าเป็นที่สาธารณะแล้ว ตามหลักกฎหมาย เป็นที่สาธารณะไปเรียบร้อยแล้ว ก็หมายความว่า ตระกูลคุณ ไม่ว่าจะเป็นลูกคุณ3-4 คน ซึ่งเป็นกรรมการอีกบริษัทหนึ่ง ที่มารับช่วงต่อไป มาตัดต้นไม้ทุกต้น มารื้อถอนสิ่งที่อยู่ในนั้น ผิดกฎหมายนะครับ คุณรู้ใช่ไหมครับ คุณอนันต์ชัย ไปเช็กได้ คุณเป็นทนายความ ตัดต้นไม้ 1 ต้น ในที่สาธารณะ โทษจำคุก 5 ปี ผมไม่รู้ว่าสวนสาธารณะแห่งนั้นมีต้นไม้อยู่กี่ร้อยต้น ผมเรียนให้คุณชูวิทย์ทราบนะครับ คุณติดคุกหัวโตแน่ ลูกหลานคุณติดคุกหัวโตแน่

คุณอนันต์ชัยครับ คุณควรจะยิ้ม เพราะว่าคุณคงจะต้องเป็นทนายให้คุณชูวิทย์ คุณเรียกเขาแพงๆ เลยนะ อย่าไปเรียกเขาถูก ไหนๆ จะแพ้แล้ว และคุณบอกว่าคุณเป็นอรหันต์ คุณไม่เคยแพ้ ผมว่าคุณจะแพ้คดีนี้เป็นคดีแรก เชื่อผมสิ


ตอนนี้ กทม. ได้ให้ชะลอ หยุดการก่อสร้าง ครอบครัวคุณชูวิทย์ยอมหยุดการก่อสร้าง ความจริงในวันนี้ กรุงเทพมหานครได้ทำหนังสือถึงบริษัท เทนธ์ อเวนิว จำกัด ซึ่งเป็นเจ้าของโครงการก่อสร้าง และเป็นของครอบครัวกมลวิศิษฎ์ ให้ชะลอการก่อสร้างเอาไว้ก่อน เพราะเกิดกรณีพิพาทขึ้น

ถ้าสิ่งที่ผมพูดไม่มีมูล ทาง กทม. จะไม่มีทางสั่งให้ชะลอการก่อสร้างอย่างแน่นอน จริงไหมครับท่านผู้ชม และถ้ามันไม่มีมูล ครอบครัวคุณชูวิทย์ก็ไม่จำเป็นต้องเชื่อฟังคำสั่ง กทม. ก็ได้ใช่ไหม คุณไม่ต้องฟังสิ ถ้าคุณฟังคำวิเคราะห์ของทนายความอนันต์ชัย คุณไม่ต้องหยุด ทำต่อไปเลยสิ ก็คุณอนันต์ชัยบอกแล้วไงว่ายังเป็นที่ส่วนตัวของคุณชูวิทย์อยู๋ ก็ในเมื่อคุณชูวิทย์จ้างคุณอนันต์ชัยเป็นทนายความ ทนายอรหันต์ไง ผมกลับนึกว่าอรหันต์มีให้กับเฉพาะพระภิกษุสงฆ์อย่างพ่อแม่ครูอาจารย์ หลวงตามหาบัว หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต คุณอนันต์ชัยนี่มาตรฐานทนายความขึ้นมาใหม่เลยนะ ผมยังไม่เข้าใจคำว่าทนายอรหันต์ของคุณว่าคืออะไร


พวกคุณก็เดินหน้าก่อสร้างต่อไปสิ ถ้าคุณอ้างว่าเป็นที่ดินของคุณ เหมือนที่คุณอนันต์ชัยอ้างไง ไม่มีใครเขาสั่งให้หยุดก่อสร้างได้ แต่วันนี้การก่อสร้างฐานรากหยุดสนิท ไม่มีผู้รับเหมาก่อสร้างเข้าไปในพื้นที่แล้ว

และอีกประการหนึ่ง ท่านผู้ชมครับ คุณชูวิทย์ครับ ผู้รับเหมาการก่อสร้างยังไม่รู้ว่าจะต้องโดนด้วยหรือเปล่า คนที่ให้เงินคุณกู้ ธนาคาร ก็อาจจะโดนด้วย เพราะทำผิดกฎหมายในการมาให้เงินในการก่อสร้าง เอามาตอกเสาเข็มในพื้นที่ดินซึ่งกลายเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินไปแล้ว มันกระทบไปหมดเลยนะครับ

ที่ดินดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัท สุขุมวิท ซิลเวอร์ สตาร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในครอบครัวคุณชูวิทย์ อนุญาตให้บริษัทลูกๆ คุณชูวิทย์ ก็คือบริษัท เทนธ์ อเวนิว เป็นผู้ก่อสร้างอาคารในที่ดิน

ผมเห็นว่าทางกรุงเทพมหานครขอให้ชะลอการก่อสร้างไปในระหว่างมีการพิพาทนั้น เป็นจุดเริ่มต้นที่ถูกต้องแล้ว เพราะไม่เช่นนั้นจะมีผู้ที่เสี่ยงและได้รับความเสียหายจากการถูกฟ้องร้องทางแพ่งและทางอาญาอีกมาก อย่าลืมนะครับท่านผู้ชม สวนสาธารณะที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ดังนั้น เมื่อมีการกระทำรื้อถอน ทำลาย ย่อมมีความเสี่ยงเป็นการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 360 ที่บัญญัติเอาไว้ว่า มาตรา 360 ผู้ใดทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่า หรือทำให้ไร้ประโยชน์ซึ่งทรัพย์ที่ใช้หรือมีไว้เพื่อสาธารณประโยชน์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งปรับทั้งจำ


ท่านผู้ชมครับ คุณชูวิทย์ครับ คุณอนันต์ชัยครับ แค่ต้นไม้ต้นเดียวใน กทม. ถ้ามีใครไปทำลาย ยังต้องระวางโทษตามมาตรานี้เลย คือจำคุกไม่เกิน 5 ปี ก็แล้วแต่ อาจจะจำคุกแค่ 1 เดือน แล้วให้รอลงอาญาก็ได้ แต่สูงสุดไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งปรับทั้งจำ แต่นี่มีการรื้อถอนทั้งสวน ยังไม่รู้ว่าจะเป็นกี่กรรม ลองพิจารณาดูว่าโทษจะมีมากน้อยแค่ไหน

ต่อมา หากมีการเข้าครอบครองพื้นที่ เข้าไปก่อสร้าง ก็อาจสุ่มเสี่ยงต่อประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 108 ทวิ วรรคสอง ซึ่งมาตรานี้บัญญัติเอาไว้ว่า การเข้ายึดถือ ครอบครอง และทำสัญญาให้เช่าที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ที่สำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ให้กับตนเอง เป็นกรณีเข้าไปยึดถือ ครอบครองที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน และเป็นที่ดินของรัฐ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งปรับทั้งจำ

แต่บังเอิญเรื่องนี้เจ้าของโครงการชื่อ บริษัท เทนธ์ อเวนิว เป็นผู้ก่อสร้างอาคารในที่ดิน ซึ่งอาจจะเป็นผู้รื้อถอนและเริ่มก่อสร้างทั้งหมด ผมก็เลยตรวจดูด้วยความเห็นใจอย่างยิ่ง น้ำตาผมแทบไหล แต่ไม่ใช่น้ำตาจระเข้นะครับ


เพราะบริษัท เทนธ์ อเวนิว จำกัด ไม่มีชื่อคุณชูวิทย์เป็นกรรมการผู้มีอำนาจเลย มีลูกๆ 4 คนเท่านั้น หนึ่ง คุณต้นตระกูล กมลวิศิษฎ์ สอง คุณเติมตระกูล กมลวิศิษฎ์ สาม นางสาวตระการตา กมลวิศิษฎ์ (ปัจจุบันเป็นนาง เพราะได้แต่งงานไปแล้ว) สี่ นายต่อตระกูล กมลวิศิษฎ์ โดยกรรมการซึ่งลงชื่อผูกพันกับบริษัท คือกรรมการ 2 คน ลงลายมือชื่อร่วมกัน และประทับตราสำคัญของบริษัท

นอกจากนั้นแล้ว ผู้รับเหมางานเสาเข็ม ไดอาแฟรมวอลล์ ซึ่งทำงานใต้ดินก่อนหน้านี้ คือบริษัท ซีฟโก้ จำกัด (มหาชน) ซึ่งหากในวันนั้นไม่ทราบ ก็อาจจะรับฟังได้ว่ามีความสุจริตใจ ไม่ได้สมรู้ร่วมคิด แต่ถ้าบริษัท ซีฟโก้ รู้ว่าที่ดินนี้เป็นที่สวนสาธารณะ เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินไปแล้ว หากกลับเข้ามาดำเนินการอีก ก็มีความเสี่ยงเป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิดครั้งนี้อีกด้วย

ส่วนข้าราชการและผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ผู้อำนวยการเขตฝ่ายโยธา ฝ่ายกฎหมาย ถ้ารู้แล้วว่าเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ย่อมต้องมีหน้าที่ดำเนินการตามกฎหมาย ทั้งกับผู้กระทำความผิดทำลายสวนสาธารณะ และการเข้าครอบครอง รวมทั้งควรจะต้องเพิกถอนใบอนุญาตก่อสร้างด้วย หากทราบแล้วยังฝ่าฝืนให้ดำเนินการก่อสร้างต่อ ย่อมต้องมีความเสี่ยงในการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157


สรุป เราสรุปในเบื้องต้นได้ว่า ที่โครงการดังกล่าวต้องชะลอหรือหยุดก่อสร้างในวันนี้ คือการไม่ถลำลึกลงไปสร้างความเสียหาย (ในกรณีที่ถ้าไม่รู้นะ) ส่วนผู้ที่รู้แล้วยังฝืนดำเนินการก่อนหน้านี้ ต้องถือว่าความผิดสำเร็จ แล้วรอเวลาดำเนินคดีความและต้องรับความเสี่ยงตามกฎหมายที่ตามมาอย่างแน่นอน

เพราะฉะนั้นแล้ว การพร้อมใจกันหยุดการก่อสร้างในวันนี้ ย่อมเป็นสัญญาณเริ่มต้นที่แสดงให้เห็นว่าพื้นที่ผืนนี้มีปัญหาอย่างแน่นอน


ประเด็นต่อมา วันดีคืนดี ท่านผู้ชมรู้ไหม ปรากฏเป็นข่าวเมื่อวันอาทิตย์ที่ 2 เมษายน 2566 ของคุณเชาว์ มีขวด ซึ่งเป็นทนายความคนหนึ่ง ออกมาโพสต์ทางเฟซบุ๊ก พยายามช่วยแก้ต่างให้คุณชูวิทย์ แต่มันก็ช่างบังเอิญเหลือเกิน ทนายเชาว์ มีขวด เคยเป็นรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ที่สำคัญคือเป็นพี่น้องร่วมกันกับคุณนิติศักดิ์ มีขวด ซึ่งเป็นทนายความที่ว่าความให้กับนายแทนไท ณรงค์กูล ซึ่งประเด็นนี้ก็น่าสงสัยถึงความเชื่อมโยงกันในระหว่างทีมทนายที่กำลังฟ้องร้องกับผมในวันนี้อยู่


ท่านผู้ชมสังเกตอะไรไหมครับ นอกจากคุณชูวิทย์จะได้เคยพบกับนายแทนไทแล้ว ก็ไม่ได้เคยแฉนายแทนไท แถมยังฟอกขาวให้ด้วยว่า แปลงร่างไปทำธุรกิจที่ถูกต้องแล้ว ทั้งๆ ที่ดีเอสไอก็เพิ่งออกหมายเรียก แจ้งข้อกล่าวหาร่วมกันฟอกเงินการทำการพนันอย่างผิดกฎหมาย เกี่ยวพันคดีกับนายนอท พันธ์ธวัช หรือ พันธ์ธวัช นาควิสุทธิ์ ที่ปัจจุบันพยายามลงมาเล่นการเมืองในนามของ "พรรคเปลี่ยน" มาวันนี้พี่น้องทนายตระกูล "มีขวด" ก็ยังออกมาโอบอุ้ม โพสต์ช่วยเหลือประเด็นปํญหาคุณชูวิทย์ด้วย ท่านผู้ชมพอจะสังเกตความสัมพันธ์ที่เกื้อกูลกันไหม

อย่างไรก็ตาม ข้อความส่วนหนึ่งของคุณเชาว์ มีขวด นั้น เหมือนกับว่าคุณเชาว์ยังไม่ได้อ่านคำให้การต่อศาลฎีกาของคุณชูวิทย์ แต่อีกข้อความหนึ่งทำตัวให้เหมือนกับรู้ดี ราวกับว่าคุณชูวิทย์จะมีไพ่เด็ดในการต่อสู้คดี เพราะคุณเชาว์โพสต์ว่า ที่สำคัญยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าที่ดินแปลงนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของคุณชูวิทย์แต่เพียงผู้เดียว หรือเป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัท สุขุมวิทซิลเวอร์สตาร์ ที่มีนายชูวิทย์เป็นกรรมการ ถ้าเป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัท สุขุมวิทซิลเวอร์สตาร์ การอุทิศให้ หรือยกให้เป็นสาธารณประโยชน์ จะต้องให้กรรมการผู้มีอำนาจยินยอมด้วยจึงจะมีผลผูกพัน ผมว่าคุณชูวิทย์รู้เรื่องนี้ดี แต่อุบไว้ให้พวกวิจารณ์ ขอประทานโทษนะครับ เข้าทางตีน

ท่านผู้ชมครับ คุณชูวิทย์ครับ คุณเชาว์ครับ ประเด็นนี้ผมอยากจะบอกคุณเชาว์โพสต์ข้อความนี้เหมือนคนไม่ได้เรียนกฎหมาย ที่ต้องรอกรรมการลงนามให้ครบจำนวนในการอุทิศที่ดินให้เป็นสวนสาธารณะ ในความเป็นจริงแล้ว ในภาษากฎหมาย คุณชูวิทย์เป็นตัวการในการทำนิติกรรมในนามบริษัทของตัวเองตลอด


ด้วยข้อความแถลงการณ์ประกอบคุณชูวิทย์เพื่อขอลดโทษต่อศาลฎีกา ในวันที่ 15 ตุลาคม 2558 หลายจุดที่แสดงให้เห็นว่าบริษัท สุขุมวิทซิลเวอ์สตาร์ จำกัด มีคุณชูวิทย์เป็นตัวการทั้งหมด เช่น ในแถลงการณ์รับสารภาพในหน้าที่หนึ่ง ระบุโดยคุณชูวิทย์เอง "จำเลยที่ 129 ได้ซื้อที่ดินในนามบริษัทสุขุมวิทซิลเวอร์สตาร์ จำกัด" นอกจากนี้ ยังมีข้อความในคำให้การของคุณชูวิทย์ต่อศาลฎีกา หน้าที่สอง ความว่า "จำเลยที่ 129 ได้พยายามเข้าเจรจากับร้านอาหารบาร์เบียร์ด้วยวิธีการต่างๆ ด้วยความอะลุ่มอล่วย และพร้อมชดใช้ค่าขนย้ายและค่าชดเชย แต่ไม่สามารถตกลงกันได้"

และข้อความต่อมาพูดอีก "จำเลยที่ 129 จึงได้ทำการรื้อถอนสุขุมวิทสแควร์ ซึ่งเป็นความผิดตามที่โจทก์กล่าวหาในคดีนี้" และในคำให้การต่อศาลจะมีข้อความอีกในหน้าที่สาม ตัวอย่างความว่า "ภายหลัง จำเลยที่ 129 ได้สำนึกผิดอย่างมาก จึงได้ล้มเลิกโครงการสุขุมวิท 10 ตามเจตนาเดิม" และยังมีข้อความต่อว่า "จำเลยที่ 129 ได้นำเงินส่วนตัวมาลงทุนก่อสร้างสวนสาธารณะชื่อสวนชูวิทย์ ด้วยเงินลงทุนกว่าร้อยล้านบาท ประชาชนได้ใช้ประโยชน์เรื่อยมา ตั้งแต่สร้างเสร็จจนถึงปัจจุบัน"

"ซึ่งปัจจุบันจำเลยที่ 129 ก็ยังให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์สาธารณะจากสวนชูวิทย์และจะทำต่อไป"


ประเด็น ตัวอย่างข้อความคำให้การของคุณชูวิทย์เอง เมื่อผนวกกับวันเปิดสวนชูวิทย์ที่มีการประกาศเป็นสัญญาต่อประชาชนเพื่อให้ประชาชนได้ใช้สวนสาธารณะแห่งนี้ โดยที่ไม่ปรากฏว่ามีผู้ถือหุ้นหรือกรรมการคนใดยื่นเรื่องคัดค้านในรายการการประชุมของบริษัทไว้เลย ย่อมแสดงว่าคุณชูวิทย์คือตัวการของบริษัทตามกฎหมาย ในการดำเนินการทุกอย่างแทนบริษัท สุขุมวิทซิลเวอร์สตาร์ จำกัด ซึ่งเป็นผู้ยึดถือครองที่ดินผู้นี้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะการเอาเอกสารที่ดินของบริษัทไปยื่นต่อศาลฎีกาว่าได้สำนึกผิด นำที่ดินนี้มาเป็นสวนสาธารณะทั่วไป และจะทำต่อไป เพื่อเป็นสาเหตุในการลดโทษ ย่อมแสดงให้เห็นว่าคุณเชาว์ คุณชูวิทย์ เป็นตัวการในการกระทำแทนบริษัท สุขุมวิทซิลเวอร์สตาร์ จำกัด โดยปริยาย


ถ้าต้องการอาศัยอำนาจกรรมการจริง หรือต้องการอาศัยอำนาจผู้ถือหุ้นจริงในเรื่องใหญ่เหล่านี้ อย่างน้อยในปีถัดไปก็ต้องมีการประชุมกรรมการและผู้ถือหุ้นให้สัตยาบันย้อนหลังในสิ่งที่คุณชูวิทย์ได้กระทำไป หรือหากมีกรรมการคนใดไม่เห็นด้วย ก็ต้องคัดค้าน ที่สำคัญ ผมไปคัดหนังสือรับรองของบริษัทแห่งนี้


ผมพบว่า นิติกรรมของบริษัท สุขุมวิทซิลเวอร์สตาร์ จำกัด ระหว่างวันที่ 19 ธันวาคม 2545 - 20 กุมภาพันธ์ 2562 คือชื่อคุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ มีอำนาจแต่ผู้เดียว ซึ่งนิติกรรมที่สามารถทำโดยคุณชูวิทย์เพียงคนเดียว กระทำไปในนามบริษัท สุขุมวิทซิลเวอร์สตาร์ จำกัด เจ้าของกรรมสิทธิ์เดิมในที่ดินแห่งนี้ ครอบคลุมนิติกรรมสำคัญในช่วงการก่อสร้าง การเปิดสวนสาธารณะให้ประชาชนใช้ประโยชน์ในวันที่ 24 ธันวาคม 2548 ครอบคลุมไปถึงคำให้การของคุณชูวิทย์ในการรับสารภาพ และยืนยันให้ใช้สวนสาธารณะต่อไป โดยไม่มีกำหนดเวลา ต่อศาลฎีกา ในวันที่ 15 และ 28 ตุลาคม 2558 และครอบคลุมถึงการยินยอมให้ประชาชนได้ใช้สวนสาธารณะ เป็นเวลา 12 ปี โดยปริยาย

ดังนั้น กิจกรรมที่ได้กระทำไป ย่อมกระทำโดยคุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจเพียงคนเดียวในบริษัททั้งสิ้น และก็แสดงถึงการอุทิศที่ดินที่ผูกพันต่อบริษัทนี้อย่งางแน่นอน


ต่อมาวันจันทร์ที่ 3 เมษายน ทนายประจำตัวคุณชูวิทย์ คือคุณอนันต์ขัย ไชยเดช ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า คุณชูวิทย์ไม่ได้ยกที่ดินให้เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน เพียงแต่ให้ใช้ประโยชน์ชั่วคราว โดยอ้างว่า ตามเจตนารมณ์ของคุณชูวิทย์ ไม่ได้ต้องการบริจาคให้เป็นที่ดินสาธารณะ เป็นความเห็นสอดคล้องกับทั้ง กทม. และผู้ว่าฯ ชัชชาติ มีข้อมูลไม่ต่างกัน ถ้าจะฟ้องต้องผ่านด่านอรหันต์อนันต์ชัยเสียก่อน ใครจะพูดเสียงนกเสียงกา กทม. ไม่ควรบ้าจี้ ไม่ใช่บุคคลฟ้องได้ ระวังจะตกม้าตาย เชื่อว่า กทม. ฟ้องไม่ได้ ถ้า กทม. ฟ้อง ก็ถูกดำเนินคดีตามมาตรา 157 คุณอนันต์ชัย ยังยกตัวอย่างทางเดินส่วนบุคคลยังยกให้คนเดินผ่านได้ บอก ทางเดินส่วนบุคคล ต่อมาสามารถคิดค่าผ่านทางได้

ประเด็น เอาอย่างนี้ดีกว่า ผมอธิบายตั้งแต่ต้น ผมทราบดีว่าประชาชนทั่วไปยังไม่มีสิทธิ์ฟ้องร้องคุณชูวิทย์และพวกโดยตรงได้ ซึ่งคุณสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายผม ก็เห็นตรงกัน ผมถึงยื่นคำร้องต่อผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ผู้อำนวยการเขต อัยการสูงสุด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นผู้ดำเนินการตามกฎหมาย และคุณอนันต์ชัยครับ ผมกำลังเตรียมทำหนังสือถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องฉบับที่สองไปแล้ว เพื่อให้ดำเนินการตามกฎหมายภายใน 30 วัน ซึ่งตอนนี้ กทม. ได้ทำหนังสือให้ชะลอการก่อสร้างออกไปก่อน แต่เมื่อไรคนเหล่านี้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ผมจะดำเนินการร้องทุกข์กล่าวโทษกับ ป.ป.ช. ฐานที่เจ้าหน้าที่ ตั้งแต่ปลัด กทม. ไป รวมไปถึงคุณชัชชาติ ถึงแม้คุณชัชชาติจะพยายามตั้งกรรมการ กันตัวเองออกไป ให้สิทธิเสรีภาพในการตัดสินใจของกรรมการ แต่คุณชัชชาติก็ต้องรับผิดชอบด้วยในฐานะที่เป็นผู้ว่าฯ กทม. ผมจะฟ้องไป ป.ป.ช. ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 หลังจากนั้นจึงมีผลบังคับต่อสภาพที่ดินที่พิพาทเอง


ผมเรียนให้ท่านผู้ชมทราบนะครับ ผมและทีมกฎหมายของผม คือคุณสุวัตร อภัยภักดิ์ คุณปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ไม่เห็นด้วยกับคุณอนันต์ชัยที่ไปเปรียบเทียบกับที่ดินหรือทางเดินส่วนบุคคลให้ประชาชนเดินเข้า-ออก แล้วมาเก็บเงินภายหลัง แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับกรณีที่ดินของคุณชูวิทย์ เพราะ ประการแรก ที่ดินของบุคคลทั่วไปที่เป็นทางผ่าน ที่มีการติดป้ายทางเดินส่วนบุคคล และอนุญาตให้ประชาชนผ่านด้วยการมีด่านเปิด-ปิด จะต่างกว่าที่ดินคุณชูวิทย์ที่มีการกล่าวด้วยวาจาและบันทึกลายลักษณ์อักษร คำให้การต่อศาลฎีกาที่เป็นสวนสาธารณะ ไม่ใช่สวนส่วนบุคคล

ประการที่สอง ในการให้การต่อศาลฎีกา คุณชูวิทย์ระบุคำให้การต่อศาลฎีกาเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2558 ว่าสวนสาธารณะแห่งนี้เป็นดังเช่นสวนสาธารณะทั่วไป เป็นปอดของกรุงเทพมหานคร ซึ่งสวนสาธารณะทั่วไป็ได้มีการเปิด-ปิดเป็นเวลาเช่นกัน การเปิด-ปิดเป็นเวลาไม่ได้เป็นเหตุอ้างว่าไม่ใช่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน

ประการที่สาม คำให้การของคุณชูวิทย์ยังระบุอีกด้วยว่า จะให้เป็นสวนสาธารณะต่อไปโดยไม่กำหนดเวลา คุณชูวิทย์ก็ได้ประโยชน์กลับมา โดยศาลฎีกาได้บรรเทาโทษจำคุก 5 ปี ให้เหลือ 2 ปี คือต่างตอบแทนกันเรียบร้อย


ประการที่สี่ ผมว่าคุณอนันต์ชัยออกมาพูดข่มขู่ข้าราชการว่า อย่าฟ้องยึดที่ดิน มิเช่นนั้นทนายอนันต์ชัยจะฟ้องกลับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ผมว่าท่านข้าราชการถ้ามีหลักฐานเพียงพอ โดยเฉพาะคำให้การต่อศาลของคุณชูวิทย์เอง เขาต้องดำเนินการตามกฎหมายครับ ถ้าเขาไม่ดำเนินการ เขาจะโดนผมฟ้องข้อหา 157 ระหว่างเขาโดนผมฟ้อง 157 ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย กับคุณอนันต์ชัยฟ้องเขา 157 กรณีที่เขาปฏิบัติตามกฎหมาย คุณอนันต์ชัยใช้สติปัญญาธรรมดาคิดดูว่าเขาจะกลัว 157 ของผม หรือกลัว 157 ของคุณกันแน่ แน่นอนที่สุด เขาต้องกลัว 157 ของผม เพราะผมบังคับให้เขาทำตามกฎหมาย

ถ้ากรณี กทม. ฟ้องดำเนินคดีคุณชูวิทย์และพวก ต้องรับความเสี่ยงเอาเองว่าจะถูกฟ้องมาตรา 157 จากทนายคุณชูวิทย์ด้วย หรือหากจะละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ไม่ดำเนินการใดๆ และปล่อยให้ก่อสร้างต่อไปก็จะถูกฟ้อง 157 จากทนายความของผมด้วย

อย่างที่ผมกล่าวไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่าผมได้ทำหนังสือฉบับที่สองออกไปภายในอาทิตย์นี้ ให้เวลาการปฏิบัติงานอีก 30 วัน ถ้าไม่คืบหน้าก็ไปที่ ป.ป.ช. ก่อนเลย ทั้งข้าราชการการเมือง และผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ท่านผู้ชมครับ คุณชูวิทย์ครับ คุณอนันต์ชัยครับ คุณสุวัตร อภัยภักดิ์ ได้ร่างคำฟ้องต่อ ป.ป.ช. เตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว พร้อมหลักฐานเอกสารทุกอย่างเพื่อยืนยันว่าคำฟ้องของเรานั้นถูกต้อง ไม่ผิด และยึดถือกฎหมาย

ทั้งหมดนี้คนที่ต้องเสี่ยงเขาต้องชั่งน้ำหนักเทียบคำพิพากษาศาลฎีกาในอดีต และรับความเสี่ยงว่าอันไหนจะเสี่ยงคุกมากกว่ากัน ผมเห็นมาเยอะแล้ว นักต่อนัก คดีเกี่ยวกับที่ดิน ข้าราชการ นักการเมือง ที่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ พ่ายแพ้ติดคุกกันมาเยอะแล้ว ยิ่งมีการอ้างคำพิพากษาศาลฎีกานับสิบคดี ผมว่าเรื่องนี้เดินหน้าก่อสร้างต่อไปยาก

อย่างไรก็ตาม วันนี้ก็เห็นแล้วว่าการก่อสร้างหยุดสนิทแล้ว ย่อมแสดงให้เห็นว่าข้อมูลที่ผมร้องเรียนไปนั้นมีมูล มีน้ำหนัก น่าพิจารณา


สุดท้ายครับ อย่างที่ผมพูดไว้ตอนแรก คุณอนันต์ชัยเป็นทนายความคุณชูวิทย์ จำเป็นต้องพูดให้คุณชูวิทย์มั่นใจ เพราะคุณชูวิทย์เป็นคนจ่ายเงินค่าทนายให้ เพื่อจะได้จ้างคุณอนันต์ชัยในอัตราค่าวิชาชีพที่ทนายอนันต์ชัยพอใจ โดยเฉพาะคดีที่มีมูลค่าทรัพย์สินสูงอย่างนี้ จะไม่มีทนายคนไหนที่ได้ค่าจ้างแพงๆ แบบนี้มาให้สัมภาษณ์ณว่าไม่แน่ใจ ไม่มั่นใจ ถึงขนาดอวดตัวเอง เรียกตัวเองว่าเป็นอรหันต์ ส่วนผมมีทนายความระดับมือพระกาฬที่ผมมั่นใจในฝีมือและมั่นใจในหลักฐานมากเช่นกันว่าคดีนี้สามารถทวงคืนสาธารณสมบัติของแผ่นดินกลับคืนมาได้ในที่สุด สามารถจะเอาผิดกับผู้ว่าฯ ชัชชาติ และข้าราชการที่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ได้ด้วย

คุณอนันต์ชัยครับ ผมขอเตือนคุณอีกครั้งนะว่า คุณชูวิทย์เขาไม่ใช่คนธรรมดา เขาผ่านทนายมาหลายคนแล้ว เขาใช้มาหลายต่อหลายทีมแล้ว ในแวดวงทนาย มีกิตติศัพท์เลื่องลือชื่อมาก แต่ผมมาคิดดูอีกที คุณทนายอนันต์ชัยครับ คุณเองก็ไม่ธรรมดา ถึงขนาดกล้าพูดว่าด่านอรหันต์อนันต์ชัย ผมว่ามันเป็นมวยถูกคู่แล้วล่ะครับระหว่างคุณ กับคุณชูวิทย์ ขึ้นอยู่กับว่าใครจะออกหมัดและตีศอกก่อนเท่านั้นเอง

แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น เรื่องนี้ผมกับคุณชูวิทย์ ตลอดจนทนายแต่ละฝ่ายมั่นใจแค่ไหน หรือคุณชัชชาติ สิทธิพันธุ์ จะเชื่อและเดินหน้าอย่างไร ไม่ใช่คนตัดสินครับ คนที่ตัดสินเรื่องนี้คือศาลเท่านั้นครับ ท่านผู้ชมครับ เรื่องมันต้องจบในศาล เพียงแต่ว่าใครก็ตามที่เกี่ยวข้องกับที่ดินผืนนี้ ไม่ว่าจะเป็นบริษัท ซีฟโก้ ทำฐานราก บริษัทเงินลงทุนต่างๆ ธนาคารต่างๆ ที่ให้เงินกู้ หรือนักลงทุนต่างๆ ที่มาลงทุนอันนี้ ถ้าไม่ระมัดระวังตัวให้ดี จะกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด คุณชูวิทย์ครับ ผมพูดเรื่องนี้ออกไป ผมเชื่อว่าอีกไม่กี่วันคุณก็ออกมาฟาดงวงฟาดงา ด่าผมอีก เจริญพร ตามสบาย ตามสบายเลยครับ อยากพูดอะไรพูดไป เพราะว่าผมใช้ธรรมนำหน้า ผมใช้ความจริงอันเป็นหนึ่งเดียวนำหน้า

ท่านผู้ชมครับ อาทิตย์หน้ามันมีเรื่องชุดใหญ่ไฟกะพริบ หรือชุดใหญ่ไฟไหม้บ้าน หรืออาจจะเป็นชุดใหญ่ไฟบรรลัยกัลป์ก็ได้ ขึ้นอยู่กับเหตุการณ์จะพัฒนาต่อไปอย่างไร ท่านผู้ชมจำเรื่องของคุณชูวิทย์ที่พูดเรื่องเกี่ยวกับตำรวจที่ชื่อ อ. กับ ป. ได้ไหม ที่เอาเงินสารวัตรซัวมาให้ ปรากฏว่าตอนหลังคุณชูวิทย์กลับคำ ไม่เอ่ยชื่อถึงตำรวจ อ. อีกเลย โยนทั้งหมดไปที่ตำรวจที่ชื่อ ป. ซึ่งเป็นตำรวจที่เกษียณอายุแล้ว แต่อาทิตย์นี้ ที่ผ่านมา ถ้าท่านผู้ชมติดตามคุณอัจฉริยะ จะเห็นว่าคุณอัจฉริยะเล่นงานตำรวจที่ชื่อ อ. หรือ พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ ได้เต็มที่ เต็มหมัด ทั้งศอก ทั้งเข่า ลงไปหมดทั้งชุด รวมไปถึงภรรยาที่คุณเอกรักษ์อ้างว่าเป็นแม่บ้าน ครบถ้วนทุกกระบวนการ ท่านผู้ชมอาจจะรู้ว่ามันมีเบื้องหน้าเบื้องหลังอะไร มีครับท่านผู้ชม พอฟังๆ เหตุการณ์แล้ว เคาะข้อมูลเจาะลึกลงไปแล้ว มันน่าตกใจ ท่านผู้ชมครับ มันเกี่ยวพันกันเป็นเครือข่ายใหญ่เลย เกี่ยวพันกันจริงๆ ท่านผู้ชมฟังแล้วอย่าช็อกนะครับ แต่ว่าหลังจากอาทิตย์นี้ไปแล้ว รายการนี้จะออกอากาศอีกทีในวันที่ 14 เมษายน ซึ่งเป็นวันช่วงที่ท่านกำลังเล่นน้ำสงกรานต์อยู่ ถ้าเหนื่อยจาการเล่นน้ำ เก้าโมงเช้าวันที่ 14 เปิดฟังได้ สนุกสนานอย่างแน่นอนที่สุด แล้วอาทิตย์หน้าเราเจอกันครับท่านผู้ชม
กำลังโหลดความคิดเห็น