xs
xsm
sm
md
lg

[คำต่อคำ] SONDHI TALK : ชำระคดี "สวนชูวิทย์" - เมื่อ “ชูวิทย์” ไม่แฉแทนไท “สนธิ” จะแฉให้เอง - กรรมไล่ล่า "ชูวิทย์" และตรรกะวิบัติของบรรดาติ่ง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



วันที่ 31 มี.ค.66 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ไลฟ์สด “SONDHI TALK” ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ คุยทุกเรื่องกับสนธิ ช่องยูทูป Sondhitalk หรือ Sondhitalk (ช่องสำรอง) และแอปพลิเคชัน Sondhi App โดยมีประเด็นที่ได้เล่าในวันนี้เป็น

- วิกฤตการเงินโลก จาก SVB-เครดิตสวิส ลามถึง “ดอยช์แบงก์”

- จีนเดินหมากล้อม ผนวก "ไต้หวัน" อย่างสันติ
- “แทนไท” ที่ “ชูวิทย์” ไม่ยอมแฉ

- ชำระคดี "สวนชูวิทย์"!
- กรรมไล่ล่า "ชูวิทย์" และตรรกะวิบัติของบรรดาติ่ง

ติดตามได้ใน SONDHI TALK : ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง Ep.183



คำต่อคำ SONDHI TALK EP. 183 : ชำระคดีสวนชูวิทย์

ช่องทางการรับชมรับฟัง "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" หรือ SONDHI TALK
แอปพลิเคชัน : SONDHI APP
ระบบ iOS ดาวโหลดได้ที่ AppStore : https://apps.apple.com/th/app/sondhi-app/id1588046647.
ระบบ Android ดาวโหลดได้ที่ Google Play : https://play.google.com/store/apps/details?id=com.sondhitalk.asia.android
เฟซบุ๊กแฟนเพจ : คุยทุกเรื่องกับสนธิ
YouTube : Sondhitalk
เว็บไซต์: www.sondhitalk.com
Podcast หรือ podbean : SONDHI TALK

สวัสดีครับท่านผู้ชมวันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 31มีนาคม พ.ศ. 2566 พรุ่งนี้ก็เป็นวันที่ 1 เมษายนแล้ว อีกไม่กี่วันก็ปีใหม่ไทยเวลาผ่านไปเร็วจริงๆ

สวัสดีครับ แฟนรายการทุกคนที่ชมการถ่ายทอดสดทาง Sondhi App, Facebook, YouTube และ TikTok

ก่อนจะเข้าเรื่องว่าจะมีอะไรบ้างในวันนี้ ก็ขออนุโมทนาบุญด้วยนะครับ มันมีโครงการทอดผ้าป่าซื้อที่ดินถวายวัดพุทธเดชมงคล ประเทศญี่ปุ่น


วัดบวรนิเวศฯ ขอเชิญชวนผู้มีจิตศรัทธาทอดผ้าป่าสามัคคีมาร่วมกันซื้อที่ดินถวายวัดพุทธเดชมงคลที่อำเภอมัตสึโมโตะ จังหวัดนางาโน ประเทศญี่ปุ่น วัดนี้เป็นวัดที่ก่อตั้งใหม่เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2560 ได้รวบรวมพุทธศาสนิกชนคนไทยและคนญี่ปุ่นในเขตจังหวัดนางาโนนาโกยาและใกล้เคียงก่อตั้งวัดป่าสังกัดธรรมยุตนิกายขึ้น เพื่อเป็นศูนย์รวมจิตใจ ไหว้พระ สวดมนต์ปฏิบัติธรรมประกอบพิธีในวันสำคัญทางพุทธศาสนา มีพระสงฆ์จำพรรษาตลอดมา


ปัจจุบันมีพระอาจารย์สายันต์ ปฺญญาวุโธ เป็นเจ้าอาวาส แต่เนื่องจากวัดมีอาคารขนาดเล็ก อยู่บนเนิน ไม่มีที่จอดรถ ไม่สะดวกต่อการจัดกิจกรรมในวันสำคัญทางศาสนา และการเข้ามาปฏิบัติธรรมในวัด พุทธศาสนิกชนทั้งไทยและญี่ปุ่นจึงได้พยายามติดต่อขอซื้อบ้านคุณยายโอนิชิ ชาวญี่ปุ่น ที่ด้านหน้าวัด ติดถนนใหญ่ พื้นที่ประมาณ 300 ตารางวา ทางวัดก็เลยมาจัดงานทอดผ้าป่าแล้วครั้งหนึ่ง แต่ยังขาดปัจจัยอีกส่วนหนึ่ง ก็เลยมีกำหนดพิธีทอดผ้าป่าอีกครั้งในวันอาทิตย์ที่ 15 เมษายน 2566 เวลา 10.00 น. เพื่อนำปัจจัยจากการทอดผ้าป่าครั้งนี้มาร่วมสมทบทุนในการจัดซื้อที่ดินพร้อมบ้านดังกล่าวถวายให้แก่วัดต่อไป


ถ้าท่านผู้ชมสนใจจะร่วมเป็นเจ้าภาพ ติดต่อสอบถามได้ที่พระครูสังฆสิทธิกร คณะเหลืองรังษี วัดบวรนิเวศฯ โทรศัพท์ 091-1999-599

อีกเรื่องหนึ่งก่อนที่จะเข้าสู่รายการ คือ ท่านผู้ชมจำเรื่องเครื่องทำน้ำด่าง ManNature ได้ไหม เป็นเครื่องระบบสัมผัส มีถึง 5 ฟังก์ชันในการใช้งาน ตอบโจทย์คนรักสุขภาพที่ต้องการน้ำดื่มที่มีค่าความเป็นด่างที่เหมาะสม นำมาล้างผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ อาหารทะเลต่างๆ เพื่อล้างสารเคมี พวกยาฆ่าแมลง ฟอร์มาลีนที่ตกค้าง หรือจะปรับน้ำให้มีค่ากรดอ่อนๆ เอามาล้างภาชนะ จานชาม เพื่อฆ่าเชื้อ ล้างหน้า ใครที่เป็นผดผื่น สิว ก็ได้ และสามารถใช้ทานได้ เพื่อเอามาบาลานซ์กรดที่อยู่ในร่างกายเรา ตอนนี้มีโปรโมชันพิเศษ ถึง 12 เมษายนนี้ ปกติราคา 25,000 บาท พิเศษตอนนี้เหลือ 19,900 บาท สามารถผ่อนได้ 10 เดือน ดอกเบี้ย 0% ถ้าใครสนใจ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทรศัพท์สั่งซื้อได้ที่คอลเซ็นเตอร์ 02-633-5353


สุดท้าย ฝุ่น PM 2.5 เรามีเครื่องฟอกอากาศ ManNature ซึ่งตอนนี้ขาดตลาดอยู่ แต่พฤษภาคมนี้ มาแล้ว ถ้าท่านผู้ชมสนใจรีบโทรศัพท์มาจองไว้ก่อนล่วงหน้า เพราะผมเชื่อว่าล็อตนี้ถ้าท่านทอดระยะเวลา จะหมดทันทีเลย เพราะว่าเครื่องกรองอากาศสุดยอด ส่วนตัวผมว่าอันดับหนึ่งของประเทศไทยเลย สามารถจะกรองฝุ่นได้ทุกประเภท ต่ำกว่า 0.1 ไมครอน ก็ยังกรองได้

ท่านผู้ชมครับ รายการวันนี้เราจะพูดถึงเรื่องต่างประเทศสัก 2 เรื่อง เรื่องแรก เราจะพูดถึงวิกฤตการเงินจากธนาคาร SVB หรือ Silicon Valley Bank และ เครดิต สวิส (Credit Suisse) ตอนนี้ลามไปถึงดอยช์แบงก์ (Deutsche Bank) ของเยอรมนีแล้ว แบงก์ยักษ์เยอรมนีทำท่าจะป้อแป้ ไปรอดหรือไม่รอดก็ยังไม่รู้

เรื่องที่สอง ตอนนี้จีนเดินหมากล้อมผนวกไต้หวันอย่างสันติวิธี เดินอย่างไร ท่านผู้ชมตามมา จะได้รับรู้เรื่องราวที่ใกล้บ้านเรา และทะเลจีนตอนใต้กำลังจะเป็นสมรภูมิที่ร้อนระอุขึ้นมาอีกแห่งหนึ่ง หลังจากที่ตะวันตกพ่ายแพ้ให้กับรัสเซียที่ยูเครนแล้ว อเมริกา และนาโตคงต้องทุ่มสรรพกำลังมาที่ทะเลจีนตอนใต้

ท่านผู้ชมครับ อาทิตย์นี้เราจะพูดถึงเรื่องคุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ คุณชูวิทย์เคยแฉเรื่องคุณแทนไท เดี๋ยวผมจะแฉให้เอง เพราะมีการพาดพิงผมถึง 17 ครั้ง ในการพูดถึงเรื่องแทนไท ณรงค์กูล

เรื่องต่อมา ความจริงมีหนึ่งเดียว ท่านผู้ชมจำไว้นะครับ หลักการของเพจ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" คือ "ความจริงมีหนึ่งเดียว" คำถามมีว่า ทำไมสวนชูวิทย์ตอนนี้เป็นข่าวขึ้นมาอย่างมาก แล้วเป็นผลทำให้คุณชูวิทย์ออกอาการสติแตก ฟาดงวงฟาดงา โพสต์ออกมา 3 โพสต์ติดๆ กัน ด่าผม ด่าอย่างเสียๆ หายๆ ผมก็นิ่ง ไม่ว่าอะไร

คำถามคือ ทำไมสวนชูวิทย์ถึงจะกลายเป็นสาธารณะสมบัติ สมบัติของแผ่นดิน เพราะอะไร ตามผมมา ผมจะเล่าให้ฟัง อย่างที่ผมเรียนให้ทราบนะครับ ความจริงมีหนึ่งเดียวเท่านั้น ถ้าต้องการความจริงหนึ่งเดียว ให้มาที่รายการนี้

เรื่องสุดท้ายคือ เมื่อกรรมไล่ล่าคุณชูวิทย์ และตรรกะวิบัติต่างๆ ของบรรดาติ่ง CHUWEED ผมจะเอามาฉีกให้ฟังเป็นชิ้นๆ ทุกอย่าง ซึ่งปกติแล้วผมจะไม่ค่อยไปยุ่งเรื่องนี้ แต่ผมคิดว่าคุณชูวิทย์เป็นอันตรายต่อชาติบ้านเมืองมากในการใช้คำโกหกพกลม แล้วหลอกลวงติ่งชูวิทย์เต็มที่ หลายๆ เรื่อง แล้วตัวเองไม่รู้สึกถึงหิริโอตัปปะ ไม่กลัวบาปเลยแม้แต่นิดเดียว และกรรมที่ไล่ล่าคุณชูวิทย์เป็นกรรมอะไรบ้าง เดี๋ยวผมจะพูดในตอนสุดท้าย


ท่านผู้ชมครับ ในรายการวันศุกร์ที่แล้ว ผมได้พูดพาดพิงถึงศาลอาญากรุงเทพใต้ถึงคำพิพากษารื้อบาร์เบียร์ เกี่ยวกับการเปิดเผยเอกสารคำพิพากษา แต่ในช่วงสัปดาห์นี้ วันพุธที่ 29 มีนาคม ศาลอาญาใต้ได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงกรณีขอคัดคำพิพากษาคดีรื้อบาร์เบียร์ย่านสุขุมวิทที่ผมระบุถึง โดยยืนยันว่า เห็นควรอนุญาตให้คัดถ่ายคำพิพากษาฎีกาได้ ซึ่งผมขอขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งนะครับที่ศาลท่านมีความเมตตานี้ โดยที่ท่านแจ้งมาว่า ถ้าเป็นผู้เกี่ยวข้องทางคดีก็สามารถจะคัดได้เลย แต่ถ้าไม่ได้เป็นผู้เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ ต้องยื่นคำร้องไปตามช่องทาง แล้วศาลจะพิจารณาให้เป็นรายๆ ไปว่าจะอนุญาตให้คัดได้หรือไม่

วิกฤตการเงินจาก “SVB-เครดิตสวิส” ถึง “ดอยซ์แบงก์”

ท่านผู้ชมครับ ท่านผู้ชมจำได้ไหม ศุกร์ที่แล้วผมได้เล่าให้ท่านผู้ชมได้รับทราบถึงภาพรวมปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจโลกที่มีต้นตอใหญ่มาจากสงครามยูเคน และการดำเนินนโยบายที่ผิดพลาด หรืออาจจะจงใจให้ผิดพลาด ของรัฐบาลอเมริกา จนนำมาสู่การขึ้นดอกเบี้ยอย่างรวดเร็ว รุนแรง และต่อเนื่องถึง 9 ครั้งเข้าไปแล้ว ภายในระยะเวลาเพียงปีเดียว จากเดิมดอกเบี้ยที่ 0.25 เปอร์เซ็นต์ ในระยะเวลาเพียงปีเดียว ล่าสุด สัปดาห์ที่แล้วได้มีการปรับอีก 0.25 เปอร์เซ็นต์ กลายเป็น 5 เปอร์เซ็นต์ ส่วนต่างของดอกเบี้ยนี้มันแทบจะทำให้วงการธุรกิจล้มละลายไปเลย


การดำเนินนโยบายการเงินที่ผิดพลาด และนโยบายการคลังที่ใช้จ่ายเกินตัวของสหรัฐฯ ได้ส่งลุกลามไปทั่วโลก ก่อให้เกิดวิกฤตความเชื่อมั่นทางการเงินลุกลามไปทั่วยุโรป ภายหลังการล่มสลายของธนาคารยักษ์ใหญ่อันดับสองของสวิตเซอร์แลนด์ คือ เครดิต สวิส ที่ได้บังคับให้ธนาคาร UBS มาเทกโอเวอร์ธนาคารเครดิต สวิส


ผมบอกไปในรายการตอนที่แล้วว่า ท่านผู้ชมที่รู้เรื่องต่างประเทศดี หรือที่เดินทางไปต่างประเทศและรู้จักประเทศในโลกนี้ดี ท่านผู้ชมเคยคิดหรือเปล่า ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า วันหนึ่งเราจะได้ยินว่าธนาคารสวิส ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความมั่นคง ความเชื่อมั่นทางการเงินของโลก วันหนึ่งจะล้มได้ ท่านผู้ชมครับ มันเกิดขึ้นมาแล้ว อาจจะลุกลามต่อไป ส่งผลกระทบไปยังธนาคารอันดับหนึ่งของประเทศอันดับหนึ่งของยุโรปด้วย นั่นคือธนาคารในเยอรมนีที่ชื่อ "ดอยช์แบงก์"


"น้ำลดตอผุดที่ดอยช์แบงก์" ศุกร์ที่แล้ว 24 มีนาคม ราคาหุ้นธนาคารดอยช์แบงก์ ร่วงถึงจุดต่ำสุด ทั้งตลาดหุ้นยุโรป และตลาดหุ้นนิวยอร์กที่อเมริกา ท่านผู้ชมรู้ไหม วันเดียวโดนเทขาย ราคาตกลงกว่า 14.8 เปอร์เซ็นต์ ก่อนปิดตลาด ปรับตัวเหลือแค่ 8.53 เปอร์เซ็นต์ มูลค่าหุ้นดอยช์แบงก์ ตกลงมากกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ ของมูลค่าหุ้น ในเวลาไม่ถึง 1 เดือน ท่านผู้ชมนึกดูสิ ไม่ถึง 1 เดือน มูลค่าหุ้นหายไป 20 เปอร์เซ็นต์

ดอยช์แบงก์ มีวิกฤต ปัญหาเรื้อรังคล้ายกับเครดิต สวิส แบงก์ โดยวิกฤตหุ้นดอยช์แบงก์ เมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้วยังฉุดมูลค่าหุ้นธนาคารใหญ่อื่นๆ ในยุโรปลงไปด้วย เพราะนักลงทุนแห่เทขาย เช่น หุ้นธนาคารคอมเมิร์ซแบงก์ ของเยอรมนี ลดไป 7.5 เปอร์เซ็นต์ หุ้นธนาคารอังกฤษ บาร์เคลย์ แบงก์ (Barclays Bank) ลดไป 5.8 เปอร์เซ็นต์ หุ้น BNP Paribas ของฝรั่งเศส ร่วงไป 5.27 เปอร์เซ็นต์ วันจันทร์ที่ผ่านมา 26 มีนาคม ดัชนีดาวโจนส์ร่วงเกือบ 200 จุด หุ้นดอยช์แบงก์ ในตลาดนิวยอร์ก ร่วงมากกว่า 6 เปอร์เซ็นต์ ท่ามกลางความกังวลในเรื่องเสถียรภาพของธนาคารยักษ์ใหญ่ของเยอรมนีที่ชื่อ ดอยช์แบงก์


ทั้งๆ ที่ในช่วงเกิดปัญหาวิกฤตธนาคารเครดิต สวิส เงินฝากจำนวนหนึ่งไหลไปเข้าที่ดอยช์แบงก์ ซึ่งเพิ่งประกาศผลกำไรหลังหักภาษีในรอบ 15 ปี อยู่ที่ประมาณ 5,659 ล้านยูโร หรือประมาณ 201,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดิมประมาณ 2,510 ล้านยูโร แต่พอมีข่าวร้ายเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของดอยช์แบงก์ ปรับเพิ่มค่าประกันความเสี่ยงตราสารหนี้กรณีธนาคารผิดนัดชำระหนี้ พุ่งสูงสุดถึง 4 ปี สะท้อนให้เห็นว่าธนาคารไม่อาจจะชำระหนี้ได้ ทำให้นักลงทุนที่อ่อนไหวและไวต่อสถานการณ์ แห่เทขายพันธบัตรตราสารทางการเงินที่เป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 หรือ AT 1 ของดอยช์แบงก์ เพราะหวั่นจะซ้ำรอยธนาคารเครดิต สวิส ของสวิตเซอร์แลนด์

ธนาคารดอยช์แบงก์ ติดเชื้อไวรัสทางการเงิน เกิดการล้มละลาย ถ้าเกิดการล้มละลายใครจะแบกความเสี่ยงในพอร์ตกองลงทุน หากยังเกิดเหตุการณ์ถอนเงินที่ยังเกิดอยู่ที่ธนาคารในสหรัฐอเมริกา ล่าสุด ตัวเลขเงินฝากธนาคารขนาดเล็กในอเมริกาที่เฟดทำข้อมูลไว้ ท่านผู้ชมรู้ไหม ยังลดทอนต่อไปอย่างต่อเนื่อง


ทั้งนี้ ดอยช์แบงก์ ถือเป็นธนาคารเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองของเยอรมนี โดยปัจจุบันมีอายุตั้ง 153 ปี เครดิต สวิส อายุตั้ง 170 กว่าปี ยังล้มได้ ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2413 (ค.ศ. 1870) เป็นธนาคารผู้ให้กู้รายใหญ่ที่สุดของเยอรมนี และเป็นธนาคารยักษ์ใหญ่อันดับ 8 ของยุโรป ซึ่งปีที่แล้ว (2565) ถือครองทรัพย์สินมูลค่าถึง 1.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราวๆ 48 ล้านล้านบาท

นอกจากนี้ ดอยช์แบงก์ ยังมีบทบาทสำคัญทั้งในยุโรปและอเมริกา เป็นธนาคารที่ให้บริการสินเชื่อ บริการทางการเงินอื่นๆ แก่บริษัทข้ามชาติหลายแห่งทั่วโลก ส่งผลให้ดอยช์แบงก์ ถูกจัดประเภทอยู่ในกลุ่ม Systemically Important Financial Institution ซึ่งเป็นสถาบันการเงินระดับใหญ่ของโลกที่มีความสำคัญในเชิงระบบ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า ธนาคารยักษ์ใหญ่เกินไปที่จะล้ม คือ Too big to fall เช่นเดียวกับเครดิต สวิส เพราะถ้าล้มจะลุกลาม กระทบกระเทือนระบบเศรษฐกิจ ตลาดเงินตลาดทุนมาก จึงต้องมีฐานะเงินกองทุนของผู้ถือหุ้นสำรองมากเป็นพิเศษของแบงก์อยู่


ด้วยเหตุนี้ ระหว่างวันที่ 23-24 มีนาคม นายโอลัฟ ช็อลทซ์ นายกรัฐมนตรีเยอรมนี จึงต้องออกมาให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวในการประชุมสุดยอดสหภาพยุโรป 2 วัน ที่กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม เพื่อเรียกความเชื่อมั่นให้กับระบบธนาคารของตัวเองว่า ธนาคารดอยช์แบงก์ ได้ปรับปรุงและจัดระเบียบรูปแบบธุรกิจให้ทันสมัย ทั่วถึง เป็นธนาคารที่กำไรได้มาก ไม่ต้องกังวลใดๆ ทุกคนรุมกันออกมาเรียกความเชื่อมั่น ยืนยัน นั่งยัน นอนยัน ว่าดอยช์แบงก์ ไม่ใช่เครดิต สวิส แบงก์ รายต่อไป เพราะธนาคารมีเงินทุนที่แข็งแกร่งกว่าที่เกิดขึ้นในอดีต

ท่านผู้ชมครับ ย้อนกลับไปปี 2550 (สิบหกปีที่แล้ว) หุ้นดอยช์แบงก์ มีราคาแตะเกือบ 100 ยูโร ก่อนที่จะเกิดวิกฤตซับไพรม์ในปี ค.ศ. 2008 ปัจจุบัน จาก 100 ยูโร เมื่อสิบหกปีที่แล้ว วันนี้ (2566) ราคาหุ้นดอยช์แบงก์ ไม่ถึง 10 ยูโร


อย่างไรก็ตาม นายสจวร์ต โคล หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์มหภาคของ Equiti Capital อังกฤษ เขาได้ให้ความเห็นอย่างตรงไปตรงมา ว่า ดอยช์แบงก์ ตกเป็นเป้าสนใจเช่นเดียวกับเครดิต สวิส แม้ผ่านกระบวนการปรับโครงสร้างมาแล้วหลายครั้ง และมีการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารเพื่อให้ธนาคารกลับมามีสถานะที่มั่นคง แต่ความพยายามเหล่านี้ไม่ประสบผลสำเร็จแต่อย่างใด

ช่วงหลายปีที่ผ่านมา ดอยช์แบงก์ ตกเป็นข่าวอื้อฉาวหลายครั้ง 2562 ตกเป็นข่าวโยงใยการฟอกเงิน เมื่อพนักงานธนาคารถูกกล่าวหาว่าช่วยลูกค้าฟอกเงินจากธุรกิจสีเทาในต่างประเทศ ประเด็นที่น่าตกใจ คือ ลูกค้าที่ใช้บริการฟอกเงินมีตั้ง 900 ราย ประเมินมูลค่าฟอกเงินถึง 354 ล้านเหรียญ หรือ 11,300 ล้านบาท ธนาคาร ดอยช์แบงก์ ก็เลยถูกลงโทษจากเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ และยุโรปในคดีฟอกเงิน ส่งผลให้ต้องจ่ายเงินค่าปรับร่วม 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 3,000 กว่าล้านบาท


นิวยอร์กไทมส์ได้รายงานเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2562 นางแทมมี แม็คแฟดเดน (Tammy McFadden) อดีตผู้เชี่ยวชาญต่อต้านการฟอกเงินของดอยช์แบงก์ ได้ส่งสัญญาณถึงกระทรวงการคลังสหรัฐฯ และหน่วยอาชญากรรมทางการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ ว่า ได้พบความผิดปกติของธุรกรรมจำนวนมากที่ถูกเคลื่อนย้ายไปยังชาวรัสเซียจำนวนหนึ่ง โดยผ่านบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ และลูกเขยของประธานาธิบดีทรัมป์ (นายจาเร็ด คุชเนอร์ : Jared Kushner)

ทั้งนี้ ระหว่าง 2559-2560 ดอยช์แบงก์ ได้ปล่อยเงินกู้ให้กับทรัมป์ และธุรกิจของเขา จำนวนไม่ต่ำกว่า 2,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ พบว่าทางดอยช์แบงก์ ยังคงเป็นเจ้าหนี้ทรัมป์อยู่ในมูลค่าไม่ต่ำกว่า 300 ล้านดอลลาร์


อนึ่ง นายทรัมป์เคยเกือบต้องล้มละลายมาแล้วในช่วง 2533 ทรัมป์ติดหนี้ธนาคารถึง 3,400 ล้านดอลลาร์ ธุรกิจกาสิโน โรงแรม อสังหาริมทรัพย์ สายการบิน ต้องถูกพิทักษ์ทรัพย์โดยกฎหมายล้มละลาย ในตอนนั้นเขาได้ดอยช์แบงก์ ที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ แต่ต่อมาใน ค.ศ. 2008 ที่เกิดวิกฤตซับไพรม์ขึ้นมา หรือที่เขาเรียกว่า Hamburger Crisis ทรัมป์เบี้ยวหนี้ โดยฟ้องดอยช์แบงก์ข้ออ้างว่า ดอยช์แบงก์มีส่วนทำให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ กระทบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของเขา แต่สุดท้ายก็เจรจาความได้

ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าวิกฤตซับไพรม์ ปี ค.ศ. 2008 ทำให้ดอยช์แบงก์หัวทิ่ม เพราะปัญหาที่ดอยช์แบงก์ทำผิดกฎหมายตั้งแต่ปี 2543 หรือ ค.ศ. 2000 เป็นต้นมา ยิ่งขาดทุนหนัก ปี 2558-2559 ช่วงวิกฤตการเงินซับไพรม์ ต้องจ่ายสินไหมทดแทนถึง 7,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ท่านผู้ชมเชื่อไหม ดอยช์แบงก์ถูกฟ้องมาแล้ว 28 ครั้ง รวมเสียค่าปรับไปทั้งสิ้น สูงถึง 12,489 ล้านเหรียญ หรือ 4 แสนล้านบาท ดอยช์แบงก์ถูกปรับไปแล้วเกือบ 4 แสนล้านบาท ดอยช์แบงก์ เป็นธนาคารที่มีการเปลี่ยนผู้บริหารบ่อย พยายามปรับโครงสร้าง ลดหนี้ ลดต้นทุน ปลดพนักงาน ปิดสาขา ส่งผลให้สถานการณ์การเงินของดอยช์แบงก์อ่อนแอลง ขาดทุนต่อเนื่องจนถึงปี 2562 ธนาคารขาดทุนสุทธิถึง 5,265 ล้านยูโร หรือเกือบๆ 2 แสนล้านบาท เลยต้องหาทุนมาเพิ่มเพื่อรักษาระดับกองทุนของผู้ถือหุ้น


แต่พอดอยช์แบงก์เริ่มมีผลกำไรตั้งแต่ปี 2563-2565 คือ 2563 กำไร 624 ล้านยูโร 2564 กำไร 2,510 ล้านยูโร 2565 กำไร 5,959 ล้านยูโร กำไรติดกัน 3 ปี จากขาดทุนมาตลอด แต่ก็มาเจอพิษการปรับดอกเบี้ยรวดเร็วอย่างรุนแรงของเฟด หรือ ธนาคารกลางสหรัฐฯ เพื่อสู้กับเงินเฟ้อ ก็เลยสร้างแรงกดดันต่อระบบการเงินของโลกอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ธนาคารกลางทั่วโลกส่งสัญญาณเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อไปอีก จนอาจเกิดวิกฤตล่มสลายของสถาบันการเงินทั่วโลกที่ทนไม่ได้กับดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น ทำให้นักลงทุนเขากลัวแล้วว่าดอยช์แบงก์จะกลายเป็นธนาคารยักษ์ใหญ่รายต่อไปที่ต้องตกเป็นเหยื่อของวิกฤตการเงินต่อเนื่องจากเครดิต สวิส ที่สูญเสียและสูญสิ้นความเชื่อมั่นและชื่อเสียงร้อยกว่าปีไปเรียบร้อยแล้ว ทำให้คนไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่า ธนาคารใหญ่อันดับสองของสวิสจะล้มได้ เพราะฉะนั้นแล้ว ก็มีคนที่อดคิดไม่ได้ว่าทำไมดอยช์แบงก์จะล้มไม่ได้เช่นกัน

จีนเดินหมากล้อม "ผนวกไตหวัน" อย่างสันติ

ท่านผู้ชมครับ วันนี้เรามาพูดถึงเรื่องจีน กับ ไต้หวัน สักครั้งดีไหม ที่ต้องการพูดเรื่องนี้เพราะว่าต้นปีหน้าจะมีการเลือกตั้งที่ไต้หวัน นางไช่ อิงเหวิน ก็จะต้องลงสมัครรับเลือกตั้งอีกครั้งหนึ่ง

ตอนนี้จีนใช้นโยบายการทูตใหม่ รุกไต้หวัน มีความสัมพันธ์เกี่ยวกับจีน-ไต้หวัน จำนวน 3 เรื่อง ต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด เรื่องแรก คือ นายหม่า อิงจิ่ว อดีตประธานาธิบดีไต้หวัน เดินทางเยือนประเทศจีน ซึ่งเป็นการเยือนแผ่นดินใหญ่ครั้งแรกของอดีตประธานาธิบดีไต้หวัน ตั้งแต่มีการแบ่งแยกการปกครองกันเมื่อ 74 ปีที่แล้ว


เรื่องที่สอง คือ นางไช่ อิงเหวิน ประธานาธิบดีไต้หวันคนปัจจุบัน เดินทางเยือนกัวเตมาลา และเบลีซ ซึ่งเป็นประเทศในอเมริกากลาง แล้วจะถือโอกาสแวะอเมริกา และจะพบกับนายเควิน แมคคาร์ธี ประธานรัฐสภาของสหรัฐฯ ด้วย

เรื่องที่สาม คือ ประเทศฮอนดูรัสประกาศตัดสัมพันธ์ทางการทูตกับไต้หวัน และจะกลับมาคบกับจีน

ถ้าเรามองสถานการณ์ทั้งสามเรื่องพร้อมกัน และเรียงร้อยเข้าด้วยกัน จะเห็นว่าลึกๆ แล้วนี่คือกลยุทธ์หมากล้อมของจีน ผมเรียนให้ท่านผู้ชมทราบแล้วว่า การเดินหมากของจีนนั้น ไม่ได้เดินแบบหมากรุกที่เดินชน แล้วก็เข่นฆ่ากันกับเบี้ย กับเรือ กับม้า แต่เป็นการเดินหมากล้อม ทั้งหมดนี้จีนทำเพื่อบรรลุเป้าหมายของการรวมชาติอย่างสันติ แล้วก็เป็นคำพูดและเป็นหลักการ ปรัชญา ที่ไม่มีวันหายไปจากประเทศจีน ก็คือ การรวมไต้หวันนั้นเป็นภารกิจทางประวัติศาสตร์ ซึ่งจะต้องเป็นจริงได้ และสามารถทำให้เป็นจริงได้ เพราะว่าเมื่อกองทัพปลดแอกประชาชนเข้าไปยึดประเทศจีน แล้วขับไล่ไต้หวันออกจากประเทศจีนนั้น ภารกิจสุดท้ายยังคงเหลืออยู่ก็คือว่า เอาไต้หวันซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของประเทศจีนนั้น กลับมาอยู่ภายใต้การปกครองของจีน


แน่นอนครับ จีนแผ่นดินใหญ่ต้องการเห็นการผลัดเปลี่ยนอำนาจในไต้หวัน จากพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้าของนางไช่ อิงเหวิน ที่มีจุดยืนที่จะแยกไต้หวันให้เป็นเอกราช จีนหวังว่าพรรคก๊กมินตั๋ง ซึ่งมีท่าทีเป็นมิตรกับจีน จะชนะการเลือกตั้ง ได้ปกครองไต้หวัน

เรากลับมาที่ หม่า อิงจิ่ว เยือนจีนแผ่นดินใหญ่ หม่า อิงจิ่ว ในช่วงเวลา 8 ปี ที่เขาเป็นผู้นำไต้หวัน ความสัมพันธ์กับจีนแผ่นดินใหญ่ถือว่าดีที่สุดในประวัติศาสตร์ มีอะไรบ้าง ผมจะเล่าให้ฟัง


มีการเปิดเที่ยวบิน บินตรงระหว่างกัน ไม่จำเป็นต้องไปเปลี่ยนเครื่องที่ฮ่องกง หรือญี่ปุ่น เหมือนในอดีต ชาวไต้หวันสามารถจะไปเยือนญาติของตัวเองที่แผ่นดินใหญ่จีน นักศึกษาจากจีนได้ทุนการศึกษามาเรียนที่ไต้หวันมากกว่า 8 หมื่นคน นักธุรกิจไต้หวันไปทำมาค้าขายในจีนอย่างมากมาย ได้รับสิทธิเทียบเท่ากับชาวจีน ไม่ถูกจำกัดเงื่อนไขการลงทุนว่าเป็นนักลงทุนต่างชาติ

นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวจีนก็ไปเที่ยวไต้หวันเยอะแยะไปหมด ธุรกิจเกี่ยวข้อง ทั้งบริษัททัวร์ โรงแรม ร้านค้าต่างๆ ในไต้หวัน มีรายได้จากนักท่องเที่ยวจีนยิ่งกว่าประเทศไทยในตอนนี้ที่นักท่องเที่ยวจีนหลั่งไหลมาอย่างมากมาย เพราะการเดินทางจากจีนไปไต้หวันใช้เวลาน้อยกว่า แล้วยังพูดภาษาจีนกลางซึ่งกันและกันได้


หม่า อิงจิ่ว ได้เคยพบกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ครั้งแรกในเดือนพฤศจิกายน 2558 เขาหารือกับนายสี จิ้นผิง ที่สิงคโปร์ เป็นการพบกันครั้งประวัติศาสตร์ระหว่างผู้นำสองดินแดน ระหว่างที่ยังคงอยู่ในอำนาจด้วยกันทั้งคู่


แต่พอหลังจากนางไช่ อิงเหวิน มาเป็นผู้นำไต้หวัน ความสัมพันธ์ทางช่องแคบกลับเสื่อมทรุดลงอย่างมาก จนช่องแคบไต้หวันถูกสื่อมวลชนต่างชาติ เช่น หนังสือ The Economist เขียนว่า เป็นพื้นที่อันตรายที่สุดในโลก


หม่า อิงจิ่ว เป็นคนที่รู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับไต้หวันอย่างดีที่สุด เขาเป็นคนที่รับผิดชอบเรื่องกิจการจีนมาตั้งแต่สมัยยังหนุ่ม ก่อนเขาออกเดินทาง เขาบอกว่า ผมรับผิดชอบเรื่องกิจการจีนตั้งแต่อายุ 37 วันนี้ผม 73 ปีแล้ว ผมรอคอยมานานถึง 36 ปี ถึงมีโอกาสไปเยือนจีนแผ่นดินใหญ่ ผมจะไปคารวะบรรพชนของผม นำนักศึกษาไต้หวันไปแลกเปลี่ยนกับนักศึกษาจีน หวังว่าจะให้คนรุ่นใหม่แก้บรรยากาศของความแตกแยก และนำสันติภาพมาสู่สองประเทศโดยเร็ว ฝ่ายจีนเองก็ต้องการให้นายหม่า อิงจิ่ว มาเยือน ตั้งแต่เขาพ้นตำแหน่งผู้นำไต้หวันเมื่อปี 2559 แต่นางไช่ อิงเหวิน ออกคำสั่งห้ามเดินทางออกนอกประเทศนานถึง 5 ปี อ้างถึงเรื่องความลับของชาติและความมั่นคง

รอบนี้ นายหม่า อิงจิ่ว เดินทางเยือนจีนครั้งนี้ระหว่าง 27 มีนาคม ถึงวันที่ 7 เมษายน ประมาณ 11-12 วัน เขาจะไปไหนบ้าง ? เขาจะไปเมืองนานจิง อู่ฮั่น ฉางซา ฉงชิ่ง (อยู่ในมณฑลเสฉวน) และเซี่ยงไฮ้

นอกจากเขาไปคารวะบรรพบุรุษของเขา เยี่ยมสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับครอบครัวแล้ว เขายังจะไปเยือนสถานที่ทางประวัติศาสตร์ในช่วงของการสถาปนาสาธารณรัฐจีน เขาจะไปเยี่ยมอนุสรณ์สถานของซุน ยัตเซ็น หรือที่ภาษาจีนกลางเรียกว่า ซุน จงซาน ที่ทั้งฝ่ายก๊กมินตั๋ง และฝ่ายจีน ให้การยอมรับว่าเป็นบุคคลสำคัญของชาติ นอกจากนี้ เขายังจะไปเยือนสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับสงครามต่อต้านญี่ปุ่น โดยเฉพาะเมืองนานจิง

นัยของการเยือนสถานที่ประวัติศาสตร์ครั้งนี้ เพื่อแสดงว่าพรรคก๊กมินตั๋ง และพรรคคอมมิวนิสต์จีน เคยร่วมมือกันต่อต้านญี่ปุ่นมาก่อน เหมือนจะสื่อว่าในอดีตเคยร่วมมือกัน วันนี้ และวันหน้า ก็สามารถจะร่วมมือกันได้

เรื่องที่ญี่ปุ่นรุกรานจีน รัฐบาลนางไช่ อิงเหวิน กลับหันไปพึ่งพาญี่ปุ่น อดีตนายกรัฐมนตรีอาเบะ ที่เสียชีวิตไปแล้ว เคยกล่าวว่า ไต้หวันมีภัย ญี่ปุ่นต้องช่วยเหลือ ส่วนนายฟูมิโอะ คิชิดะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ก็พูดว่า วันนี้ยูเครน วันหน้าไต้หวัน


ท่านผู้ชมครับ ถึงแม้ว่านายหม่า อิงจิ่ว จะไม่มีกำหนดการเยือนกรุงปักกิ่ง หรือพบปะหารือกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง แต่คาดว่ารัฐบาลปักกิ่งจะส่งเจ้าหน้าที่ระดับสูงมาพบเขา อาจจะเป็นนายหวัง ฮู่หนิง ประธานสภาปรึกษาทางการเมืองแห่งชาติจีน ซึ่งเป็นตำแหน่งที่สูงมาก หรือนายติง เซวียเสียง รองนายกรัฐมนตรี และที่สำคัญ เขาเป็นคนสนิทของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง

นอกจากอดีตประธานาธิบดีหม่า อิงจิ่ว ในปีนี้จะมีบุคคลสำคัญในวงการต่างๆ ของไต้หวันที่จีนวางแผนเอาไว้ เชิญมาเยือนจีนอย่างมากมาย ทั้งองค์กรภาคเอกชน นักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ ตัวแทนด้านวัฒนธรรม กลุ่มการเมืองต่างๆ ซึ่งอาจจะรวมถึงสมาชิกพรรคการเมืองของนางไช่ อิงเหวิน ด้วย

ตัวแทนของไต้หวันเหล่านี้จะได้รับการต้อนรับจากจีนอย่างดี เพื่อแสดงถึงไมตรีจิต เป็นการซื้อใจเพื่อให้มาเป็นแนวร่วมกับจีน ซึ่งแน่นอนที่สุด จะต้องส่งผลแน่นอนในการเลือกตั้งครั้งใหญ่เมื่อต้นปี 2567

ในเวลาเดียวกัน นางไช่ อิงเหวิน ก็ออกเดินทางไปกัวเตมาลา และเบฃีซ ประเทศในอเมริกากลาง แต่เป้าหมายที่แท้จริงของการเดินทางครั้งนี้คืออเมริกา แต่ตามนโยบายจีนเดียวที่อเมริกาให้การรับรอง ทำให้ผู้นำไต้หวันไม่สามารถเดินทางเยือนสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการได้ ทำได้เพียงแค่แวะพักเท่านั้น


คาดว่าการแวะที่สหรัฐฯ ไช่ อิงเหวิน จะได้พบกับนายเควิน แมคคาร์ธี ประธานรัฐสภาสหรัฐฯ ซึ่งฝ่ายจีนได้แสดงความไม่พอใจอย่างยิ่ง เพราะการพบปะกันเช่นนี้เป็นการท้าทายจีน เหมือนกับนางแนนซี เพโลซี ซึ่งเป็นอดีตประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ เคยเดินทางไปเยือนไต้หวัน และหลังจากนั้นกองทัพจีนก็ได้ทำการซ้อมรบปิดเกาะไต้หวันอยู่นานหลายสัปดาห์เพื่อตอบโต้

ตั้งแต่เกิดสงครามยูเครน สหรัฐฯ และชาติตะวันตกก็ได้ส่งนักการเมืองมาเยือนไต้หวันอย่างไม่ขาดสาย เหมือนกับกำลังจะแสดงออกว่าไต้หวันจะต้องเป็นสมรภูมิที่สองในโลกนี้นอกเหนือจากยูเครน หรือเมื่อยูเครนมีแนวโน้มว่าจะพ่ายต่อรัสเซียแล้ว อเมริกาจะทุ่มสรรพกำลังทั้งหลายเพื่อมาก่อหวอดที่เกาะไต้หวัน ให้พื้นภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกไม่สงบ แล้วเป็นการปิดล้อมจีนไปโดยปริยาย

ท่านผู้ชมครับ เรื่องทั้งหมดนี้อเมริกาพยายามเขียนเสือให้วัวกลัวว่าจีนวางแผนจะบุกไต้หวันในเร็ววันนี้


ผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรอง CIA นายวิลเลียม เบิร์น พูดว่า จีนจะบุกไต้หวันประมาณปี 2570 หรืออีกประมาณ 4 ปีข้างหน้า ส่วนนายแอนโทนี บลิงเคน ก็ให้การสนับสนุนการทำนายทายทักของผู้อำนวยการ CIA และเขาพูดเองเลยว่า เขาเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ที่ลงนามจำหน่ายอาวุธในไต้หวันมากที่สุดเป็นประวัติการณ์

ท่านผู้ชมรู้หรือเปล่าว่า ในความเป็นจริงนั้น จีนไม่เคยประกาศตารางเวลา หรือกำหนดการในการบุกไต้หวัน จีนเพียงแต่ยืนยันในหลักการ "รวมชาติอย่างสันติ" แต่มีข้อยกเว้นว่า จะไม่ยอมสละสิทธิ์ในการใช้กำลังถ้าหากมีความจำเป็น

ในการแถลงข่าวครั้งแรกของนายฉิน กัง รัฐมนตรีต่างประเทศคนใหม่ของจีน ซึ่งผู้สื่อข่าวของผม ของผู้จัดการ และ Sondhi Talk นายท็อป ได้เข้าร่วมรับฟังด้วยที่กรุงปักกิ่ง นายฉิน กัง เรียกไต้หวันว่า เป็นพี่น้องร่วมสายโลหิต พร้อมกับเตือนไต้หวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนางไช่ อิงเหวิน ว่า อย่าประเมินศักยภาพของกองทัพจีนต่ำเกินไป เขาบอกด้วยว่า ถ้าเกิดสงครามจริง อเมริกาเองนั่นล่ะจะเป็นคนทำลายไต้หวันก่อนที่กองทัพจีนจะบุกไต้หวัน


ท่านผู้ชมครับ ดูมาถึงวันนี้แล้ว จะเห็นได้ว่าท่าทีจีนแบ่งบทกันเล่น มีทั้งไม้แข็ง ไม้นวม คือยึดหลักการรวมชาติอย่างสันติ แต่จะไม่สุมไฟสร้างความขัดแย้ง เพื่อไม่ให้ชาติทางตะวันตกมุ่งจะขายอาวุธให้ไต้หวัน รวมทั้งไม่ให้พรรคการเมืองในไต้หวันจุดกระแสภัยคุกคามจากจีนเพื่อหาประโยชน์ทางการเมือง โดยเฉพาะในช่วงก่อนการเลือกตั้ง เพราะฉะนั้นในช่วงนี้จีนจะใช้ไม้อ่อนตลอดเวลา เพื่อต้อนรับการเลือกตั้งครั้งใหม่ในเดือนมีนาคม ปีหน้า ผลของการเลือกตั้งเป็นอย่างไร ค่อยกำหนดยุทธวิธีและยุทธศาสตร์การเดินหน้ารวมไต้หวันอีกทีหนึ่ง

ท่านผู้ชมครับ ในช่วงความสัมพันธ์ที่ย่ำแย่ของจีนกับไต้หวันนั้น งบกลาโหมยุคนางไช่ อิงเหวิน พุ่งกระฉูด การยุติความสัมพันธ์ของไต้หวัน กับฮอนดูรัส ทำให้ไต้หวันเหลือพันธมิตรแค่ 13 ชาติ ส่วนจีนมี 181 ชาติ ที่มีความสัมพันธ์ทางการทูตในยุคของประธานาธิบดีไช่ อิงเหวิน ไต้หวันสูญเสียพันธมิตรมากถึง 8 ประเทศ ที่ยุติความสัมพันธ์กับไต้หวัน

กระทรวงการต่างประเทศของไต้หวันประกาศ ใช้ข้ออ้างว่าการที่ฮอนดูรัสตัดความสัมพันธ์กับไต้หวันเพราะว่ามันเป็นการทูตแห่งเงินตรา โดยกล่าวหาว่าฮอนดูรัสรีดไถเงินไต้หวันมากเกินไป


ความเป็นจริงที่ย้อนแย้งก็คือว่า ในยุคนางไช่ อิงเหวิน ไต้หวันสูญเสียชาติพันธมิตรไปมากมาย แต่ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าเขาใช้งบประมาณด้านการต่างประเทศ งบกลาโหม งบสืบราชการลับ เพิ่มขึ้นอย่างมากมาย ในยุคที่หม่า อิงจิ่ว อดีตประธานาธิบดีไต้หวัน รักษาประเทศ มีความสัมพันธ์ทางการทูตไว้ได้ บทบาทในเวทีต่างประเทศก็มีมากขึ้น ไต้หวันได้เคยเป็นผู้สังเกตการณ์ในสมัชชาอนามัยโลก ได้รับเชิญให้เข้าร่วมการประชุมองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) งบประมาณด้านการต่างประเทศ และกลาโหม กลับลดลงในยุคหม่า อิงจิ่ว


สมัยของหม่า อิงจิ่ว งบประมาณต่างประเทศเขาใช้อยู่ 24,000 ล้านเหรียญไต้หวัน แต่รัฐบาลไช่ อิงเหวิน ใช้งบประมาณต่างประเทศกว่า 3 หมื่นล้านเหรียญไต้หวัน ส่วนงบกลาโหมเพิ่มขึ้นในยุคของนางไช่ อิงเหวิน สองเท่าตัว งบสืบราชการลับก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก

รัฐบาลของนางไช่ อิงเหวิน และชาติตะวันตก อ้างว่าจีนหว่านเงินซื้อชาติพันธมิตรของไต้หวันเพื่อบีบพื้นที่ไต้หวันบนเวทีโลกให้แคบลงเรื่อยๆ แต่ท่านผู้ชมครับ หมากล้อมของจีนลึกลับซับซ้อนกว่านั้นมาก ชาติที่มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับไต้หวันล้วนแต่เป็นประเทศในอเมริกากลาง และอเมริกาใต้ ในหมู่เกาะแปซิฟิก ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าประเทศเหล่านี้ล้วนแต่อยู่ภายใต้อิทธิพลของอเมริกา และออสเตรเลีย การทำให้ประเทศเหล่านี้มารับรองจีน ไม่ใช่แค่ทำให้ไต้หวันเสียหน้าหรือเสียพันธมิตร แต่เป็นการลดทอนอิทธิพลของอเมริกา และออสเตรเลีย

ผมเอาตัวอย่างของฮอนดูรัสมาให้ดูก็แล้วกัน ที่เพิ่งจะยกเลิกความสัมพันธ์กับไต้หวัน แล้วมาอยู่ภายใต้จีนหนึ่งเดียว ก็คือจีนแผ่นดินใหญ่


ฮอนดูรัส ถูกอเมริกาแทรกแซงจนมีรัฐประหาร ความวุ่นวาย แก๊งมาเฟีย จนพัฒนาเศรษฐกิจไม่ได้ ขายได้แค่เมล็ดกาแฟ กล้วย อาหารทะเล สิ่งที่ฮอนดูรัสต้องการไม่ใช่แค่เงินช่วยเหลือสร้างโรงพยาบาล สร้างเขื่อน แต่คือการพัฒนาเศรษฐกิจโดยเชื่อมโยงกับประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่อันดับ 2 ของโลก

ประเทศแบบเดียวกับฮอนดูรัสยังมีอีกมากมาย ประเทศเหล่านี้ถูกมหาอำนาจตะวันตกแทรกแซงและสูบทรัพยากรมาตลอด การที่มายืนเคียงข้างจีนไม่ใช่เพราะการทูตเงินตราอย่างที่รัฐบาลนางไช่ อิงเหวิน กล่าวหา แต่เป็นการเดินออกจากการครอบงำทางตะวันตก เข้าสู่เส้นทางการพัฒนา


ท่านผู้ชมรู้หรือเปล่าว่า จีน และไต้หวัน เคยทำข้อตกลงร่วมกัน เรียกว่า ฉันทามติ ปี 1992 เป็นหลักการพื้นฐานที่มีความสัมพันธ์แบบ "แสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง" ความขัดแย้งที่คุกรุ่นขึ้น เพราะนางไช่ อิงเหวิน ไม่ยอมรับฉันทามติ 1992 และชักศึกเข้าบ้านให้ต่างชาติมาแทรกแซง บีบให้จีนต้องมีท่าทีแข็งกร้าว จีนยืนยันมาตลอดว่า เรื่องของจีน-ไต้หวัน เป็นเรื่องในบ้าน เหมือนพี่น้องที่ทะเลาะกันแล้วแยกบ้านออกไป ซึ่งต้องหาทางคุยกันเองระหว่างคนจีนด้วยกัน ไม่ใช่ให้คนนอกอย่างอเมริกา หรือตะวันตก หรือญี่ปุ่น มายุแยงตะแคงรั่ว และหาผลประโยชน์จากความขัดแย้ง

เมื่อชูวิทย์ไม่แฉแทนไท สนธิจะแฉให้เอง

ท่านผู้ชมครับ สัปดาห์ที่แล้วมีประเด็นหนึ่งซึ่งคุณชูวิทย์ได้พาดพิงถึงตัวผม มีการอ้างอิงเจ้าของเครือข่ายเว็บพนันหนุ่มที่ชื่อ แทนไท ณรงค์กูล และผมต้องออกมา จำเป็นต้องเปิดเผยเบื้องลึกเบื้องหลัง และอรรถาธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นว่ามีความเป็นมา เป็นอยู่ และจะเป็นอย่างไรในอนาคตนี้


ทั้งหมดนี้เริ่มจากการที่ทนายตั้ม ตั้งคำถามว่า ทำไมคุณชูวิทย์ถึงหยุดแฉแทนไท หลังจากกล่องดวงใจ คือลูกชายของคุณชูวิทย์พาคุณแทนไทเข้าไปพบคุณชูวิทย์ ที่โรงแรมเดวิส คือสรุปง่ายๆ ว่า ตอนที่คุณษิทรา จัดแถลงข่าวกรณีเรื่อง "แฉไป ไถไป" จากการที่สารวัตรซัว พ.ต.ท.วสวัตติ์ มุครสกุล เจ้าของเว็บพนันเครือข่ายเป็นต่อ ได้ติดต่อให้คนใกล้ชิดเอาเงินไปให้คุณชูวิทย์ที่โรงแรมเดวิส ซึ่งกลายเป็นประเด็นใหญ่ในสังคม คือเงินในถุง 2 ถุงนั้น มีมูลค่ากี่ล้านบาทกันแน่ จำนวน 3 ล้านบาท คูณ 2 เท่ากับ 6 ล้านบาท หรือเป็นจำนวน 10 ล้านบาท 2 ถุง คูณ 5 ล้านบาท ไม่มีใครรู้ได้ นอกจากคุณชูวิทย์เอง

แล้วนอกจากจ่ายเงินเป็นเงินสดแล้ว ยังมีความเป็นไปได้ไหมตามที่ทนายตั้มแถลงว่ามีการจ่ายเป็นเงินดิจิทัลอีกหรือไม่ ผมเคยเล่าให้ฟังแล้วในรายการของผมว่า เดี๋ยวนี้การฟอกเงินทำผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล หรือ Digital Wallet


ท่านผู้ชมครับ เงินจำนวนไม่ว่าจะ 6 ล้าน หรือ 10 ล้าน หรือ 50 ล้านบาท ที่คาดคะเนกัน ก็แล้วแต่ สารวัตรซัวนำไปจ่ายให้คุณชูวิทย์ เพื่ออะไร ? เพื่อปิดปากกรณีกลับมาให้เปิดบริการอาบอบนวดลาลิซ่า ซึ่งเดิมชื่อ โคปาคาบาน่า ในซอยรัชดาฯ 17 หรือจะเกี่ยวข้องกับการไม่ให้แฉเว็บไซต์การพนันในเครือข่ายของสารวัตรซัว หรือเกี่ยวข้องกับญาติคนสนิท น้องภรรยาของคุณชูวิทย์ ชื่อนายเปา ที่นายชูวิทย์กาหัวว่าเป็นเด็กในบ้าน แต่ทรยศไปเข้ากับสารวัตรซัว

ท่านผู้ชมครับ ประเด็นที่สี่ สำคัญมาก เพราะคนที่เอาเงินจากสารวัตรซัวไปให้คุณชูวิทย์นั้น เป็นตำรวจยศพลตำรวจตรี และพลตำรวจโท โดยคนหนึ่งอยู่ในราชการ หรือนอกราชการ เกษียณอายุไปแล้ว ก็แล้วแต่ เรื่องนี้สังคมต้องการความกระจ่างว่าเป็นใคร ที่ไหน ทำจริงหรือไม่ และถูกลงโทษอย่างไร

ประเด็นนี้ผมจะพูดในตอนต่อๆ ไปว่าเรื่องนี้มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง เบื้องลึกอย่างไร เอาเป็นว่าต้องเอาเรื่องนี้มาพูด ไม่พูดไม่ได้ เพราะยังมีข้อมูลอีกหลายอย่างที่สื่อมวลชนไม่ได้ลง คือการเอาเงินบาปบริจาคสองโรงพยาบาลสร้างภาพ


ท่านผู้ชมครับ ถ้าท่านผู้ชมฟังข้อมูลผมและตรรกะ เหตุผลที่ผมพูด ตามผมมาเรื่อยๆ แล้วท่านผู้ชมจะเข้าใจดี ตอนที่คุณชูวิทย์ได้เงิน 6 ล้านบาทนั้น คุณชูวิทย์ไม่พูดเลยสักคำ เก็บเป็นความลับ เงียบสนิท แล้วคุณชูวิทย์เอาเงิน 6 ล้านบาทนี้ไปเข้าบัญชีตัวเอง แล้วทำตีเช็คเอาไปสั่งจ่ายบริจาคให้กับโรงพยาบาลศิริราช และโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ แห่งละ 3 ล้านบาท โป๊ะแตกเมื่อทนายตั้มมาชี้แจงว่า เงิน 6 ล้านบาท ที่คุณชูวิทย์รับมานั้นเป็นเงินของสารวัตรซัว ซึ่งคุณชูวิทย์ก็ยอมรับเอง มีหลักฐานชัดเจน ว่าเป็นเงินของสารวัตรซัว แต่คุณชูวิทย์อ้างว่าไม่ได้เก็บไว้ใช้เอง แต่คำถามมีอยู่ ซึ่งคุณชูวิทย์ก็ตอบไม่ได้ว่า ได้เงินมาตอนแรกทำไมคุณไม่ประกาศเลยว่ามีเงินเข้ามา 6 ล้าน เป็นเงินของสารวัตรซัว ซึ่งคุณพูดเองว่าเป็นสารวัตรซัว คุณก็ต้องเอาเงิน 6 ล้านบาทนี้ ซึ่งคุณพยายามอ้างอยู่ตลอดเวลาว่า 6 ล้านบาทนี้ ผมจะคืนให้เขา เขาไม่รับคืน แล้วเขาเดินไป ถ้าอย่างนั้น ด้วยความบริสุทธิ์ใจคุณต้องเอาเงิน 6 ล้านบาท ไปให้กับตำรวจ สน. ไหนก็ได้ ว่ามีคนเอาเงิน 6 ล้านบาท มาให้ผม ไม่มีที่มาที่ไป ผมจะคืนให้กับตำรวจ และขอให้ตำรวจลงบันทึกประจำวันไว้ด้วย แต่คุณชูวิทย์ไม่ได้ทำ

เมื่อไม่ได้ทำแล้ว ยังเอาเงิน 6 ล้านบาท เข้าบัญชีส่วนตัว ซึ่งถ้าเป็นเงินสารวัตรซัวอย่างที่คุณชูวิทย์พูด เพราะสารวัตรซัวนั้นถูกอายัดทรัพย์ ข้อหาฟอกเงิน เพราะฉะนั้นถ้าเป็นเงินจากสารวัตรซัว ก็คือว่า เงินที่ถูกฟอกเอามาให้คุณชูวิทย์ และคุณชูวิทย์เอาเข้าบัญชีตัวเอง เท่ากับว่า "ความผิดสำเร็จแล้ว" เพราะฉะนั้นประเด็นที่คุณชูวิทย์ไปบริจาคที่โรงพยาบาลศิริราช และโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ นั้น ถือว่าเป็นของร้อน


อีกประเด็นหนึ่งซึ่งคนอื่นเขาไม่ได้พูดกัน และไม่มีใครรู้ แต่ท่านคณบดีคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลศิริราช ชี้แจงว่า การบริจาคนั้นเข้าโรงพยาบาลนั้น จะสามารถหักภาษีได้จากยอดเงินที่บริจาค 2 เท่า หมายความว่า คุณชูวิทย์บริจาค 6 ล้าน ก็สามารถหักเงินภาษีส่วนตัวได้ 12 ล้านบาท ตรงนี้คุณชูวิทย์ไม่พูดเลยสักคำ แล้วก็เอาประโยชน์จากตรงนี้ไปหักภาษีตัวเองด้วยหรือเปล่า ผมไม่รู้ แต่ประเด็นที่สำคัญที่สุดก็คือว่า หนึ่ง เงินมาถึงคุณ 6 ล้านบาท คุณเกิดเป็นใบ้ขึ้นมากะทันหัน พูดไม่เป็น แบ๊ะๆๆ แล้วคุณตัดสินใจว่าจะเอาเงินนี้ไปบริจาคโรงพยาบาลดีกว่า และคุณก็เอาเงินนี้เข้าบัญชีส่วนตัว ซึ่งผิดข้อแรกคือ คุณไม่ควรจะรับตั้งแต่ต้น ในเมื่อคุณสารภาพว่าเป็นเงินสารวัตรซัว คุณก็รู้ว่าเป็นเงินทุนสีเทา เงินผิดกฎหมาย แล้วคุณยังรับไป แล้วยังเอาเข้าบัญชีคุณอีก เสร็จแล้วคุณก็ตีเช็คไปจ่าย ในที่สุดแล้ว เวรกรรมก็มา คือทั้งโรงพยาบาลศิริราช และโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ คืนเงินให้คุณ ผมไม่อยากจะพูดว่างานนี้หมอคงไม่รับเย็บหน้าคุณอย่างแน่นอน

การที่คุณเอาเงินเข้าบัญชีคุณ และเป็นเงินที่ผิดกฎหมาย ก็จะเข้าข่ายมาตรา 5 พระราชบัญญัติฟอกเงิน ปี 2542 ซึ่งระบุชัดเจนในมาตรา 5 (2) ว่า "กระทำด้วยประการใดๆ เพื่อปกปิดหรืออำพรางลักษณะที่แท้จริงการได้มาแหล่งที่ตั้ง การจำหน่าย การโอน การได้สิทธิใดๆ ซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด" (3) ได้มา ครอบครอง หรือใช้ทรัพย์สิน โดยรู้ในขณะที่ได้มา ครอบครอง หรือใช้ทรัพย์สินนั้นว่าเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด ผู้นั้น (คือคุณชูวิทย์) กระทำความผิดฐานฟอกเงิน"

ท่านผู้ชม วรรคที่สาม สำคัญมาก เพราะจากการให้สัมภาษณ์ของผู้บริหารโรงพยาบาลศิริราช เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2566 ศ. นพ. อภิชาติ อัศวมงคลกุล คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุชัด ว่า หนึ่ง คุณชูวิทย์บริจาคเงินด้วยแคชเชียร์เช็ค ให้ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ โรงพยาบาลศิริราช จำนวน 3 ล้านบาท เมื่อวันที่ 15 มีนาคม แคชเชียร์เช็คนะท่านผู้ชม แสดงว่าเงินก้อนนั้นเอาไปเข้าบัญชีคุณชูวิทย์แล้ว ถึงจ่ายเป็นแคชเชียร์เช็คออกมา ความผิดสำเร็จแล้วใช่ไหม ท่านผู้ชม นี่คือความจริงหนึ่งเดียว


ความจริงมีหนึ่งเดียว คือ เงินก้อนนี้เอาไปเข้าบัญชีคุณชูวิทย์ ความจริงมีหนึ่งเดียว คือ เป็นเงินสกปรกที่ผิดกฎหมาย ความจริงมีหนึ่งเดียวก็คือว่า ความผิดสำเร็จเรียบร้อยแล้ว

สอง โรงพยาบาลศิริราชจึงออกใบเสร็จรับเงินให้กับนายชูวิทย์ตามมติของคณะรัฐมนตรี และใบเสร็จสามารถลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า เรื่องนี้คุณชูวิทย์ไม่เคยพูดเลยแม้แต่นิดเดียว คุณชูวิทย์กลับแถไปอย่างหน้าด้านๆ ที่สำคัญคือ สาวกของคุณชูวิทย์ก็เชื่อด้วย

คุณชูวิทย์อ้างตอนบริจาค โกหกบรรดาคุณหมอ บอกว่าได้มาจากคนที่ทำงานสุจริต ซึ่งคำพูดแบบคำต่อคำ คุณชูวิทย์พูดว่า "รวบรวมจากพรรคพวกคนที่ทำงานสุจริต" ปรากฏว่าคุณชูวิทย์เองเมื่อถูกจับได้ ที่สำคัญ เมื่อเขาถูกจับได้ มีภาพถ่ายให้เรียบร้อย คุณชูวิทย์ก็เลยปฏิเสธว่าการกระทำของตัวเองไม่เข้าข่ายฟอกเงิน เพราะเอาเงินไปบริจาคทั้งหมดเลย 6 ล้านบาท โดยเอาไปให้โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ และโรงพยาบาลศิริราช ซึ่งตรงนี้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ อัยการ จะพิจารณาว่าความผิดสำเร็จหรือยัง ในพื้นฐานแล้ว จากกรณีการฟอกเงินแบบนี้ ความผิดมันสำเร็จแล้วครับ

คนที่เขาวางตัวเป็นกลางและสนใจความจริงมีหนึ่งเดียวนั้น เขาไม่ได้กินแกลบ เขากินข้าวเหมือนกัน ก็เลยถามคุณชูวิทย์ต่อว่า ที่คุณชูวิทย์บอกว่าเป็นเงินที่เพื่อนฝูงที่ทำงานสุจริตบริจาคมาให้ ท่านผู้ชมเห็นไหมว่าโกหกหน้าด้านๆ จริงๆ เพราะข้อที่หนึ่งผมจะถามว่า เงินสารวัตรซัวนั้นเป็นเงินสุจริตหรือ ? ข้อสอง ถ้าคุณรับเงินสดมา 6 ล้าน เวลาบริจาคดันเปลี่ยนเป็นแคชเชียร์เช็ค เข้าข่ายวรรคสอง วรรคสาม ของมาตรา 5 พ.ร.บ. ฟอกเงิน หรือเปล่า ? ข้อสาม ถ้าคุณชูวิทย์บริจาคโดยไม่หวังผล แล้วทำไมหมออภิชาติ อัศวมงคลกุล คณบดีคณะแพทย์ ศิริราช ถึงออกมาบอกว่า หลังจากการบริจาคทางคณะจึงออกใบเสร็จรับเงินให้คุณชูวิทย์ ซึ่งตามมติของคณะรัฐมนตรี ใบเสร็จสามารถลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า

คุณชูวิทย์ครับ ผมต้องนับถือความรู้ของคุณทางด้านบัญชี เพราะคุณจบบัญชีธรรมศาสตร์ คุณเดินหมากตัวเดียวกิน 3-4 ต่อ เจียดเงินสีเทาไปทำบุญ ได้ทั้งบุญ ได้ทั้งหน้า แถมยังลดหย่อนภาษีได้อีก 2 เท่า นี่ถ้าไม่ใช่ทนายตั้มออกมาแฉ คุณก็คงจะอมพะนำ จนทุกวันนี้จะไม่มีใครรู้ความจริงนี้เลย แล้วคุณชูวิทย์ได้หน้าได้ตา ใจดี ทำบุญทำกุศล (แต่เงินนี้เป็นเงินทุจริต เงินชั่ว) แล้วคุณก็ได้แสง แต่คุณก็ไม่บอกอีกว่า สมมุติว่าเรื่องนี้ไม่มีการเปิดโปงออกมา คุณก็เอาเงินก้อนนี้ 6 ล้านบาท คูณ 2 เป็นยอดเงิน 12 ล้านบาท เอาไปหักภาษีอีก


ผมเห็นการ์ตูนบัญชา คามิน เมื่อวันจันทร์ที่ 27 มีนาคม ที่ผ่านมา เขาวาดการ์ตูนเป็นรูปนาสีเทา มีคนใส่แว่นดำ ไม่รู้ว่าใคร บอกว่าเกษตรกรใจบุญ กำลังไถนาที่เต็มไปด้วยธนบัตรเป็นปึกๆ อยู่เต็มไปหมด แล้วหันไปยื่นถุงหิ้วให้คนๆ หนึ่ง บอกว่า "แบ่งไปทำบุญมั่ง" ผมคิดไม่ออกจริงๆ คุณชูวิทย์ ช่วยบอกผมหน่อยสิว่าพฤติกรรมของคนในภาพนั้นคลับคล้ายคลับคลาเหมือนใคร

ท่านผู้ชมครับ ประเด็นหนึ่งซึ่งคุณตั้ม ทนายษิทรา แถลงเรื่องคุณชูวิทย์ ตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับกรณีนายแทนไท ณรงค์กูล และเงิน 50 ล้านบาท คือสรุปง่ายๆ ว่า คุณตั้มบอกว่า ผมไม่เคยบอกว่า 50 ล้าน เขาจ่ายมาเป็นเงินสด และเป็นเงินได้จากใคร แต่ผมจะฝากคำถามถึงพี่ชูวิทย์แบบนี้ดีกว่า คุณตั้มถามว่า รู้จักคุณแทนไทดีไหม พี่ชูวิทย์เคยแตะต้องคุณแทนไทบ้างหรือไม่ หลังจากที่ทุกคนเขาแตะต้องหมด เคาะกะลาเรียกคนวิ่งเข้ามาหา แล้วคุณตั้มถามคำถามซึ่งเจ็บมาก ผมถามพี่ชูวิทย์ว่าวันตรุษจีน กล่องดวงใจ (หมายถึงลูกชายคุณชูวิทย์) ของพี่ชูวิทย์ ได้พาแทนไทไปโรงแรมเดวิสจริงหรือไม่ หลังจากนั้น ถ้าเกิดใครดูไทม์ไลน์วันตรุษจีน คือวันที่ 22 มกราคม หลังจากที่คุณชูวิทย์ได้พูดถึงคุณแทนไทในเพจของตัวเองแค่วันเดียว พอมีชื่อปรากฏ คุณแทนไทหายไปจากสารบบของคุณชูวิทย์ แต่คนที่ยังโจมตีคุณแทนไทอยู่ตลอดเวลาคือพี่สนธิ


ท่านผู้ชมครับ วันที่ 23 มีนาคม 2566 คุณชูวิทย์ได้แถลงข่าวตอบโต้ทนายตั้มในประเด็นนายแทนไท มีเนื้อหาอ้างอิงถึงผม 3 ตอน จำนวน 17 ครั้ง

ตอนที่หนึ่ง เขาบอกว่า เงิน 50 ล้าน เป็นดิจิทัล ผมไม่เคยได้รับ ผมไม่เคยได้รับ 50 ล้าน มาจากแทนไท ผมถามแทนไทผมได้พบไหม ผมได้พบ โดยมีตำรวจคนหนึ่งพามาหาผม เช่นเดียวกับข้อมูลอื่นๆ ที่มีมาหาผม และผมยังจำได้ว่านายแทนไทบอกว่าไปหาพี่สนธิ แล้วผมยังบอกเลยว่า เฮ้ย เอ็งคิดจะฟ้องพี่สนธิ คิดผิดแล้ว อย่าฟ้องดีกว่า นี่คือสิ่งที่ผมพยายามบอกนายแทนไท พบที่โรงแรม เปิดเผย มาเวลากลางวัน เปิดเผย คนพามาเป็นนายตำรวจคนหนึ่ง ซึ่งผมไม่รู้ว่านายตำรวจคนนี้พานายแทนไทไปหาพี่สนธิด้วยหรือเปล่า แต่นายแทนไทพูด ไปหาพี่สนธิ แต่พี่สนธิไม่เชื่อว่ามันประกอบอาชีพสุจริต อย่างนั้นอย่างนี้

ตอนที่สอง การรับเงิน คุณชูวิทย์บอกว่า ไม่ใช่ครั้งแรกที่สีเทามาหาผม ก็จริงครับ ผมยอมรับว่ามีสีเทามาหาผม แต่ไม่ได้หมายความว่าผมหยุดพูดนี่ครับ ผมมีอยู่ปากเดียว ผมพูดหมด


แต่ที่น่าสนใจคือคุณกำลังพูดถึงนายแทนไทครั้งแรก แล้วพอหลังจากนายแทนไทถูกลูกชายพามาพบคุณ ไม่รู้ว่าเคลียร์อะไรตกลงกันได้หรือเปล่า คุณก็ไม่พูดถึงเขาอีกเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะฉะนั้นแล้ว เมื่อมองพฤติกรรมและประจักษ์พยานสิ่งแวดล้อมแล้ว มีข้อสงสัยมาก คุณชูวิทย์ ว่าคุณมีอะไรกับคุณแทนไทหรือเปล่า เพราะคุณอ้างว่าคุณไม่เคยหยุดพูด แต่ทำไมแค่ออกเฟซบุ๊กคุณครั้งเดียว แล้วลูกชายพาแทนไทไปพบคุณ แล้วคุณก็หยุดพูดไปเลย จะให้คนที่เขาติดตามเรื่องนี้ และคนที่หาข้อมูลว่าความจริงมีหนึ่งเดียว เขาจะเชื่อหรือเปล่า


คุณชูวิทย์ระบุว่า ที่รับเพราะมาจากนายพล อ. กับ ป. ซึ่งนำมาให้ผมที่นี่ ทั้ง 2 ถุง ผมก็นำไปบริจาค ตรงนี้คุณชูวิทย์สอบตก เพราะคุณชูวิทย์บอกว่านำไปบริจาค ไม่ได้เอาไปบริจาคครับ คุณชูวิทย์เอาเข้าบัญชีตัวเองก่อน แล้วค่อยทำแคชเชียร์เช็คไปบริจาค ถ้าคุณชูวิทย์ซื่อสัตย์สุจริตจริง ไม่รับเงินสายสีเทา ทุนสีเทา เงินชั่วๆ ซึ่งมาจากคนชั่วๆ และไม่รู้ว่าคนรับเป็นคนชั่วๆ ด้วยหรือเปล่า คุณต้องออกมาโวยวายทันทีว่า ท่านผู้ชมครับ วันนี้มีคนเอาเงินมาให้ผม 6 ล้านบาท ผมไม่รู้ว่าเงินมาจากไหน ผมรู้ว่าเงินมาจากสารวัตรซัว ผมไม่เอาเงินมันนะ ผมเอาไปคืนตำรวจแล้ว ลงบันทึกประจำวันด้วย แต่คุณชูวิทย์ไม่มี เพราะคุณคิดว่า FC คุณโง่ เพราะถ้าไม่โง่ ไม่ติดตามคุณหรอก ก็เลยจับประเด็นความโง่ของ FC คุณชูวิทย์ แล้วก็ได้ผล เพราะ FC คุณเขาก็เชื่อสิ่งที่คุณพูด

ข้อที่สอง ชูวิทย์พูดว่า นายแทนไทได้แปลงร่าง และได้มีพี่สนธิพูดอยู่ตลอด แปลงร่างอย่างไร ? แปลงร่างโดยการที่เขาได้ไปทำงานในธุรกิจที่ถูกต้อง สิ่งที่ผมพูด ผมก็พูดได้แค่ส่วนหนึ่ง


ท่านผู้ชมครับผมมีเรื่องจะเล่าให้ฟังเรื่องนายแทนไทกับผมคนที่พานายแทนไทมาพบผมนั้นเป็นผู้กำกับตำรวจคนหนึ่งผมขอสงวนชื่อไว้ผมจะเอ่ยชื่อถ้าผมมีเรื่องคดีขึ้นฟ้องร้องผมก็จะเบิกตัวคนนี้มาเป็นพยานเอานายแทนไทมานั่งคุยกับผมผมก็ตำหนิติเตียนนายแทนไทไปผมบอกว่าเงินที่คุณได้มานั้นไม่บริสุทธิ์คุณประมูลป้ายทะเบียนตั้งกี่สิบล้านผมเคยตั้งคำถามในรายการผมว่าคุณเอาเงินมาจากไหนแล้วคุณเพิ่มทุนบริษัทคุณภายใน 9เดือนเพิ่มจาก 5ล้านเป็น 900ล้านคุณเอาเงินตรงนี้มาจากไหนก็สรุปง่ายๆว่านายแทนไทรู้ว่าผมไม่รับเคลียร์แน่นอนถ้ามาพูดอย่างนี้ก็เลยกลับไปพร้อมกับนายตำรวจคนนั้น


ท่านผู้ชมครับ คุณชูวิทย์ครับ หลังจากนั้นอีก 2 วัน ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น ผมกำลังยืนอยู่ตรงเก้าอี้นั่ง นอกอาคาร A ซึ่งผมชอบนั่งเล่นตรงนั้นประจำ แล้วก็พูดคุยกับพรรคพวก ทีมงานของผม วันนั้นก็มีประจักษ์พยานบุคคลอยู่ประมาณ 3 คน ที่อยู่ร่วมกับผม นายตำรวจคนนี้โทรศัพท์มาหาผม บอกว่า พี่ครับ พี่จะให้ลูกน้องของนายแทนไทเข้ามาพบพี่ไหม ผมบอกว่ามาทำเอี้ยอะไร (ขอโทษที่ต้องใช้คำนี้) ก็มาเจอแล้วไม่ใช่หรือ ไม่ครับพี่ มันเอาเงินมาให้พี่ 10 ล้านบาท ผมบอกว่า เฮ้ย ไอ้ ... มึงบอกให้มันกลับไปเลยนะ กูไม่รับ บาทนึงกูก็ไม่รับ ประจักษ์พยานบุคคลที่รับฟัง ยืนข้างๆ ผมรู้ว่าผมพูดโทรศัพท์แบบนี้ มีตัวมีตน มี 3 คน เอาไว้ขึ้นศาลแล้วผมจะเรียกมาเป็นพยาน คุณชูวิทย์ครับ ผมไม่ได้รับเงินคุณแทนไท จนทุกวันนี้ผมก็ยังสู้กับคุณแทนไทอยู่ และผมกำลังจะยื่นฟ้องคุณแทนไทข้อหาแจ้งความเท็จ 2 คดี แล้วคดีที่คุณแทนไทฟ้องผม ผมกำลังจะขึ้นศาล มีการไต่สวนมูลฟ้อง 1 คดี เรื่องการฟอกเงิน อีกคดีหนึ่งคือเรื่องบริษัท ไมนิ่ง โปร หาว่าผมไปกล่าวหาคุณแทนไทว่าเขาลักไฟรัฐ ซึ่งผมไม่เคยกลัวเลย และผมชนะคดีอย่างแน่นอนที่สุด

เพราะฉะนั้นแล้ว เขามาหาผมก่อนจริง แต่ผมก็ยังไม่ได้หยุดที่จะเปิดโปงเขา และที่สำคัญ ผมไม่ได้รับเงินเขาเลยแม้แต่บาทเดียว และผมไม่เอาด้วย ผมพูดชัดเจน บอกไอ้เอี้ยนั่นเอาเงินกลับไป อย่าเข้ามาในออฟฟิศกู เป็นอัปมงคล มีคนยืนยันและตำรวจคนนั้นก็ได้ยิน เพราะตำรวจคนนั้นเป็นคนโทรมาหาผมเอง ท่านผู้ชมครับ "ความจริงมีหนึ่งเดียว" นี่คือข้อเท็จจริง ท่านผู้ชมที่เคยติดตามผมมาตั้งแต่ "เมืองไทยรายสัปดาห์" จนกระทั่งถึงการนำประชาชนมาประท้วงต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันของรัฐบาลทักษิณ ผมไม่เคยรับเงินใครเลย และทุกอย่างที่ผมทำมา ตรวจสอบได้หมด ผมพูดเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วอย่างไร มาปีนี้ผมก็พูดเหมือนเดิม ผมไม่เคยจะต้องเอาสคริปต์มาดู เพราะทุกอย่างที่ผมพูดนั้น "ความจริงมีหนึ่งเดียว"


ท่านผู้ชมครับ คุณชูวิทย์ครับ เป็นไปได้ไหมว่า นายแทนไทเอาเงินมาให้ผม 10 ล้าน แล้วผมไม่รับ เขาก็เลยวิ่งไปหาคุณแทน ส่วนคุณจะรับหรือไม่รับ ผมไม่รู้ แต่พฤติกรรมมันส่อให้อดคิดไม่ได้ และจังหวะพอดีคุณก็เอาชื่อเขาเขียนลงในเฟซบุ๊กคุณด้วย ก็เลยแสดงว่าลูกชายคุณนี่เก่งมาก เที่ยวต้อนพวกเว็บพนันออนไลน์สีเทาเข้ามาหาคุณเรื่อยๆ คุยรู้เรื่องได้ ก็รู้เรื่อง ส่วนรู้เรื่องแล้วตกลงกันอย่างไร ผมไม่รู้แล้ว ผมไม่ยืนยัน แต่ถ้าคุยไม่รู้เรื่อง คราวนี้ก็เตรียมรับกระสุนตกจากคุณต่อไป ไม่รู้ จริงหรือไม่จริง แต่ผมคิดว่าวิสัยวิญญูชนที่ฟังข้อมูลต่างๆ มาแล้ว น่าจะตัดสินใจได้ว่าสิ่งที่ผมพูดนั้นจริงหรือไม่จริง

จากเรื่องคุณแทนไท พิสูจน์อย่างชัดเจนว่าจุดยืนของผมในเรื่องแก๊งพนันออนไลน์เป็นอย่างไร แตกต่างชัดเจนกับคุณชูวิทย์ที๋โดนข้อกล่าวหา "แฉไป ไถไป" คนเราถ้าจะทำงานอย่างบริสุทธิ์ ด้วยจิตที่บริสุทธิ์ อย่างที่คุณบอกว่าถ้าไม่มีคุณชูวิทย์ เราจะรู้เรื่องทุนสีเทาได้อย่างไร แล้วเราจะเอาตำรวจที่ชั่วๆ มาโดนปราบปรามได้อย่างไร ท่านผู้ชมครับ หยุดคิดสักนิดหนึ่ง ผมเคยพูดกับท่านผู้ชมใช่ไหมว่า ผมได้ข่าวมาว่าในยุคที่คุณชูวิทย์โจมตีตู้ห่าวนั้น ตู้ห่าวแจ้งมาจากคนที่เกี่ยวพันกันแล้วมาเข้าหูผม บอกว่าคุณชูวิทย์ไปเรียกทรัพย์สินจากคุณตู้ห่าว 200 ล้านบาท ถ้าท่านผู้ชมจำได้ ผมด่าไอ้หมอนั่นไป บอกว่าไม่จริง เพราะคุณชูวิทย์ไม่ใช่คนอย่างนั้น คุณชูวิทย์ครับ ผมปกป้องคุณไปแล้วทีหนึ่ง แต่พฤติกรรมอย่างนี้มันก็อดทำให้คนที่ฟังผมพูดคิดไม่ได้ว่ามันจะมีความเป็นจริงได้แค่ไหน ผมไม่ยืนยันเรื่องนี้ แต่ผมเล่าให้ฟัง


คือผมก็มีคนเข้ามาหาเช่นกัน เพื่อชี้แจงหรือแก้ตัวใดๆ ก็ตาม แต่ผมได้กล่าวเตือนไว้อย่างแรกเลยเกี่ยวกับคนรู้จักที่เขามารับนัดให้ หนึ่ง ไม่ต้องเอาเงินทองมาให้ผม เพราะสิ่งที่ผมทำ รายการที่ผมทำ ผมทำอาชีพของผมอยู่ คืออาชีพสื่อมวลชน การที่คุณจะให้ผมพูดหรือไม่พูดเรื่องโน้นเรื่องนี้ คือการขอร้องไม่ให้ผมทำตามอาชีพผม ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมยึดมา ปฏิบัติมาตลอดชีวิต ซึ่งจะเอาเงิน 10 ล้าน 100 ล้าน มาแลก ผมก็ไม่ยอม

ท่านผู้ชมครับ ผมทำอาชีพนี้มา 50 ปี ท่านผู้ชมนึกว่าสั้นๆ เหรอ ทุกคนจะรู้ดีว่าผมเกลียดการทำธุรกิจผิดกฎหมาย อย่างยาเสพติด การค้ามนุษย์ การพนัน เป็นที่สุด และผมก็จะเปิดโปงเรื่องนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าชีวิตจะหาไม่ ท่านผู้ชมจำได้ไหมผมเคยเอาผังอาณาจักรพนันออนไลน์ที่ผมเสนอผ่านรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ตอนที่ 180 วันศุกร์ที่ 10 มีนาคม 2566 ว่าในภาพรวมอาณาจักรพนันออนไลน์นั้น ต่างฝ่ายต่างมีแบ็กหรือเบื้องหลังที่ใหญ่โตกันทั้งคู่


ผมทราบดีว่าการที่จะออกมาแฉหรือไม่แฉนั้น เหมือนเดินไต่เส้น เพราะบางครั้งก็เหมือนกับเตะหมูเข้าปากหมา การแฉหรือไม่แฉนั้นมันอยู่ที่ความบริสุทธิ์ใจของเรา ท่านผู้ชมหลายท่านคงจำได้ว่าเส้นแดงที่ผมขีดคั่นเฉียงๆ ให้ดูนั้นหมายความว่าอะไร ตอนนั้นผมตั้งข้อสังเกตว่าการที่คุณชูวิทย์ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในการพนัน วงการสีเทา จู่ๆ ก็ออกมาแฉเรื่องนี้ แต่คุณชูวิทย์เลือกแฉเป็นจุดๆ ละเว้นหลายๆ จุด บางคนเอาไว้ บางคนพูดแค่หนึ่งครั้ง พอลูกชายพามาพบ ก็หยุดพูด หรือสองครั้งแล้วลืมไปเลย แต่บางคนกลับเลือกที่จะจองล้างจองผลาญ เลือกแฉจนสุดซอย อย่างนี้หมายความว่าอย่างไร ท่านผู้ชมไปคิดเอาเองก็แล้วกัน

ผมได้ทำผังอาณาจักรการพนันออนไลน์นี่ขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ดังกล่าว คือผมเอาไฟสปอตไลต์ส่องที่บุคคลเหล่านี้ว่าใครมีบทบาทอะไร อยู่ตรงไหนเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพื่อสร้างความรู้เท่าทันในสังคม ส่วนคนที่มีภาพ มีชื่อ ในแผนผังนี้จะทำอะไรก็ต้องคิดแล้วคิดอีก เมื่อจะทำหรือไม่ทำอะไร โดยแผนผังนี้จะมีการอัปเดตกันไปเรื่อยๆ แบบไม่มีที่สิ้นสุด และจะไม่มีการกั๊กด้วยสื่อ ประชาชน หรือใครต้องการนำไปเผยแพร่ต่อ ผมยินดีครับ


ท่านผู้ชมครับ ความคืบหน้ากรณีของคุณแทนไท ณรงค์กูล เด็กหนุ่มที่จู่ๆ ก็ร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐีพันล้าน อ้างว่ามีรากฐานร่ำรวยมาจากการเปิดร้านขายขนมจีบ ซึ่งผมเล่าให้ฟังไปแบบจัดสุดซอยไปแล้ว ส่งทนายมาฟ้องคดีอาญา คดีแพ่งผม ข้อหาหมิ่นประมาท เรียกเงินค่าเสียหาย 1,000 ล้านบาท ผมไม่ได้กังวลอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่ได้กังวล แล้วคุณแทนไท และทนายคุณแทนไท ก็รู้เหมือนกันว่าคำให้การของทนายที่รับมอบอำนาจมาให้การแทนคุณแทนไทนั้นถูกข้อมูลของผมตีตกหัวคะมำอย่างแน่นอนที่สุด เมื่อถึงเวลาที่จะต้องเผชิญหน้ากันในศาล


วันพุธที่ 1 มีนาคม 2566 นายแทนไทให้ทนาย คือ นายสมพงศ์ ตั่นไพบูลย์ ผู้รับมอบอำนาจจากไมนิ่งโปร ให้ยื่นฟ้องคดีอาญาว่าผมหมิ่นประมาท โดยเอาผิดกับผม สนธิ ลิ้มทองกุล เรียกค่าเสียหาย 29 ล้านบาท ตอนนี้ลดจาก 1,000 ล้าน เหลือ 29 ล้านบาท หลังจากถูกกล่าวหาลักไฟหลวงขุดบิตคอยน์ ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร เดี๋ยวผมจะเอาข้อเท็จจริงมาเปิดให้ดู ผมอยากให้คุณแทนไทไปอ่านคำพูดที่ผมพูดทุกตัวอักษร แล้วคุณแทนไทจะรู้ว่าคดีนี้ผมแทบไม่ต้องสู้อะไรเลยแม้แต่นิดเดียว

ท่านผู้ชมครับ ในรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ตอนที่ 177 ออกอากาศวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 ผมได้เปิดคำพิพากษาศาลแพ่ง ระบุรายละเอียดชัดเจน ชี้ให้เห็นว่าจริงๆ แล้วที่มาของการร่ำรวยของนายแทนไท กับครอบครัวนั้น ไม่ได้มาจากการขายขนมจีบ เทรดเงินค่า FOREX หรือเทรดคริปโตอะไร แต่มาจากการพนันออนไลน์ นั่นคือคำพิพากษาของศาลแพ่ง ซึ่งพิพากษาจบเสร็จสิ้นทุกกระบวนการแล้ว พิสูจน์ชัดเจนว่าศาลท่านเชื่อว่านายแทนไทเกี่ยวข้องกับการพนันออนไลน์


เมื่อวันพุธที่ 29 มีนาคม ที่ผ่านมา ดีเอสไอได้ประชุมพิจารณาพยานหลักฐานและสรุปความคืบหน้าคดีพิเศษ 6/2566 ร่วมกันจัดให้มีการเล่นการพนัน และร่วมกันฟอกเงิน และดีเอสไอมีมติออกหมายเรียกให้คุณแทนไทมารับทราบข้อกล่าวหา พร้อมพวกอีก 4 คน มีนิติบุคคลเป็นชื่อบริษัทที่เกี่ยวข้องกับนายแทนไท และนายแทนไท และผู้ถือหุ้นอีก 2 คน รวมอยู่ด้วย นี่ไงล่ะครับคุณชูวิทย์ ท่านผู้ชมครับ นายแทนไท ที่คุณชูวิทย์บอกว่าเขาทำงานอาชีพสุจริต เขาแปลงร่างแล้ว เขาไม่ได้ยุ่งเกี่ยว โน่นนี่นั่น แต่ในที่สุดแล้วดีเอสไอกำลังจะออกหมายเรียกมาเพื่อรับทราบข้อกล่าวหา วันพุธนี้เอง ผมเข้าใจว่าไม่เกินอาทิตย์หน้า หมายเรียกคงไปถึง เมื่อหมายเรียกไปถึง คุณแทนไทก็ต้องมามอบตัว แล้วก็ประกันตัวออกไป

เพราะฉะนั้นแล้วจะเห็นได้ชัดว่านี่คือคุณแทนไทที่คุณชูวิทย์ออกมาการันตี ที่คุณชูวิทย์เขียนลงในเฟซบุ๊กของตัวเองถึงคุณแทนไท แล้วลูกชายของคุณชูวิทย์ ซึ่งสนิทกับคุณแทนไท ก็พาานายแทนไทมาเจอพ่อ เจอแล้วตกลงอะไรกันผมไม่มีสิทธิ์ไปรู้ เพราะรู้กันระหว่างคุณชูวิทย์กับคุณแทนไท แต่เอาเป็นว่า หลังจากนั้นแล้ว เฟซบุ๊กของคุณชูวิทย์ที่เคยเปิดโปงคนอยู่เบื้องหลังเว็บพนันออนไลน์ เงียบสนิท มิหนำซ้ำยังออกมาปกป้องนายแทนไทอีกว่าแปลงร่างแล้ว ผมก็เลยเอาข้อกล่าวหาใหม่ที่คุณแทนไทเพิ่งโดนดีเอสไอประกาศออกมา 29 นี้ ไม่กี่วันมานี่เอง ว่าจะโดนหมายเรียกเพื่อมารับทราบข้อกล่าวหา ข้อกล่าวหาอะไร ? ฟอกเงิน เขาบอกว่ารายการนี้หลายร้อยล้านบาท ท่านผู้ชมครับ คุณชูวิทย์ครับ ความจริงมีหนึ่งเดียวใช่ไหม


การฟอกเงินของคุณแทนไทนั้น ผ่านนายนอท กองสลากพลัส ซึ่งในข้อเท็จจริงคุณชูวิทย์ก็คงรู้หรือเปล่า คุณถามลูกชายสุดที่รักคุณดูสิว่าลูกชายคุณสนิทสนมกับนายนอท กองสลากพลัส มาก ถ่ายรูปคู่กันเยอะแยะไปหมดเลย หรืออีกนัยหนึ่งลูกชายคุณสนิทสนมกับกลุ่มทุนสีเทาเยอะมาก พอพ่อโจมตีกลุ่มทุนสีเทา ลูกชายก็มีหน้าที่พาคนพวกนี้มาพบพ่อ


คดีของคุณแทนไทนั้นเป็นการฟอกเงินก้อนใหญ่ เพราะว่ามีเงินเข้ามากถึง 200-300 ล้านบาท อาจจะเป็นข้อหาการฟอกเงินขาเข้า เอามาให้กู้ยืมเพื่อซื้อสลาก แต่เมื่อฟอกแล้วก็เอากลับเข้าไปสู่ระบบ กลับเข้าสู่บริษัท ไททัน แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ ที่คุณอ้างว่าไปลงทุนในบริษัทโน้นบริษัทนี้ ทำธุรกิจโน่นทำธุรกิจนี่ ทำภาพยนตร์ ทำเครื่องดื่ม ทำธุรกิจออนไลน์ มีมูลค่าหลายพันล้านบาท แต่ประเด็นที่ผมถามคุณมาตั้งแต่วันแรกที่คุณไปประมูลป้ายทะเบียนรถยนต์ด้วยเงิน 45 ล้านบาท แล้วยังไม่ได้รับคำตอบจากคุณเลยว่าคุณเอาเงินมาจากไหน คุณเพิ่้มทุนจดทะเบียนบริษัทของคุณ จาก 5 ล้านบาท ใน 11 เดือน เป็น 900 ล้านบาท คุณเอาเงินมาจากไหน

แล้วล่าสุด ตามข้อกล่าวหาของดีเอสไอ คุณแทนไท กับบบริษัท ไททันฯ เอาเงินมาจากไหน 200-300 ล้านบาท มาให้นอท กองสลากพลัส กู้ยืม จนในที่สุดโดนดีเอสไอจับเส้นทางการเงินแล้วแจ้งข้อกล่าวหา


ท่านผู้ชมครับ นี่ล่ะครับ เรื่องราวและวิบากกรรมของคุณแทนไท ณรงค์กูล ที่เมื่อวันพฤหัสบดีที่แล้วออกมาแถลงข่าวแก้ตัวแทนคุณแทนไท บอกว่าที่ไม่แฉนายแทนไทต่อ และตัดชื่อออกจากสารบบขาใหญ่คนทำธุรกิจพนันออนไลน์ ก็เพราะว่านายแทนไทได้แปลงร่างโดยการที่เขาได้ไปทำ แปลงในธุรกิจที่ถูกต้อง คุณชูวิทย์ครับ ถ้าทำธุรกิจที่ถูกต้อง มันก็มีคำถามต่อ 2 คำถาม คำถามแรก เงินที่คุณเอาไปทำธุรกิจที่ถูกต้องนั้นเอามาจากไหน นี่เป็นเชือกเส้นแรกที่คล้องคอคุณแทนไทไว้แล้ว ข้อที่สอง ถ้าเป็นอย่างที่คุณชูวิทย์อ้างมาเพื่อหาความชอบธรรมในการไม่พูดถึงคุณแทนไทอีกต่อไป หลังจากที่ลูกชายพาคุณแทนไทมาพบคุณแล้วครั้งหนึ่ง แล้วคุณชูวิทย์ไม่พูดถึงอีกเลย แล้วบอกว่าเขาแปลงร่าง ถ้าแปลงร่างอย่างถูกต้อง ทำไมถึงโดนอีกคดีหนึ่งล่ะจากดีเอสไอข้อหาฟอกเงิน แล้วคดีนี้ จำนวนเงินที่ฟอกใหญ่มาก

นี่ล่ะครับ ท่านผู้ชม คนทำธุรกิจที่ถูกต้องในสายตาคุณชูวิทย์ เอาเงินมาจากไหนก็ไม่รู้ ร่ำรวยเป็นพันๆ ล้านแบบจับต้นชนปลายไม่ได้ เอาเงินมาฟอกขาวกับเว็บไซต์ขายลอตเตอรี่ออนไลน์ จนในที่สุดโดนข้อหาร่วมกันฟอกเงินกับนายนอท กองสลากพลัส ถูกจับโป๊ะโดยผม เอาเงินมาให้ผม 10 ล้านบาท โดนผมไล่ตะเพิดออกไป ไม่กล้าเข้ามาอีกเลย ผมยังจำคำพูดของผมได้ดีเลย เฮ้ย มึงบอกไอ้เอี้ยนั่นอย่าเอาเงินเข้ามาในบริษัทกู ในออฟฟิศกู กูไม่รับอะไรทั้งสิ้น บอกมันให้ไปเลย ไปเดี๋ยวนี้ (ขอประทานโทษท่านผู้ชม) นี่คือคำพูดที่ผมด่าตำรวจคนนั้นไปในโทรศัพท์

ท่านผู้ชมครับ มีคำพูดหนึ่งในวงการพนันออนไลน์ว่า ถ้าแทนไทไม่มีคดีฟอกเงินพัวพันตัว และสามารถวิ่งเคลียร์เรื่องอื่นๆ กับผู้มีอำนาจได้แล้ว เมื่อสารวัตรซัวถูกกำจัด และกำจัดเครือข่ายเป็นต่อออกจากสารบบ คนที่จะผงาดขึ้นมาเป็นใหญ่เจ้าพ่อเว็บพนันไซส์ XL แทนสารวัตรซัว ก็คือคุณแทนไท นี่ล่ะครับ

ทำไม? “สวนชูวิทย์” ถึงต้องกลายเป็นสมบัติของชาติ

ท่านผู้ชมครับ เรื่องที่จะพูดต่อไปนี้มันเป็นความจริงมีหนึ่งเดียวอีกเช่นกัน ท่านผู้ชมจำไว้นะครับ หลักการของเพจ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" เราจะยืนหลักของ "ความจริงมีหนึ่งเดียว"

ความจริงมีหนึ่งเดียวครั้งนี้ ทำไมสวนชูวิทย์ถึงต้องเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดิน ? สัปดาห์ที่แล้วผมเคยเกริ่นเรื่องนี้ไปเป็นแค่น้ำจิ้ม เกี่ยวกับที่ดินของคุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ บนถนนสุขุมวิท ปากซอยสุขุมวิท 10 ซึ่งถูกนำมาทำเป็นสวนสาธารณะ ชื่อ "สวนชูวิทย์"


โดยคุณชูวิทย์ยื่นคำให้การต่อศาลฎีกาในคดีรื้อบาร์เบียร์ เป็นเหตุให้มีการบรรเทาโทษคดีรื้อบาร์เบียร์ ทำให้ศาลฎีกาพิพากษาบรรเทาโทษ จากจำคุก 5 ปี เหลือแค่ 2 ปี ซึ่งผมเห็นว่าที่ดินของคุณชูวิทย์ผืนนี้่น่าจะเป็นที่ดินสาธารณะไปนานแล้ว มาวันนี้คุณชูวิทย์ และครอบครัว มีการปิดเพื่อรื้อถอนสวนสาธารณะสวนชูวิทย์ และกำลังก่อสร้างอาคารสูง 51 ชั้นแทน


ในรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ผมได้นำเสนอ 10 ประเด็นของคำพิพากษาศาลฎีกามากกว่า 10 ฉบับ กรณีการอุทิศที่ดินเป็นสวนสาธารณะ หรือสาธารณะสมบัติของแผ่นดิน สรุปความได้สั้นๆ ว่าการอุทิศที่ดินของเอกชนให้เป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดิน ตามกฎหมายและตามคำพิพากษาศาลฎีกานั้น มันจบลงด้วยการ "ให้แล้วให้เลย"

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ผมสรุป ที่สำคัญ ได้แก่ การอุทิศที่ดินสาธารณะสามารถอุทิศที่ดินเพียงแค่เอ่ยวาจาเท่านั้น ให้มีการรับรู้ หรือโดยลายลักษณ์อักษรก็ได้ ข้อที่สอง แม้กระทั่งที่ดินของเอกชนก็สามารถกลายเป็นที่ดินสาธารณะได้เช่นกัน เพียงแค่เปิดให้ประชาชนทั่วไปใช้สอย ซึ่งเมื่อเป็นการอุทิศที่ดินสาธารณะแล้ว จะมีผลทันที และเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย ขอย้ำว่า การเป็นที่ดินสาธารณะจะมีผลทันทีโดยไม่จำเป็นต้องรอการโอนเสร็จสิ้นเสียก่อน หรือต้องรอให้เจ้าหน้าที่รัฐแสดงเจตนามารับที่ดินเหล่านั้นไปก่อน

เมื่ออุทิศที่ดินไปแล้ว จะไม่มีกำหนดเวลาด้วย เจ้าของที่ดินจะเปลี่ยนใจย้อนกลับมาเอาคืนก็ไม่ได้ และหากเจ้าของที่ดินเดิมฝ่าฝืน มาเอาคืนเพื่อก่อสร้างเป็นอย่างอื่น ก็ไม่สามารถที่จะทำให้ที่ดินสาธารณะผืนนี้สูญสิ้นความหมายไปเช่นกัน

เมื่อเราอ้างอิงจากคำพิพากษาศาลฎีกาหลายฉบับข้างต้น ทำให้ผมแสดงความเห็นออกไปตอนที่แล้วว่า ที่ดินคุณชูวิทย์น่าจะเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินไปแล้ว ถึงแม้คุณชูวิทย์จะอ้างว่าชื่อโฉนดยังเป็นของผม ผมซื้อมาด้วยเงิน 500 ล้านบาท ผมยังจ่ายภาษีที่ดินให้กรุงเทพมหานครทุกปี ก็แล้วแต่ อ้างอะไรก็อ้างได้ แต่ในข้อเท็จจริง ตามคำพิพากษาศาลฎีกา เป็นที่สาธารณะสมบัติไปแล้ว เพราะข้ออ้างเหล่านี้ไม่สามารถหักล้างข้อเท็จจริงที่คุณชูวิทย์เคยยื่นเป็นคำให้การต่อศาลฎีกาในคดีรื้อบาร์เบียร์เมื่อปี 2558 เพื่อให้ศาลฎีกาปรานีลดโทษให้กับตัวเองได้เลย


ท่านผู้ชมครับ สัปดาห์นี้ผมจะลงรายละเอียดเรื่องนี้โดยเฉพาะ ผมจะอ้างอิงแนวคำพิพากษาศาลฎีกาเทียบเคียงให้เป็นระยะๆ ผมมี 2 คำ ที่จะเรียนท่านผู้ชมให้ทราบ คำแรก คือคำว่า "เสียสละ" คำที่สอง คือคำว่า "สวนสาธารณะ" เพราะเป็นคำที่คุณชูวิทย์ใช้และพูดต่างกรรมต่างวาระในการเสียสละที่ดินตัวเองเพื่อให้เป็นประโยชน์ เป็นสวนสาธารณะ

คำแรกคือคำว่า "เสียสละ" ราชบัณฑิตยสถานได้อธิบายคำว่า "เสียสละ" เป็นคำประสม คำว่า "เสีย" กับคำว่า "สละ" คำว่า "เสีย" คือทำให้สูญไป "สละ" คือบริจาคให้ เพราะฉะนั้นคำว่า "เสียสละที่ดิน" จึงมีความหมายเท่ากับว่า "อุทิศ" ซึ่งแปลว่า ให้ หรือยกให้ เช่นกัน

ส่วนอีกคำหนึ่ง คำว่า "สวนสาธารณะ" ซึ่งเป็นคำประสมระหว่าง "สวน" และคำว่า "สาธารณะ" ราชบัณฑิตยสถาน พจนานุกรมปี 2554 คำว่า "สาธารณะ" แปลว่า เพื่อประชาชนทั่วไป ดังนั้น "สวนสาธารณะ" จึงแปลว่า สวนเพื่อประชาชนทั่วไป

คำว่า "เสียสละที่ดินเพื่อใช้เป็นสวนสาธารณะ" จึงแปลตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานว่า เป็นการยินยอมให้ที่ดินเพื่อใช้ประโยชน์เป็นสวนเพื่อประชาชนทั่วไป


ท่านผู้ชมครับ เรามาดูในแง่มุมของกฎหมายบ้าง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304 (2) บัญญัติไว้เกี่ยวกับ "สาธารณะสมบัติของแผ่นดิน" ว่า มาตรา 1304 สาธารณะสมบัติของแผ่นดินนั้นรวมทรัพย์สินทุกชนิดของแผ่นดินเพื่อใช้เพื่อสาธารณะประโยชน์ หรือสงวนไว้เพื่อประโยชน์ส่วนรวม เช่น ทรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน เป็นต้นว่า ชายตลิ่ง ทางน้ำ ทางหลวง ทะเลสาบ" จะเห็นได้ว่า สาธารณะสมบัติของแผ่นดิน เขาพิจารณาทรัพย์สินชนิดนั้นจากการใช้เพื่อสาธารณะประโยชน์และพลเมืองใช้ร่วมกัน ใช่หรือไม่

แน่นอนที่สุด สวนสาธารณะ ย่อมต้องเป็นทรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ไม่ต่างกว่าชายตลิ่ง ทางน้ำ ทางหลวง ทะเลสาบ เพราะฉะนั้นแล้ว ทรัพย์สินใดถ้ามีการใช้เพื่อสาธารณะประโยชน์ร่วมกัน หรือพลเมืองใช้ร่วมกันเท่าไร ย่อมเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินอย่างแน่นอน และเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีการเสียสละที่ดินของเอกชนเพื่อให้พลเมืองใช้ประโยชน์ร่วมกัน จะด้วยทั้งวาจา หรือลายลักษณ์อักษร หรือยินยอมให้พลเมืองได้ใช้ประโยชน์ร่วมกัน ที่ดินแห่งนั้นย่อมกลายเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดิน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304 (2) ทันที

นี่คือเหตุผลว่าทำไมคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีที่ดิน ไม่ว่าจะด้วยวาจาที่ให้ประชาชนทั่วไปได้ใช้ประโยชน์ร่วมกัน หรือได้ยินยอมโดยพฤติการณ์ให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ร่วมกัน ที่ดินแห่งนั้นไม่ว่าเดิมจะเป็นกรรมสิทธิ์ของใครก็ตาม ย่อมเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินทันที ไม่ต้องรอการโอน และท่านผู้ว่าฯ ชัชชาติ ครับ ไม่ต้องรอการโอน หรือรอการจดทะเบียนโอนเลย ซึ่งไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงกลับไปได้เหมือนเดิมอีก

ท่านผู้ชมครับ ตามผมมานิดหนึ่ง พวกผมได้ทำไทม์ไลน์ที่ดินชูวิทย์ กลายเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินตอนไหน ? ย้อนกลับไปยี่สิบปีก่อน คุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ได้ซื้อที่ดินผืนนี้จากบริษัท ทิสโก้ ติดถนนสุขุมวิท ซอย 10 และขับไล่ด้วยความรุนแรงกับผู้ที่เช่าทำบาร์เบียร์อย่างอุกอาจมาก


26 มกราคม ได้มีการนำชายฉกรรจ์นับร้อยคน พร้อมรถแบ็กโฮ รื้อบาร์เบียร์จำนวน 60 ร้าน ที่ดินย่านสุขุมวิท ใจกลางเมืองนครหลวง ต่อมาตำรวจดำเนินคดี อัยการส่งฟ้องศาลอาญากรุงเทพใต้ ความผิดทำให้เสียทรัพย์ บุกรุกในเวลากลางคืน และกักขังหน่วงเหนี่ยว ข่มขืนใจให้บุคคลปราศจากเสรีภาพ

ตั้งแต่มีการดำเนินคดี คุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ได้ปรับที่ดินตรงนั้นมาเป็นสวนสาธารณะได้ใช้ฟรีเพื่อปรับภาพลักษณ์ตัวเองประการหนึ่ง และใช้ประโยชน์ในการบรรเทาโทษต่อศาลฎีกาด้วยอีกประการหนึ่ง ก็คือว่าเอาที่ดินของตัวเองนั้น บอกศาลฎีกาว่าจะทำให้เป็นสาธารณะประโยชน์สมบัติเพื่อขอแลกกับการให้ศาลฎีกาท่านลดโทษ ซึ่งศาลฎีกาท่านลดโทษจาก 5 ปี เหลือ 2 ปี

แต่ท่านผู้ชมดูแผนผัง ไทม์ไลน์ ที่ผมและทีมงาน Sondhi Talk ทำมา เฉพาะในภาพข้อความสี่เหลี่ยมสีแดง คือไทม์ไลน์จุดสำคัญที่พิสูจน์ได้ว่า ที่ดินแห่งนี้ได้ตกเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดิน ตั้งแต่วันที่ 24 ธันวาคม 2548 หรือประมาณ 18 ปีมาแล้ว


ผมจะขอสรุป 5 เหตุการณ์ คุณชูวิทย์อ้างว่ายกที่ดินให้สาธารณะ

ถ้ากล่าวโดยสรุปแล้ว มีเหตุการณ์มากมายถึง 5 เหตุการณ์ ที่คุณชูวิทย์ได้กล่าวโดยวาจา และเป็นคำให้การต่อศาลฎีกา โดยบันทึกในคำพิพากษาศาลฎีกา โดยบทความที่เผยแพร่สาธารณะและพฤติการณ์ ดังนี้

เหตุการณ์ที่หนึ่ง ด้วยวาจา ในวันเปิดสวนชูวิทย์ เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2548 ระบุชัดเจนว่าได้เสียสละที่ดินให้ใช้ประโยชน์เป็นสวนสาธารณะเพื่อเป็นปอดของ กทม. และให้ประชาชนสามารถใช้ได้ฟรี ไม่ได้ระบุเวลาด้วย คุณชูวิทย์ได้ระบุความตอนหนึ่งที่บันทึกปรากฏเป็นข่าวเผยแพร่ต่อสาธารณชนไปทั่ว ว่า "ยืนยันว่าที่ดินตรงนี้เป็นของผมและตระกูลกมลวิศิษฎ์ แต่ขอเสียสละ (ท่านผู้ชมจำได้ไหม ผมเอาความหมายของคำว่า เสียสละ จากราชบัณฑิตยสถาน และพจนานุกรม มาอธิบายให้ฟังแล้ว) ให้เป็นสวน กทม. ผมเคยบอกจะสร้างสวนสาธารณะให้เป็นปอด กทม. ต้องการให้เป็นตัวอย่างกับคนที่มีเงินเป็นแสนๆ ล้านบาท ว่าตายไปเอาอะไรไปไม่ได้ เหรียญบาท เงินปากผี สัปเหร่อยังเอาไปเลย (คุณชูวิทย์อย่าลืมคำพูดนี้นะ) ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เคยวางแผนจะใช้พื้นที่นี้สร้างโรงแรมระดับสี่ดาว และจ่ายค่าออกแบบไปแล้ว 30 ล้านบาท แต่ก็ได้ยกเลิกโครงการไปแล้ว"


ข้างต้นนั้นเป็นคำปราศรัยแสดงเจตนารมณ์ที่ชัดเจนมาก ชัดเจนว่าการเสียสละที่ดินโดยไม่กำหนดเงื่อนไขเวลา จึงระบุว่า ทรัพย์สิน ตายไปแล้วเอาอะไรไปไม่ได้ ซึ่งผมยังเก็บคลิปเสียงคุณชูวิทย์เมื่อเกือบ 17 ปีที่แล้วไว้ด้วย ถ้าคุณจำไม่ได้ หรือปฏิเสธว่าไม่ได้พูด ผมจะเอาไปเปิดในศาลเมื่อเรื่องนี้ถึงศาล ผมมีหมดแล้วครับ คลิปเสียงเมื่อ 17 ปีที่แล้ว คุณชูวิทย์ ผมมีอยู่ในมือผม ถ้าคุณอยากฟัง รอตอนที่ผมฟ้องศาล แล้วไปสู้คดีกันในศาล แล้วผมจะเปิดคลิปเสียงนี้ให้ฟัง

การเสียสละที่ดินเพื่อใช้ประโยชน์สาธารณะ แม้ด้วยวาจา ก็จะมีผลทันที เหตุการณ์นี้เทียบเคียงได้กับคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 264/2555 ที่กำหนดว่า การอุทิศด้วยวาจามีผลตามกฎหมายสมบูรณ์ การอุทิศที่ดินมีผลทันทีโดยไม่จำเป็นต้องจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์อีก ตามคำพิพากษาของศาลฎีกาที่ 4377/2559


เหตุการณ์ที่สอง โดยคำให้การต่อศาลฎีกาของคุณชูวิทย์ คุณชูวิทย์ให้การต่อศาลฎีกา 15 ตุลาคม 2558 เปลี่ยนคำให้การมาเป็นรับสารภาพผิด แล้วอ้างเรื่องที่ดินซึ่งเป็นที่ดินพิพาทให้ดำเนินการเป็นสวนสาธารณะทั่้วไป ยกเลิกโครงการก่อสร้างอาคารสูง และจะทำต่อไปเพื่อแสดงความสำนึกผิด ซึ่งแปลว่าไม่ได้กำหนดระยะเวลา การยื่นเอกสารครั้งนั้นทำให้ศาลฎีกาเลื่อนอ่านคำพิพากษาในวันเดียวกันนั้นไปอีกสามเดือนเศษ คือจากตุลาคม ไปเป็น 28 มกราคม 2559 คุณชูวิทย์ครับ ท่านผู้ชมครับ คุณชูวิทย์อาจจะจำไม่ได้ แต่ผมมีบันทึกนี้ในเวลานั้น คุณชูวิทย์ได้ยื่นคำให้การเรื่องที่ดินที่มีข้อพิพาทด้วยตัวคุณชูวิทย์เอง


ท่านผู้ชมครับ เอกสารฉบับนี้ ที่ผมมีอยู่ในมือ คือคำให้การรับสารภาพของคุณชูวิทย์ที่ยื่นต่อศาลฎีกาฉบับนี้ ไม่ใช่คำพิพากษาศาลฎีกาที่มีร้อยกว่าหน้า เอกสารฉบับนี้ถูกเก็บไว้เป็นความลับมาก เพราะเป็นเอกสารประกอบสำนวนคำพิพากษาที่มีเป็นร้อยๆ กล่อง เอกสารฉบับนี้มีที่ผม รายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ที่เดียว แม้กระทั่งกรุงเทพมหานครก็ไม่มี เพราะไม่รู้ว่ามีคำรับสารภาพที่มีรายละเอียดและใจความสำคัญเช่นนี้อยู่ มีที่ผมที่เดียว และอาจจะมีที่คุณชูวิทย์อีกที่หนึ่ง ในประเทศไทยตอนนี้มีเฉพาะคุณชูวิทย์กับผมที่มีอยู่

ท่านผู้ชมครับ ใจความสำคัญในเอกสารฉบับนี้เขียนว่า "ภายหลังเกิดเหตุ จำเลยที่ 129 (คือคุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์) ก็ได้สำนึกผิดอย่างมาก จึงได้ล้มเลิกโครงการสุขุมวิท 10 ตามเจตนาเดิม ซึ่งโครงการดังกล่าวนั้นหากสามารถทำได้สำเร็จก็จะทำให้จำเลยที่ 129 ได้รับรายได้ไม่ต่ำกว่าหนึ่งพันล้านบาท ตามรายละเอียดโครงการตามเอกสารท้ายคำแถลงหมายเลข 4 แต่จำเลยที่ 129 รู้สำนึกอย่างแท้จริง ทั้งที่บาร์เบียร์ตามแผนเดิมทั้งหลายถูกรื้อถอนเป็นพื้นที่ว่างเปล่าแล้ว และสามารถก่อสร้างโครงการสุขุมวิท 10 ได้โดยทันที แต่จำเลยที่ 129 ก็ไม่ทำโครงการต่อโดยยอมทิ้งผลประโยชน์มูลค่ากว่าหนึ่งพันล้านและยังได้นำเงินส่วนตัวมาลงทุนก่อสร้างสวนสาธารณะชื่อสวนชูวิทย์ ด้วยเงินลงทุนกว่า 100 ล้านบาท โดยมีจุดประสงค์ให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ดังเช่นสวนสาธารณะทั่วไปและเป็นปอดใจกลางกรุงเทพมหาคร ซึ่งประชาชนก็ได้ใช้ประโยชน์เรื่อยมาตั้งแต่สร้างเสร็จจนถึงปัจจุบัน แล้วการดูแลรักษาสวนชูวิทย์ดังกล่าวแต่ละเดือน โดยรวมประมาณปีละ 828,000 บาท ตั้งแต่ปี 2548 ถึงปัจจุบันปี 2558 รวมระยะเวลา 10 ปี เป็นเงินประมาณ 8,280,000 บาท โดยไม่มีรายได้แม้แต่น้อย เป็นการชดเชยและแสดงถึงความสำนึกในการกระทำความผิดบนที่ดินแปลงดังกล่าวอย่างแท้จริง ปรากฏตามภาพถ่ายสวนสาธารณะและรายละเอียดเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ ตามเอกสารท้ายคำแถลงหมายเลข 6 ซึ่งปัจจุบันจำเลยที่ 129 ก็ยังให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์สาธารณะจากสวนชูวิทย์และจะทำต่อไป เพื่อแสดงความสำนึกผิดในการกระทำของตนเองที่กระทำต่อผู้อื่นและละเมิดกฎหมายของรัฐ ..."


ประเด็น คำให้การนี้ คุณชูวิทย์เขียนเองนะครับ ก็แสดงว่าเป็นการเสียสละ ไม่ทำโครงการต่อ ยอมทิ้งผลประโยชน์แบบไม่กำหนดระยะเวลา และยังก่อสร้างสวนชูวิทย์เป็นสวนสาธารณะทั่วไปและเป็นปอดใจกลางกรุงเทพมหานคร คำสองคำนี้แสดงให้เห็นการได้ใช้ประโยชน์สาธารณะอย่างชัดเจน จึงเป็นการยกที่ดินให้เป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินเรียบร้อยแล้ว คำให้การนี้ยืนยันด้วยว่าจะทำต่อไป จึงเท่ากับไม่ได้กำหนดระยะเวลาด้วยเช่นกัน และไม่ได้เป็นอย่างที่คุณชูวิทย์อ้างว่ายื่นต่อศาลว่า "ให้เป็นสวนสาธารณะแค่ 12 ปี" คุณชูวิทย์โกหก โกหก ผมมีหลักฐานชัดเจน เป็นคำร้องที่คุณชูวิทย์เขียนต่อศาล ไม่มีกำหนด แต่คุณดันอ้างว่าคุณยื่นต่อศาลให้เป็นสวนสาธารณะแค่ 12 ปี

ในข้อเท็จจริง คุณชูวิทย์พอถูกศาลฎีกาพิพากษาจำคุก ให้ลดโทษจำคุกจาก 5 ปี เหลือ 2 ปี

วันที่ 28 มกราคม 2559 ก็ติดคุกจริงไม่ถึงปี คุณชูวิทย์ออกจากเรือนจำวันที่ 16 ธันวาคม 2559


พอได้รับอิสรภาพทันที คุณชูวิทย์ก็ออกทันที ภายในระยะเวลา 1 ปี ออกจากเรือนจำมาวันที่ 16 ธันวาคม 2559 อีก 1 ปีถัดมา คือ 30 ธันวาคม 2560 ก็ดำเนินการปิดสวนชูวิทย์

ทั้งนี้ทั้งนั้นแม้คุณชูวิทย์จะปิดสวนไป และพยายามเอาที่ไปทำธุรกิจต่อ โดยอ้างว่าเป็นที่ดินของตัวเอง แต่คำให้การในการอุทิศที่ดินต่อศาลฎีกา ได้มีการบันทึกเอาไว้อย่างชัดเจน จึงมีผลตามกฎหมายโดยสมบูรณ์อีกเช่นกัน และการอุทิศที่ดินเป็นสาธารณะไม่อาจจะสูญสิ้นได้


เหตุการณ์ที่สาม อ้างอิงจากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 19662-19664/2557 ระบุวันที่ 29 ธันวาคม 2558 ภายหลังจากคุณชูวิทย์ได้ยื่นคำให้การใหม่ต่อศาลเป็น หนึ่ง รับสารภาพ สอง ได้เยียวยาผู้เสียหายแล้ว และ สาม ได้นำที่ดินเป็นสวนสาธารณะโดยไม่ได้กำหนดระยะเวลา ศาลได้บันทึกคำพิพากษาเหตุในการลดโทษ จาก 5 ปี เหลือ 2 ปี ไม่ใช่เพราะเป็นคำให้การใหม่รับสารภาพในชั้นศาลฎีกา แต่มาจากการเยียวยาผู้เสียหายจำนวนหนึ่ง กับเหตุผลเพราะได้นำที่ดินมาเป็นสวนสาธารณะ โดยศาลฎีกาได้พิพากษาในการลดโทษอันมีเหตุจากที่ดินที่ยื่นคำให้การมา ความตอนหนึ่งว่า "นอกจากนี้ยังปรากฏว่าจำเลยที่ 129 นำที่ดินพิพาทมาก่อสร้างเป็นสวนสาธารณะเพื่อให้ประชาชนใช้พักผ่อน ไม่ได้นำที่ดินพิพาทไปก่อสร้างศูนย์การค้าย้อนยุคเพื่อแสวงหาประโยชน์ตามที่ตั้งใจไว้ ทำให้สูญเสียค่าใช้จ่ายและรายได้จำนวนมาก บ่งบอกว่าจำเลยที่ 129 และฝ่ายจำเลยรู้สำนึกผิดที่ได้กระทำไป ที่ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยที่ร่วมกันกระทำผิดโดยจำคุกสูงสุดคนละ 5 ปีนั้น จึงหนักเกินไป เห็นควรกำหนดโทษใหม่ให้เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดี"


หลังจากยื่นคำให้การไปแล้ว วันที่ 28 ตุลาคม 2558 คุณชูวิทย์ยังได้ยื่นเอกสารท้ายคำแถลงเพิ่มเติม เต็มไปด้วยแผนที่ ภาพถ่ายสวนสาธารณะ

ท่านผู้ชมครับ เพราะฉะนั้นแล้ว การที่ศาลฎีกาลดโทษจากศาลอุทธรณ์ส่วนหนึ่ง จึงมาจากเหตุการณ์ที่นำที่ดินพิพาทมาก่อสร้างเป็นสวนสาธารณะ โดยระบุในคำให้การของคุณชูวิทย์ว่าเป็นสวนสาธารณะทั่วไป ท่านผู้ชมครับ ทั้งหมดนี้ย่อมมีสถานภาพเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดิน และเนื่องจากคำให้การในการยื่นเรื่องที่ดินให้เป็นสวนสาธารณะนี้ ไม่ได้กำหนดระยะเวลา จึงย่อมเป็นสวนสาธารณะสมบัติของแผ่นดินไปแล้ว ไม่สามารถจะนำกลับคืนมาได้อีก หรือไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นได้อีก

เหตุการณ์ที่สี่ เป็นบทความเผยแพร่สาธารณะ เขียนโดยคุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เอง หลังจากคุณชูวิทย์ติดคุกตั้งแต่วันที่ 28 มกราคม 2559 ได้เลื่อนชั้นนักโทษ ได้รับการลดโทษ พระราชทานอภัยโทษ ตามลำดับ จนได้รับการปล่อยตัววันที่ 17 ธันวาคม พ้นโทษมาไม่ถึง 1 เดือน คุณชูวิทย์เขียนบทความในมติชนสุดสัปดาห์ฉบับวันที่ 25 มกราคม ในหัวข้อเรื่อง "บทความพิเศษ : เรียนรู้คุก (1) โดย ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์"


โดยข้อเขียนระบุว่า ได้ลดโทษเพราะการนำที่ดินมาเป็นสวนสาธารณะว่า แม้ว่าศาลชั้นต้นจะพิพากษายกฟ้อง และศาลอุทธรณ์กลับคำพิพากษาตัดสินจำคุก 5 ปี คำรับสารภาพของผมแม้ว่าศาลฎีกาจะไม่รับพิจารณา แต่ก็ลดโทษจาก 5 ปี เหลือ 2 ปี เหตุเพราะผมสำนึกผิด และพยายามเยียวยาโดยนำเอาที่ดินมูลค่ามหาศาลมาทำเป็นสวนสาธารณะ ปลูกต้นไม้ให้เป็นประโยชน์กับประชาชน สามารถเข้ามาพักผ่อนหย่อนใจท่ามกลางตึกสูงระฟ้า ทั้งโรงแรมและสำนักงานล้อมรอบ แทนที่จะนำที่ดินมาทำประโยชน์หาผลตอบแทนทางธุรกิจ


แต่พอพ้นโทษออกมา คุณชูวิทย์ก็ได้เขียนบทความอ้างว่า ที่ผ่านมาให้ชั่วคราว และจะเอาที่ดินคืนในตอนหนึ่งว่า "ตลอดระยะเวลาตั้งแต่ซื้อที่ดินแปลงนี้มา เมื่อเป็นปัญหาคดีความ ผมจะเอาที่ดินมาเป็นปอดให้กรุงเทพมหานคร แต่จะเป็นระยะเวลาชั่วคราว เพราะในอนาคตยังไม่รู้ว่าจะนำไปทำประโยชน์อันใด ถือว่าเป็นอนาคต เพราะว่าที่ดินนี้เป็นของผม"

ท่านผู้ชมเห็นหรือยัง กลับหมดเลย ตรงกันข้ามกับกฎหมายเป๊ะๆๆ เลย

จุดนี้ผมว่าคุณชูวิทย์เข้าใจผิด การให้ที่ดินเพื่อเป็นสวนสาธารณะเพื่อให้พลเมืองได้ใช้ประโยชน์ เป็นสาธารณะสมบัติทันที ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงกลับมาด้วยความเข้าใจของคุณชูวิทย์เอง ทำไม่ได้ครับคุณชูวิทย์


เหตุการณ์ที่ห้า พฤติการณ์ที่คุณชูวิทย์ที่ให้ประชาชนใช้เป็นสวนสาธารณะเป็นเวลา 12 ปี จึงเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินโดยปริยาย ทั้งนี้ สวนชูวิทย์ได้เปิดให้ประชาชนใช้เป็นสวนสาธารณะของพลเมืองร่วมกันตั้งแต่วันที่ 24 ธันวาคม 2548 และได้ใช้ต่อเนื่องมาจนถึง 30 ธันวาคม 2560 แม้ไม่มีโดยวาจาการใช้ประโยชน์ยาวนานขนาดนั้น ก็ย่อมเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินโดยปริยาย

ทำไมผมถึงพูดอย่างนั้น ? เพราะว่ามีคำพิพากษาศาลฎีกา เลขที่ 6067/2552 และเลขที่ 2526/2540 ระบุว่า การอุทิศที่ดินให้เป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดิน อาจกระทำได้โดยปริยายก็ได้เช่นกัน เช่น ยินดีให้ประชาชนใช้สอยโดยไม่หวงห้าม การให้ประชาชนพลเมืองใช้ที่ดินเอกชนเป็นสวนสาธารณะตามวาจาที่คุณชูวิทย์เคยให้ไว้ จึงไม่สามารถจะย้อนกลับมาได้อีกแล้ว เมื่อคุณชูวิทย์ปิดสวนสาธารณะไปเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2560 ก็ไม่มีพลเมืองหรือประชาชนเข้าไปใช้ได้แล้ว แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินหายไป ยังคงเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินเช่นกัน


เมื่อพิจารณาจากคำพิพากษาศาลฎีกาเลขที่ 2004/2544 นั้น ชี้ชัดว่าการอุทิศที่ดินเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินไม่อาจสูญสิ้นไปเพราะการไม่ได้ใช้ แม้ประชาชนส่วนใหญ่จะมิได้ใช้ทางพิพาทตามวัตถุประสงค์ก็ตาม

ข้อสำคัญมากกว่านั้น คำพิพากษาศาลฎีกาเลขที่ 11089/2556 ชี้ชัดว่า ผู้อุทิศที่ดินเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินไปแล้ว จะขอยกเลิกการอุทิศที่ดินนั้นย่อมทำไม่ได้ ชัดเจนไหมครับ ท่านผู้ชม คุณชูวิทย์ ชัดเจนไหม

ผมให้ข้อเตือนใจนะครับท่านผู้ชม กับทุกคนที่เกี่ยวข้องกับการรื้อสวนสาธารณะ แล้วสร้างอาคารใหม่ มิกซ์ยูส 51 ชั้น ที่ใช้ชื่อว่า "เทนธ์ อเวนิว" (Tenth Avenue) โดยเฉพาะท่านผู้ว่าฯ ชัชชาติ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ออกมาทะเล่อทะล่ารับประกัน อุ้มคุณชูวิทย์ ไม่ดูตาม้าตาเรือ ไม่ดูความผูกพันของข้อกฎหมายทั้งปวง


ประการที่หนึ่ง ว่าเป็นการบุกรุกสาธารณะสมบัติของแผ่นดินหรือเปล่า ประการที่สอง เป็นการทำลายสาธารณะสมบัติของแผ่นดินหรือเปล่า ประการที่สาม การออกใบอนุญาตก่อสร้าง คุณทำไปได้อย่างไร ถ้าคุณอ้างว่าไม่ทราบเรื่องสาธารณะสมบัติของแผ่นดินก่อนหน้านั้น แต่เมื่อทราบถึงปัญหานี้แล้ว ว่าเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดิน คุณจะเพิกถอนใบอนุญาตก่อสร้างหรือไม่ หรือจะละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือไม่

ท่านผู้ว่าฯ ชัชชาติครับ ท่านผู้อำนวยการเขตครับ ท่านใจเย็นๆ เรื่องของท่านถึง ป.ป.ช. แน่นอน แล้วหลักฐานที่ผมมีอยู่นั้นจะส่งมอบให้ ป.ป.ช. ด้วย ท่านผู้ว่าฯ ครับ พูดตรงๆ นะ ท่านรอดยากงานนี้ ถ้าท่านยังออกมาปกป้องคุณชูวิทย์อยู่เหมือนเดิม เหมือนกับท่านมีวาระซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลัง

ประการที่สี่ ผู้รับเหมาก่อสร้าง หรือผู้สนับสนุนทางการเงิน เป็นผู้สมรู้ร่วมคิด หรือกระทำการทำลายสาธารณะสมบัติของแผ่นดินด้วยหรือเปล่า นี่เป็นเรื่องที่น่าคิด


ผมฝากข้อคิดไว้ตรงนี้ดีกว่า คนที่ตัดสินเรื่องนี้ไม่ใช่ผม ไม่ใช่คุณชูวิทย์ ไม่ใช่ผม ไม่ใช่ผู้ชม ไม่ใช่ท่านผู้ว่าฯ ชัชชาติ เรื่องนี้จะต้องมีการนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม และพิจารณาใหม่โดยศาลอย่างแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามคำพิพากษาศาลฎีกาเลขที่ 264/2555 ที่ระบุว่า ผู้อุทิศที่ดินไปแล้วกลับมาครอบครองที่ดินอีกครั้ง แม้จะครอบครองนานเพียงใด ก็ไม่ทำให้ที่ดินนี้กลับมาเป็นของคุณชูวิทย์อีก จะยกเอาอายุความต่อสู้กับแผ่นดินก็ไม่ได้ แต่ถ้าเจ้าหน้าที่รัฐ และผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร หรือใครก็ตาม ออกมาค้ำประกันคุณชูวิทย์ คุณชัชชาติครับ คุณรับความเสี่ยงคดีอาญา ข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ฯ กันเอาเองอย่างแน่นอน คุณโดนแน่ คุณชัชชาติ ไม่ต้องห่วง ความฝันที่คุณจะพ้นจากผู้ว่าฯ กทม. แล้วคุณจะเดินหน้าทางการเมืองให้ใหญ่ไปกว่านั้น น่าจะมืดมนล่ะ

ที่ผมต้องเตือนวันนี้ เพราะผมได้ทำหนังสือร้องเรียนไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว ทั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ผู้อำนวยการเขตคลองเตย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และอัยการสูงสุด ซึ่งหากมีใครละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ผมจะดำเนินคดีทั้งหมด ผมสาบานว่าผมจะเอาให้ถึงที่สุดเลย ไปให้สุดซอยเลย

คุณชัชชาติได้ให้สัมภาษณ์เมื่อวันจันทร์ที่ 27 มีนาคม 2566 ว่า ได้รับรายงานเมื่อช่วงเช้าจากนายขจิต ชัชวานิชย์ ปลัด กทม. พบว่าโฉนดที่ดินดังกล่าวยังไม่ได้ยกให้เป็นสาธารณะ และ กทม. ไม่ได้มีส่วนร่วมเข้าไปปรับปรุงให้เป็นพื้นที่สาธารณะแต่อย่างใด เนื่องจากเป็นที่ดินเอกชน มีการจ่ายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ต่อเนื่องตามกฎหมาย มีการจ่ายภาษีแล้วกว่า 3 ล้านบาท


คุณชัชชาติกล่าวต่อ ว่า การยกที่ดินให้เป็นที่สาธารณะ เข้าใจว่าเกิดขึ้นจากคำให้การในศาลฎีกา จึงมอบหมายให้ปลัด กทม. ทำหนังสือขอคัดคำพิพากษาหรือคำให้การชั้นศาลว่ามีการปฏิบัติทางกฎหมายอย่างไร ข้อมูลที่แสดงเจตจำนง ทั้งถ้อยแถลงเจตนา ซึ่งทางศาลไม่ได้แจ้งข้อมูลส่วนนี้ ทางสำนักงานโยธาได้ทำหนังสือแจ้งไปเจ้าของโครงการก่อสร้าง เตือนถึงข้อพิพาทที่เกิดขึ้น หากดำเนินการก่อสร้างแล้วเกิดปัญหาภายหลัง ก็ต้องรับความเสี่ยงและรับผิดชอบเอง โดย กทม. ไม่ได้สั่งให้ยุติการก่อสร้าง เพราะไม่มีข้อกฎหมายให้ดำเนินการ

ท่านผู้ชมครับ ท่านผู้ว่าฯ ครับ ท่านผู้ว่าฯ คงไม่ได้อ่านหรือให้คนไปศึกษาคำพิพากษาศาลฎีกานับสิบคดี ว่าการให้เป็นที่ดินสาธารณะไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะคำพิพากษาศาลฎีกา แต่เกิดขึ้นจากการพูดโดยวาจาในวันเปิดสวนชูวิทย์ โดยคำให้การในศาล บันทึกในคำพิพากษาศาลฎีกา พฤติการณ์ที่ให้ประชาชนทั่วไปได้ใช้สวนสาธารณะถึง 12 ปี โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย ผมว่าหลังจากนี้ถ้าคุณชัชชาติยังยืนยันตามคำพูดท่าน ซึ่งผมส่งหนังสือร้องเรียนไปแล้ว คุณชัชชาติจะต้องถูกดำเนินคดีตามมาแน่นอน เพราะถ้าไม่มีใครทำ ผมจะทำเอง ร่วมกับอาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ผมจะดำเนินคดีความคุณชัชชาติ และคุณชูวิทย์ ผู้ถูกร้อง ไปพร้อมกับ ป.ป.ช. แล้วมาดูกันว่า ป.ป.ช. จะจัดการกับผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่เขาจะดำเนินการกับพวกคุณสองคนได้อย่างไร

ท่านผู้ชมครับ ในช่วงที่ผ่านมาคุณชูวิทย์ออกมาแถลงข่าวข้างๆ คูๆ ว่า ใครมีที่ดินแล้วเอามาลดโทษได้บ้าง ผมคิดว่าคุณชูวิทย์ไม่น่าจะได้อ่านตามคำพิพากษาหรืออย่างไร ว่า ผู้พิพากษาระบุว่า สาเหตุที่บรรเทาโทษให้คุณ เพราะเป็นที่ดินพิพาทที่มีปัญหาแล้วเอามาทำสวนสาธารณะ ไม่ใช่ที่ดินทั่วไป เพื่อแสดงความสำนึกผิดต่อคดีที่เกิดขึ้นจริงๆ คุณชูวิทย์ เลิกบิดเบือนเรื่องนี้ได้แล้ว

เรื่องถัดมา คุณชูวิทย์บอกชื่อโฉนดเป็นของคุณชูวิทย์ หรือบริษัทครอบครัวของคุณชูวิทย์ จ่ายภาษีที่ดินเพื่อแสดงกรรมสิทธิ์อยู่ จนลืมไปว่าที่เป็นอย่างนั้นเพราะคุณชูวิทย์ยังไม่ได้จดทะเบียนให้เป็นกรรมสิทธิ์ของภาครัฐ ทางเอกสารเท่านั้น แต่ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ผมเล่าให้ฟัง มิอาจลบล้างความเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินได้แต่อย่างใด


คุณชูวิทย์ครับ การที่คุณบอกจะยกที่ดินให้เป็นสวนสาธารณะ แต่กลับมีพฤติกรรมชักเข้าชักออก วันหนึ่งพูดอย่าง อีกวันพูดอีกอย่าง วันหนึ่งเขียนคำให้การศาลอย่างหนึ่ง อีกวันหนึ่งกลับมารับสารภาพแล้วบอกจะยกที่ดินให้เป็นสวนสาธารณะ ระบุด้วยว่า จะทำต่อไป แต่พอคุณได้ลดโทษจาก 5 ปี เหลือ 2 ปี ติดคุกไม่กี่ปีคุณก็เปลี่ยนใจแล้ว ออกมาแค่ปีเดียวก็ปิดสวนสาธารณะ เข้ายึดที่ดินที่ตัวเองบอกจะยกให้เป็นสวนสาธารณะ ทำให้ตัวเองได้รับการลดโทษแล้ว กลับไปทำโครงการของตัวเอง อ้างว่าเป็นของผม เป็นของผม เป็นของผม ผมซื้อมา ผมจ่ายภาษีแล้ว

ผมอยากจะเรียนถาม การกระทำของคุณชูวิทย์เช่นนี้เข้าข่ายเป็นการโกหกศาลหรือเปล่า ? เพราะคุณยื่นคำร้องให้ศาล แล้วคุณกลับทำอีกแบบหนึ่ง โกหกศาลหรือเปล่า ? ผมแค่ถามนะ ผมไม่ได้หาเรื่องอะไรคุณ แล้วถ้าต่อไปในอนาคตมีคนทำอย่างคุณชูวิทย์อีก เพื่อให้ศาลฎีกาพิจารณาลดโทษ ศาลจะพิจารณาอย่างไร

ท่านผู้ชมครับ ความจริงเรื่องนี้มีเพียงหนึ่งเดียว ที่มีเพียงหนึ่งเดียวจากผม ว่า ทำไมสวนชูวิทย์ถึงต้องกลายเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดิน

กรรมไล่ล่า "ชูวิทย์" และตรรกะวิบัติของบรรดาติ่ง

ท่านผู้ชมครับ 2-3 วันที่ผ่านมา คุณชูวิทย์โพสต์รัวๆ เลยในเฟซบุ๊กของเขา สรุปก็คือ ดุด่าว่ากล่าวแดกดันผมโดยเฉพาะ จริงๆ แล้วผมตั้งปณิธานว่าจะลด ละ เลิก พูดถึงประเด็นเรื่องคุณชูวิทย์ เพราะผมเตือนไปตั้งแต่วันแรกแล้วว่าที่คุณออกมาโหวกเหวกโวยวาย พาดพิงถึงผมนั้น คุณชูวิทย์ต้องเลิกโกหกเสียก่อน


ผมเคยถามคุณชูวิทย์ว่ารู้จักพระพุทธเจ้าหรือเปล่า ถ้าผมพูดคำนี้ไป ท่านผู้ชมคงจำได้ พระพุทธเจ้าพูดว่า "คนพูดเท็จไม่ทำชั่วนั้น ไม่มี"

วันนี้ข้อเท็จจริงหลายๆ อย่างก็เริ่มเปิดเผยออกมาแล้ว เกี่ยวกับตัวคุณชูวิทย์ ว่าคุณชูวิทย์พูดเท็จและโกหกอะไรไว้บ้าง ผมคิดว่าจะมีการเปิดเผยออกมาเรื่อยๆ ที่แสดงให้เห็นตัวตนของคุณชูวิทย์ เพราะดูเหมือนว่าถึงวันนี้หลักสัจธรรมที่ว่า "ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว" กำลังไล่ล่าคุณชูวิทย์อยู่ จนต้องออกมาโอดครวญว่าตอนนี้มีขบวนการพยายามจะปิดปากตนเอง มีทั้งทนายความ พวกหิวแสง นักร้องเรียนทั้งหลาย จนกระทั่งคุณชูวิทย์ต้องพึ่งทนาย บอกว่าใครฟ้องมา จะฟ้องกลับ จะสู้ทางกฎหมาย โดยใช้คุณอนันต์ชัย ไชยเดช เป็นทนายความ


จริงๆ แล้วคุณชูวิทย์อาจจะไม่รู้ว่าคุณชูวิทย์กำลังรับกรรมอยู่ กรรมกำลังไล่ล่าตัวคุณชูวิทย์ เพราะคุณสาบานบ่อยเหลือเกิน สาบานบนพื้นฐานที่คุณโกหก "กรรม" คุณชูวิทย์อาจจะไม่เชื่อ แต่ผมเชื่อ

พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน หลวงปู่ชอบ ฐานสโม หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี หลวงปู่หล้า เขตปัตโต สมเด็จญาณสังวร ทุกองค์ท่านยืนยันว่า กรรมนั้นเป็นอะไรบางอย่างที่มนุษย์เราในโลกนี้หนีไม่พ้น คุณต้องรับไป

แล้วคุณโกหกอะไรบ้าง ? ข้อที่หนึ่ง ตั้งแต่คุณปฏิเสธยืนกรานไม่ได้รับเงิน ไม่ได้รับงานใคร แต่พอถูกจับได้ปั๊บ คุณก็แถแบบหน้าด้านๆ รับงานจริง แต่ไม่ได้รับเงิน จะมีคนเชื่อหรือเปล่า เพราะจู่ๆ มีคนเอาเงินมาให้คุณ 6 ล้าน แล้วคุณรับ แล้วเมื่อย้อนกลับไปว่าคุณรับงานมา คุณบอกคุณไม่ได้รับเงิน ผมไม่รู้ว่าประชาชนเขาจะเชื่อหรือเปล่า ถ้าคุณโกหก นั่นคือกรรมหนึ่งล่ะ มุสาวาทา


ต่อมาคุณกล่าวหาข้อที่สองว่ามีคนรับเงิน เงินทอน 30,000 ล้าน พูดเป็นตุเป็นตะ โอนเข้าบัญชี HSBC สิงคโปร์ คุณมีเบอร์บัญชีด้วย แต่ถึงเวลาจริงๆ คุณก็ไม่พูด อ้างไปว่ายังประมูลไม่เสร็จ ก็เลยไม่มีเงินทอน โกหกอีกดอกหนึ่ง ก็จะมีเฉพาะ FC โง่ๆ ของคุณเท่านั้นที่เชื่อคุณ แต่คนมีสติปัญญา โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ดูรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ฟังดูเหตุการณ์แล้ว เขาไม่เชื่อคุณหรอก

ข้อที่สาม คุณรับงานคุณคีรี กาญจนภาสน์ กับ บีทีเอส มาโกหกเกี่ยวกับเรื่องการประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้มหลายข้อ ซึ่งติ่งคุณชูวิทย์ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว พูดเรื่องการทุจริตรถไฟฟ้าสายสีเขียว ก็มาถามว่าทำไมไม่พูดถึงสายสีส้มบ้าง


สัปดาห์ที่แล้วผมเบิกเนตร อธิบายให้ฟังอบย่างละเอียดไปแล้ว แถมยกหลักฐานมาเปิดเผยให้ดูแบบละเอียดยิบ เพราะพวกคุณเรียกร้องมา ผมเลยจัดให้เต็มๆ พวกที่ไม่รู้เรื่องไม่รู้ราว เพราะเรื่องนี้มีแต่รายละเอียดที่มาที่ไป มัวแต่ฟังคำโกหกของคุณชูวิทย์ มโนไปว่ามีเงินทอน 30,000 ล้าน มีส่วนต่างประมูลค่าก่อสร้าง 60,000 กว่าล้าน ถ้ารู้เรื่อง ฟังพอออก ก็จะรบกวนช่วยเข้ามาตอบและมาถกเถียงกันในประเด็นนี้ด้วย ไม่ใช่พอได้ฟังข้อมูลแล้วก็ทำตัวเหมือนผีโหย พอเจอแสงแล้วก็หลบหนีไปเลย

คุณรู้ไหมครับ คุณชูวิทย์ คุณบอกว่ามีคดีความสายสีส้มที่รอคำตัดสินของศาลปกครองสูงสุด ที่คุณพูดนักพูดหนา หนึ่ง คดียังไม่จบ ขอให้ฟังคำพิพากษา

อีกเรื่องหนึ่ง เรื่องนี้เป็นบทพิสูจน์ว่าคุณรับงานมาโกหก ปั่นหัวประชาชน กรณีประมูลรถไฟสายสีส้ม เรื่องการล็อกสเปก มีเงินทอน แก้ TOR ผมอธิบายไปเยอะแล้วเมื่อวันศุกร์ที่ 24 มีนาคม แต่เมื่อเช้าวานนี้ คุณชูวิทย์รู้หรือเปล่า พฤหัสบดีที่ 30 มีนาคม ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษายกฟ้องคดีที่บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ หรือ บีทีเอส ฟ้องคณะกรรมการคัดเลือกฯ รฟม. ว่าล้มประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มโดยมิชอบ คุณชูวิทย์ตั้งใจฟังให้ดีๆ นะครับ และติ่งคุณชูวิทย์ก็ตั้งใจฟังนะ


ผมบอกแล้วว่าเรื่องรถไฟฟ้าสายสีส้ม สายสีเขียว ผมไม่สนใจหรอก ผมสนใจศาลว่าอย่างไร และผมสนใจ ป.ป.ช. ว่าอย่างไร

ศาลปกครองสูงสุดพิเคราะห์แล้วเห็นว่าการยกเลิกประกาศเชิญชวนและการยกเลิกการคัดเลือกเอกชนตามประกาศเชิญชวน มิได้เป็นไปโดยอำเภอใจ การยกเลิกเป็นไปเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ระหว่างรัฐและเอกชน ตามมาตรา 6 พระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำที่สุจริต ไม่เป็นการเลือกปฏิบัติ และเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย

งานนี้มีคำถามถึงคุณชูวิทย์ และติ่งคุณชูวิทย์ที่ออกมาโวยวายก่อนหน้านี้ รวมทั้งคุณคีรีด้วย ตีโพยตีพาย กล่าวหาโน่นกล่าวหานี่ วันนี้ตรงกันข้ามแล้ว ท่านผู้ชมครับ ความจริงมีหนึ่งเดียว


เอาล่ะ กลับมาถึงข้อที่สี่ การจับโกหกข้อนี้ต้องบอกว่าเหมือนคนไทยโบราณเขาพูดว่า "จับได้คาหนังคาเขา" คุณชูวิทย์บอกจะคัดค้านนโยบายกัญชา ไม่สนับสนุนกัญชาเสรี กลับไปเปิดบาร์กัญชา CHUWEED ในโรงแรมเดอะเดวิส แถมยังให้ร้านกัญชาที่ชื่อ DISPENSARY 24 เช่าพื้นที่เปิดโรงแรมอีก หน้าไหว้หลังหลอกจริงๆ ติ่งคุณชูวิทย์ครับ คุณคิดอย่างไร ไอดอลของคุณบอกว่าไม่เห็นด้วยกับกัญชา โน่นนี่ แต่ไอดอลคุณเอาโรงแรมตัวเองให้ลูกชายตัวเองเปิดบาร์กัญชา ถ้าคุณยังรักและยังชื่นชมไอดอลคนนี้ของคุณ ก็เชิญตามสบายเลยครับ ผมไม่อยากจะลงนรกไปกับพวกคุณด้วย

ข้อที่ห้า บิดเบือนเรื่องสมุนไพร เรื่องนโยบายกัญชา ตลอดเวลา เพราะต้องการโจมตีพรรคภูมิใจไทย แต่พอาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ซึ่งท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องนี้ และท่านทำเรื่องกัญชามาตั้งแต่พรรคภูมิใจไทยยังไม่ได้เอากัญชามาเป็นนโยบาย ท่านมีความรู้สึกว่าคุณชูวิทย์เป็นคนเกเร ลักษณะจะออกอันธพาล ท่านเลยถามคุณชูวิทย์ว่า มันดีเบตกับผมไหม ผมอุตส่าห์ติดต่อไปทางคุณกรรชัย ว่า สนใจไหมจะเอาอาจารย์ปานเทพ กับคุณชูวิทย์ มาดีเบตเรื่องกัญชา คุณกรรชัย บอกว่า ดีครับ แต่คุณชูวิทย์คงไม่มา


แต่คุณชูวิทย์ คุณกลับตอบแบบเอาสีข้างถูผนัง ผมไม่รู้ว่าคุณไปหาหมอบ้างหรือยัง เพราะคุณใช้สีข้างถูเยอะเหลือเกิน คุณอ้างว่าอาจารย์ปานเทพเป็นเด็กเมื่อวานซืน

ข้อที่หก กรรมการ ป.ป.ช. คนหนึ่ง ชื่อ สุชาติ ตระกูลเกษมสุข คุณไปกล่าวหาว่าเขาขาดคุณสมบัติ ทั้งๆ ที่ไม่จริง คุณพยายามให้ร้ายเพราะคุณต้องการให้คุณสุชาติไม่ต้องทำหน้าที่ ป.ป.ช. แล้วเรื่องคดีที่ดินของคุณ ผมจะบอกข่าวร้ายให้คุณรู้ด้วยว่า ถ้าผมฟ้องไปแล้ว ยื่นไป ป.ป.ช. แล้ว แล้วผูกผู้ว่าฯ ชัชชาติเข้าไปด้วย มันเป็นคดีเรื่องของนักการเมืองแล้ว เข้า ป.ป.ช. คุณชูวิทย์ครับ มันต้องตกไปคณะของคุณสุชาติที่คุณไปให้ร้ายเขา เอาล่ะ คุณเตรียมให้ร้ายคุณสุชาติต่อก้แล้วกัน มันงานถนัดของคุณนี่


ยังไม่นับเรื่องส่วนตัวคุณชูวิทย์ ที่คุณโกหกเรื่องเกี่ยวกับผมหลายเรื่อง ทั้งที่คุณอยู่ในเรือนจำ เรื่องสุขภาพของผม โกหกอย่างหน้าด้านๆ ซึ่งผมไม่ย้อนไปเล่าให้ฟัง เพราะตัวคุณคงรู้แก่ใจดีว่าเรื่องไหนที่คุณโกหกออกมาแบบหน้าด้านๆ พอคุณถูกจับได้ คุณชูวิทย์ ท่านผู้ชมครับ ใช้บทเตมีย์ใบ้ ไม่พูด

ท่านผู้ชมครับ กรรมจากการโกหกของคุณชูวิทย์ก็คือ ถูกแฉแอบรับเงินบาปมาทำบุญในชื่อตัวเอง แต่พอจับได้ก็สารภาพ อ้างว่าไม่อยากรับแต่ไม่รู้จะทำอย่างไร ผมพูดไปแล้วเรื่องนี้ ผมไม่อยากจะซ้ำเติม

พอคุณชูวิทย์โดนทนายตั้มออกมาแฉเรื่องรับเงิน คุณชูวิทย์ก็เลยเปลี่ยนสถานภาพตัวเองเป็นมหาโจรทันที เพื่อให้สมบทบาทว่ามหาโจรมาปราบโจร เพราะฉะนั้นสามารถจะทำอะไรที่ค่อนข้างจะไม่ถูกกฎหมาย ก็ต้องให้อภัยกัน ผมเกิดมา ให้ตาย ผมไม่เคยเจอใครหน้าด้านเท่าคุณเลย


แล้วไปอ้างว่าโรบินฮูดปล้นคนรวยช่วยคนจน เอามาบริจาค FC โง่ๆ ของคุณชูวิทย์ แม้แต่พิธีกรทีวีบางคนก็ออกมาอวยว่า ใช่ นี่ล่ะโรบินฮูด ผมก็เลยอยากจะถามพวก FC โง่ๆ แล้วก็พวกพิธีกรโง่ๆ หลายคน บอกว่าคุณชูวิทย์เป็นโรบินฮูด คุณเคยอ่านหนังสือและตำนานเรื่อง "โรบินฮูด" ไหม เขาไม่ได้โกหกพกลมไปวันๆ โดยไม่มีความละอายต่อบาป แฉไปด้วย ไถไปด้วย โรบินฮูดไปปล้นเงินคนรวย เอามาแจกจ่ายคนจน แล้วเขาไม่รีดไถใครด้วย ทุกบาททุกสตางค์เขาได้มา เขาโยนเอาไปช่วยเหลือคนจน


วันดีคืนดีคุณก็มาอ้างว่าคุณเป็นองค์คุลีมาลย์กลับใจ ไม่ใช่หรอก ผมว่าคุณน่าจะเป็นญาติกับนายเซเลนสกี จอมรีดจอมไถของโลกนี้ คุณรู้จักกันดีไหม เพราะพฤติกรรมของคุณ กับเซเลนสกี คล้ายๆ กันมาก

คุณชูวิทย์ครับ ผมจะแนะนำอะไรให้คุณอย่างนะ ถ้าคุณเชื่อผม คุณทำตามแล้วคุณจะมีความสุข ถ้าคุณอยากได้บุญจริงๆ ซึ่งผมไม่รู้ว่าคุณอยากได้หรือเปล่า เพราะวันนี้คุณรู้ว่าคุณเป็นโรคภัยไข้เจ็บ คุณอาจจะอยู่ได้ไม่นาน คุณจะทำทุกสิ่งทุกอย่างในที่ดินผืนนี้เพื่อให้เป็นสมบัติของลูกหลานคุณ ทั้งๆ ที่มันผิดกฎหมาย คุณก็พร้อมที่จะก้าวข้ามกฎหมายนี้ไป ต้องมีคนเข้าไปแจ้งความและฟ้องคุณ คุณชูวิทย์ ผมเป็นคนที่เปิดเผย ชัดเจน ผมจะเป็นคนฟ้องคุณเอง ไม่ได้มีอะไรเป็นส่วนตัวกับคุณชูวิทย์ แต่ผมนักเลงพอที่ไม่กัดใคร คุณบอกว่าพวกผมเป็นหมาลอบกัด ไม่ใช่ คุณสิหมาลอบกัด เพราะว่าผมจะดำเนินคดีกับผู้ว่าฯ ชัชชาติ กับคุณ เรื่องของคุณเรื่องที่ดินต้องไปจบที่ศาล และศาลว่าอย่างไรให้มันจบตรงนั้น และผมเชื่อว่าฎีกาของศาลที่พูดเรื่องที่ดินในหลายมิติสิบกว่าฎีกา ไม่มีผู้พิพากษาคนไหนจะกล้ามาหักล้างสิบกว่าฎีกานี้หรอก

แต่ถ้าคุณกลับใจ ยกที่ดินสวนชูวิทย์ให้กลับไปเป็นสวนสาธารณะตามที่คุณเคยแสดงเจตนารมณ์ไป คุณจะได้ทำบุญใหญ่จริงๆ นะ ไม่ต้องเอาเงินสกปรกไปบริจาคโรงพยาบาลในนามตัวเอง อันนั้นไม่ได้บุญหรอก ได้แค่ลดภาษี 2 เท่า เท่านั้นเอง

คุณเคยพูดไม่ใช่หรือคุณชูวิทย์ ว่า ตายไปก็เอาเงินไปไม่ได้ แต่เชื่อผมสิ ถ้าคุณยกที่ดินสวนชูวิทย์ให้เป็นที่สาธารณะ ชื่อชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ จะเป็นตำนาน FC ของคุณจะต้องตบมือ เห็นไหมๆ พี่ชูวิทย์ของผม ใจถึง เห็นหรือยังไอ้สนธิ บริจาคไปเลย แล้ววันที่เปิดสวนชูวิทย์ ผมจะถือกระเช้าดอกไม้ไปอวยพร ขอแสดงความยินดีกับคุณด้วย ที่ในที่สุดคุณดวงตาเห็นธรรม ในที่สุดคุณยอมรับว่าความจริงมีหนึ่งเดียว


คุณชูวิทย์ครับ ผมไม่รู้จะพูดอะไรเรื่องคุณ เพราะว่าไม่มีใครกล้ามาชนคุณ มีผมคนเดียวที่ชนคุณ ไม่ใช่เพราะผมเก่งกว่าคุณหรอก แต่ผมชนเพราะว่าความจริงเป็นหนึ่งเดียว และผมทนไม่ได้ที่คุณโกหกพกลม และปลุกปั่นให้ FC ของคุณหลงโง่ ที่โง่อยู่แล้วกลับโง่ไปกว่าเก่า เชื่อทุกคนที่พูด คุณรู้ไหมว่าคนที่เดือดร้อนเพราะการกระทำของคุณมีเยอะมาก ตั้งแต่ผมออกมาชนกับคุณอย่างที่ผมไม่ได้สนใจคุณ ไม่เกรงกลัวคุณ คุณจะโพสต์ด่าผมไป 3-4 หน้า 3-4 วัน ไม่เป็นไร แต่คุณชูวิทย์จำไว้นะครับ ทนายความผมเขาจดลงบัญชีไว้เยอะแล้ว แล้ววันหนึ่งก็จะมีการเช็กบิลกับคุณครั้งยิ่งใหญ่เช่นกัน

แต่แปลก พอผมลุกขึ้นมาสู้กับคุณ โอ้โห ข่าวสารข้อมูลของคุณ คนที่เกลียดคุณ เพราะคุณไปหักหลังเขา ไปทำโน่นทำนี่ ทำให้เขาโกรธแค้น ส่งเข้ามาเป็นกระตั้ก ทั้งผู้บริสุทธิ์ที่เดือดร้อนจากการกระทำ ทั้งในอดีต ปัจจุบัน ไหลมาแต่ละเรื่อง ทำให้ผมบอกว่า เอ้อ เป็นครั้งแรกที่คุณพูดความจริงว่าคุณเป็นมหาโจร เพราะดูจากข้อเรียกร้อง ข้อมูลข้อเท็จจริงที่เขาฟ้องผมว่าคุณเป็นมหาโจร ตามที่คุณเรียกตัวคุณเองว่ามหาโจร

บางข้อมูลผมอึ้ง อ้าปากหวอ ผมนึกไม่ถึงว่าจะมีเรื่องอย่างนี้ แต่คุณชูวิทย์ไม่ต้องรีบร้อน คุณชูวิทย์ครับ ข้าวต้องกินทีละคำ ผมจะทยอยๆ เปิดเผยเรื่องราววีรกรรมเหล่านี้ของคุณไปทีละเรื่องๆ


คุณชูวิทย์ครับ คุณมีทางเลือก 2 ทาง คุณทำบุญใหญ่ หรือทำกรรมใหญ่ ถ้าทำบุญใหญ่ ก็คือคุณตั้งใจสละด้วยตัวเอง ยอมรับว่าเป็นที่ดินสาธารณะ จิตคุณจะเบิกบาน จิตจะประภัสสรทันที เหมือนเจ้าของพัดลม Hatari คุณปู่ของคุณวิกรม กรมดิษฐ์ ที่บริจาคเงินให้กับมูลนิธิ ก็คุณอ้างตลอดเวลาไม่ใช่หรือว่าคุณมีเงินเป็นพันเป็นหมื่นล้าน นี่ล่ะครับ คนรวยเขาทำกันอย่างนี้ ถ้าคุณคิดว่าจะสู้ ก็ขึ้นอยู่กับศาลว่าจะตัดสินอย่างไร คดีนี้ยาวแน่ ต้องถึงฎีกาแน่นอน คุณอาจจะไม่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้แล้วก็ได้ ถ้าคุณตายไปก่อนศาลจะตัดสิน คุณชูวิทย์ครับ จิตคุณจะตก เพราะว่าคุณมัวแต่ฝักใฝ่ หมกมุ่นว่าคุณจะเก็บที่ดินนี้ไว้ให้เป็นทรัพย์สมบัติของลูกหลานคุณอย่างไร แล้วคุณรู้ไหม พ่อแม่ครูอาจารย์เขาสอนผม เวลาจะตาย ถ้าจิตตก แล้วลงนรกลูกเดียว คุณชูวิทย์ คุณอาจจะไม่เชื่อเรื่องนรก-สวรรค์ก็ได้ ไม่เป็นไร แต่ผมเตือนคุณก่อนว่า คนอย่างหลวงตามหาบัว คนอย่างหลวงปู่มั่น พูดตลอดเวลาว่า สนธิ เวลาคนจะสิ้นลมหายใจ สนธิต้องไปบอกให้เขานั่งพุทโธนะ ให้จิตเขานิ่งนะ ให้ละเว้นทุกอย่าง อย่าไปสนใจอะไรเลย เอาจิตตัวเองให้เป็นประภัสสร

คุณเองเป็นคนพูดไม่ใช่หรือว่า ตายไปแม้แต่เหรียญในปากก็เอาไปไม่ได้ คุณชูวิทย์ครับ งานนี้อยู่ที่คุณจะเลือกทำบุญใหญ่ หรือทำกรรมใหญ่

คุณชูวิทย์ลองมองย้อนหลังกลับไปในวันที่คุณยื่นคำให้การรับสารภาพต่อศาลฎีกา ในวันที่ 15 ตุลาคม 2558 วันนั้นคุณเอาความกลัวมานำหน้า คุณก็เลยยอมแลกสมบัติที่ดินคุณกับการที่ไม่ต้องถูกจำคุก 5 ปี แต่ถ้าวันนี้ ... ผมว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องตลกร้ายมาก ถ้าวันนั้นคุณไม่กลัว คุณบอกติดก็ติด ช่างมัน เหมือนกับผม ผมโดนโทษจำคุก 20 ปี ผมไม่กลัว ติดก็ติด และในที่สุดแล้ว กรรมดีที่ผมทำก็เป็นผลอานิสงส์ทำให้ผมได้รับการพระราชทานอภัยโทษ ติดอยู่แค่ 2 ปี 11 เดือน กับอีก 27 วัน ถ้าตอนนั้นคุณยอมติด 5 ปี คุณมีเส้นมีสายอยู่แล้ว คุณยิ่งเต้นเก่ง 1 ปี คุณก็ได้นักโทษชั้นเยี่ยม พอมีพระราชทานอภัยโทษมาปั๊บ คุณได้ลด 50 เปอร์เซ็นต์ ครึ่งหนึ่ง ก็คือ 5 ปี เหลือ 2 ปีครึ่ง แล้วคุณใช้เวลาหนึ่งปีแรกเพื่อทำชั้น ก็เหลือแค่ปีครึ่งเอง ติดไปอีก 6 เดือน คุณก็ขอพักโทษได้แล้ว


แต่เพราะว่าจริงๆ คุณเป็นคนขี้ขลาดตาขาว คุณกลัวติดคุก ก็เลยต้องปั้นเรื่องเอาที่ดินให้ศาลเพื่อให้คุณได้รับการลดโทษ แล้ววันนี้คุณกลับตระบัดสัตย์ คุณชูวิทย์ครับ กรณีคุณ ถ้าไม่เรียกว่ากรรมตามเช็กบิลคุณ ผมไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอย่างไร ขอให้คุณรู้นะคุณชูวิทย์ กรรมกำลังตามคุณมา คุณเชื่อผมสิ คุณอาจจะไม่เคยสนใจที่จะสวดมนต์ภาวนา นั่งสมาธิ ลองทำสักครั้งได้ไหม คุณนั่งเงียบๆ ในห้องนอนของคุณ เอากระจกตั้งไว้ข้างหน้าคุณด้วยนะ แล้วถอดแว่นตาซะ ให้เป็นมนุษย์ เป็นผู้เป็นคนเสียที ไม่ใช่เป็นไอ้มดแดง ไอ้มดดำ พวกนี้ แล้วคุณสูดหายใจเข้าไปลึกๆ คุณชูวิทย์ คุณทบทวนอดีตที่คุณทำมา ตั้งแต่คุณเริ่มเข้ามาทำกิจการสีเทา และอะไรบ้างที่คุณโกหกพกลมมา การหักหลังคน การทำร้ายคนด้วยคำพูด แล้วการให้ร้ายคนโดยที่ไม่มีพื้นฐานแห่งความเป็นจริง ผมภาวนาให้คุณได้รับทราบและระลึกถึงสิ่งที่คุณได้สร้างมาแล้วคุณรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่คุณทำ แต่ผมรู้สึกว่าผมขอคุณมากเกินไปแล้ว คุณไม่มีวันที่จะทำเช่นนี้ได้ คุณไม่ต้องกังวลผมหรอก ผมอยู่นิ่งของผมเงียบๆ แต่ถ้าผมสวนกลับมานะคุณชูวิทย์ ผมพร้อมให้คุณไลฟ์สด หรือออกเฟซบุ๊กคุณ ด่าผมทุกวัน ด่าไปเลย ผมไม่รู้สึก เพราะผมรู้ว่าความจริงมีหนึ่งเดียว และสิ่งที่ผมพูดนั้นไม่ใช่ความโกหก เป็นความจริง

คุณชูวิทย์ และท่านผู้ชมครับ วันนี้ผมจะพูดถึงเรื่องติ่งคุณชูวิทย์ และตรรกะวิบัติของสาวกคุณชูวิทย์ ต่อให้มีการจับโกหกกันได้รายวันขนาดนี้ คุณชูวิทย์ก็ยังใช้สีข้างถูไถไปได้ บอกว่าผู้คนจงยอมรับเถอะว่าสังคมนี้มันเลว เต็มไปด้วยคนไม่ดี สังคมไทยไม่มีฮีโร่แล้ว มีแต่มหาโจรที่ปราบโจร ต้องคนอย่างชูวิทย์ FC ก็ปรบมือโห่ร้องเข้ามาแสดงความเห็นเป็นทอดในโซเชียลฯ ขานรับว่า ใช่ๆ ถ้าไม่มีชูวิทย์แล้วใครจะจับโจร ชูวิทย์คือจอมแฉเพื่อชาติ ผมเรียกสิ่งนี้ว่าตรรกะวิบัติ


ไม่เพียงแต่คนที่เป็น FC ธรรมดา ขนาดคนที่เป็นสื่อมวลชน เป็น ส.ส. เป็นอดีตรัฐมนตรี ที่ควรจะมีความคิดหลงมัวเมาไปกับชูวิทย์ด้วย คนแรกคงไม่พูดไม่ได้ คุณต๊ะ นารากร ติยายน คุณต๊ะออกมาเชียร์คุณชูวิทย์แบบออกหน้าออกตา โพสต์เฟซบุ๊กตำหนิทนายษิทรา ว่า "ทนายษิทราพอเหอะ อ่านคอมเมนต์ในเพจของทนายเอง FC ทนายก็ไม่เอาด้วยแล้ว" นอกจากนี้แล้ว คุณต๊ะยังขยันไปโพสต์จิกกัดในเพจทนายตั้มที่พูดถึงชูวิทย์หลายๆ โพสต์ อย่างเช่น ทนายตั้มไปทำบุญกับภรรยาแล้วเขียนแคปชันในเฟซบุ๊กว่า "วันนี้มาทำบุญไม่ขออะไรมาก ขอสาปแช่งใครที่เคยรับเงินชั่วของแก๊งสารวัตรซัว แสร้งทำเป็นโจรกลับใจ รับผลกรรมโดนยึดทรัพย์หมดตัวทั้งตระกูลกลายเป็นคนไร้ต้นทุนจริงๆ สมพรปากทีเถอะ สาธุ" คุณต๊ะ ก็เข้ามาคอมเมนต์ว่า "คิดอะไรก็ได้อย่างนั้น"


ขณะเดียวกัน คุณต๊ะ นารากร ไม่ได้สนอกสนใจ ไม่ได้พูดประเด็นความผิดที่คุณชูวิทย์รับเงินจากตำรวจสีเทาเอาไปบริจาคโรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ ในนามตัวเอง ว่าเป็นสิ่งผิดกฎหมายหรือไม่ หรือคุณต๊ะคิดว่าโกงไม่เป็นไร ขอให้แบ่งกันได้

เรื่องนี้ผมแปลกใจมาก คุณต๊ะ จริงๆ แล้วผมก็ไม่ได้ชอบคุณนะ และผมก็รู้ว่าคุณไม่ได้ชอบผม การนำเสนอข่าวการดำเนินรายการของคุณต๊ะ นารากร ผมเชื่อมาตลอดว่าคุณเป็นสื่อมวลชนมืออาชีพ แต่สิ่งที่คุณต้องพูดคือ ชูวิทย์พอเถอะ ไม่ใช่ทนายตั้มพอเถอะ คุณต๊ะ คุณสะกดคำว่าจริยธรรมของสื่อมวลชนไม่เป็นหรือ หรือคุณพอใจจะเชียร์ชูวิทย์ จะทำผิด ทำถูก ทำชั่ว โกหก รับเงินมาบริจาค คุณก็ยินดีจะชื่นชอบ คุณอายุจะ 60 แล้วนะครับ ผ่านงานมามากมาย เคยอยู่ ITV อยู่ช่อง 3 เป็นพิธีกรในหลายรายการ รายการ "เจาะใจ" เป็นผู้ประกาศข่าวช่อง 7 สี รองผู้อำนวยการฝ่ายข่าว บริษัท มีเดีย สตูดิโอ รวมทั้งเป็นผู้ประกาศข่าวและผู้อำนวยการฝ่ายข่าวของช่อง ONE 31 ตอนนี้คุณเป็นสื่อมวลชนอิสระ พยายามมาปั้นช่องตัวเอง เรียกว่า นารา วาไรตี้ มียอด SUBSCRIBE อยู่ประมาณ 1,890 แล้วรับงานพิธีกรรายการ "เคลียร์ชัดชัด" ช่องเวิร์คพอยท์

เอาเถอะคุณต๊ะ คุณจะอยู่ที่ไหน ทำงานอะไรก็แล้วแต่คุณ แต่ถ้าคุณคิดว่าคุณยังเป็นสื่อมวลชนอยู่ ที่ผมติดใจคือ คุณเชียร์ชูวิทย์อย่างไม่เกรงใจวิชาชีพ อย่างไม่มีจรรยาบรรณ คุณเชียร์ชูวิทย์ แสดงว่าคุณสนับสนุนให้มีการโกหกตอแหล ตลบแตลงปลิ้นปล้อน รับเงินผิดกฎหมาย ใช่หรือเปล่า รับงานเขามา โกงไม่เป็น รับเงินสกปรกก็ไม่เป็นไรถ้าเอามาแบ่งกัน ผมถามจริงๆ เถอะคุณต๊ะ คุณอยากให้สังคมไทยมีตรรกะแบบนี้หรือ


อีกคนหนึ่ง คุณนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีต ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ ตอนนี้เป็นแกนนำพรรคพลังประชารัฐ คุณนิพิฏฐ์เป็นถึงอดีต ส.ส. อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม โพสต์ข้อความมาว่า เลือกชูวิทย์ โดยอ้างว่าสิ่งที่ชูวิทย์ทำ เหมือนคนขับรถฝ่าไฟแดงเพื่อไปหยุดยั้งคนชั่วที่กำลังไปปล้นธนาคาร คุณนิพิฏฐ์ครับ ผมเคยเข้าใจว่าคุณมีสมองนะ แต่วันนี้ผมคิดว่าส่วนสมองของคุณคือส่วนที่กั้นหูสองข้างเอาไว้เท่านั้นเอง คุณบอกว่า "โลกนี้ไม่มีใครดีพร้อมหรอก แม้คุณที่กำลังอ่านอยู่ก็ไม่ได้ดีร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก หากเลือกจะด่าคนขับรถฝ่าไฟแดง ก็ขอให้คุณไปยืนฝั่งโน้น ส่วนผมเลือกที่จะยืนฝั่งชื่นชมการออกมาปกป้องการปล้นธนาคารของคุณชูวิทย์ และพร้อมที่จะควักเงินเสียค่าปรับ 500 บาท เป็นค่าฝ่าไฟแดงให้คุณชูวิทย์ ชูวิทย์ คุณกำลังเล่นกับโจร คุณจะบิณฑบาตให้โจรเลิกปล้นธนาคาร คุณตายเปล่า"


คุณนิพิฏฐ์ครับ ผมอ่านข้อความของคุณแล้วผมขำจริงๆ ความจริงผมกับคุณก็รู้จักกันระดับหนึ่ง ผมประหลาดใจมากที่นักกฎหมายอย่างคุณนิพิฏฐ์แสดงความเห็นออกมา คุณบอกว่ารับเงินผิดกฎหมายไม่ใช่เรื่องใหญ่ เหมือนคนขับรถฝ่าไฟแดงไปเพื่อทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า คือหยุดโจรปล้นธนาคาร ตรรกะอะไรของคุณ คุณนิพิฏฐ์ คนที่มีจริยธรรม ถ้าหากมีเงินสีเทา เงินผิดกฎหมายมากองตรงหน้าเขาไม่รับกันหรอกครับ นอกจากนั้นแล้ว ต่อให้เป็นคนที่คิดน้อยจริงๆ ก็คงยกถุงเงินไปบริจาคที่โรงพยาบาลเลย ไม่ต้องเสียเวลาเอาเงินเข้าบัญชีตัวเอง ทำแคชเชียร์เช็คออกมา จนทำให้หลายฝ่ายเป็นห่วงว่าชูวิทย์ทำแบบนี้อาจจะเข้าองค์ประกอบการฟอกเงิน ตรรกะมีแค่นี้เอง ง่ายๆ หรือเพราะเวลานี้คุณนิพิฏฐ์ เป็นแกนนำพลังประชารัฐ ก็เลยต้องเชียร์ชูวิทย์ เพราะมีเป้าหมายจะโค่นพรรคการเมืองที่อยู่ใกล้ชิดกัน ก็คือพรรคภูมิใจไทย

ส่วนคุณสรยุทธ สุทัศนะจินดา ผมไม่มีอะไรจะพูดมาก แต่คุณสรยุทธเอาข้อความเพจของตัวเองลงมาเชียร์ชูวิทย์สุดฤทธิ์สุดเดช สุดลิ่มทิ่มประตู


ไม่เป็นไร คุณสรยุทธ ผมเข้าใจคุณ คุณสนิทกับเขามาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่สมัยเขายังทำอาบอบนวด เขาเปิดห้องๆ หนึ่งให้คุณกินนอนฟรี ผมไม่รู้ว่าเด็กที่คุณเรียกขึ้นไปที่ห้อง อาจจะไม่ต้องจ่ายเงินก็ได้ แต่เข้าใจดี ว่าคุณรักเพื่อน เข้าใจดี แต่ว่าคุณอย่าลืมอีกบทบาทหนึ่งของคุณนะ คุณคือสื่อมวลชน อับอายขายหน้าบ้าง คุณสรยุทธ จนวันนี้คุณยังไม่รู้เลยหรอว่าคุณชูวิทย์โกหกอะไรบ้าง ผมไม่อยากจะสอนคุณว่าคุณจะต้องปรับปรุงตัวคุณเองอย่างไร เพราะคุณกับผมก็ติดคุกมาเหมือนกัน คุณติดข้อหาคุณฉ้อโกงเงินของ อสมท แต่ผมติดเพราะผมทำผิดพระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์ ผมไม่ได้ฉ้อโกงใคร คุณชูวิทย์บอกว่าผมฉ้อโกงผู้ถือหุ้น คุณชูวิทย์ครับ ผมจดลงบัญชีแล้ว คุณไปดูคดีผม ให้คุณอนันต์ชัยไปดูก็ได้ เป็นเรื่องของการผิดพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ ไม่ได้ฉ้อโกงใครทั้งสิ้น

ท่านผู้ชมครับ เรื่องนี้จริงๆ แล้วเป็นเรื่องที่ผมไม่ค่อยอยากจะพูดเท่าไร แต่ผมจำเป็นต้องพูด เพราะตรรกะของพวกคุณ ไม่ว่าจะเป็นคุณต๊ะ นารากร นิพิฏฐ์ สรยุทธ และบรรดา FC ชูวิทย์ แปลว่า ถ้าชูวิทย์จะโกหกอะไรก็ตาม เขาเรียกว่า โกหกเพื่อชาติ ตลบแตลงตอแหลอย่างไร ก็เรียกว่าตอแหลเพื่อชาติ รับเงินผิดกฎหมาย รับเงนจากเว็บพนันออนไลน์ไปบริจาค ก็เป็นโจรใจบุญ เป็นนักบุญคนบาป เมื่อเข้าข่ายทำผิดกฎหมายฟอกเงินก็ให้ท้ายว่าเขาเป็นคนเทาๆ ทำเพื่อชาติ เพราะฉะนั้นแล้ว ท่านผู้ชมครับ จากนี้ต่อไปใครกระทำผิดกฎหมาย นักการเมือง ข้าราชการ โกงกิน ใครจะทุจริตคอร์รัปชัน ไม่ต้องสนใจ ไม่เป็นไร ถ้าคอร์รัปชันเพื่อชาติก็นิยมยินดียกย่อง เป็นคนโกงเพื่อชาติอย่างนั้นหรือ

ทัศนคติที่พวกคุณแสดงออกมาวันนี้ ที่มีชื่อเสียง ที่ผมพูดถึง สิ่งที่คุณสร้างมาทั้งชีวิต ในอาชีพสื่อมวลชนเอย นักการเมืองเอย รัฐมนตรีเอย จบเลย ไม่มีความหมายอีกต่อไป บอกตรงๆ ว่าผมอนาถใจจริงๆ


ท่านผู้ชมครับ ผมมีข้อสงสัยสุดท้ายว่า การที่วันนี้คุณชูวิทย์บ่นว่าโดนเรื่องราวทั้งหมดเต็มไปหมด คุณชูวิทย์เคยพิจารณาอย่างถ่องแท้ว่าคุณเคยทำกรรมอะไรไว้ อย่างที่ผมเคยบอกไปแล้วไง คุณนั่งภาวนาลึกๆ ทบทวนตลอดชีวิตมานี้คุณทำร้ายคนมาเท่าไร แต่คุณชูวิทย์ คุณไม่ควรจะมาโทษผม คุณนั่งสบายๆ ถอดแว่นตาสีดำออกมาแล้วมองกระจก แล้วคุณพูดกับตัวคุณเองว่า กูมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร กูทำอะไรผิดพลาดบ้างหรือเปล่า คุณชูวิทย์ครับ การยอมรับข้อผิดพลาดตัวเอง คือการแก้ปัญหาไปแล้ว 50 เปอร์เซ็นต์

ท่านผู้ชมครับ วันนี้ก็ค่อนข้างที่จะสนุกสนานมาก อาทิตย์หน้าก็จะมีเรื่องราวที่สำคัญหลายอย่าง แต่อย่างที่ผมเรียนให้ทราบว่า เรื่องสวนชูวิทย์ไม่จบ ต้องไปจบที่ศาล และจะขึ้นศาลอย่างไร ผมจะจัดการเอง จะไป ป.ป.ช. อย่างไร ผมจะจัดการเอง ผมอยากเรียนให้คุณชัชชาติรับทราบไว้ด้วย ให้คุณรับรู้ไว้ด้วย เพราะวันหนึ่งถ้าคุณตกเป็นจำเลยของ ป.ป.ช. หรือคุณต้องขึ้นศาล อย่ามาโทษผม เพราะทุกอย่างนั้นคุณทำด้วยตัวคุณเองทั้งสิ้น

ท่านผู้ชมครับอาทิตย์หน้าเราค่อยเจอกันใหม่ สวัสดีครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น