วันที่ 24 มี.ค.66 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ไลฟ์สด “SONDHI TALK” ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ คุยทุกเรื่องกับสนธิ ช่องยูทูป Sondhitalk หรือ Sondhitalk (ช่องสำรอง) และแอปพลิเคชัน Sondhi App โดยมีประเด็นที่ได้เล่าในวันนี้ ได้แก่
- 10 คำพิพากษาศาลฎีกา อุทิศที่ดินแล้วถอนคืนได้หรือไม่
- สายสีส้มที่ “ชูวิทย์” ไม่อยากพูดถึง
- “ทายาทนิรันดร” ร้องกลต.สอบ “แสนสิริ” ซื้อที่กลิ่นตุๆ
- วิกฤตแบงก์ SVB เครดิตสวิสล้ม กับระเบียบโลกใหม่
- ถอดรหัส “สี จิ้นผิง” พบ “ปูติน”
ติดตามได้ใน SONDHI TALK : ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง Ep.182
คำต่อคำ SONDHI TALK EP. 182
ช่องทางการรับชมรับฟัง "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" หรือ SONDHI TALK
แอปพลิเคชัน : SONDHI APP
ระบบ iOS ดาวโหลดได้ที่ AppStore : https://apps.apple.com/th/app/sondhi-app/id1588046647.
ระบบ Android ดาวโหลดได้ที่ Google Play : https://play.google.com/store/apps/details?id=com.sondhitalk.asia.android
เฟซบุ๊กแฟนเพจ : คุยทุกเรื่องกับสนธิ
YouTube : Sondhitalk
เว็บไซต์: www.sondhitalk.com
Podcast หรือ podbean : SONDHI TALK
สวัสดีครับท่านผู้ชม วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2566 ก็ขอสวัสดีแฟนๆ รายการที่รับชมสดทาง TikTok, Sondhi App, Facebook, YouTube วันนี้เอาเรื่องบุญขึ้นก่อน ท่านผู้ชมจำวัดป่าภูแปก ของหลวงปู่เฉลิม ได้ไหม เราเคยไปทอดกฐินที่วัดป่าภูแปก อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย มาสองปีซ้อน จริงๆ หลายปีแล้ว ตอนนี้ทางวัดแจ้งมาว่าหลวงปู่เฉลิมกำลังสร้างอาคารพิพิธภัณฑ์ และสร้างพระพุทธรูปใหญ่ ปางเชียงแสนสิงห์ 1 ซึ่งทางเราก็ได้บริจาคปัจจัยสมทบทุนไปส่วนหนึ่ง แต่ยังขาดอยู่ ก็เลยอยากจะมาขอเชิญชวนท่านผู้มีจิตศรัทธาร่วมทอดผ้าป่าสามัคคี สามารถโอนเงินร่วมทำบุญได้ที่บัญชีวัดป่าภูแปก ธนาคารไทยพาณิชย์ เลขบัญชี 528-256323-0 ก็จะทอดประมาณวันที่ 5-6 เมษายน แต่ถ้าท่านผู้ชมมีจิตศรัทธาอยากจะร่วมทำบุญ ก็โอนเงินมาที่บัญชีที่ผมขึ้นให้ดูนะครับ ของวันป่าภูแปกญาณสัมปันโน
ขอแตะเรื่อง "ยาลม ๓๐๐ จำพวก" ของอาจารย์ปานเทพ นิดหนึ่ง มีพระจากอินโดนีเซียมาจำวัดอยู่ที่วัดบวรฯ คือท่านธมฺมธีโร ท่านมีอาการป่วยเรื่องเส้น พระอาจารย์อีริค ซึ่งอยู่วัดบวรฯ ท่านก็ขอ "ยาลม ๓๐๐ จำพวก" ไปฉัน พอท่านฉันยาลมฯ แล้ว พระธมฺมธีโร ซึ่งมีอาการป่วยเรื่องเส้น อาการดีขึ้น ท่านก็เลยอยากจะขอซื้อกลับไปอินโดนีเซีย ผมและอาจารย์ปานเทพตัดสินใจนำ "ยาลม ๓๐๐ จำพวก" ไปถวายท่านธมฺมธีโร จำนวน 10 กล่อง มาร่วมอนุโมทนาบุญกันด้วยนะครับ
ถ้าคนทั่วไปสนใจ อยากจะสั่งซื้อ มีของพร้อมส่งเลย คือแอดไลน์เพิ่มเพื่อนที่ @sunherb หรือ inbox ที่เพจ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ถ้าท่านซื้อ 2 กล่อง เรายังคงแจกหน้ากากที่มีชื่อ SONDHI TALK อยู่ ให้ท่านผู้ชมครับ
ตอนนี้อากาศร้อนมาก โอเลี้ยงครับท่านผู้ชม นี่ผมจงใจเอามาเทให้ท่านผู้ชมดู โอเลี้ยงสูตรโบราณของผม ซึ่งขายดิบขายดีมาก ซึ่งได้ที่ร้าน SUN PAN ถนนวิภาวดีฯ ในปั๊ม ปตท. ตรงข้ามมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และซื้อได้ที่ "พอดีช้อป" ถนนพระอาทิตย์ รวมทั้งสินค้าอื่นๆ ในร้าน SUN PAN ทั้งหมูแท่งอบกรอบ ปลาแท่งอบกรอบ ขนมปัง สเปรดต่างๆ ไอศกรีมของคุณโสภณ โองการณ์ ก็ยังคงมีอยู่ที่ร้าน
ก่อนที่จะเข้ารายการวันนี้ว่าเราจะมีรายการอะไรบ้าง ผมมีเรื่องที่ยังไม่ได้พูดตอนนี้ แต่จะเกริ่นเป็นน้ำจิ้ม เป็นโหมโรงให้ฟังก่อน เพราะตอนนี้เกิดมีคนสนใจสอบถามเรื่องที่ดินสวนชูวิทย์ ที่เป็นข่าวอยู่ ว่า ตกเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินแล้วหรือยัง ท่านผู้ชมครับ เรื่องนี้ผมจะพูดอาทิตย์หน้า อย่างละเอียด แต่น้ำจิ้มของอาทิตย์นี้ ผมจะเอาเลขคดีที่นำคำพิพากษาศาลฎีกาเกี่ยวกับการอุทิศที่ดินของเอกชนให้เป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดิน มาให้รับทราบกันก่อนชั้นหนึ่ง มันมีคำพิพากษาศาลฎีกาอยู่ 9 คำพิพากษา
คำพิพากษาที่หนึ่ง ระบุว่า การอุทิศที่ดินมีผลทันที โดยไม่จำเป็นต้องจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์อีก อ้างอิงตามฎีกาเลขที่ 8377/2549
ฎีกาที่สอง การอุทิศที่ดินก็มีผลเช่นกัน แม้หนังสืออุทิศจะระบุว่าจะต้องไปจดทะเบียนก็ตาม อ้างอิงตามฎีกาเลขที่ 4377/2549 เช่นกัน
ข้อที่สาม เมื่อการอุทิศที่ดินมีผลสมบูรณ์โดยไม่ต้องจดทะเบียนโอน จะฟ้องศาลบังคับให้จดทะเบียนไม่ได้ อ้างอิงตามฎีกาเลขที่ 1272/2539
ฎีกาที่สี่ การอุทิศที่ดินของเอกชน "แม้จะด้วยวาจาก็ตาม" ก็มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย อ้างอิงตามฎีกาเลขที่ 264/2555
ฎีกาที่ห้า การอุทิศที่ดินเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดิน ถึงแม้ไม่ได้ถูกใครใช้ประโยชน์ ก็ไม่อาจสูญสิ้นไป รวมถึงแม้ประชาชนส่วนใหญ่จะไม่ได้ใช้ทางพิพาทตามวัตถุประสงค์ก็ตาม อ้างอิงตามฎีกาเลขที่ 2004/2544
ข้อที่หก การแสดงเจตนาอุทิศที่ดิน ไม่จำเป็นต้องมีนายอำเภอ หรือนายก อปท. ในกรณีที่ดินในกรุงเทพมหานคร ก็ไม่จำเป็นต้องมีกรุงเทพมหานคร กระทรวงมหาดไทย หรือ กรมธนารักษ์ แสดงเจตนารับ ก็มีผลสมบูรณ์แล้ว อ้างอิงฎีกาเลขที่ 2377/2549
ฎีกาที่เจ็ด การที่ผู้อุทิศที่ดินกลับมาครอบครองที่ดินที่อุทิศไปแล้ว แม้จะกลับมาครอบครองนานเพียงใด ก็ไม่ทำให้ที่ดินกลับมาเป็นของผู้อุทิศที่ดินนั้นอีก จะยกเอาอายุความต่อสู้กับแผ่นดินไม่ได้ อ้างอิงตามฎีกาเลขที่ 2642/2555
ฎีกาที่แปด ผู้อุทิศที่ดินจะขอยกเลิกการอุทิศที่ดินไม่ได้ อ้างอิงตามฎีกาเลขที่ 11089/2556
ฎีกาที่เก้า เมื่อมีการอุทิศที่ดินให้เป็นสาธารณะประโยชน์ แม้หน่วยงานราชการยังไม่ได้ใช้ประโยชน์ตามความประสงค์ของผู้อุทิศ หรือตามเงื่อนไขการอุทิศที่ดินให้ก็ตาม ที่นั้นต้องคงสภาพเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดิน อ้างอิงตามฎีกาเลขที่ 2004/2544
ฎีกาข้อที่สิบ การอุทิศที่ดินให้เป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดิน อาจกระทำโดยปริยายก็ได้เช่นกัน ยินยอมให้ประชาชนใช้สอยโดยไม่หวงห้าม อ้างฎีกาเลขที่ 6067/2552 และ ฎีกาเลขที่ 2526/2540 แต่ต้องเป็นการยินยอมให้ประชาชนทั่วไปที่มิได้มีความสัมพันธ์ทางส่วนตัวกับเจ้าของไม่ว่าทางหนึ่งทางใด
ท่านผู้ชมครับ ฎีกาทั้งหมด 10 ฎีกา ยืนยันชัดเจนว่าจะอุทิศที่ดิน จะจดทะเบียน หรือไม่จดทะเบียน ขอให้ลั่นวาจา มีหลักฐาน ที่ดินนั้้นก็ตกเป็นสาธารณะสมบัติทันที ซึ่งกรณีที่ดินคุณชูวิทย์ ได้มีการใช้สอยของประชาชนเป็นสวนสาธารณะอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ตามองค์ประกอบของฎีกาแล้วทั้งหมด อาทิตย์หน้าผมจะเอารายละเอียดที่ดินคุณชูวิทย์ว่าที่ดินนี้ยังตกเป็นสมบัติของสาธารณะประโยชน์หรือเปล่า แล้วคุณชูวิทย์ เมื่อแสดงเจตนารมณ์ ทั้งมีคำพูดในคำพิพากษาศาลฎีกาที่เอามาต่อรองในการลดโทษให้ตัวเองนั้น คุณชูวิทย์มีอำนาจหรือมีสิทธิ์ไหมที่จะมาก่อสร้างอาคาร ซึ่งปัจจุบันคุณชูวิทย์เอามาทำ ชื่อ "เทนธ์ อเวนิว"
ทำไมผมต้องทำเช่นนั้นน ? เพราะว่า "ความจริงต้องมีหนึ่งเดียว" เอากันชัดเจนเลยว่าข้อเท็จจริงมันเป็นอย่างไร อาจจะมีอะไรซ่อนเงื่อนอยู่ ผมไม่รู้ แต่ที่ผมรู้แน่ๆ ใครก็ตามที่จะไปขอค้นคำพิพากษาศาลฎีกากรณีคุณชูวิทย์ ยื่นคำร้องขอต่อรองให้ลดโทษ จาก 5 ปี และศาลฎีกาลดโทษให้เหลือ 2 ปี จาก 5 ปี เพราะว่าคุณชูวิทย์ได้ยืนยัน จะเอาที่ดินนี้มาทำสาธารณะประโยชน์ เป็นข้อน่าสังเกตอย่างหนึ่ง ท่านผู้ชมรับทราบไว้แล้วกัน เคยมีคนไปพยายามขอค้นฎีกาคำพิพากษาคุณชูวิทย์ ปรากฏว่า เจ้าหน้าที่ที่ดูแลห้องสำนวน ถึงจะเป็นสำนวนที่จบไปแล้วก็ตาม จะห้ามไม่ให้คนเข้า มีคำสั่งเลยว่าถ้าใครจะมาค้นเรื่องนี้ ให้แจ้งไปที่อธิบดีศาลอาญาใต้
ซึ่งผมคิดว่ามันพิลึกดี ท่านผู้ชมครับ มันพิลึกมาก ผมก็เลยฝากไปบอกเจ้าหน้าที่ที่คุมห้องสำนวนนี้ว่าคุณรับงานใครมาหรือเปล่า ที่ใครก็ตามที่จะขอค้นหลักฐานนี้แล้วคุณไม่ให้ค้น แล้วคุณก็แจ้งอธิบดีศาลอาญาใต้ อธิบดีศาลอาญาใต้ท่านต้องมีคำตอบให้กับประชาชนด้วยนะครับ ผมเกรงว่าท่านอธิบดีศาลอาญาใต้ และท่านรองอธิบดีศาลอาญาใต้ จะถูกกล่าวหาว่าสมรู้ร่วมคิดกับใครบางคนในการบล็อกไม่ให้คนเข้าไปเช็กคำพิพากษาศาลฎีกานะครับ
ท่านผู้ชมคงสังเกตได้ว่า สองอาทิตย์ที่ผ่านมา รายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" คนที่เข้ามาป่วนนั้นแทบจะไม่มีเลย ไม่ต้องตกใจครับ ผมเป็นคนสั่งเอง ผมประชุมพรรคพวกและพวกแอดมินฯ ว่า รายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" เป็นรายการที่มีข้อมูลข่าวสาร และเป็นรายการที่เน้น "ความจริงมีหนึ่งเดียว" ตั้งแต่ผมมีความขัดแย้งกับคุณชูวิทย์ แล้วผมจับโกหกคุณชูวิทย์ได้ ก็จะมีแฟนพันธุ์แท้ของคุณชูวิทย์ ซึ่งผมไม่ว่าอะไรเขา เพราะสติปัญญาของแฟนพันธุ์แท้ของเขา กับสติปัญญาของแฟนพันธุ์แท้ของผมนั้น มันห่างกันล้านลี้ แต่ผมรำคาญ ผมรำคาญพวกที่เข้ามาแล้วบอกผมเชียร์ชูวิทย์ ชูวิทย์ถูกเสมอ โน่นนี่นั่น มิหนำซ้ำยังมาสั่งสอนผมให้หันมาจับมือ ร่วมมือกับชูวิทย์ ไม่เป็นไรหรอกครับ หลักการผมชัดเจน "ความจริงมีหนึ่งเดียว" ถ้าคุณชูวิทย์ยังโกหกพกลมอยู่ ผมไม่สนใจ และผมก็ไม่ต้องการให้ FC คุณชูวิทย์เข้ามาในหน้าเพจ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" เปรอะเปื้อนเพจของผม สร้างความน่ารำคาญ
เพราะฉะนั้นใครที่เชียร์คุณชูวิทย์ ผมสั่งให้บล็อกให้หมด Delete แล้วก็ Block แล้วก็พ่วงไปถึงพวกที่ปากหมา ชอบกระแนะกระแหน รู้หมดทุกเรื่อง แต่เรื่องตัวเองไม่เคยรู้เลย แล้วเรื่องสนามบินว่าอย่างไร เรื่องโน้นเรื่องนี้ว่าอย่างไร ผมรำคาญ ท่านผู้ชมที่เป็น FC ผมเองก็พยายามออกมาปกป้องผม ฟาดกันไปฟาดกันมา จนไม่เป็นอันต้องดูรายการเลย เพราะความด้อยปัญญาของคนกลุ่มหนึ่งที่มีปัญญาเรี่ยดิน โคตรโง่ โดนเขาหลอกว่าเป็นวีรบุรุษ แต่คนที่มาหลอกว่าเป็นวีรบุรุษนั้น โกหกพกลม ถ้าคุณไม่อยากฟังความจริงอันหนึ่งเดียว
คุณอยากฟังคำโกหกของคุณชูวิทย์ คุณไปเลย คุณไม่ต้องเข้ามา ผมรำคาญคุณ ผมอยากให้ FC ของผมได้ฟัง เพราะผมขี้เกียจ ไอ้พวกที่มาด่าผมประเภทผิดๆ ผมรำคาญ ผมขี้เกียจจะฟ้องคุณ เพราะในที่สุดแล้วคุณก็ไปปากกล้าขาสั่นอยู่ในศาล ไปอ้อนวอนศาล บอกให้ช่วยบอกโจทก์ คือผม ว่าให้อภัยหน่อย ให้ทำอะไรก็ยินดีทำ ศาลก็อุตส่าห์มาบอกว่า คุณสนธิครับ โจทก์ครับ ช่วยหน่อยเถอะ เขาอุตส่าห์ขอร้องมาแล้ว เพราะฉะนั้น ง่ายนิดเดียว ผมบล็อกมันหมดเลย อย่าเข้ามา (ขอโทษนะท่านผู้ชม) กูรำคาญพวกมึง สติปัญญาต่ำเตี้ยเรี่ยดินอย่างนี้ อย่าได้เข้ามาในเพจนี้อีกต่อไป ขอโทษครับท่านผู้ชม ต้องแรงหน่อยงานนี้ แล้วท่านผู้ชมที่เป็น FC ผม จะได้มีเวลาตั้งใจรับฟังข้อมูล
ถ้าไม่เห็นด้วยกับผมเรื่องอะไร ผมยินดีต้อนรับ บอกมาเลยว่าไม่เห็นด้วยเพราะอะไร 1..2..3..4.. เพราะฉะนั้น ไม่ต้องกังวล ถ้ามาผิดรูปผิดแนว ผมบล็อกหมดเลย ไม่ต้องห่วง อย่าเข้ามา ผมรำคาญ โคตรรำคาญเลยไอ้พวกสติปัญญาต่ำเตี้ยเรี่ยดิน คุณเชียร์ชูวิทย์ คุณเข้าไปหาเพจชูวิทย์ ไปอวยเขาให้เต็มที่เลย ผมไม่สนใจ
ประเด็นรายการวันนี้ที่ผมจะพูดมีอยู่หลายเรื่อง เยอะเลย ผมเอาความจริงที่มีหนึ่งเดียวของรถไฟฟ้าสายสีส้ม ที่คุณชูวิทย์ไม่อยากพูดถึง
ข้อที่สอง 4 ปีแล้วยังเงียบ ทายาทนิรันดร ร้อง ก.ล.ต. ตรวจสอบกรณีแสนสิริของคุณเศรษฐา ทวีสิน ซื้อที่ตระกูล มีกลิ่นตุๆ ลอยโชยออกมา เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟังว่ากลิ่นตุๆ นั้นคืออะไร
เรื่องที่สาม คือ วิกฤตธนาคาร SVB-เครดิตสวิส ล้ม กับปฐมบทของระเบียบโลกใหม่
เรื่องที่สี่ จมหนี้ อเมริกาเป็นหนี้ 1 พันล้านล้านดอลลาร์ เศรษฐกิจอเมริกาในวันนี้ อเมริกาคือต้นแบบของอภิมหาแชร์ลูกโซ่ในโลกนี้นั่นเอง
เรื่องที่ห้า การเงินพัง การคลังล้มเหลว มันเป็นจุดจบหรือเปล่าของยุคสหรัฐฯ จะครองโลก
เรื่องที่หก นัยสำคัญ "สี จิ้นผิง - ปูติน" การเปลี่ยนแปลงใหญ่ของโลกในรอบ 100 ปี
ท่านผู้ชมครับ ก่อนจะเข้าเรื่องหลัก วันจันทร์ที่ผ่านมา 20 มีนาคม 2566 มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ยุบสภาผู้แทนราษฎร เพื่อจัดให้มีการเลือกตั้ง ตามที่ท่านนายกรัฐมนตรีได้นำความกราบบังคมทูล เท่ากับว่าตอนนี้การเมืองไทยเข้าสู่ช่วงเวลาการหาเสียงเลือกตั้งอย่างเต็มตัว ช่วงนี้ท่านผู้ชมจะเห็นความเคลื่อนไหวของพรรคการเมืองต่างๆ เอาง่ายๆ ป้ายติดเต็มเมืองไปหมด ส่วนข่าวคราวก็เริ่มมีการเปิดตัวแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคโน้น พรรคนี้ รวมไปจนถึงการจับขั้วทางการเมือง ซึ่งผมได้นำเสนอไปบางส่วนแล้ว ยกตัวอย่างเช่น หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ตอนเช้าไปทานข้าวกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตอนเที่ยงไปกินข้าวกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ทักษิณ ชินวัตร ออกมาหาเสียงให้ลูกสาว ดิสเครดิตคู่แข่งอย่างพรรคก้าวไกล ด้วยการด่านายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ท่านผู้ชมครับ ฟังๆ ไปแล้วก็ไม่ได้ต่างกว่าพรรคประชาธิปัตย์เลย
ปรากฏการณ์ทางการเมืองต่างๆ เหล่านี้ ผมอยากจะกล่าวเตือนท่านผู้ชมว่า ภาพการเมือง "ในเท็จมีจริง ในจริงมีเท็จ" ซึ่งรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" จะทยอยนำมาบอกเล่าและวิเคราะห์ให้ฟังแบบเข้าใจง่ายๆ และท่านผู้ชมจะได้เห็นสัจธรรมทางการเมืองอย่างชัดเจนที่สุด
สายสีส้มที่ "ชูวิทย์" ไม่อยากพูดถึง
ท่านผู้ชมครับ ในรายการเมื่อหลายสัปดาห์ก่อน ผมเคยออกมาพูดถึงเรื่องการประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้มไปแล้ว และผมได้กล่าวเตือนคุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ไปด้วยว่าระวังจะโดนหลอกใช้ หรืออาจจะเป็นว่าคุณเต็มใจให้หลอกใช้ก็ได้ แต่การที่คุณออกมาเล่นละครใหญ่โตว่ามีการโกงการประมูล การก่อสร้าง การเดินรถไฟสายสีส้มที่ยืดเยื้อยาวนานและคาราคาซังมาหลายปี ในตอนนั้นคุณชูวิทย์เล่าอย่างเป็นตุเป็นตะว่าในการประมูลดังกล่าวมีเงินทอน 3 หมื่นล้านบาท จ่ายผ่านบัญชี HSBC ที่สิงคโปร์ และตัวเองยังมีหลักฐานเลขบัญชี ชื่อบัญชีด้วย
แต่เวลาต่อมาเมื่อมีคนทวงถามว่าไหนหลักฐาน คุณชูวิทย์ก็อ้ำๆ อึ้งๆ ตามสไตล์ของคุณชูวิทย์ว่าขอด่าก่อน แล้วพอเสนอความจริงแล้วก็อ้ำๆ อึ้งๆ คุณชูวิทย์บอกว่า บอกให้นายกฯ ไปแล้ว ให้หน่วยงานที่ตรวจสอบทุจริตไปแล้ว แต่ถึงวันนี้ผ่านมาแล้วเดือนกว่าๆ ท่านผู้ชมเชื่อไหม หลักฐานสินบน 3 หมื่นล้านบาท ยังไม่ปรากฏว่ามีจริง จนคุณชูวิทย์ พอถูกจี้ถามเข้า ก็ทำในเรื่องที่คุณชูวิทย์ถนัดที่สุดในชีวิต คือการแถ บอกว่างานประมูลยังไม่เสร็จ จะมีเงินทอนได้อย่างไรเล่า โดยลืมไปว่าตัวเองเป็นคนที่พูดอย่างนั้นไปว่า มีหลักฐานทุกอย่าง อย่างนี้ถ้าไม่เรียกว่าโกหกพกลม จะเรียกว่าอะไร
นี่คือหลักฐานการจับโกหกคุณชูวิทย์ได้ชัดๆ ข้อหนึ่ง เรื่องรถไฟฟ้าสายสีส้ม เผอิญช่วงที่ผ่านมา ท่านผู้ชมบางท่านที่สติปัญญาค่อนข้างจะต่ำเตี้ย ไปหลงลมปาก หลงไปกับละครลิงที่คุณชูวิทย์เล่น เขาพูดอะไรก็เชื่อตาม แต่ไม่ได้สนใจที่จะเสาะแสวงหาข้อมูล หรือพิจารณาเรื่องราวย้อนหลังว่าเรื่องนี้มันมีที่มาที่ไปอย่างไร คนกลุ่มนี้ชอบเข้ามาคอมเมนต์ ชอบจัง อยากให้คุณสนธิ/ลุงสนธิ หรือบางทีก็เรียกว่าสนธิเฉยๆ ว่า พูดเรื่องรถไฟสายสีส้มบ้างสิ ไม่กล้าพูดใช่ไหม พูดแต่เรื่องทุจริตรถไฟสายสีเขียว ได้ครับ ท่านผู้ชมที่ปัญญาต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ผมจะจัดให้วันนี้
จริงๆ แล้วถ้าคุณได้ติดตามรายการผมมา แล้วคุณไม่โง่จนเกินไป ผมเคยพูดเรื่องนี้หลายครั้งแล้ว หลายหน ตั้งแต่ปี 2564 สองปีที่แล้ว ในรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" จะบอกตอนให้ก็ได้ ตอนที่ 78 ออกอากาศเมื่อวันศุกร์ที่ 26 มีนาคม 2564 กลับไปดูเสียก่อนครับ ทั้งหมดมีหลักฐานหมด ไปเปิดย้อนหลังดูได้ ผมกับทีมงานรายการรับรู้ รับทราบ ศึกษาข้อมูลเรื่องนี้ตั้งหลายปีแล้ว ตั้งแต่ยังไม่เปิดประมูล ส่วนคุณชูวิทย์ไม่เคยสนใจ ไม่เคยมีข้อมูลมาก่อน แต่จู่ๆ ก็มาสนใจ เพราะคนที่เสียประโยชน์อย่างคุณคีรี ฝั่งบีทีเอส เอาข้อมูลมายัดมือคุณชูวิทย์ แล้วคุณชูวิทย์ก็พูดโกหกอย่างเป็นตุเป็นตะ
เมื่อสองปีที่แล้ว รายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ตอนที่ 78 ออกอากาศเมื่อวันศุกร์ที่ 26 มีนาคม 2564 ตั้งแต่ก่อนเปิดประมูล ผมพูดชัดเจนเกี่ยวกับกรณีการประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้ม ฝั่งตะวันตก ท่านผู้ชมบางท่านที่ฟังเรื่องนี้ ผมเชื่อว่าหลายคนยังไม่รู้เลยว่า รถไฟฟ้าสายสีส้มนั้นแบ่งเป็น 2 ส่วน หนึ่งส่วนประมูลเสร็จแล้ว ดำเนินการก่อสร้างส่วนงานโยธาจนเกือบเสร็จแล้ว คือฝั่งตะวันออก ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย-บางกะปิ-มีนบุรี-แยกร่มเกล้า โดยศูนย์วัฒนธรรมฯ นั้นเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างฝั่งตะวันตก กับ ฝั่งตะวันออก แต่ที่มีปัญหาฟ้องร้องกันไม่หยุดคือส่วนฝั่งตะวันตก ช่วงบางขุนนนท์-ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย
แล้วท่านผู้ชมรู้ไหมว่า เส้นทางสายสีส้ม ฝั่งตะวันตก นั้น ผ่านสถานที่แห่งใดบ้าง ? ผมจะไล่เป็นสถานีให้ท่านผู้ชมฟัง ท่านผู้ชมลองนึกภาพ จินตนาการตามผมมา (1) สถานีดินแดง อยู่ใต้ถนนวิภาวดีฯ ฝั่งขาเข้า หน้าศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร 2 (2) สถานีรางน้ำ ใกล้กับอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ (3) สถานีราชปรารภ หน้าห้างอินทราสแควร์ กลางย่านการค้าประตูน้ำ (4) สถานีประตูน้ำ ใต้ถนนเพชรบุรี หน้าห้างพันธุ์ทิพย์พลาซ่า (5) สถานีราชเทวี เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าบีทีเอส (6) สถานียมราช ใต้ถนนหลานหลวง หน้าบ้านมนังคศิลา (7) สถานีอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ตั้งอยู่บนถนนราชดำเนินกลาง บริเวณด้านตะวันออกของอนุสาวรีย์ฯ ด้านหน้าลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์ เป็นสถานที่เดิมของศาลาเฉลิมไทย เป็นลานด้านหน้าโลหะปราสาท วัดราชนัดดารามวรวิหาร ป้อมมหากาฬ และพระบรมบรรพต หรือที่เรียกกันว่า ภูเขาทอง วัดสระเกศ (8) สถานีสนามหลวง ตั้งอยู่ใต้ถนนราชินี ด้านด้านโรงละครแห่งชาติ ติดกับพระบรมมหาราชวัง วัดพระแก้ว และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก่อนที่รถไฟจะลอดใต้แม่น้ำเจ้าพระยา
เมื่อลอดไปแล้วก็จะไปเจอสถานีศิริราช ใต้สะพานอรุณอมรินทร์ ใกล้โรงพยาบาลศิริราช ห่างจากตึกปิยมหาราชการุณย์ เพียงนิดเดียว ก่อนจะผ่านไปทางสถานีบางขุนนนท์ และไปสิ้นสุดที่สถานีตลิ่งชัน
ท่านผู้ชมครับ เอาแค่ 9 สถานีที่ผมเล่าให้ฟังนี้ จากสถานีทั้งหมด 30 แห่ง ท่านผู้ชมเห็นหรือยังว่ารถไฟสายสีส้ม ฝั่งตะวันตก มันสำคัญแค่ไหน ผมเคยเล่าให้ฟังเสียด้วยซ้ำว่า มีอดีตข้าราชการกรมศิลปากรชี้ให้ผมเห็นว่าการขุดเจาะใต้ดินผ่านย่านและสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ หากดำเนินการอย่างไม่รอบคอบ เหมือนการสร้างสถานีรถไฟใต้ดินทั่วๆ ไป สายสีเขียว สายสีแดง สายสีม่วง นั่นเป็นจากในเมืองออกนอกเมือง แต่นี่จากจุดนอกเมือง วิ่งผ่าเข้าในเมืองเข้ามาเลย ถ้าการก่อสร้างขาดความระมัดระวัง ไม่มีเทคโนโลยีที่ดีพอ จะเกิดความเสียหายจากการทรุด อาจเกิดได้ทุกครั้งที่มีการทรุด อะไรก็ตามที่ทรุดลงไป ผลขยายของการทรุดจะกว้างออกไปถึง 2 กิโลเมตร แล้วการที่ขุดรถไฟใต้ดินข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ก็มีความเสี่ยง เพราะว่าใต้แม่น้ำเจ้าพระยายังมีหินก้อนใหญ่ๆ ที่ขวางอยู่ มีดิน มีทราย มีความซับซ้อนมากกว่าพื้นที่ปกติ เนื่องจากกรุงเทพมหานครนั้นตั้งอยู่ในที่ลุ่ม
ท่านผู้ชมครับ ลองลากเส้นโรงละครแห่งชาติ ซึ่งจะเป็นสถานีสนามหลวง ไปยังพระบรมมหาราชวัง หรือวัดพระแก้ว วัดระยะทางได้ 800 เมตร โรงพยาบาลศิริราช ซึ่งเป็นสถานีศิริราช มาถึงพระบรมมหาราชวัง (วัดพระแก้ว) ระยะทางอีก 1 กิโลเมตรกว่าๆ ประมาณ 1.2 กิโลเมตร อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย มาถึงพระบรมมหาราชวัง (วัดพระแก้ว) ก็พอๆ กับจากศิริราช คือระยะทางประมาณ 1.2 กิโลเมตร
ท่านผู้ชมครับ ผมเช็กข้อมูลแล้ว มันมีตัวอย่างให้เห็นก่อนหน้านี้ ทั้งในประเทศไทยเอง ในต่างประเทศ หลายกรณี เรียกว่านับไม่ถ้วนที่ขุดอุโมงค์รถใต้ดินแล้วเกิดปัญหาทรุด ท่านผู้ชมลองไปค้นข่าวเก่าๆ ตอนบริษัท อิตาเลียนไทย ขุดรถใต้ดินผ่านแถวเยาวราช ก็มีปัญหาอาคารทรุด ตรงหน้าสถานีวังบูรพา
ด้วยเหตุนี้ ภายใต้เงื่อนไขของการประมูลรอบใหม่ของรถไฟฟ้าสายสีส้ม ฝั่งตะวันตก รฟม. กับคณะกรรมการคัดเลือก เปลี่ยนหลักเกณฑ์ TOR เป็นการตัดสินด้วยคะแนนด้านเทคนิค + การเงิน สัดส่วนคือ 30 ต่อ 70 เพื่อให้เอกชนให้ความสำคัญกับเทคนิคการก่อสร้างและเดินรถ ควบคู่กับเงินที่รัฐสนับสนุน ไม่อย่างนั้นจะเกิดการฟันราคาโดยไม่คำนึงถึงคุณภาพงาน ซึ่งการประมูลงานนั้น การฟันราคาเกิดขึ้นตลอดเวลา เพราะมีการฟันก่อนล่วงหน้า ให้ต่ำ ทำไปก็ไม่มีกำไร แต่ขอให้ได้งานมาก่อน แล้วก็จะขอล้มระหว่างที่ได้งาน เพื่อจะมีคนมาอุ้ม มาเจรจาต่อรอง ปรับเปลี่ยนเงื่อนไขกัน ทำกันประจำ
ถ้าเป็นเช่นนั้นจะทำให้การก่อสร้างไม่ปลอดภัยต่อประชาชน ทำให้สถานที่สำคัญในเกาะรัตนโกสินทร์ชั้นใน เช่น ถนนราชดำเนิน สนามหลวง สะพานพระปิ่นเกล้า ศิริราช หรืออาจจะรวมไปถึงพระบรมมหาราชวัง และวัดพระแก้ว ซึ่งล้วนแต่เป็นสถานที่ที่สำคัญ มีโบราณสถานอายุหลายร้อยปี เกิดความเสียหายได้
ประเด็นอยู่ที่ไหน ? ถามว่าการก่อสร้างรถไฟสายสีส้ม ฝั่งตะวันตก ที่ผ่านสถานที่สำคัญของประเทศชาตินั้น วัดพระแก้ว พระบรมมหาราชวัง โรงพยาบาลศิริราช อนุสาวรีย์สำคัญทั้งสองแห่ง สนามหลวง ถนนราชดำเนิน ย่านการค้าสำคัญ เป็นท่านผู้ชม ท่านผู้ชมจะเอาของถูกเป็นหลัก หรือเอาของที่เน้นคุณภาพและราคาที่เหมาะสม ถ้าเป็นผม ผมเลือกอย่างหลัง ของที่เน้นคุณภาพ เทคนิค ราคาเหมาะสม ถ้าเน้นของถูก ใครประมูลถูกสุดก็เอาไป ไม่เน้นเทคนิคการก่อสร้างและเดินรถควบคู่ไปกับเงิน สุดท้าย ถ้าวัดพระแก้วเสียหาย พระบรมมหาราชวังเสียหาย โรงพยาบาลศิริราชทรุด ถนนราชดำเนินพัง คนประมูลได้ ผู้รับเหมาที่เน้นราคาถูก (ไม่ต้องเอ่ยชื่อก็รู้นะ คนที่โวยวายต่อต้านมา) จะรับผิดชอบไหวหรือเปล่า
มิหนำซ้ำ ระหว่างการก่อสร้าง ถ้าจู่ๆ ไปทำโบราณสถานในวัดพระแก้ว พระบรมมหาราชวัง โรงพยาบาลศิริราชทรุด จะรับผิดชอบกับคนไข้ หมอ พยาบาล อย่างไร เพราะการประมูลนั้นเน้นถูกอย่างเดียว ไม่ได้คำนึงถึงว่าถ้าเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น จะจัดการกับมันอย่างไร เมื่อท่านผู้ชมเข้าใจเรื่องความสำคัญและความอ่อนไหวของรถไฟฟ้าสายสีส้ม ฝั่งตะวันตก เรามาคุยกันต่อ
ผมอยากจะอธิบาย คุณชูวิทย์ และบีทีเอส มโนส่วนต่างสายสีส้ม 68,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นจุดที่คุยแล้วคุยอีก คุยแล้วคุยอีก ทั้งๆ ที่บีทีเอสก็ไม่ได้ยื่นซองประมูล แต่ทะลึ่งมาคัดค้านเรื่องนี้ โดยตั้งตัวเลขที่มโนขึ้นมา คำถามที่หลายๆ คนถามจากการพูดกรอกหูของคุณชูวิทย์ ว่ามันมีจริงๆ ไหม ส่วนต่างการประมูล 6-7 หรือ 8 หมื่นล้าน มีการล็อกสเปกจริงไหม ? เรื่องนี้มีการปั่นกระแสจนในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันอังคารที่แล้ว คือวันอังคารที่ 14 มีนาคม ตัดสินใจถอนวาระการคัดเลือกเอกชนโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ฝั่งตะวันตก ช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี-สุวินทวงศ์ และในส่วนของสัมปทานการเดินรถ 30 ปี ที่เสนอโดยนายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยฯ คมนาคม ในฐานะที่ปฏิบัติหน้าที่แทนรัฐมนตรีว่าการฯ คมนาคม ผ่านนายอนุทิน ชาญวีรกูล ในฐานะเป็นคนกำกับดูแลกระทรวงคมนาคม โดยให้เหตุผลว่า เพื่อรอการตัดสินคดีที่เกี่ยวข้องในชั้นศาล และการพิจารณาของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้ยุติ สำหรับเรื่องนี้มีคำตอบอยู่แล้ว จากศาล
ประเด็นแรก การแก้ TOR ที่บอกว่ามิชอบนั้น เป็นอย่างไร ? ข้อเท็จจริงคือ ศาลปกครองสูงสุดพิพากษายืนคดีแก้ไข TOR ประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้มฯ โดยศาลปกครองสูงสุดชี้ว่า ได้คัดเลือก รฟม. มีอำนาจแก้ไข TOR ใช้ดุลพินิจแก้ไขโดยถูกต้องตามหลักเกณฑ์ของกฎหมายแล้ว สิ่งที่คุณชูวิทย์ กับคุณคีรี ซึ่งเป็นเจ้าของบีทีเอส ออกมาโวยวายไม่หยุดว่า การแก้ไข TOR มิชอบ ล็อกสเปกนั้น ท่านผู้ชมครับ มันจบลงที่ศาลแล้ว เรื่องมันอยู่ที่ศาลหมดแล้วครับ คุณออกมาโวยวาย มิได้ทำให้ข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไป เขาไปเถียงกันในศาลมาเรียบร้อยหมดแล้ว พอแพ้ ออกมาเล่นนอกเกม อย่างนี้เขาไม่เรียกว่าลูกผู้ชายหรอกครับ เขาเรียกว่าขี้แพ้ชวนตี
ประเด็นที่สอง ของถูกไม่เอา เอาของแพง ทำให้มีส่วนต่าง 68,000 ล้าน เอาล่ะ ท่านผู้ชมตั้งใจฟังให้ดีๆ ผมล่ะเบื่อจริงๆ เรื่องนี้ เพราะผมรู้เรื่องนี้ดี ผมติดตามเรื่องนี้มาตลอด และทุกครั้งที่มโน โกหกพกลมกัน ผมก็รำคาญ ว่าทำไมประเทศไทยมันถึงโกหกกันได้ง่ายๆ อย่างนี้ ข้อเท็จจริงคืออะไร ?
ในการประมูลรอบล่าสุด มีผู้ยื่นซองครั้งที่สอง มีเอกชน 2 ราย คือ หนึ่ง ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM และกลุ่มของ อิตาเลียนไทย จำกัด หรือ ITD ส่วนบีทีเอสของคุณคีรี ที่คุณชูวิทย์รับงานมา แล้วก็ยอมรับว่าได้รับงานมา ออกมาโวยวายแทนนั้น ไม่ได้ยื่นข้อเสนอเลย แต่ทะลึ่งไปฟ้องศาลว่าถูกกีดกัน ซึ่งศาลก็ได้พิพากษาแล้วว่าไม่ได้กีดกันอันใด สรุปแล้วคือไม่มีการล็อกสเปก
ทั้งนี้ ซองข้อเสนอที่คุณชูวิทย์ และบีทีเอส นำมากล่าวนั้น เป็นซองข้อเสนอที่บีทีเอสมารับคืนไปแล้วจากการคัดเลือกครั้งแรก ที่มีการยกเลิกไป ซึ่งไม่มีใคร รวมทั้ง รฟม. รู้รายละเอียดข้างในเลย ไม่มีใครรู้เลย แต่บีทีเอส และคุณชูวิทย์ กลับนำมากล่าวอ้างว่าบีทีเอสยื่นขอรับการสนับสนุนค่าก่อสร้างโยธาจากภาครัฐ 79,000 ล้านบาท และสามารถจ่ายผลตอบแทนให้ รฟม. ตลอดอายุสัมปทานเดินรถ 30 ปี เป็นเงิน 70,000 ล้านบาท เมื่อหักกลบลบหนี้แล้ว จะเหลือขอรับเงินสนับสนุนเพียง 9,000 ล้านบาท เท่านั้นเอง เทียบกับข้อเสนอที่มีการยื่นอย่างถูกต้องของ BEM ที่เป็นผู้เสนอข้อเสนอที่ดีที่สุด ขอรับการสนับสนุนการก่อสร้างงานโยธาจากภาครัฐ 81,000 ล้านบาท และเสนอจ่ายผลตอบแทนให้กับ รฟม. ตลอดอายุสัมปทานเดินรถ 30 ปี เป็นเงิน 3,580 ล้านบาท ยอดเงินชดเชยของ BEM ก็อยู่ราว 78,000 ล้านบาท เมื่อมีการเอามาหักลบกับตัวเลขของบีทีเอส จะเป็นยอดส่วนต่าง 68,000 ล้านบาท ที่มีการเอามากล่าวอ้างกัน
ประเด็นอยู่ที่ไหน ? ประเด็นอยู่ที่เฟกนิวส์ ข้อมูลปลอม ที่คุณชูวิทย์ และบีทีเอส ปั่นออกมา ไม่ว่าจะเป็นเงินทอน 30,000 ล้าน เปลี่ยน TOR ไม่ชอบ ล็อกสเปกเอกชน มีส่วนต่างราคา 60,000-70,000 ล้านบาทนั้น เป็นประเด็นที่จงใจทำให้สังคมสับสน ทั้งนี้ ซึ่งในแง่การเปรียบเทียบระหว่างเอกชน 2 ราย แข่งประมูล ใครให้ผลประโยชน์รัฐมากกว่า หรือรัฐลงทุนน้อยที่สุด จุดนี้จับโป๊ะแตกได้อย่างไร ?
ข้อที่หนึ่ง ส่วนต่างราคาข้อเสนอ 60,000-70,000 ล้านบาท ที่คุณชูวิทย์อ้าง จะเปรียบเทียบได้อย่างไร เพราะบีทีเอสไม่ได้เข้าประมูลในรอบที่สอง เอาซองประมูลรอบแรกที่ยังไม่ได้เปิดดูเลย ไม่มีใครรับรอง มาอ้างอิงได้อย่างไร ถามว่าอย่างนี้เอามาเปรียบเทียบกับซองประมูลครั้งที่สองของเอกชนรายอื่นได้หรือเปล่า ? ไม่ได้อยู่แล้ว คุณประมูลเท่าไร ตัวเลขเท่าไร อยู่ในซอง ปิดไว้ ยังไม่เปิด แล้วคุณเอาซองกลับคืนไป แล้วคุณก็มามโนทีหลังว่าคุณเสนออย่างนี้ๆๆ
ข้อที่สอง ต้องยอมรับข้อเท็จจริงด้วยว่า ธุรกิจรถไฟฟ้าทุกสายที่ทำกัน รัฐต้องสนับสนุนงานโยธา ไม่อย่างนั้นโครงการไปไม่รอด
ท่านผู้ชมครับ ท่านผู้ชมรู้จักสายสีน้ำเงินใช่ไหม รัฐลงทุนค่าก่อสร้างกว่าแสนล้านบาท สายสีเขียวส่วนแรก ของคุณคีรี รัฐให้เอกชนลงทุน สุดท้ายเอกชนต้องเข้าแผนฟื้นฟูฯ จนทำให้ส่วนต่อขยาย รัฐจึงต้องมาลงทุนก่อสร้างเพิ่มอีก 50,000 ล้าน สายสีเหลือง สายสีชมพู ที่บีทีเอสประมูลได้ไป รัฐก็ต้องสนับสนุนค่าโยธาสายละ 20,000 ล้านบาท
ล่าสุด รถไฟฟ้า 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) รถไฟฟ้าความเร็วสูง รัฐยังต้องสนับสนุนค่างานโยธาประมาณ 120,000 ล้านบาท ผมถามตรงๆ ว่า ถ้าบีทีเอสจะทำสายสีส้ม ฝั่งตะวันตก ขอแค่ 9,000 ล้านบาท ทั้งๆ ที่ผลการศึกษาราคากลางของรัฐอยู่ที่ประมาณ 85,000 ล้านบาท นี่เป็นประเด็นที่สังคมต้องพิจารณาว่ามันเป็นไปได้หรือไม่ มันมีความน่าเชื่อถือหรือไม่ ท่านผู้ชมครับ งานนี้ต้องใช้สติไตร่ตรองกันเสียหน่อย
ในวงการรถไฟฟ้าวิเคราะห์กันว่า โดยปกติธรรมดาแล้ว กิจการรถไฟฟ้าขนส่งทั่วโลกนั้น มีสูตรทางธุรกิจอย่างนี้ครับ ปกติแล้ว 10 แรกเอกชนจะขาดทุน พอผ่าน 10 ปีแรก ไปปีที่ 11-20 เริ่มมีกำไร แต่ผลตอบแทนก็ยังไม่พอ มาปีที่ 21-30 จึงค่อยมีกำไรมากขึ้น ทำให้ผลตอบแทนทั้ง 30 ปี อยู่ที่ประมาณ 8-9 เปอร์เซ็นต์ สายสีส้มที่มีปัญหาอยู่ คาดว่าเมื่อเปิดดำเนินการไปแล้ว ปีที่ 21 จะมีผู้โดยสารราว 500,000 คนต่อวัน ค่าโดยสารเฉลี่ย 40 บาทต่อคน จะทำให้มีรายได้ 18 ล้านบาทต่อวัน หรือ 7,300 ล้านบาทต่อปี ปีที่ 33 น่าจะมีคนโดยสาร 700,000 คนต่อวัน เฉลี่ย 50 บาทต่อคน จะมีรายได้ 35 ล้านบาทต่อวัน หรือ 12,800 ล้านบาทต่อปี
ทั้งนี้และทั้งนั้น การที่บีทีเอสเอาซองที่ไม่ได้เปิด ไม่ได้ยื่นเข้าประมูล อ้างเป็นตุเป็นตะว่าจะแบ่งรายได้ให้รัฐในการเปิดบริการปีที่ 21-33 เป็นจำนวน 6,300-13,000 ล้านบาทต่อปี รวมแล้ว 134,000 ล้านบาทนั้น ไม่มีทางเป็นไปได้โดยสิ้นเชิง
นี่ยังไม่มองเรื่องรายได้ทั้งหมดในปีที่ 21-33 นั้น ยังไม่หักค่าใช้จ่ายเป็นค่าเดินรถ และค่าบำรุงรักษา ดอกเบี้ยเงินคืนทุน ยังไม่พอแบ่งให้รัฐตามที่อ้างเลย ถ้าบีทีเอสจะแบ่งแบบนั้น แสดงว่าบีทีเอสต้องเดินรถฟรี ไม่คิดค่าใช้จ่าย รับดอกเบี้ยเองทั้งหมด คำถามคือ เป็นไปไม่ได้ที่เอกชนจะทำฟรี และไม่มีแบงก์ไหนปล่อยกู้แน่นอน ในวงการก่อสร้างเขารู้เลยว่า วิธีแบบนี้เขาเรียกว่า "ฟันให้ได้งานก่อน" แต่สุดท้ายทำไม่ได้ ก็ล้มบนฟูก สำคัญคือได้งานก่อนแล้วทำให้หุ้นตัวเองขึ้นสูง เจ้าของก็จะขายหุ้นออกไป อีกหน่อยทำไม่ได้ก็ล้มบนฟูก ก็ในเมื่อขายหุ้นไปแล้ว ใครจะต้องรับผิดชอบล่ะ และที่สำคัญก็คือว่า ถ้าไม่เน้นเทคนิคเหมือนอย่างที่การออก TOR ครั้งที่สอง ถ้าวัดพระแก้วทรุด คนที่ประมูลได้โดยราคาถูกที่สุด โดยไม่เน้นเทคนิค จะมีปัญญารับผิดชอบกับการทรุดของพระบรมมหาราชวัง วัดพระแก้ว หรือโรงพยาบาลศิริราช ได้หรือเปล่า รับผิดชอบไม่ได้หรอกครับ ไม่มีหรอกครับ เพราะผู้ประมูลส่วนใหญ่ ผมไม่ได้เอ่ยชื่อใครนะ จะสนใจราคาหุ้นตัวเอง ขอให้ได้งานก่อน เมื่อหุ้นขึ้น ตัวเองก็จะทยอยขายหุ้นที่มันขึ้นออกไป โดยที่แอบกว้านซื้อหุ้นของตัวเองออกมา
นี่คือข้อเท็จจริง ท่านผู้ชม เจ็บปวดไหม ข้อเท็จจริง จริงๆ แต่โดนนายชูวิทย์โกหกพกลม เอามาบิดเบือนข้อเท็จจริง คุณบอกว่าบีทีเอสเสนออย่างโน้นอย่างนี้ คุณเอามาจากไหนล่ะ คุณเอามาจากซองที่บีทีเอสถอนออกไป ที่ไม่ร่วมประมูลด้วย ในซองนั้นเขียนอย่างไรก็ไม่มีใครรู้ ท่านผู้ชมครับ "ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น" และที่ผมพูดนี้ คือ "ความจริงหนึ่งเดียว" เพราะฉะนั้นก็เลยเกิดการเกเรเกตุง ทำตัวเป็นอันธพาล ฟ้องร้องไปให้หมด ฟ้องเรื่องนี้เสร็จ แพ้ ก็ไปฟ้องเรื่องนั้นต่อ ลากถ่วงมันไปตลอดเวลา ธุรกิจการประมูลนั้น ถ้าประมูลสู้ไม่ได้ ก็ต้องยอมรับผลที่ประมูลสู้ไม่ได้ ต้องยอมรับไป แล้วก็กลับมาปรับปรุงตัวเองให้ดี แต่ไม่ใช่ประมูลสู้ไม่ได้แล้วกูจะล้มการประมูล กูไม่ให้ใครได้ทั้งสิ้น นี่ไม่ใช่วิถีของนักธุรกิจที่เป็นมืออาชีพ แต่เป็นวิถีของนักเลงอันธพาลที่มาในคราบของนักธุรกิจ
"ทายาทนิรันดร" ร้อง ก.ล.ต. สอบ "แสนสิริ" กลิ่นตุๆ
ท่านผู้ชมครับ จำได้หรือเปล่า สัปดาห์ที่แล้วผมพูดเรื่องพินัยกรรมปลอมของตระกูลนิรันดรไป ก็มีผู้หวังดีส่งจดหมายร้องเรียนคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ คือ ก.ล.ต. ซึ่งเกี่ยวข้องกับที่ดินตระกูลนิรันดร มาให้ผม น่าสนใจมาก
เพราะจากกรณีปัญหาที่ดินที่คณะราษฎรกระทำการอย่างฉ้อฉล เอามาจากสถาบันพระมหากษัตริย์ ราชวงศ์จักรี ในเวลาต่อมา เมื่อทรัพย์สินเหล่านี้ตกทอดมายังรุ่นลูกรุ่นหลาน กลายเป็นของร้อน เพราะทายาทนอกจากทะเลาะเบาะแว้งแย่งชิง จนถึงกลายเป็นเรื่องพิพาท เรื่องพินัยกรรมปลอมแล้ว ยังเกี่ยวพันไปจนกลายเป็นเรื่องราวในบริษัทมหาชน ในตลาดหลักทรัพย์ อาจจะลุกลามเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมืองไทยด้วย
จดหมายร้องเรียนฉบับนี้ลงวันที่ 29 มีนาคม 2562 ต้องถือว่าเป็นจดหมายเมื่อ 4 ปีที่แล้ว หัวข้อร้องเรียน เขาร้องเรียน ก.ล.ต. ว่า ให้ตรวจสอบการดำเนินกิจการของกรรมการและผู้บริหารของ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา 89/7 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ โดยส่อไปในทางทุจริต เป็นเหตุให้บริษัทและผู้ถือหุ้นได้รับความเสียหาย เพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับประโยชน์จากการกระทำที่ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าว
เรื่องนี้มูลเหตุมาจากไหน ? มูลเหตุมาจากว่า แสนสิริ ไปทำสัญญาซื้อที่ดินแปลงใหญ่แห่งหนึ่งย่านดอนเมือง ขนาด 180 ไร่ มูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท ผู้ยื่นจดหมายฉบับนี้ให้ ก.ล.ต. คือ พล.ท.สรภฎ นิรันดร ตอนที่ยื่นตอนนั้นยังมียศพลตรี ซึ่งเป็นทายาทคนหนึ่งของขุนนิรันดรชัย ซึ่งถือว่ามีส่วนได้ส่วนเสียในที่ดินดังกล่าว
พล.ท.สรภฎ ร้องเรียนการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการและผู้บริหาร 3 กรณี กรณีที่หนึ่ง 11 สิงหาคม ในการประชุมกรรมการบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) มีการลงมติเป็นเอกฉันท์ อนุมัติการลงทุนบนที่ดินบริเวณซอยนิเวศน์ชาวฟ้า 1 คือดอนเมือง เพื่อพัฒนาโครงการประเภทบ้านเดี่ยว โดยที่ประชุมวันนั้นมอบอำนาจให้ 1. นายอภิชาติ จูตระกูล 2. นายเศรษฐา ทวีสิน และ 3. นายวันจักร์ บุรณศิริ 2 ใน 3 คนนี้มีอำนาจเจรจากับคู่สัญญา กำหนดราคาซื้อขายที่ดินแต่ละแปลงได้ตามความเหมาะสม โดยราคาถัวเฉลี่ยต่อตารางวาของที่ดินรวมทั้งแปลง ให้อยู่ภายในวงเงินและราคาที่ดินที่ได้รับการอนุมัติแล้ว ตามเอกสารแนบท้ายการประชุม คณะกรรมการได้อนุมัติให้ซื้อที่ดินเนื้อที่ 184 ไร่ 3 งาน 44.5 ตารางวา มีราคาประมาณ 2,070 ล้านบาท
ที่ประชุมได้มอบอำนาจให้นายอภิชาติ จูตระกูล นายเศรษฐา ทวีสิน นายวันจักร์ บุรณศิริ ในวันที่ 11 สิงหาคม 2559 แปลว่าอะไร ? แปลว่าสัญญาซื้อขายที่ดินต้องเกิดขึ้นภายหลังวันที่ 11 สิงหาคม 2559 แต่ท่านผู้ชมรู้ไหมว่า ในจดหมายร้องเรียนบอกว่าก่อนหน้าที่ที่ประชุมกรรมการบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) จะมีมติอนุมัติให้ซื้อที่ดินและมอบอำนาจดังกล่าวถึงหนึ่งปีกว่า ก่อนหน้าจะมีมติของคณะกรรมการบริษัท แสนสิริ คือเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2558 การประชุมคณะกรรมการทั้ง 10 คน ของแสนสิริ ยังไม่ได้มีการประชุม และไม่ได้มีมติให้มีการดำเนินการซื้อที่ดินแห่งนี้ ปรากฏสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินฉบับลงวันที่ 20 กรกฎาคม 2558 ระบุว่า บริษัท แสนสิริ จำกัด โดยนายอลงกรณ์ กิ่งมณี ผู้รับมอบอำนาจ ทำสัญญาจะซื้อที่ดินดังกล่าว รวม 8 แปลง เป็นจำนวนเงิน 2,070,446 ล้านบาท (***) จากนายสมศักดิ์ มติยาภักดิ์ ผู้จะขาย
เรื่องนี้สรุปว่าอย่างไร ? ปัญหาเรื่องนี้คือมีพิรุธว่า กรรมการและผู้บริหาร บริษัท แสนสิริ จำกัด ต้องบริหารงานโดยปฏิบัติตามมติของคณะกรรมการ แต่เหตุใดจึงมีสัญญาว่าจะซื้อจะขายที่ระบุจำนวนเงินเรียบร้อยออกมาก่อนการประชุมลงมติของกรรมการถึงหนึ่งปีเศษ
ด้วยเหตุนี้ พล.ท.สรภฎ นิรันดร จึงยื่นเรื่องให้ ก.ล.ต. ตรวจสอบว่าใครเป็นผู้มอบอำนาจให้นายอลงกรณ์ กิ่งมณี ไปดำเนินการจะซื้อจะขาย และใครเป็นคนกำหนดราคาที่ดินดังกล่าว โดยไม่ผ่านมติคณะกรรมการ เพราะตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 89/7 กำหนดว่า ในการดำเนินกิจการของบริษัท กรรมการและผู้บริหารต้องปฏิบัติตามมติของคณะกรรมการ
ที่สำคัญคือ พล.ท.สรภฎ ชี้ว่า สัญญาจะซื้อจะขายที่ลงวันที่ 20 กรกฎาคม 2558 ระหว่างบริษัท แสนสิริ ผู้จะซื้อ กับนายสมศักดิ์ มติยาภักดิ์ ผู้จะขาย ในจำนวนทั้งหมด 8 แปลงนั้น แท้ที่จริงแล้วเป็นกรรมสิทธิ์ของนายสมศักดิ์ มติยาภักดิ์ ผู้จะขาย เพียงแปลงเดียว จาก 8 แปลง คือโฉนดที่ดินเลขที่ 20856 ส่วนที่เหลืออีก 7 แปลง เจ้าของเดิมคือ นายธรรมนูญ นิรันดร ซึ่งเป็นตัวแทนของกงสีตระกูลนิรันดร ที่สำคัญคือ บริษัท แสนสิริ รู้ความจริงอยู่แล้วว่า กรรมสิทธิ์ที่ดินของนายสมศักดิ์ มีเพียงแปลงเดียว เนื่องจากหลักฐานปรากฏในโฉนดทุกแปลง แต่ทางแสนสิริ ยังจะทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินทั้ง 8 แปลง จากนายสมศักดิ์ และจ่ายเงินมัดจำให้นายสมศักดิ์หลายครั้ง เป็นจำนวนมาก
สรุปง่ายๆ บริษัท แสนสิริ จ่ายเงินให้สมศักดิ์ มติยาภักดิ์ สามครั้งแรก รวมเป็นเงิน 591 ล้าน 9 แสนบาท ก่อนที่บริษัท แสนสิริ จะมีมติในที่ประชุมในวันที่ 11 สิงหาคม 2559 ซึ่งเป็นพฤติการณ์ที่มีพิรุธอย่างยิ่ง และส่อไปในทางทุจริต
11 สิงหาคม 2559 ที่ประชุมกรรมการบริษัท แสนสิริ ลงมติเป็นเอกฉันท์ อนุมัติการลงทุนบนที่ดินซอยนิเวศน์ชาวฟ้า 1 ดอนเมือง เพื่อพัฒนาเป็นโครงการประเภทบ้านเดี่ยว
จากนั้นแล้ว ภายหลังมีมติ ที่ประชุมก็จ่ายเงินให้นายสมศักดิ์อีก 2 ครั้ง ทำให้โดยรวมก่อนวันโอนกรรมสิทธิ์ภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2559 แสนสิริ จ่ายเงินให้นายสมศักดิ์ มติยาภักดิ์ รวมทั้งสิ้น 776 ล้าน 9 แสนบาท ทั้งๆ ที่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินเพียงแปลงเดียว
ด้วยความผิดปกติดังกล่าว พล.ท.สรภฎ นิรันดร จึงต้องให้ ก.ล.ต. ตรวจสอบว่าเงินจำนวนดังกล่าวที่จ่ายจากบริษัท แสนสิริ เป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ ว่า หนึ่ง จ่ายแบบไหน สอง มีเส้นทางการเงินอย่างไร สาม มีการส่งมอบหรือยินยอมให้บุคคลใดนำเงินจำนวนดังกล่าวไปเป็นของตน หรือส่งต่อบุคคลที่สาม หรือมีการถ่ายเทผลประโยชน์กันหรือไม่ อย่างไร
เรื่องร้องเรียนนี้เกี่ยวกับการซื้อขายที่ดินที่มีพิรุธ ระหว่างตระกูลนิรันดร บุคคลที่สาม กับ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ค้างคาอยู่ที่ ก.ล.ต. มา 4 ปีแล้ว ไม่มีการดำเนินเรื่องใดๆ เลย ถามว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับประชาชนอย่างไร ผมคิดว่าเรื่องนี้มีประเด็นหลายมิติด้วยกัน หนึ่ง ตระกูลนิรันดร ไม่ใช่ตระกูลธรรมดา แต่เป็นต้นตระกูล เป็นบุคคลคณะราษฎร ที่ลูกหลานออกมายอมรับเองว่าที่ดินจำนวนมากที่ตกทอดในตระกูลนั้น เป็นที่ดินที่ยักยอกจากสถาบันกษัตริย์ สอง บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่มีชื่อเสียง จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ และกำกับดูแลโดยคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ การกระทำใดๆ ธุรกรรมใดๆ ของบริษัทจึงส่งผลได้ผลเสียต่อผู้ถือหุ้น นักลงทุนที่เป็นประชาชน ทั้งบุคคลทั่วไป และสถาบันต่างๆ
สาม ผู้บริหารแสนสิริ คนหนึ่ง ปัจจุบันก้าวเข้าสู่วงการทางการเมือง ก็เลยไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะต้องเคลียร์ตัวเองให้ชัดเจนว่าที่ผ่านๆ มามีประวัติหรือการกระทำใดที่มีพิรุธ หรือเข้าข่ายว่าการะทำการโดยมิชอบหรือไม่ ถ้าเคลียร์ตัวเองได้สำเร็จ ตอบคำถามได้ชัดเจน ก็จะมีความสง่างามในการดำรงตำแหน่งทางการเมือง สี่ ก.ล.ต. มีหน้าที่จะต้องเลิกดองเค็มเรื่องนี้เสียที ไม่ใช่รับเรื่องร้องเรียนมาแล้วเก็บเข้าลิ้นชักมา 4 ปี โดยไม่ทำอะไรทั้งสิ้น ทั้งๆ ที่เรื่องนี้เป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับบริษัทใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ เกี่ยวพันกับจำนวนเงินเป็นพันๆ ล้านบาทด้วย
นี่ล่ะครับท่านผู้ชม เกร็ดเล็กๆ น้อยๆ ต่อเนื่องจากการพิพากษาของศาลแพ่งว่า พินัยกรรมของตระกูลนิรันดร เป็นพินัยกรรมปลอม
วิกฤตแบงก์ SVB-เครดิตสวิส ล้ม กับระเบียบโลกใหม่
ท่านผู้ชมครับ เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว รายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" วันศุกร์ที่ 17 มีนาคม ผมได้เกริ่นเอาไว้ล่วงหน้าว่าผมจะพูดเรื่องประเด็นการเงินการคลัง วิกฤตเศรษฐกิจในอเมริกา ที่ส่งผลอย่างเป็นรูปธรรม ก็คือการล่มสลายของธนาคารหลายแห่งในสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็น SVB หรือ Silicon Valley Bank, Signature Bank และ First Republic Bank รวมไปถึงวิกฤตธนาคารในยุโรป ซึ่งเป็นกรณีที่เรื้อรังมาสักพักใหญ่แล้ว คือการล้มลงของเครดิตสวิส (Credit Suisse) ธนาคารยักษ์ใหญ่อันดับ 2 ของสวิตเซอร์แลนด์ และติดอันดับ Top30 ของโลก
เครดิตสวิส อายุร่วม 170 ปี ล้มครืนลงไปในระยะเวลาใกล้ๆ กัน ทำให้ธนาคาร UBS ธนาคารอันดับ 1 ของสวิตเซอร์แลนด์ ต้องเข้าไปซื้อกิจการ และธนาคารกลางของสวิตเซอร์แลนด์ต้องเข้าไปกอบกู้สถานการณ์
ผมตื่นขึ้นมาเมื่อวานนี้ เมื่อเช้านี้ ผมมีความรู้สึกประหลาดใจมากว่าธนาคารล้มมันเกิดขึ้นตลอดเวลา แต่ธนาคารอันดับ 2 ของสวิตเซอร์แลนด์ คือ เครดิตสวิส ล้ม แล้วทำให้อันดับ 1 ต้องเข้ามาแบกรับอันดับ 2 เท่ากับว่าความเชื่อมั่นในเรื่องสถาบันการเงิน ในเรื่องการเงินการทองที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์เคยมีอยู่ในโลกนี้ ท่านผู้ชมเชื่อไหม มันหมดไปแล้ว จริงๆ มันหมดไปพักหนึ่งแล้ว ตั้งแต่เครดิตสวิสยึดเงินที่รัสเซียฝากเอาไว้ ล่มตั้งแต่สมัยนั้น เพราะว่าคนที่ฝากเงินไว้กับสวิตเซอร์แลนด์ผ่านหลายธนาคารเริ่มไม่ไว้ใจสวิตเซอร์แลนด์ เพราะสวิตเซอร์แลนด์ไม่ได้ทำตัวเป็นคนที่สร้างความเชื่อมั่นในเรื่องการเงินให้กับคนทั่วโลก โดยไม่คำนึงถึงนิสัยใจคอ หรือหลักการ อุดมการณ์ทางการเมืองเลย เอาเงินมาฝากที่สวิตเซอร์แลนด์แล้วก็จะเซฟ แต่ปรากฏว่าไม่ใช่แล้ว วันนี้สวิตเซอร์แลนด์ไม่ได้วางตัวเป็นกลางในเรื่องการเงิน แต่ว่าไปเดินตามท้ายอเมริกา
ผู้เชี่ยวชาญการเงินการธนาคารและการคลังบ้านเราบางคนมองว่าวิกฤตนี้เป็นวิกฤตชั่วคราว เป็นเรื่องปกติของเศรษฐกิจทุนนิยม เป็นวงจรของระบบเศรษฐกิจ เดี๋ยวก็กลับไปเหมือนเดิม ด้วยความเคารพครับ ผู้ที่วิเคราะห์รายการนี้ เหตุการณ์เกี่ยวกับการล้มของแบงก์ว่าเป็นเรื่องธรรมดา ผมเคยพูดเรื่องนี้เป็นสิบๆ ปีแล้ว ตั้งแต่สมัยผมทำรายการ "เมืองไทยรายสัปดาห์" มาเป็น "มองโลกมองเรา" ล่าสุดคือรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ที่วันนี้ทำต่อเนื่องมาย่างเข้าสู่ปีที่ 4 แล้ว ท่านผู้ชมครับ เวลาเรามองเศรษฐกิจ การเมือง หรือเรื่องราวต่างๆ อย่าไปมองที่ต้นไม้ต้นเดียว เราต้องมองป่าทั้งป่า เพราะว่าทุกอย่างมันเชื่อมโยงกันหมด การเมืองภายในประเทศ การเมืองระหว่างประเทศ ภูมิรัฐศาสตร์ การเมืองระหว่างประเทศ สงคราม สังคม โรคระบาด ไม่เชื่อมาดูสิครับ
รายการ "มองโลกมองเรา" ในเดือนกุมภาพันธ์ 2558 แปดปีที่แล้ว ผมพูดปัญหาเรื่องยูเครน-รัสเซีย-โลกตะวันตก ผมพูดตั้งแต่แปดปีที่แล้ว ท่านผู้ชมที่เป็น FC และคอยติดตามผมมาตลอด จะจำได้ และขอให้ภูมิใจเลยว่าท่านไม่ได้ตกข่าวอะไรทั้งสิ้น ท่านรับรู้เรื่องราวต่างๆ ที่ผมไปขุดเจาะมา แล้วเอามาเสนอให้เป็นปัญญาให้กับพวกท่าน หรือรายการ "มองโลกมองเรา" พูดถึงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างอเมริกากับจีน เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2558 เมื่อเกือบแปดปีที่แล้ว มาต่อเรื่อง "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ตอนที่ 133 วันที่ 15 เมษายน 2565
เช่นเดียวกัน วิกฤตการเงินการธนาคาร ไม่ว่าจะเป็นการล้มลงอย่างกะทันหันของธนาคารซิลิคอน วัลเลย์ แบงก์ รวมถึงธนาคารหลายแห่ง ลามไปถึงกรณีของธนาคารเครดิตสวิส วิกฤตธนาคาร การล้มครั้งนี้ล้วนมีความเกี่ยวพันกับวิกฤตทางการเงินการคลัง ก่อให้เกิดความปั่นป่วนทางเศรษฐกิจการเงินไปทั่วโลก รวมทั้งตลาดการเงิน ตลาดหลักทรัพย์ในประเทศไทย เชื่อมโยงถึงสถานการณ์ด้านภูมิรัฐศาสตร์ทางการเมืองระหว่างประเทศที่เข้มข้นขึ้นทุกที
อย่างที่ผมเรียนให้ทราบแล้วว่าผมได้ติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดเป็นเวลาสิบกว่าปีแล้ว เห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีมิติลึกล้ำมากกว่าแค่เรื่องเศรษฐกิจ โยงไปถึงเรื่องโรคระบาด สถานการณ์สงครามในยูเครน การปะทะกันระหว่างโลกตะวันตกและตะวันออก อเมริกากับจีน ตะวันออกกลาง อินเดีย เกมการเมืองระหว่างประเทศ การเปลี่ยนดุลอำนาจของโลก อาจจะรวมไปถึงการรีเซ็ตระบบการเงินของโลกอีกต่างหาก เกี่ยวพันกันอย่างไร ? ท่านผู้ชมตามผมมา
ความล่มสลายของธนาคาร SVB หรือ Silicon Valley Bank ธนาคารนี้เป็นธนาคารพาณิชย์มีอายุอานาม 39 ปี ตั้งเมื่อปี 2526 (1983) ตั้งขึ้นมาเน้นการลงทุนเพื่อปล่อยกู้ให้กับบรรดาบริษัทต่างๆ อันประกอบธุรกิจด้านเทคโนโลยีและสตาร์ทอัพ
ชื่อก็บอกแล้ว ว่าชื่อ ซิลิคอน วัลเลย์ ซึ่งหมายถึงพื้นที่ทางตอนเหนือของรัฐแคลิฟอร์เนีย ทางฝั่งตะวันตกของอเมริกา แถบๆ ซานฟรานซิสโก ซานโฮเซ เบย์แอเรีย ซานตาคลาร่า และพื้นที่ใกล้เคียงซึ่งเป็นแหล่งที่ตั้งของบริษัทไฮเทค บริษัทซอฟต์แวร์ เทคโนโลยีชั้นสูงต่างๆ ในสหรัฐฯ ที่ส่วนใหญ่มาตั้งสำนักงานใหญ่อยู่ที่นี่ ไม่ว่าจะเป็น Apple, Facebook, Google, Adobe, Netflix, Twitter, ซิสโก, Intel และอื่นๆ อีก รวมไปถึงบริษัทสตาร์ทอัพจำนวนมาก เพราะที่นี่เป็นศูนย์รวมทางการเงิน และแหล่งทุน สิ่งแวดล้อม ทรัพยากรบุคคล คอนเนกชัน โอกาสต่างๆ ที่เอื้ออำนวยให้กับบริษัทที่เกิดใหม่ไว้ในที่เดียว ด้วยสภาพแวดล้อมดังกล่าวทำให้เมื่อเกือบ 40 ปีที่แล้ว
ธนาคารซิลิคอน วัลเลย์ จึงมีภารกิจมุ่งเป้าในการให้บริการทางการเงิน ให้รูปแบบต่างๆ ให้กับบริษัทไฮเทค บริษัทเทคโนโลยี บริษัทสตาร์ทอัพทั้งหลายเป็นหลัก
ก่อนที่ในเวลาต่อมาจะขยายสาขาไปทั่วอเมริกา และอีกหลายประเทศทั่วโลก ที่บริษัทไฮเทคเหล่านี้ขยายสาขาไปเปิด มีทั้งที่แคนาดา อังกฤษ ยุโรป อิสราเอล จีน ฮ่องกง อินเดีย เป็นต้น
ท่านผู้ชมอาจจะถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับ ซิลิคอน วัลเลย์ แบงก์ ในช่วงที่ผ่านมา ผมจะลำดับเรื่องราวต่างๆ ให้ผู้ชมเข้าใจเรื่องนี้แบบง่ายๆ และไม่ต้องสับสน
ข้อที่หนึ่ง ช่วงวิกฤตโควิด-19 ผู้คนไม่สามารถเดินทางได้ ออฟฟิศให้ Work From Home ประชุมออนไลน์ โรงเรียนปิด เด็กๆ เรียนออนไลน์ ทุกคนอยู่บ้านก็เปิดคอมพิวเตอร์ ใช้โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต บริการต่างๆ ด้านเทคโนโลยีกันอย่างหนักหน่วง ในช่วงนี้เอง บริษัทเทคโนโลยีทั้งหลายต่างเติบโตกันอย่างก้าวกระโดดตามสถานการณ์ ยกตัวอย่างเช่น การประชุมผ่าน Zoom ชอปปิ้งออนไลน์ Shopee, Lazada, Amazon ดูหนังดูละคร Netflix, Disney หรือ Prime VDO แอปฯ ต่างๆ แอปฯ ส่งของ อาหารทั้งหลาย โปรแกรมการออกกำลังกาย บริการออนไลน์ในหลายรูปแบบ บริษัทที่เกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ต่างต้องขยายกิจการเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ข้อที่สอง ภายใต้สถานการณ์นี้ ฝั่งนักลงทุนที่มีเงิน คือพวก Venture Capital หรือภาษาไทยคือ ธุรกิจร่วมลงทุนทั้งหลาย เมื่อเห็นว่าธุรกิจดั้งเดิม หรือธุรกิจปกติ ประสบปัญหาอย่างหนักจากการปิดล้อม ชัตดาวน์ต่างๆ ด้วยโรคระบาด ไม่สามารถดำเนินธุรกิจไปได้ตามปกติ ทุกคนก็เฮโลเทเงินทุนไปที่บริษัทไฮเทค บริษัทเทคโนโลยี และบริษัทสตาร์ทอัพกันใหญ่ เงินเหล่านี้ แน่นอน จำนวนมากก็ไหลเข้ามาสู่สถาบันการเงิน อย่างเช่น ธนาคารซิลิคอน วัลเลย์ ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์สหรัฐฯ ระดับภูมิภาค ขนาดใกล้เคียงกับอเมริกันเอ็กซ์เพรส (American Express) ที่ใหญ่อันดับ 16 ของอเมริกา ถ้าวัดจากมูลค่าทรัพย์สินที่มีอยู่ ก็ประมาณ 212,000 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 7.23 ล้านล้านบาท
ทั้งนี้ ระยะเวลาเพียงแค่ 2 ปี กว่า 3 ปี ที่มีวิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด เงินฝากในธนาคารซิลิคอน วัลเลย์ เพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่าตัว จากปี 2562 ก่อนที่จะมีโควิดมา ซิลิคอน วัลเลย์ มียอดเงินฝากอยู่ 65,000 ล้านดอลลาร์ หรือราวๆ 2.2 ล้านล้านบาท
ต้นปี 2565 (2022) เงินฝากในเพิ่มขึ้นมาเกือบ 3 เท่า กลายเป็น 198,000 ล้านดอลลาร์ หรือราว 6.75 ล้านล้านบาท
ยิ่งไปกว่านั้น การอัดฉีดเงินจำนวนมหาศาลของรัฐบาลสหรัฐฯ ในยุคประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มาถึงยุคประธานาธิบดีโจ ไบเดน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในวิกฤตโรคระบาด คิดเป็นเงินมากมายมหาศาล กว่า 5 ล้านล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 170 ล้านล้านบาท ยังทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้ออย่างหนักในระบบเศรษฐกิจสหรัฐฯ ต่อเนื่องมายังเศรษฐกิจชาติอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ การอัดฉีดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมหาศาล นอกจากจะก่อปัญหาให้เกิดภาระเงินเฟ้อแล้ว ยังเป็นภาระทางการคลังอย่างมหาศาลด้วย ซึ่งในวิกฤตการคลังของสหรัฐฯ เดี๋ยวผมจะทยอยเล่าให้ฟัง
วิกฤตการคลังจมหนี้ 1,000 ล้านล้าน เศรษฐกิจของอเมริกานั้น จริงๆ แล้วมันก็เหมือนกับเศรษฐกิจเป็นอภิมหาแชร์ลูกโซ่นั่นเอง หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง แม่ชม้อย แม่มณี ชิดซ้ายไปเลย พ่อสหรัฐฯ นี่ล่ะคือตัวพ่อจริงๆ ในเรื่องการทำธุรกิจแชร์ลูกโซ่
ข้อที่สาม คำถามต่อมาก็คือ เมื่อมีเงินฝากไหลเข้ามามากขึ้นกว่าปกติ ธนาคารซิลิคอน วัลเลย์ จะเอาเงินกระจายไปลงทุนต่อที่ไหน เพราะมีเงินนั่งอยู่ในแบงก์เฉยๆ ไม่ได้ เพราะมีค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่าย ค่าดอกเบี้ย โน่นนี่นั่น ธนาคารซิลิคอน วัลเลย์ ก็เช่นเดียวกับธนาคารพาณิชย์อื่นๆ ที่ทำหน้าที่รับฝากเงิน และให้กู้ยืมเงิน โดยเป็นตัวกลางที่รับเงินออมจากผู้มีเงินออมในภาคส่วนต่างๆ มาให้ผู้ที่ต้องการกู้ยืม เพื่อใช้ในการอุปโภคบริโภค หรือเพื่อการลงทุน โดยธนาคาร SVB (Silicon Valley Bank) มีรายได้ส่วนต่างของดอกเบี้ยเงินกู้ และดอกเบี้ยเงินฝาก
เหมือนอย่างที่ผมพูดไปแล้ว ตามปกติแล้วเวลามีคนมาฝากเงิน ธนาคารก็จะเอาเงินดังกล่าวไปปล่อยกู้ ธนาคารจะได้ผลตอบแทนจากส่วนต่างดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝาก อย่างไรก็ตาม หลังจากหักเงินสดสำรอง และเผื่อผู้ฝากขอถอนเงินออกไปแล้ว ธนาคารจำนำเงินส่วนที่เหลือไปทำอะไร ? ไปซื้อพันธบัตรอเมริกา เพื่อสร้างผลตอบแทน จะไม่ถือส่วนที่เป็นสภาพคล่องส่วนเกินไว้เป็นเงินสดเลยแม้แต่นิดเดียว คือพอมีเงินเหลือปั๊บ เสร็จเรียบร้อยแล้วเอาไปซื้อพันธบัตรเลย
แล้วตัวพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะยาว พันธบัตรมี 2 แบบ ระยะสั้น และ ระยะยาว ที่เขาเรียกว่า Long-term Government Bond รวมไปถึงตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกันการจำนอง ก็คือ Mortgage-Backed Securities ก็คือมีหลักฐานในการกู้ยืมเงินสินเชื่อที่อยู่อาศัย แล้วก็ออกมาเป็นตราสารหนี้ โดยที่มีการกู้ยืมเงินเป็นตัวค้ำประกัน นี่เองที่ทำให้ธนาคาร ซิลิคอน วัลเลย์ เข้าไปซื้อเพื่อสร้างผลตอบแทน ที่ก่อให้เกิดปัญหาจนกระทั่งเข้ามาสู่ยุควิกฤต
แล้วทำไมธนาคาร SVB หรือ Silicon Valley Bank ถึงเกิดกรณีขาดสภาพคล่อง ที่เขาเรียกว่า Bank Run ขาดสภาพคล่องภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Bank Run ก็คือธนาคารมีขาวิ่งหนีได้ จนทำให้ธนาคารเจ๊งภายใน 48 ชั่วโมง
แล้วตัวพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะยาว พันธบัตรมี 2 แบบ ระยะสั้น และ ระยะยาว ที่เขาเรียกว่า Long-term Government Bond รวมไปถึงตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกันการจำนอง ก็คือ Mortgage-Backed Securities ก็คือมีหลักฐานในการกู้ยืมเงินสินเชื่อที่อยู่อาศัย แล้วก็ออกมาเป็นตราสารหนี้ โดยที่มีการกู้ยืมเงินเป็นตัวค้ำประกัน นี่เองที่ทำให้ธนาคาร ซิลิคอน วัลเลย์ เข้าไปซื้อเพื่อสร้างผลตอบแทน ที่ก่อให้เกิดปัญหาจนกระทั่งเข้ามาสู่ยุควิกฤต
แล้วทำไมธนาคาร SVB หรือ Silicon Valley Bank ถึงเกิดกรณีขาดสภาพคล่อง ที่เขาเรียกว่า Bank Run ขาดสภาพคล่องภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Bank Run ก็คือธนาคารมีขาวิ่งหนีได้ จนทำให้ธนาคารเจ๊งภายใน 48 ชั่วโมง
ท่านผู้ชมครับ ในช่วงที่ผ่านมา เพื่อแกัปัญหาเงินเฟ้อจากการอัดฉีดเงิน แจกเงินเข้าไปในระบบมากๆ อย่างที่ผมกล่าวไปแล้วว่า หลายปีที่เกิดวิกฤตโควิด-19 รัฐบาลสหรัฐฯ อัดเงินฉีดเข้าไปในระบบมากกว่า 5 ล้านล้านดอลลาร์ คิดเป็นเงินไทยเท่ากับ 170 ล้านล้านบาท ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ เฟด ก็จำเป็นต้องจัดการกับสถานการณ์เงินเฟ้อ เพราะว่าเงินเฟ้อมันสูงมาก โดยการเพิ่มดอกเบี้ยอย่างรวดเร็ว จาก 0.25 เปอร์เซ็นต์ ที่เคยเป็นดอกเบี้ย กลายเป็น 4.75 เปอร์เซ็นต์ ภายในเวลาไม่ถึงปี ดอกเบี้ยจาก 0.25 กลายเป็น 4.75 เปอร์เซ็นต์ ใครก็ตามที่กู้เงิน ผ่อนบ้าน เจอดอกแบบนี้ไป จุกอกหมดครับ กระอักออกมาเป็นเลือดเป็นลิ่มๆ เลย และเป็นระดับที่สูงที่สุดในรอบ 15 ปี
การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรงของอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวที่ธนาคารซิลิคอน วัลเลย์ ถืออยู่นั้น ปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ทั้งนั้น หาก ธ.ซิลิคอน วัลเลย์ ไม่ต้องการใช้เงิน ไม่ได้มีคนฝากเงินมาถอนเงินพร้อม ๆ กัน จำนวนมาก ๆ การถือพันธบัตรที่ราคาปรับตัวลงไว้เฉยๆ ก็คงไม่ได้ก่อให้เกิดปัญหาอะไร
สี่ ภายหลังวิกฤตการแพร่ระบาดโควิดคลี่คลายลง โดยเฉพาะตั้งแต่ปีที่แล้ว (ปี 2565) เป็นต้นมา การขยายตัวอย่างรวดเร็วเกินไปของบริษัทเทคโนโลยี และสตาร์ทอัพต่างๆ ก็เกิดการชะลอตัวลงอย่างกะทันหัน ส่งผลให้เกิดการเลิกจ้าง นี่คืออีกหนึ่งสาเหตุครับ บริษัทไฮเทคเลิกจ้างคนเป็นแสนเลย เอาง่ายๆ แล้วกัน Facebook นี่เลิกจ้างคนไป 10,000 กว่าคน Amazon เกือบ 10,000 คน Twitter 4,000 คน Google 12,000 คน และยังมีอีกเยอะแยะไปหมด
ปีที่แล้ว (2565) อุตสาหกรรมไฮเทคมีการปลดพนักงานไปแล้วกว่า 100,000 คน เมื่อบริษัทเทคโนโลยี บริษัทสตาร์ทอัพ ต่างเริ่มขาดสภาพคล่อง ก็ต้องปลดคนงานเป็นแสนๆ คน ต้องจ่ายค่าชดเชย พนักงานที่มีเงินฝากในแบงก์ ออมทรัพย์เก็บเอาไว้ เมื่อตัวเองตกงานก็ต้องถอนเงินออก เพราะตกงาน ประกอบกับเงินระดมทุนใหม่ก็หดหายไป เพราะว่าไม่มีใครสนใจจะเพิ่มทุนให้ ก็เลยต้องไปกู้เงินเพื่อมาโปะเป็นค่าใช้จ่าย พอลูกค้าเริ่มถอนเงินฝาก ซึ่งก็จะเป็นใครล่ะที่ถอนเงินฝาก กลุ่มแรกที่ถอนเงินก่อนเพื่อนก็คือกลุ่มคนที่ตกงาน มีเงินฝากอยู่ในแบงก์เท่านี้ 1-2 แสนเหรียญ 3-4 แสนเหรียญ 5 แสนเหรียญ ก็ถอนออกมา เพราะว่าตกงานแล้วนี่ เอาเงินออกมาเก็บเอาไว้ ทำให้ธนาคารซิลิคอน วัลเลย์ สภาพคล่องลดลง ก็เลยต้องเอาพันธบัตรที่มีอายุเฉลี่ย 3 ปีกว่าๆ ที่มีอยู่ เอาออกมาขาย อย่างที่ผมบอกแล้วไงครับ พันธบัตรซื้อมาแล้ว ถือเอาไว้ ได้ดอกเบี้ยส่วนหนึ่ง แต่ไม่มาก แต่เงินขาดสภาพคล่อง ก็เลยต้องเอาพันธบัตรมาเทขาย ทำให้เกิดภาวะการรับรู้การขาดทุน ก็คือว่า เมื่อเทขายแล้ว ต้นทุนมันสูงกว่าราคาขาย มันก็ทำให้ขาดทุนได้
ภาวะการขาดทุนเกิดขึ้นถึง 1,800 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 61,000 ล้านบาท พอข่าวรั่วออกไปว่าธนาคารขาดทุน ก็เป็นผีซ้ำด้ำพลอย ก็คือคนแห่ไปถอนเงินมากขึ้น แม้ธนาคาร SVB จะมีการประกาศเพิ่มทุนเพิ่มเติม ก็เอาไม่อยู่ ทำให้สถานการณ์ยิ่งแย่ลงอย่างรวดเร็ว คนตกใจ ขายหุ้น แห่ถอนเงิน จนเกิดการขาดสภาพคล่อง ซึ่งภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า BANK RUN
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก คือในระยะเวลา 2-3 วัน หรือ 48 ชั่วโมง คือวันพุธที่ 8 มีนาคม ถึงวันศุกร์ที่ 10 มีนาคม 2566 ธนาคารซิลิคอน วัลเลย์ (SVB) ก็เลยอยู่ในภาวะล้มละลาย จนในที่สุด สถาบันเงินฝากอเมริกา (FDIC) จึงต้องเข้ามาควบคุมสถานการณ์ จนทำให้ SVB ต้องปิดตัวลง
การประกาศปิดตัวลงของธนาคารซิลิคอน วัลเลย์ และสถาบันการเงินอื่นๆ อีก 2 แห่ง รวมเป็น 3 แห่ง ภายในระยะเวลาไม่เกิน 1 สัปดาห์ เป็นข่าวใหญ่ สะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบจากการที่เฟด หรือ ธนาคารกลางอเมริกา ขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วและรุนแรงอย่างต่อเนื่อง จนเกิดความล่มสลายของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและสตาร์ทอัพในอเมริกา ที่สำคัญ ถือเป็นความล้มเหลวของธนาคารสหรัฐฯ ที่ใหญ่ที่สุด นับตั้งแต่วิกฤตการเงินโลกในรอบสิบกว่าปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2008 ที่บริษัทอย่างมอร์แกนสแตนลีย์ (Morgan Stanley) เจ๊งที่นิวยอร์ก
วันที่ 14 มีนาคม 2566 จากวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นกับธนาคารสหรัฐฯ มูดีส์ ซึ่งเป็นสถาบันจัดอันดับทั่วโลก ออกมาปรับลดแนวโน้มสำหรับภาคการธนาคารของสหรัฐฯ ทั้งหมด และกำลังทบทวนการปรับลดอันดับเครดิตธนาคารสหรัฐฯ 6 แห่ง หลังจากการล่มสลายของธนาคารซิลิคอน วัลเลย์
สถาบันการจัดอันดับมูดีส์ ให้เหตุผลว่า ปัญหาการขาดสภาพคล่องของธนาคารหลายแห่ง ทั้ง 3 แห่ง ที่ได้ล่มลง กำลังนำไปสู่ความเสี่ยงบนระบบธนาคาร เน้นนะครับว่า เป็น "ระบบธนาคารสหรัฐฯ" ไม่ใช่เฉพาะ 4 แบงก์เท่านั้น แต่ระบบธนาคารสหรัฐฯ ทั้งหมด ไม่ใช่ธนาคารใดธนาคารหนึ่ง
มูดีส์ ระบุต่อว่า บริษัทได้ปรับความน่าเชื่อถือของระบบธนาคารสหรัฐฯ จาก "มั่นคง" (Stable) กลายเป็น "ลบ" (Negative) เพื่อให้สะท้อนมุมมองที่เห็นถึงการเสื่อมสภาพอย่างรวดเร็วของระบบเงินฝากในระบบธนาคารสหรัฐฯ นอกจากนี้ ยังชี้ให้คาดการณ์ด้วยว่าธนาคารจำนวนมากถูกกดดันหลังจากการล่มสลายของธนาคารซิลิคอน วัลเลย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งธนาคารที่มีเงินฝากที่ไม่มีหลักประกันจำนวนมาก และพันธบัตรรัฐบาลระยะยาว ที่ธนาคารต่างๆ พากันซื้อและมีมูลค่าลดลง เพราะเมื่อใดก็ตามที่เฟดขึ้นดอกเบี้ย ผลตอบแทนกับพันธบัตรระยะยาวก็จะตกลงมาทันที ขาดทุนทันทีเลย โดยระบุว่า ปัจจัยสำคัญคือแรงกดดันต่อภาคการธนาคารจากการที่เฟดขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพื่อต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อ
ท่านผู้ชมครับ คำถามที่น่าสนใจก็คือ ยังมีธนาคารอีกกี่แห่งที่อาจจะตกอยู่ในสภาวะเดียวกันกับ 3 ธนาคารสหรัฐฯ ที่ล้มไปแล้ว คำตอบฟังแล้วขนลุกเลย มีธนาคารที่อาจจะตกอยู่ในความเสี่ยงว่าจะขาดสภาพคล่องเช่นเดียวกับ 3 ธนาคารที่ล้มไปแล้ว ฟังแล้วอย่าตกใจนะท่านผู้ชม 186 แห่ง ในอเมริกา
ท่านผู้ชมครับ ได้มีการศึกษาชิ้นหนึ่ง เรียกว่า Monetary Tightening and U.S. Bank Fragility ปี 2023 : Mark-to-Market Losses and Uninsured Depositor Runs? งานวิจัยนี้ตีพิมพ์เผยแพร่ในเครือข่ายการศึกษาและวิจัยทางด้านสังคมศาสตร์ เพิ่งตีพิมพ์ออกมาเมื่อวันที่ 13 มีนาคมนี้ เอง โดยนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของสหรัฐอเมริกา อย่างเช่น Kellogg School of Management จาก Northwestern University ซึ่งผู้หลักผู้ใหญ่หลายคนที่เก่งๆ ในประเทศไทย ก็จบมาจากมหาวิทยาลัยแห่งนี้ มาจาก University of Southern California, Columbia University และมาจาก Stanford University
เนื้อหาการศึกษาชิ้นนี้มี 21 หน้า แต่ผมจะสรุปเนื้อหาให้ท่านผู้ชมได้ฟังสั้นๆ ก็แล้วกัน เขาสรุปอย่างนี้ จากกรณีศึกษาของความล้มเหลวของธนาคารซิลิคอน วัลเลย์ ยังพบว่ามีธนาคารอีก 186 แห่ง ที่อาจจะล้มลงได้ หากครึ่งหนึ่งของคนฝากเงินของธนาคารเหล่านั้นแห่กันไปถอนเงินอย่างกะทันหัน นักวิจัยได้จำลองสถานการณ์ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หากเกิดเหตุการณ์ BANK RUN หรือสถานการณ์ที่คนแห่ไปถอนเงิน สรุปได้ว่า สถาบันประกันเงินฝากจะไม่เหลือเงินไปคืนผู้ฝากอีกต่อไป
ท่านผู้ชมครับ คำถามที่น่าสนใจคือ ถ้าสถาบันเงินฝากสหรัฐฯ จู่ๆ หมดเงิน ไม่มีเงินไปคืนผู้ฝาก ผู้ฝากจะทำอย่างไร ? คำตอบคือ ระบบการเงินของสหรัฐฯ จะตกอยู่ในวิกฤตครั้งใหม่ ครั้งใหญ่ด้วย ใหญ่ที่สุด จะสูญเสียความเชื่อมั่นและความน่าเชื่อถือ จนยากที่จะกอบกู้คืนมา เหมือนกับประเทศสวิตเซอร์แลน์ การล่มสลายของเครดิต สวิส และทำให้ธนาคารอันดับ 1 UBS (United Bank of Switzerland) ของสวิตเซอร์แลน์ ต้องเข้ามาเทกโอเวอร์ธนาคารอันดับ 2 นี่คือวิกฤตความเชื่อมั่นและศรัทธาที่มีอยู่ในระบบการเงินของสวิตเซอร์แลนด์ ก็เริ่มจะพังทลายแล้ว
จากข้อมูลที่อัปเดตเมื่อปี 2565 ระบุว่า กองทุนประกันเงินฝากของ FDIC นั้น มีเงินอยู่แค่ 128,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราวๆ 4.36 ล้านล้านบาท แต่ท่านผู้ชมรู้ไหม ระบบธนาคารในอเมริกาที่มีเงินฝากรวมๆ อยู่มาก 17 ล้านล้านดอลลาร์ หรือราว 580 ล้านล้านบาท
ทั้งนี้ จากการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญว่า ถ้าจะให้เพียงพอจริงๆ รัฐบาลอเมริกาต้องอัดฉีดเงินเข้าไปในระบบธนาคารเพื่อสร้างความเชื่อมั่นผ่าน Bank Term Funding Program เพื่อปกป้องสถาบันการเงินต่างๆ ไม่ให้ได้รับผลกระทบจากการล้มละลายของธนาคาร 3 แห่ง ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าต้องอัดเงินเข้าไปเท่าไร ? มากกว่า 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 68 ล้านล้านบาท
คำถามที่น่าสนใจว่า รัฐบาลสหรัฐฯ จะเอาเงินที่ไหน และสถานการณ์การคลังอเมริกาในปัจจุบันเป็นอย่างไร
ท่านผู้ชมครับ ผมพูดในตอนต้นว่าเรื่องทั้งหมดนี้ต้องดูป่าทั้งป่า อย่าไปดูเฉพาะต้นไม้ต้นเดียว เมื่อกี้ผมอธิบายต้นไม้ต้นเดียว หรือต้นไม้สองต้นของการล้มของธนาคาร 3-4 แห่ง แต่คราวนี้ผมจะพูดถึงป่าทั้งป่า เพื่อท่านผู้ชมจะได้เข้าใจภาพรวมทั้งหมด คือถ้าผมพูดว่าอเมริกานั้นคืออภิมหาแชร์ลูกโซ่ ท่านผู้ชมจะเชื่อไหม
กุมภาพันธ์ 2566 ที่ผ่านมา นอกจากประเด็นเรื่องวาระครบรอบ 1 ปี การบุกเข้าทำสงครามใหญ่ในยูเครนของรัสเซียแล้ว ท่านผู้ชมที่ติดตามประเด็นเรื่องเศรษฐกิจโลก และข่าวต่างประเทศอยู่บ้าง พอได้ยินข่าวมาว่าตั้งแต่ปี 2566 ที่ผ่านมา ในอเมริกามีข่าวใหญ่เกี่ยวกับประเด็นทางเศรษฐกิจประเด็นหนึ่งที่น่าจับตามองอย่างมาก คือประเด็นเรื่องหนี้สาธารณะ ภาษาอังกฤษเรียกว่า National Debt-Ceiling ผมเคยพูดเรื่องนี้มาเมื่อปี 2565 ปีที่แล้ว ผมเคยเล่าให้ฟังถึงประเด็นเรื่องเพดานหนี้สาธารณะไปแล้วอย่างน้อย 2 ครั้ง ปัญหาดังกล่าวทำให้เศรษฐกิจอเมริกากำลังตกอยู่ในสภาวะวิกฤต คือ ณ วันที่ 1 กุมภาพันธ์ ปีที่แล้ว 1 ปีกับอีก 1 เดือนที่แล้ว (ปี 2565) ตัวเลขหนี้สาธารณะของอเมริกานั้นพุ่งสูงขึ้นถึง 30 ล้านล้านดอลลาร์ ตีเป็นเงินบาทก็เกือบ 1,000 ล้านล้านบาท เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ และเป็นระดับที่สูงกว่าผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ถึง 1.3 เท่า GDP อเมริกาตอนนี้อยู่ที่ 23 ล้านล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 760 ล้านล้านบาท
ทั้งหมดนี้ส่งให้อเมริกาเข้าไปอยู่ในระดับต้นๆ ของรายชื่อประเทศที่มีภาระหนี้สินหนักที่สุดแล้ว ตามรายงานของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ
ในความเป็นจริงแล้วหนี้สาธารณะของอเมริกาปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องมาตลอดช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา แต่มีการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเพราะมาตรการการรับมือการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ที่รวมไปจนถึงการอัดฉีดเงินจำนวนมหาศาลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเพื่อเร่งอัตราการขยายตัวของประเทศ ข้อมูลของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ชี้ว่า สิ้นปี 2562 หนี้สาธารณะของประเทศก่อนเกิดการระบาดโควิด-19 อยู่ที่ 22.7 ล้านล้านดอลลาร์ 2563 ปีเดียว เพิ่มขึ้นมาเป็น 27.7 ล้านล้านดอลลาร์ เพิ่มอีก 5 ล้านล้านดอลลาร์ 2564 เพิ่มอีก 30 ล้านล้านดอลลาร์ เพิ่มเป็นราวๆ 1,000 ล้านล้านบาท ต่อมาในวันที่ 3 ตุลาคม ปีที่แล้ว ห้าเดือนที่ผ่านมา กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ก็ออกมายอมรับว่าหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ พุ่งขึ้นไปแตะที่ตัวเลข 31.1 ล้านล้านดอลลาร์ หรือราวๆ 1,075 ล้านล้านบาท อย่างรวดเร็ว
ท่านผู้ชมครับ หนี้สาธารณะ 31.1 ล้านล้านดอลลาร์ เท่ากับ 1,075 ล้านล้านบาท มันยิ่งใหญ่ขนาดไหน มหาศาลขนาดไหน ? หนี้สาธารณะของอเมริกาดังกล่าวสูงกว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) ซึ่งอยู่ที่ 25 ล้านล้านดอลลาร์ สูงกว่าไปแล้ว หนี้สาธารณะก็เลยกลายเป็นมีสัดส่วน 123 เปอร์เซ็นต์ ของ GDP ทั้งปี ของอเมริกา ยิ่งไปกว่านั้น หนี้สาธารณะ 31.1 ล้านล้านดอลลาร์ มีมูลค่ามากกว่าระบบเศรษฐกิจของชาติยักษ์ใหญ่ของโลก 4 ชาติ รองๆ ลงมา คือ จีน ญี่ปุ่น เยอรมนี และ อังกฤษ รวมกันแล้วหนี้ของ 4 ประเทศนี้ยังไม่เท่ากับหนี้ของประเทศอเมริกา
แล้วท่านผู้ชมลองคำนวณจากผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือ GDP ของประเทศไทยในปี 2565 ทั้งปีเราอยู่ที่ 17 ล้านล้านบาท จะพบว่าถ้าเอา GDP ของไทยไปชำระหนี้ดังกล่าวของอเมริกา ต้องใช้เวลายาวนานถึง 60 ปีทีเดียว
เรื่องหนี้สาธารณะอเมริกาที่พุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ อย่างไม่มีแนวโน้มว่าจะสิ้นสุดลงนี้ ก่อปัญหาอย่างไร ? หนักหนาสาหัสแค่ไหนต่อเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองสหรัฐฯ ?
เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ คือวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 นายโจ ไบเดน ได้แถลงนโยบายประจำปีต่อรัฐสภา ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. การแถลงนโยบายครั้งนี้เป็นการแถลงนโยบายประจำปีครั้งแรกของสภาคองเกรสสมัยที่ 2 ที่พรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมาก ซึ่งการที่พรรครีพับลิกันเป็นฝ่ายค้าน มีเสียงมากกว่า ก็นำไปสู่การยากในการที่รัฐบาลพรรคเดโมแครตจะผลักดันกฎหมายต่างๆ หรือกล่าวได้ว่า จะต้องออกแรงและใช้ความพยายามมากขึ้นกว่าเก่าหลายเท่าตัว
ประเด็นสำคัญประเด็นหนึ่งที่นายโจ ไบเดน พูดถึงและถูกจับตาอย่างมาก คือ นายโจ ไบเดน พยายามขยายเพดานหนี้สาธารณะให้ทะลุตัวเลข 31.4 ล้านล้านดอลลาร์ ไปอีก ขู่อีก ขู่ด้วยว่าถ้าไม่มีการขยายเพดานหนี้สาธารณะดังกล่าว เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะประสบความหายนะอย่างร้ายแรง ร้ายแรงอย่างไร ?
อังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ นางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ (เจเน็ต เยลเลน คืออดีตประธานเฟด ประธานธนาคารกลางของอเมริกา) เธอออกมาเปิดเผยโดยยอมรับว่า รัฐบาลอเมริกาได้กู้เงินจนชนเพดานหนี้ที่ 31.4 ล้านล้านดอลลาร์ แล้ว เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ซึ่งกระทรวงการคลังก็รู้ว่า ก็ขู่ออกมาเลยว่าถ้าสภาคองเกรสไม่อนุมัติการขยายเพดานหนี้สาธารณะเพื่อให้สามารถกู้ยืมเงินเพิ่มได้ รัฐบาลอาจจะไม่มีปัญญาหาเงินมาชำระหนี้เดิมได้ ซึ่งหมายความว่าจะมีการผิดนัดการชำระหนี้ ที่ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Default ซึ่งอเมริกาพยายามหลีกเลี่ยงมาตลอดในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา
ในระยะยาวการผิดนัดชำระหนี้ของรัฐบาลสหรัฐฯ จะเพิ่มต้นทุนในการกู้ยืมต่อไปเรื่อยๆ ในอนาคต การลงทุน รวมไปจนถึงการลงทุนสาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นในโครงสร้างพื้นฐาน หรืออื่นๆ จะมีต้นทุนที่เพิ่มขึ้น นางเจเน็ต เยลเลน ได้กล่าวมา และระบุต่อไปอีกว่า ในส่วนของผลกระทบทางการเงินต่อครัวเรือน ดอกเบี้ยกู้ยืม ไม่ว่าจะเป็นการกู้ซื้อบ้าน ซื้อรถ สินเชื่อส่วนบุคคล หรือบัตรเครดิต ก็จะเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน และนั่นจะเป็นการบ่อนเซาะตลาดสินเชื่อในภาพรวมของอเมริกา ที่สำคัญที่สุดคือการไม่เพิ่มเพดานหนี้สาธารณะให้มากกว่า 31.4 ล้านล้านดอลลาร์ ดังกล่าว จะทำให้รัฐบาลกลางสหรัฐฯ ไม่มีเงินไปจ่ายค่าสวัสดิการต่างๆ ให้ชาวอเมริกานับล้าน รวมทั้งครอบครัวทหาร และผู้สูงอายุ ที่ต้องพึ่งพาระบบประกันสังคม หรือที่เขาเรียกว่า Social Security
นางเยลเลน ยังระบุว่า จากเงื่อนไขด้านงบประมาณ Dead line การเพิ่มเพดานหนี้ดังกล่าวเพื่อไม่ให้เกิดการผิดนัดชำระหนี้พันธบัตรของอเมริกานั้น จะอยู่ในช่วง 3 เดือนข้างหน้านี้เอง คือในเดือนมิถุนายน 2566
ประเด็นเรื่องนี้อยู่ที่ไหน ? ท่านผู้ชมได้ฟังเรื่องความพยายามในการขยายเพดานหนี้ขึ้นเรื่อยๆ ของอเมริกา จาก 20 ล้านล้านดอลลาร์ ขึ้นเป็น 22 ล้านล้าน 27 ล้านล้าน 30 ล้านล้าน 31 ล้านล้าน ต่อๆ ไป แล้วนึกถึงอะไร ? ท่านผู้ชมนึกถึงอะไร ? นักวิเคราะห์ฝรั่งหลายคนเมื่อวิเคราะห์สถานการณ์และฟังคำพูดล่าสุดของนายโจ ไบเดน และนางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีฯ คลังสหรัฐฯ แล้ว เขาบอกว่า จริงๆ แล้วเศรษฐกิจสหรัฐฯ วันนี้ไม่ได้ต่างจากแชร์ลูกโซ่ที่ฝรั่งเขาเรียกว่า Ponzi scheme แต่อย่างใด
ทำไมถึงเหมือนแชร์ลูกโซ่ ? ประเด็นคือ โดยธรรมชาติของแชร์ลูกโซ่คือการที่ไม่ได้ทำธุรกิจ สร้างผลิตผล หรือผลิตภาพใดๆ ทั้งสิ้น เพื่อหารายได้มาโปะกับรายจ่ายจริงๆ แต่เป็นการเร่หาเงินลงทุนก้อนใหม่เข้ามาเพื่อจ่ายเงินลงทุนก้อนเก่า ก็เหมือนแชร์ลูกโซ่ที่หลอกมาก่อนหน้านี้ โดยหากไม่สามารถหาเงินลงทุนมาได้ เครือข่ายแชร์ลูกโซ่นั้นๆ ต้องประสบกับความล่มสลาย หรือหายนะ ในที่สุด
ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สถานการณ์การเป็นเจ้าโลกทั้งทางเศรษฐกิจ ทางทหาร อเมริกาไม่เคยต้องกลัวที่จะต้องหาเงินลงทุนใหม่เข้ามาซื้อพันธบัตรรัฐบาล หรือพิมพ์เงินดอลลาร์เพื่อจ่ายหนี้คืน เพราะพันธบัตรสหรัฐฯ และเงินดอลลาร์สหรัฐ ถูกหนุนหลังโดยระบบเศรษฐกิจที่ใหญ่โตและทรงอิทธิพลที่สุดในโลก อเมริกาเปรียบตัวเองเหมือนเป็นเจ้าโลก ตำรวจโลก มีความน่าเชื่อถือที่สุด จะทำอะไรก็ได้ จะบีบบังคับให้การซื้อขายน้ำมัน ก๊าซ พลังงาน ของทุกๆ ประเทศบนโลกนี้ ก็ใช้เงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ เท่านั้น ก็ทำได้ แต่วันนี้ เมื่อเหตุการณ์ สถานการณ์ เวลาผ่านไป สถานการณ์ดังกล่าวไม่ได้เป็นเหมือนเดิมอีกแล้ว วันนี้จะทำกันง่ายๆ เหมือนสมัยก่อนไม่ได้แล้ว
ก่อนหน้านี้ ปี 2554 (ค.ศ. 2011) 5 สิงหาคม 2554 หรือ 11 ปีก่อน ในสมัยรัฐบาลประธานาธิบดีบารัก โอบามา
บารัก โอบามา พยายามเพิ่มเพดานหนี้สาธารณะให้ทะลุเพดาน 14.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้บริษัทจัดเรตติ้งเอสแอนด์พี ลดเกรดความน่าเชื่อถือของพันธบัตรของอเมริกาลงจาก AAA เหลือเพียงแค่ AA+ มาแล้วครั้งหนึ่ง เมื่อมองทอดสายตาไปในอนาคตแล้ว ท่านผู้ชมจะเห็นว่าประเทศอเมริกา การเมืองสหรัฐฯ สังคมสหรัฐฯ เศรษฐกิจสหรัฐฯ และในอีกหลายมิติ จะไม่มีทางกลับไปครองโลกอย่างเบ็ดเสร็จเหมือนเดิมอีกต่อไป โดยที่น่ากลัวที่สุดคือ แนวโน้มเรื่องหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ จะพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ
ตัวอย่าง จากงบประมาณรายรับ-รายจ่ายของอเมริกาในปีที่แล้ว (2565) พบว่าขาดดุลงบประมาณอยู่ 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 49 ล้านล้านบาท ปี 2565 รัฐบาลอเมริกาเก็บภาษีได้ 4.9 ล้านล้านดอลลาร์ หรือ 177 ล้านล้านบาท แต่มีรายจ่าย 6.3 ล้านล้านดอลลาร์ หรือมีส่วนต่าง คือขาดทุนงบดุลไป 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ หรือ 49 ล้านล้านบาท ซึ่งถ้าเปรียบประเทศอเมริกาเป็นครอบครัว ก็ใช้จ่ายเกินตัวไปอย่างมากมายมหาศาล สำหรับการขาดดุลของงบประมาณในปี 2566 ของอเมริกา นับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2565 เป็นต้นมา จนถึงปัจจุบัน ผ่านมา 6 เดือน งบประมาณขาดดุลทะลุถึง 722,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นเงินไทย 24.5 ล้านล้านบาท
ท่านผู้ชมครับ จากการขาดดุลงบประมาณ หรือกล่าวง่ายๆ ว่าใช้จ่ายเกินตัว มีรายจ่ายมากกว่ารายได้อย่างต่อเนื่องยาวนาน ทำให้มีการคาดการณ์ว่า อีก 20-30 ปีข้างหน้า อเมริกาจะหนีไม่พ้น ต้องแบกหนี้สินที่มีสัดส่วนต่อผลผลิตมวลรวม หรือ GDP 200 เปอร์เซ็นต์ เศรษฐกิจของอเมริกาจะตกอันดับจากการเป็นเศรษฐกิจเบอร์หนึ่งของโลก โดยพ่ายแพ้ต่อจีน หรือแม้กระทั่งต่ออินเดีย
ในเมื่อ ณ วันนี้ อเมริกาใช้จ่ายเงินเกินตัว รายได้ไม่พอกับรายจ่ายแล้ว ก็หนีไม่พ้นต้องกู้หนี้กู้สิน ยืมมาโปะ นั่นคือการออกพันธบัตรของสหรัฐฯ นั่นเอง
ผมพูดเรื่องพันธบัตรสหรัฐฯ หน่อย จะได้สมบูรณ์แบบ พันธบัตรอเมริกาเสื่อมมนต์ขลังไปแล้ว ชาติยักษ์ใหญ่รู้ทันว่าพันธบัตรของอเมริกานั้นก็เหมือนแบงก์ดอลลาร์ที่เป็นแบงก์กงเต็ก หรือเป็นกระดาษเช็ดก้น
พันธบัตรอเมริกา หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า US Treasury Bond ซึ่งจริงๆ ก็คือกระดาษแผ่นหนึ่งเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรเลย เป็นสิ่งที่รัฐบาลสหรัฐฯ พิมพ์ขึ้นมาเพื่อหาเงินมาโปะเรื่องการขาดดุลงบประมาณ ใครอยากจะลงทุนเพื่อให้ได้ดอกเบี้ยตามกำหนด อย่างเช่น 2 เปอร์เซ็นต์ 3 เปอร์เซ็นต์ 4 เปอร์เซ็นต์ 5 เปอร์เซ็นต์ ตามแต่ระยะเวลาของพันธบัตร ก็ซื้อไป เพราะว่าแต่ไหนแต่ไรมาก็เชื่อมั่นกันว่าพันธบัตรอเมริกานั้นไม่มีทางจะเกิดการผิดนัดชำระหนี้ (Default) แต่ ณ วันนี้ เมื่อรัฐบาลสหรัฐฯ ไม่ว่ายุคไหน สมัยไหน ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลพรรคเดโมแครต หรือรีพับลิกัน ต่างใช้จ่ายเกินตัว ก่อหนี้ไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทำให้เกิดความเสี่ยงว่าจะเกิดการผิดนัดชำระหนี้ขึ้นดังเช่นความเกรงกลัวที่สภาคองเกรสอาจจะไม่เห็นชอบให้ขยายเพดานหนี้สาธารณะขึ้นไปเกิน 31.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราวๆ 1,085 ล้านล้านบาท อีกแล้ว
ประเด็นเรื่องนี้อยู่ที่ไหน ? เหตุปัจจัยนี้เองที่ทำให้หลายประเทศหวั่นเกรงว่ากระดาษที่ตัวเองซื้อไว้จะไม่มีค่า หลายประเทศก็เลยลดยอดการถือครองลง ที่ถือไว้ครบกำหนดก็ขายออก ที่สำคัญ ขายออกแล้วไม่ซื้อเพิ่มอีกแล้ว ส่งผลให้วงจรแชร์ลูกโซ่ที่อเมริกาเป็นเจ้ามือ ไม่สามารถเอาเงินใหม่มาจ่ายเงินเก่าได้อีกต่อไป คล้ายๆ แชร์แม่ชม้อยไหม คล้ายๆ แชร์แม่มณีไหม คล้ายๆ แชร์ลูกโซ่ต่างๆ ไหม ที่โดนจับข้อหาฉ้อโกงประชาชน คำถามคือ แล้วใครจะไปจับประเทศอเมริกาข้อหาฉ้อโกงประเทศที่ซื้อพันธบัตรอเมริกาได้
ท่านผู้ชมบางท่านอาจจะจำได้ว่ารายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ตอนที่ 148 วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม 2565 ประมาณ 7 เดือนที่แล้ว ตอนที่ผมพูดถึงเรื่องหมดยุคตะวันตกครอบงำโลก ผมเคยเล่าให้ฟังแล้วว่านายกรัฐมนตรีอังกฤษ นายโทนี แบลร์ ดำรงตำแหน่งเป็นเวลา 10 ปี ช่วงปี 2540-2550 ได้ขึ้นกล่าวปาฐกถาประจำปีของมูลนิธิแห่งหนึ่ง ชื่อ Ditchley Foundation ตั้งอยู่ที่อ็อกซ์ฟอร์ดเชียร์ ประเทศอังกฤษ
โทนี แบลร์ อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ ยอมรับว่า โลกที่เคยถูกครอบงำทางการเมือง เศรษฐกิจ โดยฝ่ายตะวันตกนั้น อาจจะก้าวไปสู่จุดจบในเวลาไม่นานไม่ช้านับจากนี้ ในตอนหนึ่งผมได้เล่าให้ฟังว่า รัฐบาลชาติใหญ่ๆ ที่เคยซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เนื่องจากเห็นว่าเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย ตอนนี้ได้ทยอยขายพันธบัตรสหรัฐฯ ทิ้งมาเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาติที่ถือพันธบัตรอันดับ 1 อันดับ 2 คือ ญี่ปุ่น อันดับ 1 จีน อันดับ 2 นี่ขนาดญี่ปุ่นเป็นทาสในเรือนเบี้ยของอเมริกานะ ก็ยังไม่ไว้ใจพันธบัตรอเมริกา ยังขายทิ้งเลย จีนนี่แน่นอนอยู่แล้ว จีนต้องการขายทิ้งมานานแล้ว จีนลดจากยอดที่ถือพันธบัตร ไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ 2 ล้านล้านดอลลาร์ ลดลงมาตอนนี้เหลือแค่ 800,000 ล้านดอลลาร์ เท่านั้น คือพูดง่ายๆ ว่า ขายลูกเดียว ต้องขายๆ เพราะฉะนั้นแล้ว ในเดือนกรกฎาคม ปีที่แล้ว (2565) มีข่าวเผยแพร่อย่างชัดเจนว่าจีนเทขายพันธบัตรอเมริกาจนเหลือแค่ 800,000 กว่าล้าน
ท่านผู้ชมครับ นี่เป็นครั้งแรกในรอบ 12 ปี ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2563 ที่มูลค่าการถือครองพันธบัตรสหรัฐฯ ของจีนต่ำกว่าระดับ 1 ล้านล้านดอลลาร์ ทำให้เวลานี้ญี่ปุ่นกลายเป็นประเทศเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดของอเมริกา ด้วยการถือมูลค่าการครองพันธบัตรอยู่ 1.212 ล้านดอลลาร์ แล้วท่านผู้ชมรู้ไหม พันธมิตรที่เป็นทาสในเรือนเบี้ยอย่างเช่นญี่ปุ่น ก็ยังแอบขายพันธบัตรอเมริกาออก นี่คือสถานการณ์เมื่อ 7 เดือนที่แล้ว วันนี้เรามาอัปเดตสถานการณ์ถือครองพันธบัตรสหรัฐฯ ล่าสุดกันหน่อยว่าเป็นอย่างไร
นับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2565 ที่จีนถือครองพันธบัตรอเมริกาอยู่เพียง 9 แสนกว่าล้านดอลลาร์ ผ่านมา 7 เดือน ยอด 9 แสนกว่าล้านดอลลาร์ เหลือ 8 แสนกว่าเท่านั้น ลดลงไป 1 แสนล้านดอลลาร์ เช่นเดียวกัน รัฐบาลญี่ปุ่น นับจากปลายปี 2564-2565 ลดการถือครองพันธบัตรอเมริกาลง 2 แสนกว่าล้านดอลลาร์ จาก 1.3 ล้านล้านดอลลาร์ เหลือเพียง 1.076 ล้านล้านดอลลาร์ แม้จะมีบางประเทศรองๆ ลงไปจะถือครองพันธบัตรสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นบ้าง แต่ก็เพียงเล็กน้อย ไม่สามารถจะชดเชยส่วนที่หายไปจากญี่ปุ่นและจีนได้
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ถ้าเรามองไปในอนาคต มองต่อไปข้างหน้าอีก 10 ปี 20 ปี ผมยังมองไม่เห็นเลยว่า พันธบัตรสหรัฐฯ ยังจะซื้อง่ายขายคล่องเหมือนวันนี้ได้อย่างไร รวมทั้งเงินดอลลาร์สหรัฐ จะมีสถานภาพอย่างไร ถ้าวันนั้นมาถึงจริงๆ ระบบเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในภาพรวมก็คงไม่ได้แตกต่างไปกว่าแชร์ลูกโซ่ขนาดมหึมาในจักรวาลเท่าไรนัก
ท่านผู้ชมครับ พูดได้ไหมว่าสหรัฐฯ การเงินพัง การคลังล้มเหลว และนี่คือจุดจบของโลกขั้วเดียว และเป็นจุดเริ่มต้นของโลกหลายขั้ว
ท่านผู้ชมหลายท่านที่เรียนเศรษฐศาสตร์เบื้องต้น หรือมีความรู้พื้นฐานทางเศรษฐศาสตร์มาบ้าง คงพอจะทราบว่าเครื่องมือจัดการเศรษฐกิจของรัฐบาลทุกรัฐบาลมีอยู่ 2 อย่าง คือ หนึ่ง นโยบายการเงิน (Monetary Policy) สอง นโยบายการคลัง (Fiscal Policy) อย่างที่ผมอธิบายแจกแจงไปตั้งแต่แรกแล้วว่า วิกฤตทางการเงิน วิกฤตทางการคลัง ที่รุมเร้าสหรัฐฯ อยู่นั้น ท่านผู้ชมจะเห็นได้ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ไม่ใช่เรื่องชั่วคราว แต่เป็นประเด็นร้ายแรง เป็นประเด็นคอขาดบาดตายที่สามารถทำให้เราทำนายอนาคตของอเมริกาได้ล่วงหน้า
วิกฤตธนาคารล้ม วิกฤตความเชื่อมั่น ที่นำไปสู่วิกฤตการเงิน วิกฤตเศรษฐกิจ ที่กำลังรุมเร้าสหรัฐฯ อยู่นั้น มันร้ายแรงแค่ไหน
ผมยกตัวอย่างให้ฟังง่ายๆ นะท่านผู้ชม ท่านผู้ชมได้ยินบ่อยนักหรือที่ผู้นำประเทศใดประเทศหนึ่ง อย่าว่าแต่อเมริกาเลย แม้แต่ประเทศไทยที่ได้ผู้นำประเทศระดับประธานาธิบดี หรือนายกรัฐมนตรี ต้องออกมาประกาศกับประชาชนว่า ให้เชื่อมั่นในระบบธนาคาร เงินฝากของประชาชนจะอยู่ครบ โดยรัฐจะออกมาตรการปกป้องเงินฝากอย่างเต็มความสามารถ ไบเดน พูดออกมาเช่นกัน เรียกร้องให้ชาวอเมริกันเชื่อมั่นในระบบธนาคารหลังออกมาตรการปกป้องเงินฝาก อธิบายอย่างเต็มที่เลย
ท่านผู้ชมครับ เชื่อผมสิ โลกนี้ไม่มีเหตุบังเอิญหรอก มันเป็นเรื่องธรรมะจัดสรร เพราะในเวลาใกล้เคียงกัน ไม่เพียงแต่ระบบธนาคารในอเมริกาเท่านั้น จะตกอยู่ในภาวะสุ่มเสี่ยงและง่อนแง่น สวิตเซอร์แลนด์ เครดิต สวิส ประเทศที่ทั่วโลกมีความเชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของสถาบันการเงิน เอาเงินฝาก ทั้งเงินฝากถูกกฎหมาย ไม่ถูกกฎหมาย เงินทุนสีดำ สีเทา เงินคอร์รัปชัน เงินอภิมหาเศรษฐีของชาวตะวันออกกลางที่รวยจากน้ำมัน ก็เอามาฝากที่สวิตเซอร์แลนด์หมด เพราะอะไร ? เพราะความเชื่อมั่นและศรัทธา Trust และ Confidence แต่ในที่สุดสวิตเซอร์แลนด์ก็ตกอยู่ในสภาวะสุ่มเสี่ยงง่อนแง่น ธนาคารยักษ์ใหญ่อย่างเครดิต สวิส อันดับ 2 ของสวิตเซอร์แลนด์ อันดับ Top30 ของโลก ก็ยังพบจุดจบ
ประธานาธิบดีสวิตเซอร์แลนด์แถลงข่าวเมื่อวันอาทิตย์ ร่วมกับกรรมการผู้จัดการธนาคาร UBS และ เครดิต สวิส ร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ผู้ว่าธนาคารชาติสวิตเซอร์แลนด์ บอกว่า การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้คือหนทางที่ดีที่สุดในการฟื้นความมั่นใจที่สูญหายไปในตลาดเงิน และว่า หากเครดิต สวิส ล้มลง จะส่งผลกระทบที่ไม่สามารถคาดคำนวณได้ต่อประะเทศและเสถียรภาพการเงินของโลก
ประเด็น ตั้งแต่เกิดมาเป็นตัวเป็นตน ท่านผู้ชมเคยนึกฝันหรือเปล่าว่า วันหนึ่งจะได้ข่าวว่าธนาคารในสวิตเซอร์แลนด์ล้มละลาย นี่เป็นครั้งแรก วันนี้มันเกิดขึ้นจริง เกิดขึ้นแล้ว ล้มไปแล้ว สาเหตุสำคัญคือ หนึ่ง ความผิดพลาดในการลงทุน ทำให้ขาดทุนในตราสารอนุพันธ์ต่างๆ อย่างเช่น พันธบัตรรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งพันธบัตรของอเมริกา สอง เรื่องอื้อฉาว คือขาดธรรมาภิบาลในการบริหารการลงทุนในหลายโครงการ สาม อีกประเด็นที่สำคัญมาก ไม่ค่อยมีใครพูดถึงหรอก พูดแล้วมันเจ็บกระดองใจ ฝั่งตะวันตกจะไม่พูดเลย เมื่อเกิดสงครามในยูเครน รัฐบาลตะวันตกสั่งให้สถาบันการเงินต่างๆ ในความควบคุมของตัวเอง ยึดเงินทุนสำรองของรัสเซียไปเป็นมูลค่า 3 แสนกว่าล้านดอลลาร์สหรัฐ ยึดทรัพย์สินของมหาเศรษฐีรัสเซียไป 3 หมื่นกว่าล้านดอลลาร์ ไม่ว่าจะเป็นเงินลงทุน อสังหาริมทรัพย์ บ้าน อพาร์ตเมนต์ เรือยอชต์ เครื่องบิน การยึดครั้งนี้ ธนาคารเครดิต สวิส ซึ่งเคยมีสถานภาพเป็นกลางทางการเมือง หรือเป็นแหล่งพักทรัพย์สินที่ปลอดภัยที่สุด เป็นหัวโจกในการเข้ามาร่วมยึดกับเขาด้วย พอเครดิต สวิส เข้ามาร่วมวงกับชาติตะวันตก ไปยึดทรัพย์สินของรัสเซีย และชาวรัสเซีย ไปเป็นแสนๆ ล้านดอลลาร์ ก่อให้เกิดความสูญเสียความเชื่อมั่นในความเป็นกลางของสถาบันการเงินของสวิตเซอร์แลนด์ อย่าง เครดิต สวิส
จากข้อมูลหลายแหล่งที่ผมรับทราบมา รัฐบาล องค์กร มหาเศรษฐี สถาบันต่างๆ จากประเทศต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นจีน อินเดีย ตะวันออกกลาง ท่านผู้ชมรู้ไหม พอสวิตเซอร์แลนด์ยึดเงินของรัสเซียไป รีบไปถอนเงินออกจากเครดิต สวิส ว่ากันว่าทำให้สภาพคล่องของเครดิต สวิส สูญหายไป 2 แสนล้านดอลลาร์ เกือบ 7 ล้านล้านบาท
วิกฤตการเงินในอเมริกา และยุโรป ที่เริ่มลุกลามเข้ามาสู่แอกชันล่าสุดของบรรดาธนาคารกลางของชาติตะวันตกทั้งหลายนี้ คือการปรับธุรกรรมสวอปไลน์เงินสกุลดอลลาร์ ท่านผู้ชมรู้ไหมนี่คืออะไร 6 แบงก์ชาติตะวันตกตั้งสวอปไลน์สกุลเงินดอลลาร์ เพิ่มสภาพคล่องระบบการเงินโลก
อาทิตย์ที่ 19 มีนาคม 2566 ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ประกาศความร่วมมือกับธนาคารกลางแคนาดา ธนาคารกลางอังกฤษ ธนาคารกลางญี่ปุ่น ธนาคารกลางยุโรป และธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อเสริมสภาพคล่องในระบบการเงินผ่านการปรับธุรกรรมสวอปเงินสกุลดอลลาร์
การร่วมมือครั้งนี้มีขึ้นเพื่อเป็นการให้การสนับสนุนที่สำคัญเพื่อบรรเทาความตึงเครียดของตลาดการเงินทั่วโลก เพื่อลดผลกระทบต่อการจัดหาสินเชื่อให้กับภาคครัวเรือน ภาคธุรกิจ ภายใต้ความร่วมมือนี้ ธนาคารที่ต้องการจะหาเงินกู้ จะสามารถไปที่ธนาคารชาติของตัวเอง เข้าร่วมโครงการนี้เพื่อขอเงินกู้โดยตรง ซึ่งลักษณะการให้กู้ยืมจะเป็นเช่นเดียวกับในประเทศทั้งหมด โดยธนาคารสามารถเข้าสู่แหล่งเงินกู้นี้ได้ทุกวัน
กุญแจอยู่ที่ไหน ? การประกาศมาตรการความร่วมมือเพื่อเสริมสภาพคล่องในเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ ระหว่างธนาคารกลางที่ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งนี้ ชี้ให้เห็นอะไรบ้าง ? ชี้่ให้เห็นว่า วิกฤตเกี่ยวกับการเงินในสถาบันการเงินตะวันตกทั้งระบบลามไปถึงความเชื่อมั่นต่อเงินดอลลาร์สหรัฐ ที่ถูกสหรัฐฯ ใช้เป็นเครื่องมือในการจัดการควบคุม แบล็กเมล ทำสงครามเศรษฐกิจกับประเทศต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งสุดท้ายแล้ว ภาพใหญ่วิกฤตทางการเงินและความเชื่อมั่นเกี่ยวกับสถาบันการเงินในโลกตะวันตก และเงินดอลลาร์สหรัฐ ครั้งนี้ จะเป็นระเบิดเวลานำไปสู่ความล่มสลายของการครอบงำระบบเศรษฐกิจโลกของรัฐบาลสหรัฐฯ ผ่านเงินดอลลาร์สหรัฐนั่นเอง
อีกประการหนึ่ง รัฐบาลที่เข้ามาร่วม 6 ประเทศ ไม่ว่าจะเป็นอังกฤษ ญี่ปุ่น สวิตเซอร์แลนด์ แคนาดา ยุโรป รบกับรัสเซีย ส่งอาวุธให้ยูเครน เศรษฐกิจยุโรปพังทลายพินาศฉิบหาย วินาศสันตะโร อเมริกาวิกฤตทางการเงิน ข้าวของที่แพง ประชาชนไม่มีเงินใช้ อสังหาริมทรัพย์ใกล้จะล่มสลายแล้วตอนนี้ เพราะว่าดอกเบี้ยนโยบายมันขึ้นสูงจนกระทั่งคนกู้เงินไปซื้อบ้าน ไม่มีปัญญาจะกู้
ทั้งหมดนี้เกิดจากสงครามระหว่างยูเครนกับรัสเซีย ซึ่งตะวันตก นำโดยอเมริกา เป็นคนหนุนหลัง แล้วก็ทุ่มเงินให้ยูเครน ส่งอาวุธให้ยูเครน คำถามมีอยู่ว่า เริ่มมีคนพูดกันมากขึ้นแล้วในอเมริกาว่า ยูเครนมันไม่ได้มีความสำคัญต่อยุทธศาสตร์ของอเมริกา ประชาชนชาวอเมริกาสิมีความสำคัญมากกว่า เสียงเริ่มดังขึ้นๆ เรื่อยๆ คนประท้วงในยุโรป ในกรีซ ในสเปน ในฝรั่งเศส ในหลายๆ ประเทศ ในเยอรมนี ออกมาประท้วงสงครามกัน เพราะว่าทุกคนยากลำบากกับต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้นจากสงครามของรัสเซียกับยูเครน คำถามมีอยู่ว่า นายเซเลนสกี ซึ่งเป็นตัวตลก และเป็นหุ่นเชิดทางตะวันตกและของอเมริกา จะยืนอยู่ได้นานแค่ไหน
นายเซเลนสกี เป็นวณิพกของโลก ขอทานเขาไปทั่ว ขอเงินเขา ขออาวุธเขา วันนี้อเมริกายังเอาตัวรอดไม่ได้ คำถามว่า นักการเมืองในอเมริกาจะไม่เริ่มคิดบ้างหรือว่า ทำไมต้องส่งเงินให้ยูเครน คนอเมริกาลำบากยากเย็นมากเลย ทำไมไม่เอามาสนับสนุนคนในอเมริกา ยุโรปก็เช่นกัน ทำไมจะต้องใช้พลังงานที่แพงกว่าสมัยที่ใช้ของรัสเซีย 4-5 เท่า ท่านผู้ชมเห็นหรือยัง ในที่สุดแล้วรัสเซียจะชนะสงครามในยูเครนอย่างแทบไม่ต้องทำอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะว่าทางตะวันตก นำโดยอเมริกา กำลังล่มสลายไปทีละนิดๆ และทีละนิด
ถอดรหัส "สี จิ้นผิง" พบ "ปูติน"
ท่านผู้ชมครับ ก่อนที่ผมจะพูดเรื่องนี้ จริงๆ เรื่องนี้คือการเปลี่ยนแปลงใหญ่ในรอบร้อยปีของโลก จีน กับ รัสเซีย รุกคืบสร้างขั้วอำนาจใหม่ อวสานยุคตะวันตกที่บงการโลก
ผมเอารูปนี้ขึ้นให้ท่านผู้ชมดู รูปนี้เป็นรูปประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ยืนคุยกับนายวลาดิมีร์ ปูติน สี จิ้นผิง พูดว่า ณ วันนี้ กำลังมีการเปลี่ยนแปลง เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่เราไม่ได้พบเห็นมาเป็นร้อยปี เราคือผู้ที่กำลังขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงด้วยกัน แล้วสี จิ้นผิง ก็ยื่นมือไปจับมือกับปูติน
วลาดิมีร์ ปูติน ก็ตอบว่า ผมเห็นด้วย แล้วยกมือขวาของตัวเองจับมือ สี จิ้นผิง ยกมือซ้ายมาประคองกำชับสี จิ้นผิง
ท่านผู้ชมครับ ภาพและประโยคสนทนาระหว่างนายสี จิ้นผิง และนายวลาดิมีร์ ปูติน สองผู้นำของชาติมหาอำนาจดังกล่าว ถูกบันทึกไว้โดยบังเอิญ ภายหลังงานเลี้ยงอาหารค่ำที่กรุงมอสโก วันอังคารที่ 21 มีนาคม 2566 จากการเยือนรัสเซียอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีจีน เป็นเวลา 3 วัน คือตั้งแต่จันทร์ที่ 20 ถึงพุธที่ 22 ที่ผ่านมา
ผมเชื่อว่าภาพและประโยคสนทนาระหว่างประธานาธิบดีสี จิ้นผิง และประธานาธิบดีปูติน เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา จะถูกบันทึกเอาไว้หน้าประวัติศาสตร์โลกไปอีกนานแสนนานว่าเป็นหมุดหมายสำคัญหนึ่งของความพลิกผันและการเปลี่ยนแปลงของขั้วอำนาจที่จะขับเคลื่อนและสร้างความสมดุลทางอำนาจของโลกต่อไปในอนาคต
วิดีโอดังกล่าวถูกโพสต์ขึ้นบนทวิตเตอร์ของ Valerie Hopkins นักข่าวนิวยอร์กไทมส์ประจำรัสเซียและยูเครน
ท่านผู้ชมครับ สัญญาณของการทูตยุคใหม่ของจีนที่ไร้ซึ่งความ ไม่เกรงอกเกรงใจชาติตะวันตก เกิดขึ้นภายหลัง หลังจากการประชุม 2 สภา หรือที่เขาเรียกว่า เหลียงฮุ่ย ซึ่งปีนี้ได้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 4-13 มีนาคม หรือต้นมีนาคม ที่ผ่านมานี้ ทางรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" และสื่อในเครือผู้จัดการ ได้ส่งผู้สื่อข่าวของเรา คือคุณท๊อป ไปยังกรุงปักกิ่ง เพื่อเข้าร่วมทำข่าวและสังเกตการณ์การประชุมครั้งนี้ด้วย
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา การเผชิญหน้าของสองมหาอำนาจใหม่ อเมริกา และ จีน ในมิติทางการเมือง เศรษฐกิจ และการทหาร ที่อเมริกามองจีนเป็นภัยคุกคาม ทำให้อเมริกาตั้งนโยบายปราบปรามและกักกันจีน ล้อมจีนเอาไว้ ใช้ยุทธศาสตร์กักกัน ปิดล้อม โจมตี ทำลายสถานะจีน ล่าสุดหาทางพยายามคว่ำบาตรและยึดทรัพย์จีน โดยพยายามตั้งธงยัดข้อกล่าวหาว่าจีนกำลังส่งอาวุธให้รัสเซีย ทั้งๆ ที่ไม่มีหลักฐานใดๆ ทั้งสิ้น
การกระพือข่าวสร้างแรงกดดันดังกล่าวของสหรัฐฯ และพันธมิตรชาติตะวันตกทำให้เกิดปฏิกิริยาย้อนกลับ โดยกลายเป็นปรากฏการณ์สำคัญที่ไม่เคยมีเกิดขึ้นมาก่อน
ในวันจันทร์ที่ 6 มีนาคม หลังจากการประชุมสภา มีเหตุการณ์สำคัญมากที่ท่านผู้ชมต้องจำเอาไว้ ไม่เคยปรากฏมาก่อนเลย ถ้าท่านผู้ชมไม่ได้ติดตามข่าวต่างประเทศอย่างลึกซึ้งและอย่างใกล้ชิดเหมือนผม จะไม่ได้สังเกต
สี จิ้นผิง ออกมาตำหนิสหรัฐฯ อย่างตรงไปตรงมา เป็นครั้งแรก สี จิ้นผิง พูดว่า "ชาติตะวันตกซึ่งนำโดยสหรัฐฯ ได้ใช้นโยบายสกัดกั้น ปิดล้อม และปราบปรามจีนในทุกทาง ซึ่งถือว่าเป็นความท้าทายอย่างรุนแรงต่อการพัฒนาของจีนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน" สี จิ้นผิง กล่าวกับผู้แทนภาคเอกชนในจีน ที่ประชุมปรึกษาทางการเมืองแห่งประชาชนจีน
ท่านผู้ชมครับ นัยนี้แรงมาก นั่นคือภาษาการทูต ภาษานักเลงก็คือว่า มึงแกล้งกูตลอดเวลาทุกเรื่อง (แล้วมึงจะเห็นดี กูพร้อมจะสู้มึงทุกมิติเหมือนกัน) ในวงเล็บสี จิ้นผิง ไม่ได้พูดนะ เพียงแต่เป็นครั้งแรก ประธานาธิบดีจีนพูดชัดเจนว่าตะวันตก นำโดยอเมริกา มาปิดล้อม ปิดกั้นจีน กลั่นแกล้งจีนทุกเรื่อง
จากแรงกดดันของอเมริกาและชาติตะวันตกในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้ปลุกพลังจิตวิญญาณและอุดมการณ์ เรียกร้องให้เอกชนผนึกกำลังกับพรรคคอมมิวนิสต์ เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันลุกขึ้นสู้ ว่า จีนต้องมีความกล้าหาญจะต่อสู้โดยการสร้างนวัตกรรม ลดการพึ่งพาต่างประเทศ สร้างเอกราชทางเทคโนโลยี ทำให้ประชาชนมีความกินดีอยู่ดี
สี จิ้นผิง พูดอย่างนี้ครับ "ผมเน้นย้ำว่า มี 2 สาขาที่สำคัญอย่างยิ่งยวดสำหรับจีน หนึ่ง คือการปกป้องถ้วยข้าวของเรา และสอง คือการทำให้ภาคการผลิตแข็งแกร่ง ในฐานะชาติที่มีขนาดใหญ่ มีประชากร 1,400 ล้านคน จีนต้องพึ่งตัวเอง ลดการพึ่งพาจากต่างประเทศ มันจะทำให้จีนปลอดภัยและได้รับชัยชนะในการต่อสู้ครั้งใหม่ ภาคเอกชนถือเป็นพลังสำคัญที่จะช่วยให้พรรคคอมมิวนิสต์สามารถบริหารประเทศต่อไปในระยะยาวได้ เราถือว่าบริษัทและผู้ประกอบการเอกชนคือคนของเรา" นั่นคือคำพูดของสี จิ้นผิง
สี จิ้นผิง ให้คำมั่นว่าจะบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ นั่นคือการนำจีนกลับคืนสู่แถวหน้าของมหาอำนาจ ปักกิ่งจะเดินหน้าปัญหาไต้หวันอย่างสันติ อย่างแข็งขัน แต่จะผลักดันกระบวนการรวมชาติมาตุภูมิอย่างไม่หยุดยั้ง สี จิ้นผิง บอกว่า การฟื้นฟูครั้งใหญ่ของจีนในตอนนี้เป็นกระบวนการทางประวัติศาสตร์ที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ หลังจากการต่อสู้อย่างยาวนานมากว่าศตวรรษ ที่ได้ลบล้างความอัปยศอดสูของประเทศจีน
นอกจากนี้ ก่อนจะเดินทางเยือนรัสเซียอย่างเป็นทางการในวันที่ 20-22 มีนาคม หรือเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา สี จิ้นผิง เขียนบทความเผยแพร่ก่อนจะเดินทางไปยังมอสโก บทความนั้นถูกเผยแพร่ลงในสื่อของรัสเซีย เนื้อหาในบทความ สี จิ้นผิง ระบุว่า กระแสของประวัติศาสตร์ที่มิอาจหยุดยั้ง และจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน สิ่งนั้นคือโลก ซึ่งจะประกอบด้วยอำนาจหลายขั้ว จะมีสันติภาพ มีการพัฒนา ตลอดจนมีความร่วมมือที่ก่อประโยชน์แก่ทุกฝ่าย
นอกจากนั้น เขายังตั้งข้อสังเกตว่า ขณะนี้โลกกำลังเผชิญปัญหาท้าทายด้านความมั่นคง ทั้งในรูปแบบที่มีมาตั้งแต่ดั้งเดิม และในรูปแบบใหม่ รวมถึงการเผชิญกับพฤติกรรมความเป็นเจ้าโลก การครอบงำและการกลั่นแกล้ง ในขณะที่นานาประเทศกระตือรือร้นค้นหาหนทางการร่วมมือเพื่อก้าวพ้นจากวิกฤตการณ์นี้ และพยายามก้าวไปสู่เส้นทางการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ยืดยาวและต่อเนื่อง
ซึ่งความระหว่างบรรทัดของคำพูดของสี จิ้นผิง คือการเปิดหน้าชกกับอเมริกา และบรรดาชาติพันธมิตรตะวันตก
สำนักข่าวอาร์ทีของรัสเซียระบุว่า การแสดงความเห็นของผู้นำจีน เท่ากับเป็นการไม่ยอม ประกาศมาว่าไม่ยอมให้ชาติใดชาติหนึ่ง มาบงการระเบียบกติการะหว่างประเทศ การประกาศเรื่องการเปลี่ยนแปลงไปสู่โลกอำนาจหลายขั้วครั้งนี้ เพื่อปลดปล่อยจากการครอบงำของอเมริกา โดยความเห็นของผู้นำจีนมีขึ้นท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างจีนและอเมริกา เกี่ยวกับวิกฤตการณ์ทางยูเครน
ท่านผู้ชมครับ การที่อเมริกาเข้ามาแทรกแซงอธิปไตยของจีนเหนือไต้หวัน โดยจีนต่อต้านแรงกดดันจากตะวันตกที่ต้องการให้จีนประณามรัสเซียกรณีวิกฤตยูเครน แต่จีนยังคงวางตัวเป็นกลาง มิหนำซ้ำยังเสนอแผนสันติภาพ 12 ข้อ แต่ถูกสหรัฐฯ ปฏิเสธ
สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานว่า ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย ก็เขียนบทความชิ้นหนึ่ง ซึ่งทำเนียบเครมลินได้เผยแพร่เมื่อวันอาทิตย์ที่ 19 มีนาคม ก่อนที่สี จิ้นผิง จะไปถึง ปูติน กล่าวยินดีที่จีนเข้ามามีบทบาทอย่างสร้างสรรค์ในการยุติวิกฤตการณ์ยูเครน พร้อมกับระบุว่า ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับรัสเซียกระชับแน่นแฟ้นถึงจุดสูงสุด พร้อมกับรู้สึกขอบคุณที่ปักกิ่งวางตัวเป็นกลาง ตลอดจนเข้าใจเบื้องหลังและเหตุผลที่แท้จริงของวิกฤตการณ์ยูเครน
ปูติน กล่าวย้ำในบทความว่า รัสเซียพร้อมจะยุติวิกฤตการณ์ยูเครนด้วยหนทางทางการเมืองและการทูต อย่างไรก็ตาม ยูเครนต้องยอมรับความจริงทางภูมิรัฐศาสตร์ใหม่ การเปลี่ยนแปลงพื้นที่ ลึกๆ นั่นก็คือว่า คุณจะมาเรียกร้องดินแดนทางภาคตะวันออกยูเครน ด้านดอนบาสคืน ผมไม่ให้ ไครเมียเป็นของรัสเซีย เพราะฉะนั้นคุณจะมาเอาไป ผมไม่ยอม
นอกจากท่าทีที่ชัดเจนของผู้นำทั้งสองชาติแล้ว ก่อนหน้านั้น ในวันที่ 7 มีนาคม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนใหม่ของจีน นายฉิน กัง อดีตเอกอัครราชทูตจีนประจำสหรัฐอเมริกา ผู้ได้รับฉายาจากสื่อตะวันตกว่าเป็นนักรบหมาป่า เขาเรียกว่า Wolf Warrior ออกมาประสานเสียงกับนายสี จิ้นผิง ด้วยการออกมาตอบโต้สหรัฐฯ ชนิดตาต่อตา ฟันต่อฟัน
นายฉิน กัง ระบุว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของโจ ไบเดน ใช้นโยบายที่ออกแบบมาเพื่อควบคุมและปราบปรามจีนทุกด้าน ซึ่งขับเคลื่อนโดยสิ่งที่เขาเรียกว่าลัทธินีโอแมคคาร์ธี ที่ใส่ร้ายป้ายสี หรือลัทธิไล่ล่าผู้ฝักใฝ่ลัทธิคอมมิวนิสต์ในยุคสงครามเย็น กลับมาสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อความสัมพันธ์ทวิภาคี
ฉิน กัง ระบุว่า เราหวังว่ารัฐบาลอเมริกาจะรับฟังเสียงประชาชนทั้งสองประเทศ ขจัดความกังวลเชิงกลยุทธ์ เกี่ยวกับการขยายตัวของการคุกคาม ละทิ้งแนวคิดยุคสงครามเย็นที่ต้องมีผู้แพ้ ผู้ชนะ เพียงหนึ่งเดียว ปฏิเสธที่จะถูกบีบบังคับด้วยความถูกต้องทางการเมือง
เมื่อถูกถามว่าความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างจีน-อเมริกา ยังไปได้หรือไม่ ท่ามกลางความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างสองประเทศ ฉิน กัง พูดโดยอ้างคำกล่าวของนายโจ ไบเดน ขณะแถลงนโยบายและผลงานประจำปี State of the Union ว่า อเมริกาถือว่าจีนเป็นคู่แข่งหลักและเป็นความท้าทายทางภูมิรัฐศาสตร์ที่มากที่สุด แต่นี่ไม่ได้ต่างจากการกลัดกระดุมเม็ดแรกที่ผิด หากอเมริกาไม่เหยียบเบรก และยังคงตะลุยแหลกไปตามเส้นทางที่ผิด ราวกั้นจำนวนมากเท่าใดก็ไม่สามารถหยุดยั้งไม่ให้รถไฟที่อเมริกาเป็นคนขับนั้นตกรางและเกิดพลิกคว่ำได้ ดังนั้น มันจะต้องเกิดความขัดแย้งและเผชิญหน้า ประเด็นคือ เมื่อเกิดเหตุขึ้นมาแล้ว หายนะเกิดขึ้นมา ใครจะเป็นคนรับผิดชอบ
ประเด็นซึ่งสร้างความร้าวฉานพร้อมสถานการณ์ความสัมพันธ์ที่เลวร้ายลงระหว่างอเมริกา-จีน เกิดขึ้นแบบรัวๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เช่น การจุดประเด็นสงครามการค้าตั้งแต่สมัยโดนัลด์ ทรัมป์ ประเด็นกล่าวหาว่าห้องทดลองชีวภาพจีนในเมืองอู่ฮั่นเป็นต้นตอการปล่อยเชื้อไวรัสโควิด-19 จนก่อให้เกิดการแพร่ระบาดไปทั่วโลก เดือนที่แล้วอเมริกายิงขีปนาวุธใส่บอลลูนตรวจสภาพอากาศของจีน ถูกบิดเบือนว่าเป็นบอลลูนสอดแนมของจีน ล่าสุด คือการปล่อยข่าวอย่างหนักหน่วงว่าจีนกำลังพิจารณาจัดหาอาวุธร้ายแรงให้แก่รัสเซีย
ทั้งนี้ทั้งนั้น ประเด็นที่ร้อนแรงที่สุดย่อมหนีไม่พ้นกรณีไต้หวัน รัฐมนตรีฉิน กัง ชี้ว่า เรื่องไร้สาระของเจ้าหน้าที่ระดับสูงสหรัฐฯ ที่แทรกแซงเรื่องไต้หวัน ซึ่งเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของจีน ส่งผลโดยตรงให้สถานการณ์ในภูมิภาคเอเชียร้อนแรงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปล่อยให้นางแนนซี เพโลซี ระหว่างดำรงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ เดินทางไปเยือนไต้หวันเมื่อต้นสิงหาคม 2565
ฉิน กัง บอกว่า เราจะทำงานต่อไปด้วยความจริงใจที่สุด และพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้เกิดการรวมชาติอย่างสันติ ขณะเดียวกัน เราขอสงวนทางเลือกในการใช้มาตรการที่จำเป็นทั้งหมด
ส่วนกรณีความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย กับ ยูเครน นายฉิน กัง รัฐมนตรีต่างประเทศจีน กล่าวว่า จีนไม่ได้เป็นคนสร้างวิกฤต ไม่ได้จัดหาอาวุธให้ทั้งสองฝ่าย แต่มีมือที่มองไม่เห็นกำลังขับเคลื่อนวิกฤตยูเครนให้ยืดเยื้อบานปลาย เพื่อสนองตัณหาทางการเมืองบางอย่าง พร้อมตั้งคำถามที่น่าสนใจว่า ทำไมสหรัฐฯ ถึงขอจีนไม่ส่งอาวุธให้รัสเซีย ขณะที่อเมริกายังขายอาวุธให้ไต้หวันอย่างไม่หยุดหย่อน นี่คือความหน้าไหว้หลังหลอกของอเมริกานั่นเอง
ท่านผู้ชมครับ ผมจะเอารูปๆ หนึ่งขึ้นให้ท่าผนู้ชมดู รูปนี้คือเมื่อวันศุกร์ที่ 10 มีนาคม 2566 ที่กรุงปักกิ่ง ผู้แทนของประเทศอิหร่าน คือนายอาลี ซัมคานี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติสูงสุดของอิหร่าน (คนขวามือในรูป) และนายมูซาด บิน มุฮัมหมัด อัล-ไอบัน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติซาอุดีอาระเบีย และ นายหวัง อี้ (คนกลาง) ประธานคณะกรรมการวิเทศสัมพันธ์แห่งศูนย์กลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน เราจะเห็นได้ว่าบทบาททางการทูตของจีนมีการเปลี่ยนแปลงทางภูมิรัฐศาสตร์อย่างสำคัญของโลก และจะเป็นปฐมบทของอวสานของยุคสมัยการชี้่นำโลกของมหาอำนาจชาติตะวันตก
การทูตของจีนเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ทั้งในปัจจุบัน และอนาคต ? ภายหลังการประชุม 2 สภาของจีน เราได้เห็นการรุกคืบของทูตจีนอย่างชัดเจน อะไรบ้าง ? การฟื้นฟูสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างซาอุดีอาระเบีย กับ อิหร่าน สองคู่ปรับสำคัญในภูมิภาคตะวันออก จีนทำหน้าที่เป็นคนประสานและเจรจา นอกจากนี้แล้ว ระหว่างการเดินทางไปเยือนรัสเซียของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ยังมีการหารือเรื่องข้อเสนอสันติภาพยูเครน ซึ่งชาติตะวันตก โดยการนำของกลุ่ม G7 พยายามดำเนินการขัดขวางทุกวิถีทาง ระหว่างที่สี จิ้นผิง ไปพบกับวลาดิมีร์ ปูติน เพื่อหารือเรื่งอข้อเสนอสันติภาพ
ทางกลุ่ม G7 ก็พยายามแก้เกมด้วยการส่งนายคิชิดอะ ฟูมิโอะ เปลี่ยนกำหนดการบินด่วนจากอินเดียไปพบนายเซเลนสกี ณ กรุงเคียฟ เพื่อล็อบบนี้ไม่ให้กรุงเทพคล้อยตามไปกับแผนสันติภาพของจีน ท่านผู้ชมครับแค่นี้เราก็พอจะรู้แล้วว่าใครคือตัวป่วนโลก เราก็จะเห็นได้ชัดเจนว่า ญี่ปุ่น คือหมาชิบะ ที่คอยเลียแข้งเลียขาอเมริกาอยู่
หลังจากนี้ อดีตประธานาธิบดีหม่า อิงจิ่ว ก็จะเดินทางเยือนจีน ตามมาด้วยประธานาธิบดีลูลา-ดาซิลวา ของบราซิล ประธานาธิบดีฝรั่งเศส แอมานูแอล มาครอง ก็มีกำหนดการจะเดินทางไปประเทศจีนในเดือนหน้า
ท่านผู้ชมครับ ถ้าเราเดินถอยออกมาจากการพิจารณาของต้นไม้แต่ละต้น อย่างที่ผมเคยพูดนะครับ แล้วดูป่าทั้งป่า ปักหมุดเส้นทางการทูตของจีนจะเห็นได้ว่า ภายใน 2 เดือน จีนมีปฏิสัมพันธ์ทางการทูตอย่างคึกคักและทั่วภูมิภาคของโลก ตั้งแต่ตะวันออกกลาง มาถึงรัสเซีย ไต้หวัน อเมริกาใต้ และยุโรป ซึ่งการเดินหมากแต่ละขั้นแต่ละตอนจะเห็นได้ชัดว่ามีการเตรียมการและไตร่ตรองโดยละเอียด โดยจีนนำเสนอรูปแบบความร่วมมือและระเบียบโลกใหม่ที่แตกต่างกว่าชาติตะวันตก เราจะเห็นได้ว่าไม่ผิดจากที่ผมอธิบายในรายการตั้งแต่หลายปีก่อนแล้ว ขณะที่อเมริกากำลังเดินหมากรุก แต่จีนกำลังใช้หมากล้อม
เรามาดูรายละเอียดของการเดินหมากล้อมแต่ละป่าของจีนว่าน่าสนใจ และมีความลึกซึ้งอย่างไรบ้าง หนึ่ง คือการฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตกับซาอุดีอาระเบีย เพื่อยุติศึกในตะวันออกกลาง
ทางการจีน วันที่ 10 มีนาคม 2566 ออกประกาศแถลงการณ์ร่วม 3 ประเทศ คือ ซาอุดีอาระเบีย อิหร่าน และ จีน โดยประกาศว่า ซาอุดีอาระเบีย และอิหร่าน จะฟื้นความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน ภายใน 2 เดือน จะเปิดสถานทูตและองค์การผู้แทนระหว่างกัน และจะแต่งตั้งเอกอัครราชทูต เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ระดับทวิภาคี การเจรจามีกัน 3 ฝ่าย ที่กรุงปักกิ่ง ระหว่างวันที่ 6-10 มีนาคม นายอาลี ซัมคานี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติสูงสุดของอิหร่าน นายมูซาด บิน มุฮัมหมัด อัล-ไอบัน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของซาอุดีอาระเบีย และ นายหวัง อี้ ประธานคณะกรรมการวิเทศสัมพันธ์แห่งศูนย์กลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน เรื่องนี้จีนปกปิดเป็นความลับอย่างดีมาก ผู้สื่อข่าวที่ผมส่งไป และนักข่าวหลายร้อยคนที่ร่วมงานข่าวการประชุม 2 สภา ที่กรุงปักกิ่ง ไม่มีใครล่วงรู้มาก่อน จนกระทั่งกลางดึกของวันที่ 10 มีนาคม 2566 การฟื้นคืนความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างอิหร่าน กับซาอุดีอาระเบีย ถือว่าเป็นหมุดหมายสำคัญมากในการคลี่คลายความขัดแย้งทั้งสองภูมิภาคตะวันออกกลาง เพราะว่าสองชาติเป็นผู้นำมุสลิมฝ่ายชีอะฮ์ และซุนหนี่ แย่งชิงอำนาจกันในตะวันออกกลางมาเป็นเวลานานแล้ว
ซาอุดีอาระเบียกลัวว่าอิหร่านจะขยายขอบเขตการปฏิวัติอิสลามไปประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค และอาจจะคิดที่จะล้มล้างราชวงศ์ซาอุด ที่ซาอุดีอาระเบีย หลังจากสองชาติยุติความสัมพันธ์ทางการทูตเมื่อปี 2559 มีการทำสงครามตัวแทนที่เลบานอน อิรัก ซีเรีย เยเมน จนถึงอัฟกานิสถาน
ท่านผู้ชมครับ ความสำเร็จของจีนที่เป็นตัวกลางในการเจรจาฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูต ระหว่างอิหร่าน กับ ซาอุดีอาระเบีย ทำให้อเมริกาเสียหน้ามาก
โฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติอเมริกาออกมาแก้เกี้ยวว่า การเจรจาครั้งนี้ไม่ใช่ความสำเร็จครั้งใหญ่ แต่เป็นผลสืบเนื่องมาจากการเจรจาครั้งก่อนหน้าที่อิรัก และโอมาน
สหรัฐฯ มีบทบาทในตะวันออกกลางอย่างมาก ตั้งแต่สงครามในอิรักเมื่อ 20 ปีก่อน นอกจากนี้ อเมริกายังมีเบื้องหลังขบวนการอาหรับสปริง ที่ทำให้ประเทศต่างๆ ในตะวันออกกลางเผชิญความวุ่นวายจนกลายเป็นสงครามกลางเมือง
ซาอุดีอาระเบียเป็นพันธมิตรที่สำคัญของอเมริกา ในภูมิภาคตะวันออกกลาง ส่วนอิหร่านถูกสหรัฐฯ คว่ำบาตรมาอย่างต่อเนื่อง จากโครงการพัฒนานิวเคลียร์ แต่สหรัฐฯ กลับไม่ได้มีบทบาทใดๆ ในการเจรจาสันติภาพของทั้งสองประเทศ เพราะว่ายิ่งสองประเทศมีความขัดแย้งมากเท่าไร อเมริกาจะเป็นผู้ที่ตักตวงผลประโยชน์จากความขัดแย้งนี้ เพราะฉะนั้นแล้ว ความสำเร็จในการเจรจาฟื้นสัมพันธ์ระหว่างซาอุดีอาระเบียและอิหร่าน ทำให้จีนถูกจับตาว่า เป็นแบบอย่างสำคัญความขัดแย้งอื่นๆ ด้วยหรือไม่ เช่น ปัญหาปาเลสไตน์ พื้นที่พิพาทในทะเลจีนใต้ระหว่างหลายชาติอาเซียนกับจีน และที่ถูกกล่าวขวัญมากที่สุดคือ สงครามรัสเซีย และ ยูเครน
ท่านผู้ชมคงอ่านข่าวระยะหลังสุดว่า ศาลอาชญากรรมระหว่างประเทศได้ออกหมายจับวลาดิมีร์ ปูติน เรื่องทั้งหมดนี้ถ้าผมเอาเบื้องหน้าเบื้องหลังมาเล่าให้ท่านผู้ชมฟังแล้ว ท่านผู้ชมจะเห็นได้ชัดว่า ตัวการป่วนโลกที่หน้าด้านที่สุด และคนที่กลับกลอก หน้าไหว้หลังหลอกที่สุดก็คืออเมริกา
ตอนที่สี จิ้นผิง เดินทางไปรัสเซียเมื่อวันที่ 20-22 มีนาคม เพื่อพบวลาดิมีร์ ปูติน ก่อนหน้าที่ผู้นำจีนจะแวะไปไม่กี่วัน ศาลอาญาระหว่างประเทศออกหมายจับประธานาธิบดีปูติน ในข้อหาก่ออาชญากรรมสงคราม ระบุว่า ผู้นำรัสเซียสั่งให้มีการโยกย้ายประชาชนและเด็กออกจากพื้นที่ครอบครองในยูเครนไปยังรัสเซียอย่างผิดกฎหมาย การออกหมายจับปูติน ศาลอาญาระหว่างประเทศนั้นเป็นเหมือนเสือกระดาษ ท่านผู้ชมรู้ไหมว่า นายดมิทรี เมดเวเดฟ อดีตผู้นำรัสเซีย บอกว่าหมายจับของ ICC เหมือนกระดาษเช็ดก้น สะท้อนให้เห็นความย้อนแย้ง เพราะทั้งรัสเซีย ยูเครน และอเมริกา ไม่ได้เป็นภาคีของศาลอาญาระหว่างประเทศ มิหนำซ้ำ มีหลายกรณีในอดีต อเมริกาแสดงตัวเป็นปฏิปักษ์กับ ICC ยกตัวอย่างเช่น ประธานาธิบดีจอร์จ บุช แห่งอเมริกา เคยลงนามในกฎหมายเพื่อปกป้องทหาร เจ้าหน้าที่ นักการเมืองสหรัฐฯ ไม่ให้ถูกดำเนินคดีในศาลอาญาระหว่างประเทศ
ในยุคของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยิ่งหนักข้อมาก ขู่ว่าจะใช้มาตรการคว่ำบาตรทางการเงินและระงับวีซ่าคณะผู้พิพากษาและเจ้าหน้าที่ ICC ที่สืบสวนเรื่องอาชญากรรมที่ทหารสหรัฐฯ กระทำในอัฟกานิสถาน นอกจากนั้น ยังขู่ขยายการคว่ำบาตรไปกว่า 120 ประเทศภาคีของ ICC ที่ร่วมมือสืบสวนการละเมิดสิทธิมนุษยชนของอเมริกาด้วย
นายวิลเลียม บาร์ อัยการสูงสุดของอเมริกา ก็เคยอ้างว่า รัฐบาลอเมริกาเคลือบแคลงในความเที่ยงตรงของ ICC กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ได้รับข้อมูลที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับการคอร์รัปชัน การมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของบรรดาเจ้าหน้าที่ระดับสูงของ ICC ที่มีมาอย่างยาวนาน
นอกจากนั้น อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ นายไมก์ ปอมเปโอ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายสตีเวน มนูชิน อดีตรัฐมนตรีคลัง นายวิลเลียม บาร์ อัยการสูงสุด และเจ้าหน้าที่ระดับสูงของอเมริกาหลายคน ถูกกลุ่มทนายความด้านสิทธิมนุษยชนในอเมริกา ฟ้องร้องต่อศาล ICC ว่า รัฐบาลทรัมป์ ออกคำสั่งละเมิดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และขัดขวางการแสวงหาความยุติธรรมให้กับเหยื่อในสงครามอัฟกานิสถาน
ท่านผู้ชมฟังแล้วเป็นอย่างไร ชัดเจนไหมว่าอเมริกานั้นต้องตกเป็นจำเลยในศาลอาญาระหว่างประเทศ อเมริกาก็ไม่ยอมรับ ข่มขู่คว่ำบาตร อ้างว่า ICC เป็นองค์กรไม่น่าเชื่อถือ แต่พอมาถึงประธานาธิบดีปูติน ก็ถูกออกหมายจับ ตัวอเเมริกาเองซึ่งไม่ได้เป็นสมาชิกภาคี ทะลึ่งเรียกร้องประชาคมโลก ร่วมมือจับปูตินไปดำเนินคดี ซึ่งเป็นไปไม่ได้เพราะรัสเซียไม่ได้เป็นภาคีของ ICC แต่สะท้อนให้เห็นถึงความหน้าไหว้หลังหลอกของอเมริกา
หมายจับของ ICC อาจทำให้ปูตินยากลำบากในการเดินทางระหว่างประเทศ และผู้นำชาติประชาธิปไตยอาจตะขิดตะขวงใจที่จะพบกับปูติน แต่การที่ผู้นำจีนไปพบผู้นำรัสเซีย แสดงว่าจีนไม่ได้ใส่ใจกับหมายจับจากศาลอาญาระหว่างประเทศเลย โฆษกกระทรวงการต่างประเทศยังวิจารณ์ศาลอาญาระหว่างประเทศว่า สองมาตรฐาน พร้อมเรียกร้องให้เคารพเอกสิทธิ์การคุ้มครองผู้นำประเทศ
ที่น่าสนใจคือ อินเดียจะเป็นเจ้าภาพการประชุมผู้นำ G-20 ในเดือนกันยายน อินเดียจะเชิญปูตินมาประชุมหรือเปล่า ถ้าเชิญมา แสดงว่าชาติประชาธิปไตยใหญ่ที่สุดอย่างอินเดียก็ไม่ได้แคร์หมายจับของ ICC เช่นกัน
ท่านผู้ชมครับ โดยสรุปแล้ว ความเปลี่ยนแปลงของโลก ที่สี จิ้นผิง บอกว่าเป็นประวัติศาสตร์ในร้อยปีที่เกิดขึ้นมา ผมเคยพูดหลายครั้งแล้วว่า สี จิ้นผิง ได้รับดาบอาญาสิทธิ์ให้ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้นำจีนในสมัยที่ 3 ซึ่งไม่มีผู้นำคนใดตั้งแต่สมัยเหมา เจ๋อตุง เคยได้รับอำนาจเช่นนี้มาก่อน เขาจะมีบทบาทอย่างมากในการพลิกผันทิศทางของโลกใบนี้ จะเห็นได้ว่าตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป จีนที่เคยเก็บเนื้อเก็บตัว จะเดินหน้ารุกคืบทางการทูตอย่างรุนแรงที่สุด ไล่มาตั้งแต่เรื่องการเป็นตัวกลางในการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างซาอุดีอาระเบีย-อิหร่าน ในตะวันออกกลาง เรื่อยมาจนถึงแผนสันติภาพรัสเซีย-ยูเครน และล่าสุด อดีตประธานาธิบดีหม่า อิงจิ่ว ของไต้หวัน ก็จะเดินทางมาเยือนแผ่นดินใหญ่จีน ระหว่างวันที่ 27 มีนาคม - 7 เมษายน
โดยเรื่องการเยือนจีนแผ่นดินใหญ่ของหม่า อิง จิ่ว น่าสนใจมาก เพราะเป็นการเยือนจีนแผ่นดินใหญ่ครั้งแรกของอดีตประธานาธิบดีไต้หวัน ตั้งแต่แบ่งแยกการปกครองมา 74 ปีแล้ว นี่เท่ากับเป็นการเเดินหน้าเป็นผู้นำปลดชนวนความขัดแย้งของโลก 3 จุดสำคัญ หนึ่ง ตะวันออกกลาง จับซาอุดีอาระเบียและอิหร่านมาเป็นเพื่อนกัน สอง ในยุโรป สาม ในตะวันออกไกล หรือเอเชียที่เกี่ยวพันกับจีน คือปัญหาที่เรื้อรังระหว่างจีน กับ ไต้หวัน
ท่านผู้ชมครับ ถ้าจีนภายใต้การนำของสี จิ้นผิง ผลักดันทั้ง 3 เรื่องได้สำเร็จ จะถือเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ที่จะยุติสงคราม สลายความขัดแย้ง รวมทั้งสามารถจะบั่นทอนอิทธิพลขั้วเดียวของอเมริกาและชาติตะวันตกไว้ได้อย่างมหาศาล ที่สำคัญที่สุด คือแสดงให้เห็นถึงรุ่งอรุณใหม่ของโลกในยุคที่มีการแบ่งสรรปันส่วน เพื่อสร้างความสมดุลทางอิทธิพลของโลกหลายขั้วอย่างเด่นชัด และเป็นรูปธรรมอย่างมากที่สุด
ท่านผู้ชมครับ รายการวันนี้เราปิดรายการด้วยการพูดเรื่องต่างประเทศอย่างละเอียดและลึกซึ้ง ที่ท่านผู้ชมไม่สามารถจะไปหาฟังได้ที่ไหน รายการวันนี้ก็มีอยู่เพียงแค่นี้ อาทิตย์หน้า เรื่องสำคัญที่สุดอีกเรื่องหนึ่งที่ผมพูดเกริ่นไว้แล้ว ก็คือเรื่องที่ดินของคุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ที่ประกาศให้เป็นสวนสาธารณะ แล้วตัวเองกลับเอามาก่อสร้าง ผมได้เอาฎีกา 10 ฎีกา ในเรื่องนี้ เล่าให้ท่านผู้ชมฟังไปเรียบร้อยแล้ว อาทิตย์หน้าจะพูดถึงรายละเอียดอย่างถี่ยิบ แล้วผมไม่ได้พูดถึงคุณชูวิทย์มาหนึ่งเดือนเต็มๆ อาทิตย์หน้าผมจะเช็กบิลคุณชูวิทย์ ว่าในหนึ่งเดือนเต็มๆ นั้นคุณชูวิทย์ได้ทำอะไรไปบ้าง และยังมีเรื่องอื่นที่น่าสนใจ สำคัญ และน่าที่จะรับฟังอีก รอพบกันอาทิตย์หน้า สวัสดีครับ