xs
xsm
sm
md
lg

[คำต่อคำ] SONDHI TALK : ชี้เป้า? ใครถอดหมายจับ “ส.ว.ทรงเอ” - คำพิพากษาศาลชี้พินัยกรรม ”ตระกูลนิรันดร” ของปลอม - ป.ป.ช. ชี้ล็อกสเปก-ฮั้ว ลักไก่ต่อสัญญารถไฟฟ้าสายสีเขียว - เชือด “คุณหญิงหมอ” เซ่นพิษการเมือง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



วันที่ 17 มี.ค.2566 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ไลฟ์สด “SONDHI TALK” ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ คุยทุกเรื่องกับสนธิ ช่องยูทูป Sondhitalk หรือ Sondhitalk (ช่องสำรอง) และแอปพลิเคชัน Sondhi App โดยมีประเด็นที่ได้เล่าในวันนี้ ได้แก่

-ต้อง “มีนัย” ทางการเมืองแน่นอน แต่จะเป็นแบบไหน “หนู-ตู่” vs “หนู-ป้อม” 2 ภาพต่างนัย
-ยกคดี “ไม้ล้างป่าช้า” เชือด “คุณหญิงพรทิพยฺ” เซ่นพิษการเมือง
- ชี้เป้า ใครสั่งถอนหมายจับ “ส.ว.ทรงเอ”
-คำพิพากษาศาลชี้พินัยกรรม “ตระกูลนิรันดร” ของปลอม
-ป.ป.ช.ชี้ ล็อกสเปก-ฮั้ว ลักไก่ค่อสัญญารถไฟฟ้าสายสีเขียว
ติดตามได้ใน SONDHI TALK : ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง Ep.181



คำต่อคำ SONDHI TALK EP. 181 [17 มี.ค. 66] : สนธิ ชี้เป้า ใครสั่งถอนหมายจับ "ส.ว.ทรงเอ"

ช่องทางการรับชมรับฟัง "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" หรือ SONDHI TALK
แอปพลิเคชัน : SONDHI APP
ระบบ iOS ดาวโหลดได้ที่ AppStore : https://apps.apple.com/th/app/sondhi-app/id1588046647.
ระบบ Android ดาวโหลดได้ที่ Google Play : https://play.google.com/store/apps/details?id=com.sondhitalk.asia.android
เฟซบุ๊กแฟนเพจ : คุยทุกเรื่องกับสนธิ
YouTube : Sondhitalk
เว็บไซต์: www.sondhitalk.com
Podcast หรือ podbean : SONDHI TALK

สวัสดีครับท่านผู้ชม วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2566 และขอสวัสดีแฟนๆ รายการที่รับชมการถ่ายทอดสดทาง Sondhi App, Facebook, YouTube และ TikTok

วันนี้ก่อนเข้ารายการ ขอพูดเรื่อง "ยาลม ๓๐๐ จำพวก" นิดหนึ่ง หลายๆ คนบอกว่าอยากให้พูดถึงสรรพคุณของ "ยาลม ๓๐๐ จำพวก" อีกสักครั้งหนึ่ง "ยาลม ๓๐๐ จำพวก" เป็นยาอายุวัฒนะ เป็นตำราแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ของรัชกาลที่ 5 สรรพคุณเป็นยาตำรับช่วยกระตุ้นให้เลือดลมไหลเวียนทั้งระบบ เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ลดความเสี่ยงสำหรับผู้ที่มีภูมิต่ำ ไทรอยด์ต่ำ ระบบการเผาผลาญต่ำ หรือธาตุไฟหย่อน ไอเป็นประจำไม่หยุด เพราะไม่มีกำลังขับเสมหะ มือเท้าเย็น มีพลังงานในการขับถ่ายน้อย


"ยาลม ๓๐๐ จำพวก" นี้ จะซื้อกินเอง หรือซื้อให้คนที่เรารัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้กับคุณพ่อคุณแม่ คุณปู่คุณย่า คุณตาคุณยาย คุณลุงคุณป้า คุณน้าคุณอา เหมาะกับผู้สูงอายุมากที่สุด เพราะไม่มีการให้อะไรที่ดีกว่าการให้สุขภาพที่ดีขึ้น หรือจะซื้อถวายพระก็ได้

ข่าวดี! ตอนนี้ถ้าสั่งซื้อ "ยาลม ๓๐๐ จำพวก" 2 กล่อง เราจะแจกหน้ากากฟรี หน้ากากผ้าสกรีนลาย "SONDHI TALK" 1 ชิ้น มีจำนวนจำกัด ท่านผู้ชมรีบๆ สั่งเข้ามานะครับ มีสีดำและสีขาว

สำหรับท่านผู้ชมที่ทานครบ 9 เดือน ซึ่งเข้าใจว่า 9 เดือนน่าจะพอ ก็สามารถทานต่อไปได้ ไม่จำเป็นต้องหยุด เพราะผมเองก็ทานมาสองปีแล้ว เลือดลมดีมาก การขับถ่ายดีมาก ภูมิคุ้มกันสูงมาก สนใจให้ติดต่อสั่งซื้อได้เลย มีของพร้อมส่ง แอดไลน์เพิ่มเพื่อนที่ @sunherb หรือ inbox ที่เพจ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ"


ตอนนี้ที่ร้าน SUN PAN ที่ถนนวิภาวดีฯ ปั๊ม ปตท. อยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย โอเลี้ยงตอนนี้มีของเพียงพอแล้ว สำหรับทุกคน เพราะผมได้เตรียมให้แฟนๆ ที่จะเข้าไปซื้อวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ทั้งร้าน SUN PAN ที่วิภาวดี และร้าน "พอดีช้อป" ถนนพระอาทิตย์ อย่างพอเพียงแน่นอน

สินค้าอื่นๆ ที่ขายดีในร้าน SUN PAN มีทั้งหมูแท่งอบกรอบ ปลาแท่งอบกรอบ ขนมปัง สเปรดต่างๆ และยังมีไอศกรีมของคุณโสภณ โองการณ์ ก็ยังมีอยู่ที่ร้าน SUN PAN สามารถหาซื้อได้ทั้งที่ร้าน SUN PAN ถนนวิภาวดีฯ ตรงข้ามมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และร้าน "พอดีช้อป" ถนนพระอาทิตย์ สามารถหาซื้อกันได้ครับ

อาทิตย์นี้เรามีเรื่องอะไรบ้าง ? เรื่องแรกที่จะพูดคือ เรื่องของ ป.ป.ช. ได้ชี้มูล "ไม้ล้างป่าช้า" GT 200 คำถามคือ เกมเชือดคุณหมอพรทิพย์ เซ่นพิษการเมืองหรือเปล่า ? เดี๋ยวมาฟังคำอธิบายของผม

เรื่องที่สอง เป็นเรื่องราวที่ใหญ่โตมโหฬารพอสมควรในแวดวงการยุติธรรมและกระบวนการยุติธรรม ทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ คือมีการถอนหมายจับ ส.ว.อุปกิต นัยของการถอนหมายจับครั้งนี้มีอะไรบ้าง ผมจะอธิบายให้ฟัง แล้วก็มีข้อโต้แย้งจากฝ่ายตำรวจ ซึ่งเป็นสมาคมตำรวจไทย และสมาคมนักเรียนนายร้อยตำรวจไทย ตลอดจนสมาคมของพนักงานสอบสวน ออกแถลงการณ์มาชี้แจง ให้เหตุผลต่างๆ เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟัง

เรื่องที่สาม คือเรื่อง "มหากาพย์ มหาโกง" คดีบีทีเอส กับรถไฟฟ้าสายสีเขียว ที่คุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ไม่ยอมพูดถึงเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ผมจะพูดให้ฟัง ท่านผู้ชมตั้งใจฟังเรื่องนี้ให้ดีๆ ไม่ยาก ไม่ซับซ้อน ง่ายๆ แล้วท่านผู้ชมจะเห็นว่ารถไฟฟ้าสายสีเขียวนั้นเกี่ยวพันกับคนเยอะพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย แม้กระทั่งอดีตผู้ว่าฯ กทม. พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ก็เกี่ยวข้องด้วย แล้วก็จะนำไปสู่เบื้องหน้าเบื้องหลังว่าทำไมคุณชูวิทย์ถึงมารับงานคุณคีรี กาญจนพาสน์ ซึ่งคุณชูวิทย์ยอมรับเองว่ารับงานมา แล้วถึงถล่มพรรคภูมิใจไทย เพราะว่าความแค้นระหว่างบีทีเอส กับพรรคภูมิใจไทย มันมีที่มาที่ไป มันเริ่มจากรถไฟฟ้าสายสีเขียว เดี๋ยวมาฟังรายละเอียดกัน

เรื่องสุดท้ายที่ค้างเติ่งมานานหลายอาทิตย์แล้ว ก็คือ ผมพูดแล้วว่า พินัยกรรมของตระกูลนิรันดร ศาลแพ่งได้พิพากษาแล้วว่าเป็นพินัยกรรมปลอม ผมจะเอารายละเอียดของพินัยกรรมนี้ และคำพิพากษาของศาลแพ่ง เอามาตีแต่ละประเด็นๆ ให้ท่านผู้ชมเห็นว่าท่านผู้พิพากษาท่านมองอย่างไร ท่านคิดอย่างไร ท่านจึงชี้ว่าพินัยกรรมของท่านขุนนิรันดร ซึ่งคนที่ขอร้องยื่นเรื่องเพื่อขอให้แต่งตั้งตัวเองเป็นผู้จัดการมรดก คือคุณปราณี นิรันดร ซึ่งเป็นภรรยาของคุณธรรมนูญ นิรันดร และมีผู้คัดค้าน คือลูกสาวคนเล็ก คือคุณเยาวรัตน์ นิรันดร และผลออกมาเป็นอย่างไร ท่านลองฟังดู สนุกสนานครับ คิดไม่ถึงว่าศาลท่านเจาะลึกลงไปจนกระทั่งถึงเรื่องการใช้ปากกาด้ามเดียวกัน สนุกมากครับ

"หนู-ตู่ VS หนู-ป้อม" 2 ภาพ ต่างนัย


ท่านผู้ชมครับ ก่อนที่ผมจะเข้ารายการนั้น ผมมีรูปบางรูปให้ท่านผู้ชมดู เมื่อวันพุธที่ 15 มีนาคม มีภาพๆ หนึ่งที่สร้างแรงสั่นสะเทือนและเสียงฮือฮาทางการเมืองมาก คือที่มูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ซึ่งมีคุณอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข คุณศักดิ์สยาม ชิดชอบ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พร้อมนายชาดา ไทยเศรษฐ์ ส.ส.จังหวัดอุทัยธานี พรรคภูมิใจไทย ได้เข้าร่วมพบและร่วมรับประทานอาหารกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้มีการรับประทานอาหารกลางวันร่วมกัน และมีการพูดคุยกันในหลายๆ เรื่อง บรรยากาศเป็นกันเอง และเป็นไปด้วยความชื่นมื่น น่าสังเกตอย่างหนึ่งว่า พล.อ.ประวิตร หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส อารมณ์ดี

ผมก็อยากจะเปรียบเทียบภาพนี้กับอีกภาพหนึ่งที่คล้ายๆ กัน แต่ถ่ายเมื่อประมาณ 6 เดือนที่แล้ว นั่นก็คือการล็อกคอนายอนุทิน ชาญวีรกูล ให้เข้ามาหา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยมี พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา อยู่ด้วย ตอนที่ พล.อ.ประยุทธ์ ทำงานอยู่ในตำแหน่งเดียว คือตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และถูกพักงานในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพื่อรอคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญ ว่าสามารถทำงานต่อได้หรือเปล่า


จะเห็นได้ชัดว่า งานนี้สองภาพที่เห็นนี้ มีนัย มีความหมายที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ภาพที่สองที่ผมเอาขึ้นให้ดู คือภาพที่ถ่ายเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2565 มีคุณไตรศุลี ไตรสรณกุล (คุณกวาง) รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุว่า คุณอนุทิน และ พล.อ.อนุพงษ์ เดินทางไปเยี่ยมพูดคุยกับ พล.อ.ประยุทธ์ ที่กระทรวงกลาโหม ซึ่งคุณอนุทินก็อ้างว่า การไปเยี่ยมนั้นเป็นการนัดหมายล่วงหน้าเพื่อนำแพทย์จากสถาบันโรคผิวหนังไปติดตามอาการ หลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ ได้รับการรักษาสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่บริเวณหลังมือเป็นสะเก็ดแผลจากอาการภูมิแพ้ผิวหนังเก่าและคัน อาการได้หายแล้ว เพียงแต่ต้องใช้ยาทาหลังจากนี้ โดยไม่ได้มีการพูดถึงสถานการณ์บ้านเมืองแต่อย่างใด คุณอนุทินบอกว่า เดินทางไปช่วงเวลาใกล้เที่ยง พล.อ.ประยุทธ์ จึงชวนรับประทานอาหารด้วยกัน เป็นข้าวกะเพราไก่ไข่ดาว


เบื้องลึกที่ผมทราบ ภาพดังกล่าว ที่ถ่ายรูปกับ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา กับ พล.อ.ประยุทธ์ นั้น มีการพยายามสร้างภาพด้วยการล็อกนายอนุทิน หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ว่ายังยืนข้างตัวเองในช่วงที่ พล.อ.ประยุทธ์ กำลังตกที่นั่งลำบากจากกรณีศาลรัฐธรรมนูญชี้มูลเรื่องการดำรงตำแหน่งนายกฯ 8 ปี

ส่วนภาพที่คุณอนุทินทานข้าวกับลุงป้อม ก็มีนัยอีกนัยหนึ่งที่ให้เห็นว่า การที่ไปตีความว่าพรรคภูมิใจไทยจะต้องยืนข้าง พล.อ.ประยุทธ์ ตลอดเวลานั้น อาจจะไม่ใช่อย่างที่ท่านผู้ชมคิด การเมืองนั้นเป็นเรื่องของผลประโยชน์ ถ้าผลประโยชน์ลงตัวได้ ไม่ว่าใครก็ตาม ก็สามารถจะจับมือกันได้ แต่ถ้าผลประโยชน์ไม่ลงตัว เพราะฉะนั้นการที่จะมายึดเอาว่าคนโน้นจะต้องมาเป็นพวกคนนี้ ณ เวลานี้่ ยังเร็วจนเกินไป อย่างน้อยที่สุด ภาพ 2 ภาพที่เอามาเปรียบเทียบให้ดูจะเห็นว่าวันนี้พรรคภูมิใจไทยรู้แล้วว่าเกมที่ตัวเองต้องเล่นนั้น จะไปผูกขาตัวเองกับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งอย่างตายตัว คงไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว เพราะฉะนั้น ใครก็ตามที่พยายามจะคิดล้มพรรคภูมิใจไทย ก็คงไม่ง่ายเหมือนอย่างที่ตัวเองคาด หรือเข้าใจไปอย่างนั้นจริงๆ

ซิลิคอน วัลเลย์ แบงก์ ปิดกิจการ สะเทือนการเงินโลก


สัปดาห์ที่ผ่านมามีเรื่องร้อนแรงมากเกี่ยวกับกรณีการเงินและการธนาคาร และภูมิรัฐศาสตร์ทางการเมืองระหว่างประเทศ ธนาคารซิลิคอน วัลเลย์ แบงก์ (Silicon Valley Bank : SVB) (ซึ่งเป็นธนาคารที่คุณทนง ขันทอง เรียกว่า "ซิลิโคน วัลเลย์ แบงก์") และธนาคารอเมริกาหลายแห่ง ล้มละลายอย่างกะทันหัน ล่าสุด น่าเป็นห่วงมาก ธนาคารเครดิตสวิส (Credit Suisse) ซึ่งเป็นแบงก์ใหญ่อันดับสองในสวิตเซอร์แลนด์ อายุ 170 ปี กำลังจะล้ม อันเป็นผลทำให้รัฐบาลของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ ออกมายืนยัน นั่งยืน นอนยัน ว่า อย่างไรก็ไม่ให้ล้ม เพราะถ้าธนาคารเครดิตสวิสล้ม ผลกระทบจะมีต่อทั่วโลกทันที


เรื่องนี้ก่อให้เกิดความปั่วนป่วนทางเศรษฐกิจการเงินไปทั่วโลก รวมทั้งตลาดการเงิน ตลาดหลักทรัพย์ในประเทศไทย ผมได้ติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด เห็นว่าเรื่องนี้มีมิติที่ล้ำลึกมากกว่าแค่เรื่องเศรษฐกิจ แต่ยังโยงไปถึงเกมการเมือง การเปลี่ยนดุลอำนาจของโลก อาจจะรวมไปถึงการรีเซ็ตระบบการเงินของโลกอีกด้วย

ในเรื่องนี้ คุณทนง ขันทอง ซึ่งเป็นหนึ่งในกูรูเรื่องทางต่างประเทศที่ออกรายการทาง Sondhi App กับคุณนงวดี ถนิมมาลย์ พูดไว้ดีมาก ในประเด็น "มองมุมสมคบคิดการล่มสลายของธนาคารซิลิคอน วัลเลย์" ซึ่งคุณทนง จัดกับคุณนงวดี ถนิมมาลย์ เข้าไปชมได้ใน Sondhi App นะครับ


ท่านผู้ชมครับ ก่อนที่จะเข้าเรื่องราวต่างๆ นั้น ผมมีเรื่องของต่างประเทศเรื่องหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่มาก แต่เนื่องจากว่าอาทิตย์นี้เรามีเรื่องสำคัญๆ หลายเรื่องที่ต้องรีบพูด เรื่องนี้ก็ยังไม่พูด แต่ผมจะเล่าหลักๆ ให้ฟังแล้วกัน

ผมจะรวบรวมประเด็นต่างๆ แล้วนำมาสรุปให้ท่านผู้ชมได้รับทราบแบบครบทุกมิติ แบบฟังที่นี่ที่เดียวเลย มองป่าทั้งป่า ทราบสถานการณ์ แนวโน้มความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ การเมือง ที่จะเกิดขึ้นกับโลกในอนาคต

สำหรับ Sondhi App ถ้าใครยังไม่ได้โหลดแอปฯ ก็โหลดผ่าน iOS และ Android ได้ที่ App Store และ Google Play สมัครสมาชิกเดือนละ 99 บาท รายปีจ่ายเพียง 990 บาท คิด 10 เดือน แถมฟรี 2 เดือน เป็น 1 ปี ถ้ามีปัญหาในการปัญหาการใช้งานแอปฯ หรือการสมัครสมาชิก ติดต่อได้ที่ LINE ID : @sondhitalk

เชือด "คุณหญิงหมอ" เซ่นการเมือง


ท่านผู้ชมคงได้เห็นข่าวแล้วว่า ป.ป.ช. ได้ชี้มูลไม้ล้างป่าช้า GT200 ว่าคุณหญิงพรทิพย์ผิด สื่อในเครือผู้จัดการเกาะติดเรื่องนี้มาสิบปีแล้ว ผมก็ติดตามเรื่องนี้มาตลอด ล่าสุดในรายการนี้ ผมเคยทบทวนความทรงจำให้ท่านผู้ชมเกี่ยวกับกรณีไม้ล้างป่าช้า GT 200 อย่างละเอียด ในรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2565 ตอนที่ 141 ซึ่งผมพูดเลยว่า GT200 เป็นมหากาพย์การทุจริตอย่างหน้าด้านที่สุด และเกี่ยวข้องกับทหารชั้นผู้น้อย-ผู้ใหญ่ รวมไปถึงผู้มีอำนาจในบ้านเมืองหลายคน

ล่าสุด คือเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 9 วันที่ผ่านมา มีความเคลื่อนไหวเรื่องนี้อีก ป.ป.ช. มีมติเอกฉันท์ สั่งฟ้อง คุณหญิงแพทย์หญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ สมาชิกวุฒิสภา ในฐานะอดีตผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม ในคดีจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิดและสารเสพติด GT 200 และ Alpha 6 จำนวน 4 สัญญา ตอนนี้ส่งไปสำนักคดีเพื่อร่างคำฟ้อง ก่อนส่งฟ้องแก่ศาลที่เกี่ยวข้องต่อไป


จากที่ก่อนหน้านี้ ป.ป.ช. เคยชี้มูลความผิดแล้ว แต่สำนักงานอัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้อง โดยระบุว่าพยานหลักฐานไม่พอเพียงฟ้องคุณหญิงพรทิพย์ เมื่อส่งกลับมา ป.ป.ช. เห็นแย้งว่ามีหลักฐานพอเพียง จึงมีมติให้ยื่นฟ้องเอง

จากกรณีที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม จัดซื้อเครื่อง GT 200 ในปี 2551-2552 จำนวน 3 สัญญา 6 เครื่อง 6,800,000 บาท ต่อมา วันที่ 9 มีนาคม แค่วันเดียวหลังจากที่ถูกชี้มูลความผิด คุณหญิงพรทิพย์ ให้สัมภาษณ์ตั้งข้อสังเกตถึงกระบวนการสอบสวนของ ป.ป.ช. ที่ผ่านมา ว่ามีเรื่องเกี่ยวกับการเมืองหรือเปล่า คุณหญิงฯ ได้อธิบายว่า หมอโดนคนเดียว ผู้บริหารที่เหลือซึ่งเป็นทหาร ไม่โดน ก็ต้องมีอะไรบางอย่าง เพราะอยู่ในช่วงของรัฐบาลปฏิวัติ รัฐบาลแบบไหนก็ตาม สุดท้ายก็ต้องเอาการเมืองมาแทรกในการสรรหาเสมอ ปฏิเสธไม่ได้ แต่ทีนี้มากระทบคนอย่างเรา ซึ่งไม่ได้อิงการเมือง เราตั้งใจทำงาน ทั้งที่การซื้อ GT 200 นั้น เป็นการซื้อตามกองทัพ กรณีที่ถูกกล่าวหาว่าไม่ได้ตั้งผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบการซื้อเครื่องมือดังกล่าว เป็นเพราะระเบียบระบุว่า ไม่จำเป็นต้องตั้งเสมอไป และการซื้อเครื่อง GT 200 ของสถาบันนั้น ได้ซื้อตามกองทัพที่สั่งซื้อไป และซื้อหลังจากที่อังกฤษได้ซื้อไปใช้ในสงครามอิรัก ขณะนั้น เวลานั้น ที่อังกฤษซื้อ ยังไม่รู้ว่าถูกหลอกเสียด้วยซ้ำ


นอกจากนี้ คุณหญิงพรทิพย์ ยังตั้งข้อสังเกตถึงกระบวนการสอบสวนของ ป.ป.ช. ว่า ทุกสัญญาที่จัดซื้อเครื่อง GT 200 หรือ Alpha 6 ของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ซึ่งจัดซื้อปี 2551-2552 ที่ผ่านมาไม่เคยทราบกระบวนการตรวจสอบของ ป.ป.ช. มารู้ทีหลังว่ามีชื่ออยู่ในสำนวน ในเดือนกุมภาพันธ์ 2564 (ประมาณสองปีที่แล้ว) ตอนที่คดีใกล้หมดอายุความ ซึ่งคุณหญิงพรทิพย์บอกว่า เวลาผ่านไปสิบปีแล้ว ทำให้ยากต่อการหาเอกสารที่ยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเอง


เรามาดูกันนิดหนึ่งในเรื่องของตำนานเครื่อง GT 200 ไม้ชี้ป่าช้า เกิดขึ้นในสมัยที่กองทัพอากาศให้บริษัทตัวแทนเข้าทำการทดสอบปฏิบัติการแรก โดยได้นำพิสูจน์ทดลองเมื่อปี 2546 ใช้เวลาทดลองถึงหนึ่งปีครึ่ง จากนั้น 2548 กองทัพอากาศได้จัดซื้อมาใช้เบื้องต้น และปรากฏว่าในหลายกรณีเครื่อง GT 200 ใช้ได้ผล ต่อมา ปลายปี 2548 กอ.รมน. ภาค 4 ส่วนหน้า สมัยที่ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก ได้ทดลองใช้เครื่อง GT 200 หาระเบิดในมัสยิด ปรากฏว่าใช้งานได้ จึงเสนอขอเครื่องมือดังกล่าว ในปี 2550 จากบริษัท เอวิเอ แซทคอม จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทย 4 เครื่อง เครื่องละ 1.4 ล้านบาท พอตอนหลังได้มีการปฏิวัติยึดอำนาจ คมช. กองทัพบก ในยุคของ พล.อ.สนธิ ก็ซื้ออีก 2 เครื่อง วงเงิน 1.8 ล้านบาท


ท่านผู้ชมครับ ในยุคสมัยที่มีการจัดซื้อ GT 200 มากที่สุด คือยุคสมัย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ที่ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก โดยในช่วงปี 2551-2552 ในช่วงสองปี มีการจัดซื้อเครื่อง GT 200 รวม 755 เครื่อง วงเงิน 680 กว่าล้านบาท ต้องถือว่าเป็นหน่วยงานที่จัดซื้อ GT 200 มากที่สุด โดยการจัดซื้อทุกครั้งจะใช้วิธีจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีพิเศษ ว่าเป็นกรณีเร่งด่วน มีข้อจำกัดทางเทคนิค และระบุว่า ต้องยี่ห้อนี้เท่านั้น ทะแม่งๆ ไหมท่านผู้ชม


จากข้อมูลที่รวบรวมโดยกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ระบุว่า ปี 2548-2553 หรือระยะเวลาประมาณ 6 ปี มีหน่วยงานรัฐของไทยจัดซื้อเครื่อง GT 200 และ Alpha 6 รวมกันทั้งหมดอย่างน้อย 15 หน่วยงาน เป็นจำนวนเงิน 1,398 เครื่อง คิดเป็นเงิน 1,134 ล้านบาท

แต่พอเหตุการณ์ผ่านไป ปี 2553 โป๊ะแตก เมื่อสื่ออังกฤษแฉ GT 200 เป็นแค่ไม้ล้างป่าช้า


2 กุมภาพันธ์ 2553 สิบสามปีที่แล้ว พอสื่ออังกฤษออกมาเปิดโปง แฉว่าเครื่องตรวจวัตถุระเบิด GT 200 จริงๆ แล้วเป็นอุปกรณ์ลวงโลก ใช้งานไม่ได้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ก็มอบหมายคุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ในขณะนั้น ตั้งคณะกรรมการ 13 คน ทดสอบประสิทธิภาพเครื่อง GT 200 เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2553 ปรากฏว่า สามารถค้นพบวัตถุระเบิดได้เพียง 4 ครั้ง จากจำนวน 20 ครั้ง ทำให้นายอภิสิทธิ์สั่งระงับการซื้อทันที

เมื่อพบว่าอุปกรณ์ดังกล่าวไม่สามารถใช้งานได้จริง ทำให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐหลายหน่วยงานได้ร้องทุกข์ขอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ดำเนินคดีอาญากับผู้ขายเครื่อง GT 200 เมื่อสืบสวนและรวบรวมหลักฐานแล้ว พบมูลความผิด จึงรับเป็นคดีพิเศษ ดำเนินคดีอาญาทั้งสิ้น 16 คดี และยังมีการฟ้องร้องทางแพ่งด้วย

ถัดมาอีก 3 ปี คือ 2556 ศาลอังกฤษได้มีคำพิพากษาตัดสินจำคุก ยึดทรัพย์ผู้บริหารบริษัทที่ผลิต GT 200 ในความผิดฐานฉ้อโกง และผลการสอบสวนของดีเอสไอนำมาสู่การฟ้องร้องบริษัทอังกฤษ และบริษัทตัวแทนจำหน่ายในไทย เรียกค่าเสียหายถึง 683 ล้านบาท


19 กรกฎาคม 2564 อีก 1 ปีต่อมา ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดคดีจัดซื้อจัดจ้าง GT 200 และ Alpha 6 รวม 20 สำนวน จาก 25 สำนวน ส่วนใหญ่ผู้ถูกชี้มูลเป็นคณะกรรมการจัดซื้อจัดจ้าง และคณะกรรมการตรวจรับงานจ้างของหน่วยงานนั้นๆ ผมขอยกตัวอย่างให้ฟังสัก 5 หน่วยงาน

หน่วยงานแรก คือ กรมสรรพาวุธทหาร จัดซื้ออย่างน้อย 12 สัญญา มีนายทหารยศ "พลโท" 2 ราย ถูกชี้มูลความผิดทางวินัยฐานประมาทเลินเล่อเสียหายร้ายแรง ส่วนที่เหลือเป็นคณะกรรมการตรวจรับ ถูกชี้มูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และมาตรา 162 (1) (4) อย่างไรก็ดี ความผิดตามมาตรา 162 ขาดอายุความไปแล้ว นอกจากนี้ยังถูกชี้มูลผิดวินัยร้ายแรง

หน่วยงานที่สอง กรมสรรพาวุธทหารอากาศ จัดซื้ออย่างน้อย 7 สัญญา มีนายทหารระดับยศ "พลอากาศเอก" ถูกชี้มูล 1 ราย จัดซื้อ 1 ครั้ง ระดับ "พลอากาศตรี" 1 ราย จัดซื้อ 3 ครั้ง ระดับ "นาวาเอก" 1 ราย จัดซื้อ 1 ครั้ง ผิดวินัยร้ายแรงฐานประมาทเลินเล่อเสียหายร้ายแรง และคณะกรรมการตรวจรับครั้งที่ 2-7 ถูกชี้มูลผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และมาตรา 162 (1) (4) อย่างไรก็ดี ความผิดตามมาตรา 162 ขาดอายุความไปแล้ว และยังผิดวินัยร้ายแรงด้วย


หน่วยงานที่สาม สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ จัดซื้ออย่างน้อย 4 สัญญา มีคุณหญิงแพทย์หญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ถูกชี้มูลความผิดวินัยอย่างร้ายแรง กรณีการไม่ตั้งผู้ชำนาญการ อนุมัติเบิกจ่าย ไม่ส่งสำเนาสัญญา ในการจัดซื้อครั้งที่ 1 และ 3 และถูกชี้มูลความผิดทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 กรณีอนุมัติจัดซื้อไม่มีราคาครั้งหลังสุด และจัดซื้อแพงในการจัดซื้อครั้งที่ 2 ด้วย


หน่วยงานที่สี่ อำเภอเมืองนครปฐม จัดซื้ออย่างน้อย 1 สัญญา โดยผู้บริหารระดับสูงในอำเภอช่วงเวลาดังกล่าวถูกชี้มูลผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ผิดตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 (พ.ร.บ. ฮั้วฯ) มาตรา 10, 12 และผิดวินัยร้ายแรง คณะกรรมการเปิดซองสอบราคา ผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ผิดตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 (พ.ร.บ. ฮั้วฯ) มาตรา 10, 12 และผิดวินัยร้ายแรง

หน่วยงานที่ห้า จังหวัดสมุทรสงคราม จัดซื้ออย่างน้อย 1 สัญญา ผู้บริหารระดับสูงในจังหวัดขณะนั้น ผิดวินัยไม่ร้ายแรง อีกรายผิดวินัยร้ายแรง ส่วนคณะกรรมการเปิดซองสอบราคา ผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ผิดตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 (พ.ร.บ. ฮั้วฯ) มาตรา 10, 12 และผิดวินัยร้ายแรง คณะกรรมการตรวจรับ ผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และมาตรา 16 (1) (4)

จากนั้น ป.ป.ช. ก็ส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดส่งฟ้องร้องดำเนินคดีตามขั้นตอน โดยอัยการสูงสุดได้มีความเห็นสั่งฟ้องไปแล้ว 15 คดี

ประเด็นทั้งหมดนี้อยู่ที่ไหน ? ผมได้ตั้งข้อสังเกตไปตั้งแต่รายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ปีที่แล้ว เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2565 ตอนที่ 141 ว่า ส่วนใหญ่ผู้ที่ ป.ป.ช. ชี้มูลนั้น จะเป็นคณะกรรมการจัดซื้อจัดจ้าง และคณะกรรมการตรวจรับงานจ้างของหน่วยงานนั้น ส่วนผู้หลักผู้ใหญ่ระดับหัวหน้าหน่วยงานที่สั่งซื้อกลับไม่ผิด ไม่ว่าจะเป็นกองทัพบก ซึ่งในช่วง 2 ปี ระหว่างปี 2551-2552 มีการจัดซื้อ GT 200 รวมทั้งหมด 755 เครื่อง วงเงิน 680 กว่าล้านบาท ต้องถือว่ากองทัพบกเป็นหน่วยงานที่จัดซื้อ GT 200 มากที่สุด ซึ่งเป็นยุคที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ดำรงตำแหน่ง ผบ.ทบ. แต่ท่านกลับไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ เลยแม้แต่นิดเดียว เพราะอ้างเหตุผลว่า คณะกรรมการจัดซื้อจัดจ้างเป็นคนจัดซื้อจัดจ้าง มีคณะกรรมการตรวจรับ แต่ มีข้อแม้ตรงนี้นิดหนึ่ง หลายท่านคงพอทราบบ้าง

โดยหลักแล้ว ถ้าท่านผู้ชมที่อยู่ในวงการราชการ ตลอดจนหน่วยงานภาครัฐ จะต้องรู้ว่า คนที่นั่งอยู่ในคณะกรรมการจัดซื้อจัดจ้างร่วม 100 เปอร์เซ็นต์ จะได้รับ "ธง" จากผู้หลักผู้ใหญ่ว่าอันนี้โอเคนะ อันนี้ปล่อยผ่าน อันนี้ไม่โอเค โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีพิเศษ และการจัดซื้อจัดจ้างในกรณีเร่งด่วน

ท่านผู้ชมครับ ผู้ใหญ่ต้องเปิดไฟเขียว ผู้ใหญ่ระดับ ผบ.ทบ. อย่าง พล.อ.อนุพงษ์ ต้องเปิดไฟเขียว ถ้าไม่เปิดไฟเขียวจะทำไม่ได้

ด้วยเหตุนี้เอง จึงเป็นที่มาของการที่คุณหญิงพรทิพย์ ออกมาตั้งข้อสงสัยว่าทำไมเธอถึงโดนอยู่คนเดียว ทั้งๆ ที่ซื้อตามทหาร แต่นายทหารใหญ่ระดับผู้บริหารหน่วยงานอื่นๆ เช่น พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา หรือพลอากาศเอก แม่ทัพอากาศตอนนั้น ไม่โดนลงโทษด้วย

นอกจากนี้ สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ซื้อแค่ 3 เครื่อง หน่วยงานอื่นซื้อตั้งหลายร้อยเครื่อง รวมแล้วนับพันเครื่อง เพียงแต่สงสัยว่าในฐานะที่เป็นหัวหน้าหน่วยงานในขณะนั้น เราจัดซื้อเพียง 3 เครื่อง ทำไมถึงโดน ขณะที่หน่วยงานอื่น (หมายถึงกองทัพบก) จัดซื้อถึงพันเครื่อง ถึงไม่โดน


เรื่องนี้ คุณจตุพร พรหมพันธุ์ อดีตแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ตั้งข้อสังเกตไว้เมื่อวันที่ 9 มีนาคม ประมาณ 8 วันที่แล้ว อย่างน่าสนใจมาก

คุณจตุพร บอกว่า กรณีคุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ส.ว. ประกาศจุดยืนการเมือง ไม่เอาทั้งระบอบทักษิณ และระบอบประยุทธ์ ก็เลยถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช. ลงดาบ งัดคดีทุจริตจัดซื้อ GT 200 สมัยที่เป็น ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม ขึ้นมาไต่สวน คุณจตุพร บอกว่า คดีนี้ถูกดองไว้ 10 ปี เพิ่งจะมีมติในช่วงนี้ คุณจตุพร เลยเชื่อว่านี่คือการเชือดสั่งสอนกลุ่ม ส.ว. อย่าคิดเป็นอิสระ ตีตัวออกห่างจากอำนาจ 3 ป.


ตีตัวออกห่างอย่างไร ? ประมาณ 10 เดือนที่แล้ว วันที่ 23 พฤษภาคม 2565 คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ สมาชิกวุฒิสภา ได้ออกมาโพสต์ผ่านเฟซบุ๊กตัวเอง "Porntip Rojanasunan" รีวิวการทำหน้าที่เป็น ส.ว. ปีที่ 4 โดยเปิดใจว่า ระบบราชการชักช้า และยังต้องเกรงใจอำนาจมากมาย คุณหมอพรทิพย ระบุข้อความว่า

"เปิดสภาปีที่ทำหน้าที่เป็นปีที่ 4 ยังคงต้องใช้หลักธรรมเดินในเส้นทางเขาเพื่ออุดมการณ์เรา ประชุม ประชุม และก็ประชุม เสนออะไรใหม่นอกกรอบเป็นไปได้ยาก เลือกเป็นกรรมาธิการกระบวนการยุติธรรมที่ตรงความถนัด ก็ต้องถอยออกมา เพราะประธานเป็นตำรวจหย่าย ตั้งอนุกรรมาธิการก็เต็มไปด้วยตำรวจ พูดเรื่องความยุติธรรมได้ยาก เลยย้ายมาอยู่กรรมาธิการสิทธิมนุษยชนและคุ้มครองผู้บริโภค ได้เข้ามาอยู่ในฟันเฟืองของประชาธิปไตยแบบที่เกิดหลังการปฏิวัติ มีเป้าหมายที่บอกประชาชนว่ามีหน้าที่ปฏิรูป จะผลักดันให้สำเร็จ แต่ก็ขับเคลื่อนได้แบบระบบราชการ ที่นอกจากขับเคลื่อนช้าแล้วยังเกรงใจอำนาจต่างๆ ตลอดเวลา

คดีแตงโมเป็นอะไรที่ชัดเจนในประเด็นปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม แต่ทั้ง ส.ส.และ ส.ว.ต่างนิ่ง รวมไปถึงนายกรัฐมนตรีที่มีอีกบทบาทในการกำกับการทำงานของตำรวจ ผลการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. คงบอกอะไรได้พอควร ยิ่งเปิดสภารอบนี้ก็นับเป็นวาระที่คงวุ่นพอควร อะไรที่เคยสัญญาสังคมไว้ก็ลองทบทวนดู วันใดที่ลงจากอำนาจ ขยะใต้พรมจะถูกจัดการ"


ต่อมา วันที่ 19 มกราคม 2566 เมื่อ 2 เดือนที่ผ่านมา คุณหมอพรทิพย์ยังเขียนข้อความผ่านอินสตาแกรมพุ่งเป้าไปที่การบริหารงานของ พล.อ.ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี ที่มีต่อปัญหาทุจริตคอร์รัปชันภายในประเทศ มีความว่า

"ต้องกลับมาเขียนเรื่องนี้อีกครั้ง เพราะความนิ่งเฉยของนายกต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในหลายหน่วยงาน กรณีตู้ห่าวที่พลิกให้เห็นขยะใต้พรมตั้งแต่การแทรกซึมยึดแผ่นดินของคนต่างด้าวด้วยการทุจริตและด้วยความอ่อนแอของคนไทยทุกภาคส่วน เดิมทีคนพม่ายึดธุรกิจแผงลอยในตลาด และกิจการหลายอย่าง เราคุมการเคลื่อนย้ายแรงงานที่ทะลักเข้ามาไม่ได้ ตามมาด้วยเรื่องคนจีนที่ก็ทะลักเข้ามาพร้อมการแทรกที่จุดโหว่ของระบบราชการไทยและคนไทย

กรณีการจ่ายส่วยในการเลื่อนตำแหน่งที่รู้กันว่ามีในหลายหน่วยงาน ขนาดจับเงินสดได้จำนวนมหาศาลยังทำอะไรไม่ได้

กรณีการใช้อำนาจเข้าตรวจค้นแล้วยักยอกเงินของกลางซึ่งมีมานาน หัวหน้าล้่วนเอาหูไปนาเอาตาไปไร่หรือร่วมกินด้วยเลย

กรณีการแก้ปัญหาในระบบราชการด้วยการย้ายไปแขวน ย้ายสลับที่ไม่เคยมีระบบให้สังคมได้ติดตามมีส่วนร่วม เมื่อมีข่าวอื่นแทรก ผู้คนเริ่มลืม คนเหล่านี้ก็กลับเข้าสู่ตำแหน่ง แต่อะไรก็ไม่เท่ากับย้ายคนสีเทาไปไว้ในหน่วยงานอื่น ทำให้บึคลากรดีๆ ต้องเสียขวัญเสียกำลังใจเพราะเป็นที่พักรอเวลา

ผู้คนในปัจจุบันไม่รักษาและไม่ศรัทธาธรรม ถูกพลังความชั่วฉุดให้ทำชั่วได้ง่าย รวมทั้งคนที่ไม่ได้ร่วมทำชั่วต่างเกรงและกลัวที่ออกมาจัดการหรือต่อสู้ กลายเป็นฝ่ายหลบลี้หนีภัย ล้วนทำให้มีการแผ่อำนาจความชั่วร้ายเต็มไปหมด

เสียดายที่ผู้นำตั้งใจเดินต่อในสายการเมืองจึงเงียบต่อสิ่งเลวร้ายเหล่านี้"

ผมก็ขอตั้งคำถามเช่นเดียวกับคุณตู่ จตุพร พรหมพันธุ์ ว่า การแสดงทัศนะเช่นนี้ของสมาชิกวุฒิสภา เช่น คุณหญิงแพทย์หญิงพรทิพย์ ใช่หรือไม่ เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เธอถูกเชือดจาก ป.ป.ช. ในฐานะที่ตั้งคำถาม และแสดงความกระด้างกระเดื่องกับระบอบประยุทธ์ในปัจจุบัน ในหรือเปล่าครับ

 ชี้เป้า ใครสั่งถอนหมายจับ "ส.ว.ทรงเอ"

ท่านผู้ชมครับ วันศุกร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2566 ผมได้เปิดแผนผังอาณาจักรพนันออนไลน์ไทยเทาผังใหญ่ ที่ชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างนายทุนพนันออนไลน์ เครือข่ายการฟอกเงิน ลอตเตอรี่ออนไลน์ บ่อนคริปโต ตำรวจน้อยใหญ่ เจ้าหน้าที่ทั้งตำรวจไซเบอร์ ดีเอสไอ ปปง. กระทรวงดีอีเอส นักการเมือง และพรรคการเมือง และที่ผมพูดนั้นโยงใยไปถึงขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ ทั้งเครือข่ายคอลเซ็นเตอร์ ล็อบบี้ยิสต์ นักการเมืองประเทศเพื่อนบ้าน ขบวนการค้ายาเสพติด


แผนผังนี้ ที่รายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" รายการเดียวเท่านั้นที่มี เพราะว่าหลักการเวลาในการทำงานสื่อสารมวลชนของผมก็คือ ไม่ได้เลือกว่าใครเป็นคนของใคร แต่เรานำเสนอข้อเท็จจริง เพราะฉะนั้นเมื่อข้อมูลหลักฐานเชื่อมโยงไปถึงคนไหน ผมก็จะไม่ลังเลและไม่ละเว้นที่จะใส่เข้ามาในฐานข้อมูล โดยไม่ได้เลือกเปิดโปงหรือกล่าวถึงเฉพาะข้างใดข้างหนึ่ง หรือคนใดคนหนึ่ง

ซึ่งเมื่อผมเปิดแผนผังพนันออนไลน์ไทยเทา มีส่วนหนึ่งไปเกี่ยวพันและเชื่อมโยงกับฝ่ายนิติบัญญัติ หรือสมาชิกวุฒิสภาที่ชื่อ นายอุปกิต ปาจรียางกูร กับการจับกุมเครือข่ายยาเสพติดใหญ่ที่ใช้ชื่อเครือข่ายอัลลัวร์ ของนายตุนมินลัต และลูกเขยของนายอุปกิต ที่ชื่อ นายดีน ยัง จุลธุระ สามีของนางอดิศรา จุลธุระ ลูกสาวของคุณอุปกิต


พอวันศุกร์ที่แล้ว 10 มีนาคม รายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ผมได้เปิดเผยผังเครือข่ายการพนัน โยงถึงคุณอุปกิต ปาจรียางกูร ซึ่งมีเงินร่ำรวยหลายพันล้าน และกล่าวอ้างอิงไปถึงการโยกย้ายตำรวจระดับนายพันของกองบัญชาการตำรวจนครบาล 4 นาย ที่ทำคดีนี้ จนได้รับการยอมรับ สามารถขยายผลไปถึงเครือข่ายของนายอุปกิต ปาจรียางกูร แต่ตำรวจทั้งหมดนี้กลับถูกโยกย้ายออกจากตำแหน่ง ตัดสายสัมพันธ์ไม่ให้โยงเกี่ยวข้องกับคดีต่างๆ ก็คือไม่ให้ทำต่อไปแล้ว กระเด็นกระดอนไปคนละทาง อีกทั้งบางคนยังเป็นการโยย้ายนอกฤดูกาล และโยกย้ายข้ามภาคด้วย

นายตำรวจ 4 คนนี้ คนที่หนึ่ง คือ พ.ต.อ.กฤศณัฏฐ์ ธนศุภณัฏฐ์ ผู้กำกับการ กองกำกับการสืบสวนสอบสวน 2 กองบังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล หัวหน้าทีมตำรวจชุดจับกุมนายตุนมินลัต เดิมมีคำสั่งย้ายไป สภ.บ้านเดื่อ จังหวัดชัยภูมิ มีผลตั้งแต่ 1 กุมภาพันธ์ 2566

คนที่สอง วันที่ 31 มกราคม 2566 มีผลตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566 ให้ พ.ต.ท.สุชาติ มงคลพิพัฒน์ รองผู้กำกับการ กองกำกับการสืบสวนสอบสวน 4 กองบังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล ซึ่งเคยเป็นรองหัวหน้าชุดจับกุมนายตุนมินลัต ย้ายไปรับตำแหน่งรองผู้กำกับการปราบปราม สภ.ตาพระยา จังหวัดสระแก้ว ซึ่งเป็นสถานีตำรวจภูธรริมชายแดน

คนที่สาม พ.ต.ท.ชำนาญยุทธ ก้อนฆ้อง สารวัตร กองกำกับการสืบสวนสอบสวน 2 กองบังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล มีคำสั่งถูกย้ายไปเป็นสารวัตรสอบสวน สถานีตำรวจนครบาลดอนเมือง


คนสุดท้าย คือ พ.ต.ท.มานะพงษ์ วงศ์พิวัฒน์ สารวัตร กองกำกับการสืบสวนสอบสวน 2 กองบังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล ถูกคำสั่งย้ายไปเป็นสารวัตรสืบสวนสอบสวน สถานีตำรวจนครบาลพญาไท ถึงแม้ว่าจะได้ตำแหน่งเดิม และ สน.พญาไท ถือว่าเป็นโรงพักเกรด A แต่ว่าเบื้องหลังคือการตัดสายสัมพันธ์ ตัดทิ้งเลย ไม่ให้มาทำคดีนี้อีกต่อไป

ในวันเดียวกัน ในวันศุกร์ที่ 10 มีนาคม ที่ผมออกรายการ ต่อวันเสาร์ 11 มีนาคม ที่ผ่านมา ในโลกออนไลน์มีการเปิดเผยจดหมายฉบับหนึ่งเกี่ยวกับคดีดังกล่าว จดหมายนั้นชื่อ เรื่อง ชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการร้องขอออกหมายจับนายอุปกิต ปาจรียางกูร และการเพิกถอนหมายจับ จาก พ.ต.ท.มานะพงษ์ วงศ์พิวัฒน์ นี่คือนายตำรวจคนที่สี่ที่ผมบอกว่าถูกย้ายอย่างมีเงื่อนงำ

โดยจดหมายฉบับนี้ คุณมานะพงษ์ เขียนถึง นายปุณณะ จงนิมิตสถาพร ผู้พิพากษาศาลฎีกา และกรรมการตุลการศาลยุติธรรม ลงวันที่ 5 มีนาคม จดหมายนี้มีความยาว 7 หน้ากระดาษ จำนวน 27 ข้อ แจกแจงเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับที่มาของคดี จนนำมาสู่การขอออกหมายจับนายอุปกิต ของ พ.ต.ท.มานะพงษ์ ซึ่งตัวเต็มๆ ท่านผู้ชมน่าจะหาอ่านจากสื่อต่างๆ ได้ไม่ยาก และในโซเชียลมีเดีย โดยเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ผมข้อสรุปเป็นหัวข้อจำนวน 8 หัวข้อ เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายและกระชับ ดังนี้

ข้อที่หนึ่ง วันที่ 3 ตุลาคม 2565 เจ้าหน้าที่ตำรวจกองกำกับการสืบสวนสอบสวน 2 กองบังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล ได้ยื่นคำร้องต่อศาลอาญา เพื่อขออนุมัติหมายจับ นายอุปกิต ปาจรียางกูร สมาชิกวุฒิสภา และศาลก็ได้อนุมัติหมายจับ ตามหมายจับศาลอาญา ที่ จ. 554/2565


ข้อที่สอง วันเดียวกันนั้น ศาลเพิกถอนหมายจับ โดยอ้างว่านายอุปกิต มีตำแหน่งเป็น ส.ว. เชื่อว่าไม่มีพฤติการณ์หลบหนี ตามกระบวนการพิจารณา ยจ. 2329/2565

ข้อที่สาม อย่างไรก็ตาม ระหว่างวัน ในวันที่ 3 ตุลาคม ที่มีการอนุมัติหมายจับและเพิกถอนหมายจับ พ.ต.ท.มานะพงษ์ ได้เล่าถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นมากมาย ดังนี้

ช่วงเช้า 09.30 น. พ.ต.ท.มานะพงษ์ พร้อมทีมงาน ได้เดินทางไปศาลขออนุมัติหมายจับ เนื่องจากก่อนหน้านที่จะขอหมายจับ มีนายตำรวจระดับสูงพยายามล็อบบี้ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจตัดชื่อ ส.ว.อุปกิต ออกจากคดี แม้ว่าทางตำรวจจะมีหลักฐานมากเพียงพอที่จะดำเนินคดี จึงเชื่อว่ามีผู้เจตนาขัดขวางไม่ให้ ส.ว.อุปกิต เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม

ต่อมา ผู้พิพากษาเวรได้เรียก พ.ต.ท.มานะพงษ์ มาไต่สวนถึงรายละเอียด และในที่สุดเมื่อเห็นรายละเอียดแล้วก็เลยอนุมัติหมายจับและหมายค้น ในเวลา 11.00 น.

พ.ต.ท.มานะพงษ์ และทีมงาน ยืนยันว่า การขอหมายจับและหมายค้นนั้น ชอบด้วยกฎหมายทุกประการ ทั้งยังเป็นการขอหมายจับนอกสมัยประชุม โดยวันที่ 3 ตุลาคมนั้น เป็นเวลาที่นอกสมัยประชุมสภา

ต่อมา เวลา 12.00 น. เมื่อได้หมายจับ พ.ต.ท.มานะพงษ์ และทีมงาน ก็กลับถึงที่ทำงาน และประสานงานให้สำนักงาน ป.ป.ส. ประสานแจ้งข้อกล่าวหาและลงประกาศสืบจับ ส.ว.อุปกิต ในระบบ Crimes ซึ่งเป็นระบบออนไลน์ของตำรวจ พอนำข้อมูลใส่ในระบบเท่านั้นเอง

เวลา 13.30 น. ก็มีโทรศัพท์จากเจ้าหน้าที่ศาล เรียกให้ พ.ต.ท.มานะพงษ์ กับทีมงาน นำหมายจับฉบับจริงและเอกสารต่างๆ จำนวน 2 ลัง กลับไปที่ศาลอีกครั้งหนึ่ง

14.00 น. เมื่อ พ.ต.ท.มานะพงษ์ กับทีมงาน ถูกเรียกขึ้นไปพบกับรองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาที่ห้องทำงาน โดยระหว่างนั้นได้มีนายตำรวจระดับสูง ซึ่งเป็นอดีตผู้บังคับบัญชาของ พ.ต.ท.มานะพงษ์ โทรศัพท์มาสอบถามว่า เหตุใดจึงขอออกหมายจับ ส.ว.อุปกิต ซึ่งแหล่งข่าวยืนยันว่าตำรวจที่โทรมานั้นก็คือ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข จะจริง/เท็จอย่างไรไม่รู้ แต่นี่คือข้อมูลที่ผมสืบมา


เมื่อไปถึงรองอธิบดีศาลอาญา พ.ต.ท.มานะพงษ์ กับทีมงาน ก็ถูกเรียกไปห้องทำงานของอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา ในการเรียกเข้าไปพบนี้ ท่านรองอธิบดีฯ ต่อว่า พ.ต.ท.มานะพงษ์ ว่า ตำรวจกำลังจะล้มอำนาจนิติบัญญัติของประเทศ

พ.ต.ท.มานะพงษ์ เขียนในจดหมายว่า ได้พูดในทำนองต่อว่าข้าพเจ้าว่า เหตุใดจึงมาขอออกหมายจับสมาชิกวุฒิสภา และหาว่าข้าพเจ้าจะล้มอำนาจนิติบัญญัติของประเทศ

พ.ต.ท.มานะพงษ์ อธิบายต่อว่า การร้องขอออกหมายจับ ส.ว.อุปกิต ก็เพราะคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดและการฟอกเงินนี้มีอัตราโทษสูงสุดถึงประหารชีวิต ซึ่งผู้พิพากษาเวรก็เห็นชอบและอนุมัติตามคำร้อง

ข้อห้า หลังจากที่มีการหารือระหว่างอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา และรองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา โดยลับแล้ว พ.ต.ท.มานะพงษ์ ได้ถูกเรียกเข้าไปพบอีกครั้ง อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาได้ถามว่ามีความเห็นอย่างไร หากจะถอนหมายจับนายอุปกิต ซึ่ง พ.ต.ท.มานะพงษ์ ตอบว่า ถ้าวันดังกล่าวมีการถอนหมายจับนายอุปกิต พ.ต.ท.มานะพงษ์ ก็เชื่อว่าจะไม่มีการดำเนินคดีกับนายอุปกิต ทั้งๆ ที่มีหลักฐานชัดเจน และเชื่อได้ว่า อาจมีการล้มคดี ซึ่งในที่สุดแล้ว อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาตัดสินใจให้มีการถอนหมายจับ


หลังจากนั้น อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาได้ขอโทษ พ.ต.ท.มานะพงษ์ แทนรองอธิบดีฯ ที่ใช้กริยาวาจาไม่เหมาะสม

พ.ต.ท.มานะพงษ์ บอกว่า ตลอดระยะเวลาที่ได้พูดคุยกัน ท่านอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาได้แจ้งให้ข้าพเจ้าทราบว่า ตนเพิ่งมารับตำแหน่งวันแรก หากไม่มีการถอนหมายจับ ผู้ใหญ่น่าจะตำหนิอย่างแน่นอน ซึ่งข้าพเจ้าไม่ทราบว่า "ผู้ใหญ่" ที่ท่านอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญากล่าวนั้นคือใคร

นับตั้งแต่วันที่ 3 ตุลาคม จนถึงวันนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทำคดีต่อก็ไม่เคยมีการออกหมายเรียกนายอุปกิตมารับทราบข้อกล่าวหาแต่อย่างใด ก็ตรงตามที่ พ.ต.ท.มานะพงษ์ พูดว่า ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว อีกหน่อยนายอุปกิตก็จะหลุดพ้นจากคดีนี้ ทั้งๆ ที่หลักฐานโยงใยถึงนายอุปกิตอย่างเต็มที่

ข้อแปด วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2566 พ.ต.ท.มานะพงษ์ และผู้บังคับบัญชา ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการดำเนินคดีนายอุปกิต สมาชิกวุฒิสภา ก็เลยถูกย้ายกระเด็นกระดอนไปดำรงตำแหน่งอื่น นอกจากกองกำกำกับการสืบสวน 2 กองบังคับการสืบสวนสอบสวน 2 กองบัญชาการตำรวจนครบาล ทั้งที่ไม่ได้สมัครใจและไม่มีความผิด จึงเชื่อได้ว่าการโยกย้ายดังกล่าวมีเจตนาให้ พ.ต.ท.มานะพงษ์ และพวก ไม่สามารถยุ่งเกี่ยวกับคดีของนายอุปกิตได้อีก

พ.ต.ท.มานะพงษ์ ทิ้งท้ายในจดหมายฉบับดังกล่าวว่า การประวิงเวลาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติในการดำเนินคดีกับนายอุปกิต ปาจรียางกูร ในครั้งนี้ ได้ก่อให้เกิดผลเสียต่อความศรัทธาของประชาชนในกระบวนการยุติธรรม และการเพิกถอนหมายจับด้วยเหตุผลที่ว่า ผู้ถูกออกหมายจับเป็นบุคคลสำคัญ เป็นการทำลายหลักการที่ว่า "บุคคลย่อมเสมอภาคภายใต้กฎหมาย"


สาเหตุที่ข้าพเจ้าไม่ได้ร้องเรียนเรื่องนี้มายังคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม เนื่องจากข้าพเจ้าเกรงว่าผู้พิพากษาเวรจะเดือดร้อนจากการถูกแทรกแซงโดยใช้ดุลพินิจจากผู้บังคับบัญชา

ท่านผู้ชมครับ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่เทียมฟ้า ประเด็นอยู่ที่ไหน ? ประเด็นอยู่ที่จดหมายฉบับนี้สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่ววงการยุติธรรม ทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ มีตำรวจ อัยการ ผู้พิพากษา และคนในแวดวงกฎหมาย โทรศัพท์มาหาผมเต็มไปหมด เพราะอะไร ? เพราะถ้าเราไม่ทำเรื่องนี้ให้กระจ่าง ผมคงต้องบอกว่า 1 ใน 3 เสาหลักของประเทศชาติ คือระบบยุติธรรม น่าจะล่มสลาย และคงจะไม่มีใครเชื่อถืออีกต่อไป ทั้งประชาชน และคนในวงการยุติธรรม

ท่านผู้ชมครับ คำถามที่สำคัญคือ ทำไมนายอุปกิต ปาจรียางกูร สมาชิกวุฒิสภา วัย 61 ปี ถึงเข้าไปอยู่ในแผนผังอาณาจักรพนันออนไลน์ทุนไทยเทา ซึ่งเกี่ยวกับเกมอำนาจทางการเมืองในปัจจุบันด้วย ? ผมเคยพูดไปในตอนที่แล้ว ว่า ประการแรก เราปฏิเสธไม่ได้เลยว่านายอุปกิตมีตำแหน่งเป็นสมาชิกวุฒิสภา มาจากอำนาจการคัดเลือกและการแต่งตั้งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

ประการที่สอง การขยายผลการจับกุมเครือข่ายยาเสพติดและฟอกเงินของพม่า คือนายตุนมินลัต และ นายดีน ยัง จุลธุระ ลูกเขยของ ส.ว.อุปกิต เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2565 โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาล ได้เชื่อมโยงไปยังเครือข่ายบ่อนอัลลัวร์ และคนใกล้ชิดนายอุปกิตนั้น มีความเชื่อมโยงอย่างชัดเจนกับนายเอ๊ดดี้ พันณรงค์ ขุนพิทักษ์ ผู้ทำเว็บพนันออนไลน์รายใหญ่ 1 ใน 3 ของประเทศไทย แต่มีนายตำรวจใหญ่สนับสนุนการพนันออนไลน์ของนายเอ๊ดดี้ ทำให้นายเอ๊ดดี้ และพรรคพวก ประกอบไปด้วย ไข่เจียว นายคมสัน รุกขพันธ์ และ พีท หรือปีเตอร์ วริศ ลิ่มอติบูลย์ สามารถหนีไปอยู่อังกฤษ ท่านผู้ชมคงยังพอจำได้ที่ผมระบุว่าเครือข่ายนายเอ๊ดดี้นั้น เชื่อมโยงกับ นอท กองสลากพลัส


นอกจากนี้ ตอนที่ออกหมายจับเอ๊ดดี้ นายพันณรงค์ ขุนพิทักษ์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติก็บกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่ โดยการปล่อยให้เอ๊ดดี้ พันณรงค์ ขุนพิทักษ์ และบุคคลในเครือข่าย หลบหนีไปอยู่ต่างประเทศได้สำเร็จ

ตารางด้านล่างคือรายละเอียดที่สำนักข่าวอิศรารวบรวมมา เกี่ยวกับผู้ถือหุ้นบริษัท อัลลัวร์ กรุ๊ป ซึ่งเกี่ยวพันระหว่างนายอุปกิต ปาจรียางกูร นายชาคริส กาจกำจรเดช บุคคลซึ่งนายอุปกิตอ้างต่อ ป.ป.ช. ว่าเป็นผู้ซื้อกิจการโรงแรมอัลลัวร์ ต่อจากตนเอง นายดีน ยัง จุลธุระ ลูกเขยของนายอุปกิต ผู้ถือหุ้นอีกคนหนึ่งคือ นายพันณรงค์ ขุนพิทักษ์ เอ๊ดดี้ เจ้าพ่อเครือข่ายพนันออนไลน์รายใหญ่ของประเทศไทย จนในที่สุดนำมาสู่การดำเนินคดีต่อเนื่องของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งเชื่อมโยงไปถึงผู้เกี่ยวข้อง รวมทั้งนายอุปกิตด้วย


ประการที่สาม ประเด็นนี้หลายคนพูดตั้งแต่การประชุมสภาผู้แทนราษฎรในเดือนกุมภาพันธ์ 2566 ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น ? ปัจจุบันก็ไม่มีการตามต่ออีกแล้ว คือประเด็นความเชื่อมโยงระหว่าง ส.ว.อุปกิต กับพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งปัจจุบันเป็นพรรคที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีสถานภาพเป็นสมาชิกพรรคอยู่

ท่านผู้ชมครับ หลักฐานเชิงประจักษ์ที่ระบุถึงความเชื่อมโยงระหว่าง ส.ว.อุปกิต กับพรรครวมไทยสร้างชาติ ก็คือตึกที่ทำการพรรครวมไทยสร้างชาติ ในซอยอารีย์ 3 ที่ทำการอยู่เลขที่ 35/3 ซอยอารีย์ 5 แขวงพญาไท กรุงเทพมหานคร ย้ายมาตั้งแต่วันที่ 3 สิงหาคม 2565

เมษายน 2563 บริษัท ยูไนเต็ด เพาเวอร์ ออฟ เอเชีย ซึ่งเคยมีนายอุปกิตเป็นผู้บริหารและถือหุ้นใหญ่กว่า 24 เปอร์เซ็นต์ ในช่วงปี 2558-2562 โดยขายออกไปก่อนที่เขาจะเข้ามารับตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาในปี 2562 ซึ่งได้ซื้อที่ดินผืนนี้มาจากเอกชน


เรามาตามไทม์ไลน์กันนิด มกราคม 2564 ยูไนเต็ด เพาเวอร์ ออฟ เอเชีย เริ่มสร้างอาคารแล้ว จนเสร็จ ต่อมาสิงหาคม ปีเดียวกัน (2564) ยูไนเต็ด เพาเวอร์ ออฟ เอเชีย ขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนี้ให้กับ ส.ว.อุปกิต

29 กรกฎาคม 2565 พรรครวมไทยสร้างชาติ เช่าตึกบนที่ดินดังกล่าว ขนาด 150 ตารางวา เป็นที่ทำการพรรค

3 สิงหาคม 2565 พรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดตัวโลโก้พรรค ที่ทำการพรรคใหม่ โดยย้ายจากซอยเพชรเกษม 18 แขวงท่าพระ เขตบางกอกใหญ่ มายังซอยอารีย์ 5 ถนนพญาไท

9 มกราคม 2566 พล.อ.ประยุทธ์ สมัครเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ


ทั้งหมดนี้ผมต้องขอชื่นชมคุณอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม และคุณรังสิมันต์ โรม ส.ส. พรรคก้าวไกล ที่เกาะติดเรื่องนี้มาตลอด โดยไม่เกรงกลัวคำขู่และการฟ้องร้องจาก ส.ว.อุปกิต เลย

อย่างไรก็ตาม ไม่ต้องไปถามเรื่องคดี ส.ว.อุปกิต หรือกรณีพรรครวมไทยสร้างชาติ กับคุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ นะ อย่าไปถาม เพราะผมเชื่อว่าเขาคงไม่สะดวกใจที่จะพูดเรื่องนี้ เขาพอใจที่จะหยุดที่คดีตู้ห่าวเท่านั้น

ท่านผู้ชมครับ ท่านนายกฯ ท่านพูดออกมาคำหนึ่ง ประโยคหนึ่ง อ้างว่าปฏิบัติตามกฎหมายให้เต็มที่ แต่ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าล่วงเวลามา 4 เดือนแล้ว ยังไม่มีหมายเรียกหรือหมายจับออกเลย คือย้ายตำรวจทั้ง 4 คนออก ดึงหมายจับกลับมา ยกเลิกหมายจับ แล้วในการยกเลิกหมายจับ บอกให้ออกหมายเรียก ปรากฏว่าตำรวจไม่ออกหมายเรียกเลยแม้แต่นิดเดียว 4 เดือนแล้ว แปลว่าอะไร ? แปลว่าผู้หลักผู้ใหญ่ คนมีอำนาจ ทั้งขบวนต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ จงใจจะตัด ส.ว.อุปกิต ให้ออกจากการเป็นจำเลยในคดีนี้ เพราะถ้าไม่มีหมายเรียกมา ส.ว.อุปกิต ก็ไม่ได้เป็นจำเลย ก็แช่ไว้อย่างนี้ ปล่อยไปเลย

16 กุมภาพันธ์ 2566 ผมจะย้อนข้อมูลนิดหนึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กล่าวชี้แจงในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร กรณีการออกหมายเรียกนายอุปกิต ปาจารียางกูร ส.ว. ของพนักงานสอบสวน บช.ปส. อ้างว่าเรื่องนี้กองบัญชาการตำรวจนครบาล และกองบัญชาการปราบปรามยาเสพติด ได้มีการสืบสวนจับกุมผู้ต้องหาที่มีส่วนเกี่ยวข้อง พัวพัน และสามารถขยายผลคดีได้หลายราย บางรายก็หลบหนี ซึ่งพนักงานสอบสวนได้ออกหมายจับและติดตามจับกุมมาได้ บางรายหลบหนีอยู่ ก็ยังสืบสวนเพื่อต้องจับกุมให้ได้

ส่วนที่สมาชิกมาอภิปรายว่ามี ส.ว. เข้าไปเกี่ยวข้องพัวพันนี้ ท่านนายกฯ บอกว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งฝ่ายสืบสวนและสอบสวนได้ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ กฎหมาย ป. วิ อาญา ส่วนการเพิกถอนหมายจับเป็นดุลพินิจของฝ่ายตุลาการ ซึ่งมีความเห็นให้ออกเป็นหมายเรียกออกมาก่อน


ท่านผู้ชมครับ ผมไม่อยากจะขอไปก้าวกายความเห็นนี้ เนื่องจากไม่ใช่การปฏิบัติการของฝ่ายบริหาร แต่เป็นเรื่องความผิดนอกราชอาณาจักรที่พนักงานสอบสวนต้องทำการสอบสวนร่วมกับพนักงานอัยการ ที่อัยการสูงสุดมอบหมายให้ตามกฎหมาย จึงต้องมีการสอบสวน รวบรวมพยานหลักฐานให้รัดกุมรอบคอบก่อน เมื่อพบว่าใครเกี่ยวข้องจะออกหมายเรียก ซึ่งจะออกตอนไหน อย่างไรนั้น เป็นดุลพินิจและการปฏิบัติของพนักงานสอบสวน ตามกฎหมาย ป. วิ อาญา ซึ่งคดียังอยู่ในระหว่างการสอบสวนและยังอยู่ภายในอายุความ

ถ้าออกหมายเรียก ภายใน 15 วัน ไม่มาพบพนักงานสอบสวน เจ้าหน้าที่ก็มีเหตุออกหมายจับ เพราะฉะนั้นไม่มีใครไปเอื้อประโยชน์หรือช่วยเหลือแต่อย่างใด เพราะเป็นการปฏิบัติตามกฎหมาย นั่นคือสิ่งที่ท่านนายกฯ พูด

ประเด็นอยู่ที่ไหน ? ประเด็นอยู่ที่ว่า ท่านนายกฯ จะพูดอย่างไรก็พูดไป เพราะกาลเวลาได้พิสูจน์แล้วว่า หลังจากที่ท่านพูดตอบคำถามในสภาฯ ไป ผ่านมา 1 เดือนแล้ว ถึงวันนี้ยังไม่มีการออกหมายเรียกหรือหมายจับ ส.ว.อุปกิต แต่อย่างใด คนที่จะออกหมายเรียกได้ก็คือตำรวจ ก็ในเมื่อตำรวจที่ทำคดีถูกกลั่นแกล้ง ย้ายกระเด็นกระดอนไป และไม่ให้เกี่ยวข้องกับคดีเก่า ตำรวจที่รับผิดชอบต่อไป ก็ไม่ออกหมายเรียก ได้รับอิทธิพลทางการเมืองจากผู้บริหารประเทศ จะเป็นท่าน พล.อ.ประยุทธ์ หรือเปล่า ผมไม่รู้

ท่านผู้ชมครับ เรื่องนี้เป็นแค่บทหนึ่งของการเปิดโปงขบวนการทุนสีเทาที่แทรกซึมเข้าไปสู่การเมือง เชื่อมโยงไปถึงอาณาจักรพนันออนไลน์ไทยเทา อย่างที่ท่านผู้ชมอาจจะคิดไม่ถึง หลายเรื่องเกี่ยวกับขบวนการยาเสพติด ขบวนการยาไอซ์ ขบวนการตู้ม้า ขบวนการนายตำรวจเจ้าของบ่อนชายแดน ที่ผมพูดไป 2-3 ปีที่แล้ว ล้วนแต่เชื่อมโยงกับเรื่องนี้ทั้งหมด

ท่านผู้ชมลองเข้าไปดูรายการ SONDHI TALK ตอนเก่าๆ ซึ่งผมและทีมงานได้รวบรวมเอาไว้ตลอด 3 ปีกว่าที่ผ่านมา หาฟังได้ที่นี่ที่เดียว


ท่านผู้ชมครับ เรามารู้จักกับคุณอุปกิต ปาจรียางกูร กันนิดหนึ่ง คุณอุปกิต ปาจารียางกูร ชื่อเล่นชื่อ เสี่ยอู เป็นบุตรชายนายอุปดิศร์ ปาจรียางกูร อดีตรัฐมนตรีฯ ต่างประเทศ 3 สมัย สมัยคุณธานินทน์ กรัยวิเชียร เกิด 28 ตุลาคม 2504 ปัจจุบันอายุ 61 จบปริญญาตรีจากรัฐศาสตรบัณฑิต Skidmore College, Saratoga Springs ที่นิวยอร์ก ปริญญาโทด้านการพัฒนาอุตสาหกรรม จากประเทศเบลเยียม

คุณอุปกิตเป็นนักธุรกิจฝั่งท่าขี้เหล็ก มีชื่อเป็นกรรมการผู้จัดการ บริษัท เมียนมาร์ ยูพีเอ ตั้งอยู่ที่กรุงเนปิดอวร์ จดทะเบียนในปี 2559 ก่อนจะได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาในวันที่ 24 พฤษภาคม 2552 ได้ยื่นลาออกจากบอร์ดบริษัท ยูไนเต็ด เพาเวอร์ ออฟ เอเชีย จำกัด ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินและอาคารในซอยอารีย์ และเอามาขายต่อให้คุณอุปกิตเป็นส่วนตัว

คุณอุปกิตเมื่อลาออกแล้วก็ล้างพอร์ตหุ้น 600 ล้านบาท รวมทั้งขายโรงแรมอัลลัวร์ รีสอร์ท โฮเต็ล ท่าขี้เหล็ก ประเทศพม่า ให้กับนักธุรกิจไทยรายหนึ่ง คือ นายชาคริส กาจกำจรเดชร ในราคา 8,150,000 เหรียญสหรัฐ คิดเป็นเงินไทยกว่า 251 ล้านบาท เพราะเกรงจะถูกครหาเมื่อมารับตำแหน่งเป็น ส.ว.


จากการเปิดบัญชีทรัพย์สินฯ ของนายอุปกิต มีทรัพย์สินกว่า 1,700 ล้านบาท มีหนี้สินทั้่งหมดแค่ 48 ล้านบาท มีรายได้รวม 566 ล้าน 9 แสนกว่าบาท มีรายจ่ายรวม 6 ล้าน 4 แสนบาท เคยขายพระเครื่อง 1 องค์ ให้กับเซียนพระในราคา 30 ล้านบาท ก่อนจะถูกขายต่อให้กับนายวิชัย ศรีวัฒนประภา เจ้าของคิงเพาเวอร์ ในเวลาต่อมา

ชีวิตส่วนตัว นายอุปกิต ปาจรียางกูร เป็นอดีตสามีของคุณเอ๋ ปารีณา ไกรคุปต์ มีบุตรด้วยกัน 3 คน แต่ปัจจุบันได้หย่าร้างกันไปแล้ว

ท่านผู้ชมครับ เมื่อวันพุธที่ 15 มีนาคม ที่ผ่านมา พล.ต.อ.วินัย ทองสอง นายกสมาคมตำรวจ พล.ต.อ.ศักดา เตชะเกรียงไกร นายกสมาคมโรงเรียนนักเรียนนายร้อยตำรวจ และ พล.ต.ต.ไพโรจน์ กุจิรพันธ์ นายกสมาคมพนักงานสอบสวน ได้ร่วมกันออกแถลงการณ์กรณีการถอนหมายจับ ส.ว.อุปกิต แบบมีข้อกังขา ซึ่งมีประเด็นสำคัญอยู่ประมาณ 2-3 ประเด็น


ประเด็นข้อแรก ท่านสามนายกสมาคมที่เกี่ยวข้องกับการสอบสวนตำรวจ ประเด็นที่หนึ่ง คดีเดิม ที่ผมเล่าให้ฟังในรายการว่า พ.ต.ท.มานะพงษ์ ในฐานะเจ้าหน้าที่สืบสวน ได้เคยมาดำเนินการออกหมายจับนายตุนมินลัต กับพรรคพวก รวม 9 คน ซึ่งต่อมาได้มีการจับกุมผู้ต้องหามาดำเนินคดีแล้ว 5 คน ดังนั้น ตำรวจไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน หรือพนักงานสอบสวน ย่อมมีอำนาจร้องขอให้ศาลออกหมายจับได้ หากเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้องกับการสืบสวนสอบสวนคดีที่ร้องขอหมายจับนั้น แต่ต้องมาให้ท่านผู้พิพากษาสอบถามก่อนที่จะออกหมายจับ ซึ่งก็ทำตามกติกาเรียบร้อยแล้ว

ประเด็นที่สอง การขอออกหมายจับของเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนในข้อหาสมคบกันกระทำความผิดเกี่ยวกับคดียาเสพติด ปัจจุบันการออกหมายจับต้องมีการนำข้อมูลมาลงในระบบ CRIME ของตำรวจ ซึ่งจะทำการเชื่อมข้อมูลไปยังระบบของศาล ทำให้ปัญหาการออกหมายลอยไม่อาจเกิดขึ้นได้

ประเด็นที่สาม อำนาจการจับของเจ้าพนักงานตำรวจ โดยหลักจะต้องมีคำสั่งศาลหรือหมายจับ เว้นแต่ในกรณีจำเป็นเร่งด่วนตาม ป.วิ. อาญา มาตรา 78 อาจจะมีการจับได้โดยไม่ต้องมีคำสั่งศาลหรือหมายจับ ดังนั้น การออกหมายจับจึงมิใช่กรณีจำเป็นเร่งด่วน หากแต่เป็นขั้นตอนการรวบรวมพยานหลักฐานตามปกติของฝ่ายสืบสวนและฝ่ายสอบสวน การขอออกหมายจับสามารถทำได้ภายใต้หลักมีพยานหลักฐานตามสมควรว่าน่าจะกระทำความผิด และไม่มีระเบียบ คำสั่ง ที่กำหนดให้ต้องเสนอเอกสารสำนวนต่อผู้บังคับบัญชาระดับผู้บังคับการ (ผบก.) ให้พิจารณาก่อนขอออกหมายจับแต่ประการใด

ก็คือว่า เจ้าหน้าที่ที่ทำคดีใดคดีหนึ่ง ถ้ามีเหตุอันควร มีหลักฐานอันเพียงพอได้ ก็สามารถที่จะยื่นเองได้เลย โดยที่ไม่ต้องแจ้งขออนุญาตจากผู้บังคับบัญชา

ประเด็นที่สี่ กฎหมายยาเสพติดฉบับใหม่ กับหลักการเดิม ที่ต้องขออนุมัติจับกุมต่อเลขาธิการ ป.ป.ส. ก่อน จึงไปขอศาลออกหมายจับหรือแจ้งข้อหา แต่ปัจจุบันการขออนุมัติออกหมายจับต่อศาลก่อน ถึงจะไปขออนุมัติแจ้งข้อกล่าวหาต่อเลขาธิการ ป.ป.ส. ดังนั้น หมายจับที่ศาลออกให้ก่อนที่จะได้รับอนุญาตจากเลขาธิการ ป.ป.ส. ให้แจ้งข้อหา ย่อมเป็นหมายจับที่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ผิด แม้ต่อมาจะจับกุมผู้ต้องหาได้โดยที่เลขาธิการ ป.ป.ส. ยังไม่อนุมัติในการแจ้งข้อหา ก็ถือว่าเป็นการจับโดยชอบ เพียงแต่ยังไม่สามารถแจ้งข้อหาได้ แจ้งได้แต่เพียงว่าถูกจับตามหมายเท่านั้น

ประเด็นที่ห้า หากศาลใช้ดุลพินิจชอบด้วยกฎหมายแล้วควรต้องปฏิบัติตาม ซึ่งในอดีตเคยมีการยื่นคำร้องขอเพิกถอนหมายจับอดีตอธิบดีดีเอสไอ (ธาริต เพ็งดิษฐ์) แต่ศาลยกคำร้อง โดยศาลให้เหตุผลว่าเป็นอำนาจเฉพาะของผู้พิพากษา ที่เมื่อสั่งคำร้องโดยชอบแล้ว ย่อมมิอาจจะเพิกถอนได้ นัยก็คือว่า ในเมื่อหมายจับครั้งแรกได้รับการอนุมัติจากผู้พิพากษาเวรแล้ว ท่านอธิบดีฯ ศาลอาญา หรือท่านรองอธิบดีฯ ไม่สามารถที่จะเพิกถอนได้ เพราะเป็นอำนาจโดยชอบของผู้พิพากษาเวรนั้น

ฉันใดฉันนั้น เมื่อศาลพิจารณาออกหมายจับสมาชิกวุฒิสภาไปโดยชอบแล้ว การจะสั่งเพิกถอนในภายหลังจะต้องมีเหตุตามกฎหมาย ข้อบังคับ หรือระเบียบเป็นหลักในการพิจารณา หาใช่อ้างเพียงเหตุผิดหลง


ประเด็นอยู่ที่ไหน ? ประเด็นสำคัญคือท่านรองอธิบดีฯ ศาลอาญา และท่านอธิบดีศาลอาญา ท่านอาจจะไม่ได้ตั้งใจที่จะทำผิดพลาดแบบนี้ แต่ท่านรู้หรือเปล่าว่า ตอนนี้ตัวท่านทั้งสองได้ปล่อย ส.ว.อุปกิต ไปแล้ว โดยที่ท่านอาจจะไม่ได้ตั้งใจ ดูสิครับท่านผู้ชม ท่านอธิบดี ท่านรองอธิบดีครับ 4 เดือนมาแล้ว ไม่มีการออกหมายเรียกและจะไม่ออกด้วย ก็แสดงว่า ท่านจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ผมไม่รู้ ท่านทำหน้าที่ปล่อย ส.ว.อุปกิต ลอยนวลไป ทั้งๆ ที่ฝ่ายตำรวจยืนยันว่ามีหลักฐานมากเพียงพอที่จะมัดตัว ส.ว.อุปกิต ว่าได้ร่วมกระทำผิดกับคนที่ถูกออกหมายจับไปก่อนล่วงหน้านั้น ก็เอาเป็นข้อมูลเพื่อรับทราบกันเอาไว้นะครับ

เรื่องนี้ผมเห็นใจตำรวจทั้ง 4 ท่าน ที่้ตั้งใจทำงานอย่างซื่อสัตย์ แล้วดำเนินคดีกับคนไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งใดก็ตาม ถ้าทำผิดกฎหมายแล้วดำเนินคดี แต่ในที่สุด ผลรางวัลตอบแทนก็คือ ถูกโยกย้ายกระเด็นกระดอนไป ท่านผู้ชมท้อใจไหม ผมก็ท้อใจ แต่ผมยังเชื่อมั่น ว่าในที่สุดแล้วตัวการสำคัญจะต้องถูกเปิดเผยออกมา เพราะข้อมูลเกี่ยวกับนายอุปกิตนั้น ตำรวจยังมีอยู่ ขึ้นอยู่กับว่าการเมืองจะเปลี่ยนแปลงเมื่อไร ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้เป็นนายกฯ ต่อ คนอื่นขึ้นมา ก็ยังมีโอกาสที่จะทำให้ตำรวจกล้าเดินหน้าต่อไป ออกหมายเรียกนายอุปกิต ตามที่อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาท่านแนะนำว่าควรจะออกหมายเรียกก่อน ซึ่ง พ.ต.ท.มานะพงษ์ บอกว่า เนื่องจากคดีนี้เป็นคดีที่ใหญ่และเป็นคดีที่โทษร้ายแรง ยาเสพติด โทษถึงประหารชีวิต เพราะฉะนั้นแล้ว มันมีความชอบธรรมที่จะออกหมายจับ แต่ไม่เป็นไรครับ เมื่อท่านอธิบดีฯ ศาลอาญาท่านบอกให้ออกหมายเรียกก่อน และท่านสั่งถอนหมายจับไป ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดปกติมาก แต่ไม่เป็นไร แต่ที่สำคัญที่เป็นอะไรก็คือ ท่านผู้ชมเห็นหรือยังว่า จากวันนั้นถึงวันนี้ ตำรวจไม่เคยออกหมายเรียกอีกต่อไปเลย เมื่อตำรวจไม่สามารถจะออกหมายเรียก หรือไม่ส่งไป ก็แสดงว่านายอุปกิตไม่ผิด แต่หลักฐานที่ทีมตำรวจ 4 คน ที่ถูกย้ายกระเด็นกระดอนไปนั้น พิสูจน์ชัดเจนว่านายอุปกิตเกี่ยวข้องกับคนโน้น คนนี้ คนนั้น

ผมเชื่อว่าในที่สุดแล้วคดีนี้ยังไม่จบ เพราะอายุความยังมีอยู่ และ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ไม่ได้อยู่ค้ำฟ้า อายุความต้องมีอย่างน้อย 10 ปี หรือ 15 ปี มีคนต้องจดบัญชีนี้ลงหนังหมา ตำรวจที่ให้ความร่วมมือมาข่มขู่เด็ก 4 คน ที่ทำคดีนี้อย่างซื่อสัตย์สุจริต หรือนักการเมืองที่ใช้อำนาจการเมืองโยกย้ายตำรวจพวกนี้ออกไป และที่สำคัญ ย้ายเพื่ออะไร ? ให้ตัดขาดจากการสอบสวนสืบสวนคดีนี้ เพราะว่าทีมงาน 4 คนนี้ เมื่อจับ ส.ว.อุปกิตมาได้ ก็จะสืบสวนสอบสวนต่อ เพื่อหาเครือข่ายที่โยงใย เกี่ยวพันกับเรื่องราวต่างๆ เหล่านี้ ซึ่งอาจจะเป็นใครก็ได้ซึ่งเป็นคนที่ใหญ่โตมาก จนกระทั่งเรานึกไม่ถึง ใหญ่โตจริงๆ เรานึกไม่ถึง

ท่านผู้ชมครับ ส่วนตัวผมเชื่อว่ายังไม่จบ และผมเชื่อว่าในกระบวนการศาลยุติธรรมนั้น คงจะพูดกันเรื่องนี้อย่างมากมาย ผมเห็นใจท่านรองอธิบดีฯ ศาลอาญา และอธิบดีฯ ศาลอาญา เพราะในที่สุดท่านก็คือข้าราชการ เมื่อท่านเป็นข้าราชการแล้ว ถึงจะอยู่ในราชการของฝ่ายศาลยุติธรรม แต่เมื่อมีคนตำแหน่งใหญ่ๆ โทรศัพท์มาขอ ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร แต่ผมเชื่ออย่างหนึ่ง เรื่องนี้ ทั้งท่านอธิบดีฯ และรองอธิบดีฯ ศาลอาญา เรื่องนี้ผมคิดว่ากรรมการตุลาการทุกคนรับรู้เรื่องนี้ดี มันเป็นจุดด่างพร้อยของกระบวนการยุติธรรม ฝั่งศาล อย่างชนิดที่เรียกว่าน่ากลัวมาก ผมเชื่อว่าเรื่องนี้จะไม่จบเพียงแค่นี้ เราจะยังเห็นอะไรที่ดีๆ จากเรื่องนี้ต่อไป เพราะอย่างน้อยที่สุด หลักฐานที่ตำรวจสอบสวนมาเรียบร้อยแล้ว สืบสวนมาเรียบร้อยแล้ว พัวพัน ส.ว.อุปกิต หลักฐานยังอยู่ในมือตำรวจ นอกเสียจากว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจบางส่วนตัดสินใจจะช่วยกันจริงๆ ก็คือทำลายหลักฐานเหล่านั้นทิ้งไป แต่ก็คงยาก เพราะผมเชื่อว่าคนอย่างเช่น พ.ต.ท.มานะพงษ์ หรือผู้กำกับที่ถูกย้ายไป ตำรวจทั้ง 4 คน คงจะเก็บสำเนาเรื่องพวกนี้เอาไว้อย่างเต็มที่ เหมือนอย่างที่ผมเก็บสำเนาการลอบฆ่าผม 13 ปีแล้ว ผมยังเก็บไว้เลย ว่าสอบสวนสืบสวนไปจนถึงไหนแล้ว และกำลังจะพัวพันกับทหารคนหนึ่งซึ่งอยู่ที่ศูนย์สงครามพิเศษ ยศพันเอก ซึ่งเป็นเจ้าของรถปิกอัพที่ใช้มายิงผม ผมยังเก็บอยู่ ความยุติธรรมอาจจะมาช้าหน่อย แต่ผมยังเชื่อ สิ่งศักดิ์สิทธิ์จะทำให้มันมาอย่างแน่นอนที่สุด

คำพิพากษาศาลชี้ พินัยกรรม "ตระกูลนิรันดร" ปลอม

ท่านผู้ชมยังจำได้หรือเปล่า ผมเคยพูดถึงเรื่องราวของตระกูล "นิรันดร" ในรายการมาหลายครั้ง อย่างเช่น "ขบวนการปล้นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์" เผยแพร่เมื่อวันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน 2563 "คณะโจรปล้นสมบัติเจ้า ภาค 2" เผยแพร่เมื่อวันศุกร์ที่ 23 กันยายน ปีที่แล้ว เรื่องราวของตระกูลนิรันดร ไม่ใช่เรื่องราวตระกูลคนธรรมดาทั่วไปอย่างตระกูลลิ้มทองกุลของผม หรือตระกูลตาสีตาสาทั่วไปของพวกเรา เพราะเรื่องราวความเป็นมาของตระกูลนิรันดรนั้น เกี่ยวพันและผูกโยงกับชะตากรรมของบ้านเมืองกันอย่างแยกไม่ออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันกษัตริย์ อันเป็นเสาหลักอันสำคัญยิ่งของบ้านเมืองเรา


ถ้าท่านผู้ชมบางท่านจำไม่ได้ หรือไม่ทราบความเป็นมาของตระกูลนิรันดร ผมขอย้อนความทรงจำแบบคร่าวๆ สักนิดหนึ่ง

ตระกูลนิรันดร สืบเชื้อสายมาจากต้นตระกูล คือ "ขุนนิรันดรชัย" คณะราษฎรสายทหารบก ขุนนิรันดรชัย เดิมชื่อ สเหวก นีลัญชัย เมื่อ 90 ปีก่อน สมัยที่มีการปฏิวัติ การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 สเหวก นีลัญชัย มียศเพียงแค่ร้อยโท ร้อยเอก แต่ก่อนตายได้เลื่อนยศเป็นพันตรี สเหวก นิรันดร โดยสมัยรัชกาลที่ 8 ยังทรงพระเยาว์ และขุนนิรันดรชัยมีตำแหน่งเป็นถึงราชเลขาธิการ


ต่อมา ตระกูลนิรันดร ก็ปรากฏว่ามีที่ดินเป็นมรดกตกทอดอยู่ในกรุงเทพมหานครถึง 90 แปลง มูลค่าหลายหมื่นล้านบาท ว่ากันว่า ประเมินอย่างคร่าวๆ ขั้นต่ำราคาต้องประมาณ 60,000 ล้านบาท ถ้าประเมินกันวันนี้ต้องมีหลักแสนล้านบาท

ตอนที่ขุนนิรันดรชัยเสียชีวิตไปนั้น เป็นคนที่ไม่สบายหนัก นอนติดเตียง ทรมานสาหัสสากรรจ์มาเกือบสิบปี ถึงจะสิ้นลมหายใจไป หลายคนบอกว่านี่เป็นเวรกรรมที่ท่านขุนนิรันดรชัยได้ทำไว้กับสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยทายาทจำนวนหนึ่งออกมายอมรับว่า ทื่ดินซึ่งเป็นมรดกตกทอดของตระกูลนั้น ขโมย แย่งชิงมาจากสถาบันกษัตริย์ ซึ่งหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เหล่าสมาชิกคณะราษฎรได้มีการเอามาแบ่งสรรปันส่วนกันอย่างไม่เป็นธรรม จนอาจจะกล่าวได้ว่า บีบบังคับเอามาจากสถาบันพระมหากษัตริย์โดยมิชอบ


20 มีนาคม 2562 ประมาณ 4 ปีก่อน พล.ท.สรภฎ นิรันดร อดีตรองเจ้ากรมยุทธการทหารบก และทายาทขุนนิรันดรชัย ออกมาเปิดเผยว่า ทรัพย์สินจำนวนมหาศาลแท้จริงแล้วเดิมไม่ใช่ของวงศ์ตระกูลนิรันดร แต่เป็นทรัพย์สินที่ขุนนิรันดรชัย เป็นท่อน้ำเลี้ยงให้กับจอมพล ป. พิบูลสงคราม ทรัพย์สินเหล่านี้ ขุนนิรันดรชัย ได้มาจากการปล้นชิงมาจากราชวงศ์จักรี สถาบันพระมหากษัตริย์ ในยุคสมัยในหลวงรัชกาลที่ 7 และ 8 มาอีกที แล้วยักย้ายถ่ายเทโอนมาให้คนในคณะราษฎร ก่อนจะตกมาสู่ลูกหลาน เพื่อให้ฟ้องร้องแย่งชิงกันเองในปัจจุบัน


ผมจะย้อนให้ฟัง ทายาทขุนนิรันดรชัย พูดอย่างนี้ครับ "อาจจะเป็นเพราะบาปกรรม เพราะที่ดินพวกนี้คณะราษฎรยึดมาจากพระมหากษัตริย์ ทำให้ครอบครัวต้องโดนสาปแช่ง หลายคนเป็นเส้นเลือดในสมองแตก ป่วยเป็นโรคต่างๆ" นอกจากนั้นแล้ว ยังกล่าวด้วยว่า "ตระกูลนี้ก็มีลูกหลานสืบตระกูลน้อยมาก แถมยังทะเลาะเบาะแว้งกันอีก"

ผู้จัดการมรดกของขุนนิรันดรชัย คือ นายธรรมนูญ นิรันดร อดีตเป็นผู้บริหารธนาคารนครหลวงไทย เป็นบุตรชายคนหนึ่งของท่านขุนนิรันดรชัย ซึ่งเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ เพิ่งเสียชีวิตไป เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2563 (เมื่อสามปีที่แล้ว) อายุ 88 ปี


ปัญหาต่อมาที่ยังคาราคาซังจนกระทั่งทุกวันนี้่ คือ มรดกมูลค่ามหาศาลที่ตกทอดมาจากขุนนิรันดรชัย มีปัญหาการฟ้องร้องกันมาตลอด เหมือนกับถูกสิ่งศักดิ์สิทธิ์สาปแช่ง ไม่มีความสุขในตระกูล ในครอบครัว

วันที่ 9 พฤศจิกายน 2561 พล.ท.สรภฎ นิรันดร อดีตรองเจ้ากรมยุทธการทหารบก ลูกชายคนหนึ่งของขุนนิรันดรชัย เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายธรรมนูญ นิรันดร พี่ชายต่างมารดา นายธรรมรัชต์ นิรันดร บุตรชายคนกลางของนายธรรมนูญ นางเยาณี นิรันดร บุตรสาวคนโตของนายธรรมนูญ และ บริษัท 31 สาธร จำกัด เป็นจำเลยที่ 1-4 ต่อศาลแพ่ง ขอให้เพิกถอนนิติกรรมแบ่งทรัพย์มรดก จำนวนทุนทรัพย์ 59 ล้าน 9 แสนกว่าบาท แต่นายธรรมนูญ นิรันดร เสียชีวิตไปแล้ว ก็เลยฟ้องร้องภรรยาของนายธรรมนูญ คือ นางปราณี (ภรรยา) นางเยาณี (บุตรสาวคนโต) และ นายธรรมรัชต์ (บุตรชายคนกลาง) ต่อศาลแพ่งและอาญา ในข้อหายักยอกทรัพย์ ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของศาล


ท่านผู้ชมครับ ต้นปี 2564 บุตรชายของขุนนิรันดรชัย คือ พล.ท.สรภฎ นิรันดร ได้ทำพิธีขอพระราชทานอภัยโทษ สำนึกผิด ซึ่งเป็นการปฏิบัติตามเจตนารมณ์ของขุนนิรันดรชัย ที่ได้ฝากไว้ก่อนเสียชีวิต พ่อพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ที่ 8 และ ที่ 9 แต่จนบัดนี้ ท่านผู้ชมเชื่อไหม ผ่านไปแล้ว 2-3 ปี นอกจาก พล.ท.สรภฎ ที่แสดงความสำนึกผิดของขุนนิรันดรชัย ยังไม่ปรากฏทายาทคนอื่นๆ จะยอมถวายที่ดินคืนให้กับสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์แต่อย่างใด

นายธรรมนูญ นิรันดร มีทายาทอยู่ 3 คน คือ หนึ่ง ลูกสาวคนโต นางเยาวณี นิรันดร ชื่อเล่นว่า กิ๊ก สอง นายธรรมรัชต์ นิรันดร ชื่อเล่นว่า กู่ และสาม นางเยาวรัตน์ นิรันดร ชื่อเล่นว่า กิ๊บ

ช่วงปี 2551-2552 นายธรรมนูญ นิรันดร ผู้จัดการมรดก ป่วยหนัก เส้นเลือดในสมองแตก เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ตอนแรกอยู่ศิริราช ตอนหลังแม่กับลูกสาวคนโตขอย้ายมาอยู่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เหตุผลเพราะว่าลูกเขย ตอนนั้น (สามีของพี่สาวคนโต) ชื่อ พล.อ. นพ.วิทยา ช่อวิเชียร เป็นเจ้ากรมการแพทย์ทหารบก


ออกจากโรงพยาบาลมาพักรักษาตัวอยู่ที่บ้าน มีรถเข็น มีลูกสาวคนโต (กิ๊ก เยาวณี) ลูกชายคนกลาง (กู่ ธรรมรัชต์) อยู่ใกล้ชิดติดตัวตลอดเวลา จากนั้นก็มีการเซ็นขายที่มรดกเป็นระยะ ทำให้บรรดาทายาทคนอื่นๆ เกิดข้อสงสัยว่า นายธรรมนูญ ป่วยหนัก ไม่สามารถดูแลตัวเองได้ เหตุใดเซ็นโอนที่ขายได้ หรือลูกสาวคนโต ลูกชายคนกลาง ที่อยู่ติดตัวพ่อแม่ ได้ดำเนินการอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับลายเซ็นของพ่อหรือเปล่า

จากความขัดแย้งเรื่องปมมรดกที่ดินของตระกูล ทำให้พี่สาวคนโต (กิ๊ก) กับน้องชายคนกลาง (กู่) จับมือ ร่วมมือกัน ส่วนน้องสาวคนเล็ก (กิ๊บ) ก็มาเข้ากับญาติคนอื่นๆ รวมทั้ง พล.ท.สรภฎ นิรันดร คือแยกเป็นสองพวก ล่าสุด มีคนส่งเอกสารคำพิพากษาศาลชั้นต้นคดีแพ่ง ซึ่งพิพากษาเมื่อ 25 มกราคม 2566 เกี่ยวกับทรัพย์สินตระกูลนิรันดร มาให้ผม ซึ่งผมอ่านแล้วมีรายละเอียดน่าสนใจมาก น่าสนใจจริงๆ น่าสนใจอย่างไร ตามผมมา

คดีนี้ นางปราณี นิรันดร ภรรยานายธรรมนูญ เป็นผู้ร้อง ขอเป็นผู้จัดการมรดก ส่วนผู้ที่คัดค้าน คือ นางเยาวรัตน์ นิรันดร ลูกสาวคนเล็กของนางปราณี และนายธรรมนูญ

นางปราณี ซึ่งเป็นผู้ร้อง ยื่นคำร้องขอว่า ตนเองเป็นผู้รับทรัพย์มรดกตามพินัยกรรมและเป็นภริยาชอบด้วยกฎหมายของนายธรรมนูญ ที่ถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2563 ก่อนถึงแก่ความตาย ผู้ตายได้ทำพินัยกรรมฉบับลงวันที่ 26 มิถุนายน 2559 ยกทรัพย์มรดกทั้งหมดให้แก่ผู้ร้อง (นางปราณี) เพียงผู้เดียว รวมทั้งตั้งนางเยาวณี (ลูกสาวคนโต) และนายธรรมรัชต์ (ลูกชายคนรอง) เป็นผู้จัดการมรดก


แต่นางเยาวณี กับนายธรรมรัชต์ ไม่ประสงค์จะเป็นผู้จัดการมรดก ยินยอมให้นางปราณีเป็นผู้จัดการมรดกแทน นางปราณีก็เลยยื่นขอให้ศาลมีคำสั่งตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของนายธรรมนูญ ก็คือพูดง่ายๆ ว่า จะให้แม่ตัวเองซึ่งอายุ 90 ปี เป็นผู้จัดการมรดก ในขณะซึ่งตัวเองกับน้องชาย (เยาวณี และธรรมรัชต์) ก็จะเป็นผู้ที่ประกบคอยดูแลแม่ตลอดเวลา หรืออีกนัยหนึ่งก็คือว่า สามารถมีอิทธิพลในการบอกให้แม่จัดการมรดก ถ้าแม่จะเป็นผู้จัดการมรดก ออกมาเป็นรูปแบบใดที่ตัวเองต้องการ

แต่ต่อมา นางเยาวรัตน์ นิรันดร ลูกสาวคนเล็ก ก็ได้ยื่นคัดค้านพินัยกรรมฉบับลงวันที่ 26 มิถุนายน 2559 คัดค้านว่าพินัยกรรมนี้ปลอม ตกเป็นโมฆะ เอาล่ะสิ เป็นเรื่องล่ะสิ ตรงนี้เมื่อขึ้นศาลแล้ว ศาลวินิจฉัยว่า "ก่อนอื่น ผู้ร้อง (นางปราณี) ต้องมีหน้าที่พิสูจน์ก่อนว่า พินัยกรรมนายธรรมนูญ ฉบับลงวันที่ 26 มิถุนายน 2559 เป็นของจริงหรือไม่" เพราะถ้าเป็นของจริง เป็นพินัยกรรมจริง นางเยาวรัตน์ ก็คัดค้านไม่ได้ แต่ถ้าพิสูจน์ไม่ได้ว่าเป็นพินัยกรรมจริง นางเยาวรัตน์ ซึ่งเป็นทายาทโดยชอบธรรม เพราะเป็นลูกคนเล็กของนายธรรมนูญ และนางปราณี ก็มีสิทธิ์ยื่นคัดค้านคำร้องของนางปราณี และมีสิทธิ์ยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกด้วย


ท่านผู้ชมครับ ศาลเห็นว่าคดีนี้เคยมีการส่งพินัยกรรมดังกล่าวไปพิสูจน์ลายมือชื่อผู้ตายในพินัยกรรม เปรียบเทียบกับในเอกสารอื่นๆ แต่ผู้ตรวจพิสูจน์ไม่อาจลงความเห็นให้ใช้เป็นพยานหลักฐานได้ เมื่อพิเคราะห์ลายมือชื่อที่ลงไว้ในพินัยกรรมดังกล่าว จะเห็นว่าแตกต่างจากลายมือชื่อที่แท้จริงของผู้ตาย (นายธรรมนูญ) ที่เคยลงไว้ต่อหน้าศาล เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2562 อย่างมาก

นอกจากนี้ ผู้ร้อง (นางปราณี) ก็มีพยานบุคคลที่ยืนยันว่าได้มีการทำพินัยกรรมนี้จริงๆ อยู่แค่ปากเดียว มีพยานคนเดียว ชื่อ นางสาวสุทธินีย์ เพิ่มประยูร ที่อ้างว่าอยู่ในเหตุการณ์ที่นายธรรมนูญเซ็นชื่อในพินัยกรรม และนางสาวสุทธินีย์ ยังเซ็นชื่อในฐานะพยาน ในพินัยกรรมฉบับนี้ด้วย


จากคำพิพากษา ในการไต่สวนคดีนี้ศาลได้พบข้อพิรุธในพินัยกรรมฉบับดังกล่าวในหลายประการ คือ ในการลงลายมือชื่อในพินัยกรรม นางสาวสุทธินีย์ ซึ่งเป็นพยานเพียงปากเดียวของนางปราณี บอกว่า นายธรรมนูญ (ผู้ตาย) ลงชื่อเป็นคนแรก จากนั้นมีนางสาวพรทิพย์ เซ็นชื่อเป็นพยานคนที่สอง และนางสาวสุทธินีย์ เซ็นชื่อช่องพยานเป็นคนสุดท้าย

ท่านผู้ชมตั้งใจฟังดีๆ ผมอ่านแล้วผมยังหัวเราะก้ากเลย "พิรุธที่ปากกา" ข้อที่หนึ่ง ตอนแรก นางสาวสุทธินีย์ ซึ่งเป็นพยานบุคคล ได้ตอบทนายผู้คัดค้าน ว่าทั้งสามคน คือนายธรรมนูญ นางสาวสุทธินีย์ และพยานอีกหนึ่งคน ได้ใช้ปากกาด้ามเดียวกัน เพราะตอนนั้นมีปากกาอยู่ด้ามเดียว ต่อมา นางสาวสุทธินีย์ ตอบทนายฝ่ายผู้ร้อง (นางปราณี) จำได้ว่าตอนเซ็นชื่อ นายธรรมนูญลงชื่อคนแรก ส่งพินัยกรรม-ปากกามาให้ตัวเธอลงชื่อต่อเป็นคนที่สอง (ตอนแรกตัวเองให้การว่าเซ็นเป็นคนที่สาม) แสดงว่าสองคนใช้ปากกาด้ามเดียวกันเซ็นชื่อ แล้วนางสาวสุทธินีย์กลับเบิกความใหม่ในวันดังกล่าว ว่าได้เตรียมปากกามาเอง ส่วนนายธรรมนูญใช้ปากกาของตัวเอง พอนายธรรมนูญเซ็นแล้ว ก็ส่งเฉพาะพินัยกรรมมาให้เซ็นต่อ โดยใช้ปากกาคนละด้าม แต่ว่าเป็นการลงชื่อคนที่สอง แต่แล้วก็กลับมาเบิกความใหม่อีกว่า ผู้ตาย (นายธรรมนูญ) ลงชื่อในพินัยกรรมแล้วยื่นพินัยกรรมให้นางสาวพรทิพย์เซ็น แล้วยื่นปากกาให้ด้วย ทั้งสองคนจึงใช้ปากกาด้ามเดียวกันเซ็น จากนั้นนางสาวพรทิพย์ก็ยื่นเฉพาะพินัยกรรมมาให้นางสาวสุทธินีย์ แต่ไม่ได้ยื่นปากกาให้นางสาวสุทธินีย์ ก็เลยใช้ปากกาของตัวเองเซ็น และเซ็นเป็นคนสุดท้าย เท่ากับว่านายธรรมนูญ ผู้ทำพินัยกรรม ไม่ได้ยื่นทั้งพินัยกรรมและปากกาให้นางสาวสุทธินีย์ อีกทั้งไม่ได้ใช้ปากกาด้ามเดียวกันด้วย

ท่านผู้ชมครับ สนุกมาก ศาลพิเคราะห์ว่า จากกรณีปากกาที่ลงนามในพินัยกรรม คำเบิกความของนางสาวสุทธินีย์ ซึ่งเป็นพยานบุคคลเพียงปากเดียวของนางปราณี ศาลบอกว่า กลับไปกลับมา ไม่อยู่กับร่องไม่อยู่กับรอย พยานหลักฐานและทางไต่สวนผู้ร้องในส่วนนี้ จึงไม่น่าเชื่อถือและเป็นข้อพิรุธประการหนึ่ง

ข้อที่สอง พิรุธพยานบุคคล นางสาวสุทธินีย์ ซึ่งเป็นพยานฝ่ายผู้ร้อง เบิกความว่า ขณะที่ลงลายมือชื่อในพินัยกรรม ในห้องอาหารบ้านผู้ตาย มีตัวพยาน คือนางสาวสุทธินีย์ นายธรรมนูญ (เจ้าของพินัยกรรม) และนางสาวพรทิพย์ ซึ่งเป็นพยานในพินัยกรรมอีกคนหนึ่ง อยู่ด้วย แต่ไม่เห็นพยาบาลที่มาคอยดูแลผู้ตายอยู่เลยในวันดังกล่าว พบเพียงแต่คนรับใช้มาเปิดประตูให้เท่านั้น อีกทั้งทุกครั้งที่นางสาวสุทธินีย์นำเอกสารไปให้นายธรรมนูญเซ็นชื่อ ประมาณเดือนละครั้ง ก็ไม่พบว่ามีพยาบาลคอยดูแลอยู่เลย ซึ่งขัดแย้งกับที่นางปราณี ซึ่งเป็นภรรยา บอกว่าได้จ้างพยาบาลมาดูแลผู้ตาย 24 ชั่วโมง เข้าเวรผลัดละ 2 คน 2 ผลัด รวม 4 คนต่อวัน

ศาลจึงพิเคราะห์ว่า พยานหลักฐานและทางไต่สวนผู้ร้องในส่วนนี้จึงขัดแย้งกันเอง และเป็นข้อพิรุธอีกประการหนึ่ง หากเป็นอย่างที่พูดว่า วันเซ็นพินัยกรรม นางสาวสุทธินีย์ พบคนรับใช้มาเปิดประตูให้จริง คนรับใช้จะเป็นพยานสำคัญที่ยืนยันได้ว่านางสาวสุทธินีย์ได้เดินทางมาวันและเวลาที่ทำพินัยกรรมจริง แต่นางปราณีกลับไม่ได้นำคนรับใช้คนนี้มาเบิกความเป็นพยานบุคคลให้แต่อย่างใด

ข้อที่สาม พิรุธไร้ภาพถ่ายวีดิทัศน์ อีกข้อหนึ่งที่คำพิพากษาศาลแพ่งระบุ ก็คือ ขณะที่ผู้ตาย หรือนายธรรมนูญ ยังมีชีวิตอยู่ ได้มีการบันทึกภาพเหตุการณ์ในขณะทำกิจกรรมต่างๆ ไว้มากมาย แต่ท่านผู้ชมรู้ไหม ศาลบอกว่า แต่เวลาทำพินัยกรรมกลับไม่มีทั้งภาพถ่ายและวีดิทัศน์ในขณะที่ทำพินัยกรรมดังกล่าว จึงเป็นข้อพิรุธอีกประการหนึ่ง

ข้อที่สี่ ข้อพิรุธตัวผู้ร้อง คือนางปราณี นางปราณีเบิกความว่าตัวเองเพิ่งเห็นพินัยกรรมหลังจากที่นายธรรมนูญตายไปแล้ว โดยมีพนักงานบริษัทหนึ่งที่นางปราณีจำชื่อบริษัทไม่ได้ เอาพินัยกรรมมาให้ โดยนางปราณีไม่ติดใจสงสัยว่าใครเป็นคนทำพินัยกรรม ใครเป็นคนดำเนินการ ใครพิมพ์ ใครร่าง และใครเก็บรักษาไว้ นางปราณีไม่เคยถามเลย ทั้งๆ ที่พินัยกรรมเป็นเอกสารที่สำคัญมาก และเป็นประโยชน์ต่อนางปราณีอย่างยิ่ง การที่ผู้ร้องไม่ติดใจสงสัยในความไม่ชอบมาพากล ไม่เคยสอบถามข้อเท็จจริง เพื่อแสดงความขอบคุณแก่ผู้ที่อยู่เบื้องหลังและผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายอย่างเปิดเผย ศาลเลยชี้ว่าประเด็นนี้เป็นเรื่องที่ผิดปกติวิสัย เป็นข้อพิรุธอีกประการหนึ่ง


ท่านผู้ชมครับ และเหตุใดนางสาวพรทิพย์ และนางสาวสุทธินีย์ ไม่แจ้งให้นางปราณีทราบว่านายธรรมนูญทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินมรดกให้นางปราณีแต่เพียงผู้เดียว ทั้งๆ ที่พินัยกรรมเป็นเอกสารสำคัญมาก และเป็นประโยชน์ต่อนางปราณีอย่างยิ่ง ผู้ร้อง (นางปราณี) ได้นำสืบว่า ก่อนหน้านี้ประมาณ 5 ปี 27 มกราคม 2554 ผู้ตาย คือนายธรรมนูญ ผู้เป็นสามี เคยทำสัญญายกทรัพย์สินทั้งหมดให้แก่ผู้ร้องแต่ผู้เดียว และมีเอกสารมาแสดง สัญญาให้ทรัพย์สินเอกสารหมายเลข ร.2 มีลายเซ็นนางปราณี ในฐานะผู้รับทรัพย์สินด้วย

ศาลพิเคราะห์ว่า ถ้าเรื่องดังกล่าวเป็นจริง แสดงว่านางปราณีก็ทราบว่าผู้ตายจะยกทรัพย์สินทั้งหมดให้ตัวเอง ไม่ใช่ความลับที่ต้องปกปิดแต่อย่างใด พยานหลักฐานและทางไต่สวนผู้ร้องในส่วนนี้จึงไม่น่าเชื่อถือ และเป็นข้อพิรุธอีกประการหนึ่ง

อีกประการหนึ่ง ท่านผู้ชมครับ นางปราณีบอกว่ามาเห็นพินัยกรรมหลังจากที่นายธรรมนูญตายแล้ว เมื่อเห็นแล้วก็แจ้งให้นางเยาวณี ลูกสาวคนโต และนายธรรมรัชต์ ลูกชายคนรอง แต่กลับไม่ได้บอกให้กับนางเยาวรัตน์ ลูกสาวคนเล็ก ต่อมา เมื่อนายธรรมนูญเสียชีวิตลง บุตร ซึ่งนางปราณีจำไม่ได้ว่าเป็นเยาวณี หรือ ธรรมรัชต์ มาบอกนางปราณีว่านายธรรมนูญได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินบางส่วนให้บุตรด้วย ดังนั้น ศาลจึงเห็นว่าจุดนี้เป็นคำให้การที่ขัดแย้งกันเองในสาระสำคัญ ทั้งเรื่องทราบว่ามีพินัยกรรม การแจ้งข่าวเรื่องพินัยกรรม และผู้รับมรดกตามพินัยกรรม นอกจากนี้ คำเบิกความที่่ว่านายธรรมนูญได้ทำพินัยกรรมอีกฉบับ ยกทรัพย์สินบางส่วนให้บุตร ก็ขัดแย้งกับพินัยกรรมฉบับนี้ที่ว่ายกให้นางปราณีแต่ผู้เดียว ซึ่งผู้ร้องไม่ได้เบิกความอธิบายประเด็นนี้ให้ชัดเจน และยังไม่ได้นำนางเยาวณี นายธรรมรัชต์ มาเบิกความอธิบาย และไม่ได้นำพินัยกรรมอีกฉบับที่บอกว่ายกทรัพย์สินบางส่วนให้ลูกมานำสืบต่อศาล พยานหลักฐานและทางไต่สวนของผู้ร้องจึงยิ่งไม่น่าเชื่อถือ และยิ่งเป็นข้อพิรุธอีกประการหนึ่ง

สรุป คำพิพากษาฉบับนี้ระบุว่าพยานหลักฐานและทางไต่สวนผู้ร้องมีน้ำหนักน้อย ไม่น่าเชื่อถือ ขัดแย้งกันเอง ทั้งมีข้อพิรุธหลายประการ ท่านผู้พิพากษาท่านบอกว่า รับฟังได้ว่าพินัยกรรมดังกล่าวเป็นพินัยกรรมปลอม เมื่อผู้ตายไม่ได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์มรดกทั้งหมดแก่ผู้ร้องแต่ผู้เดียว ผู้คัดค้านที่เป็นทายาทโดยชอบธรรม ย่อมถือว่าเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทรัพย์มรดก มีสิทธิ์ร้องต่อศาลขอให้ตั้งผู้จัดการมรดก


ศาลชั้นต้นก็เลยพิพากษา มีคำสั่งตั้งให้นางปราณี นิรันดร ผู้ร้อง กับนางเยาวรัตน์ นิรันดร ผู้คัดค้าน เป็นผู้จัดการมรดกของนายธรรมนูญ นิรันดร ผู้ตาย ร่วมกัน นี่ก็เป็นฝันร้ายของคุณเยาวณี (กิ๊ก) และคุณธรรมรัชต์ (กู่) น้องชาย ที่อยากให้แม่เป็นผู้จัดการมรดกแต่ผู้เดียว ตอนนี้เกิดมีน้องสาวคนเล็กซึ่งเป็นคู่อริกัน ไม่ถูกกัน มาร่วมเป็นผู้จัดการมรดกด้วย เพราะฉะนั้นการจัดการกับมรดกในทิศทางที่ตัวเองต้องการก็อาจจะยากขึ้น

ท่านผู้ชมดูคำตัดสินจะเห็นว่าผู้พิพากษาศาลแพ่งนั้น ส่วนใหญ่เก่ง เก่งมาก วินิจฉัยละเอียดลึกซึ้ง ไม่ละเลยประเด็นเล็กๆ ที่สามารถนำปะติดปะต่อเป็นภาพใหญ่ จะมีปลาเน่าไม่กี่ตัวในศาลแพ่งเท่านั้นเอง ศาลแพ่งไม่สามารถตัดสินชี้เป็นชี้ตายให้คนติดคุกได้ก็จริง แต่งานนี้ต้องมีการพิสูจน์ต่อไป ยังไม่จบ ว่าใครล่ะเป็นคนปลอมพินัยกรรม ? ซึ่งคนปลอมต้องเป็นคนที่มีส่วนได้ส่วนเสียในมรดกในพินัยกรรมนั่นเอง งานนี้คนปลอมพินัยกรรมและขบวนการที่เกี่ยวข้องต้องโดนคดีอาญา ต้องติดคุกติดตะรางอย่างแน่นอน หากเอกสารที่ทำปลอมขึ้นมาเป็นเอกสารสิทธิ เป็นเอกสารราชการ เช่น โฉนดที่ดิน สัญญาจดทะเบียน พินัยกรรม มีความผิดตาม ป. อาญา มาตรา 2666 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งถึงสิบปี ปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท

ท่านผู้ชมครับ ที่ผมนำเรื่องคำพิพากษาศาลเกี่ยวกับพินัยกรรมปลอมของตระกูลนิรันดรมาเล่าให้ฟัง ไม่ใช่อะไรหรอกครับ เมื่อรับทราบและอ่านเรื่องราวนี้แล้วทำให้ผมอดคิดถึงคำเปิดใจของ พล.ท.สรภฎ นิรันดร อดีตรองเจ้ากรมยุทธการทหารบก และทายาทของขุนนิรันดรชัย ซึ่งท่านพูดมาจากใจ ด้วยความช้ำใจและทุกข์ใจ ว่า อาจจะเป็นเพราะบาปกรรม เพราะที่ดินพวกนี้คณะราษฎรยึดมาจากพระมหากษัตริย์ ทำให้ครอบครัวนิรันดรต้องโดนสาปแช่ง หลายคนเส้นเลือดในสมองแตก ป่วยด้วยโรคต่างๆ นอกจากนี้แล้ว ตระกูลนี้ก็มีลูกหลานสืบตระกูลน้อยมาก แถมยังทะเลาะเบาะแว้งกัน


ท่านผู้ชมครับ ใครบอกว่าเวรกรรมไม่มีจริง มีจริงครับ วันนี้เวรกรรมมาแล้ว การตั้งนางปราณี นิรันดร มารดาวัย 90 ปี มาเป็นผู้จัดการมรดกแต่ผู้เดียว โดยมีนางเยาวณี นิรันดร และนายธรรมรัชต์ นิรันดร เป็นผู้ประกบดูแลแม่ซึ่งยื่นคำร้องเป็นผู้จัดการมรดก แล้วจู่ๆ น้องสาวคนเล็ก พ่อแม่เดียวกัน ออกมาคัดค้าน และพิสูจน์จนกระทั่งศาลได้พิสูจน์แล้วว่าพิรุธต่างๆ ที่มีขึ้น และคำให้การที่ย้อนแย้งนั้น ทำให้เชื่อได้ว่าพินัยกรรมนี้เป็นพินัยกรรมที่ปลอม


ผมไม่รู้นะครับว่าพวกคุณ ตระกูลนิรันดร จะคิดอย่างไร คุณเยาวณี คุณเป็นไฮโซ เฉิดฉายอยู่ในวงการ แสดงความร่ำรวยออกมา ทั้งๆ ที่ทรัพย์สินความร่ำรวยของคุณนั้นมีหลายส่วนเป็นของสถาบันกษัตริย์ และคุณก็ไม่ยอมคืนให้กับพระเจ้าอยู่หัว หรือสถาบันกษัตริย์ วันนี้ คุณเยาวณีครับ ผมไม่รู้ว่าคุณเชื่อเรื่องนี้หรือเปล่า แต่ผมเชื่อ เวรกรรมตามมาแล้ว และจะมีอยู่เรื่อยๆ ไม่จบเพียงแค่นี้ ขอให้เชื่อผมเถอะครับ

ป.ป.ช.ชี้ ล็อกสเปก-ฮั้ว ลักไก่ต่อสัญญารถไฟสายสีเขียว

ท่านผู้ชมครับ เรื่องที่ผมจะพูดนี้เป็นมหากาพย์ทุจริตรถไฟฟ้าสายสีเขียว ที่ ป.ป.ช. ชี้ล็อกสเปก ฮั้ว ลักไก่ต่อสัญญา เสียหายเกือบสองแสนล้านบาท


ป.ป.ช. ได้จัดตั้งคณะกรรมการชุดใหญ่เพื่อไต่สวน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร อดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กับพวก กรณีว่าจ้างบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด หรือ บีทีเอส เดินรถไฟฟ้าสายสีเขียว มีส่วนต่อขยาย 3 เส้นทาง ซึ่ง ป.ป.ช. อ้างว่าเป็นการหลีกเลี่ยง ไม่ปฏิบัติตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงาน หรือในการดำเนินกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 และ พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ 2542 เอื้อประโยชน์ต่อบีทีเอสเพียงรายเดียว อยากให้คุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ มาฟังด้วยนะครับ เพียงรายเดียว


ในที่สุดแล้ว ป.ป.ช. ก็เลยมีมติอนุมัติให้แจ้งข้อกล่าวหา แต่ยังไม่ชี้มูลความผิด ให้แจ้งข้อกล่าวหาก่อน 13 คน เอาเฉพาะรายชื่อสำคัญก็แล้วกัน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ประธานกรรมการบริษัท กรุงเทพธนาคม กรรมการบริษัท กรุงเทพธนาคม ปลัดกรุงเทพมหานคร รองปลัดกรุงเทพมหานคร ผู้อำนวยการสำนักงานจราจรและขนส่ง ผู้อำนวยการกองการขนส่ง คนที่ 10 สำคัญมาก คือ คุณคีรี กาญจนพาสน์ ดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการของบีทีเอส แล้วก็มีกรรมการอีกคนหนึ่งของคุณคีรี ชื่อ สุรพงษ์ เลาหะอัญญา และบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด ผู้รับจ้างในโครงการบริหารจัดการระบบขนส่งมวลชน ตามสัญญาเลขที่ 1/2555 และบริษัท บีทีเอส


คณะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะองค์คณะไต่สวน ระบุว่า ผู้ต้องหาทั้ง 13 ราย มีข้อกล่าวหาว่า กระทำทุจริตในการทำสัญญาให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุงโครงการขนส่งมวลชนกรุงเทพ ระหว่าง บริษัท กรุงเทพธนาคม ผู้ว่าจ้าง ในฐานะรัฐวิสาหกิจของกรุงเทพมหานคร กับบริษัท ขนส่งมวลชนกรุงเทพ (บีทีเอส) ในเครือของบริษัทมหาชนจำกัด บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ ผู้รับจ้าง ในวงเงินกว่า 190,000 ล้านบาท เพื่อเป็นการจ้างเดินรถไฟฟ้า 3 เส้นทาง ประกอบด้วย หนึ่ง ส่วนต่อขยายสุขุมวิท (สถานีอ่อนนุช-แบริ่ง) สอง สายสีลม (สะพานตากสิน-วงเวียนใหญ่) สาม ว่าจ้างในการเดินรถไฟฟ้าในเส้นทางสถานีหมอชิต-อ่อนนุช และ สนามกีฬาแห่งชาติ-ตากสิน ซึ่งจะหมดสัญญาสัมปทานในปี 2572 ต่อไปอีก 13 ปี โดยให้สัญญาว่าจ้างบีทีเอสเดินรถทั้ง 3 เส้นดังกล่าว ไปสิ้นสุดพร้อมกันในปี 2585


ป.ป.ช. ระบุว่า การทำสัญญาดังกล่าว ซึ่งเป็นสัญญาสัมปทานที่ให้เอกชนเข้าร่วมงาน หรือดำเนินการในกิจกรรมของรัฐ เกินกว่า 1,000 ล้านบาท ได้หลีกเลี่้ยง ไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 อีก ทั้งการให้บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด เข้าทำสัญญากับบริษัท ระบบขนส่งมวลชน (บีทีเอส) เป็นการไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานรัฐ พ.ศ. 2542 และเอื้อประโยชน์แก่บีทีเอสเพียงรายเดียว คุณชูวิทย์ครับ ฟังตรงนี้นะครับ เพียงรายเดียว

พอข่าวลงไปอย่างนี้ปั๊บ ต้นสัปดาห์ที่แล้วราคาหุ้นบีทีเอสปรับตัวลงกันหมด โดยเฉพาะหุ้นบีทีเอสในช่วงบางเวลาลงไปถึง 30 เปอร์เซ็นต์ ฉุดราคาหุ้นในบริษัทอื่นๆ ในเครือ ไม่ว่าจะเป็น VTI, Rabbit หรือ BTS GIF จนนายคีรี กาญจนพาสน์ ต้องตั้งโต๊ะแถลงกับผู้บริหารบีทีเอส ในวันอังคารที่ 14 มีนาคม ที่ผ่านมา


จริงๆ แล้วประเด็นเรื่องรถไฟสายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสีส้ม สีเขียว สีม่วง ผมกับอาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ เคยพูดถึงกันมานานมากแล้ว พูดมาตั้งนานแล้ว ก่อนที่คุณชูวิทย์จะรับงานคุณคีรี กาญจนพาสน์ ออกมาโจมตีสายสีส้ม ก่อนที่คุณชูวิทย์จะออกมาตีปี๊บ แล้วนึกว่าตัวเองเสียงดัง ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว เรื่องรถไฟสายสีส้มที่คุณชูวิทย์ถล่มออกมานี้ มันถูกหยิบยกขึ้นมาถกเถียงกันหมดแล้วในศาล ศาลก็ตัดสินในคดีความต่างๆ ออกมา แต่เผอิญว่าผลและความจริงที่มีหนึ่งเดียว ท่านผู้ชมอย่าลืมนะครับ ผมเชิดชูคำว่า "ความจริงมีหนึ่งเดียว" มันไม่ได้เป็นไปตามที่เจ้านายคุณชูวิทย์ ที่คุณชูวิทย์รับงานมา เลยต้องออกมาแสดงละครเพื่อเตะสกัดทุกอย่างไม่ให้โครงการสามารถเดินหน้าต่อไปได้

ท่านผู้ชมครับ จริงๆ แล้วกรณีรถไฟฟ้าสายสีเขียวนี่สิที่น่าสนใจกว่า เพราะมูลค่าความเสียหาย อย่างที่เล่าให้ฟังตอนต้น ร่วมสองแสนล้านบาท ยังเป็นความทุกข์ยากของประชาชนในกรุงเทพฯ และปริมณฑลที่จับต้องได้ แต่ท่านผู้ชมครับ ประเด็นนี้คุณชูวิทย์ไม่มีทางมาแตะเช่นกัน ทั้งๆ ที่เกิดความเสียหายจริง ไม่ใช่ความเสียหายที่คุณชูวิทย์มโน อ้างเรื่องสายสีส้ม ผมพูดเรื่องนี้มานานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งพูด


รถไฟฟ้าสายสีเขียวเหนือ คือ หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต ระยะทาง 19 กิโลเมตร กับสายสีเขียวใต้ แบริ่ง-สมุทรปราการ เป็นส่วนต่อขยายจากโครงการรถไฟฟ้าบีทีเอสเดิม ซึ่งเคยศึกษามาแล้วตั้งแต่ปี 2551 หรือ 14 ปีที่แล้ว พบว่าส่วนต่อขยายทั้งเหนือและใต้อย่างไรก็ต้องขาดทุน รัฐบาลต้องตัดงบประมาณมาอุดหนุน ก็เลยอยากจะถามท่านผู้ชมว่า เอกชนเจ้าไหนก็ไม่มีใครอยากมารับสัมปทานส่วนต่อขยาย 2 ส่วนนี้ ? เพราะทราบดีว่าอย่างไรก็ขาดทุนแน่นอน ใครเคยขึ้นรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย คงทราบดีว่าจำนวนผู้โดยสารไม่ได้มากเหมือนในเขตพื้นที่เมือง ย่านกลางเมือง สยาม สีลม เพลินจิต สุขุมวิท

ท่านผู้ชมครับ เมื่อไม่มีเอกชนมารับสัมปทาน ภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล หรือ กทม. ก็ต้องมีการจัดสรรงบมาให้ โดยรัฐบาลต้องจัดสรรงบประมาณประจำปี ส่วน กทม. ต้องเสนอสภา กทม. เพื่อขออนุมัติงบประมาณ แล้วท่านผู้ชมรู้หรือเปล่าว่าเกิดอะไรขึ้น ? ไม่มีเลย ทั้งๆ ที่คุณรู้อยู่แล้วว่าถ้าเปิดให้บริการ เปิดเดินรถเมื่อไร ต้องขาดทุนทันที


ประเด็นที่สอง เมื่อมีการเปิดเดินรถส่วนต่อขยายสายสีเขียวใต้ ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ ครั้งแรกในวันที่ 8 ธันวาคม 2561 รัฐบาลประกาศว่า ช่วงแรกจะให้ขึ้นฟรีก่อนเพื่อทดลองเดินรถ จะเริ่มเก็บค่าโดยสารช่วงต้นเดือนเมษายน 2562 พอถึงเมษายน 2562 รัฐบาลก็ไม่มีการสั่งการให้เก็บค่าโดยสารแต่อย่างใด กลับทะลึ่งตั้งคณะกรรมการเจรจาเพื่อแก้ไขสัญญาสัมปทานในวันที่ 11 เมษายน 2562 จริงๆ แล้วเกมก็คือการแก้ไข เพื่อยืดต่อสัมปทานให้ทั้งสายเลย นี่คือเกมที่วางเอาไว้

ผมเคยพูดเรื่องนี้มานานแล้ว ตั้งหลายตอน ตั้งแต่ตอนที่ 124 ตอนที่ 141 เพราะฉะนั้นแล้ว ที่ผมพูดมานี้ มันเป็นเรื่องที่ชัดเจนเลย ชัดเจนว่ารัฐบาลและ กทม. รู้อยู่ว่าเปิดให้บริการเมื่อไร ขาดทุนแน่ เมื่อเปิดบริการมา 4 เดือนแล้วก็ไม่เก็บค่าบริการ อ้างว่าทดลองเดินรถ พอถึงเวลาต้องเก็บ ก็ไม่เก็บอีก ทั้งเอกชน และทั้งรัฐบาล โดยผ่านมาทาง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา และ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง


พยายามใช้อำนาจเผด็จการ มาตรา 44 คณะปฏิวัติ ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเจรจาต่อสัญญาสัมปทาน โดยตอนหนึ่งของคำสั่งระบุว่า ให้กรุงเทพมหานครดำเนินการจ้างผู้ประกอบการเอกชนเพื่อติดตั้งระบบไฟฟ้า จัดการเดินรถไฟฟ้า เพื่อเดินรถไฟฟ้าในโครงการส่วนขยายที่สองให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อแก้ปัญหาจราจร บรรเทาปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน และยังบอกต่อว่า การจ้างตามวรรคหนึ่งไม่ถือว่าเป็นการร่วมทุนตามกฎหมายว่าด้วยการร่วมทุนระหว่างรัฐ-เอกชน

ท่านผู้ชมครับ ย้อนหลังไป ใช่หรือเปล่าล่ะว่านี่คือการสร้างเงื่อนไขก่อหนี้ โดยตัวเองจงใจก่อหนี้ ไม่เก็บเงินค่าบริการ แล้วบอกว่าหลังจากนั้นจะเก็บเงิน แล้วก็ไม่เก็บอีก เพื่อให้ขาดทุน เพื่อทำไม ? เพื่อบีบให้มีการต่อสัญญาสัมปทานโดยมิชอบ เพราะว่าหลีกเลี่ยงไม่ให้ผ่าน พ.ร.บ.ร่วมทุนระหว่างรัฐ-เอกชน และนี่คือเหตุผลหนึ่งที่มาที่ไปของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะองค์คณะไต่สวน ถึงมีมติอนุมัติให้แจ้งข้อกล่าวหาให้กับคน 13 ราย รวมทั้งผู้ว่าฯ ปลัด ผู้อำนวยการ รองปลัด และบีทีเอส เอกชนที่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย โดยที่ ป.ป.ช. บอกว่าเป็นการหลีกเลี่ยง ไม่ปฏิบัติตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ 2535 และ พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานรัฐ 2542 และเอื้อประโยชน์ให้กับบีทีเอส "เพียงรายเดียว"

สองปีที่ผ่านมา ท่านผู้ชมจะได้ยินข่าวหรือเห็นป้ายวิดีโอการทวงหนี้ของบีทีเอสจากภาครัฐ งอกเงยมาตั้ง 30,000 ล้าน มาเป็น 40,000 ล้านบาท ล่าสุด เพิ่มขึ้นเป็น 50,000 ล้านบาท


ท่านผู้อำนวยการใหญ่บีทีเอส คุณสุรพงษ์ เลาหะอัญญา ก็เปิดเผยมา ระบุว่า สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2566 กทม. ค้างหนี้บริษัทเกือบ 50,000 ล้าน แบ่งเป็น ค่าจ้างเดินรถ 3 เส้นทาง 27,000 ล้านบาท ค่าติดตั้งระบบไฟฟ้า 22,800 ล้านบาท ท่านชี้แจงออกมาแล้วครับ

ในวันอังคารที่ผ่านมา 14 มีนาคม 2566 มีการประชุมคณะรัฐมนตรี บีทีเอสจัดม็อบบุกไปที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อทวงหนี้ดังกล่าว และขีดเส้นตายเลยว่า ถ้าไม่จ่ายภายใน 7 วัน จะหยุดให้บริการ นี่ล่ะครับ เอากำลังคน พนักงาน จับประชาชนเป็นตัวประกันมากดดันรัฐบาล


ท่านผู้ชมคงสงสัยว่าทำไมกรุงเทพมหานครในยุคคุณชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ คนใหม่ หรือรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จึงไม่ยอมจ่ายเงินดังกล่าวเสียที ทั้งๆ ที่บีทีเอสทวงแล้วทวงอีก ทวงแล้วทวงอีก ผมตอบให้ก็ได้ท่านผู้ชม อย่างไรรัฐบาลกับกรุงเทพมหานครไม่มีวันจ่ายเงิน 50,000 ล้านบาทดังกล่าวหรอก ผมเล่าให้ฟังแล้วไง สัญญาสัมปทานต่างๆ ที่บีทีเอสทำกับกรุงเทพมหานคร และบริษัท กรุงเทพธนาคม ซึ่งเป็นบริษัทเอกชนในสังกัดกรุงเทพมหานคร กระทำขึ้นโดยมิชอบ

ท่านผู้ชมครับ ผมทวนอีกทีนะ สัญญาสัมปทานต่างๆ ที่บีทีเอสทำกับกรุงเทพมหานคร และกรุงเทพธนาคมนั้น กระทำขึ้นโดยมิชอบ เพราะหลีกเลี่ยงไม่ให้ผ่าน พ.ร.บ.ร่วมทุนระหว่างรัฐ-เอกชน จนเป็นที่มาให้ ป.ป.ช. มีมติแต่งตั้งองค์คณะชุดใหญ่ให้ไต่สวนและแจ้งข้อกล่าวหาให้กับ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร อดีตผู้ว่าฯ กทม. กับพวก 13 คน บีทีเอสได้ฟ้องกรุงเทพธนาคม กทม. เพื่อเรียกร้องเงินคืนมา ศาลชั้นต้น ศาลปกครอง ได้ตัดสินให้บีทีเอสชนะ แต่ว่าทางบริษัท กรุงเทพธนาคม อุทธรณ์เรื่องนี้ น่าสนใจมาก


16 มกราคม 2566 คุณธงทอง จันทรางศุ ประธานคณะกรรมการ บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด เปิดเผยกับสำนักข่าวอิศรา ว่า หลังจากที่ได้อุทธรณ์ศาลปกครองสูงสุด ในคดีที่บีทีเอส ผู้ให้บริการรถไฟฟ้า ยื่นฟ้องกรุงเทพมหานคร และบริษัท กรุงเทพธนาคม กรณีผิดสัญญาการให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุง โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว เพื่อขอให้ชำระหนี้ เมื่อต้นเดือนตุลาคม 2565 ต่อมา บีทีเอสยื่นฟ้องศาลปกครอง เรียกค่าจ้างเดินรถรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต และช่วงแบริ่ง-เคหะฯ สมุทรปราการ ส่วนต่อขยายที่ 2 เพิ่มเติมอีกประมาณ 10,600 ล้านบาท โดยฟ้องร้องกรุงเทพมหานคร จำเลยที่ 1 กรุงเทพธนาคม จำเลยที่ 2

ประเด็น เอกสารคำชี้แจงของบริษัท กรุงเทพธนาคม ซึ่งคุณธงทอง จันทรางศุ เป็นประธานคณะกรรมการ ท่านผู้ชมต้องทราบนะครับว่า คุณธงทอง คือใคร ? คุณธงทอง เป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องกฎหมายอย่างมาก เคยดำรงตำแหน่งอดีตปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี อดีตรองปลัดกระทรวงยุติธรรม อดีตรองโฆษกกระทรวงยุติธรรม อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ฯ ต่อศาลปกครองกลาง ได้ชี้แจงอย่างชัดเจนใน 5 ประเด็น ดังนี้ (อยากให้คุณชูวิทย์มาฟังด้วย เพราะคุณชูวิทย์ไม่แตะต้องเรื่องนี้เลย มุ่งมั่นที่จะทำลายล้างรถไฟฟ้าสายสีส้ม และจะเข่นฆ่าพรรคภูมิใจไทยให้ถึงแก่อาสัญให้ได้)


ข้อที่หนึ่ง สัญญาระหว่างกรุงเทพธนาคม กับ บีทีเอส นั้น นำมาสู่ข้อพิพาทระหว่างบริษัทเอกชนด้วยกัน ไม่ได้มีลักษณะเป็นสัญญาทางปกครอง จึงไม่ได้อยู่ในขอบเขตอำนาจของศาลปกครอง

ข้อสอง กรุงเทพธนาคม ไม่มีอำนาจเข้าทำสัญญาว่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุง เพราะตามประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 58 ลงวันที่ 25 มกราคม 2515 ในข้อที่ 4 ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นผู้มีอำนาจ หรืออำนาจที่เกี่ยวกับกิจการรถราง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเท่านั้น เป็นผู้มีอำนาจพิจารณาอนุญาตให้บุคคลใดประกอบกิจการได้ ทั้งกรุงเทพธนาคม ก็ไม่เคยได้รับการอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมด้วย

ข้อที่สาม สัญญาจ้างที่กรุงเทพธนาคม กระทำกับบีทีเอส (คือพูดถึงสัญญาจ้างที่ทำกันในยุค พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง เป็นผู้ว่าฯ กทม.) เป็นสัญญาที่ไม่ชอบ เพราะจงใจจัดทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์แห่งสัญญาที่ฝ่าฝืนมติ ครม. ขัดต่อกฎหมายหลายฉบับ เช่น ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครเรื่องการพัสดุ เรื่องการงบประมาณ ตลอดจน พ.ร.บ.ร่วมทุน ซึ่งตามหลักกฎหมายนั้น ผู้รับโอนไม่มีสิทธิ์ดีกว่าผู้โอน กล่าวคือบริษัท กรุงเทพธนาคม ไม่มีอำนาจนำเอางานรับจ้างของกรุงเทพมหานครไปทำสัญญาจ้างกับบุคคลอื่นใดตามใจชอบ คือพูดง่ายๆ ว่ากรุงเทพธนาคม ไม่มีอำนาจ


ข้อที่สี่ การที่กรุงเทพธนาคม ไปทำสัญญาว่าจ้างบีทีเอสให้เดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวโดยตรง โดยไม่เปิดโอกาสให้เอกชนรายอื่น อาจจะเสนอตัวเข้าร่วมโครงการ ย่อมส่งผลกระทบต่อประโยชน์สาธารณะ และขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนอีกด้วย สัญญาดังกล่าวจึงเป็นสัญญาที่ไม่ชอบ

หน้าที่ 21 และ 22 ของคำให้การฉบับดังกล่าว ระบุว่า ผู้ฟ้อง คือบีทีเอส อาศัยความได้เปรียบจากการที่ตนเป็นผู้รับสัมปทานในโครงการระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพมหานครส่วนหลัก ส่งผลให้ไม่มีเอกชนรายอื่นเข้ามาเสนอราคาแข่งขัน ทำให้ผู้ฟ้องคดี (บีทีเอส) ได้รับสิทธิในการเสนอราคากับผู้ฟ้องคดีที่ 1 (กทม.) แล้วแทนที่บีทีเอสจะยื่นข้อเสนอในทำนองเดียวกันกับระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพมหานครเป็นส่วนหลัก เพื่อเข้าเป็นผู้รับสัมปทานและดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี คือตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 ดังกล่าว บีทีเอสกลับจงใจยื่นข้อเสนอที่ขัดต่อมติคณะรัฐมนตรี อันเป็นข้อเสนอทำให้รัฐต้องรับภาระงบประมาณในส่วนโครงสร้างพื้นฐานด้านงานโยธา


ในการฟ้องคดีของบีทีเอสในคดีนี้ เป็นการใช้สิทธิ์โดยไม่สุจริต เพราะบีทีเอสทราบดีอยู่แล้วว่า กรุงเทพธนาคม ไม่สามารถดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายที่ 1 และที่ 2 ได้ด้วยตนเอง แต่บีทีเอสยังสมัครใจเข้าทำสัญญากับกรุงเทพธนาคม ซึ่งกรุงเทพธนาคม ไม่มีอำนาจตามกฎหมายที่จะเข้าทำสัญญาได้ แล้วจึงกลับมาฟ้องบริษัท กรุงเทพธนาคม ในคดีนี้ถือว่าใช้สิทธิ์โดยไม่สุจริต


สรุปสั้นๆ มหากาพย์ทุจริตสายสีเขียว กับประเด็นค่าโดยสารส่วนต่อขยาย ที่คุยยืดยาวกันมานานเป็นสิบๆ ปี หนึ่งร้อยชัชชาติก็แก้ไม่ได้ แปดปีสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ก็แก้ไม่ได้ รัฐบาลหน้าก็ยังไม่รู้ว่าจะแก้ได้หรือเปล่า สุดท้ายก็จะกลืนเวลาอีกหลายปี ผู้คนอีกมากมายต้องตกเป็นจำเลยข้อหาทุจริต และที่สุดแล้ว เชื่อผมสิครับ จะต้องจบลงที่ศาล

ผมจะสรุปเรื่องนี้ให้ท่านผู้ชมเป็นภาพรวมดีกว่า ท่านผู้ชมจะได้เข้าใจ ท่านผู้ชมจะเห็นได้ว่า สัมปทานของบีทีเอสที่เดิมทำไว้ตั้งแต่สมัย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง เป็นผู้ว่าฯ กทม. นั้น จะต้องสิ้นสุดในปี 2572 ก็คืออีก 6 ปีข้างหน้า สัมปทานนี้จะต้องกลับไปเป็นของรัฐทั้งหมด 100 เปอร์เซ็นต์ แต่พอมีการเซ็นสัญญาส่วนต่อขยายที่ 1 ในสมัย ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร พรรคประชาธิปัตย์ จากสัญญาที่ต้องสิ้นสุดในปี 2572 ก็มีการขยายสัญญาออกไปอีก 13 ปี พ่วงไปกับสัญญาเดินรถส่วนต่อขยายที่ 1 ต่อไปจนถึงปี 2585 อย่างไม่ถูกต้อง ก็เลยเป็นเหตุทำให้ ป.ป.ช. ออกมาแจ้งข้อกล่าวหาในวันนี้

นอกจากนั้นแล้ว ในยุค คสช. ที่มี พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง เป็นผู้ว่าฯ กทม. มีการเซ็นสัญญาร่วมส่วนต่อขยายที่ 2 และมีการก่อสร้าง จ้างเดินรถส่วนต่อขยายที่ 2 ซึ่งเป็นเส้นทางที่ขาดทุน ที่สำคัญ สัญญานี้ไม่มีการผ่านสภา กทม. และไม่เก็บค่าโดยสาร ก็เลยทำให้ก่อหนี้มหาศาล แค่สัญญาไม่ได้ผ่านสภา กทม. ก็ผิดแล้ว คุณอัศวิน ขวัญเมือง ต้องรับผิดชอบกับการตัดสินใจแบบนี้ อย่าลอยนวล และอย่าตัวลอย


จากนั้น รัฐบาลประยุทธ์ก็อาศัยมาตรา 44 ช่วยเหลือบีทีเอส พยายามขยายสัญญาบีทีเอสทั้งหมด จากปี 2572 ซึ่งต้องหมดสัญญา ไปอีก 30 ปี ให้หมดสัญญาในปี 2602 ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าเรื่องนี้ ตอนนี้กำลังเข้า ครม. เพื่อให้ ครม. รับรอง ปรากฏว่า พรรคภูมิใจไทยในขณะนั้น ซึ่งอยู่ใน ครม. ไม่กล้ามีส่วนร่วมในการอนุมัติ เพราะว่ารัฐมนตรีพรรคภูมิใจไทยคิดว่าไม่น่าที่จะทำได้ และอาจจะต้องมีข้อปัญหาในการติดคุกติดตะราง

ท่านผู้ชมจำได้หรือเปล่า มีการยกทีมออกจากที่ประชุม ครม. เป็นข่าวคราวอย่างยิ่งใหญ่ที่สุด เพราะฉะนั้นแล้ว มันก็เลยเกิดคำถามว่า บีทีเอสแค้นใครมาก ? บีทีเอสแค้นที่สุดก็คือพรรคภูมิใจไทย ซึ่งก็หนีไม่พ้น ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และแน่นอนที่สุด อนุทิน ชาญวีรกูล และฟาดงวงฟาดงาต่อไปจนถึงคุณเนวิน ชิดชอบ แล้วคุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ตอนที่ไปแสดงละครดรามา เผาแบงก์กงเต๊ก กล่าวพาดพิงดูถูกเหยียดหยามไปถึงพ่อของคุณเนวิน ก็คือนายชัย ชิดชอบ ท่านผู้ชมเข้าใจภาพหรือยังตอนนี้ นั่นคือความแค้น เพราะว่าหมูกำลังจะเข้าไปให้กินกันแล้ว ดันมีคานเข้ามาสอด


ถ้าวันนั้นนายกรัฐมนตรีประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งก็กลัว ไม่กล้า กลัวผิดกฎหมาย ก็เลยบอกให้ถอดออกมา และที่สำคัญที่สุด กฎหมายอนุญาตให้ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ตัดสินใจได้เลยจากเรื่องนี้ คุณอนุพงษ์ก็ไม่กล้าตัดสินใจด้วยตัวเอง ก็ต้องเอาเข้า ครม. เพื่อให้ ครม. ร่วมรับผิดชอบ เพราะคุณอนุพงษ์ก็เป็นคนขี้กลัวในเรื่องกฎหมาย กลัวมากๆ เพราะฉะนั้นท่านผู้ชมเข้าใจหรือยังว่า ที่มาที่ไปของการที่คุณชูวิทย์รับงานของคุณคีรีมา เพื่อมาถล่มสายสีส้ม มาถล่มพรรคภูมิใจไทย มันมีที่มาที่ไปของความแค้นเก่าอยู่ เพราะตอนนั้นถ้าสายสีเขียวผ่านไปได้ คนที่รวยที่สุดในประเทศไทยก็ต้องเป็นคุณคีรี กาญจนพาสน์ และบีทีเอส หุ้นบีทีเอสจะขึ้นอย่างมหาศาล ในขณะเดียวกัน บีทีเอสก็จะผูกขาดการเดินสายรถไฟสายสีเขียวส่วนต่อขยาย เพราะสายสีเขียวมันวิ่งผ่านเมือง คนเข้ามาเยอะแยะไปหมดเลยที่จะใช้บริการ

ท่านผู้ชมสังเกตหรือเปล่าว่า ยุทธการการโจมตีรถไฟสายสีส้มก็เกิดมา ใส่ร้ายเรื่องเงินทอน 30,000 ล้านบาท มีทั้งเบอร์บัญชี จนกระทั่งวันนี้คุณชูวิทย์ก็ยังไม่กล้าพอที่จะบอกว่าตัวเองมีเบอร์บัญชีหรือเปล่า เพราะว่าตัวเองโกหกมาตลอด เพราะต้องการใส่ร้ายก่อน มิหนำซ้ำคุณชูวิทย์ก็เลยออกไปถล่มกรรมการ ป.ป.ช. คนหนึ่ง ซึ่งดูแลเรื่องเกี่ยวกับคดีทางการเมือง เพื่อที่จะไม่ต้องชี้มูลความผิด ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ และ พล.ต.อ.อัศวิน ซึ่งตอนนี้อยู่กับพรรครวมไทยสร้างชาติ และ ป.ป.ช. ได้แจ้งข้อกล่าวหาทั้ง ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ และบทีเอสด้วย คุณชูวิทย์ก็เลยเดินเกม โค่นล้มพรรคภูมิใจไทย กดดันให้ กกต. ศาลรัฐธรรมนูญ ยุบพรรคภูมิใจไทยให้ได้ก่อนการเลือกตั้ง เพราะรู้อยู่แล้วว่า ทั้งคุณคีรี และชูวิทย์ ดูเกมการเมืองออก ท่านผู้ชมจำภาพของ พล.อ.ประวิตร กับคุณอนุทิน และศักดิ์สยาม ที่นั่งกินข้าวกับ พล.อ.ประวิตร กลัวว่าพรรคภูมิใจไทยจะเข้ามา เพราะทุกคนต้องพึ่งพรรคภูมิใจไทย พรรคภูมิใจไทยก็จะเข้ามานั่งที่คมนาคมอีก ตัวเองไม่ต้องการ ต้องยุบพรรคภูมิใจไทยให้ได้


ท่านผู้ชมหายสงสัยหรือยังว่า ด้วยเหตุนี้ จอมแฉอย่างชูวิทย์ไม่ยอมแตะเรื่องการทุจริตในรถไฟฟ้าสายสีเขียว ซึ่งหลักฐานมีชัดเจน ไม่ได้มีการต่อสัญญา สัญญาโมฆะ คือพูดง่ายๆ ว่าเป็นการต่อสัญญาที่เถื่อนและผิดกฎหมาย และคนจะต้องติดตะรางกับเรื่องนี้อีกหลายคน อย่างน้อยที่สุด คุณอัศวิน ขวัญเมือง ก็จะหนีไม่ได้เรื่องนี้ เพราะว่าคุณต่อสัญญาสัมปทาน แต่คุณไม่ยอมเอาเข้าสภา กทม. นี่คุณก็ผิดแล้ว

ทั้งหมดนี้เป็นบทสรุปเรื่องราวทั้งหมด ผลกรรมกำลังจะเกิดขึ้นกับกรณีบีทีเอส รถไฟฟ้าสายสีเขียว และผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด

ท่านผู้ชมครับ หลังเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. เมื่อเดือนพฤษภาคม 2565 ผมเคยเล่าเรื่องนี้ให้ฟังอย่างละเอียดไปแล้ว จะมาทบทวนความจำอีกครั้งก็ได้สั้นๆ รถไฟฟ้าสายสีเขียวคือปมปัญหาใหญ่ที่ผู้ว่าฯ กทม. ทุคน ไม่ว่าใครก็ตามต้องเข้ามาสะสาง ด้วยปัญหาค่าโดยสารที่ประชาชนบ่นว่าแพงเกินไป และภาระหนี้ก้อนโตกว่าแสนล้าน ที่เกิดจากสาเหตุ หนึ่ง การรับโอนค่างานโยธามาจากการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ราว 60,000 ล้าน สอง กทม. ยังค้างหนี้บริษัท ระบบขนส่งมวลชน (บีทีเอส) จากการรับจ้างเดินรถและค่าติดตั้งระบบรถไฟฟ้าสายสีเขียว รวมกว่า 38,000 ล้าน ตอนนี้เป็น 40,000 ล้านแล้ว กลายเป็นคดีที่เอกชนฟ้องร้องอยู่ในศาลปกครอง

อดีตจะตามมาหลอกหลอนคนที่ทำผิด แล้วกวาดความผิดนั้นเข้าสู่ใต้พรม ไม่ให้คนเห็น ในอดีต พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง อดีตผู้ว่าฯ กทม. คือนโยบายการขยายสัมปทานสีเขียวให้กับเอกชน โดยยกร่างสัญญาร่วมทุนในโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวให้กับบีทีเอส ในฐานะผู้รับสัมปทานบีทีเอสส่วนกลาง ออกไปทั้งระบบอีก 30 ปี จากเดิมสิ้นสุดสัมปทานในปี 2572 กลายเป็นขยายไปถึง 2602 เรื่องที่ยืดเยื้อ เนื่องจากกระทรวงคมนาคม รัฐมนตรีพรรคภูมิใจไทย เป็นที่มาของการบอยคอต ยื่นจดหมายลา ไม่เข้าประชุม ครม. ของ 7 รัฐมนตรีพรรคภูมิใจไทย ไม่เห็นด้วยกับความไม่โปร่งใสของการทำสัญญา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยังมองว่าค่าโดยสารที่สูงเกินไป อัตรา 65 บาทตลอดสาย อาจจะกลายเป็นภาระที่ประชาชนต้องรับผิดชอบในระยะยาว


คุณอนุพงษ์ซึ่งมีอำนาจในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย คุณอนุพงษ์ไม่กล้าเซ็นอนุมัติ เพราะว่าในหลักการแล้ว ถึงแม้จะใช้มาตรา 44 แต่มาตรา 44 ระบุว่าต้องเอาเข้า ครม. ด้วย ก็เลยเอาเข้า ครม. นึกว่าหมูแล้ว แล้วท่านผู้ชมรู้ไหมว่าคนที่ถือเรื่องนี้เข้า ครม. คือใคร ? พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

ท่านผู้ชมครับ สิ่งที่ผมพูดนี้ พูดเมื่อ 7-8 เดือนที่แล้ว และผมพูดความจริงที่ไม่มีใครกล้าพูดในเรื่องรถไฟฟ้าสายสีเขียว เป็นอย่างที่ผมบอกนี่ล่ะ ท่านผู้ชม เป็นอย่างนี้เลย โชคดีที่คุณชูวิทย์ยอมรับออกมาทีหลัง หลังจากที่ผมเคยพูดกับคุณชูวิทย์ไปแล้วว่าคุณชูวิทย์เป็นคนที่รับงานมา คุณชูวิทย์บอกคนอย่างผมไม่เคยรับงานใคร จนในที่สุดคุณชูวิทย์ทนไม่ไหว ต้องระบุชัดเจนออกมาด้วยตัวเองว่า ใช่ ผมรับงานมา มีปัญหาอะไร แต่ผมสาบานว่าผมไม่ได้รับเงินเลย ท่านผู้ชมตอนนี้พอจะเข้าใจหรือยัง ว่าคุณชูวิทย์กำลังรับใช้คุณคีรี กาญจนพาสน์ อย่างเต็มตัวที่สุด


ทั้งหมดนี้ความแค้นมันเกิดขึ้นจากการที่รถไฟฟ้าสายสีเขียวที่ พล.อ.อนุพงษ์ ถือเข้า ครม. แล้วโดนรัฐมนตรี 7 คนของพรรคภูมิใจไทยยื่นจดหมาย ไม่เข้าที่ประชุม พล.อ.ประยุทธ์ โดยพื้นฐานท่านก็เป็นคนกลัวอยู่แล้ว ใครจะทำอะไรก็ได้ ท่านขอเอาเท้าท่านลอยอยู่เหนือความขัดแย้ง ท่านก็เลยไม่กล้า ก็เลยต้องถอนออกมา จนกระทั่งมีเรื่องฟ้องร้อง


พอมาถึงยุคชัชชาติ คุณธงทอง จันทรางศุ ประธานบริษัท กรุงเทพธนาคม แจ้งให้ทนายความผู้รับมอบอำนาจ ให้ชี้แจงศาลปกครองเลย ว่ากรุงเทพธนาคมไม่มีอำนาจในการเป็นคู่สัญญา ก็คือสรุปง่ายๆ ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียทำอยู่ ผิดกฎหมายหมด

ท่านผู้ชมครับ นี่คือความจริงที่มีเพียงหนึ่งเดียว ท่านผู้ชมจำเอาไว้แล้ว นี่คือความจริงที่มีเพียงหนึ่งเดียว ไม่ใช่การโกหกพกลม พูดจากลับกลอกเพื่อหวังผลประโยชน์อะไรก็ตามที่เคยได้รับคำมั่นสัญญาว่าจะได้รับถ้าทำงานชิ้นนี้สำเร็จ

ท่านผู้ชมครับ รายการวันนี้ก็จบลงเพียงแค่นี้ วันนี้มีแต่เรื่องใหญ่ๆ และที่สำคัญ วันนี้มีแต่เรื่องความจริงมีหนึ่งเดียวเท่านั้นเอง ผมพูดมานานแล้วว่าความจริงมีหนึ่งเดียว ท่านผู้ชมติดตามผมมา ก็รู้ว่าผมพูดความจริง และผมก็ไม่ได้หวั่นเกรงว่าจะไปกระทบใครบ้าง เพราะว่าผมเล่าเรื่องให้ฟัง ที่มาที่ไปของเรื่องนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรถไฟฟ้าสายสีเขียว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพินัยกรรมปลอม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโน้นเรื่องนี้ คือเอาความจริงที่มีเพียงหนึ่งเดียวออกมาให้ท่านผู้ชมได้รับทราบ วันนี้คงต้องลาไปก่อน อาทิตย์หน้าจะมีเรื่องราวใหญ่ๆ โตๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เราไม่ได้พูดเรื่องต่างประเทศมานานแล้ว กำลังเข้มข้นและเข้มงวด และเรื่องการล่มสลายของธนาคารในอเมริกาจะมีผลกระทบต่อโลกอย่างไรบ้าง สวัสดีครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น