xs
xsm
sm
md
lg

“ป้อมกับหนู” กู้อีจู้ รวมพลผู้ประสบภัย “ตู่” ผูกเสี่ยวขั้วการเมืองใหม่?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - นับถอยหลังเหลือเพียงไม่ถึง 1 สัปดาห์ สภาผู้แทนราษฎร ก็จะหมดวาระลงในวันที่ 23 มีนาคม 2566 ซึ่งก็เป็นห้วงเวลาที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะต้องตัดสินใจเสนอ “ยุบสภา” เพื่อเลี่ยงกฎเหล็กการเข้าสังกัดพรรค 90 วันก่อนถึงวันเลือกตั้งของบรรดา “นักเลือกตั้ง” ทั้งหลาย

กล่าวคือ ตามรัฐธรรมนูญ และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) การเลือกตั้ง ส.ส. กำหนดว่า ในกรณีเลือกตั้งใหม่ เพราะ “ครบวาระสภาฯ” ผู้ที่จะสมัครรับเลือกตั้งต้องเข้าเป็นสมาชิกพรรคอย่างช้าที่สุดไม่เกิน 90 วัน นับจนถึงวันเลือกตั้ง ซึ่งกรณีนี้ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนดไทม์ไลน์วันเลือกตั้งในวันที่ 7 พฤษภาคม 2566 เท่ากับว่า เลย “เดดไลน์” การเข้าสังกัดพรรค มาตั้งแต่วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ผ่านมาแล้ว

แต่หากเลือกตั้งใหม่ เพราะ “ยุบสภา” ผู้ที่จะสมัครรับเลือกตั้งต้องเข้าเป็นสมาชิกพรรคอย่างช้าที่สุดไม่เกิน 30 วัน นับจนถึงวันเลือกตั้ง

โดยที่ทั้ง 2 กรณี รัฐธรรมนูญ กำหนดให้ กกต. ต้องกำหนดวันเลือกตั้งภายใน 45-60 วัน ซึ่งหากเลือกตั้งใหม่จากเหตุ “ยุบสภา” ก็ถือว่าทันท่วงที เพราะอย่างน้อยนักเลือกตั้งก็ต้องมีสังกัดพรรคในวันสมัครรับเลือกตั้ง

อย่างไรก็ดี เมื่อ “บิ๊กตู่” ที่ไม่แน่ว่า ตั้งใจ หรือสถานการณ์บังคับ จน “ลาก” มาถึงสัปดาห์สุดท้ายของสภาฯ ก็ทำให้มีหลายฝ่าย หลายพรรค “แอบลุ้น” ให้ “นายกฯ ตู่” ปล่อยไหลให้ครบวาระสภาฯ เพื่อดัดหลังนักการเมือง-นักเลือกตั้ง ที่ย้ายพรรคหลังวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2566

ถึงขั้นร้องแรกแหกกระเฌอ “เบรก” การเสนอยุบสภาของ “นายกฯ ตู่” ว่า อาจเข้าข่ายละเมิดพระราชอำนาจ

อย่างไรก็ดี หากปล่อยไหลจนสภาฯ ครบวาระ โดยไม่มีการยุบสภา พรรคที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ย่อมหนีไม่พ้น “ค่ายลุงตู่” พรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ถือว่าอยู่ในช่วงกำลังตั้งไข่ ยังกวาดต้อนแม่ทัพนายกองจากพรรคอื่นมาได้ไม่ครบถ้วน ต่างจากพรรคหลักอื่นๆ ที่ส่วนใหญ่ลงตัวไปกันเกือบหมดแล้ว

ดังนั้นเชื่อขนมกินได้ว่า “บิ๊กตู่” ต้องใช้ดาบ “ยุบสภา” อย่างแน่นอน ส่วนฤกษ์งามยามดีจะตรงกับวันที่ 21 มีนาคม 2566 ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดครบรอบ 69 ปี ของเจ้าตัวหรือไม่ ก็ไม่ใช่สาระสำคัญ เพราะไม่ว่าประกาศยุบสภาวันใดในสัปดาห์สุดท้าย วันเลือกตั้งก็สามารถล่าไปได้แค่วันที่ 14 พฤษภาคม 66 เป็นอย่างช้าเท่านั้น

จึงมีการคาดการณ์กันว่า วันเปิดคูหาเลือกตั้งคงไม่พ้นวันที่ 7 หรือ 14 พฤษภาคม 2566 วันใดวันหนึ่ง

ช่วงที่ผ่านมาแทบทุกพรรคการเมืองก็ปรับโหมดเข้าสู่การหาเสียงเลือกตั้งอย่างเต็มสูบ มีการเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. พร้อมตั้งเวทีปราศรัยกันไม่เว้นแต่ละวัน

จะมีก็แต่เพียง “ค่ายรวมไทยสร้างชาติ” ของ “พล.อ.ประยุทธ์” ที่ยังดูมะงุ้มมะงาหราลุยได้ไม่เต็มที่ แม้จะพยายาม “เล่นใหญ่” เปิดเวทีปราศรัยใหญ่บ้าง โดยประเดิมที่ จ.ชุมพร ก่อนจะไปเจอบรรยากาศกร่อยที่ จ.นครราชสีมา จากนั้น “บิ๊กตู่” ก็ต้องรักษาอาการมือบวม จนยังไม่มีโปรแกรมลงพื้นที่ร่วมกับพรรคเพิ่ม

น่าสนใจว่า เวลาที่เหลือ พรรครวมไทยสร้างชาติ จะปั่นกระแส “คนรักลุงตู่” ที่ถือว่ามีต้นทุนอยู่ไม่น้อยได้เปรี้ยงปร้างได้เหมือนสมัย “เลือกสงบ…จบที่ลุงตู่” ของพรรคพลังประชารัฐ เมื่อการเลือกตั้งปี 2562 อย่างไร

เพราะในขณะที่เต็งจ๋าอย่าง “ค่ายดูไบ” พรรคเพื่อไทย ปรับเป้าแลนด์สไลด์จากเดิม 250 เสียง ขึ้นไปเป็น 310 เสียง พร้อมประกาศกร้าวจะตั้งรัฐบาลพรรคเดียว

แต่ “ค่ายลุงตู่” ยังเจอปรามาสหวังแค่ให้เกิน 25 เสียง เพียงพอแค่เสนอชื่อ “พล.อ.ประยุทธ์” เป็นนายกฯในที่ประชุมรัฐสภา แล้วอาศัยอภินิหาร “พรรค ส.ว.” ช่วยกันโหวตให้เป็นนายกฯ อีกสมัย

เทียบฟอร์มแบบนี้แล้ว “ติ่งลุงตู่” ยังเขินที่จะกาให้พรรครวมไทยสร้างชาติ

หรืออย่างความได้เปรียบในฐานะรัฐบาล ที่สามารถลงพื้นที่ หรือออกนโยบายแฝง ก็ยังไม่สามารถใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ ที่ทำไปก็ยังดูทำได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย อย่างการลงพื้นที่ในของ “บิ๊กตู่” ในฐานะนายกฯ ที่ จ.ราชบุรี เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็ยังมีประเด็นดรามา การ์ดเข้ารวมตัวผู้ประท้วงที่มาตะโกนต่อว่า “พล.อ.ประยุทธ์” ด้วยถ้อยคำหยาบคาย จนเกิดภาพการใช้ความรุนแรง กลายเป็นประเด็นกลบการลงพื้นที่ไปเสียหมด

ภาพบรรยากาศการพบปะและรับประทานอาหารร่วมกันระหว่างนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ นายชาดา ไทยเศรษฐ์ และพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่มูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2566
และไม่เพียงแต่คู่แข่งขั้วตรงข้ามที่นำหน้าไปไกล “พรรคพี่น้อง” ในฟากเดียวกันก็ยังดูเหนือกว่า ทั้ง “ค่ายลุงป้อม” พรรคพลังประชารัฐ ที่แม้จะเพิ่งเสีย “ตัวเก๋า” อย่าง สมศักดิ์ เทพสุทิน-สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ที่ย้ายกลับพรรคเพื่อไทย แต่ “มืองาน” ที่มีอยู่ข้างกาย “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค ก็ยังดูฝากผีฝากไข้ มีแนวโน้มจะทำที่นั่ง ส.ส.ได้มากกว่าขุนพลที่ “ค่ายลุงตู่”

หรืออย่าง “ค่ายเซราะกราว” พรรคภูมิใจไทย ที่นำโดย “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล ที่แม้จะไม่มีเรตติ้งในโพลสำรวจสำนักต่างๆ แต่ก็มีรูปแบบการบริหารจัดการที่ลือเลื่องทั้งวงการ กับเป้าหมาย 120 ที่นั่ง

ในสถานการณ์งวดเข้าสู่ “ศึกชิงอำนาจ” ที่ไม่รู้ใครมิตร ใครศัตรู ทุกพรรคต้องขับเคี่ยวต่อสู้กันอย่างไม่เกรงใจกัน เพื่อเป้าหมายให้ได้ที่นั่ง ส.ส.มากที่สุด ที่จะผันแปรเป็น “พลังต่อรอง” โดยเฉพาะในช่วงจัดตั้งรัฐบาล

ก็บังเอิญปรากฎ “ภาพ (ตั้งใจ) หลุด” เป็นวงรับประทานอาหารกลางวันระหว่าง “ลุงป้อม” กับคณะแกนนำพรรคภูมิใจไทย นำโดย “หัวหน้าหนู” และ “เสี่ยโอ๋” ศักดิ์สยาม ชิดชอบ เลขาธิการพรรค รวมถึง “หลา” ชาดา ไทยเศรษฐ์ ส.ส.อุทัยธานี ที่มูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัดฯ ฐานบัญชาการของ “บิ๊กป้อม”

แม้จะไม่มีการระบุถึงหัวข้อการพูดคุย แต่เมื่อมีการส่งภาพออกสื่อ ก็ตีความเป็นอื่นไม่ได้ว่าต้องการส่งสัญญาณทางการเมือง

มองกันไปไกลว่า เป็นการประกาศ “ขั้วใหม่” ทางการเมือง ที่จะ “ผูกเสี่ยว” กันหลังเลือกตั้งเลยทีเดียว

และหากมองลึกไปกว่านั้นภาพการร่วมวงกันระหว่าง “บิ๊กป้อม” กับ “แกนนำภูมิใจไทย” อาจมองได้ว่า เป็นการรวมตัวของ “ผู้ประสบภัย” จาก “รัฐนาวาบิ๊กตู่” โดยที่ “พี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์” ที่เคยใหญ่คับประเทศในสมัย “รัฐบาล คสช.” ก็ถูก “น้องตู่” ลิดรอนอำนาจไม่ให้ดูแลทหาร-ตำรวจ อย่างเคยในสมัยรัฐบาลปัจจุบัน เป็นรองนายกฯ ที่จับเจ่าดูแต่งานดิน-ฟ้า-อากาศ

อีกภาพประวัติศาสตร์ที่นายอนุทิน ชาญวีรกูลเดินทางไปให้กำลังใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หลังศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี เพื่อรอคำวินิจฉัยกรณีดำรงตำแหน่งครบ 8 ปีตามรัฐธรรมนูญหรือไม่
อันเป็นปฐมเหตุรอยร้าวของ “3 ป.ฟอร์เอฟเวอร์” ที่ขั้นที่ช่วงหนึ่งบรรดา “คนข้างกาย” สามารถเสี้ยมให้ “พี่ใหญ่” คิดโค่น “น้องเล็ก” กลางสภาฯ มาแล้ว ดีที่เปลี่ยนใจในนาทีสุดท้าย จนนายกฯ ยังชื่อ “พล.อ.ประยุทธ์” มาถึงวันนี้

อย่างไรก็ดี ความสัมพันธ์ของ “พี่ป้อม-น้องตู่” ก็ไม่เหมือนเดิมตลอดมา แม้จะยัง “แสดง” ความห่วงหาอาทรกันโดยตลอดก็ตาม

สะท้อนชัดจากจดหมายน้อยของ “บิ๊กป้อม” ที่พรั่งพรูสิ่งที่ได้เรียนรู้จากอดีตมาถึงปัจจุบัน เพื่ออาสาตัวเป็น “โซ่ข้อกลาง” ในสถานการณ์การเมืองแบ่งฝักฝ่าย มี “ระหว่างบรรทัด” ที่พูดถึง “น้องตู่” แบบซัดเต็มข้อล่อเต็มแข้ง ทั้งการตัดสินใจรัฐประหาร, ความอยากเป็นนายกฯต่ออีกสมัย รวมไปถึงการตีความได้ว่า “บิ๊กตู่” คือคู่ขัดแย้งในสังคมปัจจุบัน

แน่นอนว่า การสื่อสารของ “พล.อ.ประวิตร” ผ่านจดหมายที่มีทีมงานเขียนให้ ก็เพื่อวางสถานะของ “ค่ายพลังประชารัฐ” ในวันที่ไม่มี “บิ๊กตู่” แล้ว ไว้หว่างกลางความขัดแย้ง นัยว่าต้องการเรียกคะแนน 2 ฝ่ายซ้าย-ขวา “เสรีนิยม-อนุรักษ์นิยม” รวมไปถึงผู้ที่ไม่ซ้าย-ไม่ขวา ที่เบื่อความขัดแย้งด้วย

แต่การจะเป็น “ฮีโร่” สลายความขัดแย้ง ก็ย่อมต้องมี “ผู้ร้าย” ซึ่งในกรณีนี้ก็ไม่พ้นต้องปั้น “น้องตู่” ให้เป็นผู้ร้ายนั่นเอง

ตัดภาพกลับมาที่ “ค่ายเซราะกราว” พรรคภูมิใจไทย ที่ต้องมอบตำแหน่ง “ผู้ประสบภัยดีเด่น” ให้ เพราะตลอดเกือบ 4 ปีที่ร่วมรัฐบาลกันมา ต้องยอมรับว่า พรรคภูมิใจไทย ที่แม้ทำตัวเป็น “เด็กดี” อยู่ในโอวาทโดยตลอด กลับถูกกระทำหลายต่อหลายกรณี

ช่วงวิกฤตโควิด-19 ที่มีหลายต่อหลายครั้งที่ข้อเสนอของ “หมอหนู” ในฐานะกำกับดูแลกระทรวงสาธารณสุข ไม่ผ่านชั้นศูนย์บริการสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 (ศบค.) ที่มี “นายกฯ ตู่” นั่งเป็นหัวโต๊ะ รวมถึงหลายๆ มาตรการของกระทรวงคมนาคม และกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา ที่ถูกตีตกโดย “บิ๊กตู่” เช่นเดียวกัน

กระทั่งนโยบายเรือธง “กัญชาเสรีทางการแพทย์-เศรษฐกิจ” ของพรรคภูมิใจไทย ที่ผลักดันในเพียงระดับหนึ่ง ผ่านกลไกของกระทรวงสาธารณสุขเอง แต่ภาพใหญ่อย่างการออกพระราชบัญญัติกัญชา กัญชง ที่ถือเป็นหัวใจสำคัญกลับไม่ได้รับการสนับุสนุนจากรัฐบาลเท่าที่ควร โดยเฉพาะระยะหลังที่เหมือน “ค่ายเซราะกราว” ต่อสู้อย่างโดดเดี่ยวในที่ประชุมสภาฯ จนที่สุดร่าง พ.ร.บ.ฯต้องตกไปตามวาระของสภาฯ

หรือกรณีการเพิ่มค่าตอบแทนให้ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) และ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำกรุงเทพมหานคร (อสส.) ที่เพิ่งผ่านการเห็นชอบจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ไป อันเป็นแนวคิดและข้อเสนอของ “หมอหนู” ก็ถูกเคลมว่าเป็น ผลงานของ “บิ๊กตู่” โดยที่ไม่แวะมาให้เครดิตผู้ที่เสนอแม้แต่น้อย

หนักข้อที่สุดคงไม่พ้นการที่ “บิ๊กตู่” ปล่อยให้เครือข่ายหันมาเล่นงานพรรคภูมิใจไทย จากกรณี “เฮียชู” ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ อดีตเจ้าพ่ออ่างทองคำ ที่กลับมาสร้างชื่ออีกครั้งหลังตามติดการกวาดล้างทุนสีเมา-เว็บพนันออนไลน์ บุกมาที่ทำเนียบรัฐบาล ทิ้งบอมบ์ใส่การประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้ม ภายใต้กำกับของกระทรวงคมนาคม ในการดูแลของพรรคภูมิใจไทย รวมถึงอีกหลายกรณีของคนในพรรคภูมิใจไทย

แบบที่ในวงการเรียกว่า “มีงาน”

ที่ถูกมองว่าเป็น “งาน” ของ “เครือข่ายบิ๊กตู่” ก็เพราะการมาเยือนทำเนียบรัฐบาลของ “เฮียชู” ไม่ได้เดินดุ่มๆมาคนเดียว ดันมีคนของ “ค่ายลุงตู่” ทั้ง “เสธ.หิ” หิมาลัย ผิวพรรณ อดีตนายทหารคนดัง ที่วันนี้รับบทผู้ประสานงานพรรครวมไทยสร้างชาติ และมีความสัมพันธ์อันดีกับ “เฮียชู” มาคอยต้อนรับ และนำพา “ชูวิทย์” ไปยื่นหนังสือกับ “หัวหน้าตุ๋ย” พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เลขาธิการนายกฯ ที่มีอีกหมวกเป็นหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ

ตามตัวละครที่ว่าไป มองเป็นอื่นไม่ว่า พรรครวมไทยสร้างชาติ กำลังเปิดเกม “หักเหลี่ยมเพื่อน” โดยใช้ปมการประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้ม กดดันพรรคภูมิใจไทย เลยเถิดไปถึงกรณีที่ดินเขากระโดง ที่ จ.บุรีรัมย์

และแม้จะมีการทักเตือนว่า การปล่อย “ชูวิทย์” ออกมาเล่นผิดคิวเช่นนี้ เป็นการผลักมิตรไห้เป็นศัตรู ทั้งๆ ที่พรรคภูมิใจไทยถือเป็นพันธมิตรที่เหนียวแน่นของ “บิ๊กตู่” อีกทั้งยังมีความสลักสำคัญในการต่อกรกับพรรคเพื่อไทย ในหลายพื้นที่เลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้น

แต่ “ชูวิทย์” ก็ยังไม่หยุด ออกงิ้วเล่นใหญ่ประกาศจองเวรออกอีเวนท์โจมตีพรรคภูมิใจไทยแบบไม่พักไปตลอดช่วงหาเสียงเลือกตั้ง

ในเมื่อมีการอนุมานว่า การเคลื่อนไหวของ “ชูวิทย์” มาจากเครือข่ายพรรครวมไทยสร้างชาติ เมื่อยังเล่นไม่เลิก ก็เลยมองกันว่า “บิ๊กตู่” ยังไม่สั่งเบรก ต่างจากครั้งที่ “เฮียชู” เปิดประเด็น “หลานนายกฯ” โยง “ตู้ห่าว” ทุนจีนสีเทา พลันที่ “พล.อ.ประยุทธ์” ขอให้พอในการพบกันที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ จากนั้น “ชูวิทย์” ก็เงียบเป็นเป่าสาก ไม่เคยพูดถึงหลานนายกฯ อีกเลย

ทั้งๆ ที่ “เสี่ยหนู” และพรรคภูมิใจไทย ก็ยืนเคียงข้าง “พล.อ.ประยุทธ์” มาโดยตลอด ไม่ว่าจะเผชิญอุปสรรคร้ายแรงเพียงใด การลงมติไว้วางใจให้กับนายกฯ ก็ลงกันอย่างพร้อมเพรียงไม่บิดพริ้ว หรือมีข้ออ้างใดๆ อีกทั้งตัว “เสี่ยหนู” ก็เป็นเหมือนเพื่อนในยามยากของ “บิ๊กตู่” ในช่วงที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกฯ เพื่อรอคำวินิจฉัยกรณีดำรงตำแหน่งนายกฯ ครบ 8 ปีตามรัฐธรรมนูญแล้วหรือไม่

หากจำกันได้ “หมอหนู” เป็นรัฐมนตรีเพียงไม่กี่คนที่แวะไปให้กำลังใจ “บิ๊กตู่” ถึงห้องทำงานที่กระทรวงกลาโหม รวมทั้งยังพาแพทย์ไปตรวจอาการมือบวมให้ตั้งแต่เริ่มมีอาการแรกๆ ด้วย

กลายเป็นว่าเมื่อมีเดิมพันสูงถึงการสืบทอดอำนาจตัวเอง ทำให้ภาพความทรงจำในอดีตกลับไม่ช่วยให้ “เครือข่ายบิ๊กตู่” ลดราวาศอกกับพรรคภูมิใจไทย แต่อย่างใด

ถ้าเปรียบเปรยกับสำนวนไทยก็คงต้องใช้คำว่า “ป้อมกับหนูกู้อีจู้” น่าจะสอดคล้องกับสถานการณ์มากที่สุด

ราชบัณฑิตยสภาอธิบายคำว่า “อีจู้” เอาไว้ว่า “อีจู้เป็นเครื่องมือจับปลาไหล ลักษณะเป็นเครื่องสาน รูปคล้ายแจกันทรงสูง คอคอด บริเวณใกล้ส่วนก้นมีช่องเป็นทางให้ปลาไหลเข้าไปกินเหยื่อภายในอีจู้ ตรงปากช่องมีไม้แหลมที่เรียกว่า งา ติดสลับไปมา เมื่อปลาไหลเข้าไปในอีจู้แล้วจะออกมาไม่ได้เพราะงาขวางทางอยู่ เจ้าของอีจู้จะวางอีจู้ไว้ตลอดคืน เช้าขึ้นก็จึงมาเก็บอีจู้ เรียกว่า กู้อีจู้”

ดังนั้น จึงตีความตามท้องเรื่องได้ว่า “ลุงป้อมกับเสี่ยหนู” กำลังร่วมมือกันใช้ “อีจู้” จัดการกับ “ปลาไหล” อันเป็นสาเหตุให้ทั้งสองคนประสบภัยอย่างที่เห็นในเวลานี้

น่าสนใจไปกว่านั้นอยู่ตรงที่วงกินข้าวของ “ลุงป้อม-เสี่ยหนู” ที่มูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อฯ วันก่อนนั้น ก็เป็นการพบปะกันภายหลังจากที่ คณะรัฐมนตรี เพิ่งจะถอนวาระเรื่องผลการประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม

อันเป็นวาระที่ พรรคพลังประชารัฐ โดย “เสี่ยแบงก์” อธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ในฐานะรักษาการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เสนอเรื่องผ่าน “รองฯ หนู” ในฐานะรองนายกฯ กำกับดูแลกระทรวงคมนาคม เข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี

แม้จะมีรายงานว่ารัฐมนตรีหลายคนพากันแสดงความไม่เห็นด้วยกับวาระดังกล่าว แต่ที่สุดก็เป็น “นายกฯ ตู่” ที่สั่งให้ถอนวาระดังกล่าวออกไป อ้างว่าเพื่อรอความชัดเจนในส่วนของคำพิพากษาศาล ทั้งที่ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้มีการรายงานเสริมว่า ศาลปกครองสูงสุด ได้พิพากษาว่าการประมูลครั้งใหม่ถูกต้องไปแล้ว

เรื่องรถไฟฟ้าสายสีส้ม จึงน่าจะเป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญที่มีการพูดคุยกันในวงกินข้าวของ “ลุงป้อม-เสี่ยหนู”

และแม้ว่าตัว “พล.อ.ประวิตร” จะระบุว่า การกินข้าวกับแกนนำพรรคภูมิใจไทย เป็นเพียงการพูดคุยปกติไม่มีเรื่องการเมือง และปฏิเสธการจับขั้วการเมืองใหม่ ระหว่างพรรคพลังประชารัฐกับพรรคภูมิใจไทยก็ตาม

แต่ก็ยังหล่นประโยคให้ตีความว่า “เมื่อกินข้าวด้วยกันก็เป็นพวกเดียวกันอยู่แล้ว”

นำมาซึ่งประเด็นสำคัญที่จับตามองกันคือการส่งสัญญาณจับ “ขั้วการเมืองใหม่” ระหว่างพรรคพลังประชารัฐกับพรรคภูมิใจไทย ในฐานะที่ทั้งสองพรรคถือว่ามีต้นทุนการันตีที่นั่ง ส.ส.กันพอสมควร

ยิ่งหากนำตัวเลข ส.ส.ล่าสุดที่ทั้งสองพรรคมี กล่าวคือ พรรคพลังประชารัฐ 120 เสียง และพรรคภูมิใจไทย บวกกับ ส.ส.ที่ย้ายเข้ารวมแล้วราว 70 กว่าเสียง สองพรรครวมกันก็ได้เกือบ 200 เสียง

หรือหากประเมินตามที่มีการวิเคราะห์กันในการเลือกตั้งครั้งใหม่ ที่ว่ากันว่า พรรคพลังประชารัฐ จะได้ ส.ส.ราว 40-50 เสียงจากเป้าหมาย 100 เสียง ส่วน พรรคภูมิใจไทย จะได้ ส.ส.ราว 70-80 เสียง จากที่ตั้งเป้าหมายไว้ 120 เสียง

เมื่อรวมตัวเลขตามคาดการณ์ของสองพรรค ที่เชื่อว่าจะมีไม่ต่ำกว่า 100 เสียง ก็จะยิ่งเห็นภาพชัดว่า หากมีการจับขั้ว “พลังประชารัฐ-ภูมิใจไทย” จริง ก็ถือเป็น “ตัวแปรสำคัญ” ในการตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้งอย่างแน่นอน

สำคัญไปกว่านั้น คอนเนกชันของทั้ง “บิ๊กป้อม-เสี่ยหนู” ต่างก็สามารถเชื่อมโยงกับ “ค่ายดูไบ” พรรคเพื่อไทย ที่ถือเป็นเต็งหนึ่งที่จะคว้าที่นั่ง ส.ส.มากที่สุด แต่อาจไม่เพียงพอต่อการจัดตั้งรัฐบาล และจำเป็นที่ต้องรวบรวมเสียง ส.ส.ให้ได้มากกว่า 376 เสียงในการเลือกนายกฯ เพื่อก้าวข้าม “พรรค ส.ว.” ที่มี 250 เสียง

ว่ากันว่า “ทีมบิ๊กป้อม” เชื่อมกับทาง “แดนไกล” มาอย่างต่อเนื่อง หรือการที่ “สมศักดิ์-สุริยะ” ที่กำลังจะไปร่วมงานพรรคเพื่อไทย ก็เข้าไปกราบลา “บิ๊กป้อม” ถึงมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อฯ โดยมีแกนนำพลังประชารัฐ นั่งพูดคุยด้วยอย่างชื่นมื่น ไม่ได้มีปัญหาความขัดแย้งอย่างที่คาดกัน

ขณะที่ “เสี่ยหนู” และทีมงานพรรคภูมิใจไทย ก็ล้วนแล้วแต่เป็นเคยอยู่ “ค่ายดูไบ” มาก่อนตั้งแต่สมัยพรรคไทยรักไทย หรือพรรคพลังประชาชน

การส่งสัญญาณจับขั้ว “พลังประชารัฐ-ภูมิใจไทย” จึงถือเป็นสัญญาณเข้มที่ต้องการเพิ่ม “อำนาจต่อรอง” ล่วงหน้าก่อนจะรู้ผลการเลือกตั้ง ส่วนจะเสียงดังขนาดไหนก็อยู่ที่จำนวน ส.ส.ที่ได้มา

เหมือนหลายครั้งในอดีตที่หลายพรรคการเมืองที่มีที่นั่งไม่เพียงพอจะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล เลือกที่จะประกาศร่วมหัวจมท้ายไปด้วยกันในการเจรจาเข้าร่วมรัฐบาล ย้อนไปเมื่อปี 2562 พรรคภูมิใจไทย ที่ได้ ส.ส. 50 ที่นั่ง โดดแตะมือกับ พรรคประชาธิปัตย์ ที่ได้ ส.ส. 52 ที่นั่งทันทีหลังมีการรับรองผลการเลือกตั้ง เพื่อจะเจรจากับ พรรคพลังประชารัฐ ในการเข้าร่วมรัฐบาล จนสามารถต่อรองได้ “กระทรวงเกรดเอ” มาดูแลแบบไม่น้อยหน้ากัน

ตามเหลี่ยมคูการเมืองที่ว่า 100 ที่นั่ง ย่อมเสียงดังกว่า 50 ที่นั่งนั่นเอง

สำรวจภูมิทัศน์การเมืองไทยยามนี้ ต้องบอกว่า ทางเดินของ “บิ๊กป้อม-เสี่ยหนู” ในวันนี้ ต่างจาก “บิ๊กตู่” ที่นับวันดูจะยิ่งโดดเดี่ยวไปเรื่อยๆ เพราะในขณะที่พรรคพลังประชารัฐ-พรรคภูมิใจไทย ดูจะสามารถจับมือได้ทุกขั้ว แต่ “ค่ายลุงตู่” พรรครวมไทยสร้างชาติ หากไม่ได้จำนวนที่นั่ง ส.ส.จนสามารถเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้ หรือไม่ได้เป็นที่หนึ่งใน “ฝ่ายอนุรักษ์นิยม” แล้ว ดูท่าจะไปต่อลำบาก

จนแทบไม่ต้องนึกถึงเป้าต่ำ 25 เสียง เพื่อเสนอชื่อ “บิ๊กตู่” เป็นนายกฯในที่ประชุมรัฐสภา ที่ “ตามหลักการ” แล้วเชื่อว่า คงไม่มีใครเอาด้วยอย่างแน่นอน

ยิ่งหลังการกำเนิดเกิดขึ้นของ พรรครวมไทยสร้างชาติ แล้ว ดูเหมือน “บิ๊กตู่” จะยิ่งเดินเกมการเมืองแบบ “ไม่เอาพวก” จนแทบจะมองไม่ออกว่า หากต้องจัดตั้งรัฐบาลจริง จะมีใครเอาด้วยกับ “พรรคลุงตู่”

หรือไม่ต้องอื่นไกลขนาด “ค่ายสะตอ” พรรคประชาธิปัตย์ ที่เป็น “ฝ่ายขวา” ด้วยกัน วันนี้ก็มอง พรรครวมไทยสร้างชาติ เป็น “ศัตรู” โดยตรง หลังจากที่ทั้งดูด ส.ส. และบุกทะลวงถิ่นปักษ์ใต้ พื้นที่หากินของพรรคประชาธิปัตย์ จนบาดหมางมีวิวาทะแสบๆ คันๆ กันมาแล้วหลายยก

ดีไม่ดีอาจได้เห็นพรรคร่วมฝ่ายค้านภาคพิสดาร “ขวาสุดโต่ง-ซ้ายตกขอบ” อย่างพรรครวมไทยสร้างชาติ ร่วมงานกับ พรรคก้าวไกล ก็เป็นได้.


กำลังโหลดความคิดเห็น