ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - คนไทยที่เลือก “รักสงบจบที่ลุงตู่” อยู่ด้วยกันมายาวนาน ฝันหวานว่าความเป็นอยู่จะดีขึ้น แต่เอาเข้าจริงคุณภาพชีวิตคนไทยกลับย่ำแย่มีแต่ทรงกับทรุด ดูจากตัวเลขหนี้ครัวเรือนสูงเกินค่าความเสี่ยงแล้ว ที่น่าห่วงคือกลุ่มคนสูงวัยที่แก่และจนแบกภาระหนี้แบบเต็มคาราเบล ทั้งหนี้ในระบบเฉลี่ยสูงกว่า 415,000 บาทต่อคน และหนี้นอกระบบอีกกว่าครึ่งแสน
เมื่อปีกลาย “รัฐบาลลุง” ตีปี๊บให้เป็นปีแห่งการแก้หนี้ โดยให้ความสำคัญในระดับที่เป็นวาระแห่งชาติก็ว่าได้ แต่ผลงานที่ออกมายังไม่มีอะไรดีขึ้น ตามที่ น.ส.สุวรรณี เจษฎาศักดิ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการสายกำกับสถาบันการเงิน 1 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า หลังจากธปท.ติดตามปัญหาหนี้ครัวเรือนไทยและเร่งปรับโครงสร้างหนี้อย่างต่อเนื่อง พบว่า หนี้ครัวเรือนของไทยยังอยู่ในระดับสูงมาก โดยล่าสุดไตรมาส 3 ปี 2565 อยู่ในระดับ 86.8% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) แม้จะลดลงจากระดับสูงสุดที่ 90.1% แต่เป็นการลดลงจากตัวเลขจีดีพีที่เพิ่มขึ้นไม่ได้เกิดขึ้นจากตัวหนี้ของคนไทยที่ลดลงแต่อย่างใด ถือว่าปัญหาหนี้ครัวเรือนในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ขยับเพิ่มขึ้นกว่า 30% จากระดับ 59.3% ของจีดีพีในปี 2553 มาอยู่ที่ระดับ 86.8% ของจีดีพี ในไตรมาส3/2565 และหากไม่ได้เร่งแก้ไขอะไรเลยหนี้ครัวเรือนของไทยในปี 2570 ยังจะอยู่ระดับ 84% ของจีดีพี ซึ่งสูงกว่ามาตรฐานธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (BIS) กำหนดอัตราสูงสุดไว้ที่ 80%
ผู้ช่วยผู้ว่าการสายกำกับสถาบันการเงิน 1 ของแบงก์ชาติ ชี้ว่า หากหนี้ครัวเรือนเกินกว่าค่าอัตราที่ BIS กำหนดจะทำให้เกิดการฉุดรั้งการขยายตัวของเศรษฐกิจ เพราะรายได้ส่วนใหญ่ต้องเอาไปจ่ายคืนหนี้แทนการใช้จ่าย และยังจะกระทบเสถียรภาพของสถาบันการเงิน หากหนี้ครัวเรือนกลายเป็นหนี้เสียจำนวนมาก ทั้งยังนำมาซึ่งการก่อให้เกิดปัญหาทางสังคม สุขภาพจิต และอาชญากรรม
เบื้องลึกเบื้องหลังที่ทำให้คนไทยมีภาระหนี้สินรุงรังนั้น นายศักดิ์เกษฒ พรประพันธ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายส่งเสริมความรู้ทางการเงิน ธปท. เผยผลสำรวจลูกหนี้ ธปท.พบ 8 ข้อเท็จจริงของหนี้คนไทย คือ 1.คนไทยเป็นหนี้เร็ว โดย 58% ของคนอายุ 25-29 ปีเริ่มเป็นหนี้บัตรเครดิต หนี้ส่วนบุคคล หนี้รถยนต์ มอเตอร์ไซค์ และ 1 ใน 4 หรือ 25% ของคนกลุ่มหนี้เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล)
2.คนไทยเป็นหนี้เกินตัว โดยพบว่า เกือบ 30% ของลูกหนี้บัตรเครดิตและหนี้ส่วนบุคคลมีหนี้เกิน 4 บัญชีต่อคน วงเงินรวมต่อคนสูงถึง 10-25 เท่าของรายได้ในแต่ละเดือน จนทำให้รายได้เกินกว่าครึ่งต้องเอาไปจ่ายคืนหนี้ ใช้จ่ายไม่พอและอาจต้องไปก่อหนี้นอกระบบ 3.คนไทยเป็นหนี้โดยไม่ได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง โดย 4 ใน 5 ของปัญหาในขั้นตอนการเสนอขายสินเชื่อของสถาบันการเงิน คือ ลูกหนี้มักได้รับข้อมูลไม่ครบถ้วน ไม่ถูกต้อง
4.เป็นหนี้เพราะมีเหตุจำเป็น และที่สำคัญคือกว่า 62% ของครัวเรือนไทยมีเงินออมเผื่อฉุกเฉินไม่เพียงพอ และหากเกิดเหตุที่ทำให้รายได้ลดลง 20% จะมีครัวเรือนเกินครึ่งที่มีเงินไม่พอจ่ายหนี้ 5.คนไทยเป็นหนี้นาน โดยมากกว่า 1 ใน 4 ของคนอายุเกิน 60 ปี ยังมีภาระหนี้ที่ต้องผ่อนชำระ โดยมีหนี้เฉลี่ยสูงกว่า 415,000 บาทต่อคน และใช้วิธีผ่อนจ่ายขั้นต่ำ ซึ่งทำให้หนี้ไม่หมดเสียที 6.หนี้เสียของไทยอยู่ในระดับสูง โดยลูกหนี้ 10 ล้านบัญชีที่เป็นหนี้เสีย และเกือบครึ่งหรือ 4.5 ล้านบัญชี พบว่าเพิ่งเป็นหนี้เสียในช่วงโควิด-19
ข้อที่ 7.คนไทยเป็นหนี้ไม่จบสิ้น โดยเกือบ 20% ของบัญชีหนี้เสียแม้ว่าจะถูกยื่นฟ้องแล้ว และ 1 ใน 3 ของลูกหนี้ในคดีที่จบด้วยการยึดทรัพย์มาขายทอดตลาดแล้วก็ยังปิดหนี้ไม่ได้ยังเหลือหนี้สินที่ต้องจ่ายต่อเนื่อง และ 8.คนไทยเป็นหนี้นอกระบบจำนวนมาก โดยจากการสำรวจของ ธปท.พบว่า 42% ของกว่า 4,600 ครัวเรือน ที่สุ่มตัวอย่างจากทั่วทุกภูมิภาคมีหนี้นอกระบบเฉลี่ยคนละ 54,300 บาท
ชีวิตจมวังวนหนี้สินของคนไทยที่เป็นบ่วงมัดดิ้นหลุดกันได้ยากเพราะเหตุแห่งปัจจัยดังกล่าวข้างต้น ทำให้ ธปท. หาแนวทางแก้ไขอย่างต่อเนื่อง อย่างปีที่ผ่านมาก็มีมหกรรมร่วมใจแก้หนี้ จูงใจให้แบงก์พาณิชย์ปรับโครงสร้างหนี้ เรียกว่าการแก้หนี้เป็นวาระแห่งชาติ แต่ผลที่ออกมาล่าสุดก็อย่างที่เห็น ธปท.จึงต้องเร่งหาทางกดตัวเลขหนี้ครัวเรือนให้ต่ำลง อย่างน้อยก็ให้อยู่ในเกณฑ์ที่ BIS กำหนดอัตราสูงสุดไว้ที่ 80% ต่อจีดีพี
น.ส.อรมนต์ จันทพันธ์ ผู้อำนวยการฝ่ายคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธปท. กล่าวถึงแนวทางการแก้หนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืนของ ธปท. ว่า จะแบ่งเป็น 4 ด้าน คือ 1.หนี้เสียที่มีอยู่ในปัจจุบันต้องเร่งแก้ให้เร็วที่สุด ซึ่งเป็นหนี้ส่วนบุคคลและหนี้ในภาคเกษตรเป็นส่วนใหญ่ โดยจะเร่งรัดการปรับโครงสร้างหนี้ ให้เจ้าหนี้แก้หนี้ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ของลูกค้า สร้างตัวช่วยลูกหนี้โดยมีบริษัทกลางทำหน้าที่ให้คำแนะนำแก้หนี้และผู้ไกล่เกลี่ยหนี้ของกระทรวงยุติธรรม และผลักดันให้มีกฎหมายที่ช่วยให้ลูกหนี้รายย่อยทั่วไปที่ไปต่อไม่ไหวได้เข้ากระบวนการฟื้นฟู หรือขอล้มละลายได้ด้วยตนเอง
2.การแก้หนี้ที่เป็นปัญหาเรื้อรัง จะหาแนวทางให้ลูกหนี้เห็นทางปิดจบหนี้ได้ เริ่มจากหนี้บัตรกดเงินสดที่เป็นหนี้เรื้อรังของลูกหนี้กลุ่มเปราะบาง มีอายุมากและมีปัญหาทางการเงินรุนแรงก่อน และ 3.การลดหนี้ใหม่ที่เพิ่มขึ้นเร็วและอาจเป็นหนี้เสียหรือเรื้อรัง ซึ่ง ธปท. จะออกเกณฑ์เพื่อให้เจ้าหนี้ปล่อยสินเชื่อด้วยความรับผิดชอบ คำนึงถึงความสามารถในการจ่ายหนี้คืนและลูกหนี้ยังมีเงินเหลือพอดำรงชีพ สร้างแรงจูงใจให้เจ้าหนี้สินเชื่อรายย่อยคิดอัตราดอกเบี้ยตามความเสี่ยงของลูกหนี้แต่ละราย กระตุ้นการรีไฟแนนซ์หนี้ไปยังดอกเบี้ยที่ถูกลง
และ 4.ติดตามข้อมูลหนี้ที่ยังไม่อยู่ในตัวเลขหนี้ในหนี้ครัวเรือน เช่น หนี้เพื่อการศึกษา (กยศ.) สินเชื่อสหกรณ์และหนี้นอกระบบเพื่อช่วยแก้ไข และผลักดันให้ใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลต่างๆ เพื่อประเมินและติดตามสินเชื่อ ทั้งนี้ ธปท.จะทยอยออกแนวนโยบายแก้ปัญหาในแต่ละเรื่องออกมาตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 ไปจนถึงสิ้นปีนี้
มาตรการที่ ธปท. จะคลอดออกมาแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนข้างต้น ทาง บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ธปท. ออกแนวทางการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน โดยมีเป้าหมายลดหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีให้เหลือ 80% ในระยะกลาง (c.88% ในไตรมาส 3/66) ซึ่งนำมาสู่การคุมเข้มการปล่อยสินเชื่อที่มากขึ้น ทั้งนี้คาดว่า ธปท. จะออกกฎเกณฑ์ได้ในไตรมาส 2-ไตรมาส 4/66 ซึ่งในมุมมองมองว่ายังไม่มีผลกระทบจนกว่าจะมีการเปิดเผยรายละเอียดที่ครบถ้วนกว่านี้ อย่างไรก็ตามมาตรการข้างต้นนับเป็นความเสี่ยงของการกำกับดูแล (Regulatory risk) ที่สำคัญในอีก 3-5 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะกลุ่ม Non-Bank ที่ปล่อยสินเชื่อรายย่อยมากกว่ากลุ่มแบงก์
ทางด้าน บล.ดาโอ วิเคราะห์ว่า การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนตามนโยบายของ ธปท. จะทำให้มีความสมดุลกับตลาดสินเชื่อมากขึ้น และเป็นการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ยังมีปัญหาตั้งแต่ช่วงโควิด โดยมีประเด็นที่ต้องติดตามคือเรื่องปล่อยสินเชื่อด้วยความรับผิดชอบ และเรื่องคิดอัตราดอกเบี้ยตามความเสี่ยงของลูกหนี้แต่ละราย ซึ่งจะมีการเปิด hearing ช่วงไตรมาส 2/66 และจะเริ่มใช้จริงช่วงไตรมาส 3/66
บล.ดาโอ คาดว่าสินเชื่อที่จะมีความเกี่ยวข้องกับประเด็นนี้ส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อรายย่อยที่ไม่มีหลักประกัน เช่น สินเชื่อบัตรเครดิต, สินเชื่อบุคคล และสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ โดยหุ้นในกลุ่มธนาคารที่จะได้รับผลกระทบเรียงจากมากไปน้อย อิงสัดส่วนสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคล คือ แบงก์กรุงไทย (KTB) (23% ส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อที่เกี่ยวข้องกับบุคลากรของราชการ ซึ่งมีความเสี่ยงน้อยกว่าบุคคลธรรมดา), แบงก์กรุงศรีอยุธยา (BAY) (11%), แบงก์กสิกรไทย (KBANK) (9%), แบงก์ไทยพาณิชย์ (SCBX) (6%) และ แบงก์ทีเอ็มบีธนชาติ (TTB) (4%)
ทั้งนี้ วิกฤตปัญหาหนี้ครัวเรือน เรื้อรังมายาวนานและพุ่งสูงขึ้นในช่วงโควิด-19 ระบาด เศรษฐกิจหดตัวลง ทำให้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) พุ่งขึ้นไปสูงสุดถึง 90.8% ในไตรมาสที่ 1 ปี 2564 ก่อนปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 86.8% ในไตรมาส 3/ 2565 หรือคิดเป็นวงเงินประมาณ 14 ล้านล้านบาท และบางส่วนถูกจัดลำดับให้เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือ NPL เนื่องจากค้างชำระนานเกิน 3 เดือนขึ้นไป
ก่อนหน้านี้ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รายงานตัวเลขหนี้ NPL จากฐานข้อมูลเครดิตบูโร บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด ณ ไตรมาส 2/2565 พบว่ามีจำนวน NPL ทั้งสิ้น 1.11 ล้านล้านบาท โดยมีจำนวนที่เป็นหนี้เสีย 4.3 ล้านบัญชี คิดเป็นสัดส่วน 44.4% ของบัญชีลูกหนี้ NPL ในฐานข้อมูลเครดิตบูโร มูลค่าประมาณ 4 แสนล้านบาท โดยจำนวนบัญชีเพิ่มขึ้น 59.1% จากไตรมาสก่อนหน้า ส่วนมูลค่าของ NPL เพิ่มขึ้น 79.5%
เมื่อจำแนกตามกลุ่มอายุ พบว่า กลุ่มลูกหนี้ที่มีหนี้เพิ่มมากขึ้นคือกลุ่มลูกหนี้ที่มีอายุตั้งแต่ 41ปีขึ้นไปจนถึงกลุ่มลูกหนี้อายุ 60 ปีขึ้นไปหรืออยู่ในวัยเกษียณแล้วแต่ยังมีหนี้สินที่ต้องจ่าย แต่ไม่สามารถชำระหนี้ได้จนถูกจัดอยู่ในกลุ่ม NPL เพิ่มขึ้นอย่างมาก เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้านี้ โดยมีตัวเลขที่น่าสนใจ ดังนี้ (1) ลูกหนี้กลุ่มอายุ 41 – 50 ปี มีหนี้เสียรวม 3.37 แสนล้านบาท ขยายตัว 15.1% (2) ลูกหนี้กลุ่มอายุ 51 – 59 ปี มีหนี้เสียรวม 2.35 แสนล้านบาท ขยายตัว 32.9% และ (3) ลูกหนี้กลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไป มีหนี้เสียรวม 1.54 แสนล้านบาท ขยายตัว 67.6%
สภาพหนี้ครัวเรือนที่สะท้อนออกมาข้างต้นถือว่าหนักหนาสาหัสแล้ว ยังมีข้อน่าห่วงต่อการก่อหนี้ของคนไทยในอนาคตมากขึ้นไปอีก ตามที่นายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (เครดิตบูโร) มีความเป็นห่วงกังวลเพิ่มขึ้นด้วยว่าสินเชื่อประเภทใหม่ที่เรียกว่า ซื้อก่อนผ่อนทีหลัง หรือซื้อก่อนจ่ายทีหลัง Buy Now Pay Later หรือ BNPL อาจจะสร้างปัญหาขึ้นได้ในระยะข้างหน้าเข้ามาซ้ำเติมอีก เพราะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผูกอยู่กับสินเชื่อส่วนบุคคล (พีโลน) ซึ่งแบงก์จูงใจให้ลูกค้าเข้าถึงและใช้บริการด้วยว่าเป็นสินเชื่อที่แบงก์คิดดอกเบี้ยสูง สามารถทำรายได้และกำไรงดงามให้กับแบงก์และนอนแบงก์ที่ลงมาเล่นในตลาดนี้
โดยล่าสุด ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2565 มีการปล่อยกู้พีโลนไปแล้ว 5.3 ล้านสัญญา และเป็นหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ถึง 10% และมีหนี้ค้างชำระที่กำลังจะเป็นหนี้เสียอีกราว 3% รวมแล้วหนี้ที่มีปัญหา 13% นี้คือตัวที่มีปัญหาจากขนาดของสินเชื่อที่มีอยู่ 2.5 ล้านล้านบาท แล้วที่กำลังจะสร้างปัญหาใหม่คือซื้อไปก่อนผ่อนทีหลัง ซึ่งก่อหนี้ง่าย และหลายประเทศก็เกิดหนี้เสียสูง
โปรดักส์ Buy Now Pay Later หรือ BNPL หรือ “ซื้อก่อนจ่ายทีหลัง” ซึ่งคิดดอกเบี้ยสูงไม่เกิน 25% จูงใจให้แบงก์พาณิชย์ และผู้ให้บริการทางการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร(นอนแบงก์) แข่งขันกันปล่อยสินเชื่อดังกล่าว ขณะที่ลูกค้ามีทางเลือกในการผ่อนชำระมากขึ้นแลกด้วยการจ่ายดอกเบี้ยแพง เช่น ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) เปิดให้บริการ K PAY LATER เมื่อปลายปี 2564 และตั้งเป้าเพิ่มสี่เท่าตัวในปี 2565 โดยให้วงเงินสูงสุดถึง 20,000 บาท เพื่อใช้ผ่อนสินค้าบริการที่ใช้ในชีวิตประจำวัน โดยมีการกำหนดดอกเบี้ยไม่เกิน 25% และขยายบริการ BNPL ไปสู่ LINE BK ซึ่งเป็นบริษัทลูกของธนาคารกสิกรไทยด้วย
ส่วน True money wallet ก็ลงมาเล่นบริการนี้ผ่าน “เพย์ เน็กซ์(PAY NEXT) เงินติดมือ วงเงินใช้ก่อน จ่ายทีหลัง ผ่านแอปทรูมันนี่ ธนาคารไทยพาณิชย์ ก็ออกผลิตภัณฑ์ buy now pay later ซื้อก่อนผ่อนที่หลัง เช่นเดียวกับธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH BANK) ส่วน ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย จะเปิดให้บริการซื้อก่อนผ่อนทีหลังในช่วงไตรมาส 2/2566 เป็นต้น
อย่างไรก็ดี นายสุคนธ์พัฒน์ จันทพันธ์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายเสถียรภาพระบบการเงิน ธปท. ให้ความเห็นต่อกรณีที่มีแบงก์และนอนแบงก์ หันมาทำปล่อยสินเชื่อใช้ก่อนผ่อนทีหลังมากขึ้นจะส่งผลต่อความเสี่ยงด้านหนี้ภาคครัวเรือนมากน้อยเพียงใดนั้นว่าปัจจุบันความเสี่ยงของ BNPL ต่อการเพิ่มขึ้นของหนี้ครัวเรือนไทยในภาพรวมยังค่อนข้างจำกัด เพราะถ้าดูขนาดของธุรกรรมเปรียบเทียบกับหนี้ครัวเรือนยังอยู่ในระดับต่ำ โดยขนาดของธุรกรรมปี 2565 อ้างอิงจาก Thailand BNPL Market Report 2022 คาดว่าอยู่ที่ประมาณ 55,000-65,000 ล้านบาท คิดเป็นเพียง 0.4% ของหนี้ครัวเรือนรวม
ขณะเดียวกัน รูปแบบการให้สินเชื่อบางส่วนเป็น Digital P-loan ซึ่งเข้าข่ายสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับของ ธปท. คิดอัตราดอกเบี้ยได้ไม่เกินเพดานที่ 25% ต่อปี และมีการกำหนดวงเงินต่อรายต้องไม่เกิน 20,000 บาท ซึ่งเป็นการจำกัดการก่อหนี้ใหม่ของครัวเรือนได้บางส่วน
อย่างไรก็ดี ธุรกิจ BNPL มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา และอาจนำไปสู่พฤติกรรมการใช้จ่ายเกินตัวของครัวเรือนได้ เนื่องจากธุรกิจ BNPL มีลักษณะเข้าถึงง่าย สะดวก รวดเร็ว เพราะเป็นธุรกรรมการซื้อขายที่ผูกกับ online ผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ทั้งยังกระตุ้นการใช้จ่ายมากขึ้น และลูกค้าอาจไม่ได้ติดตามการจ่ายหนี้ ประกอบกับยอดชำระหนี้ต่อการซื้อแต่ละครั้งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นปัญหาหลักที่มักพบในต่างประเทศ และท้ายที่สุดอาจนำไปสู่การใช้สินเชื่ออื่น เช่น O/D และ P-loan เพื่อนำมาชำระหนี้ ธปท. จึงติดตามพัฒนาการของตลาด BNPL อย่างใกล้ชิด และหากเห็นว่ามีนัยสำคัญที่อาจก่อนให้เกิดความเสี่ยงต่อหนี้ครัวเรือนเพิ่มเติม ธปท.จะประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อวางแนวทางกำกับดูแลที่เหมาะสมต่อไป
สารพัดแคมเปญการปล่อยกู้ (ดอกเบี้ยโหด) ล่อใจให้เกิดการก่อหนี้และใช้จ่ายเกินตัวได้ง่ายในยุคอีคอมเมิร์ซเฟื่องฟู ทว่าเบื้องหลังปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ค่อนข้างสลับซับซ้อนต้องอาศัยผู้คุมกฎอย่างแบงก์ชาติสั่งยาแรงเยียวยารักษา หยุดยั้งปัญหาไม่ให้ลุกลามบานปลายไปมากกว่านี้