xs
xsm
sm
md
lg

[คำต่อคำ] SONDHI TALK "แดนท่องเที่ยว หรือ แดนเตารีดกับปี๊บ" - END GAME กองสลากพลัส “นอท พันธ์ธวัช” จะไปยังไงต่อ?- “ตู่-จตุพร” แก้ผ้าทักษิณ - หมอชนบทหรือหมอเทวดา

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



วันที่ 3 ก.พ.66 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ไลฟ์สด “SONDHI TALK” ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ คุยทุกเรื่องกับสนธิ ช่องยูทูป Sondhitalk หรือ Sondhitalk (ช่องสำรอง) และแอปพลิเคชัน Sondhi App โดยสิ่งที่จะเล่าในวันนี้เป็น

- Thailand “แดนท่องเที่ยว” หรือ “แดนเตารีด กับ ปี๊บ”?
- : END GAME กองสลากพลัส “นอท พันธ์ธวัช” จะไปยังไงต่อ?
- “ตู่-จตุพร” แก้ผ้าทักษิณ
- ดีลลับ พปชร. “เพื่อไทย”
- นักวิชาการโกงช้อปปิ้งงานวิจัย
- หมอชนบทหรือหมอเทวดา

ติดตามได้ใน SONDHI TALK : ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง Ep.175



คำต่อคำ SONDHI TALK EP. 175 [3 ก.พ. 66] : "แดนท่องเที่ยว หรือ แดนเตารีดกับปี๊บ"

ช่องทางการรับชมรับฟัง "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" หรือ SONDHI TALK
แอปพลิเคชัน : SONDHI APP
ระบบ iOS ดาวโหลดได้ที่ AppStore : https://apps.apple.com/th/app/sondhi-app/id1588046647.
ระบบ Android ดาวโหลดได้ที่ Google Play : https://play.google.com/store/apps/details?id=com.sondhitalk.asia.android
เฟซบุ๊กแฟนเพจ : คุยทุกเรื่องกับสนธิ
YouTube : Sondhitalk
เว็บไซต์: www.sondhitalk.com
Podcast หรือ podbean : SONDHI TALK

สวัสดีครับท่านผู้ชม วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 ก็ยินดีต้อนรับแฟนที่เข้ามาชมรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ผ่านทาง Sondhi App, Facebook, YouTube และ TikTok ท่านผู้ชมหลายๆ ท่านคงได้รับชมรายการ "ครั้ง ๑ ในสยาม" ทาง Sondhi App ไปแล้ว เป็นอีกรายการคุณภาพที่ผมอยากจะให้ทุกคนเข้าไปดู


ท่านผู้ชมครับ Sondhi App ที่ต้องคิดเงินก็เพราะว่า ส่วนหนึ่งเอามาเป็นค่าใช้จ่ายในการทำแอปฯ และอีกส่วนหนึ่งก็เป็นการเอาค่าใช้จ่ายนี้มาช่วยในรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" เพราะช่วงหลังเราโดนปิดกั้นเยอะ เพราะฉะนั้นแล้ว โฆษณาที่เข้ามา เราไม่มีสิทธิ์จะไปควบคุมอะไรได้ เพราะเป็นโฆษณาของ facebook แล้วเขาก็ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยไป ถ้าท่านผู้ชมต้องการช่วยรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ให้อยู่นานๆ ท่านผู้ชมเข้ามาสมัครเป็นสมาชิก Sondhi App เถอะ แค่เดือนละ 99 บาท วันละ 3.30 บาท ถูกมาก เพราะว่าที่นี่ทำมาหากินด้วยการให้เป็นสมาชิกแอปฯ ท่านผู้ชมครับ น่าสงสารมาก ขายโอเลี้ยง และกำลังจะขายน้ำเก๊กฮวย ขายขนมหมูแท่งกรอบ ปลาแท่งกรอบ เป็นสื่อมวลชนที่ไม่รับเงินรับทองใคร เพื่อจะทำรายการที่กล้าเสนอความจริงต่อสังคมไทย

ในเดือนกุมภาพันธ์นี้ Sondhi App จะมีรายการใหม่ เป็นการวิเคราะห์เรื่องต่างประเทศ จัดโดย คุณทนง ขันทอง กับ คุณนงวดี ถนิมมาลย์


ท่านผู้ชมที่เคยติดตามใน facebook ต้องรู้จักชื่อ คุณทนง ขันทอง ผมจะเรียนให้ทราบอย่างหนึ่ง ด้วยความเคารพ ในประเทศไทยนั้น คนที่ชำนาญจริงๆ ในเรื่องข่าวต่างประเทศ ในสายตาของผม คือ หนึ่ง คุณทนง ขันทอง สอง คุณโสภณ โองการณ์ และสามก็คือ มีคนหลายคน อย่างเช่น อาจารย์สุดาทิพย์ และรวมไปจนถึง คุณสโรชา พรอุดมศักดิ์ ถ้าเป็นข้อเขียนก็คือ คุณชัชรินทร์ ไชยวัฒน์ ที่ใช้นามปากกว่า ทับทิม พญาไท เขียนในเรื่องของต่างประเทศว่า มันเป็นของมันเช่นนี้แล อยู่ในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ท่านอ่านได้ในเว็บไซต์ผู้จัดการ เพราะฉะนั้น คุณทนง ขันทอง ใครที่เป็นแฟนบทความของคุณทนง คราวนี้จะดูได้ทั้งภาพและเสียง เรามีทีมงานคุณภาพด้านต่างประเทศที่ผมรวบรวมเข้ามาอยู่ในแอปฯ ของเราเหมือนเดิม ก็คือทีมงาน WORLD TALK ที่ดำเนินรายการโดย โสภณ โองการณ์ อาจารย์สุดาทิพย์ จารุจินดา อินทร คุณแอ้ม-สโรชา พรอุดมศักดิ์ คุณนงวดี ถนิมมาลย์ คุณอุษณีย์ เอกอุษณีย์ และ คุณวารินทร์ สัจเดว


คงจะไม่เป็นการโอ้อวดมากเกินไป ทีมงานต่างประเทศของเราน่าจะอยู่แค่อันดับ 2 ทำไมถึงอันดับ 2 ? เพราะไม่มีใครกล้าขึ้นอับดับ 1 ในประเทศไทย ขอแค่อันดับ 2 ก็พอ ไม่มีใครได้ถึง 1 หรอก

ดีที่สุดคือการวิเคราะห์ข่าวต่างประเทศที่ตรงไปตรงมา ไม่ได้เป็นคนที่รับใช้สื่อทางตะวันตกเหมือนอย่างทีวีทุกๆ ช่องที่รายการข่าวทางตะวันออกออกมา โดยไม่ฟังอีร้าค่าอีรมว่าข้อเท็จจริงมันเป็นอย่างไร

ท่านผู้ชมครับ ใครยังไม่ได้สมัครแอปฯ เข้าไปสมัครได้เลย ทั้งระบบ iOS และ Android ในราคาเดือนละ 99 บาท

ท่านผู้ชมรู้ไหมว่า เมื่อวานนี้ วันพฤหัสฯ ผมตื่นมา และผมจะออกมา ผมจะออกจากบ้านประมาณตีห้า พอผมออกจากบ้านตีห้าแล้ว ผมก็จะชอบนั่งรถเปิดหน้าต่างรับอากาศบริสุทธิ์ ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าผมจามมาตลอดทางเลย ผมก็สงสัยว่าเรื่องอะไร อ๋อ ฝุ่นมันแรงมาก สูงมาก ถึงขั้นสีม่วงแล้ว และกำลังจะก้าวเข้าไปสู่สีแดง ท่านผู้ชมอย่าประมาทเรื่องฝุ่น


ข่าวดี ในข่าวร้าย ข่าวดีคือมีเครื่องฟอกอากาศ ManNature รุ่น PCO ที่ผมเคยพูดไปแล้ว ค่าฝุ่นสูงมาก โรงเรียนเด็กเล็กในกรุงเทพฯ ค่าฝุ่น 200-300 เป็นสีม่วง เลยไปอีกนิดเป็นสีแดง อยู่ในระดับที่เป็นอันตรายอย่างมาก ตอนนี้ถ้าไม่มีความจำเป็น ท่านผู้ชมควรอยู่ในห้อง ปิดหน้าต่าง เปิดเครื่องกรองอากาศ ถ้าใครยังไม่มี ผมแนะนำให้ใช้เครื่องกรองอกาาศ ManNature รุ่น PCO

ท่านผู้ชมจำเครื่องกรองอากาศรุ่นเก่าได้ไหม ที่ผมเสนอมาให้ตลอด มีท่านผู้ชมเยอะเลยที่ซื้อไป นี่เป็นรุ่นใหม่ต่อหลังจากรุ่นเก่า พัฒนาขึ้นมาเยอะ รุ่นนี้สามารถดักจับฝุ่น-เชื้อโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวเครื่องขนาดเล็กกะทัดรัด สามารถทำงานได้กว้าง พื้นที่ 279 ตารางเมตร ที่สำคัญ ไม่ต้องเปลี่ยนไส้กรอง เทคโนโลยีนี้เป็นเทคโนโลยีของเยอรมนี กรองได้ละเอียดถึงระดับโมเลกุลที่เล็กถึง 0.1 ไมครอน คือกรองได้เล็กกว่าอันเก่าที่ท่านผู้ชมใช้ อันเก่าก็เล็กอยู่แล้ว อันนี้เล็กกว่า มิหน้ำซ้ำยังฆ่าเชื้อโรค สิ่งที่ไม่พึงประสงค์ที่ลอยมาในอากาศ เช่น แบคทีเรีย ไวรัส ไรฝุ่น สารก่อภูมิแพ้ รวมทั้งกลิ่นไม่พึงประสงค์อย่างกลิ่นควันบุหรี่ กลิ่นอับ กลิ่นเหม็นในบ้านให้หายไปด้วย นั่นคือข่าวดี ส่วนข่าวร้าย ของหมดไปแล้ว ท่านผู้ชมอยากได้ต้องสั่งจอง ท่านโทรออร์เดอร์ สอบถามข้อมูลได้ที่คอลเซ็นเตอร์ 02-633-5353 ทุกวัน 08.00-20.00 น. ถ้าสั่งพรีออร์เดอร์ตอนนี้ จะได้สิทธิราคาพิเศษ ปกติขายราคา 19,900 บาท ถ้าสั่งตอนนี้ได้ราคา 17,990 บาท แต่ท่านต้องมัดจำไว้ 5,000 บาท จากวันนี้ ถึง 15 กุมภาพันธ์ 2566 เท่านั้น


ท่านผู้ชมครับ ขอเลยมาถึงการขายของนิด ผมได้รับแจ้งจากทางร้าน SUN PAN มาว่า ตอนนี้สินค้าที่ขายดีที่สุดคือโอเลี้ยงโบราณ ที่มีคนสนใจเข้ามาซื้อกันเยอะเลย ตอนนี้ที่ผมบอกว่าทำ 1,000 ขวดต่อสัปดาห์ ยังไม่ถึงวันศุกร์ก็หมดแล้ว เราพยายามยืดให้ถึงวันเสาร์-อาทิตย์ คนที่มาไม่เจอ/หมด ก็สั่งจองเอาไว้ พอของมาอีกอาทิตย์หนึ่ง ก็ต้องส่งให้คนที่สั่งจองไว้ก่อน ผมไม่ทำเพิ่มครับ อาทิตย์ละ 1,000 ขวด เดือนละ 4,000 ขวด ของดีจริงๆ ต้องการแค่ไหน จะมีคนบอกว่า คุณสนธิทำแฟรนไชส์ไหม ? ไม่ทำ นอกจากนั้นแล้ว อีกสักพักผมจะทำน้ำเก๊กฮวยขาย ท่านผู้ชมอย่าเพิ่งหัวเราะ ดอกเก๊กฮวยที่ผมได้มา เป็นพันธุ์เก๊กฮวยที่ดีที่สุดในโลก ผมสั่งมาปลูกที่ยูนนาน แล้วคุณเตียม ซึ่งเป็นเพื่อนของเพื่อนอีกที เป็นเจ้าของไร่ เขาเอาดอกนี้ไปเพาะชำ ออร์แกนิคทั้งหมด ตั้งแต่ผมกินเก๊กฮวยมา มีดอกเก๊กฮวยเจ้านี้ล่ะที่หอมที่สุด ท่านผู้ชมลองดูแล้วกัน แล้วจะมีน้ำเก๊กฮวยออกตลาด

โอเลี้ยงโบราณสูตรของผมจะมีวางจำหน่ายที่ร้าน SUN PAN ถนนวิภาวดีฯ ในปั๊ม ปตท. ตรงข้าม ม.หอการค้าไทย และที่ร้าน "พอดีช้อป" ถนนพระอาทิตย์ โอเลี้ยงโบราณตั้งไว้ข้างนอกอยู่ได้ 3 วัน แต่ถ้าแช่ตู้เย็น จะอยู่ได้ประมาณ 3-4 อาทิตย์

ท่านผู้ชมครับ คนทำงานทางสื่อที่ซื่อสัตย์ ไม่มีเงินทุนหนุนหลัง ไม่มีนายกฯ เข้ามาชมว่าเป็นสื่อที่เที่ยงตรง แต่ทุกคนทำด้วยจิตวิญญาณของสื่อมวลชน อยู่ได้ก็เพราะว่าเรามีของมาขาย ท่านผู้ชมครับ ถ้ารักเรา ชอบเรา อยากให้เราอยู่นานๆ ช่วยกันอุดหนุนโอเลี้ยง ผมฟังแล้วผมยังหัวเราะเลยครับ มันเป็นไปได้อย่างไร สนธิ ลิ้มทองกุล มาขายโอเลี้ยง ขายน้ำเก๊กฮวย จริงๆ ผมไปทำอะไรที่ได้เงินได้ทองมากกว่านี้เยอะ แต่ไม่รู้จะทำอะไร เพราะนี่คือสิ่งที่สามารถทำได้เพียงแค่นี้



ท่านผู้ชมครับ รายการวันนี้มีอยู่ประมาณ 5 เรื่อง เรื่องแรกคงพลาดไม่ได้เลย ก็คือ ผมถามว่าตำรวจจะแถไปถึงไหน เหตุงามหน้าประเทศไทย 5 ตำรวจไถนักท่องเที่ยว แล้วก็มีข่าวในส่วนหนึ่งของการรีดไถนักท่องเที่ยว ก็คือว่า ไปอ้างอิงเรื่องกฎหมายบุหรี่ไฟฟ้า จริงๆ แล้วบุหรี่ไฟฟ้านั้นมีที่มาที่ไป เดี๋ยวผมจะพูดให้ฟัง เน้นสร้างกฎเพื่อรีดไถอย่างเดียว

เรื่องที่สอง กองสลากพลัส ของคุณนอท พันธ์ธวัช ซึ่งผมก็ไม่กล้าจะอ้างล่ะครับว่าผมเป็นตัวการสำคัญขุดคุ้ยเรื่องนี้ขึ้นมาคนแรก ไม่ใช่คนแรกครับ คนที่สามารถจะเอารายการของผมออกมา แล้วคุณนอท เถียงไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว ขณะที่ก่อนหน้านั้น คุณนอท จะเถียงฉอดๆๆๆ กับทุกคนที่ออกรายการ แต่ก็โค่นคุณนอท ไม่ลง แต่วันนี้คุณนอท จบแล้วครับ กลายเป็นประวัติศาสตร์ไปแล้ว แต่ท่านผู้ชมรู้ไหมว่า คุณนอท นี่แค่ยอดภูเขาน้ำแข็ง ท่านผู้ชมเห็นคุณนอท พันธ์ธวัช เพียงคนเดียว แต่ข้างล่างภูเขาน้ำแข็งนี้ ที่คุณนอท โผล่ยอดมา มันมีเครือข่ายที่มหึมา ยิ่งใหญ่มาก คนที่เกี่ยวข้องมีตั้งแต่ระดับพลเอก และระดับร้อยเอก แล้วคอยฟังกันครับว่าผมมีความเห็นว่าอย่างไร

เรื่องที่สาม เหมือนกับเอาหนังเรื่องเก่ามาฉายใหม่ แต่มันมีนัยเยอะ และมีรายละเอียดอีกมากที่ท่านผู้ชมไม่ทราบ คือ การเมือง "คุณตู่" จตุพร พรหมพันธุ์ แก้ผ้า คุณทักษิณ ชินวัตร แล้วมาดูซิว่าข้อตกลงลับๆ ระหว่างพลังประชารัฐ กับ เพื่อไทย มีจริงหรือเปล่า

เรื่องที่สี่ คือเรื่องการโยกย้ายคุณหมอสุภัทร จากโรงพยาบาลที่อำเภอจะนะ ไปโรงพยาบาลอีกแห่งหนึ่งในจังหวัดสงขลา เช่นกัน แต่เรื่องมีดราม่าขึ้นมา เพราะว่าคุณหมอสุภัทร ทำตัวเป็นหมอเทวดา โดยอ้างความเป็นประธานชมรมหมอชนบท เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟังว่าข้อเท็จจริงมันเป็นอย่างไรบ้าง

เรื่องสุดท้าย มหา'ลัย มหาหลอก มหาโกง ท่านผู้ชมรู้ใช่ไหมว่าตอนนี้มีนักวิชาการโกงข้อสอบงานวิจัย ซื้องานวิจัยบนออนไลน์ บนอินเทอร์เน็ต เอาผลงานที่ตัวเองจ่ายเงินไป ค่าซื้อ เพื่อเอาชื่อตัวเองใส่เข้าไปในผลงานวิจัย แล้วเอาผลงานพวกนี้มาเลื่อนตำแหน่ง จากอาจารย์ เป็น ผู้ช่วยศาสตราจารย์ (ผศ.) จาก ผศ. เป็น รองศาสตราจารย์ (รศ.) จากรองศาสตราจารย์ ไปเป็น ศาสตราจารย์ แล้วผมจับโกหกได้ กี่เรื่อง คนพวกนี้ซื้ออย่างไร


ท่านผู้ชมครับ ก่อนที่จะเข้าเรื่องในรายการ ผมได้เรียนท่านผู้ชมแล้วว่า คุณบุญเจริญ บุญมา ที่ด่าผมอย่างสาดๆ เสียๆ กล่าวหาว่าผมร่ำรวยมาจากการค้ายาเสพติด ค้าฝิ่น โน่นนี่นั่น ให้ของลับผม ทั้งในหน้าเฟซบุ๊กของผม ตลอดจนแม้กระทั่งในหน้าเฟซบุ๊กของตัวเอง หลังจากท้าทายให้ผมฟ้อง เรียบร้อยแล้วครับ ฟ้องไปเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา คุณบุญเจริญ ครับ นี่คือคำฟ้อง ค่อนข้างจะรุนแรง คุณบุญเจริญ เพราะว่าทนายผมเขาบอกว่า งานนี้ต้องเอาให้สุดซอย เรียกค่าเสียหายคุณบุญเจริญ 1 ล้านบาท แล้วก็เรียกร้องให้จำคุกคุณบุญเจริญ โดยไม่รอลงอาญา เนื่องจากว่าเป็นการละเมิดสิทธิ ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง กล่าวคำหยาบคาย ท่านผู้ชมครับ ธรรมดาแล้วคดีหมิ่นประมาทเขาจะให้ขึ้นศาลแขวง แต่กรณีของคุณบุญเจริญ ให้ขึ้นศาลอาญา เพราะมันรุนแรงมาก ผมทราบมาว่าคุณบุญเจริญ ก็ขู่มาว่าจะฟ้องผม คุณบุญเจริญ คนที่เขารู้จักผมดีเขาจะบอกว่า อย่านะ คุณบุญเจริญ อย่าช้า คุณจะเอาอะไรมาฟ้องผม ของคุณนี่นะ ศาลนัดสืบการไต่สวนมูลฟ้อง วันที่ 3 เมษายน 13.30 น. ก็คือตัดสินฟ้องว่าคุณฟ้องคุณบุญเจริญ ข้อหาอะไร ทนายก็จะซักอะไรต่ออะไร แล้วคุณบุญเจริญ ก็สามารถแต่งทนายมาซักค้านผม แต่อย่าไปเสียเงินจ่ายค่าทนายเลย คุณบุญเจริญ เชื่อผม เพราะว่าผมส่งรายการที่คุณว่าผมให้เด็กที่ไม่ได้เรียนคณะนิติศาสตร์ เด็กแค่ ม.5 ม.6 อ่านแล้วถามว่า หมิ่นประมาทไหม ? ร้อยเปอร์เซ็นต์ แทบจะไม่ต้องสืบเลย ผมฟันธงไปได้ก่อนเลยว่าคดีมีมูลแน่นอน


แล้วหลังจากนั้น คุณบุญเจริญ ผมจะเล่าขั้นตอนก่อน เพราะคุณยังไม่เคยโดนฟ้อง เมื่อศาลพิพากษาคดีมีมูล ศาลจะนัดสืบพยานโจทก์ คือผม ระหว่างนั้นจนถึงก่อนสืบพยานโจทก์ คุณต้องไปประกันตัวก่อน ถ้าคุณไม่ไปประกันตัว เขาออกหมายจับคุณเลย เมื่อคุณไปประกันตัวแล้ว ผมไม่ต้องสืบอะไรทั้งนั้น ผมสืบว่าผมทำงานอะไร ผมออกรายการอะไร คุณละเมิดผมตรงไหน แล้วผมก็เอาข้อความที่คุณด่าผมเสียๆ หายๆ ส่งเป็นพยานหลักฐานให้ศาล แค่นั้นเอง ทนายคุณจะซักค้านอะไรผมล่ะ ก็คุณด่าผมหนักแบบนั้น หลักฐานก็มีอยู่แล้ว คุณจะซักค้านอะไรผม ร้อยเปอร์เซ็นต์ ผมแทบไม่ต้องสืบพยานอะไรเพิ่มเติมเลย ศาลสามารถจะนัดอ่านคำพิพากษาได้ แล้วผมฟ้องเรียกค่าเสียหายคุณอีก 1 ล้านบาท คุณอย่ามาอ้างว่าครอบครัวคุณจน จน/ไม่จน ผมไม่สน ก็คุณเป็นคนที่อ้าง นายนอท พันธ์ธวัช กองสลากพลัส และ นายแทนไท ถึงกับเขียนในเฟซบุ๊กของคุณว่า ระวังนะ นอท กองสลากพลัส กับ แทนไท กำลังหาทนายจะฟ้องผม นี่ผมรอมาตั้งนานแล้วนะ ผมบอกคุณแทนไท จะฟ้องผม รอมาตั้งนานแล้ว ไม่เห็นมีใครฟ้องเสียที ผมถึงเรียนให้คุณทราบคราวที่แล้วไง คุณบุญเจริญ ว่า 1 ล้านบาท ถ้าคุณบอกว่าคุณจน คุณไปขอคุณนอท กองสลากพลัส หรือ คุณแทนไท ก็แล้วกัน เพราะคุณออกมาปกป้องเขาเหลือเกิน เต็มที่ สุดลิ่ม สุดประตู แล้ววันนี้คุณนอท โดนข้อหาฟอกเงิน แล้วคุณจะว่าอย่างไร คุณบุญเจริญ เขาเรียกว่า ไม่เจียมเนื้อเจียมตัว อยู่ในลักษณะที่สติปัญญามีอยู่แค่ไหน ก็อยู่แค่นั้น แต่คุณกลับทะลึ่งมาหาเรื่องผม และท้าอีก ผมฟ้องคุณแล้วนะ คุณจะฟ้องผม รีบส่งมาเลย รีบส่งหมายมา ผมฟ้องคุณแล้วนะ คุณบุญเจริญ ทำตามคำท้าของคุณแล้ว แล้วเราเจอกันในศาล อย่างที่ผมเรียนให้ทราบแล้วนะ คุณบุญเจริญ เรื่องนี้ไปจนถึงศาลฎีกา ถ้าศาลต้นพิพากษา ซึ่งพิพากษาแน่ว่าคุณผิด เนื่องจากว่าจำเลยไม่กระทำผิดมาก่อน ให้รอลงอาญา ผมจะอุทธรณ์ว่าต้องไม่รอลงอาญา เพราะคุณใช้คำพูดที่หยาบคายมาก และคุณท้าทาย ข้อความที่คุณท้าทาย ผมมีหมดเลย เพราะฉะนั้นแล้ว โจทก์ ย่อมไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ยื่นอุทธรณ์ ขอให้ลงโทษโดยไม่มีการรอลงอาญา แล้วถ้าศาลอุทธรณ์ยังยืนเหมือนศาลชั้นต้น ผมก็จะฎีกาคุณต่อไป คุณบุญเจริญ คุณเตรียมเหนื่อยไปอีก 5-6 ปี สาธุ สาธุ สาธุ!

Thailand แดนท่องเที่ยว หรือ แดนเตารีดกับปี๊บ


ท่านผู้ชมครับ เรื่องที่ผมจะพูดเรื่องนี้มันเป็นเหมือนหนังเก่าเอามาฉายใหม่อีกครั้งหนึ่ง เป็นเรื่องเก่าแต่ว่ามันมีความลึกซึ้งหลายอย่างที่จำเป็นต้องพูด คือเรื่องของการที่ตำรวจไถเงินนักท่องเที่ยวชาวไต้หวัน

ก็คือ นักท่องเที่ยวชาวไต้หวันคนนี้เป็นดาราอยู่ที่ไต้หวัน โพสต์ลงโซเชียลมีเดียของตัวเองในไต้หวัน ว่า คืนวันที่ 4 มกราคม 2566 เธอโดนตำรวจไทยรีดไถจำนวนเงิน 27,000 บาท ช่วงที่เธอมาเที่ยวปีใหม่ในประเทศไทย เธอชื่อ อัน อี๋ว์ชิง (安于晴) หรือชาร์ลีน อัน (Charlene An) ซึ่งผมได้เคยเล่ารายละเอียดให้ฟังไแล้ว พอเรื่องดังขึ้น ท่านผู้ชมดูนิสัย สันดานตำรวจไทยยุคปัจจุบัน นอกจากเข้าไปเกี่ยวข้องกับธุรกิจสีเทา มีแม้กระทั่งสารวัตรคนหนึ่ง อยู่ในกองบัญชาการไซเบอร์นี่ล่ะ คือเป็นเจ้าของเว็บพนันรายใหญ่ที่สุดในประเทศ ชื่อ "เป็นต่อ" นี่ยกตัวอย่างให้ฟังง่ายๆ เพราะฉะนั้นแล้ว ประเทศไทยตำรวจไม่ได้อยู่ในร่องในรอยเลย แตกแถวกันฉิบหายวายป่วงกันหมด เพียงเพื่อต้องการเงินทอง


ท่านผู้ชมจำได้หรือเปล่าว่า พอเรื่องเริ่มดัง สันดานตำรวจคือออกมาแก้ข่าวกันพัลวันว่าไม่จริง ไม่มีเหตุการณ์แบบนั้น เอาล่ะ ผมจะไล่ไทม์ไลน์ความคืบหน้า

27 มกราคม ตำรวจเรียกรถยนต์มาสด้า 2 สีแดง ซึ่งเป็นผู้ให้บริการแกร็บ (Grab) ที่มารับนักแสดงสาวจากแหล่งท่องเที่ยว RCA มาที่ย่านห้วยขวาง มาเจอด่านตรวจความมั่นคง ถนนรัชดาภิเษก บริเวณหน้าสถานทูตจีน

ต่อมา พล.ต.ต.สำเริง สวนทอง รอง ผบช.น. เปิดเผยผลสอบปากคำโชเฟอร์แกร็บ โดยสรุป ตำรวจแถลง ผู้โดยสารมี 4 คน ชาย 3 หญิง 1 ทุกคนเมา พูดจาไม่รู้เรื่อง โดยเฉพาะดาราสาวคนนี้ที่เขาจำได้แม่น เพราะเมาแล้วโวยวายเสียงดังในรถ พอเจอด่าน ตำรวจขอตรวจค้น ตำรวจอ้างว่าให้ผู้โดยสารเปิดกระเป๋า ส่องไฟฉายลงไป ไม่ได้แตะต้องข้าวของ และแตะตัวเฉพาะผู้โดยสารชายเท่านั้น ใช้เวลาตรวจประมาณ 30 นาที เห็นดาราสาวคนนี้เมาโวยวายใส่ตำรวจเป็นภาษาจีน ตำรวจไม่ได้ตอบโต้อะไร (นี่ตำรวจแถลงนะท่านผู้ชม) กล้องหน้ารถตนบันทึกเสียงได้ แต่ไฟล์ภาพถูกลบไปแล้ว เพราะเขาจะฟอร์แมตทุก 7 วัน แต่ก็ได้นำเมโมรีการ์ดให้ตำรวจนำไปตรวจสอบแล้ว

นี่คือบทสรุปที่เขาอ้างว่าเขาสอบคนขับแกร็บให้การ คือดาราสาวเมามาก ส่วนตำรวจที่ทำตามหน้าที่ ซึ่งเข้าทางเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยเต็มๆ เอาล่ะ ท่านผู้ชม เรามาดูข้อเท็จจริงบ้าง


ภาพวงจรปิดจากกล้อง กทม. ด้านหน้าสถานทูตจีน และด้านหลัง บริเวณสะพานลอยปากซอยรัชดาภิเษก 3 ตำรวจเก่งจริงๆ อ้างว่าเป็นภาพระยะไกล ไม่ชัดเจน แต่กล้องวงจรปิดในเส้นทางที่เน็ตไอดอลสาวชาวไต้หวันใช้เดินทาง ตำรวจบอกว่า เช็กแล้วพบว่าดาราสาวอยู่ที่ด่าน 45 นาที ไม่ใช่ 2 ชั่วโมง ตามที่เธอกล่าวอ้าง ส่วนกล้องวงจรปิดที่ติดบนหมวกของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกิดเหตุนั้น ท่านผู้ชมครับ ผมฟังแล้วผมหัวเราะก้ากเลย ตำรวจยอมรับว่ามีไฟล์ที่หายไปในช่วงที่เกิดเหตุตลอดเวลา เป็นอย่างนี้ทุกที ท่านผู้ชม ผมโดนยิงที่ตรงแยกบางขุนพรหม 200 นัด ตำรวจบอกว่ากล้องวงจรปิดบริเวณนั้นเสียหมด นี่พวกคุณคิดว่าประชาชนเขาโง่หรืออย่างไร ไอ้ควาย นี่ผมต้องขออนุญาตใช้คำพูดแรงๆ ไอ้สันขวาน กล้องวงจรปิดถ้าเข้าตัวพวกคุณเมื่อไร จะต้องมีอาการถูกลบไฟล์ หายไปบ้าง โน่นนี่นั่น ถามผมสิ ผมโดนยิง 200 นัด พอตรวจกล้องวงจรปิด เขาบอกว่าเสียหมดทั้งถนน และเพิ่งเสียก่อนหน้าผมโดนยิงแค่วันเดียวเท่านั้นเอง

ต่อมา ผู้บัญชาการ บช.น. แถลงข่าว แล้วบอกว่า ไม่มีการตั้งด่าน แต่ในที่สุด โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หลีกเลี่ยงความจริงไม่ได้ เพราะความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว ก็เลยต้องบอกว่ามีการตั้งด่านจริง แล้วตำรวจที่บอกว่าไม่มีการตั้งด่าน ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน ท่านผู้ชมครับ สมควรจะตบปากไหมพวกนี้


ตำรวจไทยกำลังโกหก (นี่คือคำตอบโต้ของ ชาร์ลีน อัน ดาราสาวไต้หวัน) ตำรวจไทยกำลังโกหก และฉันไม่ใช่เหยื่อคนเดียว มีเพื่อนชาวไต้หวันอีก 3 คน ที่ไปประเทศไทยในช่วงปีใหม่ ถูกรีดไถเงินหนักกว่าอีก มันกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว

งามหน้าไหมครับตำรวจไทย งามหน้าไหมครับ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล งามหน้าไหมครับ เรื่องราวไปปรากฏอยู่ในโซเชียลมีเดียของประเทศจีน และแชร์กันระเบิดเถิดเทิง

หลังจากนั้น ที่สำคัญ ตำรวจไทยก็มีการปล่อยภาพจากกล้องวงจรปิดบริเวณที่พักของ อัน อี๋ว์ชิง (安于晴) หรือชาร์ลีน อัน (Charlene An) 31 ธันวาคม พบว่าดาราสาวไต้หวันถือสิ่งคล้ายบุหรี่ไฟฟ้า


เอาล่ะสิ คือตำรวจพยายามเบี่ยงเบนประเด็น ว่าดาราสาวไต้หวันสูบบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งผิดกฎหมายในประเทศไทย ท่านผู้บัญชาการตำรวจนครบาลครับ ใครก็ตามครับ ที่อยู่เบื้องหน้าเบื้องหลังการปล่อยข่าวเพื่อทำลายนักท่องเที่ยวคนนี้ เบี่ยงเบนประเด็นว่าพวกคุณรีดไถเงินเขา พวกคุณเบี่ยงเบนประเด็นว่าดาราสาวไต้หวันคนนี้สูบบุหรี่ไฟฟ้า ผิด ท่านผู้ชม ด้วยความสัตย์จริง ท่านคิดเหมือนผมไหม ในกรุงเทพฯ เดินไปไหนเจอแต่คนสูบบุหรี่ไฟฟ้า ทำไมคุณไม่จับสักคนล่ะ แถวห้วยขวางขายกันเต็มไปหมดเลย แถวเมืองนนท์ก็มีเอเยนต์ใหญ่บุหรี่ไฟฟ้า มันเก็บเอาไว้รีดไถเขา แล้วก็มีการปล่อยข่าวออกมาว่า ช่วงเดินตลาดห้วยขวาง เธอถือบุหรี่ไฟฟ้า เหมือนเป็นการยืนยันว่าเธอไม่เคยใช้บุหรี่ไฟฟ้านั้น ไม่เป็นความจริง


ท่านผู้ชมครับ ประเด็นอยู่ที่ไหน ? พิจารณาจากหลักฐานหลายๆ ส่วนที่มีการเปิดเผยออกมาแล้ว ผมมีข้อสังเกตอย่างนี้ กล้องที่อื่นชัดหมด แต่กล้องที่เกิดเหตุมีปัญหาตลอดเวลา กล้องที่ติดบนหมวกตำรวจ ณ ที่เกิดเหตุ กลับถูกลบไฟล์ทิ้ง ไหนบอกว่าผู้หญิงเมามาก ทำไมจับภาพว่าเขาไปเดินตลาดต่อ ถ้าคนเมามากจะเดินไปได้อย่างไร คุณแต่งเรื่อง คุณก็ยังแต่งไม่สมเหตุสมผล หรือคุณดูหนังจักรๆ วงศ์ๆ มากเกินไป มีอภินิหารเยอะแยะไปหมด คุณก็เอามาใส่ โดยคุณลืมคิด ที่สำคัญ ผมจะบอกคนที่แถลงข่าว รวมทั้งผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ซึ่งเป็นหัวหน้าหน่วย ที่คุณพูดออกมาน่ะ ชาวบ้านเขาหัวเราะกันท้องคัดท้องแข็ง เขาเบื่อ เอือมระอากับพวกคุณจริงๆ ผมก็เบื่อเอือมระอากับพวกคุณจริงๆ โกหกตอแหลเป็นนิจ

เรื่องสำคัญไม่ได้อยู่ที่เมา หรือไม่เมา เพราะเขาไม่ได้ขับรถเอง ไม่ได้อยู่ที่ว่ามีบุหรี่ไฟฟ้าหรือไม่ ประเด็นสำคัญก็คือว่า คุณตอบผมซิ คุณรีดไถเขาหรือเปล่า ถ้าจับข้อหามีบุหรี่ไฟฟ้าไว้ในครอบครอง ถามว่าคุณมีใบเสร็จเปรียบเทียบปรับไหม แล้วบุหรี่ไฟฟ้า ตำรวจที่ด่านไม่มีสิทธิ์ปรับเอง มันเป็นพระราชบัญญัติศุลกากร ไม่ใช่ความรับผิดชอบของตำรวจ ต้องจับส่งศาล แล้วทำไมคุณไม่จับส่งศาลล่ะตอนนั้น


ท่านผู้ชมครับ ก็ต้องติดตามพี่ชูวิทย์ พี่ชูวิทย์ บอกว่า ก่อนหน้าที่ ผบช.น. พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ใช้ให้ลูกน้อง พล.ต.ต.อัฏธพร วงศ์ศิริปรีดา ผู้บังคับการ กองบังคับการตำรวจนครบาล 1 และ พ.ต.อ.ยิ่งยศ สุวรรณโณ ผู้กำกับ สน.ห้วยขวาง ไปวางแผนทำเรื่องขายขี้หน้า คุณชูวิทย์ บอกว่า ข้อที่หนึ่ง ให้ลบคลิป สั่งเลยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจลบคลิปที่หน้าสถานทูตจีน ข้อที่สอง ให้ลบคลิปกล้องบนหมวกของตำรวจที่ด่าน ข้อที่สาม กล่อมให้คนขับรถแกร็บยืนยันว่าดาราสาวไต้หวันเมามาก พูดไม่รู้เรื่อง อยู่ที่ด่านแค่ 40 นาที แล้วอ้างว่ากล้องหน้ารถบันทึกได้ 20 วัน จึงไม่มีภาพ ข้อที่สี่ ปล่อยคลิปสารพัดเพื่อดิสเครดิตดาราสาวไต้หวัน ข้อที่ห้า ตอบโต้ แก้ตัวแทนลูกน้องตัวเอง โยนไปว่าสาวไต้หวันแต่งเรื่อง โชคดีที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนปัจจุบัน ท่าน ผบ.ดำรงศักดิ์ (เด่น) เห็นท่าไม่ดี สั่งการให้ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผู้การศูนย์สืบสวนนครบาล รีบบินด่วนเพื่อสอบปากคำดาราสาวไต้หวัน พร้อมกันกับที่สาวไทยที่ไปเที่ยวกัน มาให้ข้อมูลว่า เป็นคนจ่ายเงิน 27,000 บาท ด้วยตัวเอง ทีม บช.น. จึงชิงกลับลำให้ตำรวจห้วยขวางสารภาพเสียดีกว่า ระเบิดก็เลยลงที่นครบาลอีกครั้งหนึ่ง มีเรื่องแบบนี้หลายครั้งแล้ว ฉิบหาย พังทลายไม่เป็นท่า


เพิ่งจะเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว กลับเจอด่านรีดไถเพราะบุหรี่ไฟฟ้า ทำให้อับอายขายขี้หน้าไม่พอ ที่สำคัญยังไปแต่งเรื่อง ทำลายหลักฐาน ไม่ยอมรับความจริง ตำรวจนครบาลภายใต้การกำกับของ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง เจ้าเก่า แทนที่จะกล้ายอมรับความจริง จัดการให้คนต่างชาติเขาเห็นว่าเราเอาจริงกับตำรวจรีดไถ ดันแต่งเรื่องช่วยปกป้องคนผิด โยนว่าสาวไต้หวันเมา ก็อย่างที่ผมบอกว่า ถ้าเมา พูดไม่รู้เรื่อง แล้วจะไปเดินเล่นแถวห้วยขวางได้อย่างไร นี่มันย้อนแย้งนะท่านผู้ชม

ตำรวจมีการพูดคุยกันแล้วมีการตั้งคณะกรรมการ ว่ามีการเรียกเงินสด 27,000 บาท แลกกับการไม่ดำเนินคดี โดยกล่าวหานักท่องเที่ยวว่ามีความผิด ในที่สุดแล้ว มันพิสูจน์ชัดว่าเพื่อนชายชาวสิงคโปร์เป็นคนจ่ายเงินให้ตำรวจ

ทั้งนี้ จากการสอบสวนปากคำอย่างละเอียดของตำรวจแต่ละนาย ทำให้มีผู้ยอมรับสารภาพว่าในวันดังกล่าวมีการเรียกเก็บเงินจริง มีการแบ่งเงินกันที่บริเวณด่านในคืนที่เกิดเหตุ จากนั้น เมื่อปรากฏเป็นข่าว ทางกลุ่มชุดตำรวจในวันนั้นพยายามปกปิดข้อมูล ไม่ยอมรับในช่วงแรก เนื่องจากเห็นว่าผู้เสียหายเป็นคนต่างชาติ และไม่มีการแจ้งความดำเนินคดี

ท่าน ผบช.น. ท่านนั่งกาวติดเก้าอี้เลย ไม่ทำอะไรทั้งสิ้น ผบ.เด่น ก็เลยต้องทำงานแทน โฆษก ตร. ออกมาบอกว่า ผบ.เด่น ได้สั่งการด่วนให้ ผบช.น. สั่งผู้กำกับ สน.ห้วยขวาง ช่วยราชการ หลังจากมีข้อมูลว่ามีตำรวจเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดในกรณีนักท่องเที่ยวชาวไต้หวันถูกเรียกรับเงิน พร้อมทั้งสั่ง น.1 ก็คือ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ซึ่งเป็นเด็ก ลูกน้องคนสนิทของ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ให้ดำเนินการตั้งกรรมการวินัยร้ายแรง และดำเนินคดีอาญา ในส่วนของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่กระทำความผิดในเหตุการณ์ดังกล่าวทุกรายอย่างเด็ดขาด มิให้เป็นเยี่ยงอย่าง

พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ยอมรับว่าไฟล์ภาพวงจรปิดหายไป แต่ยืนยันว่าไม่ได้สั่งการลบภาพ ท่านผู้ชมเชื่อไหม ท่านผู้ชมครับ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เห็นพวกเราเป็นคนที่กินหญ้าหรืออย่างไร พวกเรากินข้าวกัน ยอมรับว่ามีไฟล์ภาพวงจรปิดหายไป แต่ไม่ได้สั่งการให้ลบภาพ ท่านผู้บัญชาการตำรวจนครบาลครับ แล้วหมาที่ไหนสั่งการให้ลบภาพ ? หมาที่ไหน ? พูดออกมาอย่างเท่ ยืนยันวส่าตำรวจไม่มีการสั่งการให้ลบภาพจากกล้องวงจรปิดแต่อย่างใด ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ เพราะเป็นกล้องของกรุงเทพมหานคร ส่วนกล้องติดหมวยกของเจ้าหน้าที่ตำรวจ รวบรวมส่งไปที่สำนักงานพิสูจน์หลักฐาน ให้ทำการตรวจสอบ เนื่องจากไฟล์ถูกลบจริง แต่จะเป็นการลบเอง หรือไฟล์หมดอายุ ต้องรอผลการตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง


ท่านผู้ชมครับ ต่อให้เขาพกบุหรี่ไฟฟ้า เขาไม่ได้แอบซื้อในตลาดมืด มันมีขายในตลาดห้วยขวาง เขาซื้อที่นั่น เขาเป็นนักท่องเที่ยว เห็นของวางขายอยู่ก็ซื้อ ใครจะไปรู้ว่าเมืองไทยวางของผิดกฎหมายขายกันเกลื่อนแบบนี้ และเขาก็คงไม่รู้ว่าตำรวจไทยรับเงิน ส่วนใหญ่ รับเงิน ใครวางบุหรี่ไฟฟ้าขาย ถ้าไม่จ่ายเงินตำรวจ จะวางขายได้ไหม ? เอาแค่นี้พอ

คุณธิติ แสงสว่าง คุณยิ่งพูด ก็ยิ่งแก้ผ้าให้ประชาชนเขาเห็น ปรากฏว่าวันที่ 31 ธันวาคม 2565 อัน อี๋ว์ชิง ออกมาให้สัมภาษณ์กลุ่มสื่อในไต้หวัน เช่น SETN TPS Next TV อีกครั้ง บอกว่า ถ้ามีบุหรี่ไฟฟ้าในครอบครอง และไม่พกพาสปอร์ต ถ้าผิดกฎหมายก็ควรออกใบสั่งปรับ แต่คำสั่งที่ได้รับแจ้งมา คือ เรียกร้องให้เธอจ่ายเงินและหลบกล้องวงจรปิด แค่นั้น ในที่สุด คุณชูวิทย์ ทนไม่ไหว ขาลุย เอาหนุ่มสิงคโปร์ชื่อ "สกาย" มาแถลงข่าวที่โรงแรมเดวิส ซึ่งคุณสกาย คนสิงคโปร์ เขาบอกว่า ที่ผมมาพูดวันนี้ไม่ได้อยากเอาเรื่องตำรวจ แต่ที่บินมาเมืองไทย มาเล่าเรื่องนี้ เพราะอยากพูดความจริงเท่านั้น เลวบัดซบ ไม่มีอะไรเลวกว่านี้ เลวที่รีดไถคน ทั้งๆ ที่ไม่ใช่คนไทยด้วยกัน เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ เขาไม่ได้ทำอะไรผิดเลยแม้แต่นิดเดียว ต่อให้ผิดก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย ไม่ใช่ไปรีดไถเขา


ที่เลวไปกว่านั้น ตำรวจเลวๆ ที่เป็นลูกน้องของ ผบช.น. คนปัจจุบัน ปกปิด ทำลายหลักฐาน เลวที่สุดคือทำลายการท่องเที่ยวไทยที่เพิ่งฟื้นขึ้นมาจากโควิด

ท่านผู้ชมครับ ใช้ตรรกะง่ายๆ คิด นักท่องเที่ยวผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง เขาจะมาหาเรื่องใส่ร้ายตำรวจไทยเพราะอะไร ? ไม่มีประโยชน์ ถ้าไม่ใช่เรื่องจริง เขาจะมาพูดทำไม ลองคิดดู ถ้าเราไปเที่ยวประเทศใดประเทศหนึ่ง เราอยากจะไปหาเรื่องตำรวจประเทศนั้นหรือ ? ไม่มีทาง แม้ว่าในรายละเอียดอาจจะมีสิ่งที่คลาดเคลื่อน ไม่ว่าจะเรื่องการดื่มเหล้าเมา หรือมีบุหรี่ไฟฟ้าในครอบครอง แต่ประเด็นสำคัญคือ พวกคุณรีดไถเขาหรือเปล่า


ผมพูดมาหลายครั้งแล้วว่าในวงการเขารู้ว่า พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. คือคนของ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข อดีตผู้บัญชาการตำรวจฯ ซึ่ง พล.ต.อ.สุวัฒน์ ก็เป็นเด็ก เป็นเพื่อนสนิทของ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ (บิ๊กแดง) แล้วก็ได้รับการเสนอชื่อแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในยุคที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา เกษียณ เสนอชื่อโดยที่ท่านราชเลขาฯ พล.อ.อ.สถิตย์พงษ์ สุขวิมล อภิรัชต์ คงสมพงษ์ เป็นคนแบ็ก สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ให้เป็น ผบ.ตร. ถึงกับขอท่านนายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ นี่ไงเหตุผล คุณชูวิทย์ครับ คุณไม่ต้องไปร้องเรียนต่อ พล.อ.ประยุทธ์ หรอก ไม่มีทาง คุณต้องรู้ว่า ธิติ แสงสว่าง เป็นเด็กของใคร และจนวันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ยังใช้งาน พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ในเรื่องปราบปรามบ่อนการพนันออนไลน์ ผมนี่กลั้นหัวเราะแทบตายเลย ผมหัวเราะมากเกินไปแล้วเรื่องนี้ ท้องผมจะแตกตาย แล้ววันหลังผมจะเล่าให้ฟังว่าบ่อนการพนันออนไลน์มันฟื้นฟูมาใน 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ อย่างหนักหนาสาหัส เผอิญมันเป็นช่วงที่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ เป็น ผบ.ตร. ด้วย ที่ผมพูดนี่ไม่ได้นัยอะไรนะครับ ท่านผู้ชมโยงเรื่องเอาเองก็แล้วกัน

รวมทั้งสารวัตรที่อยู่ไซเบอร์ ที่เป็นหัวขบวนใหญ่ เป็นเจ้าของเว็บพนันออนไลน์ที่ชื่อ "เป็นต่อ" ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย หมอนี่ก็สนิทสนมกับตำรวจชั้นผู้ใหญ่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติเช่นกัน จะเป็นใครผมไม่บอก ท่านผู้ชมพอจะเดาออกไหม


ผมสงสาร พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ เพิ่งขึ้นเป็น ผบ.ตร. เป็นเพียงแพะรับบาป มารับเผือกร้อนๆ ที่คนเก่าๆ สร้างเอาไว้ ในขณะที่นายกฯ ด่า ผบ.ตร. ว่าหาให้แต่เรื่อง แต่นายกฯ ไม่ได้คิดเลยหรือ นายกฯ ท่านไม่รู้เลยหรือว่าสมัย ผบ.เด่น จะได้รับเลือกเป็น ผบ.ตร.นั้น ผบ.สุวัฒน์ มีสิทธิ์โยกย้ายแต่งตั้งระดับนายพลครั้งสุดท้าย ผบ.เด่น ไปขอ พล.ต.อ.สุวัฒน์ ว่าสำหรับตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจนครบาลนั้น ท่านขอคนของท่านมาทำงาน เพื่อเป็นมือเป็นเท้าให้ท่าน แต่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ ไม่ฟัง ตั้ง ธิติ แสงสว่าง ขึ้นมา ให้ย้ายจากผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 มาเป็นผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เพราะว่า ธิติ แสงสว่าง เป็นลูกน้องคนสนิทของ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข เขาเป็นคนส่งไปเป็นผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 ที่คุมชลบุรี ทางภาคตะวันออก แล้วไปทำงาน ดูแลคดี "หลงจู๊สมชาย" อันเป็นผลทำให้ หลงจู๊สมชาย ถูกศาลสั่งยกฟ้อง เพราะหลักฐานมีไม่พอ

พล.ต.ท.ธิติ นี่ล่ะคู่แค้น คู่อาฆาต กับคุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ น้องชูวิทย์ของผม ซึ่งเป็นเด็กอัสสัมชัญศรีราชารุ่นน้องของผม คุณชูวิทย์ ก็ฟาดฟัน พล.ต.ท.ธิติ มีคนไปแจ้งความ จเรตำรวจแห่งชาติ ก็ตรวจสอบ


ผมบอก คุณวิสนุ ปราสาททองโอสถ จเรตำรวจแห่งชาติ ผมบอก เฮ้ย! หิน (ผมรู้จักเขาดี) เอ็งขึ้นมาเป็นจเรตำรวจแห่งชาติ ปีนี้ปีสุดท้าย เอ็งจะเกษียณอีกไม่กี่เดือนแล้ว ถึงเวลาหรือยัง เอ็งไม่ได้เป็นหนี้บุญคุณใครเลยนะ เอ็งเป็นหนี้บุญคุณประชาชน ถึงเวลาหรือยังที่ทำงานสั่งการเป็นงานสุดท้ายเสียหน่อยได้ไหม โชว์ฟอร์มจเรตำรวจแห่งชาติ พิจารณาเรื่องที่ร้องเรียนมา เรื่องเกี่ยวกับ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง อย่างตรงไปตรงมา ไม่ต้องกลัวอะไรเลย เพราะจะเกษียณอยู่แล้ว เดือนกันยายนนี้ หงายไพ่ไปเลย ถ้าผิดก็บอกว่าผิดไปเลย เล่นงานไปเลย จะเป็นเด็กของสุวัฒน์ แจ้งยอดสุข หรือจะเป็นเด็กของใครก็ตาม อย่าไปสนใจ ทำงานทิ้งทวนหน่อยได้ไหม พล.ต.อ.วิสนุ ปราสาททองโอสถ

พล.อ.ประยุทธ์ ตอนนี้ยังใช้งาน พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข อยู่หลายเรื่อง ในฐานะประธาน ก.ตร. เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ คุณประยุทธ์ จะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ แล้วไปตำหนิ ดำรงศักดิ์ ได้อย่างไร คนที่ต้องตำหนิก็คือ ธิติ แสงสว่าง จากกรณีตู้ห่าว มาถึงกรณีนี้ หลีกเลี่ยงไม่ได้ว่าบกพร่องในหน้าที่

ท่านผู้ชมครับ นี่คือเบื้องหน้าเบื้องหลังที่ชูวิทย์ ไม่ได้พูดให้ฟัง ชูวิทย์ ก็อาจจะรู้ แต่ผมต้องเล่าที่มาที่ไป ทุกอย่างที่เกิดขึ้น มันมีเหตุทำให้มันเกิดขึ้น ผมกำลังเล่าเหตุให้ฟัง แล้ว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา บอกว่า ขออยู่อีก 2 ปี ทำให้ประเทศชาติดีขึ้น ท่านอยู่มา 8 ปีแล้ว ผมไม่เห็นอะไรดีขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ท่านดูแลอยู่มาเป็นเวลาหลายปี ท่านอายบ้างหรือเปล่า อ๋อ แน่นอน ไม่มีใครพูดหรอก อย่าไปหวังถึง TOP NEWS ที่จะพูด เพราะว่า TOP NEWS เป็นช่องโทรทัศน์ในดวงใจของ พล.อ.ประยุทธ์ พวกนี้ต้องปกป้อง พล.อ.ประยุทธ์ ดั่งไข่ในหิน


เอาล่ะ เรามาพูดถึงเรื่องบุหรี่ไฟฟ้ากันนิดหนึ่ง กฎหมายบุหรี่ไฟฟ้าในไทย สังเกตอย่างนะท่านผู้ชม มันมีระเบียบทุกขั้นตอน เข้มงวดมาก นำเข้า จำหน่าย ครอบครอง การสูบ มีโทษทั้งจำคุกห้าถึงสิบปี ปรับห้าแสนถึงหนึ่งล้านบาท โดยในส่วนของการสูบในที่สาธารณะ มีความผิดพระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ 2560 โทษแรงมาก แต่ดันกลับมีวางขายเกลื่อน ทั้งตลาดออนไลน์-ออฟไลน์ ตามตลาด โดยตำรวจที่มีเอี่ยว อย่างที่ผมพูดไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งตำรวจไซเบอร์ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ชื่อย่อว่า สอท. ผมเคยเล่าให้ฟังแล้วว่า จะตีเมืองขึ้น คือใครจะขายต้องจ่ายส่วย ไม่จ่ายก็จับ แล้วของกลางที่ยึดเอามาก็มีหัวเบี้ยลูกน้องเอาไปขายต่อ


ท่านผู้ชมครับ เว็บไซต์ okwave รายงานว่าปัจจุบันมีราว 50 ประเทศ ที่บุหรี่ไฟฟ้าไม่ใช่สิ่งผิดกฎหมาย ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าที่ไหนบ้าง ? ญี่ปุ่น อิตาลี นิวซีแลนด์ เดนมาร์ก จีน แคนาดา ฝรั่งเศส เกาหลีใต้ ไต้หวัน ส่วนประเทศที่มีข้อจำกัดทางกฎหมายที่ต้องตรวจสอบ คือ อเมริกา เพราะแต่ละรัฐมีกฎหมายเรื่องบุหรี่ไฟฟ้าไม่เหมือนกัน ขณะที่มาเลเซีย บุหรี่ไฟฟ้าไม่เป็นสิ่งผิดกฎหมาย ตราบใดที่ไม่มีสารนิโคติน

ผมอยากจะย้อนไปว่า มีหมอคนหนึ่งเฮ้าเลี่ยน จำกัดการสูบบุหรี่ คุณหมอที่ต่อสู้เรื่องนี้ออกมา ขอบพระคุณมาก คุณหมอครับ คุณหมอหน้าไหว้หลังหลอกหรือเปล่า คุณหมอมาเน้นในเรื่องการสูบบุหรี่ว่าเป็นอันตราย ผมเรียนถามคุณหมอครับ คุณหมอที่ออกกฎหมายนี้ แล้วเหล้า-เบียร์ ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพหรือ คุณหมอไปดูซิว่า คนตายเพราะบุหรี่ กับคนตายเพราะกินเหล้ามากเกินไป สูบบุหรี่ไม่เมา สูบบุหรี่ไม่ได้ขับรถแล้วไปชนเขา หรือแม้กระทั่งสูบบุหรี่ผสมกัญชา หรือสูบกัญชา ก็สูบกันที่บ้าน เวลาเคลิ้มขึ้นมา ง่วงนอน ก็ไปนอน แต่เบียร์และเหล้าทานเข้าไปแล้ว ตีกันจะตาย ขึ้นโรงพัก ฆ่ากันเป็นเบือ ก็เพราะเบียร์และเหล้า คุณหมอไม่หน้าไหว้หลังหลอกไปหน่อยหรือ มาเน้นเรื่องนี้ พ่วงบุหรี่ไฟฟ้าเข้าไปอีก สร้างกฎระเบียบข้อบังคับเยอะแยะไปหมด คุณหมอคงคิดว่าเท่ฉิบหายเลยใช่ไหม แต่คุณหมอรู้หรือเปล่าว่ากฎระเบียบที่คุณหมอสร้าง ตำรวจจับกฎระเบียบทุกอย่างไปรีดไถคน แล้วคุณหมอไปดูสิ ประเทศที่ผมเอ่ยชื่อมาทำไมเขาให้สูบได้ บุหรี่ไฟฟ้า

คุณชูวิทย์ เอาพยานที่ชื่อ "สกาย" มา ออกสื่อไปเรียบร้อยแล้ว คุณชูวิทย์ พูดล่าสุด วันนี้คนดีกลัวด่าน แต่คนร้ายไม่กลัว เพราะจ่ายเงินได้ ถ้าเมาแล้วจ่าย 2-3 หมื่นบาท ก็จะปล่อยไป ถ้ามีฉี่ม่วง 1 แสนบาท หากต่างชาติ โดนแน่ ของชอบ เพราะขู่ง่าย จ่ายง่าย จบง่าย แค่บอกว่าจะต้องไปติดคุก ตม. ส่งตัวกลับ เป็นแบล็กลิสต์อีก เข้าไทยไม่ได้ตลอดไป คุณชูวิทย์ บอกว่า ด่านทุกด่านจะตั้งได้ต้องมีเป้า 1 แสนบาท ต่อ 1 ด่าน หาให้นาย แล้วเด็กๆ จะไม่รีดไถได้อย่างไร นายคนไหน ไม่ต้องบอกก็คงรู้แล้วมั้ง ตำรวจนครบาลส่งให้นายคนไหน คงจะรู้แล้วมั้ย

สกาย ชาร์ลีน นั่งแกร็บมา 4 คน จับบุหรี่ไฟฟ้า ทั้งๆ ที่ขายกันเปิดเผยตามตลาดห้วยขวาง นักท่องเที่ยวเขาจะรู้ไหมว่ามันผิดกฎหมาย


เรื่องนี้ขึ้นไปสู้ในศาลก็ชนะ คนขายต้องจ่าย ถึงขายได้ คนซื้อถ้าถูกจับ ก็ต้องจ่ายอีก ประเทศไทยไม่ได้เลยสักบาท และที่น่าเจ็บใจ บุหรี่ไฟฟ้าตำรวจก็สูบ ดันจับบุหรี่ เวลาตั้งด่านแถวสุขุมวิท เห็นฝรั่งเดินสูบ เป็นถูกสะกิดจับ โดนกันมาเยอะแล้ว แต่ถ้าถูกตรวจฉี่ ไม่อยากมีปัญหา 1 แสนบาท กดเงินโอนเข้าบัญชีม้า พวกคุณจับบัญชีม้าเว็บพนันออนไลน์ คุณลองสืบบัญชีม้าที่ตำรวจตั้งเอาไว้เพื่อโอนเข้าบัญชีนี้

ท่านผู้ชมครับ แต่ก่อนด่านน้อยเพราะบ่อนเปิด แต่ตอนนี้บ่อนปิดเลยต้องหากินตามด่าน เป้าด่านละ 1 แสนบาท คูณ 30 วัน 3 ล้านบาท 88 สน. 200 กว่าล้านบาทต่อเดือน แล้วเงินก้อนนี้ไปสู๋ที่ไหน ? สาธุ! ขอสาปแช่งโคตรพ่อโคตรแม่คนที่รับเงินรีดไถมา ใครก็ตาม 200 กว่าล้านต่อเดือน จราจรกลางก็ไม่เบา (นี่คุณชูวิทย์พูดนะ) ตั้งด่านทั่วกรุงเทพฯ อยากจะตั้งก็ตั้ง ถ้าได้ตามเป้า โอเค ไม่อย่างนั้นโดนเบิ้ลครั้งหน้า 2 ต่อ คุณชูวิทย์ บอก พยานคนสิงคโปร์ที่ชื่อ สกาย นั้น เขาไว้ใจผมมากกว่าไว้ใจตำรวจ คุณชูวิทย์ท้า ซึ่งผมเห็นด้วย ถ้าทำโพลว่า "ระหว่าง ผบช.น. กับ ชูวิทย์ เชื่อใครได้มากกว่า ?" ท่านผู้ชมครับ ผมเชื่อชูวิทย์อยู่แล้ว เพราะชูวิทย์ เขาผ่านมาจากวงการน้ำครำ เจ้าของอาบอบนวด เขาขายกิจการของเขาทิ้งแล้วมาเดินหน้าเพื่อทำเรื่องที่ผิดให้มันถูกต้อง


แต่ฟังหนุ่มสิงคโปร์ ชื่อ สกาย แล้วสะอึก บอกว่าไม่เคยพบแบบนี้ที่ไหน คุณชูวิทย์เลยให้ปี๊บไว้คลุมหัว ให้เตารีดไว้เป็นสัญลักษณ์การรีดไถ ท่านนายกฯ ครับ คุณชูวิทย์ บอกว่า ไม่ต้องไปเดินหาเสียงทำท่าให้ชาวบ้านผูกผ้าขาวม้า แค่มาจัดการเรื่องคอร์รัปชันให้จบเสียทีเถอะ อย่าไปเที่ยวเพ้อเจ้อว่าต้องให้ความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย เพราะมีแต่ฝั่งประชาชนที่เสียเงิน เสียประโยชน์ คุณให้ความเป็นธรรมกับประชาชนก็พอแล้ว ตอนนี้ประชาชนเหลือแต่กางเกงใน อีกฝั่งได้ทุกอย่าง ขี่รถซูเปอร์คาร์คันละ 30-40 ล้านบาท ห้อยนาฬิกาหรู ริชาร์ด มิลล์ 20 ล้านบาท มันจะเป็นธรรมได้อย่างไรครับ (คุณชูวิทย์พูด) เพราะเงินที่ได้มาจากการรีดไถชาวบ้าน แม้แต่คนต่างชาติ นักท่องเที่ยว ก็ไม่เว้น คุณชูวิทย์ บอกว่า ไหนบอกว่าเป็นเมืองท่องเที่ยว ผมว่าจะเป็นเมืองรีดไถเอานะครับ ต้องทำอนุสาวรีย์เป็นสัญลักษณ์ "เมืองเตารีดกับปี๊บ"


ท่านผู้ชมครับ ผมเหนื่อยเรื่องนี้ บ่อนพนันออนไลน์ ทุกเจ้า มีตำรวจเข้าไปเกี่ยวข้องหมด มีจริงๆ ท่านผู้ชม เราควรจะล้างตำรวจทั้งประเทศดีไหม ให้ทุกคนลาออกให้หมดเลย แล้วรับใหม่ คัดกรองกันใหม่ เมืองไทยไปไม่รอดจริงๆ

END GAME กองสลากพลัส "นอท พันธ์ธวัช" จะไปยังไงต่อ ?

ท่านผู้ชมครับ ถ้าวันนี้ไม่พูดถึงเรื่อง คุณนอท พันธ์ธวัช ก็คงจะดูเชยไปนิดหนึ่ง เพราะว่าผมเป็นคนที่จับประเด็นคุณนอท ขึ้นมา ต่อเนื่องจากเรื่องราวที่คุณแทนไท ได้ประมูลป้ายรถยนต์ 45 ล้านบาท ทำให้ผมรู้สึกทะแม่งๆ ก็เลยสืบสาวราวเรื่อง ในช่วงนั้นคุณนอท ก็ออกมาให้สัมภาษณ์สื่อทุกสื่อ สวนหมัดกับสื่อที่ซักถามเขา ที่สำคัญคือเขาฟาดฟันกับ คุณสันติ มะโรงศรี ช่อง TOP NEWS ช่องโทรทัศน์ในดวงใจของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา


ก็ปรากฏว่า ผมก็เลยเช็กมาละเอียด เป็นเวลาตั้งเกือบ 2-3 อาทิตย์ ในที่สุดผมตัดสินใจที่จะชักธงรบ แล้วผมชักธงรบมา 2-3 อาทิตย์ 4 อาทิตย์ คุณนอท อาจจะเกรงใจผมมาก เห็นว่าผมเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ก็เลยไม่ค่อยกล้าตอบโต้สิ่งที่ผมพูด แต่ว่าสิ่งที่ผมพูดไป และผมตั้งคำถาม ถามคุณนอท ในที่สุดแล้ว มาวันนี้คุณนอท ยอมรับหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่คุณนอท บอกว่าไม่รู้จักกับคุณเอ๊ดดี้ พันณรงค์ ขุนพิท้กษ์ แต่ผมบอกว่าสนิทสนมกันมาก มีส่วนการทำธุรกิจร่วมกัน ในที่สุดคุณนอท ก็สารภาพออกมาว่ารู้จัก แต่เป็นแค่เพื่อนเที่ยวเพื่อนกินกัน


สรุปแล้ว เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา 31 มกราคม คุณนอท ได้เข้ามามอบตัวแล้ว เพราะว่าถ้าไม่มามอบตัวก็คงต้องโดนหมายจับแน่ เป็น 2 คดี คดีแรก คดีที่ 288/2565 ข้อหาร่วมกันฟอกเงิน สรุปแล้วคุณนอท โดนข้อหาฟอกเงิน กับนายอรรถกานต์ ตระการศักดิกุล หรือ เฟย ซึ่งเป็นญาติกับ "ดาบมานัส" เจ้าของบ่อนลอยฟ้าเก่า โดยมอบอำนาจไปเพื่อไปขึ้นเงินรางวัล แต่กลายเป็นว่าเงินที่ได้รับมาจากเฟย คือเงินจากการพนันออนไลน์ มิหนำซ้ำ คดีที่ 6/2566 ข้อหาร่วมกันจัดให้มีการเล่นการพนัน และร่วมกันฟอกเงิน จากกรณีเส้นทางการเงิน 39 เส้น มูลค่า 1,090 ล้านบาท โดยมาจากเครือข่ายแก๊งพนันออนไลน์ ผู้กระทำผิดกฎหมายทั้งหลาย ซึ่งในบรรดา 39 สายนั้น มีอยู่ 4 สาย ที่คุณนอท ไม่สามารถจะชี้แจงได้ ซึ่งนี่ก็เป็นภาระหนักอกของทนายคุณนอท และตัวคุณนอท เอง แม้ว่าคุณจะตีหน้าชื่นแต่คุณอกตรม คุณต้องรู้ว่า 4 สายนี้คุณชี้แจงไม่ได้อยู่แล้ว ดีเอสไอก็เลยส่งจดหมายไปถึงกระทรวงดีอีเอส ให้ปิดแพลตฟอร์ม "กองสลากพลัส" คุณนอท แน่นอนที่สุดครับ ก็ยังปากแข็ง ปัดว่าไม่ได้ฟอกเงิน ก็ให้สัมภาษณ์ไป แก้ไปเรื่อยๆ

ท่านผู้ชมครับ เรื่องคุณนอท มันเป็นเรื่องที่ผมเคยพูดอยู่แล้ว กับในบรรดาทีมงานของผม ผมบอกเขาว่า สิ่งที่คุณนอท ทำผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงเลยก็คือ คุณนอท ต้องการแสดงความดังของตัวเองขึ้นมา แล้วก็เดินสาย คล้ายๆ กับคุณท๊อป จิรายุส บิทคับ (bitkub) ตอนนี้คุณท๊อป ก็ดำน้ำอยู่ ไม่ออกมาโวยวายแสดงวิสัยทัศน์เหมือนแต่ก่อนแล้ว


ก็ถามว่าแล้วคุณนอท จะทำอย่างไรต่อไป ? คุณนอท เขาก็มีวิธีการของเขาหลายวิธีการล่ะครับ สมัยก่อนคุณนอท ก็เลยทำอะไรใต้ดินมาแล้วหลายเรื่อง อย่างเช่น เว็บแทงบอลชื่อ "FIFA55" ก็ได้ข่าวว่าตอนที่คุณนอท มาทำกองสลากพลัส มันก็ปิดไปนาน แต่ตอนหลัง ตอนนี้ถูกรื้อฟื้นให้คืนชีพมาอีกทีหนึ่ง

เพราะฉะนั้นแล้ว คุณนอท คงไม่อยู่เฉยๆ เพราะว่าคุณนอท เป็นคนที่ผ่านอะไรมาเยอะ หรือถ้าจะพูดตามประสานักเลง คือ คุณนอท เป็นคนที่อยู่ในวงการน้ำครำ กำลังจะฟอกตัวขึ้นมา ก็โดนกดลงไปอยู่ในน้ำครำเหมือนเดิม ก็เลยตรงเข้าไปดำอยู่ในน้ำครำต่อมา

เส้นทางการเงินที่ดีเอสไอค้นพบ และหลักฐานความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิด ระหว่างคุณนอท กับ แก๊งเครือข่ายอาชญากร ซึ่งพัวพันในการทำผิดกฎหมายหลายอย่าง ทั้งขบวนการค้ายาเสพติด การเปิดบ่อนพนันออฟไลน์/ออนไลน์ ขบวนการเปิดบัญชีม้า แก๊งเทรดคริปโตฯ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ขบวนการหลอกลวงประชาชน ลบอย่างไรก็ลบไม่ออก

คุณเคยพูดอะไรบางอย่าง แล้วคุณไม่ได้นึกว่าวันนี้จะย้อนกลับมาฟาดฟันคุณ ผมอยากจะเตือนคุณนอท และพรรคพวกอีกครั้งหนึ่งว่า สิ่งที่พวกคุณเคยทำ เป็นการหยิ่งยะโสโอหัง คุณคิดว่าคุณมีเงิน จะทำอะไรก็ทำได้ และเงินคุณได้มาอย่างไม่ถูกต้องตามกฎหมายด้วย คุณย่ามใจว่าเงินซื้อได้ทุกอย่าง ซื้อเจ้าหน้าที่ ซื้อตำรวจ ซื้อคนในกระบวนการยุติธรรม ซื้อนักการเมือง ซื้อสื่อมวลชน ผมจะเตือนความจำ คุณนอท คุณลืมไปหรือเปล่าว่าคุณเคยคุยโวโอ้อวดกับพรรคพวกของคุณ เมื่อเดือนมีนาคม ปีที่แล้ว (2565) คุณบอกว่า "พวกเรามันนักสู้ เวลาเจอปัญหา เวลาเจอทางตัน ไม่ต้องถามว่าทำอย่างไร ถามอย่างเดียวว่า ต้องการเท่าไร เงินไม่ใช่ทุกอย่าง แต่เงินซื้อได้ทุกอย่าง"


วันนี้คุณ กับพรรคพวกของคุณ ไม่ว่าจะเป็นแทนไท อั้ม เอ๊ดดี้ เจียว พีท ได้เห็น ได้สัมผัสตัวเองแล้วว่า สิ่งที่คุณพูดนั้นไม่จริง ที่สำคัญ ผมกำลังจะบอกว่า คุณนอท ให้ตายสิ คุณนอท ผมจะบอกคุณเลยว่า คุณเป็นแค่เบี้ยตัวหนึ่งเท่านั้นเองที่เขาให้เดิน คุณอย่าไปสำคัญตนผิดว่าคุณเป็นคนยิ่งใหญ่ เพราะตัวคุณเองย่อมรู้ดีว่าสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่นั้น มันมีคนอยู่เบื้องหลัง มีเครือข่ายอยู่เบื้องหลัง

ผมเกริ่นกับท่านผู้ชมไปเมื่อวันศุกร์ที่แล้วว่า ผมและทีมงานทุกคน "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ทำการบ้านอย่างละเอียด เก็บข้อมูลทุกชิ้น เรียบเรียงข้อมูลอย่างเป็นระบบ เพื่อจะเอาภาพรวมของความชั่วทั้งหลาย และการฟอกเงินในระบบต่างๆ แล้วใครบ้างที่เกี่ยวข้อง ท่านผู้ชมครับ มีเกี่ยวข้องกันหมด ตั้งแต่ทหารยศพลเอก ถึงทหารยศร้อยเอก คนที่อยู่ทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลังทั้งนั้น ยิ่งใกล้วันเลือกตั้ง ผู้มีอำนาจ นักการเมือง ยิ่งต้องมาทุบตีคนอย่างคุณนอท พวกมีบ่อนการพนันออนไลน์ เดี๋ยวอั๊วจะดูแลปกป้องให้ ตอนนี้ต้องการเงินเลือกตั้ง 300 ล้าน 500 ล้าน เวฟกับพวกอาชญากรทั้งหลายลงขันกันมาจ่ายเป็นทุนรอนในการเลือกตั้ง เดี๋ยวพวกอั๊วมีอำนาจแล้วจะจัดการให้พวกลื้อทำธุรกิจกันได้อย่างสะดวก

ผมเหนื่อย เรื่องราวต่างๆ เพราะฉะนั้น ผมอยากจะเอาตัวอย่างให้ดูก็แล้วกัน บางส่วน ให้ดูเป็นน้ำจิ้ม เอาแผนภาพมาให้ดู


ท่านผู้ชมจะเห็นรูปที่วงคุณนอท เอาไว้ คุณนอท นี่อยู่ด้านล่างเลยนะ เพราะฉะนั้นคุณนอทเป็นแค่เบี้ยตัวหนึ่งเท่านั้นเอง มันมีคนที่อยู่เหนือคุณนอท อยู่หลายคน ข้างบน แล้วผมมีแผนผังนี้เรียบร้อยแล้ว ตำรวจก็ไม่มี ดีเอสไอก็ไม่มี ไม่มีใครมีเลยในประเทศไทย นอกจากผมคนเดียว ใจเย็นๆ ครับท่านผู้ชม อย่างไรผมจะมาตามนัดแน่นอน วันนี้เอาแค่สรุปของคุณนอท แล้วกันว่า งานผมทำสำเร็จแค่ครึ่งเดียว เพราะยังต้องเปิดโปงเครือข่ายทั้งหลายที่อยู่เบื้องหลังคุณนอท หรืออีกนัยหนึ่ง คือเป็นเจ้านายคุณนอท นั่นเอง

คุณนอท ครับ ผมมีคำถามก่อนที่ผมจะจบเรื่องของคุณวันนี้ว่า คุณรู้จักเว็บใต้ดินที่ชื่อ "FIFA55" และ "เว็บรวย.com" ไหม ไม่ทราบว่าคุณเกี่ยวข้องด้วยหรือเปล่า ผมทิ้งคำถามให้คุณแค่นี้ คุณน่าจะรู้ว่าผมรู้ดีว่าคุณกำลังจะคิดทำอะไรอยู่

"ตู่ จตุพร" แก้ผ้า "ทักษิณ"


ท่านผู้ชมครับ สองสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ ท่านผู้ชมคงได้รับทราบข่าวคราวที่คุณจตุพร พรหมพันธุ์ หรือ "ตู่" จับทักษิณ ชินวัตร แก้ผ้าหลายๆ เรื่อง ตลอดจนเปิดเผยเบื้องหน้าเบื้องหลังอะไรหลายๆ อย่าง นัยเรื่องนี้หลายๆ คนที่ติดตามข่าวอยู่ก็พอจะรู้บ้าง แต่หลายๆ ท่านไม่ได้รู้รายละเอียดว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร แล้วการเมืองช่วงนี้มันเข้มข้นมาก เพราะว่าการที่ ตู่ จตุพร พรหมพันธุ์ ออกมาในช่วงนี้ แล้วดิสเครดิตทักษิณ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทย อย่างรุนแรง กล่าวหาหลายๆ เรื่องที่คนเคยสงสัย วันนี้ ตู่ จตุพร พรหมพันธุ์ ออกมายืนยันว่าเป็นข้อเท็จจริง เป็นความจริง

ผมจะเอาเรื่องนี้มา อย่าถือว่าผมเอาเรื่องเก่ามาพูดใหม่นะครับ ไม่ใช่ฉายหนังเก่า ผมจะวิเคราะห์ให้ดูแต่ละเรื่อง เพราะในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ตู่ จตุพร และ นิติธร ล้ำเหลือ หรือ ทนายนกเขา ทั้งสองคนรวมตัวกันเป็นวิทยากรในนาม "คณะหลอมรวมประชาชน" ใช้ช่องทางเฟซบุ๊กไลฟ์จัดรายการที่ชื่อว่า "ประเทศไทยต้องมาก่อน"


เขาเปิดประเด็นลึกๆ ลับๆ หลายเรื่องที่เคยเป็นประเด็น ไม่เคยมีใครเคยรู้ เคยพูดมาก่อน โดยทุกประเด็น ทุกหมัด ทั้งศอก ทั้งเข่า ที่ตู่ จตุพร เปิดเผยออกมานั้น เรียกได้ว่าสร้างแรงสั่นสะเทือนอย่างใหญ่หลวงให้กับทักษิณ ชินวัตร และ พรรคเพื่อไทย เพราะเป็นการเปลือยธาตุแท้ของทักษิณ และบริวารพรรคเพื่อไทยทั้งหลาย ที่คุณทักษิณ กับครอบครัว ชอบเปรียบเปรยดูถูกดูแคลนว่า เหมือนสุนัข เหมือนหมาในบ้านชินวัตรที่ถูกเลี้ยงเอาไว้

สำหรับประเด็นต่างๆ ที่น่าสนใจ เพราะเรียกได้ว่าสั่นสะเทือนวงการการเมืองในบ้านเรา ในหลากหลายมิติ ผมมาสรุปย่อให้ท่านผู้ชมฟังดีกว่า ท่านผู้ชมไม่ต้องไปฟังคลิปเต็มแล้วกัน ท่านผู้ชมจะได้รับทราบและเข้าใจง่ายๆ ว่ามีเรื่องอะไรบ้าง

ประเด็นที่หนึ่ง ที่ตู่ จตุพร ฟาดฟัน ตีศอก หมัดอัปเปอร์คัตใส่ทักษิณ คือ "เพื่อไทยหาเสียงชู 'ทักษิณ' กลับบ้าน" คือชัยชนะในระยะสั้น แต่แพ้ในระยะยาว ซึ่งจะนำไปสู่การรัฐประหารเช่นเดิม

วันศุกร์ที่ 20 มกราคม 2566 จตุพร กล่าวว่า ในการเลือกตั้งใหญ่ 2566 ที่กำลังจะมาถึงนี้ การที่พรรคเพื่อไทยหาเสียงด้วยการชูเรื่องพาทักษิณ กลับบ้าน ซึ่งตอนหลังพอรู้ว่าพลาดพลั้ง จะกลับลำ จะเป็นการซ้ำเติมหายนะให้ประเทศ เพราะแม้ว่าในการเลือกตั้งที่จะมาถึง พรรคเพื่อไทยถึงจะได้คะแนนเสียงมากเป็นอันดับหนึ่ง แต่ก็จะเป็นแค่ชนะระยะสั้นเท่านั้นเอง

นายจตุพร พูดว่า ด้วยเหตุนี้ตัวเองก็เลยต้องให้คนพรรคเพื่อไทยเตือนให้ทบทวนตัวเอง แม้การยึดอำนาจเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ แต่สามารถป้องกันได้ โดยผู้มีอำนาจต้องไม่โกง ไม่ลุแก่อำนาจ และต้องไม่คิดว่าประเทศนี้ตัวเองเป็นเจ้าของ จะทำอะไรก็ได้ โดยยิ่งได้รับคะแนนมากเท่าไร ก็หลงใหลว่าตัวเองมีอำนาจมากเท่านั้น ซึ่งที่ผ่านมาพิสูจน์แล้วว่า อำนาจมากเป็นเรื่องชั่วคราว จึงมาบอกให้พรรคเพื่อไทยสงสารประชาชนบ้าง กับการพาประชาชนไปแพ้ทุกครั้ง แล้วโทษแต่เรื่องยึดอำนาจแต่ฝ่ายเดียว

จตุพร กล่าวว่า ถ้าพรรคเพื่อไทยไม่สถาปนาตัวเองเป็นเจ้าของประชาธิปไตย คนจะสรรเสริญว่าเป็นนักประชาธิปไตยที่แท้จริง แต่ที่ผ่านมากลับประกาศว่า คนที่ย้ายพรรค ออกจากพรรคเพื่อไทย เป็นคนทรยศ เป็นพวกงูเห่า ไปไล่หนู ตีงูเห่า ที่ศรีสะเกษ แต่กลับเปิดตัวคนที่ย้ายจากพรรคพลังประชารัฐ เข้าพรรคเพื่อไทย รับอดีตเลขาธิการพรรคไทยภักดี ผู้ร่วมชุมนุม กปปส. มาเข้าพรรคเพื่อไทย และขอโทษว่าไปสังเกตการณ์ และเละเทะไปกว่านั้นคือ การที่พรรคเพื่อไทยจัดพิธีต้อนรับคนจากพรรคก้าวไกล


ดูในภาพนะครับ จะเห็นว่าคุณกานต์กนิษฐ์ แห้วสันตติ อดีต ส.ส. กทม. พรรคพลังประชารัฐ ซึ่งเป็นอดีตภรรยาของคุณชัยวุฒิ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอี ที่หย่ากันแล้ว คุณกานต์กนิษฐ์ ย้ายพรรคมาอยู่พรรคเพื่อไทย ลงเขต 1 กทม. คุณกานต์กนิษฐ์ บอกว่า ทำงานพรรคเพื่อไทย ทำแล้วสบายใจ


ท่านผู้ชมครับ ผมเอารูปคุณขจรศักดิ์ ประดิษฐาน อดีตหัวหน้าพรรคยุทธศาสตร์ชาติ ผู้ร่วมจดทะเบียนก่อตั้ง และอดีตเลขาธิการพรรคไทยภักดี อดีต ส.ส. ประชาธิปัตย์ 2 สมัย เขาประสงค์จะลง ส.ส. กทม. เขตห้วยขวาง วังทองหลาง พรรคเพื่อไทย พรรคเพื่อไทย ก็ดูดเอา ส.ส. หลายๆ คนเข้ามา

ประเด็นที่สอง คุณจตุพร อัดทักษิณ ว่าหลอกใช้คนเสื้อแดงมาหาเสียง หวังจะได้แลนด์สไลด์

จตุพร ยังเปิดเผยด้วยว่า ปี 2554 หลังการต่อสู้ และก่อนจะเข้าคุก ทักษิณ วิดีโอลิงก์มา บอกว่าจะมีการเลือกตั้ง ให้พี่น้องถอดเสื้อแดงออก ไม่ต้องใส่แล้ว คนก็โห่ ตน (คือจตุพร) ก็เลยโทรศัพท์ไปหาทักษิณ บอกว่า ที่พูดมา คนรับไม่ได้ ทักษิณ จะพูดอะไรก็ได้ พูดถึงเสียงปืนนัดแรก พูดพายเรือมาส่ง ความจริงก็คือถีบหัวเรือเลย แต่จะปล่อยให้ความผิดพลาดเดินต่อไปไม่ได้ ตู่ จตุพร เลยวิจารณ์ว่า ในการต่อสู้ปี 2553 ไม่ได้อะไรที่คุ้มค่าตามเจตนารมณ์ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยังไม่กล้าลงนามกับศาลอาญาระหว่างประเทศ หรือ ICC แค่กลัวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะยึดอำนาจ แต่สุดท้ายก็เอาตัวไม่รอด นอกจากไม่สร้างขบวนการต่อสู้ของประชาชน ยังไปแบ่งแยกและทำลายขบวนการของประชาชนในอดีตอีก


ท่านผู้ชมครับ นายจตุพร ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า มีคนตั้งคำถามกับตัวเองว่าทำไมหลายปีหลังคนเสื้อแดงเปลี่ยนร่างเป็นคนเสื้อส้มจำนวนมาก โดยตั้งข้อสังเกตว่า ในปี 2554 มา ไม่ได้ใช้กระบวนการเสื้อแดงในการหาเสียงเลย แต่มาครั้งนี้พรรคเพื่อไทยต้องการเสียงแลนด์สไลด์ ก็ปลุกคนเสื้อแดงขึ้นมาอีก เหมือนปลุกผีที่เคยถูกทอดทิ้งขว้างไปแล้ว และคงเพิ่งนึกได้ว่าเวลาอยาก ก็ต้องการ เมื่อไม่อยาก ก็ทิ้งขว้างไป


นายจตุพร พูดต่อว่า ระยะเวลาที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยไม่ได้เรียกร้องหาความยุติธรรมให้คนเสื้อแดงในการชุมนุมปี 2553 เลย คดีก่อการร้ายที่ศาลอุทธรณ์ยกฟ้องนั้น จำเลยที่ 1 คือ ทักษิณ ส่วนตัวเองเป็นจำเลยที่ 3 แต่อัยการกลับไม่ฟ้องทักษิณ ที่ผ่านมา ตนคบกับนายทักษิณ เพราะคิดว่าทำถูกต้อง เหมือนที่เคยบอกว่า เสียงปืนนัดแรกจะมา แต่ตอนสลายเสื้อแดง ยังไม่กลับมาเลย ดังนั้น การนำการต่อสู้ ภาวะผู้นำสำหรับเขาแล้วถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ ถ้าประชาชนตายได้ ผู้นำก็ต้องตายได้เช่นกัน เมื่ออยู่ในสนามรบ ต้องเคารพให้เกียรติกัน ตนก็กล้ำกลืนในวันที่ทักษิณ อธิบาย พายเรือมาส่ง ไม่ต้องตามมา ขอไปเอง เป็นคำพูดที่ทิ่มแทงคนเสื้อแดง เพราะเชื่อว่าจะได้กลับบ้าน จึงยอมทุกอย่าง


ผมเอาการ์ตูนของ บัญชา คามิน เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2555 หรือเกือบ 11 ปีที่แล้ว มาให้ดู

อีกประเด็นหนึ่ง ผมขอเสริมคุณตู่ตรงนี้อีกนิด ว่าจริงๆ พรรคเพื่อไทยไม่ได้ถือโอกาสนี้หลอกเฉพาะกลุ่มคนเสื้อแดง ด้วยการปลุกกระแสเสื้อแดงขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยการเปลี่ยนโลโก้เป็นสีแดง คิดคำว่า "แลนด์สไลด์" เพื่อหวังผลในการเลือกตั้งที่จะมาถึงเท่านั้น แต่นโยบายต่างๆ ที่พรรคเพื่อไทยคิดออกมา คิดอยู่บนพื้นฐานที่คนทั่วไป ประชาชนคนไทยเขาเบื่อ เขาเบื่อคนชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เขาเบื่อ เขาเอียน เขาคลื่นไส้ พอเห็นหน้าคนที่เคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมา 8 ปีกว่าแล้ว ยังจะต้องการเกาะกุมเก้าอี้นายกฯ ต่อไปอีก 2 ปี ด้วยช่องว่างตรงนี้ที่คนเขาเกลียด พล.อ.ประยุทธ์ พรรคเพื่อไทยเลยกระทืบซ้ำ พล.อ.ประยุทธ์ โดยออกนโยบายชวนเชื่อเหมือนกับนโยบายโฆษณาชวนเชื่อ ที่ผมเคยยกตัวอย่าง เคยชำแหละให้ฟังแล้วครั้งหนึ่งในรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" เมื่อตอนที่ 169 ปลายปีที่แล้ว วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม 2565


ตลาด เพราะถ้าแลนด์สไลด์จริง กระแสแรงจริง ทำไมมี ส.ส. บุคลากรตัวกลั่นๆ ไหลออกจากพรรคหมด ที่เข้ามาเป็น ส.ส. นกแล ยิ่งกว่านี้ เจอตู่ จตุพร ออกมาแฉธาตุแท้ของนายใหญ่ กับคนตระกูลชินวัตร คนที่อยู่พรรคเพื่อไทย ทำไมไม่ออกมกาเถียงล่ะ เงียบสนิท ว่าไม่จริง หรือได้แต่แบ๊ะๆๆ ส่วนคนที่คิดจะไปอยู่พรรคเพื่อไทย ก็ต้องคิดหลายตลบแล้วว่า ตัวเองจะถูกหลอกใช้เหมือนคนอื่นๆ ในอดีตหรือเปล่า แล้วอย่างนี้จะให้แลนด์สไลด์ได้อย่างไร

ส่วนเรื่องที่สองวันนั้นที่ผมพูดถึงคือ ประเด็นค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท เงินเดือนเดือนปริญญาตรีให้ถึง 25,000 บาท ปรากฏว่า ทุกคนอยากได้ค่าแรงขั้นต่ำเพิ่ม แต่ว่าพรรคเพื่อไทยเอาค่าแรงขั้นต่ำมาล่อ ทุกพรรคก็อยากได้ค่าแรงขั้นต่ำเพิ่มสูงขึ้น เพื่อช่วยเหลือประชาชน แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานแห่งความเป็นจริง ไม่ใช่นำมาโกหกตอแหลหลอกลวง เพราะว่าพรรคเพื่อไทยเสนอค่าแรงขั้นต่ำแบบประเภทต้มตุ๋นล่วงหน้า 5 ปี หลอกคนไทยล่วงหน้า 5 ปี อธิบายเรื่องการขึ้นค่าแรง จากที่อ้างว่าขึ้นได้ถึง 600 บาท ในปี 2570 หรือในอีก 5 ปีข้างหน้า ก็คือว่าขายฝันล่วงหน้าตั้ง 5 ปี ว่าค่าแรงจะขึ้น 600 บาท แต่ต้องเริ่มปี 2570 นี่เข้าข่ายหลอกลวงประชาชนจริงๆ


ในรายการวันนั้นผมชี้ให้เห็นว่า เรื่องแรก คำว่า "แลนด์สไลด์ เป็นคำโฆษณาชวนเชื่อ เป็นภาษาการ

ในการเลือกตั้งครั้งหน้า ถ้าเพื่อไทยเป็นรัฐบาล จะมีเวลาทำงานตามวาระ คือ 4 ปี (2566-2569) แต่เพื่อไทยดันบอกว่าจะได้ค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท ในปี 2570 เหมือนกับการต้มตุ๋นล่วงหน้าไป 5 ปี ไม่ได้ทำตามที่หาเสียงในช่วงเป็นรัฐบาล แต่จะได้ค่าแรงขั้นต่ำช่วงที่พรรคเพื่อไทยจะหมดวาระการเป็นรัฐบาล

ข้างต้นเป็น 2 ประเด็นที่ผมบอกเอาไว้ แต่วันนี้ผมจะเพิ่มเติมให้ว่า ทักษิณ กับ พรรคเพื่อไทย กำลังหลอกอะไรคุณอีก

ผมเอาเล่ห์กลของป้ายหาเสียงมาให้ดู เรื่องเงินเดือนเอย เรื่องค่าแรงขั้นต่ำเอย แต่... จะเกิดขึ้นได้ในปี 2570 ก็คือหลังจากที่พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลไปแล้ว 4 ปี


ท่านผู้ชมครับ แค่นี้ก็รู้แล้วใช่ไหมว่าทำไม่ได้ ต่อให้เป็นรัฐบาลในช่วง 4 ปีข้างหน้า ก็ทำไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่าแรง เงินเดือนปริญญาตรี GDP โตปีละ 5 เปอร์เซ็นต์ รถไฟตั๋วร่วม 20 บาทตลอดสาย อันหลังสุด แม้กระทั่งคุณชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. อดีตรัฐมนตรีช่วยฯ คมนานคม ซึ่งเขาทราบดีว่าเป็นคนของพรรคเพื่อไทย ตั้งแต่ก่อนมาเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2565 หาเสียงโครมๆ ว่ารถไฟฟ้าสายสีเขียวจะทำให้ลดราคามาเหลือ 30 บาท ท่านผู้ชมครับ ผ่านมาแล้ว 8 เดือน ติ่งผู้ว่าฯ ชัชชาติ ครับ ฟังให้ดีๆ ผ่านมาแล้ว 8 เดือน ยังทำไม่ได้เลย หนี้ที่ติดเอกชนอยู่หลายหมื่นล้าน ยังไม่มีปัญญาชดใช้เขา คนที่มี DNA หรือเกี่ยวข้องกับพรรคเพื่อไทยล้วนแล้วแต่เป็นคนที่โกหกตอแหลทั้งสิ้น

เรื่องนี้เราย้อนกลับไปที่ 14 กุมภาพันธ์ 2565 สภาองค์กรผู้บริโภค หรือ สคบ. ได้จัดเสวนาออนไลน์ในหัวข้อ "รถไฟฟ้าต้องถูกลง ทุกคนต้องขึ้นได้ ผู้ว่าฯ กทม. ช่วยได้หรือไม่ ?" วันนั้น นายชัชชาติ หาเสียงประเด็นค่าโดยสาร นายชัชชาติ ได้ยืนยันชัดเจนว่าจากการคำนวณตัวเลขค่าโดยสารรถไฟฟ้าตลอดสาย 25 บาท พอทำได้ แต่ถ้า 30 บาทตลอดสาย เอาอยู่ และทำได้สบาย โดยกำหนดราคานี้ในช่วงปี 2565-2566 จากนั้นก็อาจจะปรับเงินขึ้นตามเงินเฟ้อ


ท่านผู้ชมครับ ซึ่งประเด็นการทำงานของคุณชัชชาติ ตั้งแต่ได้รับการเลือกตั้งเป็นผู้ว่าฯ กทม. ท่านผู้ชมรู้ไหม ผมไม่เคยวิพากษ์วิจารณ์เขาเลย เพราะถือว่าผมต้องให้คุณชัชชาติ ต้องทำงาน ถึงตอนนี้ผู้ว่าฯ แข็งแกร่ง กล้ามใหญ่ ผ่านมาแล้ว 7-8 เดือน ผมว่าอาจจะต้องถึงเวลาแล้วที่จะชี้ให้เห็นว่าคุณมีปัญหา คุณมีจุดบกพร่องอะไร แม้ว่าคุณจะได้รับเลือกตั้งด้วยคะแนน 1.3 ล้านเสียง ก็ตาม สัปดาห์ไหนมีโอกาสเหมาะๆ ผมจะจัดชุดใหญ่ไฟกะพริบเรื่องคุณชัชชาติ ให้สักหนึ่งตอน

ท่านผู้ชมครับ กลับมาเรื่องนโยบายหาเสียงชวนเชื่อของพรรคเพื่อไทยกันต่อ เรื่องที่จะทำทุกอย่างในปี 2570 นั้น ชัดเจนอยู่แล้วว่ามันเกินระยะเวลาที่รัฐบาลน่าจะอยู่แล้ว เพราะต้องเลือกตั้งกันใหม่อีกครั้ง เพราะฉะนั้นเห็นได้ชัดเลยว่า ที่ทำโฆษณาแปะป้ายหาเสียงที่มีอยู่ทุกที่นั้น เป็นโฆษณาเกินจริง ทำไม่ได้แน่นอน ผมท้าว่าแม้แต่พรรคเพื่อไทยเข้าเป็นรัฐบาลด้วย ก็ทำไม่ได้


ท่านผู้ชมครับ สรุปแล้วใครที่ฝันจะได้ค่าแรงวันละ 600 บาท เงินเดือนปริญญาตรี 25,000 บาท โรงเรียนสองภาษาทุกท้องถิ่น ยาเสพติดต้องหมดไป รถไฟความเร็วสูงเชื่อมไทย-จีน-สิงคโปร์ ต่อให้เคลิ้มหรือฝันกลางวันอย่างไรก็ตาม แต่ต้องรู้ว่า ต้องรออีก 2 รัฐบาล ต้องเลือกตั้งอีก 2 ครั้ง เป็นอย่างน้อย ท่านผู้ชมครับ นี่คือการตอแหลทางการเมือง เล่ห์กลทางการเมือง เป็นชั้นเชิงในการโฆษณาหาเสียง คนไหนที่ตามไม่ทันก็หลงเชื่อว่าจะได้เร็วๆ นี้ แต่อ่านให้ครบจบกระบวนความ ก็จะรู้ว่า กว่าจะเป็นจริงได้ เขาก็พ้นตำแหน่งไปแล้ว และจะมาบอกเหมือนเดิมว่า ทำไม่ได้ เพราะต้องให้รัฐบาลหน้าทำต่อ หรือไม่ก็ต้องเลือกพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลต่อไปอีกสมัยหนึ่ง จะได้ทำได้ เรียกง่ายๆ เลยว่าเริ่มต้นก็ไม่จริงใจแล้ว เพราะพ่นคำโกหกตอแหลเดิมๆ สไตล์นักการเมืองยุคเก่า คือไม่ต้องรับผิดชอบต่อป้ายโฆษณาหาเสียงของตัวเอง

ในการเลือกตั้งครั้งนี้ เมื่อท่านผู้ชมดูป้ายโฆษณาหาเสียง ดูนโยบายแล้ว ต้องคิด วิเคราะห์ และ แยกแยะ ให้ละเอียดว่า ทำได้หรือเปล่า ใครหาเสียงจริง และทำจริง และใครสักแต่หาเสียงเอาคะแนน แต่พอถึงเวลาจริงก็เปิดตูดเดินหนีไป โดยไม่รับผิดชอบอะไรทั้งสิ้น

ประเด็นที่สาม ที่คุณตู่ จตุพร พูด คือเรื่อง "ดีลลับ" ระหว่างทักษิณ กับ บิ๊กป้อม

วันพุธที่ 18 มกราคม 2566 นายจตุพร กล่าวว่า ที่ผ่านมาตนติดคุกเพราะต่อสู้เพื่อปกป้องให้กับนายทักษิณ ทั้งสิ้น แต่ทั้งนี้ ที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยพยายามผูกขาดประชาธิปไตยจนเละเทะไปหมด พยายามชูคำขวัญเป็นพรรคนักประชาธิปไตย ใครย้ายออกจากพรรค คึอ ทรยศ เป็นเผด็จการ ใครย้ายเข้ามา เรียกว่าเป็นประชาธิปไตย ซึ่งพฤติกรรมนี้ใช้ไม่ได้ เพราะตัวเองยังทรยศลูกน้องได้ นี่คือสิ่งที่จตุพร พูด เลือกทรยศใครก็ได้ แต่ใครจะมาทรยศตัวเองไม่ได้ แล้วมาอ้างความเป็นประชาธิปไตย ถือเป็นหลักการที่รับไม่ได้


และตู่ยังพูดต่อว่า พรรคเพื่อไทยมีกระแสความนิยมสูงขึ้น สาเหตุก็คึอความตกต่ำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นั่นเอง อย่างไรก็ตาม นายจตุพร กล่าวว่า ประเด็นสำคัญก็คือ พรรคเพื่อไทยต้องหยุดชูประเด็น "ชนะเลือกตั้ง พาทักษิณ กลับบ้าน" เพราะการเลือกตั้งหลายครั้งที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นเมื่อปี 2554 หรือ 2562 ก็เคยชนะแล้ว ถือว่าเป็นพรรคที่ได้คะแนนเสียงมากที่สุด แต่ก็ไม่ได้กลับบ้านอย่างแท้จริง กลับอ้างเหตุรัฐบาลอ่อนแอ แต่เมื่อมีรัฐบาลแข็งแรง ก็บอกว่ายังกลับไม่ได้ กลัวจะอ่อนแอ ท่านผู้ชมครับ เทคนิคการโกหกตอแหลของนักการเมืองสุดยอดจริงๆ และคนที๋โกหกตอแหลติดอันดับ 1-3 ในพรรคการเมืองทั้งหลาย ก็คือ พรรคเพื่อไทย นั่นเอง

ท่านผู้ชมครับ จตุพร บอกว่า ทักษิณ จึงกลายเป็นของเล่นหาเสียง ทักษิณ พูดซ้ำๆ ตลอดเวลา จะกลับบ้านให้ได้ ซึ่งการพูดจริงเช่นนี้ ยิ่งเป็นการสร้างเงื่อนไขทางการเมือง ทำให้เกิดการเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย โดยไม่จำเป็น จตุพร ก็เลยมองว่า การเลือกตั้งที่จะมาถึงนั้น พรรคเพื่อไทยจะชนะการเลือกตั้ง แต่อยู่ในสภาพที่เอาตัวเองไม่รอด เพราะในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สั่งราชการใครก็ไม่ได้ การออกพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมสุดซอย ก็เอาแต่ได้ฝ่ายเดียว ไม่ฟังใคร สุดท้ายประชาชนก็ติดคุก 8 ปี วันนี้ประเทศไทยตกอยู่ในสภาพกระอักกระอ่วน ถึงไม่ให้ พล.อ.ประยุทธ์ ปกครองประเทศ แต่ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งยังไม่ปรับปรุงพฤติกรรม ก็ให้ขึ้นมาไม่ได้ เพราะว่าจะซ้ำรอยเดิมอีก


นายจตุพร พูดต่อช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ออกมาประกาศตัวท้าชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และก้าวข้ามความขัดแย้ง แต่พรรคเพื่อไทยไม่ตอบว่าจะจับมือกับพรรคพลังประชารัฐหรือเปล่า ทั้งๆ ที่ในใจแล้ว ทักษิณ กับพรรคเพื่อไทย แอบคุยกันมานานแล้ว อยากจับมือกับพลังประชารัฐใจแทบขาด เพราะต้องการเอาประโยชน์เฉพาะหน้า ไม่ได้คิดที่จะเอาประชาชนเป็นใหญ่ ดังนั้น ถ้าพรรคเพื่อไทยไม่จับมือ ก็ต้องประกาศสัญญาประชาคมเหมือนกับพรรคก้าวไกล

วันเสาร์ที่ 21 มกราคม ที่ผ่านมา จตุพร กล่าวว่า ฝ่ายทักษิณ ส่งคนดีลลับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ขอใช้บริการนำพากลับบ้าน เพื่อแลกกับการร่วมจับมือกับพรรคพลังประชารัฐตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้ง นี่คือเหตุผลที่จตุพร ต้องออกมาวิพากษ์วิจารณ์ เพราะถือว่าหลอกลวง ไม่ซื่อสัตย์ต่อประชาชน ถ้าพรรคเพื่อไทย ต้องการจะจับมือกับพรรคพลังประชารัฐ ต้องพูดให้ชัด ไม่จับมือก็ต้องพูดให้ชัด แล้วเชื่อ พล.อ.ประวิตร หรือไม่ว่าไม่ได้ร่วมยึดอำนาจกับ พล.อ.ประยุทธ์ ก็อธิบายบอกมาเลย ซึ่งพรรคก้าวไกลยังบอกกันตรงๆ ว่า ไม่จับมือด้วยกับพรรคพลังประชารัฐ

ประเด็นที่สี่ น่าสนใจมากท่านผู้ชม ตู่ จตุพร พูดถึง "รัฐมนโท" คุม "รัฐมนตรี"

จตุพร พูดว่า คนในพรรคเพื่อไทย จะกล้าปฏิเสธหรือเปล่าล่ะ ที่ผ่านมามีการใช้ "รัฐมนโท" สั่ง "รัฐมนตรี" ว่าต้องทำกันอย่างไร ต้องไปติดคุกอย่างไร จตุพร พูดต่อว่า ถ้านักการเมืองฝั่งเพื่อไทยยังไม่เลิกพฤติกรรมเหล่านี้ ก็โดนอีก อาจจะต้องอยู่ต่างประเทศ แต่คนไทยที่อยู่ในประเทศต้องจมปลักกับความผิดพลาดมา 8 ปี แทนที่จะมีความหวังในการปกป้องประชาธิปไตย และซื่อสัตย์กับประชาชน


จตุพร กล่าวต่อว่า ประเทศไทยนี้ไม่ใช่ให้ใคร หรือตระกูลใด จะมาทำอะไรก็ได้ แล้วอย่าเอาความไว้เนื้อเชื่อใจ ความไว้วางใจของประชาชนมาทรยศ คำว่า เคารพประชาชน เสียงประชาชนเป็นเสียงสวรรค์ เป็นลมปาก ในวันเลือกตั้ง หลังจากนั้นก็คืนให้ในปี 2570 คนละ 600 บาท แต่ความน่ากลัวและหายนะมากที่สุด คือความสัมพันธ์ของทุนใหญ่ที่เป็นคนกลาง ระหว่าง คนเก่า กับ ว่าที่คนใหม่ นอกจากนี้แล้ว ตู่ จตุพร ยังพูดถึงเรื่อง "รัฐมนโท" ด้วย ตู่บอกว่า ให้ไปถามรัฐมนตรีที่ออกจากพรรคเพื่อไทยแล้วไม่คิดกลับพรรคเพื่อไทยอีก ว่าคนที่เป็นรัฐมนตรีสามารถสั่งการปลัดกระทรวง อธิบดี ได้จริงหรือไม่

มีรัฐมนตรีปรับทุกข์ว่าทำอะไรไม่ได้เลย เพราะว่าอำนาจที่แท้จริงในกระทรวงนั้น รัฐมนตรีไม่มี แต่อธิบดีมี อธิบดีนั้นขึ้นกับเจ๊หมด เจ๊คนไหนก็ไม่รู้ รัฐมนตรีแค่นั่งกินข้าวให้หมดไปวันๆ ให้รัฐมนตรีเซ็นหนังสือ แล้วรัฐมนตรีเอาไปเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ รัฐมนตรีจึงต้องติดคุก แล้วยังมีตกค้างถูกดำเนินคดีอีกหลายคน


และคุณจตุพร ยังแฉว่า การจำนำข้าวสุดอำมหิต หลอกบุญทรง และ ภูมิ สาระผล ไปติดคุก ทั้งๆ ที่ทั้งสองคนเตรียมหนีแล้ว

ต่อมา วันจันทร์ที่ 23 มกราคม 2566 นายจตุพร กล่าวถึงคนพูดเท็จไม่ทำบาปย่อมไม่มี โดยจตุพร กล่าวตอนหนึ่งถึงคดีจำนำข้าว ว่า ความอำมหิตของฝ่ายเดียวกันคือการบอกให้นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และ นายภูมิ สาระผล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้ไปฟังคำตัดสินของศาล ทั้งๆ ที่ทั้งสองคนนี้เตรียมหาคอนโดมิเนียมไว้ที่ประเทศกัมพูชา โดยจะไปแวะที่กัมพูชาก่อน ก่อนจะไปประเทศที่สาม บางคนซื้่อบ้านเตรียมไว้ที่อังกฤษก็มี แต่สุดท้าย คนที่หนีกลับกลายเป็น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไปต่างประเทศเสียเอง ทิ้งลูกน้องให้ต้องติดคุก

นี่ผมพูดต่อนะครับ เป็นคำพูดของผมเอง ทักษิณ ได้มีการเจรจาลับกับคณะ รสช. ให้ปล่อยให้ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หนีออกไปได้ ซึ่งข้อมูลข้อเท็จจริงนี้พวกเราทุกคนรู้มาหมดแล้ว แต่อยากให้ทุกคนได้รู้เหมือนกัน ว่าทักษิณ จะดูแลและปกป้องน้องสาวตัวเอง แต่ก็ผลักดันให้คนที่โดนคดีนั้นไปติดคุกแทน


นอกจากนี้แล้ว คุณจตุพร ยังเปิดเผยถึงกรณีสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชาชน ด้วยว่า สมัคร ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยทำผิดกรณีจัดรายการทำกับข้าวออกโทรทัศน์ แต่ไม่ขาดคุณสมบัติ สามารถกลับเป็นนายกฯ ได้ แต่ถูกเล่ห์เพทุบายของพรรคพลังประชาชน ไม่บอกสมัคร ตรงๆ ว่าจะไม่ให้เป็นนายกฯ อีก อีกทั้งวันที่ทิ้งนายสมัคร ไป ยังไปประจานที่สภาฯ ลวงล่อว่า ยังสนับสนุนให้เป็นนายกฯ ต่อไป แต่ไม่ให้เข้าห้องประชุม จนนายสมัคร รู้ว่าถูกเล่นงานแล้ว แววตานายสมัคร วันนั้นใจสลาย หลังจากนั้นอาการป่วยก็ทรุด ไปรักษาตัวที่สหรัฐอเมริกาก่อนจะถึงแก่อสัญกรรม

ท่านผู้ชมครับ นายจตุพร เปิดใจด้วยว่า หลังปี 2553 ในส่วนตัว การต่อสู้ของตัวเองต้องกล้ำกลืนเลือด แต่ต้องสู้ทั้งที่ใจสลายมานานแล้ว และมีชะตากรรมไม่แตกต่างกัน เพราะคนที่เล่นงานคือคนที่เรารัก เทิดทูน เอาชีวิตไปถวายหัว จะถูกฆ่าตายวันไหนก็ไม่รู้ จากนั้นหลายปีผ่านมา ตนถอยออกมา ชีวิตต้องติดคุกเป็นส่วนใหญ่ เมื่อเกิดรัฐประหารก็ยังสู้ เปิดหน้าวิจารณ์ พล.อ.ประยุทธ์ และ 3 ป. มาตลอด แต่พูดเกี่ยวข้องกับทักษิณ น้อยมาก

สรุปความได้ว่า ทักษิณ จริงๆ แล้วไม่ใช่เป็นนักต่อสู้ แต่ตัวจริงเป็นพ่อค้า คิดเรื่องกำไร คิดถึงเกมตลอดเวลา การสลายคนเสื้อแดงไม่มีใครสลายได้ ถ้าทักษิณ ไม่เข้ามาเกี่ยวข้อง


ประเด็นที่ห้า จตุพร เปิดหมดเปลือก

วันอาทิตย์ที่ 29 มกราคม 2566 นายจตุพร พูดออกมาในการไลฟ์เฟซบุ๊ก ชื่อตอนคือ "หน้าไหว้หลังหลอก" จตุพร เปิดใจเล่าถึงเหตุการณ์เสื้อแดงชุมนุมกลางแยกราชประสงค์ เมื่อปี 2553 ว่า เนื่องจากในขณะนั้น ทราบแผนของการเลือกตั้งใหม่แล้ว ทำให้ตนเห็นว่าควรจะยุติการชุมนุมคนเสื้อแดง มิฉะนั้นอาจจะเกิดเหตุการณ์นองเลือดได้ แต่กลับมีคนซึ่งเป็นเจ้าของเวที ไม่เห็นด้วย จตุพร บอกว่า ผมรู้สถานการณ์ซ้อนว่าจะมีคนไม่เห็นด้วยกับการยุติเวที มีการประชุมกันที่ตู้คอนเทนเนอร์หลังเวที ทุกคนเห็นอย่างเดียวกันว่า อย่าเพิ่งเลิก/ยุติ ยกเว้นผม ผมอธิบายความว่า ถ้าเราขึ้นไปบนเวที ว่าบัดนี้เราได้วันเลือกตั้งแล้ว ถ้ามันไม่มีหีบศพอยู่ด้วย จะไม่มีเหตุการณ์อะไร แต่มันมีหีบศพนักการเมือง พอได้หีบบัตร ก็จะทิ้งหีบศพ เราจะรู้คำถามกับผู้ชุมนุมและญาติผู้ชุมนุ และคนเกี่ยวข้องกับความตายนี้ไม่ได้เลย


ประการที่สอง จตุพร บอกว่ามันจะมีการยึดเวที พูดง่ายๆ คือ จะมีรัฐประหารเวทีหลังจากแกนนำผู้ปราศรัยชุดหลักขึ้นไป กล่าวยุติการชุมนุมแล้วก็จะมีแกนนำอีกชุดมายึดเวทีแดง แล้วพอชุดนี้ สถานการณ์จะตึงเครียด และความตายจะมากกว่าเดิม

จตุพร พูดต่อ นอกจากจะมีอันตรายจากทหารล้อมปราบด้วยอาวุธสงครามแล้ว เจ้าของเวทีที่จ่ายค่าเวที ซึ่งจตุพร บอกว่า เจ้าของเวทีได้จ่ายค่าทักษิณ ชื่อ ทักษิณ ชินวัตร เขาไม่ต้องการให้ยุติเวที โดยตั้งแกนนำชุดใหม่เตรียมมายึดซ้อนจากตัวเขา มันมีการวางแผนซ้อนเวทีอยู่แล้ว แล้วคนที่ทำได้คือคนเดียว พอประชุมเสร็จ ผมได้รับโทรศัพท์ตามที่คิดไว้จากนายกฯ ทักษิณ ที่ต้องพูดเลย โทรมาว่า หยุดเวทีได้อย่างไร แล้วผมจะได้อะไร นี่คือคำพูดของทักษิณ ที่พูดกับจตุพร

นายจตุพร ยังเปิดเผยว่า เล่าเรื่องนี้ให้ฟัง เพราะนายอดิศร เพียงเกษ ยกเรื่องชุมนุม 2553 มา โดยวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 บนเวที คนที่มีบทบาทมากที่สุดบนเวที คือ นายธนาวุฒิ วิชัยดิษฐ์ อดีตโฆษก นปช. คอยกันไม่ให้ตนขึ้นเวที ไม่ให้จตุพร ขึ้นเวที


เพราะสถานการณ์ช่วงนั้นมีความเสี่ยงต่อชีวิตมากมาย ทหารล้อมหมด ขยับใกล้มาถึงจุดสุดท้ายที่เวทีทุกขณะ อารมณ์คนอยู่ข้างหน้ามีแต่คนแก่ ผู้หญิง ประมาณ 500 คน ที่พร้อมจะตายกัน เวลานั้นผมนอนอยู่ที่เก้าอี้ผ้าใบหลังเวที เดี๋ยวมีคนมาลาจากไป แต่เรารอเวลาจะลุกขึ้นไปบนเวทีเพื่อยุติธรรม ถ้าไม่ยุติ ความตายอย่างรุนแรงจะเกิดขึ้นกลางเวที เพราะว่ามันเป็นจุดสุดท้ายแล้ว

คำพูดของจตุพร ระบุว่า ผมพูดมาตอนนี้ เพื่อจะบอกว่าหลายปีต่อมา มีงานคนสำคัญคนหนึ่ง อีกชุดหนึ่ง ชุดซ้อนยึดเวทีมาเล่าให้ฟังว่า วันนั้น 19 พฤษภาคม มีการวางแผนกันว่าจะยิงถล่มเวทีขณะที่ขึ้นกล่าวยุติการชุมนุม แต่มีอะไรบางอย่างทำให้เขาไม่ตัดสินใจทำ อีกทั้งการซ้อนยึดเวทีผมได้ยินเช่นกันว่า มีการร้องขอจากฝ่ายเดียวกันให้จัดการกับผมเอง ก็คือให้ฆ่าจตุพร พรมหันธุ์ เสียด้วยซ้ำไป หากมีการยึดเวทีซ้อน จะเกิดเหตุการณ์ตายเป็นเบือ เพราะทักษิณ บอกเองว่าเขาไม่ได้อะไร ยุติเดี๋ยวนี้เขาไม่ได้อะไรเลย ต้องไม่ยุติ เป็นเกมอำมหิต จตุพร บอกว่า ผมไม่เล่นด้วย แต่ทุกคนทิ้งไปหมดแล้ว ด้วยการเข้าใจสถานการณ์ไม่เหมือนกัน แต่ไม่รู้ว่าพวกเขาได้รับคำสั่งจากเจ้าของเวทีหรือไม่


ท่านผู้ชมครับ เมื่อทักษิณ มาข้องแวะดูถูกความเป็นมนุษย์กันนั้น ถ้าเป็นขี้ข้าถาวรก็อาจทนได้ แต่จตุพร บอกว่า ยอมรับในบางเวลาว่าเป็นขี้ข้าเหมือนกัน แต่ตัวเองก็ใฝ่ฝันถึงวันที่เป็นอิสรภาพเช่นกัน

ท่านผู้ชมครับ กลับมาถึงเรื่องของทักษิณ ชินวัตร บ้าง ทักษิณ ลั่นเลยว่ากลับไทยแน่ ไม่ต้องพึ่งเพื่อไทย แล้วเหน็บจตุพร ว่าเป็น "ตู่เห่า" (เลียนแบบ "ตู้ห่าว" กลายเป็น "ตู่เห่า")


อังคารที่ 24 มกราคม 2566 ทักษิณ ชินวัตร ได้ร่วมรายการแอปพลิเคชันชื่อ คลับเฮาส์ มีเรื่องคาใจก็ถามมา ช่วงหนึ่ง ทักษิณ พูดถึงเรื่องการกลับประเทศไทย ว่า ก่อนอื่น ขออภัยที่เคยพูดว่าจะกลับ พ.ศ. ที่แล้ว ผมพยายามอย่างยิ่ง ผมไปทำออกซิเจนให้เสร็จก่อนเวลา ก่อนสิ้นปี เพื่อกลับให้ทัน แต่สถานการณ์ลูกเขามีความห่วงใยเรื่องความปลอดภัย ก็เลยยังกลับไม่ได้ แต่อย่างไรผมก็จะกลับ นอกจากนี้แล้ว ทักษิณ ยังระบุว่า ตัวเองอยู่เมืองนอกมานาน พวกใส่ร้ายป้ายสีก็เพิ่มขึ้น รวมทั้งผู้กล่าวหาทางคดี เพราะฉะนั้นกลับไปคิดว่า ถ้าผมกลับไป ไม่อาศัยนักการเมืองใดๆ รวมทั้งพรรคเพื่อไทยด้วย อาศัยหัวใจตัวเอง เพราะฉะนั้นไม่ต้องกังวลผม แล้วอย่างไรก็ย้ำอีกครั้งว่า น้องอิ๊ง จะเป็นคนประกาศว่าผมจะกลับเมื่อไร อย่างไร รับรองว่าไม่มีการออกกฎหมาย อย่าไปคิดว่าจะเกี้ยเซียะกับพลังประชารัฐ เพื่อจะขอกลับ ไม่มี


ทักษิณ ยืนยันว่า ชีวิตตัวเองเกิดจากการสร้างตัวมาตลอด เรื่องง้อคนคงยาก แต่ตนเองเป็นคนมีน้ำใจกับคน แต่มีมาก หากมาสะบัดจากผมไปแล้ว ยังให้ผมง้อ ไม่มีทาง เพราะไม่ใช่ตัวผมเอง ตัวผมเองเป็นคนช่วยตัวเองได้ ถึงอย่างไรตัวเองก็ต้องกลับ เพราะไม่ไหว โดนกลั่นแกล้งตลอดเวลาที่ผ่านมา จะกลับอย่างไรก็ได้ สบายมาก เพราะปีนี้ 74 แล้ว ส่วนที่มีการชอบปลุกผีวาทกรรมนี้ขึ้นมาในช่วงใกล้เลือกตั้ง ยืนยันว่า ยังเป็นคนอยู่ ปลุกไม่ขึ้นหรอก

นอกจากนี้ ทักษิณ ยังกล่าวว่า การเลือกตั้งครั้งหน้า ฝั่งประชาธิปไตยรวมกันเกิน 300 เสียงแน่ ไทยรัฐโพล น่าสนใจ อันดับหนึ่ง คือ เพื่อไทย อันดับสอง คือ ก้าวไกล แต่จะเป็นโพลเช็กเรตติ้ง อาจจะมีเอียงนิดๆ จะมีอคติจากกลุ่มตัวอย่าง ยังไม่สะท้อนภาพทั้งประเทศ สิ่งที่น่าสนใจนั้นคือ กทม. แทบจะแบ่งคนละครึ่งระหว่าง เพื่อไทย กับ ก้าวไกล เหลือเศษนิดหน่อย


ทักษิณ พูดต่อว่า มอง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ในวันนี้ ยืนยันว่าท่านอยากเป็นนายกฯ แน่นอน เพราะลุกขึ้นมาใส่แจ๊กเก็ตแล้ว ถือว่าเป็นความท้าทายที่ต้องการแข่งกับพรรครวมไทยสร้างชาติ ส่วนเรื่องกระแสข่าวการยุบสภาฯ ทักษิณ วิเคราะห์เชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะอยู่จนครบเทอม หรือไม่ยุบสภาฯ ไม่กี่วันก่อนครบเทอม เพราะพรรครวมไทยสร้างชาติยังตั้งตัวแทนจังหวัดไม่ครบ แต่ทำให้ครบตามกฎหมายไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมีคนในพรรคทำเป็นไม่กี่คน จึงมองว่าเป็นเรื่องที่นายกฯ ต้องดึงเกม เพราะเป็นการชิงให้ได้ 25 เสียง ส่วนพรรคพลังประชารัฐ เขาพร้อมแล้ว เพราะเสบียงกรังเขาพร้อม ทักษิณ ยังพูดว่า พล.อ.ประยุทธ์ คิดถูกแล้วที่ไปรวมไทยสร้างชาติ เพราะมีมหามิตรอยู่ที่นั่น และทักษิณ พูดต่อ แต่ถ้าถามผม ผมว่าควรกลับไปเลี้ยงหลาน แต่ท่านไม่มีหลาน ก็ไม่เป็นไร กลับไปเลี้ยงลูก แล้วไปเที่ยวกัน ตอนผมกลับบ้านแล้วไปเที่ยวกัน ไปช่วยเอาประสบการณ์มาแชร์กัน จากซีกของท่านซึ่งเป็นซีกใช้อำนาจสุดๆ และซีกของผม ที่แคร์ประชาชนสุดๆ เรามานั่งแชร์กันแล้วมาเขียนหนังสือสักเล่ม

คุณทักษิณ เป็นคนมีความสามารถมาก ที่สามารถจะพูดจาโกหกหน้าตายได้ ว่า ซีกผมต้องแคร์ประชาชนสุดๆ คุณทักษิณ เปรียบ จตุพร ว่าเป็น "ตู่เห่า" ทักษิณ บอกว่ามีคนเรียกหลายชื่อ ว่า แม้ว ทักษิณ โทนี่ คิดว่าจะเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น "ตู่เห่า" ตลอด 16 ปี ตนโดนเห่ามาตลอด ใครนึกอะไรไม่ได้ก็เห่าตนไว้ก่อน ทักษิณ บอกว่า มีการแก้กฎหมายฟ้องหมิ่นประมาท ใครอยู่นอกประเทศฟ้องร้องไม่ได้ ตนไม่ได้อยู่ในประเทศ คนกล่าวหาตนเพราะรู้ว่าฟ้องไม่ได้ ผมโดนประจำ เป็นเรื่องธรรมดา ผมเฉยๆ โดนมาเยอะ โดนอีกสักตัว สองตัว ไม่เป็นไร ผมปลง ผมเฉย โดนมาเยอะแล้ว

ท่านผู้ชมครับ พอทักษิณ พูดถึงตรงนี้แล้ว นายดวงฤทธิ์ บุนนาค ซึ่งร่วมรายการอยู่ พูดแทรกว่า นับเป็นตัวเลยหรือครับ ทักษิณ บอกว่า มาอยู่ต่างประเทศนาน ภาษาไทยเริ่มไม่แข็งแรง

ท่านผู้ชมครับ ขอแก้ประเด็นนี้นิดหนึ่ง ที่ทักษิณ บอกว่า เขาแก้กฎหมายว่าไม่อยู่ในประเทศ ฟ้องร้องไม่ได้ คนก็เลยกล่าวหาตน เพราะรู้ว่าตนฟ้องไม่ได้ ท่านผู้ชมครับ ผมโดนคุณทักษิณ ที่อยู่ต่างประเทศ ฟ้องข้อหาหมิ่นประมาทร่วม 20 คดี ทั้งๆ ที่คุณทักษิณ ไม่ได้อยู่ในประเทศ ให้ตัวแทนรับมอบอำนาจมากล่าวคำฟ้องร้อง พอทนายผมซักตัวแทน ตัวแทนก็ตอบว่าไม่รู้เรื่อง เพราะเป็นแค่ผู้รับมอบอำนาจ และคดีที่ทักษิณ ฟ้องผมทุกคดี ถึงศาลฎีกา ยกฟ้องหมดทุกคดี เป็นสิบๆ คดี ด้วยเหตุนี้ ศาลท่านก็เลยคิดว่า ถ้าคนที่อยู่ต่างประเทศแล้วไม่สามารถมายื่นฟ้องด้วยตัวเอง เป็นการทำลายสิทธิเสรีภาพของผม เพราะผมมีสิทธิในฐานะจำเลย ที่จะซักถามโจทก์ที่ฟ้องผม แต่เมื่อโจทก์มอบอำนาจให้คนอื่นมาพูด แล้วพอผมซักถามคนรับมอบอำนาจ เขาบอกว่าเขาไม่รู้เรื่อง เขามีหน้าที่รับมอบอำนาจ และนี่ก็คือเหตุผลที่ทำไมศาลบอกว่า ถ้าหากคุณอยู่ต่างประเทศ ฟ้องแล้วคุณไม่สามารถกลับมาได้ ไม่สามารถจะฟ้องได้ ผมคิดว่าสมเหตุสมผลนะครับ


จตุพร ซัดทักษิณ ต่อ ถ้าผมเป็นหมา ท่านก็เป็นหัวหน้าหมา

วันพุธที่ 25 มกราคม 2566 ท่านผู้ชมครับ สองคนนี้เขาสวนกันหมัดต่อหมัดเลยนะ จตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคณะหลอมรวมประชาชน อดีตประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ พูดถึงคืนวันที่ 24 ที่ผ่านมา ทักษิณ พูดว่าช่วง 16 ปีที่ผ่านมา ถูกเห่า และนับตัวเองว่าเป็นตัว ตั้งฉายาให้ตัวเองว่าตู่เห่า มีเรื่องตู้ห่าว ท่านก็ถูกเห่า บอกว่าไม่ต้องมาฟังตน ให้ใช้น้ำยาล้างหูไป พยายามหลีกเลี่้ยง แล้วใช้ถ้อยคำว่าถูกเห่ามา 16 ปี 2-3 ตัว และบางตอนก็ 4-5 ตัว มีการนับเป็นตัว และบอกว่าภาษาไทยไม่แข็งแรง แล้วก็หัวเราะกันอย่างสนุกสนาน จตุพร ก็เลยพูดอย่างนิ่มๆ ว่า ผม กับนายทักษิณ ปราศรัยเวทีเดียวกัน ไม่ว่าจะช่วงอยู่ประเทศไทย และผ่านวิดีโอลิงก์ ต่างกรรมต่างวาระมายาวนาน การพูดของผมเป็นการเห่าบนเวทีนี้ ท่านก็ร่วมเห่ากับผมด้วย ถ้าผมเป็นหมา ท่านก็เป็นหมา ท่านอาจจะเป็นหัวหน้า จ่าฝูงหมา ถ้านับบรรดาศักดิ์ในบรรดาหมู่หมาด้วยกัน



ดีลลับ พปชร. "เพื่อไทย"

...


ท่านผู้ชมครับ ผมจะขอวิเคราะห์การเมืองในภาพรวม ในสถานการณ์ปัจจุบัน ในการเลือกตั้งครั้งหน้าที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า พรรคก้าวไกล พรรคเพื่อไทย จะเหลื่อมๆ กัน ไม่ตัดกันแรง เพราะอีกฝั่งจะตัดแรงกว่า โดยเฉพาะทักษิณ จะใช้สูตร "รัฐมนโท" แต่จะปะทะกับ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ และร่วมทีมกับเสี่ยโป๋ว คือ ธีรพล นพรัมภา เลขาฯ คนสนิทของสมัคร สุนทรเวช ที่ทักษิณ หักหลังไป ซึ่งสองคนนี้เป็นทีมงานอยู่พรรคพลังประชารัฐ

เชื่อว่าแกนนำฝ่ายต่างๆ ในพรรคพลังประชารัฐ พรรคเพื่อไทย ได้ตกลงแบ่งเก้าอี้รัฐมนตรีในแต่ละกระทรวงกันไว้หมดแล้ว อย่างน้อย ท่านผู้ชมเชื่อผม ทักษิณ ชินวัตร ถ้าได้ร่วมรัฐบาล ก็จะขอคุมกระทรวงยุติธรรม ราชทัณฑ์ ดีเอสไอ แล้วแก้ระเบียบพักโทษ อภัยโทษ ให้กับพรรคพวกตัวเองอย่างแน่นอนที่สุด

ส.ส. ที่ไปอยู่รวมที่พรรครวมไทยสร้างชาติ กับลุงตู่ และนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ตอนนี้มีแต่ ส.ส. นกแล คือไม่มีเสียงของตัวเอง เป็น ส.ส. หน้าใหม่ คนรุ่นใหม่ ที่เพิ่งเข้ามาทำงานการเมือง ไม่ได้มีเส้นสาย หรือสืบสายจากนักการเมืองรุ่นก่อน


ฝั่งประชาธิปัตย์ ถดถอยลงอย่างมาก ปัจจุบันเหลือแค่คนใกล้ชิดจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ กับเฉลิมชัย ศรีอ่อน เท่านั้น ซึ่งผมคาดเดาว่า อาจจะอยากเล่นไปใช้เงิน อย่างเฉลิมชัย ก่อนเป็นรัฐมนตรี ทราบข่าวว่ามีหนี้สินจำนวนมหาศาล พอรับตำแหน่งรัฐมนตรี กลับสามารถเคลียร์หนี้สินได้หมดตั้งแต่ช่วงปีแรก ในการเลือกตั้งคราวนี้ ผมมองว่าพรรคประชาธิปัตย์ มีคนอ้างว่าน่าจะเป็นฝ่ายค้าน แต่ผมเชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ อย่างไรต้องขอเข้าร่วมกับพรรคพลังประชารัฐ และพรรคเพื่อไทย ขอเถอะ ขอให้จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ นั่งอยู่ที่กระทรวงพาณิชย์เหมือนเดิม และเฉลิมชัย นั่งอยู่กระทรวงเกษตรฯ เหมือนเดิม คนอื่นในพรรคไม่ได้รัฐมนตรี เขาไม่ว่า ขอให้ได้เข้าร่วมเถอะ ไม่มีอีกแล้วอุดมการณ์ คอยดูคำพูดของผมก็แล้วกัน

ท่านผู้ชมครับ แคนดิเดตนายกฯ ผมมองว่าปัจจุบันพยายามมีการชูตัวเลือก 3-4 พรรค อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ชินวัตร เศรษฐา ทวีสิน จากพรรคเพื่อไทย อนุทิน ชาญวีรกูล พรรคภูมิใจไทย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พรรครวมไทยสร้างชาติ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จากพรรคพลังประชารัฐ แต่ผมว่าด้วยเงื่อนไขทางการเมือง ณ ปัจจุบัน ตัวเลือกที่แท้จริงมีอยู่แค่ 2 คน คือ อนุทิน ชาญวีรกูล และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เท่านั้น สังเกตว่าช่วงหลัง พล.อ.ประวิตร ฟิตมาก ปาดหน้าไปหาเสียง ทั้งราชบุรี เยาวราช รวมทั้งที่อื่น อีกทั้งพยายามปรับภาพลักษณ์ให้ดูซอฟต์ลง เข้าถึงง่าย ใส่กางเกงยีนส์ ใส่เสื้อแจ๊กเก็ต ในขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ ยังคงความแข็งกระด้าง และหยิ่งยะโสโอหังเหมือนเดิม


ช่วงหลังเพื่อไทยโทนดาวน์เรื่องกัญชาในสภาฯ เพราะอาจจะรู้ตัวว่าถ้าเป็นรัฐบาลจะขาดภูมิใจไทยไม่ได้ ก็เลยเงียบๆ เพราะอาจจะรวมกับภูมิใจไทย ซึ่งดีกว่ากับก้าวไกล ที่เอาแต่ชูมาตรา 112 ก็เลยเดินแคมเปญ รักก้าวไกล ให้เลือกเพื่อไทย ผมคาดการณ์ไว้แล้วว่าหลังการเลือกตั้งครั้งหน้า พรรคก้าวไกล จะเป็นแกนนำพรรคฝ่ายค้าน โดยนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จะเป็นผู้นำฝ่ายค้าน อาจจะมีพรรคร่วมฝ่ายค้าน ซึ่งอาจจะเป็นพรรคประชาธิปัตย์ แต่ผมคิดว่า ถ้าพรรคประชาธิปัตย์มีทางเลือก พรรคประชาธิปัตย์โดยการนำของจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ และ เฉลิมชัย ศรีอ่อน จะพร้อมที่จะร่วมกับพลังประชารัฐ และพรรคเพื่อไทย อย่างแน่นอนที่สุด จำคำพูดผมไว้นะครับพี่น้องชาวใต้

นี่คือการวิเคราะห์การเมือง ซึ่งทุกอย่างมันเป็นอนิจจัง และการเปลี่ยนแปลงมีอย่างสูงมากในขณะนี้ เอากันแค่นี้ก่อนก็แล้วกัน ท่านผู้ชมครับ

นักวิชาโกง ช้อปปิ้งงานวิจัย
...
ผมเคยคุยกับลูกหลานผม ทีมงาน "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ด้วยหลายครั้ง ผมบอกว่าทุกวันนี้ผมไปไหนมาไหนลำบากมาก เพราะทุกวันนี้ ทุกตอนที่ออกอากาศ ผมต้องพูดพาดพิงถึงวงการโน้นวงการนี้ในสังคมไทย ไม่ว่าจะเป็นการเมือง ทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ ตำรวจ ข้าราชการ วงการสงฆ์ วงการพนัน ทั้งบนดินและใต้ดิน เรื่องในประเทศ และต่างประเทศ

ข้อแตกต่างระหว่าง ผม กับ คุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ กับ คุณอัจฉริยะ ก็คือว่า สองคนนั้นเขาเน้นไปในเรื่องของผู้รักษากฎหมาย ตำรวจ และวงการสีเทา/สีดำ แต่ผมพูดเฉพาะเรื่องนี้ไม่ได้ มันจะเป็นส่วนหนึ่งของการพูดของผม โดยที่เขาอาจจะพูดก่อนผม แล้วผมก็ไปขุดคุ้ยให้ลึกกว่านั้น อธิบายความมา แต่เรื่องราวต่างๆ ในประเทศไทยมันมีมากกว่าวงการอาชญากรรม หรือตำรวจ การเมือง ทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ ตำรวจ ข้าราชการ วงการสงฆ์ โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับคอร์รัปชัน ผู้คนส่วนใหญ่จะพูดถึงเรื่องนักการเมือง พูดถึงตำรวจ พูดถึงข้าราชการ พูดถึงทหาร แต่อย่างที่ผมพูดไปแล้วในรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" เมื่อปีกว่าๆ ในตอนที่ 110 วันศุกร์ที่ 5 พฤศจิกายน 2564 ว่าจริงๆ แล้วมหาโกงคอร์รัปชันในเมืองไทยนั้น ส่วนหนึ่งมีรากเหง้ามาจากแวดวงการศึกษา ตั้งแต่ระดับชั้นประถมศึกษา ไปจนถึงมัธยมศึกษา เรื่อยไปจนถึงอุดมศึกษา ผมเรียกมันว่า "มหา'ลัย มหาหลอก มหาโกง"


เกี่ยวกับประเด็นนี้ ล่าสุด ในสองสัปดาห์ที่ผ่านมา มีประเด็นร้อนแรงในแวดวงวิชาการที่มีคนในแวดวงให้ความสนใจ แต่ประชาชนไม่ค่อยให้ความสนใจเท่าไรนัก เพราะมัวแต่ไปหมกมุ่นกับเรื่องของ นอท กองสลากพลัส หรือ ตู้ห่าว หรือเรื่องอะไรก็ตามที่ฟังแล้วมันมันส์ แต่ตอนนี้คนในแวดวงวิชาการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ตอนนี้วงการแวดวงวิชาการมีการซื้อขายงานวิจัยผ่านโลกออนไลน์ เมื่อซื้อแล้วจะได้ใส่ชื่อตัวเองลงไปเป็นผู้แต่งงานวิจัย โดยที่ไม่ต้องทำเลย ทั้งยังสามารถเลือกได้ว่าอยากให้มีชื่อตัวเองอยู่ในงานวิจัยชิ้นไหน ปรากฏว่า มีชื่อนักวิจัยไทยไปปรากฏในงานวิจัยประเภทนี้หลายสิบชิ้น พอแฉออกมาเป็นข่าวได้พักเดียว เรื่องก็เงียบไป ผมคิดว่าผมต้องเอาเรื่องนี้มาพูดอีก

ตัวอย่างการซื้อขายงานวิจัยเพื่อเอาชื่อตัวเองเข้าไปร่วมในงานวิจัย ยกตัวอย่างเช่น งานวิจัยเรื่องวัสดุนาโนชิ้นหนึ่ง ชื่อผู้แต่งเป็นชาวไทย 2 คน คนหนึ่งเป็นอาจารย์จากมหาวิทยาลัยทางภาคเหนือ และเป็นอาจารย์จากวิทยาลัยพยาบาล ตำแหน่งทางวิชาการ ไม่น่าจะมีประสบการณ์เกี่ยวข้องกับงานวิจัยด้านวัสดุนาโนมาก่อน


อีกกรณีหนึ่งคือศาสตราจารย์ด้านกฎหมายระดับคณบดีของมหาวิทยาลัยชื่อดังในภาคใต้ กลับมีการตีพิมพ์เป็นงานวิจัยด้านวิศวกรรมเครื่องกลหลายสิบเรื่อง ทั้งๆ ที่ความเชี่ยวชาญของเจ้าตัวกับสาขางานวิจัย เป็นคนละสาขาวิชาเลย ตัวเองสาขากฎหมาย สังคมศาสตร์ คือเป็นสายนิติศาสตร์ แต่งานวิจัย ดันทะลึ่งไปเป็นสายวิศวกรรมศาสตร์

นักวิจัยบางมหาวิทยาลัยแถวภาคอีสานบางคนตีพิมพ์งานวิจัยปีละเป็นร้อยเปเปอร์ เรียกได้ว่า 3-4 วัน ตีพิมพ์ 1 ชิ้น จนอาจเรียกได้ว่าเป็นเครื่องจักรผลิตงานวิจัยเลยก็ว่าได้ ทำให้เรื่องราวดังกล่าวถูกเชื่อมโยงและตั้งข้อสงสัยเรื่องนี้ บรรดาอาจารย์เหล่านี้ทำว่า แม้จะเป็นงานวิจัยตีพิมพ์จริง แต่เจ้าตัวมีส่วนร่วมกับงานวิจัยจริงหรือไม่ พร้อมกับกำลังเป็นที่ถกเถียงกันอย่างร้อนแรงในแวดวงวิชาการและการวิจัย เหล่านักวิชาการเรียกร้องให้มีการตรวจสอบและจัดการขั้นเด็ดขาด เพราะถือว่าเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย และขัดต่อจริยธรรมทางวิชาการอย่างร้ายแรง ซึ่งผมเห็นด้วย เรามีอาจารย์ที่ไม่ซื่อสัตย์กับวิชาชีพ โกหกหลอกลวง จ่ายเงิน จ่ายค่าวิจัยมา แล้วอาจารย์พวกนี้เป็นคนที่จะต้องมาสอนลูกหลานเรา ก็ในเมื่ออาจารย์คดโกงมาตั้งแต่สมัยซื้องานวิจัยเพื่อเลื่อนตำแหน่งแล้ว เราจะไว้ใจให้ลูกหลานเราได้อย่างไร


ท่านผู้ชมครับ ผมเอาตัวอย่างให้ดู "ตัวตึงทั้งสองท่านตีพิมพ์ด้วยกัน ท่านแรกสาขากิจกรรมบำบัด ท่านที่สอง สาขาพยาบาล แต่ทั้งหมดทำเรื่อง ethlene-glycol nanofluid โดยการใช้ sim model แบบ Lattice Boltzmann method สมการ math แบบเทพเจ้า" นี่คืองานวิจัยของท่านศาสตราจารย์ด้านกฎหมาย ตีพิมพ์ด้านวิศวกรรมเครื่องกล กว่า 30 เรื่อง นักวิจัยภาควิชาการคณิตศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ตีพิมพ์งานวิจัยปีละ 100 เรื่อง มิหนำซ้ำ งานวิจัยบางประเภท ยังเป็นงานวิจัยข้ามสาขา

ท่านรองศาสตราจารย์ ดร. วีรชัย พุทธวงศ์ ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายนวัตกรรมและกิจการพิเศษเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยเกษตรฯ ท่านมาบอกว่า มีหน้าที่ตรวจสอบความผิดปกติของแวดวงอุดมศึกษา บอกกับทีมงานของผมว่า "ในอดีตการทุจริตแวดวงวิชาการ นั้นมีมาเรื่อยๆ ตั้งแต่เรื่องการซื้อขายปริญญา ปริญญาเอกปลอม การร้องเรียนไม่ได้รับความเป็นธรรมเรื่องสิทธิประโยชน์ต่างๆ จนถึงปัจจุบัน คือการที่อาจารย์ไปซื้องานวิจัย ผู้ร่วมวิจัย โดยที่เจ้าตัวเองไม่ได้ร่วมทำงานวิจัย และไม่ได้เป็นเจ้าของงานวิจัยนั้นจริง แต่ตัวงานวิจัยนั้นเกิดขึ้นจริง มีจริง ทำจริง แต่ดันมีคนเอามาขาย อาจจะเป็นว่ามีคนทำแล้วประกาศขาย ซึ่งคนที่ซื้่อไปแล้วก็จะมีสิทธิที่จะใช้ชื่อร่วมเป็นผู้ทำงานวิจัย


ท่านผู้ชมครับ ผมต้องบอกท่านผู้ชมก่อนว่า ลักษณะการวิจัยในมหาวิทยาลัย หรือการวิจัยทั่วโลก จะทำวิจัยและตีพิมพ์ในวารสารวิชาการที่มีมาตรฐาน ซึ่งก่อนจะตีพิมพ์วารสารทางวิชาการจะมีการส่งคณะกรรมการตรวจ ในช่วงการตรวจ จะมีการลบชื่อผู้ทำงานวิจัยออก เพื่อไม่ให้รู้ว่าใครทำ เมื่อผ่านการตีพิมพ์ในวารสารแล้ว จึงส่งกลับมาที่เจ้าของผลงาน

จุดนี้จึงเป็นช่องโหว่ที่สำคัญ คือเจ้าของผลงานบางคนอยากได้เงิน ก็จะเริ่มประกาศว่างานวิจัยกำลังจะตีพิมพ์ในวารสาร ใครอยากเป็นผู้ร่วมงาน อยากเป็นชื่ออันดับแรก ชื่ออันดับสอง อันดับสาม อันดับสี่ อันดับห้า ก็สามารถเข้าไปร่วมได้ จ่ายเงินเท่านั้นเอง ยกตัวอย่าง ระดับแรก ราคา 1,000 เหรียญสหรัฐ โคตรถูกเลย เกือบ 40,000 บาท ชื่อในระดับต้นๆ ที่สอง 900 เหรียญสหรัฐ หรือ 30,000 กว่า อันดับสาม 850 เหรียญ 28,000 บาท ยกตัวอย่างเช่น งานวิจัยเฉลี่ยแล้วจะมีชื่อผู้เข้าร่วมทำงานประมาณ 10 คน ถ้าทำ 2 คน กับลูกศิษย์ เขาสามารถจะขอเพิ่มจาก 10 คน เป็น 12 คน ก็ได้ แต่ 10 คนที่จะเข้ามาร่วมงาน ต้องจ่ายคนละ 800-900 เหรียญสหรัฐ ลดหลั่นกันไปตามลำดับที่คนจ่ายเงินต้องการจะใส่ชื่อในงานวิจัย หากอยู่ลำดับแรก ก็มีส่วนร่วมมากหน่อย


มันจะมีเว็บไซต์ที่ระบุว่า สามารถซื้อบทความวิจัยเพื่อตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ เพื่อตีพิมพ์ในวารสารวิชาการในต่างประเทศได้ เพียงแค่ 'คลิก' ทันทีที่เมื่อโอนเงินเข้าไปแล้ว ก็สามารถจะตีพิมพ์ได้ทันที เพียงรอให้ได้รายชื่อ หรือผู้เขียนให้ครบคนก่อน การจ่ายเงิน เพียงกดยืนยันการซื้อบทความงานวิจัยก็จะมีอีเมลตอบกลับมาว่า ให้โอนเงินพร้อมกรอกข้อมูลส่วนตัว เพื่อให้ได้ตีพิมพ์งานวิจัย จะเห็นได้ว่าการซื้อขายบทความงานวิจัยพร้อมตีพิมพ์ในวารสารต่างประเทศ ท่านผู้ชมดูสิครับ ทำง่ายจริงๆ

จากการตรวจสอบพบว่าช่วงที่มีการพบประกาศขายอย่างเป็นล่ำเป็นสัน คือช่วงปี 2564 หรือเป็นช่วงวิกฤตของการแพร่ระบาดเชื้อโควิด พอในปี 2565 ปีที่แล้ว ก็มีนักศึกษาต่างชาติซื้อกัน ส่วนใหญ่จะเป็นแถบตะวันออกกลาง อินเดีย แอฟริกา ที่น่าประหลาดใจ แม้แต่นักวิชาการในญี่ปุ่น ซึ่งถือว่าเป็นประเทศที่มีความซื่อสัตย์สูง ก็ปรากฏข้อมูลว่ามีการทำในลักษณะนี้เช่นกัน

ท่านผู้ชมครับ ประเด็นเกี่ยวกับการสนทนาเรื่องการซื้อขายงานวิจัยทั่วโลก เริ่มมีการพูดคุยกันผ่านเว็บไซต์เว็บหนึ่ง ชื่อ PUBPEER ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่นักวิจัยทั่้วโลกมาพูดคุยกันถึงเรื่องปัญหานี้ เว็บนี้มีมานานแล้ว แต่มาเริ่มโจมตีเรื่องการซื้อขายงานวิจัย อันเป็นประเด็นที่ขัดต่อจริยธรรมอย่างร้ายแรง เพราะอยู่ดีๆ มีชื่อแล้วเอาไปเสริมโปรไฟล์ ทำให้ Ranking ของคนทำงานสูงขึ้น และยังนำประโยชน์ต่ออีกหลายเรื่อง


ก่อนหน้านี้มีการแฉว่า แม้กระทั่งนาย Marc Tessier-Lavigne อธิการบดีมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ซึ่งมีสาขาอยู่ในประเทศไทย ซึ่งเป็นนักวิชาการด้านประสาทวิทยาและเทคโนโลยีชีวภาพ (Biology Technology) ยังมีปัญหาในเรื่องการตีพิมพ์งานวิจัยกว่า 500 เรื่อง จนอธิการบดีสแตนฟอร์ด ทนไม่ไหว ต้องลาออก


นอกจากนี้ ในต่างประเทศมีการแฉต่อว่า มีการประกาศซื้อขายตีพิมพ์กันอย่างโจ๋งครึ่ม ซึ่งมีนักวิชาการไทยสนใจเข้าไปดู เมื่อดูไปดูมาพบว่ามี 'Thailand' อยู่ด้วย ก็เลยเป็นประเด็นว่ามีประเทศไทยมีการส่งข้อมูลมาที่ศูนย์ประสานงานบุคคลในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ จนในที่สุด ก็มีข้อมูลมาสรุป และพบว่ามีอยู่จริง จนอาจารย์อ๊อด หรือ รองศาสตราจารย์ ดร. วีรชัย พุทธวงศ์ ได้ยำเรื่องราวมาโพสต์ลงเผยแพร่ในเฟซบุ๊กของตัวเอง


มันมีอยู่ 2 ที่ ท่านผู้ชมครับ อาจารย์คณะแพทย์ ภาควิชากิจกรรมบำบัด กับอาจารย์พยาบาล ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ เนื่องจาก 2 คนนี้มีผลงานตีพิมพ์ 100 กว่าเรื่อง ทั้งที่อายุยังน้อย คือ ดร.สุภัทร ชูประดิษฐ์ อาจารย์ประจำภาควิชากิจกรรมบำบัด คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และ นายวานิช สุขสถาน อาจารย์ประจำภาควิชาพยาบาลชุมชน ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์

สิ่งที่คนในแวดวงวิชาการรู้สึกแปลกใจ และรู้สึกตลกขบขันมาก คือการที่นักวิชาการเป็นอาจารย์จบด้านพยาบาล แต่กลับมาตีพิมพ์งานวิจัยเรื่องการประมง เรื่องข้ามสายสุดขั้วโลกเลย อีกคนหนึ่งเป็นอาจารย์ใหญ่ คณะเทคนิคการแพทย์ ภาควิชากิจกรรมบำบัด แต่ตีพิมพ์งานวิจัยวิศวกรรมเคมี หรือในกรณีอื่นๆ ยกตัวอย่างเช่น อาจารย์นิติศาสตร์ไปร่วมงานวิจัยด้านวิศวกรรมเครื่องกล นักรัฐศาสตร์ไปมีงานวิจัยร่วมด้านการสังเคราะห์วิทยา ทั้งนี้ทั้งนั้น โดยปกติแล้วการทำงานวิจัยข้ามสายงาน สามารถทำได้ แต่ต้องเป็นงานวิจัยที่เกี่ยวเนื่องกัน เช่น ถ้าท่านจบสังคมศาสตร์ ก็ไปทำงานสำรวจประชากรปลา อาจจะอยู่ในประมงได้ เช่น เรื่องการมีส่วนร่วมของงานวิจัย แต่ในสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้และเขียนบอกไว้เลย ไม่มีความเชื่อมโยงกันเลยแม้แต่นิดเดียว


ท่านผู้ชมครับ เมื่อเรื่องปูดขึ้นมา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ออกประกาศสอบวินัยร้ายแรง โดยมีการออกมาชี้แจงจากราชวิทยาลัยฯ ว่า อาจารย์ท่านนั้นเก่งด้าน Research เก่งด้านภาษา เขาเลยตีพิมพ์ข้ามสายได้ โดยการไปแก้ภาษาอังกฤษ จากนั้นก็มีการแฉต่อ บอกว่าชื่ออาจารย์นั้นได้มาอยู่ในเว็บไซต์ซึ่งระบุว่า ประกาศขายชื่อผู้ร่วมวิจัยในตำแหน่งที่สามแล้ว ชื่ออาจารย์ก็เลยไปโผล่ตำแหน่งที่สาม ที่ตีพิมพ์ออกพอดิบพอดี แล้วคุณจะไปบอกว่าคุณแก้ภาษาอังกฤษ มันก็เลยโป๊ะแตก เลยต้องมีแถลงการณ์ฉบับที่ 2 ว่า จะตั้งกรรมการสอบวินัย

ท่านผู้ชมครับ ถามว่าสาเหตุสำคัญ ที่มาที่ไป และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องที่ทำให้เกิดวงจรอุบาทว์นี้ มีใครบ้าง ? คำตอบคือ สิ่งที่ทำให้นักวิจัยเข้าสู่วังวนหรือวงจรอุบาทว์นี้ คือ นักวิชาการต้องการอัปเลเวล อัปโปรไฟล์ส่วนตัว เพื่อใช้เป็นใบเบิก เดินทางไปสู่ตำแหน่งทางวิชาการ เลื่อนตำแหน่ง เลื่อนวิทยฐานะ เมื่อได้เลื่อนตำแหน่งทางวิชาการ เลื่อนวิทยฐานะ ก็สามารถจะทำเรื่องขอทุนทำงานวิจัย และการปรับเงินเดือน เพราะประกาศคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน ในสถาบันอุดมศึกษา กำหนดหลักเกณฑ์และพิจารณาแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ (ผศ.) รองศาสตราจารย์ (รศ.) ศาสตราจารย์ (ศ.) ปี 2564 โดยเนื้อหาส่วนหนึ่งกำหนดเงื่อนไขในการประเมิน ว่า ถ้าจะให้ประเมินผ่าน ต้องมีผลงานทางวิชาการ เพราะฉะนั้นแล้ว การอัปเลเวลทางวิชาการของอาจารย์ดังกล่าวก็ไปมีส่วนช่วยเพิ่ม Ranking หรือการจัดอันดับของคณะ ของมหาวิทยาลัยในสังกัดให้สูงขึ้น คณะนี้ในมหาวิทยาลัยมี ผศ. กี่คน รศ. กี่คน ศ. กี่คน สัดส่วนดังกล่าวไปมีผลต่อการเปิดหลักสูตรใหม่ๆ ทั้งปริญญาโท ปริญญาเอก สามารถนำไปหาเงินอย่างเป็นกอบเป็นกำได้อีก

นอกจากนี้แล้ว ยังมีเรื่องที่น่าตื่นตาตื่นใจเข้าไปอีก เมื่อเราเข้าไปดูข้อมูลในมหาวิทยาลัยชื่อดังบางแห่งที่มีคนซื้องานวิจัยมาด้วยเงิน 900 กว่าเหรียญ หรือประมาณ 3 หมื่นกว่าบาท งานได้รับการตีพิมพ์ในวารสารชั้นนำของโลก อยู่ในเกรด A มหาวิทยาลัยดันมีระเบียบและมีเกณฑ์ในการให้รางวัลแก่บุคลากรที่มีงานตีพิมพ์ในวารสารชั้นนำ เกรด A ยกตัวอย่าง ถ้าตีพิมพ์ในวารสารชั้นนำ เกรด A 1 ชิ้น จะได้รางวัลจากมหาวิทยาลัยเป็นเงิน 120,000 บาท แปลว่าอะไร ? ก็หมายความว่า ท่านผู้ชมลงทุน 3-4 หมื่นบาท จะได้เงินกลับมาอีก 120,000 บาท กำไร 8-9 หมื่นบาท แถมยังเอากำไรไปซื้อต่อได้อีก เพื่อให้ได้ผลงานมาลงโปรไฟล์ เอาไปทำตำแหน่งทางวิชาการได้อีก ต่อยอดได้ เรียกว่างานนี้มีแต่ได้กับได้ นักวิชาการได้ คณะก็ได้ชื่อ ได้งบวิจัยเพิ่ม เปิดหลักสูตรได้เพิ่ม มหาวิทยาลัยก็ได้ชื่อเสียง

ท่านผู้ชมครับ ขอประทานโทษท่านนักวิชาการและอาจารย์ครับ มันบัดซบจริงๆ แต่คนที่เสียคือประเทศชาติ ประชาชนผู้เสียภาษี นิสิต นักศึกษา ที่ต้องเรียนกับนักวิชาการ ต้องอ่านงานวิจัยจอมปลอม สังคมที่ตกต่ำลงเรื่อยๆ เพราะเหล่าคนขี้โกงในคราบนักวิชาการเหล่านี้


ข้อมูลที่ว่า ปัจจุบันในแวดวงวิชาการนั้น มีดัชนีชี้วัดของสถาบันการศึกษา หนึ่งในนั้นคืองานวิจัยที่ไม่ได้จับเฉพาะตัวอาจารย์ แต่จะได้ทั้งภาควิชา ทั้งคณะ และทั้งมหาวิทยาลัยด้วย สิ่งเหล่านี้เป็นผลพวงที่ได้ประโยชน์ร่วมกัน ตั้งแต่จุดเริ่มต้นมาจากอาจารย์ บางคนขยันก็สร้างได้ปีละ 9 เรื่อง พวกนี้จะช่วยทำให้โปรไฟล์อาจารย์ดีขึ้น อันดับของมหาวิทยาลัยก็สูงขึ้น ทีนี้พวกที่ซื้องานวิจัยก็ทำให้รายชื่อมหาวิทยาลัยสูงขึ้นได้ เพราะเวลาเมืองนอกเขาประกวดอันดับ Ranking เขาจะดูเรื่องจำนวนเปเปอร์ ผลงานตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ เรื่องของงานอ้างอิง งานวิจัย ทำแล้วมีคนมาอ้างอิงใช้งานวิจัยเท่าไร ถ้ามีคนมาอ้างอิงเยอะ แสดงว่างานเรามีคุณภาพ ตรงนี้ถ้ายิ่งมาก อันดับของมหาวิทยาลัยจะสูงขึ้น เป็นอันดับที่สร้างขึ้นมาเอง และจะมีการปั่นคุณภาพศาสตราจารย์ท่านนั้นให้สูงขึ้นด้วยการอ้างอิงงานตัวเองจากงานวิจัยที่เขาซื้อมา คิดว่าผู้บริหารไม่รู้เรื่อง แต่อันดับมีผลกับงบประมาณเรื่องความน่าเรียน ถ้าไม่มีอะไรเลย ไม่มีจุดเด่น ก็ดึงนักศึกษาไม่ได้ รัฐให้การสนับสนุนบางส่วน ที่เหลือคุณต้องหาเอง เงินรายได้จากนักศึกษา สร้างหลักสูตรปริญญาโท เก็บ 4 แสนบาท นี่คือรายได้ แต่ใครจะมาเรียนต้องดูอันดับมหาวิทยาลัยที่ดีๆ อาจารย์ต้องมีโปรไฟล์สวยๆ อาจารย์มาเป็นที่ปรึกษาก็ได้ค่าที่ปรึกษาอีก ก็เงินทั้งนั้นแล

ท่านผู้ชมครับ ปัจจุบันนี้อาจารย์มหาวิทยาลัยต่างๆ ถูกบังคับให้ทำงาน 4 ด้าน หนึ่ง การสอน สอง งานวิจัย สาม บริหารทางวิชาการ และ สี่ การทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม โดยงานวิชัยจะเป็นปัจจัยสำคัญทำให้นักวิชาการสาขาต่างๆ สามารถอัปเกรดตำแหน่งทางวิชาการของตัวเองไปได้ ไปเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ (ผศ.) รองศาสตราจารย์ (รศ.) หรือ ศ. คือ ศาสตราจารย์

ท่านผู้ชมครับ ปัจจุบัน โดยเฉลี่ย ศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัยชั้นนำจะมีเงินเดือนประมาณ 100,000 บาท รวมทั้งเงินประจำตำแหน่งทางวิชาการ เช่น ถ้าจบใหม่เป็นอาจารย์ จะมีเงินเดือน 42,000 บาท แต่ได้ตำแหน่งทางวิชาการ เช่น รองศาสตราจารย์ (รศ.) จะได้เงินเพิ่มเกือบ 20,000 บาท ถ้าไปเป็นที่ปรึกษา ก็ได้ค่าที่ปรึกษาเพิ่ม ถ้าไปเป็นวิทยากรบรรยาย ก็ได้เพิ่มอีก มาสอนในภาคพิเศษที่เขาสอนอาทิตย์หนึ่งก็ได้ชั่วโมงละ 2,000-3,000 บาท ก็แล้วแต่ระเบียบของแต่ละที่ นอกจากนี้ เอาโปรไฟล์ไปขอทุนวิจัยกระทรวง อว. ถ้าโปรไฟล์ดี กระทรวงฯ ก็จะให้ทุน ขอได้ตั้งแต่หลักแสน จนถึงหลักล้าน สูงสุดคือหลักร้อยล้าน มันจะส่งผลโดยรวมทุกอย่าง และการตีพิมพ์ก็จะมาเอาเงินรางวัลจากมหาวิทยาลัยได้

เมื่อมีแรงกดดันเรื่องการจัดอันดับแล้ว การจัดอันดับใช้เรื่องการตีพิมพ์เป็นหลักใหญ่ 30-40 เปอร์เซ็นต์ มหาวิทยาลัยจึงออกมากดดันอาจารย์ให้ตีพิมพ์ผลงาน และเอาเรื่องที่ตีพิมพ์ผลงานเป็นเงื่อนไขในการเลื่อนตำแหน่ง ซึ่งตรงนี้อาจารย์ส่วนมากได้รับความกดดัน เพราะอาจจะไม่ได้รับการแนะนำอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ว่าการผลิตผลงานต้องทำอย่างไร อยู่ดีๆ จะบังคับว่าเอาผลงานแล้ว ตัวเองก็ไม่รู้เรื่องว่าจะต้องทำงานอย่างไรบ้าง


ท่านผู้ชมครับ ประเด็นการซื้องานวิจัยนั้นเล่นเอาท่านรัฐมนตรีฯ อว. เอนก เหล่าธรรมทัศน์ เก้าอี้ร้อน โดนสื่อปูดว่าอดีตทีมงานเป็นเอเยนต์ซื้องานวิจัย เรื่องนี้คุณเอนก เหล่าธรรมทัศน์ กระโดดตัวยาว หลังจากสื่อในเครือมติชนออกมาตีข่าวว่า มีอดีตทีมงานของรัฐมนตรีฯ เอนก ที่ทำตัวเป็นเอเยนต์ซื้องานวิจัย เปิดคอร์สติวรับรองผล ผู้สนใจต้องจ่ายค่าอบรม 50,000 บาท ดร.เอนก ตามธรรมชาติเลย ก็เป็นที่เข้าใจได้ ออกมาปฏิเสธทันทีว่าคนๆ นั้นไม่เคยเป็นทีมงาน ชี้แจงว่า คนที่ถูกกล่าวอ้างนั้นไม่เคยเป็นทีมงานของผม เป็นอาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ในสมัยที่ตัวเองเป็นอธิการบดีวิทยาลัยรัฐกิจ ต่อมา อาจารย์คนนั้นที่ถูกกล่าวหา ออกจาก ม.รังสิต ไปเป็นอาจารย์ที่จุฬาฯ แล้วลาออก ปัจจุบันไปสอนที่มหาวิทยาลัยในประเทศเวียดนาม

แต่ ดร.เอนก ก็ยอมรับว่าที่ผ่านมามีกลไกที่เป็นช่องโหว่ในการตีพิมพ์ผลงานวิชาการ บุคคลที่มีชื่ออยู่ในผลงานนั้น อาจจะไม่ใช่ผู้วิจัยตัวจริง มหาวิทยาลัยจึงต้องตรวจสอบอย่างเข้มงวดและจริงจัง หากพบการกระทำความผิดต้องลงโทษอย่างรวดเร็ว อย่างเต็มที่


ท่านผู้ชมครับ สำหรับงานวิจัยที่ตีพิมพ์ 1 ปี ต่อ 1 เรื่อง ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าในข้อเท็จจริง ถ้าทำจริง หนักหนาสาหัสมาก แต่กลับมีนักวิชาการอายุน้อยร้อยเปเปอร์ 2565 มีผลงานทางวิชาการกว่า 150 เรื่อง ถ้าวิจัยกันจริงๆ เรื่องละปีก็แทบตายแล้ว นี่แกตีได้ถึง 150 เรื่อง มันก็เลยเป็นอะไรที่แปลก ไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น ที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ สืบค้นเพิ่มเติมเรื่อยๆ ในเครือข่าย ไปเจอมากกว่านี้ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม มหาวิทยาลัยขอนแก่น ราชภัฏพิบูลสงคราม ราชภัฏภูเก็ต แม่โจ้ ล่าสุดมีมหาวิทยาลัยหาดใหญ่สงขลานครินทร์ ก็มีคนทำ จนถูกเสนอโปรดเกล้าฯ ให้แต่งตั้งเป็นศาสตราจารย์ แต่สุดท้ายก็จำเป็นต้องดึงเรื่องกลับ

ท่านผู้ชมครับ การจัดการเรื่องความสะอาดของวงการวิจัยอุดมศึกษา มันเหมือนทุนจีนสีเทา หรือทุนสีเทาจากบ่อนการพนัน เรื่องของนายนอท กองสลากพลัส มีเงินซื้อได้ทุกอย่าง บางคนออกไปเป็นนักการเมือง เป็นอดีตอธิการบดี มีเปเปอร์เป็นศาสตราจารย์ โดนตรวจสอบย้อนหลัง มีหลายคน ล่าสุด ศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยด้านกฎหมาย มหาวิทยาลัยทักษิณ ตีพิมพ์งานวิจัยด้านวิศวกรรมเคมี ซึ่งเป็นที่ตลกขบขันไป ยิ่งกว่านั้น ท่านเป็นคณะกรรมการจริยธรรมของกระทรวง อีกคนหนึ่งจบรัฐศาสตร์ เป็นอดีตเพื่อนร่วมงานของรัฐมนตรีฯ เอนก เหล่าธรรมทัศน์ จบรัฐศาสตร์ แต่ดันทะลึ่งตีพิมพ์งานวิจัยด้านวิศวกรรมเคมี นาโนเทคโนโลยี ตีพิมพ์ลงในวารสารชั้นนำ


พอเรื่องนี้แดงออกมา ทางสถาบันการศึกษาต่างๆ ออกมาแถลงว่าจะตั้งคณะกรรมการสอบสวนขึงขังเหลือเกิน จะดำเนินการตามความผิดทั้งด้านจริยธรรมและด้านวินัย เพื่อธำรงชื่อเสียง ธรรมาภิบาล และคุณธรรมทางวิชาการ ว่ากันไป bla bla bla ...

พอเรื่องซาลงไปก็มีข่าวอื่นมากลบ ผมไม่รู้ว่าผ่านไป 2-3 สัปดาห์แล้ว ไม่รู้ว่าคณะกรรมการสอบสวนทำกันไปถึงไหนแล้ว ท้ายสุดวงการวิชาการก็เน่าเฟะ เละเทะ ไม่ต่างกว่าวงการราชการ ทหาร ตำรวจ พอเกิดเรื่องอื้อฉาวก็กดสูตรทำกันเป็นสเตป หนึ่ง ถ้าเป็นเรื่องใหญ่ รีบโยกย้ายออกจากตำแหน่ง เข้ามาประจำที่หน่วยงานส่วนกลาง สอง ออกแถลงการณ์ ตีข่าวกันว่าจะตั้งกรรมการสอบสวนให้ถึงที่สุด ไม่ว่าถึงใครก็จะไม่เว้น สาม ทิ้งระยะไว้สักพักหนึ่ง พอเรื่องเงียบ ก็มีการเกี้ยเซียะกันสำเร็จ ค่อยให้กลับมาปฏิบัติหน้าที่ ทำงานในตำแหน่งเดิม วนลูปนี้ไป

ท่านผู้ชมครับ เมื่อขุดลึกลงไปแล้วจะเห็นได้ชัดว่ามันเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง เป็นปัญหาที่เป็นลูกโซ่เกี่ยวพันกันไปหมด ทั้งตัวนักวิชาการเอง คณะที่นักวิชาการผู้นั้นสังกัด ไล่ไปจนถึงระดับมหาวิทยาลัย ไล่ไปจนถึงในกระทรวง อว. ที่ล้วนแล้วแต่ได้ประโยชน์จากการช้อปปิ้งงานวิจัย นี่ยังดีนะท่านผู้ชม งานวิจัยที่รับจ้างมา แล้วสามารถจะจ่ายเงินแล้วใส่ชื่อลงไป ยังดีไม่ไปลิสต์ใน Shopee หรือ Lazada นะ ถ้ามันจะให้ขายดีต้องบอกว่า Shopee, Lazada มีงานวิจัย จ่ายแค่ 1,000 เหรียญสหรัฐ ก็จะได้รายชื่ออันดับหนึ่ง 900 อันดับสอง 800 อันดับสาม


ท่านผู้ชมครับ การช้อปปิ้งงานวิจัยเป็นเทรนด์ใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้น ต้องถือว่าเป็นเทรนด์ที่เลวร้ายที่สุด และสะท้อนให้เห็นความล่มสลายทั้งระบบของงานวิชาการก็เป็นได้ ผมได้คุยเรื่องนี้กับพี่ชายของผม ศาสตราจารย์ ดร. นพ.ศักดิ์ชัย ลิ้มทองกุล และหลานสาวผม คือ ดร. พิมพา ลิ้มทองกุล ซึ่งทั้งสองคนบอกว่าเรื่องทุจริตเกี่ยวกับการจ้างใส่ชื่อในงานวิจัยนั้น มีมานานแล้ว แต่ไม่โจ๋งครึ่มเท่าปัจจุบัน แต่กรณีที่ซื้องานวิจัยผ่านระบบออนไลน์นี้ เพิ่งเคยได้ยิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการซื้องานวิจัยแบบข้ามสาขา งานวิจัยที่ไม่เกี่ยวข้องกับความเชี่ยวชาญของตัวเองเลยแม้แต่น้อย ท่านผู้ชมครับ ต้องถือว่า ไร้ยางอาย แต่ท่านผู้ชมรู้ไหม สังคมเมืองไทย หน่วยงานต่างๆ ล้วนแล้วแต่ใจดำและหน้าด้านกันทุกคน เดี๋ยวนี้สังคมไทยกลายเป็นสังคมใจดำและหน้าด้าน พี่ชายผมและหลานสาวพูดเหมือนกันว่า โทษสถานเดียวที่นักวิชาการเหล่านั้นควรได้รับ คือ ไล่ออกเท่านั้น

ท่านผู้ชมฟังแล้วรู้สึกเศร้าเหมือนผมไหม ตำรวจที่เราหวังว่าจะอำนวยความยุติธรรมและดูแลปกป้องเราได้ กลับรับเงินอาชญากร ปปง. ที่จะต้องตรวจสอบเส้นทางการเงินของอาชญากร แต่บางส่วนก็รับเงินอาชญากรไป แล้วก็ปกปิด ทหารเรือ เรือล่ม ก็เป็นห่วงอยู่อย่างเดียวว่าคนตาย 5 คน ยังหาไม่เจอ แต่จนกระทั่งผ่านมาเป็นเดือนแล้ว ยังไม่รู้ว่าความผิดพลาดอยู่ที่ใคร พระสงฆ์องค์เจ้า พระเสพเมถุน เยอะแยะไปหมด พระอมเงินของอุบาสก-อุบาสิกา ที่มาบริจาคให้กับวัด เพื่อกิจกรรมของวัด เจ้าอาวาสร่ำรวยเป็นร้อยๆ ล้าน ญาติพี่น้องของเจ้าอาวาสก็ได้ส่วนแบ่งไปด้วย นักวิชาการที่โกงเรื่องงานวิจัย แต่ได้ตำแหน่งเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ รองศาสตราจารย์ หรือ ศาสตราจารย์ ท่านผู้ชมครับ วันนี้เราไหว้ใครได้บ้างในประเทศไทย นักวิชาการก็เป็นอย่างนี้ พระก็เป็นอย่างนี้ ตำรวจก็เป็นอย่างนี้ ทหารก็เป็นอย่างนี้ มันถึงคราวที่ประเทศไทยล่มสลายหรือยัง ล่มสลายแน่นอน ท่านผู้ชม นี่คืออีกหนึ่งตัวอย่างของความพินาศฉิบหายของโครงสร้างสังคมไทย ซึ่งมันจะเกินเยียวยาแล้วครับ



หมอชนบท หรือ หมอเทวดา

...ท่านผู้ชมครับ เมื่อพฤหัสบดีที่ 26 มกราคม 2566 เรื่องของการย้ายหมอชนบทคนหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลจะนะ อยู่ที่อำเภอจะนะ เป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลมาร่วมยี่สิบกว่าปี ถูกย้ายไปที่อำเภอสะบ้าย้อย ก็ปรากฏว่ามีดรามาเกิดขึ้น มีทั้งประชาชน มีทั้งผู้ว่าราชการจังหวัด ซึ่งไม่เข้าท่าเข้าทาง มาคัดค้านการย้าย


26 มกราคม นายแพทย์สวัสดิ์ อภิวัจนีวงศ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข ปฏิบัติราชการแทนปลัดกระทรวงสาธารณสุข ย้ายคุณหมอสุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจะนะ ไปดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาลสะบ้าย้อย สังกัดสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสงขลา มีผลตั้งแต่ 25 มกราคม เป็นต้นไป

พอคำสั่งย้ายออก พวกบรรดาสมาชิกของชมรมแพทย์ชนบท รวมทั้งเครือข่ายที่มี NGO ทั้งหลาย เหมือนผีโดนสาดน้ำมนต์ เหมือนหมาถูกน้ำร้อนลวก


เครือข่ายของแพทย์ชนบทนั้น เกิดมาจากเจ้าของทฤษฎี "สามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา" คือ คุณหมอประเวศ วะสี แต่จริงๆ แล้วเมื่อเวลาผ่านไป ธาตุแท้ก็เริ่มออกมาว่าคือการรวมตัวของหมอกลุ่มหนึ่งที่อ้างคำว่า "ชนบท" มาสร้างอิทธิพล สร้างอำนาจต่อรองให้ตัวเอง พัฒนาจนกลายเป็นพวกกลุ่มมาเฟียตระกูล "ส." เช่น สปสช. สสส. สช. สพฉ. สยายปีกอิทธิพลไปแวดวงอื่น ไปอยู่ที่ไทยพีบีเอส ไปเป็นกรรมการ กสทช. กองทุนสื่อสร้างสรรค์ เอาเงินภาษี งบประมาณประเทศมาละเลงกับแวดวงพวกตัวเอง จนหลังๆ แวดวงหมอเขาว่า "ชมรมแพทย์ชนบท" น่าจะเปลี่ยนชื่อเป็น "ชมรมแพทย์อ้างชนบท" เสียมากกว่า การย้ายครั้งนี้ก็เลยถูกพวกชมรมพวกนี้ออกมากดดัน

2564 ถ้าท่านผู้ชมจำได้ ชมรมแพทย์ชนบท รวมถึงคุณหมอสุภัทร คนนี้ ออกมากดดันให้มีการจัดซื้อชุดตรวจโควิด ATK ที่ตัวเองหนุนหลังอยู่ แม้มีราคาที่แพงกว่าราคาที่ประมูลได้มาก แล้วยังออกมาโจมตี ATK ยี่ห้อ "เล่อผู่" จากจีน ที่ชนะการประมูลอย่างสาดเสียเทเสียว่า ไม่ได้มาตรฐาน ไม่ใช่หน้าที่หมอชนบทเลย แต่ก็มาทำในเรื่องนี้


สุดท้ายแล้ว ความเคลื่อนไหวดังกล่าวก็ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะเขารู้ทันชมรมแพทย์อ้างชนบท

คุณหมอสุภัทร เป็นประธานชมรมแพทย์ชนบท ตั้งแต่ปี 2563 ในปี 2564 คุณหมอสุภัทร และชมรมแพทย์ชนบท มีชนักติดหลัง หาประโยชน์จากกรณี Home Isolation ก็คือว่า หมอชนบทสร้างภาพ เข้ามาช่วยตรวจ ATK ให้กับคนกรุงเทพฯ ตรวจไปแสนคน ประชาชนนึกว่าเป็นปฏิบัติการจิตอาสามาตรวจให้ฟรี แต่จริงๆ แล้วเป็นการตรวจ ATK ไปหัวละ 400 บาท 1 แสนคน คูณ 400 = ? เงินก้อนนี้ได้เงินไปเท่าไรจากการสร้างภาพครั้งนั้น


นอกจากตรวจ ATK กรุงเทพฯ แล้ว ยังนำไปสู่การดึงคนกรุงเทพฯ เข้าสู่ระบบ Home Isolation หรือการแยกกักตัวที่บ้านในผู้ที่ติดเชื้อโควิด-19 แต่ไปใช้โรงพยาบาลในเครือข่ายของชมรมแพทย์ชนบท ซึ่งเปิดเผยว่า หนึ่งในโรงพยาบาลที่รับ Home Isolation มากที่สุด คือ โรงพยาบาลสิชล อำเภอสิชล สถานการณ์แพร่ระบาดมากในปี 2564 ผอ.โรงพยาบาลสิชล คุณหมออารักษ์ วงศ์วรชาติ อดีตประธานชมรมแพทย์ชนบท จับมือกับ สปสช. ซึ่งเป็นหนึ่งในเครือข่ายตระกูล "ส." เปิดให้โรงพยาบาลสิชล รับคนไข้ Home Isolation ไปเป็นหมื่นๆ คน ท่านผู้ชมรู้ไหม รับค่าดูแลคนไข้ Home Isolation ราคา 1,000 บาทต่อคน เงินทองมหาศาล เรื่องมาแดงตอนคนในกรุงเทพฯ อยู่ในโครงการ Home Isolation ออกมาโวยวายว่า โรงพยาบาลสิชล อยู่ไกลจากกรุงเทพฯ ไป 700-800 กิโลเมตร เขาอยู่บ้านอาการหนัก จะไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลสิชล ก็ไม่ได้ จะให้เขาทำอย่างไร


แต่ในที่สุดแล้ว โรงพยาบาลสิชล ในความดูแลของชมรมแพทย์ชนบท ก็รับงบประมาณดูแลคนไข้ Home Isolation กินกันพุงกางเลย

กลับมาเรื่องโยกย้ายหมอสุภัทร หมอสุภัทร อ้างว่าตัวเองอยู่ในโรงพยาบาลจะนะ มาตั้งแต่ปี 2542 ปัจจุบันก็ 28 ปี อีก 7 ปีจะเกษียณ คือปีนี้อายุ 53


คือ คุณหมอสุภัทร จะยอมตายอยู่ที่โรงพยาบาลจะนะ โดยคุณหมอสุภัทร ลืมไปว่า จะเป็นชมรมอะไรก็ตาม คุณคือข้าราชการกระทรวงสาธารณสุข แล้วเรื่องนี้ที่น่าตลกที่สุด รู้ไหมว่าอะไร ? น่าตลกที่สุดก็คือ คนไปเข้าใจว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องการล้างแค้นกันระหว่าง นายอนุทิน ชาญวีรกูล ที่สนับสนุนกัญชา แล้วนายแพทย์สุภัทร และชมรมแพทย์ชนบท ต่อต้านกัญชา ก็หาว่าการเมืองกลั่นแกล้ง


แต่ได้มีการคุยกับปลัดกระทรวงฯ ที่แท้จริง ปลัดกระทรวงฯ ท่านส่ายหน้า ท่านบอกว่า คุณสนธิ เรื่องนี้ไม่มีการเมือง เพราะเป็นเรื่องท้องถิ่น ถ้าผมจะย้ายแพทย์สักคนในจังหวัดสงขลา จากโรงพยาบาลหนึ่ง ไปอีกโรงพยาบาลหนึ่ง แล้วแพทย์คนนี้อยู่โรงพยาบาลจะนะ มาตั้งเกือบ 30 ปี ถึงเวลาแล้วต้องไปดูอีกโรงพยาบาลหนึ่ง ถ้าผมทำไม่ได้ ผมปกครองหมอในกระทรวงสาธารณสุขไม่ได้ คุณหมอสุภัทร ฟังแล้วเข้าใจหรือเปล่า และคนที่ช่วย NGO ทั้งหลาย ที่เข้ามาเชียร์ ตลอดจนท่านผู้ว่าฯ สงขลา ซึ่งท่านเผือกเหลือเกิน เข้ามาขอให้ย้ายกลับไป ท่านอยู่กระทรวงมหาดไทย ท่านมายุ่งอะไรกับเรื่องกระทรวงสาธารณสุข เกรงอกเกรงใจข้าราชการและปลัดกระทรวงสาธารณสุขบ้าง ท่านอย่ายุ่งมากนักได้ไหม

เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้าปลัดกระทรวงสาธารณสุขบอกว่า นี่เป็นเรื่องภายใน เรื่องท้องถิ่น เรื่องของการที่ผมต้องปกครองหมอ แล้วถ้าพูดกันดีๆ ไม่ได้ ผมก็ต้องย้าย ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการเมืองเลย เราเข้าใจตรงกันแล้วนะ ท่านผู้ชมครับ

ท่านผู้ชมครับ รายการวันนี้มีอยู่เพียงแค่นี้ อาทิตย์หน้าก็จะมีทีเด็ดเพิ่มมาอีก อย่าให้บอกก่อนล่วงหน้าเลยว่าทีเด็ดคืออะไร แต่ทุกๆ อาทิตย์มีเรื่องราวที่สนุกสนาน ดีเด่น สุดยอด เพราะว่าผมไม่ได้ทำเฉพาะเรื่องอาชญากรรม ตำรวจ เหมือนกับคุณชูวิทย์ หรือคุณอัจฉริยะ แต่ผมสัมผัสทุกเรื่องที่ไม่ชอบมาพากล ทั้งในประเทศไทยและในต่างประเทศ เราค่อยมาเจอกันอาทิตย์หน้า สวัสดีครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น