xs
xsm
sm
md
lg

เจาะเกมสกัด “ภูมิใจไทย” อนาคตมืดของ “ชลน่าน” “ก้าวไกล” ได้ทีขี่ “เพื่อไทย”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:


  นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย | นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย | นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล

ป้อมพระสุเมรุ


ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - อยู่ในช่วง “ทอปฟอร์ม-เนื้อหอม” สุดๆ รายของ “ค่ายเซราะกราว” พรรคภูมิใจไทย ที่ตามหน้าเสื่อวันนี้ไม่หวังแค่เป็นพรรคร่วมรัฐบาล แต่อัปไซส์เตรียมแต่งตัวเป็น “พรรคแกนนำรัฐบาล” อย่างเต็มตัวแล้ว

โดยเฉพาะหลังอีเวนท์โชว์ความอหังการ์ผ่านงานครบรอบวันคล้ายวันเกิด 64 ปี “ครูใหญ่เซราะกราว” เนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรฟุตบอล บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่จัดใหญ่เป็นงานช้างไปเมื่อวันที่ 4 ตุลาคมที่ผ่านมา

ไม่เพียงแต่รัฐมนตรี และ ส.ส.ในสังกัดพรรคภูมิใจไทย บวกกับ ส.ส.ต่างสังกัดกว่า 30 ชีวิตเท่านั้น ยังมีคำประกาศของ “ครูใหญ่เน” ถึงเป้าหมาย 120 ที่ันั่ง และการสนับสนุนให้ “ศิษย์เอก” อนุทิน ชาญวีรกูล ชิงชัยเป็นนายกรัฐมนตรี ในการเลือกตั้งครั้งหน้า

ถือเป็นการส่งสัญญาณ “ตีธงรบ” ที่ทำเอาพรรคอื่นย่อมต้องประหวั่นพรั่นพรึง ด้วยรู้ถึงศักยภาพยามนี้ของพรรคภูมิใจไทย ที่ต้องยอมรับว่า มีความพร้อมมากที่สุด

เมื่อ “ค่ายเซราะกราว” รุกคืบ ก็ทำเอา “ค่ายดูไบ” พรรคเพื่อไทย นั่งไม่ติด ด้วยรู้ว่ายิ่งพรรคคู่แข่งโตเท่าไร ก็ยิ่งจะเป็นก้าวขวางคอเป้าหมายแลนด์สไลด์มากเท่านั้น

เพราะพื้นที่แย่งชิงของ “ภูมิใจไทย-เพื่อไทย” หลักๆ อยู่ในพื้นที่อีสาน แหล่งทำมาหากินของพรรคเพื่อไทย ที่หากไม่แลนด์สไลด์ในแดนที่ราบสูง ก็หมดสิทธิฝั่นใหญ่แลนด์สไลด์ทั้งแผ่นดินอย่างแน่นอน

หรือไม่ต้องอะไร แค่บรรดา “งูเห่า” ที่โผล่ไปร่วมงานเบริธเดย์ “เนวิน” กว่า 30 ชีวิตนั้น ก็มีผู้แทนฯที่ยังสวมเสื้อเพื่อไทยอยู่ไม่ต่ำกว่า 10 คน ทั้ง วุฒิชัย กิตติธเนศวร ส.ส.นครนายก, สุชาติ ภิญโญ ส.ส.นครราชสีมา, นพ ชีวานันท์ ส.ส.พระนครศรีอยุธยา, นิยม ช่างพินิจ ส.ส.พิษณุโลก, จาตุรงค์ เพ็งนรพัฒน์ ส.ส.ศรีสะเกษ, ธีระ ไตรสรณกุล ส.ส.ศรีสะเกษ, ผ่องศรี แซ่จึง ส.ส.ศรีสะเกษ, จักรพรรดิ ไชยสาส์น ส.ส.อุดรธานี และ ประเดิมชัย บุญช่วยเหลือ ส.ส.กทม รวมทั้ง “ส.ส.ปากกล้าเมืองกรุง” อีกราย ที่ทำทีไปดูการแข่งมอโตทูบังหน้าอีกราย

ว่ากันว่า บรรดา ส.ส.เพื่อไทย ที่ไปร่วมงานวันนั้นถือเป็นกลุ่มที่ตัดสินใจแบบ 100% ยังไม่รวมอีกหลายรายที่พร้อมไปแต่ยัง “โก่งค่าตัว” อยู่

เมื่อถูก “ซุ้มเนวิน” รุกหนักกินตัวไปขนาดนี้ “ซุ้มทักษิณ” ก็อยู่ไม่ได้ เป็นที่มาของการดันเรื่องเข้าที่ประชุมพรรคร่วมฝ่ายค้าน พิจารณาการยื่นคำร้องคุ้มครองชั่วคราวกรณีปลดล็อกกัญชาเพิ่มเติมต่อศาลปกครอง เนื่องจากเป็นการประกาศใช้กฎหมายมิชอบ และจะยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคภูมิใจไทย ที่เสนอเรื่องดังกล่าว

ทำเอา “คอการเมือง” ฮือฮาไม่น้อย ที่ “ค่ายดูไบ” ที่เจ็บช้ำจากดาบยุบพรรคมาหลายครั้ง ก่นด่าศาลรัฐธรรมนูญสารพัด เลือกยืมมือศาลรัฐธรรมนูญเพื่อเช็กบิลคู่แข่งทางการเมือง

แถมเป็น “เบอร์ใหญ่” อย่าง นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ที่เปิดหน้าเล่นด้วยตัวเอง แถลงข่าวเป็นวรรคเป็นเวรถึงสาเหตุการยื่นยุบพรรคภูมิใจไทย จากนโยบาย “กัญชาเสรี”

“สืบเนื่องมาจากการประกาศนโยบายเรื่องนโยบายกัญชาเสรี เมื่อครั้งหาเสียงเลือกตั้งในปี 2562 ที่มีการประกาศเรื่องการปลดล็อก และการปลูกในครัวเรือน ถือเป็นนโยบายที่เป็นปัญหา เข้าข่ายไม่ชอบด้วยกฎหมาย และถือว่าเป็นการใช้นโยบายพรรคเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจทางปกครอง ที่เข้าข่ายไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงเข้าข่ายพฤติกรรมที่นำไปสู่การยุบพรรค ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 92 ในประเด็นการให้ได้มาซึ่งอำนาจการปกครองประเทศโดยไม่ชอบ

เพราะมองว่า อาจไม่เกี่ยวข้องกับการออกประมวลกฎหมายยาเสพติดที่รัฐสภาให้ความเห็นชอบ จึงจะมีการยื่นเรื่องให้กับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในฐานะองค์กรที่กำกับดูแลพรรคการเมืองต่อไป ว่าเป็นการนำเสนอนโยบาย การปฏิบัตินโยบาย การโฆษณา ที่เข้าข่ายหลอกลวง เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจทางการปกครองหรือไม่ พร้อมระบุอีกว่าฝ่ายกฎหมายพรรคฝ่ายค้านกำลังพิจารณาในรายละเอียด คาดว่าวันที่ 1 พ.ย.นี้ จะมีความชัดเจนอีกครั้ง” หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ว่าไว้

ก่อนที่จะ “กลับลำ” ในเวลาชั่วข้ามวัน ประกาศล้มเลิกความคิดจะใช้นโยบายกัญชาเสรีเป็นเงื่อนไขยื่นคำร้องศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบ “ค่ายภูมิใจไทย”

และก็เป็น “หมอชลน่าน” อีกที่ออกมา “แก้เกี้ยว” โดยระบุว่า พรรคเพื่อไทยไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอที่จะใช้นโยบายกัญชาเสรีเป็นเงื่อนไขไปสู่การยุบพรรคภูมิใจไทย เนื่องจากยังไม่มีเหตุผลเพียงพอว่า นโยบายกัญชาเสรีของพรรคภูมิใจไทยมีเจตนาฝ่าฝืน พ.ร.บ.พรรคการเมือง

“พรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมฝ่ายค้านไม่เห็นด้วยให้มีการยุบพรรคการเมืองพร่ำเพรื่อ ซึ่งเป็นการส่งเสริมองค์กรอิสระให้ใช้อำนาจจนล้นเกินอย่างที่ผ่านมา ที่ประชุมพรรคร่วมฝ่ายค้านยังไม่มีมติเห็นชอบให้ยื่นคำร้องศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคภูมิใจไทยแต่อย่างใด” นพ.ชลน่าน ว่าในภายหลัง

งานนี้แน่นอนว่า พรรคภูมิใจไทย ต้องเรียงหน้าออกมาตอบโต้ทันที โดย “บังซุป” ศุภชัย ใจสมุทร นายทะเบียน และ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคภูมิใจไทย ยืนยันว่า นโยบายกัญชาเสรีของพรรคทำอย่างถูกต้อง เพราะได้ยื่นให้ กกต.ตรวจสอบ และเห็นชอบ ทำให้ต่อมานโยบายนี้ถูกกำหนดเป็นนโยบายเร่งด่วนที่ 4 ของรัฐบาลที่ได้แถลงต่อรัฐสภา จึงไม่กังวลว่านโยบายนี้จะนำไปสู่การที่พรรคจะต้องถูกยุบ

“ตอนที่พรรคไทยรักษาชาติถูกยุบ พรรคภูมิใจไทยก็เห็นใจ เพราะมองว่าเป็นกระบวนการเล่นงานทางการเมือง ที่บั่นทอนความเข้มแข็งของประชาธิปไตย แต่วันนี้พรรคเพื่อไทย กลับเลือกใช้เป็นวิธีเล่นงานพรรคภูมิใจไทยซะเอง” ศุภชัย ตอกกลับอย่างแสบสันต์

งานนี้เรียกว่าเข้าทาง “ค่ายสีส้ม” พรรคก้าวไกล ที่แม้จะมี สุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ รองหัวหน้าพรรค และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เป็นตัวแทนเข้าร่วมประชุมพรรคร่วมฝ่ายค้านในวันนั้น แต่พลันที่ นพ.ชลน่าน ลั่นออกมาถึงเรื่องการยื่นยุบพรรคภูมิใจไทย

ทำให้ “เบอร์ใหญ่” ในพรรคก้าวไกลหลายคนออกโรงมาคัดค้านในทำนอง “เล่นเป็น” ทันที โดย รังสิมันต์ โรม โฆษกพรรคก้าวไกล ระบุว่า จุดยืนของพรรคก้าวไกลไม่เห็นด้วยกับวิธีการดังกล่าว เพราะการยื่นยุบพรรคการเมืองเป็นเครื่องมือฝ่ายอำนาจนิยมที่ใช้สกัดกั้นพรรคการเมืองและบ่อนทำลายประชาธิปไตยมาโดยตลอด ไม่คิดว่าการยุบพรรคการเมืองจะสามารถแก้การเมืองได้

“แม้ว่านโยบายของพรรคภูมิใจไทยที่ประกาศออกไปเรื่องกัญชาเสรีจะเป็นนโยบายที่ไม่รอบคอบ ส่งผลให้ประชาชนและเยาวชนเข้าถึงง่ายอาจไม่ปลอดภัยต่อเด็กหรือคนบางกลุ่มที่ใช้ แต่คำพิพากษาที่ดีที่สุดจะต้องมาจากประชาชน ไม่ใช่มาจากตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ” นายรังสิมันต์ ว่าไว้

ขณะที่ “เจ๊เจี๊ยบ นครปฐม” อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล โพสต์เฟซบุ๊กสั้นๆได้ใจความว่า “ควรจะเสนอยุบศาล ไม่ใช่เสนอให้ศาล...มายุบพรรค”

เชื่อว่า เสียงคัดค้านจากพรรคก้าวไกล น่าจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้พรรคเพื่อไทยจำใจต้องถอย และ “หมอชลน่าน” ต้องออกมา “กลืนน้ำลายตัวเอง” กลางอากาศ โทษฐาน “หน้ามืด” ไม่ดูหน้าดูหลังให้ดีเสียก่อน

เป็นอีกครั้งที่พรรคก้าวไกลเก็บเกี่ยวคะแนนจากความผิดพลาดด้วยตัวเองของพรรคเพื่อไทย เหมือนหลายๆ ครั้งที่ผ่านมา จนไม่เชื่อว่า พรรคเพื่อไทย ที่ถือเป็นพรรคการเมืองใหญ่ที่สุด ผู้อาวุโสเต็มพรรค กลับพลาดท่าเสียทีให้กับ “ละอ่อนการเมือง” อย่างพรรคก้าวไกล จนถูก “ขี่คอ” มาตลอด

งานนี้ “แพะ” เป็นใครไปไม่ได้ นอกเสียจาก “หมอชลน่าน” ที่คงเป็นไปตาม “เสี่ยหนู-” อนุทิน ชาญวีรกุล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ว่าไว้ว่า “เป็นนักการเมืองด้วยกัน อย่าจ้องทำลายกันเลย การเข้าสภา ขอให้เข้ามาจากการแข่งขันด้วยผลงาน แข่งกันทำความดีให้ประชาชน ไม่ใช่มามุ่งทำลายกันเองแบบนี้ ขุดหาเรื่องเล็ก เรื่องน้อยมาจ้องทำลายกัน ท่านหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ท่านยังไม่มีภาวะความเป็นผู้นำ ท่านเป็นหัวหน้าพรรค ท่านต้องทำตัวเป็นหัวหน้าพรรค”

เจาะจงกระทุ้งไปที่ตัว “หัวหน้าพรรคเพื่อไทย” ที่กำลังกลายเป็น “จุดอ่อน” ในหมากแลนด์สไลด์ของ “นายใหญ่” ชัดขึ้นไปทุกที

อย่างกรณีความพยายาม “สกัดขา” พรรคภูมิใจไทย ที่เคยตอบโต้ด้วยการขนทัพใหญ่นำโดย “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ลงพื้นที่ จ.ศรีสะเกษ ที่โดนดูด ส.ส. และโดนพรรคภูมิใจไทยเจาะจนพรุน เปิดปฏิบัติการ “ไล่หนู..ตีงูเห่า” บวกกับเสียงคำรามข้ามประเทศของ “นายห้างดูไบ” ทักษิณ ชินวัตร ที่พยายาม “ด้อยค่า” ทั้ง “เสี่ยหนู” และพรรคภูมิใจไทยมาโดยตลอด

ทว่า พอมาถึงงานวันคล้ายวันเกิด “ครูใหญ่เน” ที่มี ส.ส.เพื่อไทย ไปร่วมเป่าเค้กเบิร์ธเดย์หลายคน ไม่ต่างจากถูก “ลูบคม” อย่างแรง “หมอชลน่าน” กลับเสียงอ่อยว่า เป็นการไปร่วมงานในฐานะคนรู้จักเท่านั้น ไม่เอาลบ่อเอาเถิดไล่เช็กบิล “งูเห่า” อย่างที่คาด

หากไม่ติดเงื่อนไขที่ว่า หัวหน้าพรรคจำเป็นต้องเป็น ส.ส.เพื่อดำรงตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ป่านนี้คงมีรายการเปลี่ยนตัวอีกรอบไปแล้ว

และก็เชื่อกันว่า ในการเข้าสู่สนามเลือกตั้งครั้งหน้า หัวหน้าพรรคเพื่อไทย อาจจะไม่ได้ชื่อ “หมอชลน่าน” หลังพ้นข้อจำกัดเรื่องผู้นำฝ่ายค้านฯ หากมีการยุบสภาก่อน และมี “บิ๊กเนม” คนใหม่มานำทัพลงสนามเลือกตั้งแทน

เพราะแม้ “หมอชลน่าน” จะเป็นที่ยอมรับในสภาฯ กับบทบาท “ผู้แทนฯ ฝีปากกล้า” ที่มีความเชี่ยวชาญชำนาญงานนิติบัญญัติ แต่หลังจากขึ้นตำแหน่ง “แม่ทัพเพื่อไทย” กลับไม่ได้ยกระดับตัวเองตามไปด้วย ยังคงติดกับการเป็น ส.ส. ที่ลงไปขลุกกับเรื่องขี้หมูขี้หมา ไม่สมฐานะผู้นำฝ่ายค้านฯ ที่ว่ากันตามจริงอยู่ในระนาบเดียวกับนายกรัฐมนตรีด้วยซ้ำ

สำคัญที่หัวหน้าพรรคเพื่อไทยควรมีชื่อติดเป็น 1 ใน 3 แคนดิเดตนายกฯ ของพรรค ร่วมกับ 2 ว่าที่แคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย อย่าง “อุ๊งอิ๊ง” และ “เสี่ยนิด” เศรษฐา ทวีสิน บิ๊กแสนสิริ ซึ่งดูท่า “หมอชลน่าน” คงไม่ใช่ตัวเลือกที่ดี ที่จะเป็นตัวช่วยเรียกแต้มให้กับพรรค

ความอ่อนแรงของพรรคเพื่อไทยในยุค “หัวหน้าชลน่าน” ก็สบช่องให้ “เพื่อนบ้าน” อย่างพรรคก้าวไกล ที่มีฐานคะแนนเสียง “บ่อเดียว” กับพรรคเพื่อไทย ฉวยจังหวะขึ้น “ขี่คอ” ในยามพลาดพลั้งบ่อยครั้ง

ที่สำคัญ พรรคก้าวไกล ยังอยู่ในจุดที่ “สุดโต่ง” ได้มากกว่า เห็นได้ชัดจากการประกาศแพ็คเกจนโยบายชุดแรก เมื่อวันที่ 15 ต.ค.65 ภายใต้ชื่อนโยบาย “ไทยก้าวหน้า” ที่มี 9 ประเด็นคือ การเมืองไทยก้าวหน้า, ราชการไทยก้าวหน้า, ทุกจังหวัดไทยก้าวหน้า, เศรษฐกิจไทยก้าวหน้า, เกษตรไทยก้าวหน้า, สวัสดิการไทยก้าวหน้า, การศึกษาไทยก้าวหน้า, สุขภาพไทยก้าวหน้า และสิ่งแวดล้อมไทยก้าวหน้า

ประเด็นที่ถูกหลายฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์หนีไม่พ้นนโยบายสำคัญแก้ไขกฎหมายที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน ที่หมายรวมไปถึง “ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112” ที่ว่าด้วยความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

หากพักเรื่องความเหมาะสมไว้ แล้วพิเคราะห์ในแง่หมากการเมือง ก็ต้องมองว่า พรรคก้าวไกล ชิงจังหวะปล่อย “นโยบายทะลุฟ้า” ยอมทิ้งเสียงของ “ฝ่ายขวา” หรือ “ฝ่ายอนุรักษ์นิยม” แล้วมาทุ่มให้กับการเก็บแต้ม “ฝ่ายซ้าย” ไม่ว่าจะเป็นแนวร่วม “ม็อบราษฎร” ที่วันนี้อยู่วัย “นิวโหวตเตอร์” รวมทั้ง “คนเสื้อแดง” โดยเฉพาะ “แดงซ้าย-แดงล้มเจ้า” ที่ผิดหวังกับจุดยืนของพรรคเพื่อไทย

ก่อนหน้านี้เคยมีบทสัมภาษณ์ “อุ๊งอิ๊ง” เกี่ยวกับการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ออกมา ซึ่ง “ลูกนายใหญ่” ก็ตอบแบบ “เสียไม่ได้” ว่า “จริง ๆ ไม่ต้องมาตรา 112 ทุก ๆ เรื่องที่ถก ๆ กันมันต้องผ่านกระบวนการของสภา ให้เป็นหลักนั้นดีกว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต้องอยู่ในหลักที่ต้องผ่านกระบวนการ ถ้าคุยกันแล้วจะต้องแก้ไขอย่างไร หรือต้องทำอย่างไรก็ต้องผ่านระบบสภา ต้องคุยกันว่าตัวบทกฎหมายมีปัญหาหรือเปล่า เพื่อจะตกลงกันว่าจะเอาอย่างไร”

ในมุมของ “ฝ่ายอนุรักษ์นิยม” ต้องบอกว่า คำตอบของ “อุ๊งอิ๊ง” ในฐานะว่าที่แคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย “มีปัญหา” ในระดับหนึ่งที่ไม่ปกป้องประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และยอมรับกลายๆว่า มีปัญหาในการบังคับใช้

ซึ่งอาจถูกตีความไปถึงจุดยืนพรรคเพื่อไทย ที่ไม่ปกป้อง “สภาบันเบื้องสูง” ก็เป็นได้

กลับกัน ในคำสัมภาษณ์เดียวกันในมุม “ซ้ายตกขอบ” มองว่า ไม่ชัดเจนเพียงพอ ซึ่งพรรคก้าวไกลก็จับจุดตรงนี้ได้ จึงได้เห็น “เจี๊ยบ-อมรัตน์” หัวหมู่ทะลวงฟันของพรรค ออกมาแชร์บทสัมภาษณ์ดังกล่าว พร้อมเหน็บแหนมว่า “ปัญหาของมาตรา 112 ประจักษ์ชัดแล้วทั้งต่อสังคมไทย และสากลโลกเกินกว่าหัวหน้าครอบครัวใหญ่จะพูดถึงมันเพียงแค่นี้”

เมื่อแน่ชัดแล้วว่า “ค่ายดูไบ” ไม่กล้าแตะต้อง “ประเด็นทะลุฟ้า” พรรคก้าวไกล ที่รู้ว่า เลือกตั้งรอบนี้ “กระแส” อาจไม่มาตามนัดเหมือนสมัยมี “เสี่ยเอก” ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นำทัพ

ก็เลยฉวยเอามาเป็นนโยบายพรรค เพื่อกวาดต้อน “สายล้ม” ที่ระอากับพรรคเพื่อไทย มาเป็นโหวตเตอร์ของพรรค

แม้จะเป็น “หมากเกมเสี่ยง” แต่ “ค่ายก้าวไกล” ก็ยอมแลก เพื่อชิงธงเหนือกว่า “ค่ายเพื่อไทย” ในมุมนี้.


กำลังโหลดความคิดเห็น