xs
xsm
sm
md
lg

“ปราปต์ปฎล” ร้องไห้จะไม่ปล่อยมือภรรยา โอดมีแต่กระปู๋ หลังคนกล่าวหา “จิ๊กกี๋” หอบเงิน 300 ล้านมาใช้กับตน (ชมคลิป)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



“ปราบต์ ปราปต์ปฎล” ยันบริสุทธิ์ ไม่เกี่ยวข้อง Forex-3D เล่าจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์กับ “จิ๊กกี๋ ชนกวนันท์” และการเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับรถหรู ในคดี โอดมีแต่ จ...หลังคนกล่าวหา จิ๊กกี๋ หอบเงิน 200-300 ล้าน จาก Forex -3D มาใช้ร่วมกับตน ร้องไห้จะไม่ปล่อยมือภรรยาจนกว่าจะได้กลับมาใช้ชีวิตคู่ด้วยกันอีก หาเวลาไปเยี่ยมทุกวัน นอนไม่หลับถ้าไม่เห็นหน้า



จากกรณีที่นักแสดงดัง “ปราปต์ ปราปต์ปฎล สุวรรณบาง”ได้เข้าพบดีเอสไอ ในคดีฟอกเงิน พร้อมกับปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ล่าสุดวันนี้ (10 ต.ค 65 ) ปราปต์ได้ตั้งโต๊ะแถลงข่าวชี้แจง พร้อมด้วย “กนกรัตน์ นิ่มสมุทร บูธ” ที่ปรึกษาทางกฎหมาย “ศิริชัย ปิยะพิเชษฐกุล”ทนายความ และ “วัชรี วรรณศรี”รุ่นพี่ที่เคารพ โดยเล่าอย่างละเอียดยิบว่า….

ปราปต์ปฎล : “คราวก่อนที่ผมตอบสั้นๆ เพราะเป็นความต้องการของดีเอสไอที่อยากให้ผมพูดแค่นั้น เพราะถ้าผมพูดมากกว่านั้นอันตรายสำหรับพวกเขา ผมรับปากเขาตรงนั้นว่าจะพูดแค่นั้น วันนี้ผมมาเพื่อเคลียร์ตัวเอง เพราะว่าตอนนี้ผมไปไหนมาไหน ผมตกเป็นจำเลยสังคมไปแล้ว ผมถูกเสนอว่าผมเกี่ยวข้องกับคดี forex-3d ไม่ใช้แค่เกี่ยวข้อง ผมถูกตั้งข้อกล่าวหา และถูกพิพากษาบนโลกโซเชียล บนโลกขอสื่อ

มีหลายๆ รายการ ไม่ว่าเขาจะได้ข้อมูลจากตรงไหนก็แล้วแต่ที่ได้ไป แล้วนำเสนอว่าผมเป็นคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการโกงผู้คนมูลค่า 2,500 ล้านบาท ด้วยคดี forex-3d ผมกลายเป็นผู้ฉ้อโกงไปเฉยเลย ทั้งที่ผมไม่รู้จักธุรกิจนี้เลย ไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้น ที่ผมมาพูดตรงนี้ ผมพร้อมตอบทุกคำถามด้วยข้อเท็จจิง มีเอกสารที่จะยืนยัน หรือแหล่งที่มาที่ไปของเอกสารนั้นอย่างถูกต้อง ที่ผ่านมาผมโดนใส่ร้ายป้ายสี ผมโดนพูดจาไม่ดี”

แม้จะทำงานเป็นนักแสดงมา 20 กว่าปี แต่ตนไม่มีปัญญาซื้อรถสปอร์ต หรูๆ เกิดมาในชีวิตไม่เคยมีเงินในบัญชี 3-4 ล้าน
ปราปต์ปฎล : “รายได้จากงานแสดงของผม 20 กว่าปี ผมไม่มีปัญญาไปขับรถสปอร์ตหรูๆ แบบนั้น ให้ทำงานไปจนตายผมก็ไม่มีทาง เงินในบัญชีผมไม่เคยหมุนเกิน 3 ล้านครับเกิดมาในชีวิตผมไม่เคยมีเงินในบัญชีเกิน 3-4 ล้าน คนที่กล่าวถึงผม ว่าร้ายถึงผม เขามีหลักฐานข้อเท็จจริงมาให้ดูไหม

ผมมารู้จักก็วันที่คุณอภิรักษ์ โกฎธิ โดยบังเอิญว่า น้องกี๋ ที่เป็นอดีภรรยาของอภิรักษ์ ซึ่งปัจจุบันเขาเป็นภรรยาของผม โดยที่แม่ของลูกผม ที่บ้านเขาก็รู้ ลูกสาวผมก็รู้ ผมสง่างามในครอบครัวผม

ข่าวทำให้มีผลกระทบกับครอบครัวมากๆ
ปราปต์ปฎล : “พ่อผมนอนไม่หลับเพราะเครียดเรื่องผม ลูกสาวผมไปทำงาน ลูกชายผมไปเรียน ทุกคนมองว่าพ่อเป็นคนฉ้อโกง ทุกคนมีความแคลงใจ ผมขอยืนยันว่าความจริงที่ผมพูดมันมีข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ได้ทั้งหมด ผมถูกตั้งข้อหาว่าฟอกเงิน มูลฐานของคดีนี้คือการฉ้อโกง มูลค่า 2,500 ล้านบาท ผมถามเจ้าหน้าที่ว่าผมไปมีส่วนอะไรกับตรงนั้น เพราะว่าผมไม่รู้จักเลย forex-3d

ผมขอแสดงความเสียใจกับพี่น้องที่เสียหายจากการตกเป็นเหยื่อ ผมรู้สึกว่าคนผิดต้องได้รับโทษ คนที่หลอกลวงพวกคุณต้องรับโทษ แต่สำหรับผมคิดอยู่เสมอว่าโอกาสดีๆ มันไม่วิ่งมาหาเรา โอกาสดีๆ ที่จะรวยในพริบตา ผมไม่เอาความโลภพวกนี้เลย ผมเลยไม่รู้เรื่อง forex-3D

เล่าจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์กับ “จิ๊กกี๋ ชนกวนันท์” และการเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับรถหรู ในคดี forex-3D
“น้องกี๋เป็นอดีตคนที่ผมเคยคบ นั่นก็คือน้องกู๋กี๋ ภคมน ที่ถูกดำเนินคดีอยู่ในเรือนจำตอนนี้ เขาคือภรรยาของผม ผมยังเชื่อมั่นว่าเขาเป็นคนที่บริสุทธิ์ แต่ผมยืนยันในส่วนอื่นไม่ได้ ผมยืดมั่นในความรักของผมที่มีต่อตัวเขา ไม่สำคัญเท่ากับตัวเขาต้องออกมาพิสูจน์ด้วยตัวของเขาเองผมพิสูจน์แทนเขาไม่ได้ เขาเลยต้องไปอยู่ข้างใน

ผมกับน้องกี๋ เคยคบกันอยู่ 1-2 ปี แล้วก็แยกย้ายกัน มาช่วงประมาณกลางปี 2562 ถึงได้กลับเข้ามาในชีวิตผม แล้วก็ช่วงปลาย ต.ค. ไปเจอน้องเขาในงานศพคุณพ่อของน้อง ผมก็ถามหาสามีเขา เขาบอกว่าเลิกกันนานแล้ว

จนผมไปเจอรูปเขาถ่ายที่มี ใบเตย (สุธีวัน กุญชร) ดีเจแมน (พัฒนพล มินทะขิน) และก็มีน้อง และผู้ชายอีกคนอยู่ด้วย และช่วงนั้นก็มีข่าวคดี forex-3D พอดี ผมก็ถามว่านี่คืออะไร คดี forex-3D คืออะไร แล้วน้องอยู่ตรงนี้คืออะไร เขาบอกว่าผู้ชายอีกคนก็คืออดีตสามีเขา เป็นเจ้าของ forex-3D ผมก็ถามว่าคุณเกี่ยวข้องอะไรด้วยรึเปล่า เขาบอกว่าไม่เกี่ยวข้อง มันเป็นธุรกิจของสามี หลังจากนั้นผมกับเขาก็มีการติดต่อกันมาเรื่อย แล้วเขาก็ขับรถส่วนตัวของเขาคันนี้ให้เห็น ในระหว่างนี้วันที่ผมถ่ายละคร เขาก็มีขับรถไปหาผมที่กองถ่าย คือไปแบบเปิดเผย เป็นรถส่วนตัวเขา

ในปี 2563 “จิ๊กกี๋ ชนกวนันท์” มาขอให้ตนช่วยหาที่จอดรถสปอร์ตให้ เพราะมีน้ำท่วมใหญ่
“ประมาณเม.ย.ปี 63 ที่มีน้ำท่วมใหญ่ เขาถามว่ามีที่จอดรถที่ไหนไหม เพราะว่ารถเขาเป็นรถสปอร์ต ผมไปถ่ายละครแถวนั้นอยู่แล้ว ผมก็เลยบอกว่านั้นเอาไปฝากที่บ้านเพื่อนผมที่ จ.ราชบุรี ครั้งนั้นเขาขับไปเองก็จบ พอน้ำยุบเขาก็ไปเอารถมาใช้ปกติ

และอีกครั้งที่มันเป็นเรื่องก็คือช่วงเดือน ก.ค. น้องเขาไส้ติ่งแตก มีเพื่อนที่เป็นระเทยคนนึง พาน้องไปส่งโรงพยาบาล น้องก็รักษาตัวอยู่ที่นั่น เขาก็ส่งข่าวมาบอกให้ผมมารับช่วงดูแลต่อ ณ ช่วงนั้น ผมกับน้องกี๋เราไม่ได้อยู่กินกัน ยังต่างคนต่างอยู่ เพียงแต่เรากลับมาเจอกัน พอผมไปอยู่ดูแลประมาณ 2-3 วัน น้องได้รับข้อความจากกะเทยคนนี้ว่า ห้องนั้น สมบัติทุกอย่างเป็นของเขา เขางัดห้อง ไม่ว่าจะของแบรนด์เนม เงินสดที่อยู่ในห้องนั้น เขาเอาหมด

เขาบอกว่าเขาคิดเป็นผู้เสียหาย จาก forex-3D ผัวมึงโกงกู กูจะเอาคืนจากมึง ผมมองว่ามาตั้งศาลเตี้ยแบบนี้มันไม่ถูก น้องบอกผมว่านอกจากทรัพย์สินในห้องนั้นแล้วยังมีกุญแจรถแอสตันมาร์ตินอยู่ในห้องนั้นด้วย น้องมองว่ารถของตัวเองไม่ปลอดภัย ให้ผมเอารถหนีจากคนที่เข้าไปงัดห้องเขาออกมาได้ไหม ผมก็บอกว่านั้นก็เอาไปไว้ที่เดิมนะ

ผมก็เลยขับรถไปถ่ายละคร ถ่ายละครเสร็จก็ขับรถคันนี้ไปฝากที่บ้านเพื่อนผม เพื่อนผมก็ขับรถไปส่งผมแค่นั้น ผมไปเกี่ยวข้องแค่นั้นเอง ผมไปขับรถคันนั้น วันนั้นแค่นั้นเอง แล้วผมถูกแจ้งคดี”

ได้พา “จิ๊กกี๋ ชนกวนันท์” มาอยู่ที่คอนโดเพราะอีกฝ่ายไม่มีที่ไป
กนกรัตน์ : “ดิฉันอยู่ในเหตุการณ์กับน้องชนกวนันท์ตลอด ประเด็นมันเริ่มมาจากก่อนที่จะเกิดเรื่อง น้องเขาแยกทางกับนายอภิรักษ์ แล้วอยู่ในขั้นตอนการหย่า ซึ่งดิฉันเป็นคนทำคดีเรื่องการหย่า ตอนนั้นเราไม่รู้ว่าดีเอสไอ เรามารู้เรื่องนี้จากตำรวจ เพราะว่าทรัพย์ของกลางที่เราแจ้งว่าหายไปเพื่อนน้องเป็นคนบอกเองว่าอยู่ที่ดีเอสไอ ดีเอสไอถ้าจะเข้าไปยึดด้วยฐานของคดี คืออำนาจมีอยู่แล้ว ก็ต้องเข้าไปด้วยชอบของกฎหมาย คุณไปคุณไม่ได้แต่งชุดดีเอสไอไป

คุณไปกับใครก็ไม่รู้ แล้วคุณก็ไปงัดห้องเขา เอาของออกไป แล้วคุณไม่ได้ทำการบันทึกว่ายึดอะไรเลย โดยปกติคุณก็ต้องทำบันทึกว่าคุณยึดอะไรมาบ้าง เพื่อความโปร่งใส แต่เคสนี้ไม่มีเลย จนกระทั้งวันที่ 15 เรารู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะว่าตำรวจแจ้งเรา เราก็แจ้งว่ากุญแจรถอีกดอกอยู่ที่ดีเอสไอนะ ปรากฎว่า 16 ก.ค.63 ดีเอสไอไปยึดรถ”

ปราบต์ปฎล : “หลังจากนั้นเขาบุกมาที่ห้องผมเกือบ 20 คน น้องนอนแผลปริอยู่ พอออกจากโรงพยาบาลไปแจ้งความเสร็จ ผมก็พาน้องมาอยู่ห้องผม เพราะว่าห้องเขาเข้าไปได้ ผมก็พอมาอยู่ที่ห้องผมก่อน เพราะเขาไม่มีที่ไป ตอนที่เขามาห้องผมไม่มีหมายด้วย เขาพูดว่าเขามีอำนาจ ไม่ต้องมีหมายก็ได้ ทำอะไรก็ได้ ผมก็บอกเลยห้องนี้ค้นเลย น้องมาพร้อมกับกระเป๋าถือ และชุดที่ใส่มา ในห้องนี้ไม่มีของใช้ผู้หญิง เพราะผมอยู่คนเดียว ถ้าเจออะไรที่มันจะเป็นทรัพย์สมบัติที่เป็นของผู้หญิง ให้คิดได้เลยว่าเป็นของน้อง และผมร่วมกันปกปิดอะไรก็แล้วแต่

ณ วันนี้ผมถามหน่อยว่า ที่คุณไปยึดรถ แล้วบอกว่าผมเอารถไปซุกซ่อน ทำโน่นนี่ ผมถามหน่อยว่าตอนที่คุณไปคุณเห็นรถเลยไหม เขาถ่ายรูปจากหน้าบ้าน มองเข้าไปในบ้านก็เห็นรถคันนั้นจอดคู่กับรถเพื่อนผมในโรงจอดรถ ผ้าก็ไม่ได้คลุม ปกปิดตรงไหน ผมก็ถามเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ว่าน้องถูกดำเนินคดีอะไรหรือยัง ในความรู้สึกของผม น้องเขาบริสุทธิ์ เขาไม่ได้เกี่ยวข้อง และรถที่ใช้ก็เป็นรถส่วนตัวของเขา ถ้าน้องถูกดำเนินคดี ก็เอาเลย น้องอยู่ตรงนี้แล้ว คือน้องยังไม่ได้โดนคดีอะไร ณ เวลานั้น

กนกรัตน์ : “กุญแจที่ไปเอารถคนนั้น ก็เป็นกุญแจที่ได้จากห้องที่ไปงัด เพราะว่าพอเขาเข้าไปถึงปุ๊บเขาก็จะถามเจ้าของบ้านที่เอารถไปจอดไว้ว่า กุญแจรถอยู่ไหน เจ้าของบ้านยังไม่ทันบอกเลยว่ากุญแจอยู่ในรถ ขออธิบายเรื่องข้อกฎหมายนิด ที่ดีเอสไอ ในคดี forex-3D มีคดีอยู่ 2 คดี คือ คดีฉ้อโกงประชาชน เป็นคดีที่ 153/62 และคดีฟอกเงิน กรณีของคุณปราปต์ คือโดนคดีฟอกเงินที่ดีเอสไอ ในความผิดทางอาญา ตกเป็นผู้ต้องหาที่ 6 ในข้อเท็จจริงถ้าวันนั้นดิฉันเป็นคนขับรถคันนั้นไป ก็โดนข้อหาฟอกเงินแล้วใช่ไหม เรารู้สึกว่ากระบวนการยุติธรรมต้นน้ำ ไม่ควรมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น เพราะว่าดีเอสไอทำงานเป็นหมู่คณะ เขามีคณะพนักงานสอบสวน เพราะฉะนั้นการตรวจข้อเท็จจริง จนกระทั่งกล่าวหาใครสักหนึ่งว่ากระทำความผิดทางอาญา

เรายังสงสัยว่าคุณสงสัยอะไร ทำไมถึงโยงคุณปราปต์เข้าไปเกี่ยวข้องกับคดี forex-3D ขอพูดเรื่องหมายเรียกที่ให้เข้าไปรับทราบข้อกล่าวหา ช่วงที่สื่อมวลชนนำเสนอว่ามีดารา ป. คุณปราปต์ก็ติดต่อมาถามว่าใช่ไหม จนกระทั่งวันที่ 4 ประมาณบ่าย 2”

ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเกี่ยวข้องกับคดี forex-3D จนมีหมายเรียกจากดีเอสไอ
ปราบต์ปฎล : “ที่ทางเจ้าหน้าที่ดีเอสไอบอกว่าได้ออกหมายเรียกมา 2 ครั้งแล้ว ครั้งแรกบอกว่าติดโควิดขอเลื่อน ผมก็คิดว่าเป็นคนอื่น เพราะผมไม่เคยได้ ครั้งที่สองออกไป เขาติดต่อกลับมาแล้วบอกว่าวันที่ 5 จะเข้ามาหา นั่นยิ่งไม่ใช่เราเพราะว่าเราไม่ได้ติดต่อกลับ จนมาวันที่ 4 สื่อออกข่าวโดยใช้ชื่อเต็มของผอ.ดีเอสไอ และยืนยันว่าหมายที่เรียก คือนายปราบต์ปฎล สุวรรณบาง อันนี้ไม่ถูกต้องแล้วที่ผ่านมาผมมองว่ามันไม่ใช่ชื่อผม สุดท้ายพอเป็นแบบนี้ผมเลยโทร.ปรึกษาทนายว่าต้องเอามาให้ได้ว่าคนนั้นคือใช่ผมไหม ตอนแรกเขาบอกว่าไม่ กลายเป็นว่าผมโกหกทุกคนแล้ว ไปกองถ่ายเขาก็บอกว่าเขาเอ่ยชื่อปราปต์แล้วนะ กลายว่าผมเป็นคนโกหก ก็มันไม่มีจริงๆ จะให้พูดยังไง เพราะว่าหมายเรียกผมไม่เคยได้”

กนกรัตน์ : “พอเขาบอว่าไม่มี ดิฉันก็ขู่ไป ว่าจะฟ้องไทยพีบีเอสนะ เพราถ้าเกิดมันไม่มี แล้วไทยพีบีเอสมาลงชื่อปราปต์ปฎล แล้วก็บอกแบบนี้ เขาถึงได้บอกว่าหมายส่งไปครับ ผมส่งไปที่ สน.ท้องที่ คือ สน.ประเวศน์ ให้สน.ประเวศน์นำหมายไปให้คุณปราปต์ แต่สน.ประเวศน์ไปเจอแล้วไม่เจออย่างไร ไม่ได้แจ้งกลับไปที่ดีเอสไอ ซึ่งมันเป็นปัญหาระหว่างการทำงานระหว่างดีเอสไอกับตำรวจท้องที่ เราไม่ได้รับหมาย แต่เราให้ความร่วมมือ ในเมื่อคุณออกหมายไปจริง แต่เราไม่ได้รับ ตอนนี้เรารู้แล้ว ณ ตอนบ่าย 2 ของวันที่ 4 ว่ามีหมายจริง ในหมายที่เขาส่งมาให้ เขาบอกว่าให้มาพบวันที่ 5 ซึ่งหมายตัวนี้เป็นการเข้าไปเอามาเอง“

2 เดือนที่มีชื่อเกี่ยวข้องกับคดี ทำชีวิตตนแทบฉิบหาย
ปราปต์ปฎล : “ขอบคุณสื่อที่โทร.ไปไม่อย่างนั้นผมคงโดนหมายจับแล้ว”

กนกรัตน์ : “เพราะเรียกมา 2 ครั้งแล้วไม่ไป เรากังวลไปหมด นี่เป็นคดีอาญา ไม่ใช่ฟอกเงิน มันเป็นตดีทางแพ่ง คดีอาญาสำหรับคนๆ นึงเป็นเรื่องหนักหนาสาหัสมาก เราเลยเข้าไปรับทราบข้อกล่าวหา เป็นที่มาว่าทำไมวันที่ 5 ตุลาคม คุณปราปต์ปฎลได้ไปรับทราบข้อกล่าวหากับดีเอสไอ”

ปราปต์ปฎล : “ก่อนหน้านั้น 2 เดือนผมหนักแทบตายเลยนะ จนชีวิตผมจะฉิบหายไปหมดแล้ว

กนกรัตน์ : “คนที่ออกหมายเรียกคุณปราปต์ปฎล คือคนเดียวกับคนที่คุณชนกวนันท์แจ้งข้อหา ซึ่งคนๆ นั้นไม่ได้อยู่ที่ดีเอสไอแล้ว แต่ยังเป็นคณะพนักงานสอบสวนอยู่ แต่คนที่ลงลายมือชื่อออกหมายเรียกคุณปราปต์ปฎล เป็นบุคคลเดียวกับที่ไปงัดห้องตามที่คุณชนกวนันท์ซัดทอด

ทุกอย่างมีเอกสารยืนยันในไทม์ไลน์หมดว่าคุณปราปต์ปฎลไม่ได้เข้าไป ไม่ว่าจะเป็นการฟอกเงิน ฉ้อโกงประชาชน คุณปราปต์ปฎลเกี่ยวเนื่องแค่ขับรถคันนั้นไปจอดไว้ที่บ้านเพื่อนที่ราชบุรี ด้วยเหตุผลว่าคุณชนกวนันท์นอนป่วยรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล

รับที่ผ่านมาตนฮึบไว้ คิดว่าความดีจะคุ้มครองตนเอง แต่คนรอบข้างบอกเรื่องแบบนี้เอาความดีช่วยอย่างเดียวไม่พอ
ศิริชัย : “เหตุการณ์จาก forex-3D ผมสนับสนุนให้จัดการนะ เพราะพวกที่กระทำความผิดผมเชื่อว่ากระทำความผิดจริง แต่คุณก็อย่าลืมว่าการจะจับคนไปดำเนินคดีต่างๆ คุณต้องดูคนรอบข้างด้วยว่าผิดหรือไม่ผิด ถ้าคนไม่ผิดแต่คุณมาจับไปแบบนี้เรียกว่าคุณจับเหวี่ยงแห แล้วมาอ้างว่าเป็นความลับในสำนวนหลักฐานทางคดีนี้เรียกว่าน้ำจิ้ม เอาเป็นว่าน้องผู้หญิงคนนี้ก็พิสูจน์ให้คุณปราปต์ปฎลเป็นผู้บริสุทธิ์ได้ แต่อย่าเพิ่งไปทำร้ายเขา อย่าเพิ่งไปลงโทษเขา

ยกตัวอย่างคดียูฟัน คดีนั้นผู้ต้องหา จำเลยหลุดมากกว่าครึ่ง มีนายแพทย์ดีๆ ต้องไปอยู่ในคุกถึง 3 ปี ผมถามว่าอย่างนี้มันเป็นขบวนการยุติธรรม ซึ่งฟอกความยุติธรรม ถูก ผิดของคนบ้านนี้เมืองนี้หรือครับ ฉะนั้นข้อสงสัยว่าทำไมคุณปราปต์ปฎลถึงถูกดำเนินคดี คุณก็ต้องไปถามกับดีเอสไอว่าทำไมถึงมาดำเนินคดีกับเขา มันไม่มีอะไรจริงๆ อย่าให้คุณปราปต์ต้องเป็นเหยื่อที่จะต้องถูกสังเวยโดยพวกอ่านข่าวแล้วไม่คิด

ปราปต์ปฎล : “หลังจากนี้ผมต้องนำหลักฐานไปยื่นต่อดีเอสไออีก 15 วัน แต่ดีเอสไอก็มีหลักฐานนี้อยู่แล้ว ชีวิตผมวิบากมาขนาดนี้แล้ว คนที่อยู่รอบตัวผม ผมไม่ได้ว่าจ้างใคร แต่ที่เขามาเพราะเขาทนเห็นผมถูกรังแกไม่ได้ การที่ผมถูกรังแก ผมฮึบนะ ผมคิดอยู่เสมอว่าความดีจะคุ้มครองผมเอง แต่ถึงวันนี้พี่ๆ เขาบอกว่าความดีไม่พอน้อง ความดีมันไม่พอที่จะมาต่อสู้กับอะไรแบบนี้ มันต้องมีคนที่เล่นกับคนที่รังแกเราเป็น ซึ่งคนเหล่านี้ทุกคนมาด้วยความเมตตาผม ทุกคนอยู่กับผมแล้วเห็นข้อเท็จจริงทางเอกสารทั้งหมดแล้วมองว่าผมถูกรังแก เขาเลยยื่นมือเข้ามาช่วย ผมไม่มีตังค์ไปจ้างใครหรอก”

กังวลใจ อยากรีบเคลียร์ตัวเองเพราะเริ่มถูกปฎิเสธงาน
ปราปต์ปฎล : “ข่าวที่นำเสนอกันออกไปและพิพากษาผมไปแล้ว วันนี้ผมจะถือว่าเริ่มต้นใหม่ ที่ผ่านมาแล้วช่างมัน ผมจะให้พี่ๆ นักข่าวทำหน้าที่เหมือนอัยการ แล้วซักฟอกผมเลยก็ได้ ผมจะตอบคลายข้อสงสัยทั้งหมด แล้วจะพิพากษาผมยังไงก็แล้วแต่ เพราะที่ผ่านมาก็พิพากษาแบบนั้นไปแล้ว แต่อาจจะกลับคำพิพากษาเพราะวันนี้ได้รู้ข้อเท็จจริงทั้งหมดแล้วก็จะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง จะได้ทำให้ผมกลับมามีงานมีการทำเหมือนเดิม นี่กำลังจะถูกปฎิเสธจากช่องว่าไม่ให้ผมเล่นละครแล้ว เขาอยากให้ผมไปเคลียร์ตัวเองให้จบก่อน

ถ้าผมยังถูกทู่ซี้ว่าจะดำเนินคดีผมด้วยข้อหาแบบนี้ต่อไป ก็ไม่รู้อีกกี่ปีที่เขาจะขึ้นสู่กระบวนการพิจารณา ผมต้องอดอยากกับการที่ไม่มีเงินเลี้ยงตัวเองด้วยอาชีพนี้อาชีพเดียว ผมไม่มีรายได้ทางอื่น เป็นนักแสดงอย่างผมไม่มีทางร่ำรวย ตรวจสอบได้เลย

ถามว่างานเราถูกแคนเซิลไปเยอะแค่ไหน ตอนนี้มีละครอยู่ 2-3 เรื่องที่เริ่มบอกกับผมมาแล้ว ที่ผ่านมาผมจะถ่ายละครสัปดาห์ละ 3-4 เรื่อง เวลานี้ละครที่กำลังจะเริ่มเปิดมาเป็นแบบนี้ กว่าละครล็อตใหม่จะมา กว่าจะเคลียร์ ผมตกงานไปเป็นปีเลยนะ ผมมีรายได้เฉลี่ยที่เป็นค่าใช้จ่ายเดือนนึงเกือบ 2 แสนบาท

โอดโดนลากเข้ามาเกี่ยวข้องกับ Forex3D เพราะเป็นสามีของ “จิ๊กกี๋ ชนกวนันท์ สีลุน"
ปราปต์ปฎล : “ผมโดนข้อนี้เพราะผมเป็นแฟนของจิ๊กกี๋แค่นั้นเอง แล้วก็ผมขับรถให้จิ๊กกี๋ไปจอดให้เพราะว่าเขาป่วย วันที่ขับรถไปวันนั้นผมยังไม่ได้ตัดสินใจรับเขาเข้ากลับเข้ามาในชีวิตผมเลยด้วยซ้ำ พูดง่ายๆ ตอนนั้นผมไปกู้ซากร่างคนที่มันกำลังจะตายกลับมา วันที่ผมดึงเขาออกมาจากความตายที่โรงพยาบาล ผู้หญิงคนนึงไส้ติ่งแตกคาท้อง ติดเชื้อในกระแสเลือดหนัก อาการโคม่า ผ่าตัดได้ 4-5 ชั่วโมงหมอบอกว่าต้องลงไปผ่าตัดอีกรอบเพราะเจอลำไส้เล็กที่อยู่ข้างในติดเชื้ออีก ต้องผ่าตัดอีก เขาบอกเลยว่าเอาตรงๆ นะจะรอดหรือไม่รอดยังไม่รู้เลย โอกาสจะรอดมันยากมากเลย”

เล่า “จิ๊กกี๋ ชนกวนันท์” ไม่มีใคร ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา ตนดูแลหมดทุกอย่าง แม้กระทั่งส่งเสียเลี้ยงดูแม่ของจิ๊กกี๋
ปราปต์ปฎล : “เขาเป็นภรรยาผมแล้ว ก่อนจะเกิดคดีอะไรก็ตามแต่ ในความที่เขาไม่มีใคร ผมก็เข้าไปช่วยเขา ในส่วนของคดีความเขาก็เคลียร์ตัวเอง ผมอยู่กับเขา ผมรู้จักเขาดีพอ เขามาอยู่กับผมเขาไม่มีรายได้ ไม่มีอะไรเลย มีแต่ตัวมา ผมต้องเลี้ยงดูเขา เขาไม่อยากนิ่งดูดาย เขาทำขนมขาย ผมหิ้วไปกองถ่ายไปขายให้ ไปเตะฟุตบอลผมก็หิ้วขนมไปขายให้ที่สนามบอล มันเป็นรายได้เสริม เพราะเขาต้องเลี้ยงแม่เขา จากคนที่มีรายได้ คนเคยมีเงินส่งเสียแม่ เขาไม่มี ผมนี่แหละต้องเป็นคนส่งเสียแม่เขาแทน ผมเป็นคนออกทุกบาททุกสตางค์ ผมมีทรัพย์สินอะไรบ้าง มีหนี้อะไรบ้าง เช็กได้เลย

ไม่เคยถามเรื่องในอดีตของ “จิ๊กกี๋ ชนกวนันท์”
ปราปต์ปฎล : “รถคันนี้ผมเห็นเขาใช้อยู่ในชีวิตประจำวันอยู่แล้วในช่วงก่อนที่จะโดนอายัดรถไป ผมไม่ได้สอบถามอะไร มันเป็นรถส่วนตัวเขา ตอนนั้นเขายังไม่ได้ใช้ชีวิตกับผม กับตอนที่เขามีภาพอยู่กับอภิรักษ์ แมน ใบเตย ผมถามว่าคุณเกี่ยวข้องกับคดีนี้ด้วยไหมเพราะผมไม่รู้จัก forex- 3D เขาบอกว่าเขาไม่เกี่ยวข้อง ก็เท่านั้นเองผมไม่ยุ่งเรื่องส่วนตัว ตามภาพที่ผมเห็น เขาก็ทำธุรกิจเครื่องสำอาง ผมจึงไม่ได้สอบถาม ตอนนั้นเราไม่ได้คบกันไง ถึงทุกวันนี้ forex-3D ผมยังไม่รู้เลยว่ามันคืออะไร ผมไม่เกี่ยวกับวงจรชีวิตผม ผมไม่ได้เอามาคิดให้มันเปลืองสมองผม แต่ที่ออกมาวันนี้เพราะมันเริ่มเข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตผมแล้ว”

ใช้ชีวิตคู่กับ “จิ๊กกี๋ ชนกวนันท์” เมื่อปลายปี 2563 ก่อนหน้านี้คิดว่าแต่งงานได้สามีรวย ชีวิตดีไปแล้ว ไม่เคยรู้ไปเจออะไรมาเยอะแยะ ตอนที่มาหาตนอีกฝ่ายสภาพไม่มีอะไร
ปราปต์ปฎล : “เขาแยกกันอยู่ด้วยเหตุผลส่วนตัวของเขา ผมเป็นคนไม่ยุ่งเรื่องส่วนตัวใคร ผมเริ่มมาใช้ชีวิตกับเขาประมาณ ต้นๆ ปี 2564 ที่ผมเริ่มเอาเขาเข้ามาอยู่ในชีวิตผม ปลายปี 2563 ผมเริ่มซื้อคอนโดอยู่ แล้วก็ตัดสินใจพาเขาเข้ามาอยู่ด้วยกัน เขาเองก็กำลังปีกหักเต็มที่ไม่มีที่ไปด้วย ครั้งนึงเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว ผมเป็นป๊อปปี้เลิฟของเขามารักเรา นั่งรถทัวร์จากอุดรธานีเดือนละครั้งเพื่อมาหาเรา ตอนนั้นเราไม่เอาเขาเลย

เราก็สำนึกเหมือนกันนะว่านี่เราปล่อยเขาไปเจออะไรมาบ้างวะ เราคิดว่าเขาไปได้ผัวรวย เป็นนักธุรกิจสบายแล้ว แต่เขาเจอวิบากกรรมเยอะแยะไปหมดเขากลับมาหาเราในสภาพที่ไม่มีอะไร ผมไม่ได้แต่งงานกับเขา ผมยังยืนยันตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ เขาเป็นคนเดิม คนดี คนที่ผมรู้สึกว่าคนนี้คือคนดี”

เพราะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันจึงมั่นใจในตัวภรรยา
ปราปต์ปฎล : “ถ้าคุณได้มีความรักกับใครสักคน ใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วยกัน ถ้าคนที่ใช้ชีวิตคู่กับคุณ ที่คุณรู้จัก กิน นอน ใช้ชีวิตอยู่ด้วยก้น คุณต้องมั่นใจเขาไหม คุณจะมีความมั่นใจเขาไหม ถ้าคุณไม่มั่นใจ คุณก็ไม่ควรเอาเขากลับมาในชีวิตคุณอยู่แล้ว ถ้าคุณมองว่าเขาผิดตั้งแต่แรกคุณจะไม่ให้เขากลับมาในชีวิตคุณอย่างเด็ดขาด คุณจะต้องแปดเปื้อนกับเขาไปทำไม ในเมื่อเขาผิด อุ้มรับคนผิดเหรอ ผมไม่ทำ แล้วผมจะไปตอบลูกกับอดีตภรรยาที่บ้านผมยังไง ว่าผมจะยกคนนี้เป็นเมีย เอาคนเลวๆ มาเป็นเมียเหรอ ลูกสาวผม ผมจะตอบเขาว่ายังไง ว่าเอาคนชั่ว คนเลวมาเป็นคู่ชีวิตพ่อเหรอ ผมไม่ทำ ผมไม่สง่างามพอที่จะไปตอบกับคนเหล่านั้นได้ ผมต้องมั่นใจสิครับ”

โอดมีแต่ จ...หลังคนกล่าวหา “จิ๊กกี๋ ชนกวนันท์” หอบเงิน 2-3 ร้อยล้านมาใช้กับตน
ปราปต์ปฎล : “ผมกล้าให้ดูหลักฐาน เอกสารทั้งหมดที่เป็นข้อมูลจริง ผมไม่เคยเข้าไปเกี่ยวข้อง ไปถามผู้เสียหายได้เลย ผมขอพูดถึงในรายการถกไม่เถียง เอาคนๆ นึงไปนั่งบอกว่าให้ผมตอบให้ได้ว่า ผู้หญิงคนที่เป็นอดีตเมียอภิรักษ์หอบเงิน 200-300 ล้าน มาใช้กับผม น้องเฺฮ้ย ไม่เคยมีใครเห็น พี่มาแต่กระเจี๊ย.. พี่ไม่มี

กนกรัตน์ : “เรื่องของคุณชนกนันท์ ดิฉันพูดได้ เพราะดิฉันรู้จัก และเห็นความมีสัมพันธ์ของพี่ปราปต์มาตั้งแต่เขายังไม่ได้เป็นแฟนคน จนมีเหตุให้เขาโดนไปเกี่ยวโยง มันเป็นเรื่องปกติที่ภรรยาใช้เงินสามี ส่วนเขาจะไปรู้หรือไม่รู้ น้องต้องไปพิสูจน์ของเขาเอง แต่ระหว่างที่น้องมาอยู่กับพี่ปราปต์ เราเห็นเหตุการณ์มาตลอดตั้งแต่ที่เขาอยู่โรงพยาบาล ถึงพูดกับดีเอสไปว่า ณ วันนั้นถ้าวันนั้นดิฉันเป็นคนขับรถ ไม่ใช่ปราปต์ปฎลขับรถดิฉันจะถูกตั้งข้อกล่าวหาว่าฟอกเงินด้วยไหม คุณรู้มาก่อนรึเปล่าว่าทรัพย์ตัวนี้ได้มาจากการฉ้อโกง

ตอนที่อภิรักษ์ไปออกรายการมากมายเพื่อจะพรีเซ็นต์ว่าตัวเองรวยอะไรต่ออะไร ณ วันนั้นสื่อรู้ไหมว่าอภิรักษ์ไปฉ้อโกงเขามา ไม่มีใครรู้ ถ้าทุกคนต้องมาโดนหมด สื่อที่เคยเอาเขาไปออกรายการก็ต้องชี้แจงนะ ไปออกสื่อ อภิรักษ์จ่ายให้สื่อรึเปล่า แสดงว่าเงินที่ได้มาจากฟอกเงินก็เสียให้สื่อเหมือนกัน ที่ให้พี่ปราปต์มาแถลงข่าวเพราะเรารู้ว่าอุปสรรคของสื่อในการเสนอข่าวคืออะไร

สื่อต้องได้รับข้อเท็จจริง และข้อเท็จจริงที่ได้รับคือรับเท่าที่มี และเขียนไปเท่าที่รู้ มันเลยกลายเป็นปัญหา เอาง่ายๆ ที่ผ่านมาสื่อเหมือนศาลชั้นต้น พิพากษาไปแล้ว สื่อคือผู้พิพากษาทางสังคมของเรา ศาลยุติธรรมเป็นศาลสำหรับกฎหมาย แต่ตอนนี้เราอยากให้สื่อเป็นศาลอุทธรณ์ ทบทวนให้เราหน่อยว่าที่ศาลชั้นต้น คุณตัดสินไปว่าเขาผิด ณ วันนี้สื่อสงสัยอะไรถามมา เราตอบได้หมดมีเอกสารทางกฎหมายยืนยัน แล้วถ้าสื่อยังพิพากษาว่าทางคุณปราปต์มีส่วนร่วม ข้อเท็จจริงมีอยู่แค่นี้จริงๆ ที่คุณปราปต์ปฎล ไปเกี่ยวข้องกับรถคันนี้”

รู้สึกโล่งใจแล้วได้เคลียร์ตัวเอง แต่กังวลว่าคดีจะยืดเยื้อ
ปราปต์ปฎล : “โล่ง เพราะที่ผ่านมาผมไม่เคยได้พูด ผมเชื่อว่าช่อง ผู้จัด และคนในสังคม ก็จะได้เห็น รวมถึงผู้เสียหายจากคดีก็จะได้เห็นแล้ว ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับทุกคนจะเข้าใจ (คิดว่าเรื่องของเราเคลียร์จบเมื่อไหร่ ไม่อย่างนั้นเราก็ต้องตกเป็นจำเลยสังคมต่อ?) นี่คือสิ่งที่ผมกังวล”

กนกรัตน์ : “เอาไปทำแผนได้ค่ะ ขับรถไปจากคอนโดนนี้ถึงตรงนั้น แล้วถือว่าเป็นการฟอกเงิน แผนมันก็ทำได้เท่านี้จริงๆ แล้วจะให้ทำยังไง อยากจะบอกอีกอย่างนีงว่ารถคันนี้ยังไม่มีทะเบียนนะคะ ยังไม่ได้จดทะเบียน เป็นรถป้ายแดง ชื่อผู้ครอบครองยังไม่รู้เลย รู้แต่ว่าเงินที่ซื้ออภิรักษ์เป็นคนซื้อ ซึ่งมารู้ภายหลังจากเอกสารการจ่ายเงินของอภิรักษ์ เป็นการซื้อเงินสด เรามารู้ภายหลังจากที่โดนแจ้งข้อกล่าวหา

ปราปต์ปฎล : “เขากล่าวหาว่าผมมีส่วนเกี่ยวข้องในวงจรอุบาทว์ 2,500 ล้าน ผมต้องมีผลประโยชน์กับอะไรตรงนี้บ้างสินะ เช่น มีเงินใช้จากตรงนี้ มีทรัพย์สินที่ได้จากตรงนี้ เป็นสมบัติของตัวเอง มันควรจะมีอะไรที่มันเกี่ยวข้องบ้างสิ แต่มึงกล่าวหากูโดยที่กูไม่มีเหี้xไรเลยพูดได้ไงวะ เช็กได้ทรัพย์สินส่วนตัวผม ไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับ forex-3D ไปเช็กกับผู้เสียหายได้ ผมได้ไปชักชวนใครมาเล่นไหม ไปโฆษณาอะไรไหม ผมไม่รู้จักธุรกิจนี้ด้วยซ้ำทำไมเอาผมเข้าไปเกี่ยว”

ศิริชัย : “คุณดูสิโกง forex-3D เป็นพันๆ ล้าน มาผ่อนคอนโดราคา 18,000 บาท มันทุเรศ”

ปราปต์ปฎล : “ผมขับรถเบนซ์มือ 2 ราคา 2 ล้านกว่าบาท”

กนกรัตน์ : “ทุกอย่างมันมีวิธีทางกฎหมายหมดเลย ไม่ใช่ว่าคุณจะจับแพะมาก่อนแล้วค่อยว่ากันทีหลัง เพราะผลกระทบของแต่ละคนมันมี ถ้าคุณปราปต์ปฎลเป็นตาสีตาสา ไม่มีเพื่อนที่คอยให้กำลังใจตรงนี้ อะไรจะเกิดขึ้นกับชีวิตเขา

ตรอมใจ อ่านคอมเมนต์แล้วโคตรเจ็บ ลั่นรัก “จิ๊กกี๋ ชนกวนันท์” มาก จะไม่มีวันปล่อยมือ เขาเป็นคนดี
ปราปต์ปฎล : “ผมน้ำหนักลงมา 5 กิโล ผมอ่านทุกคอมเมนต์แล้วผมโคตรเจ็บ ไม่ได้มารู้จักผมทำไมถึงมาด่าผม ถ้าเป็นคนอื่นคนเซ ผม 53 ปีแล้ว ผมเห็นชีวิตมามากมาย สุดท้ายเมื่อความจริงมันปรากฎแล้ว ถ้ามั่นใจในข้อมูลที่ผมพูดวันนี้ ลองเปรียบเทียบดูว่าอันไหนมีน้ำหนักกว่ากัน แก้ไขให้ผมด้วยนะครับ ผมขอร้อง ขอบคุณทุกคนที่มาฟังข้อเท็จจริง บอกเลยว่าผมอัดอั้นนะ แต่มันยังไม่ถึงเวลาที่ผมจะพูด

ผมรักน้องเขาขนาดไหน ผมบอกเลยว่าผู้หญิงคนนี้ ที่เขาโดนคดีอยู่ ผมไม่มีวันปล่อยมือเขา ผมรักเขามาก เขาเป็นคนดีมากในความรู้สึกของผม

ร้องไห้ตนจะรอ “จิ๊กกี๋ ชนกวนันท์” พิสูจน์ตัวเองจนได้กลับมาใช้ชีวิตด้วยกันอีก
ปราปต์ปฎล : “(ร้องไห้) สำหรับน้อง ถ้าผมไม่รักเขามาก ผมไม่มั่นใจในตัวเขา เขาเป็นความโชคดีอย่างที่สุดของผมที่ผมจะใช้ชีวิตคู่กับเขา เขาเป็นผู้หญิงที่ดีมากสำหรับผม ที่ผมจะใช้ชีวิตทั้งชีวิตที่เหลือกับเขา จะใช้ชีวิตแบบซื่อสัตย์สุจริต และสะอาดผมจะให้เขาเริ่มต้นชีวิตใหม่หลังจากที่เขาผ่านพ้นมรสุมทั้งหมด ผมจะจับมือไปด้วยกันกับเขา จะดูแลเขา”

ได้ไปเยี่ยม “จิ๊กกี๋ ชนกวนันท์” ทุกวัน นอนไม่หลับถ้าไม่ได้เจอหน้า
ปราปต์ปฎล : “ผมไปทุกวันครับ ทุกวันที่มีโอกาสแม้แต่วันที่ทำงานผมก็จะปลีกเวลางาน ขอกองถ่ายว่าผมขอเวลาไปเยี่ยมน้อง หรือวันไหนที่ไปเยี่ยมไม่ได้ผมจะขอร้องให้พี่ เพื่อนไปเยี่ยมแทน แต่วันไหนไปได้ผมจะไปด้วยตัวเอง เขาเป็นคนบอกผมว่าพ่อไม่ต้องมาทุกวันก็ได้ ทำงานทุกวันก็เหนื่อยแล้ว ไหนจะต้องมาเจออะไรอีกเยอะแยะแล้ว น้องไม่เป็นไร ผมบอกเขาว่าน้องไม่เป็นอะไรแต่พ่อเป็น ทุกวันนี้นอนไม่หลับถ้าผมไม่ได้เห็นหน้าเขา กำลังใจเขาดีมาก ดีกว่าผมเยอะ

กนกรัตน์ : “เขาบอกว่าเขาแค่รอออกไปพิสูจน์ความจริงว่าหนูไม่เกี่ยวข้อง แต่ถามว่าการเป็นสามีภรรยากัน เงินที่อภิรักษ์ให้หนูรับมาจริง ณ ขณะนั้นหนูไม่รู้ว่ามันมีการฉ้อโกงกัน เขาบอกว่าหนูไม่คิดอะไรมากแล้ว หนูคิดว่าหนูเข้ามาปฎิบัติธรรม”

ปราปต์ปฎล : “น้องเขาน่าเอ็นดู เขาอยู่ที่นั่นผมบอกได้เลยว่าผมเชื่อว่าต่อให้ไปที่ไหน หรือผมกลับบ้านไปเจอลูกสาวกับแม่ของลูกผม ผมเอาน้องเขาไปหย่อนลงบ้าน แล้วไปไหนก็ได้ ผมเชื่อว่าทุกคนรักเขา ทุกคนให้กำลังใจ ทุกคนบอกพาน้องออกมาแล้วมานั่งกินข้าวกัน ผมบอกได้เลยว่าผมสง่างามครับ วันนี้ได้มาพูดความจริงเกี่ยวกับตัวผม ผมไม่สะเทือนใจอะไรเลย เพราะผมรู้ข้อเท็จจริงคืออะไร ผมสะเทือนใจที่สุดก็คือคนรักของผมที่ผมจับมือเขาอยู่ทุกวัน แต่ ณ เวลานี้ผมช่วยอะไรเขาไว้ไม่ได้เลย

มันเป็นเรื่องที่เขาต้องแก้ไขด้วยตัวเขาเอง เพราะวิบากกรรมของเขา เขาไปใช้ชีวิตตรงนั้น เขายอมรับ เขาไม่โทษใคร แม้แต่คุณอภิรักษ์ ผมอยู่กับเขามาเขาไม่เคยพูดถึงคุณอภิรักษ์ในทางที่ไม่ดีเลย เขาจะพูดว่าเขาเป็นคนเลือกเอง ไม่มีใครบังคับเขาให้แต่งงานกับอภิรักษ์ เขาแต่งงานของเขาเอง เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้เขาจะต้องรับผิดชอบชีวิตเขา มันเป็นวิบากกรรมของเขา

หน้าตาผมอาจจะดูดุดัน ตั้งแต่ที่ผมได้มารู้จักเขา ใช้ชีวิตกับเขาผมบอกเลยว่าชีวิตผมเปลี่ยนไปมาก ใจผมเย็นลง มีธรรมะเข้ามาในจิตใจ ปกติผมเป็นคนไม่เข้าวัด ไม่ธรรมะครับผมไปตามแนวทางวิทยาศาสตร์ เชื่อว่าทำดีต้องได้ดี เป็นคนดีความดีจะปกป้องเราเอง สุดท้ายผมเลยมีคนดีๆ เข้ามา จนมีวันนี้ อยากให้ทุกคนใช้คุณธรรม นำหน้าที่และกฎหมาย”





















กำลังโหลดความคิดเห็น