ป้อมพระสุเมรุ
ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - เงียบหายไปจนน่าแปลกใจ ทั้ง “ม็อบสามนิ้ว-ล้มเจ้า” และเครือข่าย ไม่ว่าจะเป็น “ทะลุฟ้า-ทะลุแก๊ส-ทะลุวัง” ที่ไร้การเคลื่อนไหวใดๆ ทั้งที่ในรอบปีที่ผ่านมา ก็มีประเด็นให้ออกมาก่อหวอดปั่นป่วน “ฝ่ายอำนาจ” อยู่ไม่น้อย
มองผิวเผินเข้าใจว่า ที่แก๊งสามนิ้ว-ล้มเจ้า ที่เคยขึ้นหม้อถึงขั้น “อหังการ” อยู่ช่วงหนึ่ง กลับฝ่อลงอย่างรวดเร็ว เป็นเพราะบรรดา “แกนนำ-แกนตาม” ต่างโดนคดีเรียงแถวเข้าซังเต จาก “ม็อบปัญญาชน” กลายเป็นต้องไปชุมนุมกันต่อในเรือนจำ บ้างได้ประกันตัว บ้างก็ยังเช็กอินกินข้าวฟรีอยู่ข้างใน ทำให้พลังที่เคยมีหดหายไปจนแทบไม่เหลือ
เห็นจะมีก็เพียงการเคลื่อนไหวกดดันให้ปล่อยตัวชั่วคราวเพื่อนที่มีคดีความอยู่บ้างประปราย หรือออกมาโวยวายยามที่มีผู้ถูกดำเนินคดีเกี่ยวกับการหมิ่นสถาบันเบื้องสูงบางรายเท่านั้น
อีกทั้งต้องยอมรับว่า “ประเด็น” เคลื่อนไหวที่หลังๆ หมกมุ่นไปเกี่ยวข้องกับ “สถาบันฯ” มากกว่าเรื่อง “การเมือง-ประชาธิปไตย” กลายเป็น “ของแสลง” ที่ทำให้สูญเสียแนวร่วม ต่างจากครั้งยังพุ่งเป้ารบกับรัฐบาล ที่เคยมีเสียงเชียร์กระหึ่มเมือง
และการพุ่งเป้าไป “เล่นของสูง” ทำให้กระทั่ง “ฝ่ายการเมือง” ที่สนับสนุนอยู่ ก็ไม่สามารถออกหน้าเป็นแบ็กอัพได้อย่างเต็มตัวอีกด้วย
เมื่อเจาะลึกไปกว่านั้น ก็จะพบว่า เหตุที่ทำให้ม็อบสามนิ้ว-ล้มเจ้า หมดพลัง หลักใหญ่ใจความมาจาก “ปัจจัยภายใน” โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่อง “ผลประโยชน์” เงินทองที่ไม่เข้าใครออกใคร ที่บ่อนทำลาย “จุดยืน” หรือ “อุดมการณ์” ที่เคยเกาะเกี่ยวกันขึ้นมา พังทลายลงอย่างรวดเร็ว
กลายเป็น “ผลประโยชน์” อยู่เหนือ “อุดมการณ์” ซ้ำรอยรุ่นพี่แกนนำม็อบ “สู้แล้วรวย” ในอดีต
มูลเหตุที่ว่าไม่ได้กล่าวหากันลอยๆ แต่มีปากคำจาก “คนใน” ที่ออกมาสาวไส้เรื่องราวฟอนเฟะภายในม็อบสามนิ้ว-ล้มเจ้า ที่ใช้ชื่อ “ขบวนการประชาธิปไตย” บังหน้า
เฟซบุ๊ก Sweet Irine ของ “พลอย” เบญจมาภรณ์ นิวาส หนึ่งในแกนนำกลุ่มทะลุวัง ได้ออกมาโพสต์แถลงการณ์ขอแยกทางกับองค์กร-กิจกรรมในชื่อ “ทะลุวัง” โดยระบุว่า ต้องการออกมาเคลื่อนไหวอย่างอิสระตามเจตจำนงเสรีของเรา และยังคงยึดมั่นเคลื่อนไหวต่อเพื่อประชาธิปไตย ยืนอยู่เคียงข้างประชาชนเสมอในนามของตนเอง ไม่ต้องการสังกัดกลุ่มหรือองค์กรใด
พร้อมพรั่งพรูถึงความอึดอัดกับวิธีการทำงานของสมาชิกบางคนในกลุ่มทะลุวังที่ยังเหลืออยู่ ไม่ว่าจะเป็นการไม่รับฟังความเห็น ใช้วิธีชี้นิ้วสั่งคนอื่น กระทั่งการมองข้ามเสียงของเหยื่อเพื่อกลับไปคุยกับผู้ที่ก่อเหตุความรุนแรงทางเพศ รวมทั้งกล่าวหาดิสเครดิตกันเองต่างๆนานา
ก่อนจะเข้าประเด็นเรื่องผลประโยชน์ซึ่งคาดว่าน่าจะเกี่ยวกับ “คนใกล้ชิด” ของเจ้าตัวว่า “เราถูกแสวงหาผลประโยชน์จากการออกมาเคลื่อนไหวทางการเมือง และความเป็นเยาวชน ชื่อและผลงานของเรากับเพื่อนนำไปขอทุนเป็นค่าที่อยู่ ค่าอาหาร ค่าเดินทาง ให้คนที่อ้างว่าจะดูแลเราเมื่อเราออกจากบ้าน แต่ผลปรากฏว่าเงินทุนตรงนั้นไม่ถูกแบ่งอย่างชัดเจน และไม่ไปถึงสมาชิกบางส่วน”
โดย “พลอย” ยังบอกว่า “คนใกล้ชิด” แสวงหาผลประโยชน์จากการที่ “พลอย” กำลังขอทุนเข้าร่วมโครงการ YSEALI ของสหรัฐอเมริกา โดยอ้างว่า เป็นผู้ที่ให้คำปรึกษาด้านกฎหมาย ทั้งๆ ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกัน หรือกระทั่งการขายสติกเกอร์เพื่อเอาเงินไปต่อยอดไปซื้อไอแพดเพื่อทำงานและใช้ในการเรียน แต่ก็ยังถูกยึดเงินไปจนหมด รวมไปถึงการถูกทำร้ายจิตใจต่างๆนานา ที่พันไปกับการหารายได้ และกิจกรรมเคลื่อนไหวทางการเมืองด้วย
“ทุกวันนี้เราก็ยังเจ็บปวดทรมาน แต่ก็พยายามยืนขึ้นอยู่ เริ่มกลับมาทำสิ่งที่ชอบได้แล้ว ภูมิใจมากๆ ที่ตอนนั้นเข้มแข็ง ต่อสู้ฟาดฟันจนได้ไอแพดมาวาดรูปและเรียนหนังสือ ได้เขียนนิยายตามที่หวังและได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระเสียที ด้วยเหตุผลนี้จึงทำให้เราและเพื่อนๆ ตัดสินใจขอออกจากองค์กรทะลุวัง ตอนนี้มีสมาชิกทะลุวังตามที่ได้กล่าวอ้างในพื้นที่สาธารณะเท่านั้น เราและเพื่อนคนอื่นๆ ขอไม่ข้องเกี่ยวในนามของทะลุวังอีกต่อไป” พลอย-เบญจมาภรณ์ ระบุ
จากนั้น “เมนู” เมลิญณ์ (ชื่อเดิม สุพิชฌาย์) ชัยลอม หนึ่งในสมาชิกกลุ่มทะลุวัง ก็โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Melinn Supitcha ยืนยันการออกขอแยกทางกับองค์กรและกิจกรรมในนามของ “ทะลุวัง” เช่นเดียวกับ “พลอย” รวมถึงบางรายที่ไม่ประสงค์ออกนาม โดยระบุถึง 3 เหตุผลว่า
1.เราและเพื่อนๆไม่เห็นด้วยกับการกระทำที่ขัดแย้งต่ออุดมการณ์ในหลายๆด้าน โดยเฉพาะเรื่องที่สมาชิกภายในกลุ่มมองข้ามเสียงของเหยื่อความรุนแรงทางเพศเพราะความขัดแย้ง แล้วเข้าหาผู้กระทำความรุนแรง ทำให้เราและคนอื่นๆรู้สึกไม่สบายใจและอึดอัดมากๆตัวเราเข้าร่วมกลุ่มทะลุวังเพราะเห็นด้วยกับแนวทางกลุ่มที่ชัดเจนรวมถึงจุดยืนในเรื่องความรุนแรงทางเพศ แต่ปัจจุบันเรามองไม่เห็นจุดยืนและอุดมการณ์ที่เคยยืนหยัดนี้อีกแล้วในความคิดเห็นของเรา
2.เราและเพื่อนๆได้รับบาดแผลทางจิตใจจากการถูกใช้อำนาจภายในกลุ่ม ทั้งการเอาเปรียบ แสวงหาผลประโยชน์ สั่งการ บังคับ กดดัน ตำหนิตัดสินต่างๆเพื่อลดทอนคุณค่าในตัวของคนอื่นๆ รวมทั้งไม่รับฟังไม่ต่างอะไรกับรัฐเผด็จการ สำหรับเราที่ต้องการเรียกร้องประชาธิปไตยที่ไม่ได้มีแค่ระบบการปกครอง เราไม่สามารถอยู่ในกลุ่มที่เต็มไปด้วยการใช้อำนาจแบบนี้ได้อีกต่อไป
และ 3.ตลอดการเคลื่อนไหวกิจกรรมในนามของทะลุวังที่ผ่านมา เรามองเห็นภาวะไร้จุดยืนที่ชัดเจน โอนเอนตามกระแสสังคม และไม่ได้มีความรู้ความเข้าใจในสิ่งที่ต้องการขับเคลื่อนอย่างแท้จริง รวมถึงลักษณะการทำงานไม่เข้ากัน รูปแบบขององค์กรไม่มีการจัดตั้ง และไม่มีเป้าหมายชัดเจน
“จนปัจจุบันยังมีการแบ่งแยกขอบเขตใครคือทะลุวัง ใครไม่ใช่ทะลุวังเพื่อใช้อำนาจและกีดกันคนอื่นๆออกไป แม้การทำงานและความรับผิดชอบหลายอย่างในช่วงเวลานั้นเกิดขึ้นจริง แต่กลับถูกไม่เคารพและไม่ให้คุณค่าการทำงานของเพื่อนๆที่สละเวลา เข้ามาแบกรับความเสี่ยงโดนคุกคามและเข้ามาช่วยเหลือจริงๆในช่วงเวลานั้น กลับยึดติดในชื่อองค์กร และยึดติดในตัวบุคคล หลังจากนั้นยังมีการนำชื่อของเราและคนอื่นๆไปเล่าต่อในทางที่เสียหาย โดยไม่ได้สื่อสารโดยตรงกับเราและคนอื่นๆ ทำให้เราเสียหาย” เมนู-เมลิญณ์ ว่าไว้
“เมนู” ยังได้ระบุถึงสภานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับ “พลอย” ด้วยว่า สิ่งที่พลอยเจอมันรุนแรงมากๆ และเชื่อว่าเป็นเรื่องใหม่สำหรับคนไทยที่ยังไม่คุ้นเคยว่า “ความรุนแรงที่เกิดขึ้นไม่ได้มีแค่ทางร่างกายเสมอไป” แต่มีทั้งความรุนแรงทางด้านจิตใจ ความรุนแรงที่เกิดจากการใช้อำนาจ และความรุนแรงจากการถูกแสวงหาผลประโยชน์จากตัวเยาวชน และที่สำคัญเรื่องนี้ไม่ได้มีแต่พลอยที่เป็นผู้เสียหาย”
และตั้งคำถามว่า ถูกแปะป้าย ลดทอนคุณค่าในตัวเองว่าเพราะไม่เคลื่อนไหว ทำให้ขอทุนไม่ได้ อันนี้ยิ่งอึ้งเข้าไปอีก เห็นนักกิจกรรมเยาวชนเป็น “เครื่องผลิตเงิน” หรือ
เรื่องราวที่ออกจากปากคำของ “พลอย-เมนู” เป็นการประจานให้เห็นว่า มีการแสวงหาผลประโยชน์ในขบวนการที่อ้างว่า เคลื่อนไหวทางประชาธิปไตยอยู่จริงอีกครั้ง อีกทั้งยังมีการนำชื่อเสียงของ “แกนนำม็อบ” ที่เป็นเยาวชนไปแสวงหาผลประโยชน์อย่างอื่นด้วย
เห็นชัดๆจากการขอทุน YSEALI หรือ Young Southeast Asian Leaders Initiative ของ “พลอย” ซึ่งเป็นทุนที่ก่อตั้งในสมัยประธานาธิบดี บารัค โอบามา เมื่อปี 2556 เพื่อสร้างเครือข่ายระดับภูมิภาค และพัฒนาทักษะความเป็นผู้นำในหมู่เยาวชนอาเซียน
โดยจะมีการเชิญชวนผู้ที่มีอายุระหว่าง 18-35 ปี ลงทะเบียนเป็นสมาชิกและร่วมเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ เมื่อได้เป็นสมาชิก YSEALI แล้วก็จะมีสิทธิ์สมัครชิงทุนสนับสนุนกิจกรรมนั้นเอง
จึงมีความพยายามใช้ชื่อเสียง และการเคลื่อนไหวของ “พลอย” เป็นแต้มต่อในการชิงทุนดังกล่าว โดยที่เจ้าตัวไม่รู้และไม่เข้าใจในขณะเซ็นเอกสารด้วยซ้ำ แต่เมื่อชวดทุนก็มาต่อว่า “พลอย” นั่นเอง
ซึ่งหลังจากการถอนตัวของ “พลอย-เมนู” ก็ส่งผลให้เหลือแกนนำหลักของกลุ่มทะลุวังเพียง “บุ้ง” เนติพร เสน่ห์สังคม และ “ใบปอ” ณัฐนิช ดวงมุสิทธิ์ ทั้งคู่เพิ่งได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวในคดี “มาตรา 112” เมื่อวันที่ 4 ส.ค.65 ที่ผ่านมา
ก็น่าติดตามกันต่อว่า “แก๊งทะลุวัง” จะมีแนวทางเคลื่อนไหวอย่างไรต่อไป เมื่อถูกสาวไส้แล้วว่า มี “พวกประชาธิปไตยจอมปลอม” ยุแยงสนับสนุนให้เคลื่อนไหว จนเลยเถิดไปถึงเรื่องมิบังควร ก็เพียงเพื่อ “หลอกใช้เด็ก” ในการแสวงหาผลประโยชน์ให้ตัวเอง
และไม่เพียงแต่เรื่องราวที่เกิดใน “แก๊งทะลุวัง” เท่านั้น ด้วยก่อนหน้านี้ใน “แก๊งสามนิ้ว” ม็อบราษฎร ที่ถือเป็นก๊วนใหญ่ของ “ม็อบเด็กน้อย” ก็มีเรื่องมีราวที่จนบัดนี้ก็ยังไม่มีการเคลียร์คัทชัดเจน มีเพียงเรื่องที่รู้กันภายในว่า แกนนำบางคนไม่เอาผี-มองหน้ากันไม่ติด เท่านั้น
และเป็นเหตุสำคัญที่ตลอดเกือบ 2 ปีมานี้ “ม็อบสามนิ้ว” ถึงจุดไม่ติด
ย้อนไปเมื่อต้นปี 2564 ที่ “แก๊งสามนิ้ว” ม็อบราษฎร เริ่มเคลื่อนไหวสะเปะสะปะไม่เป็นชิ้นเป็นอัน สร้างวีรกรรรม “โง่เขลา” ทั้งก่อความรุนแรงบริเวณแยกดินแดง อันเป็นที่มาของการแตกไลน์เป็น “แก๊งทะลุแก๊ส” ที่จัดอีเวนท์แต่ละครั้งไม่ต่างจากอันธพาล
หรือรายของเซเลปฯคนดัง “แอมมี่ The Bottom Blues” ไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์ ที่เหยียบย่ำหัวใจคนไทย ด้วยการเผาพระบรมฉายาลักษณ์ฯ หน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ คลองเปรม โดยเจ้าตัวสารภาพว่า “โง่เอง”
ในช่วงที่ม็อบสามนิ้วเริ่มตกต่ำอย่างหนัก ก็มีรายการสาวไส้กันเองออกมาเป็นขดๆ “แฉกันยับ” ทั้งเรื่องอมเงินบริจาค-นักต้มตุ๋น-สายตำรวจ-คลั่งความรุนแรง ที่สะท้อนถึงความเป็น “มือสมัครเล่น” ของพวกที่สถาปนาตัวเองเป็น “แกนนำม็อบ” ที่แฉกันไปแฉกันมา “เน่าใน” กันทุกคนออกมา
คราวนั้นเป็น “เฮียต้อม” ยุทธเลิศ สิปปภาค ผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดัง ที่ไม่ได้เปิดตัวเป็นแกนนำ แต่วางตัวเป็น “ฝ่ายประชาธิปไตย” วิพากษ์วิจารณ์แสดงความชิงชังรัฐบาลมาโดยตลอด ออกมาพูดถึงความไม่ชอบมาพากลในการใช้เงินบริจาคของกลุ่มแกนนำม็อบ โดยมิ้งปริศนาด้วยข้อความ “ขอให้หยุดให้อาหารแมวอาหารหมูกันก่อน”
แต่ก็ตีความออกว่า ตั้งใจ “แซะ” เรื่องเงินบริจาคไปถึง “ทราย” อินทิรา เจริญปุระ นักแสดงสาวชื่อดัง ที่ถูกเชิดชูเป็น “แม่ยกแห่งชาติ” และรู้ในวงการว่าเป็น “ทาสแมว” กับ “เฮียบุ๊ง” ปกรณ์ พรชีวางกูร พ่อค้าเขียงหมูใน จ.นครปฐม ที่มักออกหน้าขนเสบียงมาสนับสนุนม็อบบ่อยครั้ง
ด้วยทั้ง “แม่ยกทราย-พ่อยกบุ๊ง” ต่างเปิดรับบริจาคเงินผ่าน “บัญชีส่วนตัว” แต่ไม่เคยชี้แจงเรื่องการเบิกจ่ายใช้เงินบริจาค อาจทำให้เงินบริจาค “ตกหล่น” ไปเป็นอาหาร “แมว” กับ “หมู” หมด
โดยมี “แป้ง” สมรนนท์ แย้มอุทัย ศิลปินกราฟิตี เจ้าของนามแฝง “Headache Stencil” ที่โด่งดังจากการพ่นภาพเสียดสีสังคม-การเมือง และสนิทกับ “แอมมี่ The Bottom Blues” ร่วมผสมโรงถล่ม “ทราย” ด้วย เหตุที่เพื่อนศิลปินไม่ได้รับการช่วยเหลือใดๆในระหว่างที่ถูกคุมตัวในเรือนจำ
พอเป็นเรื่องขึ้นมาทั้ง “แม่ยกทราย” ก็แจงแค่ว่า “ใช้เงินทุกบาทอย่างคุ้มค่า” และอ้างว่า ไม่สามารถเปิดเผยยอดเงินบริจาคได้ เกรงว่าจะกระทบกับ “ผู้บริจาค” ขณะที่ “เฮียบุ๊ง” ตอบแบบกำปั้นทุบดินว่า “กูไม่แจง” พร้อมย้อนศร “เฮียต้อม ยุทธเลิศ” กลับว่า จงเกลียดจงชัง “ทราย” เพราะไม่รับเล่นหนังให้ จนโปรเจคต์ต้องพับไป ก็เลยตามแซะจองเวร “ทราย” ไม่เลิก
ขยี้แผลในใจที่ “ผู้กำกับ” พยายามเกาะกระแสม็อบ ประกาศ “เปิดรับบริจาคเงิน“ เพื่อสร้างหนังใหญ่แล้วให้ “ดาราประชาธิปไตย” มาร่วมแสดง แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ
ที่สุดเรื่องก็ซาไป พร้อมกับความเสื่อมซาของม็อบสามนิ้ว ที่จะเห็นได้ว่า ตลอดเกือบ 2 ปีที่ผ่านมาไม่มีอีเวนท์การเคลื่อนไหวที่เปรี้ยงปร้างออกมาเหมือนในช่วงแรก แต่ก็เชื่อว่าแต่ละฝ่าย รวมไปถึงแนวร่วมม็อบราษฎรเองก็ยัง “คาใจ” กันอยู่
จนมาถึงเมื่อช่วงต้นปี 2565 ซึ่งมีกระแสข่าวว่า “พรรคก้าวไกล” เตรียมเปิดตัว “ไอซ์” รัชนก ศรีนอก แนวร่วมม็อบราษฎร และแกนนำกลุ่มพลังคลับเฮาส์ เป็นว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม. ในสังกัดพรรค
โดย “ไอซ์” เป็นคนสนิทของ “ทราย เจริญปุระ” รวมทั้งยังเคยเป็นคู่กรณีกับ “ต้อม ยุทธเลิศ” ในเหตุการณ์ที่กล่าวหาว่า ผู้กำกับชื่อดัง ตบหน้าและทำร้ายร่างกาย “ไอซ์” บนเรือลำหนึ่งย่านคลองสาน กทม. เมื่อช่วงปลายปี 2564
ก็เป็นคิวของ “แป้ง Headache” ที่ออกมาแสดงความไม่พอใจการตัดสินใจของพรรคก้าวไกล และขอประกาศตัวเป็นศัตรูกับพรรคก้าวไกล มีการขึ้น “อี” ถึงทั้ง “ทราย-ไอซ์” โดยท้าทายให้ทั้งคู่ออกมาเคลียร์ต่อหน้าสาธารณะกับลตัวเองและ “ต้อม ยุทธเลิศ”
ซึ่งการที่ “แป้ง Headache” ออกมาเคลื่อนไหวครั้งนั้น ก็คงเป็นเพราะถือหาง “ต้อม ยุทธเลิศ” ที่มีปัญหากับทั้ง “ทราย-ไอซ์” รวมทั้งมีกรณี “แอมมี่” ที่ยังไม่ได้เคลียร์กันอีก
“ผมกะพี่ต้อมต้องมาโดนด่าโดนประณามจากเรื่องแต่งเพราะเข้าไป “เสือก” ช่วยมัน ตัวมันเองก็ยืนยันที่จะให้ปล่อยผ่านๆไป เพื่อขบวนการ…นี่ล่ะครับ สันดานฮีโร่ในดวงใจเด็กๆ สุดท้ายก็แค่เห็นแก่ตัว กลัวไม่ได้เงินจากม็อบ ถ้าแฉอีทราย … สุดท้ายขบวนการพวกมึง ก็เป็นอย่างที่สลิ่มแม่งด่านั่นแหละ หลอกเด็กมาตามฝัน ตามอุดมการณ์ ไอ้หัวขบวนควงผัวนักต้มตุ๋นแดกเป็ด โฟร์ซีชั่น ในขณะที่เด็กๆ ที่ใช้ไปทำงานติดคุก มึงแม่งขยะสังคมมาก ทำมาเป็นรุ่นใหญ่ สุดท้ายก็แค่ป้าแก่ๆ ที่โง่โดนผู้ชายมาหลอกแดกเงิน ที่ไม่ใช่เงินมึง แต่เป็นเงินบริจาค”
เป็นข้อความที่ “แป้ง Headache” สื่อสารออกมาในวันนั้น แต่ก็ยังไม่มีการไขกระจ่างว่า ใครเป็นใครในท้องเรื่อง ทั้งป้าแก่ๆ-ผัวนักต้มตุ๋น หรือใครไปกินเป็ด โฟร์ซีชั่น ด้วยเงินบริจาค เพราะดูท่าน่าจะมีแต่ “คนใน” เท่านั้นที่รู้ซึ่งถึงความเละเทะ ภายในของขบวนการม็อบสามนิ้ว ที่ดูท่าจะยึดผลประโยชน์ เหนือกว่าอุดมการณ์ อย่างที่หลายฝ่ายปรามาสไว้จริงๆ
กระทั่งมาเกิดเรื่องทำนองใกล้เคียงกันกับ “แก๊งทะลุวัง” แม้ไม่ได้ใหญ่โตเป็นเรื่องเหมือนสมัย “เซเลบฯ สามนิ้ว” แต่ก็เป็นเครื่องยืนยันถึงสาเหตุความเสื่อมถอย และสภาพของม็อบสามนิ้ว-ล้มเจ้า ในวันนี้ได้เป็นอย่างดี
อนิจจา “แกนนำเด็กน้อย” ที่พยายามเคลื่อนไหวเรียกร้องให้คนอื่น “ตาสว่าง” ที่สุดแล้วน้องๆ หนูๆ กลับต้อง “ตาสว่าง” กับความฟอนเฟะของขบวนการที่แอบอ้างว่าเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยเสียเอง.