เมืองไทย 360 องศา
เชื่อว่า บรรยากาศการเมืองยามนี้คงกระอักกระอ่วน อึมครึมกันพิกล หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเสียงข้างมาก 5 ต่อ 4 สั่งให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หยุดปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จนกว่าจะมีคำวินิจฉัยคำร้องเรื่องวาระการดำรงตำแหน่งนายกฯ 8 ปี แม้หลายคนจะคาดหมายว่า ศาลฯน่าจะใช้เวลาในการพิจารณาชี้ขาดไม่นานนัก เช่น ไม่น่าจะเกิน 20 วัน ถึง 1 เดือน ก็ตาม
โดยก่อนหน้านั้น นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งถือว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายได้ให้ความเห็นไว้ว่า ทุกอย่างน่าจะสรุป หรือศาลฯ มีผลชี้ขาดออกมาก่อนการประชุมเอเปก ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพในเดือนพฤศจิกายนอย่างแน่นอน โดยเขาตอบคำถาม และใช้คำว่า “รู้ดีรู้ชั่ว ก่อนการประชุมเอเปก”
อย่างไรก็ดี เวลานี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ยังดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมต่อไป ขณะที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ก็เป็นรักษาการนายกรัฐมนตรี โดยมีตำแหน่งเรียกเป็น รองนายกรัฐมนตรี
ขณะเดียวกัน การขึ้นมารักษาการนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ครั้งนี้ ย่อมต้องกลายเป็น “จุดโฟกัสใหม่” ขึ้นมาทันที นั่นคือ เบนเข็มจาก “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พุ่งมาที่เป้าหมาย “พี่ใหญ่” แทน และเชื่อว่า น่าจะเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่ผ่านมา บทบาทของเขามักจะเป็นการเคลื่อนไหวในลักษณะ “หลังฉาก” แต่คราวนี้ต้องมาในแบบอยู่แถวหน้าและโดน “สปอตไลต์” สาดเข้ามาเต็มๆ
ที่ผ่านมา ก็ต้องยอมรับกันว่า “บิ๊กป้อม” ถือว่าเป็นผู้มากบารมี ทั้งในระดับรัฐบาล และในพรรคพลังประชารัฐ ที่เขาเป็นหัวหน้าพรรคอยู่ในเวลานี้ และแม้ว่าหากมองเข้าไปในพรรค ที่มักปรากฏข่าวความขัดแย้งแตกแยก แต่หากเมื่อใดที่เขาออกแอกชัน ทุกอย่างก็จบ นอกเหนือจากนี้ ยังข้ามไปดูแลพรรคเล็กพรรคน้อยอย่างทั่วถึง ซึ่งย่อมมีผลทำให้การโหวตในสภา มีเสียงสนับสนุนร่างกฎหมายสำคัญของรัฐบาลผ่านไปได้
และแน่นอนว่า ทั้งภายในพรรคพลังประชารัฐ ภายในรัฐบาล รวมไปถึงกลุ่มข้าราชการ ก็ย่อมมีการมองว่า มีกลุ่มที่เป็น “สายของลุงป้อม” อยู่ไม่น้อย ซึ่งคนพวกนี้ก็พยายามผลักดัน หรือเชียร์ให้ นายของตัวเองเพิ่มบทบาท หรือรุกคืบในเชิงอำนาจ จนบางครั้งมีการมองว่า “แข่งบารมี” วัดกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาตลอด แม้ว่าที่ผ่านมา “พี่น้องสาม ป.” นอกเหนือจาก พล.อ.ประยุทธ์ พล.อ.ประวิตร แล้ว ยังมีอีกคนหนึ่งคือ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่นาน ก็มีรายงานความเคลื่อนไหวผลักดันให้ “บิ๊กป้อม” นั่งเก้าอี้ มท.1 แทน โดยอ้างถึงผลดีในการเลือกตั้งที่จะมาถึง แต่ทุกอย่างก็ยังไม่มีความคืบหน้า หลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ ยังยืนยันว่า ไม่มีแนวคิดในการปรับคณะรัฐมนตรี
อย่างไรก็ดี หากมองในมุมภายนอกก็ต้องยอมรับกันว่า “ลุงป้อม” มีภาพลักษณ์ที่ไม่ดีนัก อาจจะไม่ถึงขั้น “ยี้” แต่เอาเป็นว่า ไม่ “เป็นกระแส” ในเชิงบวก อีกทั้งยังมีปัญหาในเรื่องสุขภาพที่กลายเป็นจุดอ่อนให้ฝ่ายตรงข้ามได้นำมาค่อนแคะปรามาส ประกอบกับบุคลิกที่ออกมาในในแบบคนรุ่นเก่า ไม่ทันยุคสมัย แต่สำหรับเรื่องอื่นที่กลายเป็นข้อกล่าวหายังถือว่าไม่ชัดเจน แต่ภาพจะออกมาในแบบ “สีเทาๆ” เสียมากกว่า
เอาเป็นว่า หากพิจารณากันแบบตรงไปตรงมา สำหรับ “บิ๊กป้อม” ยังถือว่าต้องมีบทบาทสำคัญสำหรับรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทั้งในวันนี้และต่อเนื่องไปในอนาคตอันใกล้นี้
แต่เมื่อต้องมารักษาการนายกรัฐมนตรี แทน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งก็ยังไม่รู้ว่าจะต้องทำหน้าที่ชั่วคราว ระหว่างที่รอศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย กรณี วาระ 8 ปี หรือหากเกิดเหตุพลิกผันพล.อ.ประยุทธ์ “ไม่ได้ไปต่อ” ก็ต้องมีการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ แม้ว่าในเบื้องแรกต้องมีการโหวตจากคนที่อยู่ในบัญชีรายชื่อนายกฯ ที่มีความเป็นไปได้แค่ไม่กี่คนเท่านั้น ทำให้มีการพูดถึงนายกฯ คนนอก ซึ่งมีการพูดถึงตัวเขาขึ้นมา
แม้ว่ายังเป็นเรื่องไกลออกไป ยังมาไม่ถึง แต่ก็สามารถคิดเอาไว้ล่วงหน้าได้ เพราะหากพิจารณากันตามความเป็นจริง หากในที่สุดแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ได้ไปต่อจริงๆ ซึ่งมันก็เป็นไปได้ทั้งสองทาง หากไม่ได้ไปต่อ และไม่ว่าใครจะขึ้นมาเป็นนายกฯ คนต่อไป หรือว่าเขาจะรักษาการต่อไปก็ตาม มันก็ต้องมองข้ามช็อตไปข้างหน้า กับคำถามที่ต้องเกิดขึ้นตามมาว่า “ลุงป้อม” ไหวมั้ย กับแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคนต่อไป
เพราะเวลานี้เริ่มมีการวิจารณ์ และ “ดิสเครดิต” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และคาดว่า จะเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะจากบรรดาพรรคฝ่ายค้าน และบรรดาเครือข่ายมากมายที่ยกเอาเรื่อง “ภาพลักษณ์” รวมถึงปัญหาสุขภาพมาโจมตี ชี้นำ
แต่ขณะเดียวกัน สำหรับตัวเขาแล้ว เมื่อเป็นผู้มากบารมี มีคนใกล้ชิด มีลูกน้องมากมาย ก็ย่อมต้องมีสิ่งที่เรียกว่า “องครักษ์” พิทักษ์นายออกมาปกป้อง หรืออีกนัยหนึ่งเรียกว่า “อวย” เหมือนกับกรณีที่ นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่ออกมาแถลงยืนยันความสามารถของพล.อ.ประวิตร
“พรรคน้อมรับคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ ตอนนี้รอกระบวนการวินิจฉัยของศาล แต่ไม่ว่าคำวินิจฉัยจะออกมาประการใด พรรคยังสามารถขับเคลื่อนในฐานะพรรคแกนนำรัฐบาล บริหารราชการแผ่นดินไปได้ตลอดจนกว่าจะครบวาระของสภา ซึ่งจะครบช่วงเดือน มี.ค. 66 ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร ห่วงใยทุกข์สุขประชาชนเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ดังนั้น ไม่ว่าท่านจะทำงานในฐานะใด ทางพรรคขอให้ความมั่นใจได้ว่า การบริหารราชการแผ่นดิน ความมั่นคงของประเทศ จะเป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อย ไม่มีปัญหาเหมือนที่หลายคนปลุกปั่น การดำเนินการทุกอย่างอยู่ภายใต้กฎหมาย และทุกอย่างจะมีทางออก ไม่ว่าจะเกิดกรณีใดทั้งสิ้น” นายไพบูลย์ กล่าว พร้อมกันนี้ เขายังได้แจกหนังสือ “พี่ป้อม พี่ใหญ่ พี่ชายที่แสนดี” ซึ่งจัดพิมพ์เป็นครั้งแรก มอบให้แก่ผู้สื่อข่าว ซึ่งเนื้อหาภายในหนังสือระบุถึงประวัติส่วนตัวโดยย่อ
ประสบการณ์ทำงาน ความสามารถของ พล.อ.ประวิตร โดย นายไพบูลย์ ระบุด้วยว่า “ท่านเคยรักษาการนายกฯหลายครั้งแล้ว การทำหน้าที่ของท่านมีความสามารถ ประสบการณ์สูงสุดในประเทศแล้ว”
แน่นอนว่า เมื่อพิจารณาจากความเคลื่อนไหวทั้งหมดแล้ว เชื่อว่า จุดโฟกัสจะพุ่งมาที่ “บิ๊กป้อม” แทน “บิ๊กตู่” ในฐานะรักษาการนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้กุมอำนาจสูงสุดในเวลานี้สืบแทน และที่สำคัญ ยังเป็นเรื่องท้าทายกับเสียงปรามาส แคนดิเดตนายกฯ ทำนองว่า “ไหวมั้ย ลุงป้อม” !!