ข่าวปนคนคนปนข่าว
**เลือดไหลทะลัก “กำนันบอย” รายล่าสุด ทิ้ง ปชป.ซบภูมิใจไทย “พนิต” หวังดูด “มาดามเดียร์” เข้าสวนทาง แต่งานนี้ส่อกินแห้ว
อาการเลือดไหลไม่หยุดของพรรคประชาธิปัตย์ ดูท่าจะรักษาไม่หายเสียแล้ว ล่าสุด เมื่อวานก็เป็นที่แน่นอนว่า “กำนันบอย” ปรเมศ โพธารากุล อดีต ส.ส.เขต 3 จ.กาญจนบุรี เป็นอีกคนที่ได้ออกจากพรรคเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยการยื่นหนังสือลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรค
ก่อนหน้านี้ “กำนันบอย” เคยถูกวางตัวเป็น 1 ใน 5 ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.โซนภาคตะวันตก ของพรรคประชาธิปัตย์ ถึงขนาดที่ “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” หัวหน้าพรรค เดินทางไปทำกิจกรรม “จุรินทร์ ออนทัวร์” จัดเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 9 ต.ค. 64 พร้อมประกาศตั้งเป้าว่าเป็นพื้นที่เป้าหมายที่ ปชป. ต้องได้ที่นั่งในจังหวัดโซนภาคคะวันตกของพรรค
แต่แล้ว “กำนันบอย” ก็ตัดสินใจทิ้งพรรคตราแม่พระธรณี ไปหาพรรคใหม่สังกัด ซึ่งเป็นที่แน่นอนแล้วว่า เป็นพรรคภูมิใจไทย ในสายของ “ชาดา ไทยเศรษฐ์” ส.ส.อุทัยธานี และ รองหัวหน้าพรรค แต่ “กำนันบอย” จะเข้ามาเป็นผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ของพรรค เนื่องจากในพื้นที่ภาคตะวันตก พรรคภูมิใจไทย มีตัวผู้สมัคร ส.ส.เขตอยู่แล้ว
ก็เป็นอันว่าประชาธิปัตย์ต้องมีงานให้ทำเพิ่ม เพื่อเฟ้นหาว่าที่ผู้สมัคร ลงชิง ส.ส.เขตในพื้นที่ภาคตะวันตก แทน “กำนันบอย” ที่เคยวางตัวเอาไว้ และหมายมั่นปั้นมือว่าจะได้เข้าสภาแน่ๆ
ปัญหาเลือดไหลออกจากพรรค ปชป. เกิดขึ้นมาหลายระลอกแล้ว นับตั้งแต่หลังการเลือกตั้งปี 62 เมื่อผลการเลือกตั้งออกมา พรรคได้ ส.ส.ไม่เป็นไปตามเป้า จนต้องเปลี่ยนหัวหน้าพรรค จาก “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” เป็น “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์”
แต่หลังจากนั้น ก็มีแกนนำคนสำคัญของพรรคทยอยลาออก ไล่มาตั้งแต่ “กรณ์ จาติกวณิช” ที่ออกไปตั้งพรรคกล้า “นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม” ที่ออกไปตั้งพรรคไทยภักดี “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” ที่ออกไปอยู่กับ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แล้วไปเป็นหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ “นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ” อดีตรองหัวหน้าพรรค ออกไปเป็นรองหัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย และเป็นขุนพลภาคใต้ของพรรค
รวมทั้ง อดีต ส.ส.และนักการเมืองท้องถิ่นที่ไหลออกแบบรัวๆ เช่น “เจือ ราชสีห์” อดีต ส.ส.สงขลา “โกวิทย์ ธารณา” อดีต ส.ส.กทม. “สามารถ มะลูลีม” “พงศ์ศักดิ์ จ่าแก้ว” นายก อบจ.สุราษฎร์ธานี และ “รัดเกล้า สุวรรณคีรี” บุตรสาวของ ไตรรงค์ สุวรรณคีรี อดีตรองนายกรัฐมนตรี ทั้งยังมีกลุ่มเพื่อน ส.ส. ลูกช้าง-ลูกหมี “ชุมพล จุลใส” อดีต ส.ส.ชุมพร “นพพร อุสิทธิ์” นายก อบจ.ชุมพร ที่ไหลเข้าไปอยู่ในพรรครวมไทยสร้างชาติ และจะเป็นผู้สมัครในการเลือกตั้งครั้งหน้าอีกด้วย
ขณะที่ “เฉลิมลักษณ์ เก็บทรัพย์” อดีต ส.ส.ประชาธิปัตย์ ภูเก็ต อดีตนายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองป่าตอง ก็เปิดตัวเป็นว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคภูมิใจไทย เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
อีกคนที่แม้จะยังอยู่ในพรรคประชาธิปัตย์ แต่โดยพฤตินัยก็น่าจะพูดได้ว่าไม่ใช่คนประชาธิปัตย์แล้ว นั่นคือ “อันวาร์ สาและ” ส.ส.ปัตตานี ที่ออกมายำใหญ่ใส่สารพัดถึงความล้มเหลวของ “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” ผู้เป็นหัวหน้า เมื่อวันที่ 13 ส.ค.ที่ผ่านมา
ส.ส.อันวาร์ ย้ำว่า สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ กว่า 20 คน ที่ลาออกไปในยุคที่จุรินทร์เป็นหัวหน้าพรรค หลายคนเป็นอดีตรัฐมนตรี เคยอยู่กับพรรคมา 20-30 ปี แต่ก็จำใจต้องทิ้งพรรคไป เพราะไม่สามารถทนต่อพฤติกรรมทางการบริหารในพรรคได้แล้ว จึงลาออกเพื่อกดดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลง แต่ก็ไร้ผล ดังนั้น อย่าตกใจ เมื่อใกล้เลือกตั้งจะมีสมาชิกพรรคลาออกมากกว่านี้ขอให้เตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้เถอะ
กระนั้นก็ดี อาการ “เลือดไหลออก” ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับพรรคประชาธิปัตย์ พลังประชารัฐแกนนำรัฐบาล ก็มีอาการนี้เหมือนกัน โดยล่าสุด “มาดามเดียร์” วทันยา บุนนาค ได้ลาออกจากการเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ และสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ด้วยเหตุผลที่ว่าไม่สามารถทนได้กับเล่นเกมการเมืองในสภา
จะด้วยเพราะความหิวแสง หรือเพราะอยากกลบกระแสประชาธิปัตย์เลือดไหล หรืออย่างไรไม่ทราบ เมื่อมีข่าว “มาดามเดียร์” ลาออก “พนิต วิกิตเศรษฐ์” ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ก็โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวทันที แสดงความชื่นชมในการตัดสินใจในการลาออกครั้งนี้ พร้อมอ้างกระแสข่าวว่า “มาดามเดียร์” จะเข้าร่วมงานกับพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งยังได้กล่าวต้อนรับมาดามเดียร์ ไว้ล่วงหน้าว่า “ผมขออนุญาตพูดในนามของ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ว่า เรายินดีต้อนรับคุณวทันยา มาทำงานร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์ เราจะได้ร่วมมือกันทำการเมืองในสภาอย่างสมเกียรติ”
ฟังน้ำเสียงของ “ส.ส.พนิต” ก็เหมือนมั่นใจเหลือเกินว่า “มาดามเดียร์” จะเข้าพรรค ปชป.แน่นอน แต่พอไปฟังคำให้สัมภาษณ์ของ “มาดามเดียร์” หลังจากไปยื่นหนังสือลาออกจากการเป็น ส.ส.ต่อประธาน “ชวน หลีกภัย” ที่รัฐสภาเมื่อวาน “มาดามเดียร์” ได้แสดงความขอบคุณ ส.ส.พนิต ที่ทาบทามผ่านเฟซบุ๊ก แต่จะขอใช้เวลาไตร่ตรอง และทำภารกิจส่วนตัวก่อน ยืนยันว่า จะเดินต่อในเส้นทางการเมืองแน่นอน แต่คงยังไม่สามารถบอกได้ว่าจะกลับมาเล่นการเมืองเมื่อไหร่ และยังไม่ได้คิดเรื่องพรรคใหม่ เพราะวัฒนธรรมของแต่พรรคเป็นส่วนสำคัญในการตัดสินใจ จึงอยากดูให้เหมาะมากที่สุด
ก็ไม่มีตรงไหนที่ “มาดามเดียร์” ยืนยันว่า จะเข้าพรรคประชาธิปัตย์ ตามที่ ส.ส.พนิต อ้างกระแสข่าว
แต่เมื่อถูกถามว่า “อุตตม สาวนายน” หัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย แกนนำกลุ่ม “สี่กุมาร” ในอดีต ได้เชิญชวนเข้าร่วมทำงานกับพรรคด้วยหรือไม่ “มาดามเดียร์” ยอมรับว่า มีการพูดคุยกันมาโดยตลอด ไม่ใช่ว่าเพิ่งลาออกแล้วคุย โดยได้มีการแลกเปลี่ยนกัน ทำให้หลายครั้งเห็นว่า ท่านตั้งพรรคใหม่ เพราะมีความปรารถนาดีกับประเทศ
ต้องไม่ลืมว่า เมื่อครั้งที่ “มาดามเดียร์” เข้าสังกัดพรรคพลังประชารัฐนั้น ก็เข้าไปทางสาย “สี่กุมาร” นี่เอง เพราะฉะนั้น ถ้าให้ชั่งน้ำหนักระหว่าง ประชาธิปัตย์ กับ สร้างอนาคตไทย ก็มีโอกาสสูงที่ “มาดามเดียร์” จะเลือกสร้างอนาคตไทยมากกว่า
เห็นทีการรีบออกตัวเชิญชวน “มาดามเดียร์” เข้าพรรคประชาธิปัตย์ ของ “ส.ส.พินิต” โดยหวังจะให้มี “เลือดไทยเข้า” สวนทางเลือดไหลออกบ้างนั้น จะกินแห้วตามระเบียบ
**มาเลย์สนใจนโยบายกัญชา “หมอหนู” เตรียมพาทัวร์ ช่วงมาประชุม รมต.สาธารณสุขอาเซียน
เพื่อความเข้าใจที่ชัดเจน และการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับนโยบายกัญชาทางการแพทย์ ที่ถูกต้อง ตรงกัน “หมอหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข ก็เลยจัดงาน “Meet the Press : กัญชา-กัญชง เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์และเศรษฐกิจ” ไปเมื่อวันวาน (17 ส.ค.) เชิญทั้งสื่อไทย สื่อเทศ มาร่วมพบปะ แลกเปลี่ยนความคิดเห็น กับทีมงานชุดใหญ่ที่ขับเคลื่อนในเรื่องนี้
ในงานนอกจากจะมีกิจกรรมการให้ข้อมูลข่าวสาร ตอบข้อซักถามที่อยู่ในความสนใจของสังคมแล้วยังมีเรื่องความคืบหน้า ของร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชง พ.ศ.... ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมาธิการ ซึ่งกำลังใกล้จะเสร็จด้วย
ไฮไลต์ของงานนี้ น่าจะอยู่ที่การไขข้อข้องใจสื่อต่างประเทศ ว่า ทำไมไทยถึงกล้าคิดเรื่อง ปลดล็อกกัญชาจากยาเสพติด ...อย่างเช่น คำถามถึง “มูลค่า” ทางเศรษฐกิจของกัญชา ซึ่ง “หมอหนู” บอกว่า ในช่วงต้นประมาณ 1.5 พันล้านดอลล่าร์ แต่เมื่อผ่านพ้นปีแรกๆ ไปแล้ว เชื่อว่า อัตราการเติบโตจะก้าวกระโดดแบบคูณสอง คูณสาม เลยทีเดียว
ส่วนคนที่ได้ประโยชน์จะเป็นใครนั้น “หมอหนู” ชี้แจงว่า ทุกคนจะได้ประโยชน์ ตั้งแต่เกษตรกร ชาวไร่ที่ปลูกกัญชา ประชาชนที่นำส่วนต่างๆ ของกัญชามาสร้างผลิตภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นยา เครื่องสำอาง ส่วนประกอบอาหาร ฯลฯ เพราะทุกส่วนของกัญชาสามารถสร้างรายได้ มันจึงเป็นประโยชน์กับผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน
ในเรื่องการใช้กัญชาเพื่อสันทนาการนั้น “หมอหนู” ก็ไม่ถึงกับปิดประตูตาย โดยบอกว่า “ตอนนี้เราโฟกัสกับการใช้เพื่อการแพทย์เท่านั้น เราไม่ส่งเสริมการใช้เพื่อสันทนาการ แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่จะเป็นไปตลอดกาล มันอาจจะเปลี่ยนแปลงได้ เมื่อผู้คนเข้าใจถึงการใช้กัญชาอย่างถูกต้องแล้ว แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ อาจจะในอนาคตอันใกล้...
“ที่ไปพูดกันว่า มาเมืองไทยเพราะมีกัญชาเสรี สูบที่ไหนก็ได้นั้น คือ ข่าวปลอม ไม่เป็นความจริง และเราไม่ได้ต้อนรับนักท่องเที่ยวแบบนั้น เราต้องการให้นักท่องเที่ยวมาเมืองไทย แล้วเข้าใจวัฒนธรรมประเพณีของเรา และเห็นความงดงามในประเทศเรา”
กับคำถามที่ว่า ไทยเป็นประเทศแรกในเอเชีย ที่มีนโยบายกัญชา มีความหวังว่า ประเทศไทยจะเป็นผู้ทรงอำนาจในด้านนี้หรือไม่ “หมอหนู” ตอบแบบไม่ลังเล ว่า “เราหวังเช่นนั้น และเราต้องการความร่วมมือจากทุกฝ่าย ผู้คนไม่ควรจะด้อยค่านโยบายนี้ เราได้ทำทุกอย่างเพื่อให้มั่นใจแล้วว่า การใช้กัญชาอย่างผิดวิธีนั้น ผิดกฎหมาย และจะถูกดำเนินคดี เราเชื่อว่าถ้าทุกอย่างควบคุมได้แบบตอนนี้ นโยบายนี้ ก็สามารถจะถูกผลักดันในเชิงบวก และจะสร้างผลประโยชน์อีกมากมายให้กับประเทศ”
“หมอหนู” ยังบอกว่า ขนาดประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย ที่มีความเข้มงวดมากในเรื่องยาเสพติด ยังให้ความสนใจ “นโยบายกัญชา” ของไทย และจะถือโอกาสในช่วงเดินทางมาประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียน ที่จะมีขึ้นในสัปดาห์หน้า มาขอพบปะพูดคุยเรื่องนี้ด้วย
...แน่นอน เรายินดีจะนำชมสิ่งต่างๆ ที่เราทำเกี่ยวกับนโยบายกัญชาของไทย จะร่วมกันผลักดันนโยบายนี้อย่างไร เพื่อที่จะให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติในทุกแง่มุม ไม่ว่าจะเป็นทางเศรษฐกิจ ทางการแพทย์ การดูแลผู้ป่วยด้วยผลิตภัณฑ์กัญชาแบบไม่มีปิดบัง เพราะเราต้องการให้ทุกคนตระหนัก มองเห็นถึงคุณประโยชน์ของกัญชา และยิ่งมีคนสนใจเรื่องนี้มากเท่าไหร่ ก็จะทำให้เกิดพัฒนาการ การวิจัยมากขึ้น แล้วในที่สุดก็ที่สุดจะเป็นประโยชน์กับประชาชนทุกคน ในทุกประเทศที่เชื่อมั่นในนโยบายนี้...
สำหรับ ร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชง ที่จะใช้เป็นกรอบในการควบคุมการใช้กัญชาให้ถูกต้อง ที่ “วิษณุ เครืองาม” รองนายกรัฐมนตรี แจ้งต่อที่ประชุม ครม.เมื่อสองวันก่อนว่า ขณะนี้อยู่ในชั้นการพิจารณาของคณะกรรมาธิการ คาดว่า แล้วเสร็จในสัปดาห์หน้า แต่คงจะเข้าพิจารณาในสภาไม่ทันในสมัยประชุมนี้ ต้องรอสมัยประชุมหน้าในวันที่ 1 พ.ย. 65
ขณะที่ “ศุภชัย ใจสมุทร” ส.ส.ภูมิใจไทย ที่เป็นประธาน กมธ.วิสามัญพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชง บอกว่า ร่างกฎหมายจะแล้วเสร็จภายในสัปดาห์นี้ จากนั้นจะรีบเสนอเข้าสู่การพิจารณาของสภา ซึ่งยังมีเวลาอีกประมาณ 1 เดือน คือ สภาจะปิดสมัยประชุมวันที่ 18 ก.ย. แต่ถ้าในสมัยประชุมนี้ไม่ทัน ก็เชื่อว่า น่าจะได้รับการพิจารณาในลำดับต้นๆ ของสมัยประชุมหน้า
ก็ต้องติดตามกันว่า ร่าง พ.ร.บ.กัญชา จะเสร็จเร็วตามที่ “พรรคภูมิใจไทย” ตั้งใจไว้หรือไม่ เพราะเรื่องนี้มีผลต่อการหาเสียงเลือกตั้งเสียด้วยสิ