xs
xsm
sm
md
lg

[คำต่อคำ] SONDHI TALK : เพโลซี & ไต้หวัน อย่าเล่นกับไฟ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



วันที่ 5 ส.ค.65 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ไลฟ์สด “SONDHI TALK” ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ คุยทุกเรื่องกับสนธิ ช่องยูทูป Sondhitalk และแอปพลิเคชัน Sondhi App โดยประเด็นที่ได้เล่าในวันนี้เป็น
-ถนนพระราม 2 ถนนเจ็ดชั่วโคตรทางหลวงสายมรณะ

-มกุฎราชกุมารบินซัลมาน แห่งซาอุดิอาระเบีย ผู้กำลังพลิกชะตาโลก

-ย้อนอดีตแค้นฝังหุ่น แนนซีเพโลซี vs จีน

-เพโลซีเหยียบไต้หวันจุดชนวนความตึงเครียด
-อย่าเล่นกับไฟจับตาจีนเอาคืนสหรัฐฯ ทะเลจีนใต้เดือดกว่าที่คิด

ติดตามได้ใน SONDHI TALK : ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง Ep.149



คำต่อคำ SONDHI TALK EP. 149 [5 ส.ค. 2565] : เพโลซี & ไต้หวัน อย่าเล่นกับไฟ

ช่องทางการรับชมรับฟัง "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" หรือ SONDHI TALK
แอปพลิเคชัน : SONDHI APP
ระบบ iOS ดาวโหลดได้ที่ AppStore : https://apps.apple.com/th/app/sondhi-app/id1588046647.
ระบบ Android ดาวโหลดได้ที่ Google Play : https://play.google.com/store/apps/details?id=com.sondhitalk.asia.android
เฟซบุ๊กแฟนเพจ : คุยทุกเรื่องกับสนธิ
YouTube : Sondhitalk
เว็บไซต์: www.sondhitalk.com
Podcast หรือ podbean : SONDHI TALK

สวัสดีครับท่านผู้ชม วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2565 เวลาผ่านไปเหมือนโกหก สิงหาคม เข้าไปแล้ว อาทิตย์ที่แล้วท่านผู้ชมหลายคนที่จะเข้าไปชมรายการ Sondhi Talk ย้อนหลังทางช่องยูทูบ แล้วหาไม่เจอ ไม่ต้องแปลกใจ เพราะยูทูบเราโดนปิดกั้นไป 7 วัน ตั้งแต่วันเสาร์ที่ 30 กรกฎาคม เหตุผลก็เพราะเราพูดเรื่องโรคระบาดและวัคซีน ถ้าโดนเตือนอีกสองครั้งภายในสามเดือนจะโดนปิดช่องไปเลย ผมบอกท่านผู้ชมแล้วไงว่า หลายๆ เรื่องที่เราพูดในเฟซบุ๊ก พูดไม่ได้ พูดในยูทูบไม่ได้ แต่พูดในช่องทางของเราได้ ท่านผู้ชมครับ อย่าประมาท สมัคร Sondhi App ใครยังไม่ได้สมัคร ก็ไปสมัครกัน ค่าบริการเดือนละ 99 บาท วันละ 3.30 บาทเอง ถ้าท่านผู้ชมสมัครรายปีจะถูกลงไปอีก แค่ 990 บาท ต่อ 12 เดือน แถมฟรี 2 เดือน อย่าลืมนะครับท่านผู้ชม สมัครเก็บเอาไว้ แค่วันละ 3 บาทเอง ไม่เสียหาย ถ้าโดนบล็อกเมื่อไร ท่านผู้ชมเปิดเข้าไปดู แล้วเรายังมีรายการดีๆ อีกเยอะ ใน Sondhi App ที่ในเฟซบุ๊ก และในยูทูบไม่มี เป็นแหล่งข้อมูล แหล่งปัญญาที่แท้จริง

อาทิตย์นี้ผมจะพูดหลายเรื่อง แต่ไม่เยอะ หลักๆ ก็แค่ประมาณ 3 เรื่องเท่านั้นเอง เรื่องแรกเราจะพูดถึง "ถนนเจ็ดชั่วโคตร" ซึ่งกำลังจะกลายเป็น "แปดชั่วโคตร" ใช่ครับ ถนนพระราม 2

เรื่องที่สอง ผมเอาประวัติเหตุการณ์ และการกระทำตัวของมกุฎราชกุมาร บิน ซัลมาน เจ้าชายซาอุฯ ที่กำลังพลิกชะตาโลก

เรื่องที่สาม คือการเยือนไต้หวันของเพโลซี อย่าเล่นกับไฟ เราย้อนอดีตให้รู้ว่า "เพโลซี" คือใคร อดีตทำไมเพโลซี ถึงเกลียดจีนนัก เพราะว่ามีเหตุการณ์บางเหตุการณ์ที่เพโลซี แค้นฝังหุ่น และประวัติย่อของเธอ แล้วจบลงด้วยหมากรุกฝรั่ง และหมากล้อมจีน

ท่านผู้ชมครับ มันมีถนนอยู่เส้นหนึ่ง ถ้าผมเอ่ยชื่อถนนนั้น ท่านผู้ชมคงจะรู้จักดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านผู้ชมที่พำนักพักอาศัยอยู่ใกล้เคียง ที่จำเป็นต้องพึ่งถนนเส้นนี้ แต่ถนนเส้นนี้ผมตั้งฉายาว่า "ถนนเจ็ดชั่วโคตร" ทางหลวงสายมรณะ ถนนพระราม 2 เมื่อไรจะจบเสียที


31 กรกฎาคม เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว วันอาทิตย์ที่ผ่านมา เหตุการณ์คานสะพานกลับรถถนนพระราม 2 สมุทรสาคร หล่นทับรถยนต์ที่ผู้คนกำลังเดินทางกลับจากวันหยุดยาว มีคนติดในรถเสียชีวิต 1 คน คนงานบนคานสะพานร่วงลงมาเสียชีวิตเพิ่มอีก 1 คน เป็น 2 คน

ไม่เคยมีใครคาดคิดว่าอุบัติเหตุนี้จะเกิดขึ้น แต่! ไม่ใช่ครั้งแรกนะครับ เพราะสะพานกลับรถนี้ก่อสร้างมาแล้วตั้งเกือบสามสิบปี เคยมีรถบรรทุกน้ำมันพลิกคว่ำไฟไหม้บนสะพานมาแล้ว ปี 2547 ตอนนี้มีสภาพชำรุดทรุดโทรม เพราะรถบรรทุกใช้เยอะ ถึงขนาดพื้นสะพานเห็นเหล็กโผล่ขึ้นมา น่าสยองขวัญมาก เท่าที่ทราบตอนนี้ได้มีการตั้งกรรมการตรวจสอบหลายหน่วยงาน สภาวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ซึ่งก็ไม่ได้มีอะไรประหลาดใจ เพราะสภาวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ก็ออกมาปกป้องตัวเองอย่างเดียว ไม่ยอมรับผิดที่ตัวเองทำ เอาล่ะ ช่างมันเถอะ


ผมจะไล่ตำนานของถนนเจ็ดชั่วโคตรให้ดู เป็นถนนเดียวในประเทศไทย ถนนเดียวจริงๆ นะ ทำมาตั้งห้าสิบกว่าปีแล้ว ตั้งแต่คนๆ หนึ่งเกิดแถวนั้น จนกระทั่งแก่ตัวลง อายุห้าสิบกว่าปี ถนนระยำนี่ก็ยังไม่เสร็จ

ถนนพระราม 2 เป็นถนนที่มีการก่อสร้างตลอดเวลา ผมจะไล่ให้ดูนะครับ ก่อสร้างหลักๆ ช่วงแรกคือช่วง 2513-2516 ช่วงยุคสมัยรัฐบาลชุด จอมพลถนอม กิตติขจร


ถนนพระราม 2 สมัยก่อนเรียกว่า ถนนธนบุรี-ปากท่อ รัฐบาลชุดนั้นพยายามลดความหนาแน่นของถนนเพชรเกษม ตั้งแต่กรุงเทพฯ ซึ่งสมัยก่อนวิ่งผ่านนครปฐม ถึง ราชบุรี พร้อมกับเปิดเมืองสมุทรสาคร และ สมุทรสงคราม ให้ไปมาหาสู่กันได้ ก็เลยสร้างถนนธนบุรี-ปากท่อ ตั้งแต่ปี 2513 ใช้งบประมาณแผ่นดิน 55 เปอร์เซ็นต์ อีก 45 เปอร์เซ็นต์ กู้เงินจากธนาคารโลก ระยะทางไม่มาก 84 กิโลเมตร รวมกับสะพานข้ามแม่น้ำแม่กลอง ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 421 ล้านบาท ใช้เวลาก่อสร้าง 3 ปี เปิดใช้อย่างเป็นทางการ 1 เมษายน 2516


ท่านผู้ชมครับ ผมยังจำได้ ยุคนั้น พอถนนธนบุรี-ปากท่อ เปิดใช้ มันย่นระยะเวลาถนนเพชรเกษม ซึ่งแต่เดิมต้องอ้อมไปทางนครปฐม ราชบุรี ย่นระยะทางไป 41 กิโลเมตรครึ่ง จากนั้นเป็นต้นมา คนที่เดินทางเข้า-ออกภาคใต้ เกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ ใช้ถนนสายธนบุรี-ปากท่อ เป็นหลัก สมัยนั้นเป็นถนนใหม่ คนเลยขับรถเร็ว เกิดอุบัติเหตุรถชน ชนประสานงา ตกถนนบ่อยครั้ง สี่ปีแรกที่เปิดถนนมีคนตายไป 60 คน ยุคนั้นเขาก็เลยเรียกว่า "ทางหลวงสายมรณะ"

ต่อมา ช่วงที่สอง 2532-2537 ซึ่งเป็นช่วงที่เปลี่ยนผ่านรัฐบาลมาถึงสี่รัฐบาล ตั้งแต่ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ นายอานันท์ ปันยารชุน พล.อ.สุจินดา คราประยูร และ นายชวน หลีกภัย


ช่วงนั้นกรมทางหลวงได้ขยายเส้นทางเป็น 4 เลน ตั้งแต่กรุงเทพฯ ถึง ปากท่อ พร้อมสะพานต่างระดับ 4 แห่ง ที่บางขุนเทียน สมุทรสาคร สมุทรสงคราม และ วังมะนาว ปัจจุบันขยายเป็นถนนตั้งแต่ 6 เลน ถึง 10 เลน ตั้งแต่บางขุนเทียน ถึง ปากท่อ


นับตั้งแต่นั้นมาก็มีรถสัญจรอย่างหนาแน่น ความเจริญเข้ามา เดิมทีเป็นสวนมะพร้าว ป่ากก นาเกลือ มีนายทุนกว้านซื้อที่ดินสวนบางมดมาทำหมู่บ้านจัดสรรนับร้อยๆ โครงการ คนนิยมซื้อบ้านทาวน์เฮาส์ รวมทั้งโรงงาน เกิดขึ้นมาแทนที่ มีโครงการมหาชัยเมืองใหม่ นิคมอุตสาหกรรมสมุทรสาคร ยังไม่นับรวมศูนย์การค้าขนาดใหญ่อย่างเซ็นทรัลพระราม 2 ห้างค้าปลีก ก็เปิดสาขาบนทำเลนี้อย่างคึกคัก

ต่อมา ช่วงที่สาม 2539-2548 เก้าปี ช่วงนี้ล่ะ ได้เกิดตำนาน "ถนนเจ็ดชั่วโคตร" เริ่มชัดเจนแล้วในช่วงนี้ 2539 สมัยรัฐบาลของบรรหาร ศิลปอาชา พรรคชาติไทย (ตอนนั้น) ต่อด้วยรัฐบาลของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ พรรคความหวังใหม่


เมื่อกรมทางหลวงก่อสร้างถนนพระราม 2 ตั้งแต่สามแยกบางปะแก้ว จนถึงถนนวงแหวนรอบนอกตะวันตก ขยายจาก 4 เลน เป็น 14 เลน ทั้งๆ ที่เพิ่งจะขยายเป็น 4 เลน แล้วเสร็จไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทำให้ต้องทุบถนนเดิมทิ้ง สร้างใหม่ ท่านผู้ชมถ้าอยู่ในเหตุการณ์ช่วงนั้น อายุมากพอ ยังจำได้ใช่ไหม ถนนช่วงนั้นเละเทะมาก ฝนตก มีแต่ดินโคลน คนอยู่แถวจอมทอง แสมดำ ท่าข้าม ยังต้องเจอฝุ่นละอองยาวนาน มิหนำซ้ำการก่อสร้างถนนพระราม 2 ในยุคนั้นชุ่ยมาก ถนนมืด ไม่มีไฟส่องสว่าง ไม่มีสัญญาณไฟก่อสร้างใดๆ ญาติของอดีต ส.ส.สุราษฎร์ธานี ชื่อ คุณสุวัต วิชัยดิษฐ์ ขับรถชนแท่งปูนบาดเจ็บสาหัส ที่หนักที่สุดคือทางแยกต่างระดับบางขุนเทียน


ผู้รับเหมาขาดสภาพคล่อง ก่อสร้างต่อไม่ได้ ก็ทำแบบที่เคยชินมาก ก็คือทิ้งงานไปเฉยๆ พอชาวบ้านด่ามากขึ้น ทำให้รัฐมนตรีฯ คมนาคมยุคนั้น ที่ชื่อ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ในสมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ต้องลงมาจี้ เร่งรัดการก่อสร้าง หนักกว่านั้น ถนน 14 เลน ตรงการเคหะธนบุรี ก่อสร้างล่าช้าที่สุด รถติดหนักที่สุด เพราะเหลือเฉพาะทางขนาน 3 เลน กว่าจะเสร็จตลอดทั้งเส้นก็ปี 2548 เกือบเก้าปี เบ็ดเสร็จตั้งแต่แยกบางปะแก้ว ถึง บางขุนเทียน ใช้เวลาสร้าง 10 ปี


มาถึง 2550 มีการเปิดใช้ทางด่วนบางพลี-สุขสวัสดิ์ และสะพานกาญจนาภิเษก สิ้นสุดที่ถนนพระราม 2 ตรงทางแยกต่างระดับบางขุนเทียน ทำให้รถที่วิ่งมาจากทางภาคตะวันออก ชลบุรี หรือสนามบินสุวรรณภูมิ อ้อมมาใช้ทางด่วนตรงนี้ไปทางภาคใต้ได้ โดยที่ไม่ต้องเข้าใจกลางกรุงเทพมหานคร อย่างเช่น บางนา ท่าเรือ ดาวคะนอง ที่เจอรถติดบนทางด่วนบ่อยครั้ง

ท่านผู้ชมครับ ทุกวันนี้ปริมาณการจราจรบนถนนพระราม 2 มีประมาณกว่า 2 แสนคันต่อวัน วันหยุดสุดสัปดาห์ วันหยุดเทศกาล ต้องทำใจ รถจะติดมากเป็นพิเศษ เพราะเป็นเส้นทางหลักไปทางภาคใต้ รถจะติดยาวเหยียดก่อนจะค่อยๆ เคลื่อนตัวช้าไปถึง จ.สมุทรสงคราม เพราะไม่มีเส้นทางเลี่ยงรถติดให้เลือก

ช่วงที่สี่ คือ ถนนเจ็ดชั่วโคตรยุคทหาร 11 กิโลเมตร ผลาญงบประมาณไป 2,200 ล้านบาท ถนนพระราม 2 ถึงแม้ว่าจะขยายเป็นถนน 10 เลน ตั้งแต่บางขุนเทียน ถึง นิคมอุตสาหกรรมสมุทรสาคร แต่เผอิญมีการก่อสร้างอย่างประปราย เช่น การทุบสะพานข้ามทางรถไฟของเก่า 2 สะพาน บริเวณกิโลเมตรที่ 18 ช่องทางหลัก แล้วก่อสร้างสะพานใหม่ขนาด 3 ช่องจราจร ทยอยทำทีละสะพาน


ถนนเจ็ดชั่วโคตร ครั้งล่าสุด เกิดขึ้นกลางปี 2561 สมัยรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คนที่รับผิดชอบคือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กรมทางหลวงได้งบประมาณถนนพระราม 2 อีก ตั้งแต่ต่างระดับบางขุนเทียน ถึง เอกชัย ความยาวแค่ 11.7 กิโลเมตร จากเดิมเป็นถนน 10 เลน แบ่งเป็น ช่องทางหลัก 2 เลน ช่องทางขนาน 2 เลน ยกพื้นที่ให้สูงขึ้น แบ่งเป็น ช่องทางหลัก 4 เลน ช่องทางขนาน 3 เลน รวมเบ็ดเสร็จ 14 เลน พร้อมสะพานกลับรถ 2 แห่ง ทุบสะพานข้ามทางรถไฟ สร้างใหม่ให้สูงเท่ากับสะพานด้านช่องขนาน ใช้งบประมาณไป 2 พันกว่าล้านบาท ผ่านไปหนึ่งปี การก่อสร้างล่าช้า ปล่อยปละละเลย รถติดทุกวัน ช่วงเช้าและช่วงเย็น

เมื่อการก่อสร้างล่าช้า ชาวบ้านย่านถนนพระราม 2 ก็พากันประท้วงว่ารถติดหนักมาก ตั้งฉายาว่าเป็น "ถนนเจ็ดชั่วโคตร"

ช่วงที่ล่าช้าที่สุดในช่วงของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นั้น คนที่รับผิดชอบคือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่ต้องรับผิดชอบเต็มๆ คือ คุณอาคม

คุณอาคม มีงานรับผิดชอบหลายงานที่ทำไม่เสร็จ แล้วสร้างปัญหาจนถึงทุกวันนี้ ตั้งแต่สมัยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม อีกงานหนึ่งก็คือ รถไฟความเร็วสูง ที่วันหลังผมจะมาพูดให้ฟังว่าทุกวันนี้รถไฟความเร็วสูงที่มันไม่ไปไหนเลยก็เพราะว่าคุณอาคม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นั่นเอง แต่แปลก ไม่เคยมีใครพูดถึงคุณอาคม เลย ท่านทำตัวเป็นนินจา ซ่อนตัวไว้ได้อย่างดี ทั้งๆ ที่ท่านทำความเสียหายให้กับการเดินทาง กิจการคมนาคม อย่างชนิดที่เรียกว่าหาตัวเปรียบไม่ได้

ปัญหาใหญ่ของถนนเจ็ดชั่วโคตร คือการออกแบบผิวถนน ท่านผู้ชมครับ ผิวถนนบางกว่าที่ควรจะเป็น เพราะถนนพระราม 2 มีรถบรรทุกวิ่งทุกวัน ความหนาของผิวถนนต้องประมาณ 20 เซนฯ แต่แบบก่อสร้างที่กรมทางหลวงให้มา กลับกำหนดความหนาแค่ 13 เซนฯ เอง ต้องแก้แบบก่อสร้างภายหลัง เสียเวลาไปหนึ่งปี ทำให้ผู้รับเหมาเบิกค่าก่อสร้างไม่ได้ เพราะไม่มีแบบก่อสร้าง ต้องไปกู้หนี้ยืมสิน กระทบต่อสภาพคล่อง ทำให้งานส่วนหนึ่งล่าช้า แต่นายอานนท์ เหลืองบริบูรณ์ ขณะนั้นดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมทางหลวง อ้างว่า ที่กำหนดเพียง 13 เซนฯ เพราะเมื่อขยายถนนเสร็จ จะก่อสร้างทางยกระดับไปด้วย แล้วต่อไปจะให้รถบรรทุกขึ้นไปใช้ทางยกระดับมากขึ้น

ท่านผู้ชมครับ ตรรกะของท่านอธิบดีกรมทางหลวงนั้นฟังไม่ขึ้น เพราะถนนพระราม 2 มีโรงงานอุตสาหกรรมจำนวนมาก ย่อมมีรถบรรทุกส่วนหนึ่งที่เลือกใช้ถนนด้านล่าง ไม่ใช้ถนนทางต่างระดับ เพราะว่าต่อไปต้องเสียค่าผ่านทาง ต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย ก็เลยใช้ถนนด้านล่าง หากความหนาของถนนตั้งไว้แค่ 13 เซนฯ เพื่อมารองรับรถบรรทุกสิบล้อบ้าง สิบหกล้อบ้าง ถนนพังเร็วแบบเดียวกับถนนบางนา-ตราด ช่วงตั้งแต่สนามบินสุวรรณภูมิ ถึง ชลบุรี บางช่วงพังเป็นแถบๆ คนใช้รถจำเป็นต้องเสียเงินขึ้นไปใช้ทางด่วนบูรพาวิถี เพราะถ้าทนวิ่งข้างล่างแล้ว ช่วงล่างจะพังหมด

แม้ถนนพระราม 2 ตั้งแต่ต่างระดับบางขุนเทียน ถึง เอกชัย จะทยอยปรับปรุงกันแล้วเสร็จตั้งแต่ 2564 (ปีที่แล้ว) กระทั่งเสร็จสมบูรณ์ทั้งโครงการ ปิดงบประมาณ 2564 แต่ก็ต้องเจอโครงการทางยกระดับพระรามที่ 2 ซึ่งทำเป็นมอเตอร์เวย์หมายเลข 82


ท่านผู้ชมรู้ไหม โครงการนี้เริ่มก่อสร้างตั้งแต่เดือนสิงหาคม ปี 2562 สามปีที่แล้ว ก่อสร้างซ้ำซ้อนกับการปรับปรุงถนน ก่อสร้างไปด้วย ปรับปรุงถนนไปด้วย ก็เลยปิดช่องทางจราจรลงจาก 4 เลน เหลือ 3 เลน แถมสาธารณูปโภค พวกร่องน้ำคอนกรีตส่วนหนึ่งที่สร้างเสร็จแล้ว พอจะทำทางยกระดับก็ต้องทุบทิ้ง แล้วต่อด้วยการก่อสร้างโครงการทางยกระดับพระราม 2 ช่วงเอกชัย ถึง บ้านแพ้ว ต่อไปอีก 16.4 กิโลเมตร

มิหนำซ้ำ ถนนพระราม 2 ช่วงตั้งแต่ทางต่างระดับบางขุนเทียน ที่เคยเป็นถนนเจ็ดชั่วโคตรมาก่อน ต่อเนื่องขึ้นทางด่วนเฉลิมมหานคร ถึง สะพานแขวน


ยังมีอีกหน่วยงานหนึ่ง คือ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย กำลังก่อสร้างทางด่วนสายพระราม 3-ดาวคะนอง-วงแหวนตะวันตก อีก 18.7 กิโลเมตร โดยสร้างบนเกาะกลางถนนพระราม 2 และไปคร่อมกับทางด่วนเส้นเดิม กลายเป็นทางด่วน 2 ชั้น จากนั้นก็จะเป็นสะพานขึงขนานกับสะพานพระราม 9 ตอนนี้ช่วงเช้าและช่วงเย็นรถจะโคตรติดมาก ตามแผนการก่อสร้างแล้ว จะแล้วเสร็จทั้งโครงการ ปี 2567 (อีกสองปี) บางสัญญาล่าช้าเพราะต้องยกเลิกการประกวดราคา และประมูลใหม่ก็ตาม

ประเด็นครับ ท่านผู้ชม งานก่อสร้างถนนที่ยาวนานถึง 40-50 ปี เหมือนไม่มีวันจะเสร็จ แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์อันคับแคบและสั้น ของรัฐบาลทุกยุคทุกสมัยในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา ไม่มีการวางแผนระยะยาว ตัวเองเข้ามาก็อนุมัติการก่อสร้างเพื่อกินค่าคอมมิชชันจากผู้รับเหมาก่อสร้าง พอเปลี่่ยนรัฐบาลก็มีโครงการใหม่เข้ามาเสริม เพราะอะไร ? เพราะโครงการเก่าจ่ายค่าคอมมิชชันไปแล้ว ถ้าจะรับเงินรับทองผู้รับเหมาก็ต้องสร้างโครงการใหม่เข้ามาเสริม หรือทับโครงการเก่า เห็นหรือยังครับ ความเห็นแก่ตัว และความต้องการฉ้อราษฎร์บังหลวงของผู้มีอำนาจในแผ่นดิน คือส่วนหนึ่งที่ทำให้ถนนพระราม 2 กลายเป็นถนนเจ็ดชั่วโคตร เขาไม่มีแผนแม่บท (Master Plan) ระยะยาวๆ ใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องผังเมือง ถนน โรงงาน ตลาด ห้างสรรพสินค้า ย่านการค้า ที่อยู่อาศัย โรงพยาบาล

ท่านผู้ชมครับ การทำงานโดยไม่คำนึงถึงประชาชนเหล่านี้ที่ต้องได้รับผลกระทบในชีวิตทุกๆ วัน ต้องเผชิญรถติดเมื่อออกไปทำงาน ไปเรียน ต้องเผื่อเวลาเดินทาง 3-4 ชั่วโมง ยังไม่นับฝุ่นควันจากการก่อสร้าง อุบัติเหตุจากการทำงานที่ปรากฏให้เห็นเป็นข่าวตลอด แทนที่จะสร้างถนนกับทางยกระดับไปพร้อมกันให้เสร็จพร้อมกัน ไล่เลี่ยกัน กลับสร้างถนนทีหนึ่ง สร้างเสร็จก็ทุบทิ้ง สร้างทางยกระดับ ทำทิ้งทำขว้าง ทั้งๆ ที่เงินที่นำมาก่อสร้างทั้งถนนและทางยกระดับพระราม 2 มาจากภาษีอากรของเรา


นี่ล่ะครับท่านผู้ชม "ถนนเจ็ดชั่วโคตร" มันเกิดขึ้นเพราะโคตรพ่อโคตรแม่ของนักการเมือง เมื่อมันเห็นถนนนี้เซ็นสัญญาไปแล้ว มันก็สร้างถนนขึ้นมาใหม่เพื่อทับไปอีก เพื่อมันจะได้ค่าคอมมิชชันต่อ ถนนที่สร้างเสร็จแล้ว เมื่อถูกสร้างทับ ก็ต้องมาบีบช่องทางเพื่อให้การก่อสร้างทำไปได้ จาก 4 เลน เหลือ 3 เลน เหลือ 2 เลน ทั้งหมดนี้เป็นผลทำให้ประชาชนที่อยู่อาศัยย่านนั้นใช้เวลาเดินทางต้องเตรียมตัวตั้ง 3-4 ชั่วโมง จะบ้ากันไปแล้ว ใครเดินทางจากพระราม 2 ใช้เวลา 3-4 ชั่วโมง เด็กไปเรียนหนังสือ ทำอย่างไร พ่อแม่ไปทำงาน ทำอย่างไร นี่คือความระยำตำบอนของผู้มีอำนาจในรัฐบาล เป็นไปได้อย่างไร ถนนเจ็ดชั่วโคตรใช้เวลาห้าสิบปียังไม่เสร็จ นี่ต้องลงเป็นประวัติ Guinness Book of Record แล้วนะ

แล้วกรมทางหลวงอีกเหมือนกัน ใช้ส่วนไหนของสติปัญญาคิดว่าความหนาของถนนเอาแค่ 13 เซนฯ จริงๆ มันต้อง 20 เซนฯ เพราะมีรถบรรทุกวิ่งเยอะ พอ 13 เซนฯ แล้วก็บอกว่าจะให้คนขึ้นไปวิ่งบนทางต่างระดับ เอ้า! ไปจำกัดสิทธิของเขาที่จะวิ่งข้างล่างได้อย่างไร ถ้าเขาไม่ต้องการที่จะจ่ายเงินจ่ายทองที่จะต้องเสียค่าทางต่างระดับ ก็ต้องให้สิทธิเขาวิ่งข้างล่าง เมื่อให้สิทธิเขาวิ่งข้างล่างแล้ว ข้างล่างจะ 13 เซนฯ ได้อย่างไร มันก็ต้อง 20 เซนฯ นี่ไงท่านผู้ชม ทุกอย่างในประเทศไทยมันฉิบหายเพราะนักการเมืองบางคน และในขณะเดียวกัน ข้าราชการประจำบางคนที่สนใจกันอยู่อย่างเดียว คือ กูจะได้ค่าคอมมิชชันหรือเปล่า ท่านผู้ชมที่อยู่แถวนั้น ทนต่อไปนะครับกับถนนเจ็ดชั่วโคตร อีกหน่อยจะกลายเป็นแปดชั่วโคตรแล้ว ท่านผู้ชม

วันนี้ผมจะแนะนำให้รู้จักผู้นำของประเทศคนหนึ่งที่กำลังมีบทบาทอย่างสูงในเวทีโลก ในเวทีภูมิรัฐศาสตร์วันนี้ เราจะปฏิเสธมกุฎราชกุมาร บิน ซัลมาน เจ้าชายซาอุฯ คนนี้ไม่ได้เลย


ตอนนี้ เจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน (Mohammed Bin Salman) หรือชื่อย่อเขาเรียกว่า MBS ผมใช้ชื่อว่า MBS แล้วกันนะครับ มุฮัมมัด บิน ซัลมาน (Mohammed Bin Salman) เนื้อหอมมาก อายุแค่ 36 ปี ปัจจุบันนอกจากเป็นมกุฎราชกุมารแล้ว ยังดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีกลาโหมซาอุดีอาระเบีย จริงๆ แล้ว โดยพฤตินัยแล้ว เป็นประมุขของซาอุดีอาระเบียแทนพ่อแล้ว พระบิดาของเจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน (Mohammed Bin Salman : MBS) คือ สมเด็จพระราชาธิบดีซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อาล ซะอุด ตอนนี้ 86 แล้ว ถ้านับวัยของเจ้าชาย MBS แล้ว ก็หมายความว่าพระบิดามีพระโอรสพระองค์นี้ตอนอายุ 50 ปี

สองสัปดาห์ก่อน ในรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ในวันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม 2565 ผมได้เคยเล่าให้ท่านผู้ชมฟังแล้วว่า เวลานี้แม้แต่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำประเทศมหาอำนาจเบอร์หนึ่งของโลก ซึ่งผมตั้งข้อสงสัยว่าน่าจะมีอาการอัลไซเมอร์ระยะต้น ยังต้องวิ่งไปหามกุฎราชกุมารบิน ซัลมาน ถึงซาอุดีอาระเบีย เพื่อขอความช่วยเหลือเกี่ยวกับประเด็นราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นอย่างมาก และกระทบไปถึงค่าพลังงาน และค่าครองชีพคนอเมริกัน จนทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้ออย่างมหาศาล สูงสุดในรอบหลายสิบปีในอเมริกา


แต่พอ โจ ไบเดน ไปถึง ท่าทางจะเคอะเขินอิหลักอิเหลื่อ เพราะเวลาเจอกัน ไบเดน ก็ชนกำปั้น เดี๋ยวนี้ผู้นำเขาชนกำปั้นกัน เหมือนสมัยก่อนเวลาถ่ายรูปกันช่วงโควิด ใส่หน้ากาก แล้วเอาข้อศอกกระทบกัน พวกนักสิทธิมนุษยชนที่โจ ไบเดน และอเมริกาชุบเลี้ยงเอาไว้ ที่เคยโจมตี กดดัน แทรกแซงประเทศอื่น ก็ถึงกับทนไม่ไหว้ ต้องอ้าปากด่าผู้นำสหรัฐฯ ว่าไปแตะเนื้อต้องตัวทักทายกับเจ้าชายที่ได้ชื่อว่าเป็นฆาตกร โดยเขาอ้างว่า MBS เป็นคนสั่งฆ่านายจามาล คาช็อกกี (Jamal Khashoggi) ผู้สื่อข่าวและคอลัมนิสต์ของหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ ณ สถานกงสุลซาอุดีอาระเบีย ที่กรุงอิสตันบูล ประเทศตุรกี เมื่อ 2 ตุลาคม 2561 สี่ปีที่แล้ว


การไปเยือนซาอุฯ ของไบเดน ไปแล้วปรากฏว่าทางซาอุดีอาระเบียเขามอบผลไม้ให้เอากลับมาที่อเมริกา นั่นคือ "แห้วซาอุดีอาระเบีย" คว้าน้ำเหลว เหตุผลก็เพราะว่า พอนายไบเดน ไปต้องการจะโชว์ออฟ สิทธิมนุษยชนก็เลยเอาเรื่องการฆาตกรรมนายคาช็อกกี คือการกล่าวหามกุฎราชกุมารบิน ซัลมาน ว่าเป็นผู้บงการฆ่านายคาช็อกกี ก็เลยทำให้ทุกอย่างติดขัดไปหมด ความคาดหวังบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับการผลิตน้ำมันเพื่อช่วยลดราคาน้ำมันเบนซินที่ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อในอเมริกาปรับสูงขึ้น แตะระดับสูงสุดในรอบ 40 ปี ก็ไม่สามารถจะบรรลุข้อตกลงได้ เพราะท่านมกุฎราชกุมาร MBS ยืนยันว่า ซาอุดีอาระเบียจะเพิ่มผลผลิตน้ำมันสูงสุด 13 ล้านบาร์เรลต่อวัน ไม่สามารถผลิตเพิ่มได้มากกว่านี้


นอกจากนี้ ท่านยังพูดชัดเจนว่า ซาอุดีอาระเบียจะดำเนินการภายใต้กรอบของโอเปกพลัส แปลว่าอะไร ? "โอเปกพลัส" คือ กลุ่มโอเปกที่มีรัสเซียอยู่ด้วย ก็คือพูดง่ายๆ ว่า มึงคุยกับลูกพี่กู วลาดิมีร์ ปูติน หรือยัง อย่างที่ผมเคยเล่าให้ฟัง ทุกท่านทราบดีว่าพอเกิดสงครามในยูเครน ยุโรป และนาโต เดินตามเกมอเมริกา ด้วยการแซงก์ชันรัสเซียหลายต่อหลายอย่าง ไม่ว่าทางการเงิน ตัดรัสเซียออกจากระบบการเงิน ระบบ S.W.I.F.T. ยึดเงินทุนสำรองประมาณครึ่งหนึ่ง คือ 3 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ถอนการลงทุนบริษัทฝรั่งออกจากรัสเซีย สตาร์บัคส์เอย ยี่ห้อดังๆ เอย อิเกียเอย แมคโดนัลด์เอย แบนเที่ยวบินต่างๆ ไม่ให้บินเข้า-ออกจากยุโรป โน่นนี่นั่น แต่มาตกม้าตายตรงที่ยุโรปต้องพึ่งพาพลังงาน ทั้งก๊าซธรรมชาติ จากรัสเซียอย่างมหาศาล มหาศาลอย่างไร ?

ก๊าซธรรมชาติของยุโรป 40 เปอร์เซ็นต์ มาจากรัสเซีย น้ำมันของยุโรป 27 เปอร์เซ็นต์ มาจากรัสเซีย ยุโรปใช้เงินประมาณปีละ 4 แสนล้านยูโร หรือคิดเป็นเงินบาทถึง 15 ล้านล้านบาท เพื่อซื้อพลังงานจากรัสเซีย พอเกิดแซงก์ชันรัสเซีย และยกเลิกท่อส่งก๊าซ Nord Stream 2 ก็เกิดการขาดแคลนพลังงานในยุโรปอย่างรุนแรง ราคาพลังงานพุ่งขึ้นสูงมาก เงินเฟ้อในยุโรปพุ่งทะลุเพดานสูงเป็นประวัติการณ์ สูงถึง 8.9 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเดือนกรกฎาคม ที่ผ่านมา


เพราะฉะนั้นแล้ว เมื่อมีปัญหากับรัสเซีย ซึ่งเป็นผู้ส่งออกพลังงานรายใหญ่ของโลก ประเทศในยุโรปทั้งหลายก็เลยต้องวิ่งไปหาทางเลือกทางอื่นนอกจากรัสเซีย ในส่วนน้ำมันนั้น รัสเซียเป็นคนส่งออกอันดับสองของโลก อันดับหนึ่ง คือ ซาอุดีอาระเบีย

นี่เองเป็นสาเหตุที่ว่า เพราะเหตุใดมกุฎราชกุมาร บิน ซัลมาน ถึงเนื้อหอมขนาดนี้ ตอนนี้มีแต่คนอยากเจอ

นอกจากเรื่องราคาน้ำมัน และราคาพลังงานที่พุ่งสูงขึ้นทั่วโลก นับตั้งแต่เกิดสงครามในยูเครนแล้ว ท่านผู้ชมหลายท่านก็น่าจะพอจำได้ ผมเคยพูดถึงที่มาที่ไปของ "เปโตรดอลลาร์" ซึ่งเชื่อมโยงไปถึงสถานะความเป็นเจ้าโลกของอเมริกาด้วย ในรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ตอนที่ 129 วันที่ 18 มีนาคม 2565 ตัวละครที่สำคัญที่สุดตัวละครหนึ่งในการสร้างเปโตรดอลลาร์ขึ้นมา ก็คือซาอุดีอาระเบียนั่นเอง

ในตอนนั้นผมเล่าย้อนหลังถึงช่วงต้นทศวรรษที่ 1970 หรือห้าสิบปีที่แล้ว เกิดวิกฤตน้ำมันขึ้นมาในปี 1973 Oil Crisis เกิดจากกรณีกลุ่มประเทศในตะวันออกกลางได้แสดงความไม่พอใจที่อเมริกาสนับสนุนอิสราเอลทำสงครามกับชาติอาหรับด้วยการใช้กลุ่มชาติส่งออกน้ำมันรวมตัวกันขึ้นราคาน้ำมัน คือ โอเปก มีมติคว่ำบาตร ยุติการซื้อขายน้ำมันดิบกับอเมริกาและชาติอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น แคนาดา ญี่ปุ่น เนเธอร์แลนด์ และสหราชอาณาจักร รวมทั้งลดปริมาณการผลิตน้ำมันดิบลง ทำให้ราคาน้ำมันสูงถึง 4 เท่า จาก 3 ดอลลาร์สหรัฐ เป็น 12 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อ 1 บาร์เรล ถ้าเทียบปัจจุบันก็คือ 70 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อ 1 บาร์เรล

วิกฤตน้ำมันดังกล่าวทำให้อเมริกาประสบการขาดแคลนน้ำมันครั้งใหญ่ ปั๊มน้ำมันในอเมริกา 1 ใน 5 ทั่วประเทศ ไม่มีน้ำมันบริการลูกค้า การเติมน้ำมันต้องกำหนดที่ทะเบียนรถยนต์เลขคู่-เลขคี่ ทะเบียนลงท้ายด้วยเลขคู่ ก็เติมในวันคู่ วันที่ 2 วันที่ 4 วันที่ 6 วันที่ 8 ฯลฯ ส่วนลงท้ายด้วยเลขคี่ก็เติมวันที่ 1 วันที่ 3 วันที่ 5 วันที่ 7 ฯลฯ


ในห้วงวิกฤตน้ำมันนั่นเอง ตัวแทนรัฐบาลกลุ่มทุนอเมริกาตอนนั้น นำโดยประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน และ เฮนรี คิสซินเจอร์ รัฐมนตรีต่างประเทศ เดินหน้าเจรจาลับกับราชวงศ์ซาอุด ของประเทศซาอุดีอาระเบีย จนกระทั่งมีข้อตกลงร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างอเมริกา และ ซาอุดีอาระเบีย ข้อตกลงดังกล่าวลงนามกันเมื่อเดือนมิถุนายน 2517 หรือ ค.ศ. 1974 มีเงื่อนไขว่า อเมริกาจะให้ความร่วมมือช่วยเหลือทางด้านเทคโนโลยีการผลิตน้ำมันและทางการทหาร เพื่อปกป้องราชวงศ์ซาอุดให้อยู่ในอำนาจไปยาวนาน แลกกับการที่ซาอุดีอาระเบียจะยอมขายน้ำมันให้กับอเมริกา หรือบริษัทอเมริกัน หรือชาติอื่นๆ คือพูดง่ายๆ ว่าให้ซาอุดีอาระเบียขายน้ำมันให้ทั่วโลก แต่ให้ใช้เงินดอลลาร์ ไม่เพียงเท่านั้น ซาอุดีอาระเบียช่วงนั้นก็ยังรับปากอเมริกา ว่า ในฐานะที่เป็นแกนนำกลุ่มโอเปก ซาอุดีอาระเบียจะโน้มน้าวให้ชาติสมาชิกโอเปกยินยอมขายน้ำมันสู่ตลาดโลกโดยใช้เงินดอลลาร์สหรัฐ เป็นตัวกลางซื้อขาย

ท่านผู้ชมครับ นี่ล่ะครับคือบทบาทของซาอุดีอาระเบียในเชิงเศรษฐกิจการเมืองโลกที่ช่วยค้ำบัลลังก์ให้อเมริกาสามารถและครองความเป็นเจ้าโลกอยู่ได้จนเกือบทุกวันนี้ จาก ค.ศ. 1973 มาถึงวันนี้ ห้าสิบปีกว่า กษัตริย์ไฟซาล ซาอุดีอาระเบียเปลี่ยนกษัตริย์มาแล้ว 4 พระองค์ ทุกพระองค์คอยค้ำบัลลังก์เปโตรดอลลาร์ไว้ตลอด ไม่เปลี่ยนแปลงนโยบาย แล้วถามว่า หากกษัตริย์ซาอุดีอาระเบียองค์ถัดไปล่ะ ยังคงใช้นโยบายเดิมไหม ? โดยเฉพาะตัวกษัตริย์ที่มีนามว่า มุฮัมมัด บิน ซัลมาน ซึ่ง MBS หรือ มกุฎราชกุมารฯ ได้แสดงทีท่าแล้วว่าไม่สนใจเปโตรดอลลาร์ ขายน้ำมันให้จีนโดยใช้เงินหยวน แล้วหลายๆ ประเทศก็ใช้เงินสกุลท้องถิ่น คือพูดง่ายๆ ว่าปฏิเสธเงินดอลลาร์ไปเลย นี่คือตัวอย่างที่เห็นได้ชัดว่าความสำคัญของ มุฮัมมัด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมาร ในขณะนี้เป็นผู้นำประเทศที่เนื้อหอมที่สุด ยุโรปก็ต้องการพบ ต้องการเจรจา นายกรัฐมนตรีกรีซเชิญไปเพื่อเจรจาทำสัญญา MOU ซื้อน้ำมันกับซาอุดีอาระเบีย ประธานาธิบดีฝรั่งเศส (ที่ผมเรียกว่า นายครองแครง) นายมาครง ก็เชิญไป เอาอกเอาใจใหญ่ ทั้งๆ ที่เป็นตัวการที่ดุด่าว่าร้ายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน ในเรื่องการตายของนายจามาล คาช็อกกี ผู้สื่อข่าว/นักคอลัมนิสต์ ของหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ ลืมไปหมดว่าเคยว่าอะไรเขามา วันนี้เอาตัวเองรอดก่อนแล้วกัน ยอมหมดทุกอย่าง

ก่อนที่เราจะพูดกันต่อไปเรื่องบทบาทของมกุฎราชกุมารซาอุดีอาระเบีย และ การจะมาเยือนประเทศไทยเร็วๆ นี้ เรามาดูหน่อยว่าพระองค์ท่านมีประวัติอยางไรบ้าง


พระองค์ท่านเป็นโอรสองค์ที่ 7 ของกษัตริย์ซัลมาน และเป็นบุตรชายคนโตในจำนวน 6 คน อันเกิดขึ้นจากภรรยาคนที่ 3 พระองค์ท่านให้การโปรดปรานเจ้าชาย MBS มากที่สุด แต่ยังไม่มีปรากฏหลักฐานว่าทำไมถึงชอบเจ้าชายองค์นี้

พระองค์ท่านจบด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัยคิง ซาอุด (King Saud University) สถาบันอุดมศึกษาที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศ ก่อนมาทำงานให้กับรัฐบาลหลายแห่ง ได้รับความไว้วางใจเป็นที่ปรึกษาของกษัตริย์อับดุลลาห์ ซึ่งตอนนั้นพระองค์ท่านมีชันษาแค่ 23 ชันษา

2558 พระองค์ท่านขึ้นเป็นมกุฎราชกุมาร ว่าที่กษัตริย์ของซาอุดีอาระเบีย อันเป็นช่วงเวลาการผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน หลังจากสมเด็จพระราชาธิบดีอับดุลลอฮ์ บิน อับดุลอะซีซ อาล ซะอูด เสด็จสวรรคต ทำให้พระบิดาของพระองค์ คือ เจ้าชายซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อาล ซะอูด ซึ่งเป็นมกุฎราชกุมารในขณะนั้น ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์ซาอุดีอาระเบียพระองค์ใหม่ต่อจากพระเชษฐา

ในช่วงที่เสด็จพ่อเป็นกษัตริย์นั้น MBS มุฮัมมัด บิน ซัลมาน มีตำแหน่งเต็มไปหมดเลย ผมไม่อยากจะอ่าน มันเยอะเกินไป ตำแหน่งที่สำคัญ และความสำคัญของเจ้าชายบิน ซัลมาน ทำให้พระองค์ท่านมีฉายาในวงการทูต เขาเรียกพระองค์ท่านว่า "Mr. Everything" เป็นที่รับรู้โดยทั่วไปว่าพระองค์ท่านโดยพฤตินัยแล้วก็คือกษัตริย์องค์ใหม่ของซาอุดีอาระเบียนั่นเอง


พอพระองค์ท่านขึ้นเป็นแล้ว ท่านมีพระราชอำนาจเบ็ดเสร็จในหลายส่วน พระองค์ทรงได้รับเสียงชื่นชมจากหลายชาติตะวันตกในการเดินหน้าปฏิรูปสังคมซาอุดีอาระเบียในหลายด้าน พระองค์ท่านเปิดเสรีให้สตรีมากขึ้นท่ามกลางสังคมซึ่งเป็นสังคมที่อนุรักษ์นิยมมาก พระองค์ท่านคิดแผนยุทธศาสตร์ วิสัยทัศน์ซาอุดีอาระเบีย 2030 คือการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศให้ลดการพึ่งพาการส่งออกน้ำมัน และเพิ่มความหลากหลายทางเศรษฐกิจของประเทศ พัฒนาด้านการบริการทางสาธารณะ เปิดกว้างทางด้านการท่องเที่ยว รวมทั้งเสริมสร้างการลงทุนทางเศรษฐกิจ และเพิ่มการค้าระหว่างประเทศนอกเหนือจากอุตสาหกรรมน้ำมัน

แต่ถึงพระองค์ท่านจะได้รับความชื่นชมในการเปิดนโยบายกว้างของประเทศ แต่ก็ตกเป็นจำเลยของสื่อ จากการเสียชีวิตของนายจามาล คาช็อกกี อย่างที่ผมเล่าให้ฟัง

ท่าทีและแนวโน้มด้านนโยบาย มกุฎราชกุมาร บิน ซัลมาน หลังรัสเซียยกทัพบุกยูเครนในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2565 มีข่าวหลุดออกมาจากหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่อย่างเช่น วอลล์สตรีทเจอร์นัล ว่า เจ้าชายบิน ซัลมาน ปฏิเสธจะรับโทรศัพท์จากนายโจ ไบเดน เพื่อหาแหล่งพลังงานทดแทน หลังจากที่นายโจ ไบเดน เป็นหัวหอกประกาศแบนพลังงานจากรัสเซียจากกรณียูเครน นอกจากนี้ ในเวลาต่อมายังส่งสัญญาณชัดเจนด้วยว่าจะสั่นคลอนระบบเปโตรดอลลาร์ด้วยการกำหนดราคาน้ำมันที่ซื้อขายเป็นสกุลเงินหยวน

ท่านผู้ชมครับ ผมมีเกร็ดเรื่องของรัสเซีย กับ ซาอุดีอาระเบีย ให้ท่านผู้ชมฟังนิดหนึ่ง จากวงในจริงๆ เหตุผลหนึ่งซึ่งมกุฎราชกุมาร มุฮัมมัด บิน ซัลมาน (MBS) สนิทสนมกับรัสเซีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับท่านประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน นั้น


เหตุผลเนื่องจากว่า ในประเทศซาอุดีอาระเบียเองนั้นมันมีเจ้าชายเยอะเหลือเกิน เต็มไปหมดเลย แล้วอดีตกษัตริย์คนที่แล้วก็มีฐานของเจ้าชาย ซึ่งเป็นลูกหลานของตัวเอง ที่ไม่ค่อยจะพอใจที่ MBS รวบอำนาจเอาไว้ โดยใช้ตำแหน่งที่เป็นมกุฎราชกุมารของพ่อ ได้มีความพยายามที่จะปฏิวัติและยึดอำนาจซาอุดีอาระเบียตอนนั้น โดยยึดอำนาจแล้วก็บีบให้ MBS ต้องลาออก แต่คนที่แจ้งให้ MBS ได้รับทราบเรื่องนี้ก็คือ วลาดิมีร์ ปูติน เพราะว่ารัสเซียมีความเชี่ยวชาญในเรื่องของการเป็นสายลับมาก แจ้งให้ทราบว่าจะมีการยึดอำนาจนะ นั่นคือที่มาของเหตุผลในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ที่ MBS จับราชวงศ์ซาอุด ซึ่งเป็นญาติพี่น้องของตัวเอง แต่คนละพ่อ กษัตริย์คนละองค์ จับติดคุก ยึดทรัพย์ อายัดทรัพย์ จับ House arrest ไม่ให้ออกนอกบ้าน นี่คือบุญคุณที่วลาดิมีร์ ปูติน มีให้กับมุฮัมมัด บิน ซัลมาน และนี่คือความทรงจำที่ดีว่าได้มีการช่วยเหลือ ด้วยเหตุนี้ซาอุดีอาระเบีย กับ รัสเซีย ก็เลยพูดภาษาเดียวกันในเรื่องของพลังงาน

ตอนนี้ซาอุดีอาระเบียเตรียมจะดึงเงินสกุลหยวนของจีนเข้าสู่ตลาดน้ำมันโลก โดยกำหนดราคาน้ำมันบางส่วนที่ขายให้จีนเป็นเงินสกุลหยวน ที่เป็นเช่นนี้เพราะซาอุดีอาระเบียกำลังเร่งเครื่องเจรจากับจีน ถ้าซื้อขายเป็นเงินหยวน ก็จะลดทอนอิทธิพลเงินสกุลดอลลาร์ของอเมริกาที่มีต่อตลาดน้ำมันโลก และเป็นการพิสูจน์ให้ชัดเจนว่า ตอนนี้ซาอุดีอาระเบียเริ่มหันหน้าเข้ามาทางเอเชียแล้ว ไม่ได้สนใจทางตะวันตก แล้วรัสเซียก็เป็นตัวกลางในการที่ทำให้มีการเจรจาทางลับกัน ระหว่างซาอุดีอาระเบีย กับ อิหร่าน ซึ่งเป็นคู่อาฆาตกันในอดีต จนกระทั่งทั้งสองประเทศเข้าใจซึ่งกันและกัน และเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ซาอุดีอาระเบียต้องถอยจากการบุกประเทศเยเมน ที่ตัวเองบุกประเทศเยเมนนั้น เพราะอเมริกายุยงส่งเสริมให้ซาอุดีอาระเบียยึดประเทศเยเมน อิหร่านก็เลยเข้าไปสนับสนุนประเทศเยเมน ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายก็เริ่มเป็นมิตรสหายที่ดีต่อกัน

ความคืบหน้าในการกำหนดราคาน้ำมันเป็นเงินสกุลหยวน มีนัยสำคัญ เหตุผลเพราะว่าซาอุดีอาระเบียไม่พอใจอเมริกามากขึ้นเรื่อยๆ เป็นคนส่งซาอุดีอาระเบียเข้าไปรบในเยเมนแล้วไม่ยอมสนับสนุน และยังพยายามรื้อฟื้นข้อตกลงทางนิวเคลียร์กับอิหร่าน ซึ่งซาอุดีอาระเบียบอกว่าซาอุดีอาระเบียต้องการมีนิวเคลียร์ของตัวเอง และการถอนทหารแบบสายฟ้าแล่บของอเมริกาที่ออกจากอัฟกานิสถาน

ปัจจุบันจีนซื้อน้ำมันจากซาอุดีอาระเบียมากกว่า 25 เปอร์เซ็นต์ ของจำนวนที่ซาอุดีอาระเบียส่งออกทั้งหมด การกำหนดราคาเป็นเงินหยวนจะช่วยเพิ่มสถานะสกุลของเงินจีน และการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกโฉมของซาอุดีอาระเบีย เขากำลังกำหนดว่าน้ำมันซาอุดีอาระเบียวันละ 6.2 ล้านบาร์เรล นั้น จะให้ใช้เงินสกุลอื่นที่ไม่ใช่เงินสกุลดอลลาร์ หมายความว่าอย่างไร ? หมายความว่า เกือบๆ 50 เปอร์เซ็นต์ ของน้ำมันที่ส่งออกไม่ต้องใช้เงินดอลลาร์แล้ว นี่คืออันตรายอย่างร้ายแรง

ความใกล้ชิดของจีน กับ ซาอุดีอาระเบีย สนิทสนมกันมาก จีนเข้าไปช่วยซาอุดีอาระเบียสร้างขีปนาวุธให้ตัวเอง ให้คำปรึกษาเรื่องโครงการนิวเคลียร์ ลงทุนในอภิมหาโครงการมกุฎราชกุมารบิน ซัลมาน เช่น เมืองอัจฉริยะ ที่ชื่อ "นีออม" (Neom) เมืองใหม่ที่เกิดขึ้นในจังหวัด Tabuk ทางตะวันตกเฉียงเหนือของซาอุดีอาระเบีย ซึ่งติดกับทะเลแดง มีพื้นที่กว่า 26,500 ตารางกิโลเมตร คาดว่าจะใช้เงินในการลงทุนถึง 5 แสนล้านดอลลาร์


เมื่อปี 2559 ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เยือนซาอุดีอาระเบีย และอเมริกาในยุคโจ ไบเดน ความสัมพันธ์ระหว่างจีน-ซาอุดีอาระเบีย ดีมากๆ แต่กับอเมริกา ตกลงไปมาก เหตุผลเพราะว่า ไบเดน มากล่าวหา MBS ในเรื่องการตายของนักหนังสือพิมพ์ชาวซาอุดีอาระเบีย ที่ชื่อ จามาล คาช็อกกี

เดือนที่แล้ว MBS มุฮัมมัด บิน ซัลมาน ปฏิเสธที่จะนั่งระหว่าง ไบเดน กับ กษัตริย์ซัลมาน องค์ประมุขซาอุดีอาระเบีย หลังจากที่พาไบเดน เข้าไปพบพ่อ บิน ซัลมาน ปฏิเสธที่จะนั่งตรงกลาง

ตอนนี้ปริมาณนำเข้าของน้ำมันซาอุดีอาระเบียที่อเมริกานำเข้าร่วงลงไปมาก ตกลงมาแค่วันละ 5 แสนบาร์เรล สวนทางกับจีน ซาอุดีอาระเบียขายจีนด้วยเงินหยวน วันละ 1.76 ล้านบาร์เรล มากกว่าอเมริกาถึงสามเท่าตัว 300 เปอร์เซ็นต์ ความสัมพันธ์ระหว่างอเมริกา และ ซาอุดีอาระเบีย เปลี่ยนไปแล้ว จีนเป็นผู้นำน้ำมันดิบรายใหญ่ที่สุดของโลก จีนเสนอแรงจูงใจมากมายกับซาอุดีอาระเบีย ยิ่งกว่านั้น ความสัมพันธ์แบบทวิภาคีที่แน่นแฟ้นระหว่างซาอุดีอาระเบีย จีน รัสเซีย แล้ว ซาอุฯ ยังเดินหน้าสานสัมพันธ์แบบพหุภาคี หรือจับกลุ่มรวมตัวกันสร้างขั้วอำนาจใหม่ในทางเศรษฐกิจและการเมืองด้วย นั่นคือ ซาอุดีอาระเบีย กำลังจะจับมือกับตุรเคีย และอียิปต์ เพื่อเตรียมเข้าร่วมกลุ่ม BRICS


ท่านผู้ชมจำได้ไหม กลุ่ม BRICS ของจีน B ก็คือบราซิล (Brazil) R ก็คือรัสเซีย (Russia) I ก็คืออินเดีย (India) C ก็คือจีน (China) ส่วน S คือแอฟริกาใต้ (South Africa) ตอนนี้ประธานกลุ่ม BRICS ประกาศแล้วว่าจะมีอีก 3-4 ประเทศ ที่แสดงความสนใจเข้าร่วม มีซาอุดีอาระเบีย ตุรเคีย อียิปต์ สามชาตินี้จะเข้าร่วมในเวลาเดียวกันหรือเปล่าไม่รู้ แต่ทั้งสามชาตินี้แสดงความสนใจจะเข้าร่วมกับ BRICS

แผนการเข้าร่วมกับกลุ่ม BRICS ของสามชาติมีขึ้นหลังจากอิหร่าน และอาร์เจนตินา เพิ่งยื่นสมัครเป็นสมาชิกกลุ่มในช่วงปลายเดือนมิถุนายน ท่านผู้ชมเห็นภาพชัดหรือยังตอนนี้ ถ้าประเทศในกลุ่ม BRICS จำนวน 5 ประเทศ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นประเทศยักษ์ใหญ่ของโลก ที่ไม่ใช่ฝรั่งแองโกล-แซกซัน มีประชากรรวมกัน 4 พันล้านคน มี GDP คิดเป็นสัดส่วนถึง 1 ใน 4 ของโลก การบวกอีก 5 ประเทศ รวมเป็น 10 ประเทศ


โดยสองประเทศที่ยื่นสมัครแล้ว คือ อิหร่าน ประชากร 84 ล้านคน อาร์เจนตินา ประชากร 45 ล้านคน แล้วปีหน้าจะยื่นใบสมัคร คือ ซาอุดีอาระเบีย ประชากร 35 ล้านคน ตุรเคีย 85 ล้านคน อียิปต์ 102 ล้านคน อีก 5 ประเทศนี้มีประชากรรวมแล้ว 350 ล้านคน ไม่นับถึงขุมพลังทางเศรษฐกิจ ทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งการเกษตร พลังงาน ไม่รวมทั้ง Soft Power ที่ประเทศเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นอู่อารยธรรม ร่ำรวยด้วยประวัติศาสตร์และภูมิปัญญายาวนานหลายพันปี ท่านผู้ชมลองคิดดูสิครับว่าในอนาคตกลุ่ม BRICS จะทรงพลังขนาดไหน

ที่สำคัญ ท่านผู้ชมรู้ไหม โครงการและแผนการต่างๆ ที่เขาเสนอกัน จะร่วมมือกัน ล้วนแล้วแต่เป็นโครงการในเชิงเศรษฐกิจ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การเงิน การสร้างระบบชำระเงินใหม่ ไม่ได้ชวนไปเป็นศัตรู สร้างศัตรู ชวนซื้ออาวุธ หรือชวนไปก่อสงคราม สร้างความขัดแย้ง แทรกแซงทางการเมืองในประเทศและประเทศเพื่อนบ้าน เหมือนกับอเมริกาและยุโรปที่กำลังทำอยู่ในปัจจุบัน ถ้าท่านผู้ชมเป็นคนที่เกี่ยวข้อง ท่านจะเข้าไปยืนอยู่ฝั่งไหน ฝั่งหนึ่งชวนกันพัฒนากันเอง ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน หาเงินหาทองให้ทุกคนร่ำรวย อีกฝั่งหนึ่งมีหน้าที่ขายอาวุธให้ท่าน ชวนท่านไปทะเลาะกับชาวบ้านเขา ให้ท่านออกหน้า แล้วตัวเองอยู่เบื้องหลัง เพื่อตอบสนองตัณหาของสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยห่วยๆ ที่นางแนนซี เพโลซี พยายามพูดอยู่ตลอดเวลาว่า เป็นการต่อสู้ระหว่างเผด็จการกับประชาธิปไตย ไม่ใช่ เป็นการต่อสู้ของประชาชนที่ต้องการจะปลดแอกตัวเองจากวาระประชาธิปไตยจอมปลอมที่ทางตะวันตกพูดออกมาเสมอ

นอกจากนี้ อย่างที่ผมเคยฉายภาพให้เห็นแล้ว ระหว่างการประชุมผู้นำกลุ่ม BRICS เขาเตรียมตัวที่จะจัดตั้งกองทุนสำรองระหว่างประเทศใหม่บนพื้นฐานของตระกร้าเงินของประเทศสมาชิก ลดการพึ่งพิงระบบการเงินตะวันตก จะเห็นได้ชัดนะครับ อย่างที่ผมเล่าให้ฟังว่าตอนนี้ซาอุดีอาระเบียเนื้อหอมมาก นายมาครง เชิญ MBS หารือแก้ปัญหาวิกฤตพลังงาน MBS ไปเยือน มิถุนายนที่ผ่านมา รับเชิญไปตุรเคีย กลางกรกฎาคม นายโจ ไบเดน มาเยือน ปลายกรกฎาคม ที่ผ่านมา ยุโรป กรีก และฝรั่งเศส เชิญบิน ซัลมาน ไปเยือน ผมเอารูปให้ดูนะ นาย Kyriakos Mitsotakis นายกรัฐมนตรีกรีก ต้อนรับเจ้าชายบิน ซัลมาน ณ กรุงเอเธนส์


เพราะฉะนั้นแล้ว ท่านผู้ชมครับ ซาอุดีอาระเบียในขณะนี้เป็นประเทศที่อาจจะเรียกได้ว่าเป็น Game Changer ของภูมิรัฐศาสตร์ทางการเมืองในโลกนี้

ท่านผู้ชมครับ องค์กรนิรโทษกรรมสากล หรือที่เรียกว่า แอมเนสตี อินเตอร์เนชันแนล (Amnesty International) ได้โจมตีมาครง ที่ต้อนรับเจ้าชายซาอุดีอาระเบีย อย่างรุนแรงว่า เป็นการสร้างความชอบธรรมให้กับการต่อรองผลประโยชน์ทางการเมือง นายมาครง สวนกลับว่า ซาอุดีอาระเบียเป็นประเทศที่สำคัญเกินกว่าจะเพิกเฉยได้


ท่านผู้ชมครับ ผมเคยกล่าวไปแล้วใช่ไหมว่า ตั้งแต่นางอังเกลา แมร์เคิล อดีตผู้นำเยอรมนี ประกาศวางมือทางการเมืองไป นายมาครง ถูกเชิดชูว่าเป็นผู้นำตัวจริงของกลุ่มอียู นายมาครง และ MBS มีความสนิทสนมกันมายาวนาน เพราะฉะนั้นแล้ว นายมาครง ก็เลยเอาประเทศตัวเองรอดก่อน ไม่ได้สนใจองค์กรนิรโทษกรรมสากล เพราะเวลาฝรั่งเศสขาดน้ำมัน ประชาชนเดือดร้อน องค์กรนิรโทษกรรมสากล ซึ่งอังกฤษ และอเมริกาอยู่เบื้องหลัง ก็ไม่ได้มาช่วยอะไรฝรั่งเศส หรือไม่ได้มาช่วยใคร มีแต่น้ำมันของซาอุดีอาระเบียเท่านั้นที่จะมาช่วยได้ เพราะฉะนั้น ท่านผู้ชมเชื่อผมสิครับ อะไรในโลกนี้ไม่สำคัญเท่าผลประโยชน์ของตัวเองก่อน เราหวังว่าประเทศไทยคงจะคิดแบบคนอื่นนะ ว่าเอาผลประโยชน์ของประเทศไทยมาเป็นตัวตั้ง ไม่ใช่เอาคำพูดที่หวานสวยหรูของตะวันตก แล้วไปเชื่อที่มายุให้เราออกไปรบกับชาวบ้านเขา

ข่าวดีสำหรับประเทศไทย คือ มกุฎราชกุมาร มุฮัมมัด บิน ซัลมาน (MBS) ได้ยอมรับคำเชิญของท่านนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในการมาเยือนประเทศไทย น่าจะไม่ปลายเดือนสิงหาคมนี้ ก็ประมาณภายในปีนี้ล่ะ


จริงๆ แล้วก่อนที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะเดินทางไปซาอุดีอาระเบียนั้น มีความพยายามในการเชื่อมความสัมพันธ์ใหม่ระหว่างไทย-ซาอุฯ มาระยะหนึ่งแล้ว จริงๆ แล้วราชวงศ์ซาอุฯ ทยอยเข้ามาลงทุนในประเทศไทยหลายๆ ส่วน จุดเด่นของประเทศไทยในสายตาของชาวซาอุฯ ไม่ใช่แค่เรื่องการเป็นศูนย์กลางจุดเชื่อมต่อคมนาคมของชาติอาเซียน แหล่งแรงงาน ฮับด้านสุขภาพ การเป็นแหล่งลงทุนหรือท่องเที่ยว ซึ่งจะเอื้อให้กับยุทธศาสตร์ Saudi Vision 2030 ได้ข่าวว่าท่านมกุฎราชกุมารฯ สนใจจะซื้อโรงพยาบาล เพราะท่านบอกว่าคนซาอุดีอาระเบียนั้นมารักษาตัวอยู่ในประเทศไทยเยอะมาก ก็เลยจะซื้อโรงพยาบาล แล้วก็มีการเจรจาเบื้องหลังมากที่จะซื้อโรงกลั่นประเทศไทยสัก 1 โรง

สิ่งหนึ่งซึ่งซาอุดีอาระเบีย และประเทศไทย มีเหมือนกันคือ Soft Power เป็นแกนกลางที่สุดของสองประเทศ คือ สถาบันพระมหากษัตริย์ ซาอุดีอาระเบียเป็น 1 ใน 27 ประเทศที่มีระบอบการปกครองซึ่งมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ราชวงศ์ซาอุดีอาระเบียสืบทอดสันตติวงศ์ตามลำดับกฎมณเฑียรบาลมาจนถึงปัจจุบันนี้ ความที่เป็นประเทศที่มีกษัตริย์ด้วยกันทั้งคู่ เลยมีลักษณะพิเศษ มีความใกล้ชิดสนิทสนมกัน เป็นที่ไว้วางใจกัน คอยช่วยเหลือเกื้อกูลกันตลอด จนกระทั่งต้องชะงักงันลงเพราะปัญหาความเน่าเฟะในกระบวนการยุติธรรม ก่อเหตุร้าวฉานในสัมพันธ์ระหว่างไทย-ซาอุดีอาระเบีย เป็นระยะเวลายาวนาน เพราะความร้าวฉานเกิดจากการกระทำของหน่วยงานรัฐบาล และไม่มีใครรับผิดชอบใส่ใจแก้ไข ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศห่างเหินไปด้วย ทำให้ความสัมพันธ์ของประมุขทั้งสองรัฐก็ห่างเหินไป แต่แม้กระนั้นก็ตาม ทั้งสองประเทศยังคงดำรงความสัมพันธ์ในบางระดับไว้ ในฐานะที่ทั้งสองประเทศล้วนแล้วแต่มีกษัตริย์เป็นประมุขด้วยกัน


สำหรับมกุฎราชกุมาร มุฮัมมัด บิน ซัลมาน นั้น พระองค์ท่านทรงเป็นคนหนุ่ม เจริญพระชันษาตามหลัง อายุ 36 ปี ตามหลังพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 จัดเป็นพี่ชาย กับน้องเล็กได้ ที่สำคัญทั้งสองพระองค์มีพระราชอัธยาศัยคล้ายๆ กันหลายประการ เป็นคนจริงใจ เป็นคนตรงไปตรงมา กล้าหาญ เด็ดขาด ถ้าพูดตามภาษาชาวบ้านแล้ว ทั้งคู่มีใจนักเลงด้วยกันทั้งคู่ ก็เลยคาดหวังว่า วันใด เวลาใด ที่ทั้งสองพระองค์ได้มีโอกาสพบปะกัน เมื่อนั้นพี่น้องประชาชนชาวไทยและซาอุดีอาระเบียอาจจะได้เห็นปรากฏการณ์พิเศษระหว่างสถาบันกษัตริย์ของสองประเทศ

จริงๆ แล้วแผนการปฏิบัติการลักษณะนี้ประเทศไทยมีมานานแล้ว ปฏิบัติการมาอย่างสม่ำเสมอ ที่โด่งดังลือลั่นระดับโลกคือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงถวายการต้อนรับมกุฎราชกุมารแห่งราชวงศ์โรมานอฟ เมื่อครั้งเสด็จเยือนประเทศไทย อย่างยิ่งใหญ่


ท่านผู้ชมครับ โดยธรรมเนียมและราชประเพณีของพระมหากษัตริย์นั้น แม้จะทรงอยู่ไกลกันเพียงไหน แม้จะต่างสายเลือด ต่างวัฒนธรรมประเพณีอย่างไร แต่ในพระบรมราชวงศ์จักรีของเราทรงถือว่าเป็นพระญาติกัน และมีการประพฤติปฏิบัติ และราชประเพณีเป็นการเฉพาะ ซึ่งผู้รู้ทางราชประเพณีทั้งหลายต่างรู้ทั่วกัน และสืบทอดมาจนถึงรัชกาลที่ 9 และตลอดจนรัชกาลปัจจุบัน

ท่านผู้ชมครับ ย้อนไปหน่อย ผมจะเล่าเกร็ดให้ฟังนิดหนึ่ง ใน พ.ศ. 2546 ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพผู้นำเศรษฐกิจเอเปก 2003 ในครั้งนั้นประมุขรัฐ ประเทศต่างๆ ระดับต่างๆ ได้มาประชุมอย่างพร้อมเพรียงกัน เป็นเกียรติและเป็นสง่าราศีของราชอาณาจักรไทยเป็นอย่างยิ่ง รัฐบาลชุดทักษิณ ชินวัตร ให้ความสำคัญเรื่องนี้ด้วยความเข้าใจในราชนิติ เพราะว่าในครั้งนั้น ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รับผิดชอบเรื่องนี้ บรรดาราชนิติและการควร/ไม่ควรอย่างไร กระจ่างเป็นอย่างดี ที่สำคัญได้ถือเอาประโยชน์ของพระบรมราชวงศ์ ของสถาบันกษัตริย์ ของประเทศ เป็นที่ตั้ง ไม่เอามาเล่นการเมืองหรือมาหาเสียงเลียแข้งเลียขาใคร เกร็ดมีอยู่ว่า ช่วงนั้นหวุดหวิดจะเกิดปัญหาระหว่างจีน กับ บรูไน เพราะต่างฝ่ายต่างจองโรงแรมแชงกรีล่า สำหรับประมุขของตัวเอง ซึ่งจีนถือว่าโรงแรมแชงกรีล่า เป็นโรงแรมที่จีนมาลงทุน และเป็นโรงแรมใหญ่ที่จีนใช้สอยประจำ อย่างเช่น งานวันชาติจีน 1 ตุลาคม ก็ใช้แชงกรีล่า ส่วนบรูไน ถือว่าได้จองโรงแรมแชงกรีล่า ก่อนที่จีนจะเข้ามาจอง ก็เลยเกิดข้อโต้แย้งว่าใครจะได้สิทธิพักในโรงแรมนี้ บานปลายไปถึงปัญหารัฐบาล เพราะฝ่ายจีนไม่ได้พักที่นี่ อาจจะถอนตัว ไม่เข้าร่วมประชุม

ท่านผู้ชมครับ ความทราบถึงเบื้องพระยุคลบาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงมีรับสั่งให้รัฐบาลจัดโรงแรมแชงกรีล่า ให้กับฝ่ายจีน นอกนั้นจะทรงจัดการเอง ซึ่งปรากฏว่าทรงมีพระราชหัตถเลขาเป็นการส่วนพระองค์ไปยังสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไน เนื้อความสั้นๆ ใจความว่า พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ หม่อมฉันก็เป็นพระมหากษัตริย์ เราทั้งสองเป็นญาติกัน เมื่อญาติมาบ้าน ญาติก็ชอบที่จะมาพักที่บ้านญาติ หาควรไปพักที่อื่นไม่ จึงขอพระราชทานทูลเชิญให้มาพักที่บ้านหม่อมฉัน ที่พระที่นั่งบรมพิมาน ในพระบรมมหาราชวัง สมเด็จพระราชาธิบดีบรูไน ทรงคาดไม่ถึงมาก่อน และไม่คิดว่าจะทรงมีน้ำพระทัยละเอียดอ่อนถึงปานนั้น จึงทรงมีความปลาบปลื้มอย่างยิ่งและทรงกราบทูลตอบรับคำเชิญ ทำให้เหตุการณ์ในช่วงนั้นผ่านไปโดยเรียบร้อย


ผมจะเอารูปการถ่ายรูปให้ดู รัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระพันปีหลวง ทรงให้การต้อนรับผู้นำชาติเศรษฐกิจเอเปค ที่ร่วมประชุมครั้งที่ 11 ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท พระบรมมหาราชวัง ขอให้สังเกตครับท่านผู้ชม ว่า สมเด็จพระราชาธิบดีโบลเกียห์แห่งบรูไน ถูกจัดให้ประทับอยู่ข้างในหลวงรัชกาลที่ 9 อย่างใกล้ชิดที่สุด

มาคราวนี้ มกุฎราชกุมารบิน ซัลมาน ซึ่งทรงเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินของซาอุดีอาระเบีย ก็ต้องถือว่าเป็นราชวงศ์ที่ทรงเป็นพระญาติกับพระมหากษัตริย์ของเรา ก็เลยต้องจัดการติดตามนิดหนึ่งว่าผู้มีอำนาจหน้าที่ เช่น ดูแลเรื่องนี้ จะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ หรือทำเป็นไม่แจ้งในราชนิติ แล้วจัดประชุมไปเฉพาะในการของรัฐบาลอย่างเดียว อันนี้ผมเห็นว่าไม่เหมาะ และผมอยากจะกราบบังคมทูลให้เบื้องบนรับทราบด้วย เพราะผมทราบว่ากระทรวงการต่างประเทศ โดยคนบางคน จะจัดให้มกุฎราชกุมารฯ ได้พบกับนายกรัฐมนตรีเท่านั้น แทนที่จะขอเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อแสดงความเคารพและมีการปฏิสัมพันธ์กัน แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ในฐานะกษัตริย์ต่อกษัตริย์ ผมก็เลยขอฝากไว้ตรงนี้นะครับ ถ้าเป็นอย่างที่เป็นข่าวออกมา ผมว่าคนที่คิดเรื่องนี้ที่จะให้พบเฉพาะท่านนายกรัฐมนตรีอย่างเดียวนั้น เป็นคนที่ใช้การไม่ได้ และเป็นคนที่โคตรจะเฮงซวยเลยครับ

ท่านผู้ชมครับ เรื่องที่ผมจะพูดต่อไปนี้ ท่านผู้ชมคงจะนั่งรอด้วยใจจดใจจ่อ ก็คือเรื่องของไต้หวัน จีน และอเมริกา และการไปเยือนไต้หวันของนางแนนซี เพโลซี ซึ่งฉายาในอเมริกาเขาเรียกกันว่า "ยัยตัวแสบ" ภาษาอังกฤษเขาเรียก แนนซี เพโลซี ว่า "Crazy Nancy"


เรื่องวันนี้ผมจะพูดเป็นหลายๆ ตอน ท่านผู้ชมจะได้เห็นภาพรวมทั้งหมดเลย เพราะมันมีมิติทางประวัติศาสตร์เรื่องสงครามเกาหลีออกมาให้เห็น เรื่องแรกผมจะเอาประวัติย่อของ แนนซี เพโลซี มาให้ท่านผู้ชมทราบ ว่า แนนซี เพโลซี คือใคร มาจากไหน ชีวิตเธอเป็นอย่างไรบ้าง เพื่อให้เกิดความเข้าใจกันอย่างถ่องแท้ หลังจากจบเรื่องของเธอแล้ว ผมจะพูดต่อเรื่อง ... ท่านผู้ชมคงไม่รู้ว่าเธอมีแค้นสั่งฟ้ากับจีนอยู่ แนนซี เพโลซี เคยมีเรื่องกับจีนในเรื่องของเทียนอันเหมินสแควร์ (Tiananmen Square) จัตุรัสเทียนอันเหมิน ซึ่งสื่อมวลชนทั่วๆ ไปจะไม่ค่อยพูดเรื่องนี้กัน แต่ผมจะเล่าที่มาที่ไป

แล้วผมจะต่อด้วยการวิเคราะห์การที่ แนนซี เพโลซี เยือนไต้หวัน เป็นเรื่องที่สาม แล้วผมจะจบลงด้วย หมากรุกฝรั่ง มาเจอ หมากล้อมจีน คือผมกำลังจะบอกว่า อเมริกาเดินพลาดตาเดียว แพ้ทั้งกระดานเลยงานนี้ แล้วท่านผู้ชมจะได้รู้ว่าจีนได้ตอบโต้อย่างไร คือตอนสุดท้ายของผม

เอาล่ะ ท่านผู้ชมครับ เรามาเริ่มด้วยประวัติของ "ยัยตัวแสบ" แนนซี เพโลซี กัน อายุ 82 ปี เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร ก็คือ เขาเรียกว่า Speaker of the House คือ คองเกรส เป็นมา 2 ครั้ง ปี 2550 กับปี 2562 นิตยสารไทม์ถึงกับเคยยกย่องให้เธอเป็น "สตรีผู้ทรงอิทธิพลสูงสุดในประวัติศาสตร์การเมือง 213 ปี ของรัฐสภาอเมริกา"

แนนซี เป็นคู่ปรับคนสำคัญของโดนัลด์ ทรัมป์ ขิงก็ราข่าก็แรง เคยฉีกหน้ากันกลางสภามาแล้ว ตระกูลของเธอ "เพโลซี" มีรากเหง้ามาจากประเทศอิตาลี นามสกุลก็บอกอยู่แล้ว ชื่อเดิมของเธอ ชื่อ แนนซี แพตทริเชีย ดาเลซานโดร (Nancy Patricia D'Alesandro) เธอเกิดที่เมืองบัลติมอร์ รัฐแมริแลนด์ เป็นลูกสาวคนสุดท้อง มีพี่ชาย 5 คน การที่เธอเติบโตมาท่ามกลางผู้ชายนั้น ทำให้เธอเป็นคนที่ห้าว และไม่ยอมให้ใครมาครอบงำเธอง่ายๆ


พ่อของเธอเป็นนักการเมืองเต็มตัว ชื่อ โธมัส ดาเลซานโดร เป็นอดีตสายเลือดอิตาเลียน-อเมริกัน เป็นนายกเทศมนตรีเมืองบัลติมอร์ถึง 12 ปี และเป็น ส.ส.ในสภาคองเกรสถึง 5 วาระ

แนนซี เพโลซี จบรัฐศาสตร์ แล้วย้ายไปอยู่ซานฟรานซิสโกกับสามี ที่ชื่อ พอล เพโลซี มีลูกด้วยกัน 5 คน หลาน 9 คน เธอกับสามีร่ำรวยจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ แล้วก็เริ่มก้าวเข้าสู่เส้นทางทางการเมืองตั้งแต่ปี 2530 เธอได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. ตอนที่เธออายุ 47 ปี เป็นตัวแทนพรรคเดโมแครต ในเขตเลือกตั้งที่ 12 ของรัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งเขตที่ 12 นั้น พื้นที่รวมไปจนถึงซานฟรานซิสโก ซึ่งเป็นฐานเสียงสำคัญของพรรค เธอได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. ยาวนานถึง 35 ปี


เคยมีคนเขียนหนังสือเกี่ยวกับ แนนซี เพโลซี โดยใช้ชื่อว่า "Madam Speaker : Nancy Pelosi and the Lessons of Power" เขียนโดยผู้เขียนที่ชื่อ ซูซาน เพจ (Susan Page) เขียนถึงอัตชีวประวัติของเธอ เธออธิบายว่า เธอได้มานั่งตำแหน่งประธานสภาคองเกรสถึง 2 สมัย แข่งกับผู้ชายที่ครองอำนาจตำแหน่งนี้มาตลอด


แนนซี เพโลซี เคยอภิปรายในสภายาวนานถึง 8 ชั่วโมง ไม่หยุดเลย แล้วเธอก็เคยยืนปราศรัยบนเวทีด้วยรองเท้าส้นสูง สไตล์การแต่งตัวของเธอ เธอมีแบรนด์โปรด ท่านผู้ชมที่เป็นผู้หญิงถ้าอยากเลียนแบบ แนนซี เพโลซี ก็ไปซื้อได้ เธอชอบ Max Mara แฟชั่นอิตาเลียน

วันที่เธอชนะทรัมป์ ในกรณียุติภาวะชัตดาวน์ของรัฐบาลทรัมป์ ได้เมื่อต้นปี โดยรัฐสภาผ่านกฎหมายงบประมาณรายจ่ายชั่วคราว หลังจากที่นางแนนซี ปฏิเสธข้อเสนอการแลกเปลี่ยนของทรัมป์ ที่ต้องการให้สภาคองเกรสอนุมัติงบสร้างกำแพงชายแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโก 5,700 ล้านดอลลาร์ แลกเปลี่ยนกับการขยายการคุ้มครองเด็กอพยพที่ลักลอบเข้าสหรัฐฯ ในโครงการ BACA


ในวันนั้นเธอชนะทรัมป์ เธอเดินออกจากทำเนียบขาวด้วยสีหน้าผู้ชนะ เธอสวมเสื้อคลุมยาวถึงเข่า สีส้มเพลิง สื่อถึงไฟที่ได้ย่างทรัมป์ เธอไปนั่งทอดอารมณ์ชิลๆ ในห้องรับรอง Capital Lounge ยังสวมแว่นตากันแดด

ลูกสาวของเธอ อเลกซานดรา เพโลซี เคยพูดถึงแม่ว่า เวลาแม่ตัดหัวใคร ใครคนนั้นจะไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำว่าจะมีเลือดไหลหรือเปล่า เธอเป็นเพื่อนสนิทของฮิลลารี คลินตัน ในสายตาของโดนัลด์ ทรัมป์ เขามองว่า แนนซี เพโลซี คือยัยตัวแสบ ทรัมป์เองก็ไม่รู้จะทำอย่างไรกับ แนนซี เพโลซี เขาขัดแย้งกับแนนซี เพโลซี ซึ่งเป็นประธานสภา อายุ 80 ปี เมื่อสองปีที่แล้ว เธอเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการถอดถอนทรัมป์ ทั้งคู่เป็นคู่กัดหักเหลี่ยมโหดกันกลางสภา

ท่านผู้ชมรู้ไหม วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2563 สองปีกว่าที่แล้ว ทรัมป์ กำลังแถลงนโยบายประจำปี เรียกว่า State of the Union ครั้งที่ 3 คือสหรัฐอเมริกา ประธานาธิบดีจะออกมาแถลงนโยบายประจำปี ที่เขาเรียกว่า State of the Union ก็คือแถลงว่าได้ทำอย่างนี้ๆๆ และจำทำอย่างนี้ๆ ต่อไป โน่นนี่นั่น ต้องแถลงกับสภาคองเกรส ทรัมป์ ก็แถลงโดยคุยโวถึงความสำเร็จในการบริหารประเทศ 3 ปีที่ผ่านมา

วันที่ 4 กุมภาพันธ์ กลายเป็นประเด็นทั่วโลก ภาพความขัดแย้งจากเหตุการณ์ก่อนที่ทรัมป์ จะเริ่มแถลงบนโพเดียมในรัฐสภา ทรัมป์ ก็จะเดินเอาแฟ้มเอกสารคำแถลงนโยบายส่งให้ แนนซี ซึ่งเป็นประธานสภา แนนซี ก็ยื่นมือออกไปเพื่อจะจับมือทรัมป์ แต่รอเก้อเพราะทรัมป์ ไม่มองและไม่จับมือด้วย


ดรามาการเมืองไม่จบครับ ช่วงที่พีกและตกตะลึงกันทั้งสภา ช่วงที่สรุปการแถลงนโยบาย แนนซี เพโลซี ฟังจนจบแล้ว เอาคืนโดยเธอฉีกเอกสารถ้อยแถลงของทรัมป์ เป็นชิ้นๆ กลางสภา ในขณะที่คนอื่นกำลังปรบมือให้ทรัมป์ แนนซี เพโลซี บอกกับนักข่าวว่า การฉีกเอกสารคำแถลงนโยบายครั้งนี้ เป็นการแสดงออกถึงความเห็นต่างอย่างสุภาพ เธอเดินเกมกัดไม่ปล่อยที่จะผลักดันทรัมป์ สู่กระบวนการถอดถอนปี 2564 ถึงแม้จะไม่สำเร็จ แต่ก็เป็นเหตุทำให้ทรัมป์ โดนคณะกรรมการสอบสวนเกี่ยวกับเรื่องภาษีและคดีความสัมพันธ์ของเขากับรัสเซีย ที่ได้เข้ามาแทรกแซงในการเลือกตั้งประธานาธิบดี

แนนซี ในฐานะประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้ฟ้องร้องทรัมป์ เป็นครั้งที่สอง ตั้งคณะกรรมการสอบสวนกรณีโจมตีอาคารรัฐสภาของสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 6 มกราคม ตอนนั้น ที่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ปลุกระดมการจลาจลอย่างรุนแรง มุ่งเป้าไปที่รัฐสภาอเมริกา พยายามพลิกคว่ำผลการเลือกตั้งที่เขาพ่ายแพ้ต่อโจ ไบเดน


สรุปแล้ว แนนซี เพโลซี เป็นนักการเมืองที่เปรียบเสมือนรถที่ไม่มีเกียร์ถอยหลัง เธอมีแต่เกียร์เดินหน้า เธอเป็นคนหัวแข็ง ดื้อรั้น ไม่ยอมฟังใคร เช่น กรณีข่าวช่วงแรก แนนซี เพโลซี ในฐานะประธานสภาคองเกรส จะมาไต้หวัน ซึ่งเป็นการละเมิดข้อตกลงทั้งที่อเมริกาก็รับรองว่าจีนมีเพียงจีนเดียว ไต้หวันเป็นเพียงแค่จังหวัดหนึ่งของจีนเท่านั้น แต่เธอก็พยายามอ้างว่าเธอไม่ได้เป็นตัวแทนฝ่ายบริหาร แต่เป็นตัวแทนของฝ่ายนิติบัญญัติ

แผนการเดินทางของเธอที่จะมาเยือนประเทศในกลุ่มแปซิฟิก สิงคโปร์ มาเลเซีย เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ในช่วงแรกรวมไต้หวันด้วย เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม ซึ่งตรงกับวันครบรอบการก่อตั้งกองทัพปลดแอกของประเทศจีน ที่จะนำไปสู่สถานการณ์อันตรายและท้าทายจีน อาจจะเป็นสงครามใหญ่เสียด้วยซ้ำในช่องแคบไต้หวัน เพราะว่านายสี จิ้นผิง ออกมาพูดเตือนแรงๆ กับประธานาธิบดีไบเดน กรณีไต้หวัน ว่า อย่าเล่นกับไฟ เพราะไฟจะแผดเผาตัว


ระหว่างที่ทั้งสองผู้นำต่อสายหารือ สายตรงคุยกันถึงสองชั่วโมงสิบเจ็ดนาที ในการพูดคุยกันครั้งที่ 5 เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม ที่ผ่านมา

แม้กระทั่งประธานาธิบดีไบเดน เองก็ยังพูดกับนักข่าวว่า ตัวเขาและกองทัพเอง เห็นว่าการไปเยือนไต้หวันในขณะนี้ไม่ใช่เป็นความคิดที่ดี แต่นางแนนซี ยัยตัวแสบ ดื้อ หัวรั้น ไม่สนใจว่าการกระทำของตัวจะสร้างความวุ่นวายให้กับอเมริกา ให้กับจีน และให้กับโลก กองทัพอากาศ แม้กระทั่งเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเพนตากอน ก็ยังแจ้งมาว่า เขารับเรื่องพวกนี้ไม่ไหว เขาไม่มั่นใจในความปลอดภัยของนางแนนซี เพโลซี

โดนัลด์ ทรัมป์ ได้โพสต์ลงในทวิตเตอร์ แล้วก็ดุด่าแนนซี ว่า เธอไม่ควรไปก้าวก่าย เพราะจะยิ่งทำให้มันเลวร้ายลงไปอีก ทรัมป์ บอกว่า ทุกอย่าง ทุกเรื่องที่นางเข้าไปยุ่ง ล้วนกลายเป็นเรื่องโกลาหล แตกแยก และโคตรแย่เลย ห่วยแตก ภาษาอังกฤษทรัมป์ บอกว่า Chaos โกลาหล Disruption แตกแยก และ Crap ซึ่งเป็นคำด่าอย่างสุภาพของภาษาอังกฤษนะครับ

เธอไปเยือน 4 ประเทศ จริงๆ แล้วเธออ้าง 4 ประเทศนั้นในการไปเยือน แต่เธอแอบแทรกไต้หวันเข้าไป เหมือนกับมาเลเซียเธอไม่มีความจำเป็นต้องไปเยือน แต่เธอก็ไปเยือน ฟิลิปปินส์ก็เช่นกัน แต่เธอต้องการที่จะใช้การไปเยือนที่นั่นเพื่อบินแอบเข้าไปในไต้หวันอย่างเงียบๆ สรุปแล้ว ไปเพื่อเป็นพิธีการ เพื่อจะปิดบัง แล้วในที่สุดเป้าที่สำคัญที่สุดคือไปไต้หวัน โดยที่บินไป 7 ชั่วโมง ไปถึงไต้หวัน เพื่อลงไปปัสสาวะที่ไต้หวัน แล้ววันรุ่งขึ้นก็เดินทางต่อไปยังเกาหลีใต้


ท่านผู้ชมครับ ผู้หญิงคนนี้สำคัญตนผิด ต้องการแสดงอำนาจ หม่อมหลวงปลื้ม หม่อมหลวงณัฏฐกรณ์ เทวกุล ได้พูดออกมาว่า ผู้หญิงคนนี้หิวแสง ต้องการจะแสดงออกให้การเมืองอเมริกาเห็นว่าเธอมีภาวะของผู้นำสูงกว่าโจ ไบเดน เยอะ เพราะฉะนั้นเธอก็ใช้ไต้หวันเป็นเหยื่อ โดยผลักดันจะให้ไต้หวันเป็นรัฐเอกราชให้ได้ นี่คือความเฮ้าเลี่ยน ความหิวแสงอย่างแรงของนักการเมืองรุ่นเก๋า อายุ 82 ปี ซึ่งต้องการจะแสดงว่าเธอมีบทบาทเหมือนกันในวงการการเมืองระหว่างประเทศ


ท่านผู้ชมครับ Ego หรืออัตตาส่วนตัวของเพโลซี อาจจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ และอาจจะนำไปสู่การล่มสลายของความสัมพันธ์ระหว่างอเมริกา กับ จีน ที่ได้รับการฟื้นฟูและยืนยาวมานานกว่าครึ่งศตวรรษ นี่ล่ะครับท่านผู้ชม นี่คือ แนนซี เพโลซี



ท่านผู้ชมครับ ท่านผู้ชมบางท่าน หรือส่วนใหญ่ อาจจะไม่รู้ว่า แนนซี เพโลซี มีความแค้น แบบแค้นฝังหุ่น หรือแค้นสั่งฟ้า กับประเทศจีน

เมื่อประมาณ 31 ปีที่แล้ว แนนซี เพโลซี เป็นคนที่มีจุดยืนที่ต้านจีนมาตลอด จนจีนถึงกับใช้คำพูดรุนแรงกล่าวหานางแนนซี ว่า เต็มไปด้วยคำโกหกและข้อมูลเท็จ เพราะว่าความแค้นฝังหุ่นของเธอที่มีต่อจีนเกิดขึ้นเมื่อ 31 ปีที่แล้ว เหตุเกิดที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน


4 กันยายน 2534 (31 ปีที่แล้ว) มีโศกนาฏกรรมเกิดขึ้นที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ราว 2 ปี ขณะนั้นแนนซี เพโลซี เป็น ส.ส. แคลิฟอร์เนีย เดินทางไปเยือนกรุงปักกิ่งพร้อมคณะ ครั้งนั้นเธอ ในฐานะ ส.ส. ของสภาคองเกรส ได้ทำเรื่องบางเรื่องที่จีนนึกไม่ถึง ช็อกเลย เพโลซี และ ส.ส. อีก 2 คน ได้หลบออกจากคณะ เดินทางไปที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ไม่ได้แจ้งให้ฝ่ายจีนทราบ เธอได้ถือดอกไม้ขาว และชูป้ายผ้าสีดำที่เขียนข้อความว่า "แด่ผู้สละชีพเพื่อประชาธิปไตยในประเทศจีน" จากนั้นเธอก็วางดอกไม้ไว้อาลัย ณ จัตุรัสเทียนอันเหมิน โดยมีการบันทึกภาพเพื่อรายงานโดยสื่อมวลชนและสถานีโทรทัศน์ในอเมริกาด้วย


เธอให้สัมภาษณ์สำนักข่าว CBS ช่องโทรทัศน์ ว่า เราทำอย่างนี้เพราะในช่วงสองวันที่ผ่านมา เราถูกบอกว่าในประเทศจีนมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น หลังจากเกิดเหตุนี้ กระทรวงการต่างประเทศจีนออกมาแถลงการณ์ ว่า นี่คือเจตนาก่อกวนโดยวางแผนไว้ล่วงหน้า

ผู้สื่อข่าว CNN สมัยนั้น คือนายไมค์ ชีนอย ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ตอนนั้น บอกว่า การกระทำของแนนซี เพโลซี ทำให้พวกเธอถูกตำรวจจีนจับกุมในทันที เขาบอกว่า นางเพโลซี ไม่ได้บอกว่าจะทำอะไรที่เทียนอันเหมิน แต่เนื่องจากตำรวจจีนไม่สามารถดำเนินคดีกับบุคคลสำคัญต่างชาติได้ เธอเลยถูกควบคุมตัวไว้หลายชั่วโมง

ไมค์ ชีนอย พูดเลยว่า นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้รู้สึกนิสัยเอาแต่ใจตัวเองของนางเพโลซี เธอเจตนายั่วยุผู้มีอำนาจในจีนโดยไม่คำนึงถึงผลที่จะตามมา

หลังจากนั้น นางเพโลซี ก็ได้เข้าร่วมกิจกรรมรำลึกเหตุการณ์เทียนอันเหมินเป็นประจำ โดยใช้คำว่า "การสังหารหมู่" เพื่อนิยามถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้น

ในปีนี้ เมื่อครบรอบ 33 ปี เหตุการณ์เทียนอันเหมิน เธอก็ยังพูดอยู่ว่า ผู้ประท้วงได้แสดงความกล้าหาญทางการเมือง และขอประณามระบอบเผด็จการของพรรคคอมมิวนิสต์จีน


2545 นางเพโลซี ได้พบ หู จิ่นเทา อดีตประธานาธิบดีจีน ขณะนั้นเป็นรองประธานาธิบดีจีน นางเพโลซี ได้ยื่นจดหมาย 4 ฉบับ ให้ หู จิ่นเทา เนื้อหาเรียกร้องให้ปล่อยตัวผู้เคลื่อนไหวเรียกร้องเอกราชทิเบต แต่ หู จิ่นเทา ปฏิเสธที่จะรับจดหมายนั้น

7 ปีต่อมา ในปี 2552 เมื่อ หู จิ่นเทา ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีจีน ทั้งคู่ได้พบกันอีกครั้ง เพโลซี ได้ยื่นจดหมายเรียกร้องให้ปล่อยตัวนักโทษทางการเมือง ซึ่งรวมไปถึง นายหลิว เสี่ยวโป เจ้าของรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ ประจำปี 2553

2562 ช่วงที่เกิดคลื่นการประท้วงและความไม่สงบในฮ่องกงอย่างรุนแรง ถึงขั้นมีการเรียกร้องจากแกนนำม็อบ ให้แยกเกาะฮ่องกงออกจากจีน ขอร้องให้รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของนายโดนัลด์ ทรัมป์ เข้าแทรกแซงทางการทหาร


18 กันยายน 2562 แนนซี เพโลซี ยัยตัวแสบ ในฐานะประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้เชิญและให้การต้อนรับ นายโจชัว หว่อง แกนนำนักเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยของฮ่องกง อย่างเช่น นาธาน ลอว์ แอกเนส โจว ในรัฐสภาสหรัฐฯ สภาคองเกรส เลย พร้อมกับแสดงท่าทีสนับสนุนกลุ่มประท้วงต่อต้านรัฐบาลในฮ่องกง

ท่านผู้ชมครับ สำนักงานข้าหลวง รัฐมนตรีต่างประเทศจีน ในรัฐบาลเขตปกครองพิเศษฮ่องกง ได้กล่าวประณามการสมรู้ร่วมคิดระหว่างนางเพโลซี นักการเมืองสหรัฐฯ กลุ่มหนึ่ง กับผู้ที่ต้องการแบ่งแยกฮ่องกงออกมา โฆษกของสำนักงานข้าหลวง แสดงความโกรธเคือง รวมทั้งต่อต้านคำพูดและการกระทำของนางเพโลซี โดยระบุว่า นางเพโลซี สมรู้ร่วมคิดกับพวกที่ต้องการแบ่งแยกฮ่องกงอย่างชัดเจน และยุ่มย่ามกับกิจการภายในฮ่องกง ซึ่งที่จริงแล้วเป็นกิจการภายในของจีน โดยใช้ข้ออ้างการสนับสนุนเสรีภาพและความยุติธรรม


สำนักงานข้าหลวงของจีนที่อยู่ประจำฮ่องกง บอกว่า คำพูดและการกระทำของนางเพโลซี นั้น สวนทางกับคำกล่าวอ้างของนักการเมืองสหรัฐฯ ที่ระบุว่าสนับสนุน 1 ประเทศ 2 ระบบ

ก่อนหน้านั้น นางเพโลซี ได้ไปพบปะแกนนำม็อบฮ่องกง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นายโจชัว หว่อง มาแล้วหลายครั้ง แล้วยังทะลึ่งมากล่าวพาดพิงเหตุการณ์ในประเทศไทยอีก (รูป : แนนซี เพโลซี พบ โจชัว หว่อง ในเดือนพฤศจิกายน 2559)


ท่านผู้ชมครับ หลังจากนั้นแล้ว พอนายโจชัว หว่อง การปฏิวัติ หรือการล้มล้างการปกครองของจีนในฮ่องกงล้มเหลว หลังจากจีนเอากฎหมายความมั่นคงเข้ามาสวม นายโจชัว หว่อง ก็โดนข้อหากบฏ และติดคุกอยู่ในขณะนี้ วันนี้ แนนซี เพโลซี ลืมโจชัว หว่อง ไปแล้ว เพราะโจชัว หว่อง ก็คือเบี้ยตัวหนึ่งที่แนนซี เพโลซี ใช้เพื่อเอามาโจมตีจีน วันนี้โจชัว หว่อง จะเป็นจะตายอย่างไร แนนซี เพโลซี ปิดเงียบ ไม่ยอมพูดถึงโจชัว หว่อง ไม่ยอมพูดออกมาเชิดชูโจชัว หว่อง ไม่ยอมพูดออกมาเรียกร้องให้จีนปล่อยตัวโจชัว หว่อง เพราะว่าได้ใช้ประโยชน์จากเบี้ยตัวนั้นไปแล้ว

ท่านผู้ชมครับ และนางไช่ อิงเหวิน ประธานาธิบดีไต้หวัน ซึ่งคนเขาตั้งฉายาว่า "นางกุยช่าย" ก็เช่นกัน อีกหน่อยไม่นานก็จะกลายเป็นหมากอีกตัวหนึ่งที่นางเพโลซี จะต้องละทิ้งไป

นอกจากเรื่องของโจชัว หว่อง เรื่องของฮ่องกง เรื่องของเทียนอันเหมิน ที่เธอออกดุด่า ทะเลาะกับจีนเป็นเรื่องเป็นราวนั้น เธอยังเตะตัดขาค้านจีนเป็นเจ้าภาพโอลิมปิก เธอคัดค้านการเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิกของประเทศจีน ตั้งแต่จีนยื่นข้อเสนอตัวไปในปี 2536 โดยอ้างว่าจีนได้ละเมิดสิทธิมนุษยชน ต่อมาเธอก็ยังร่วมกับ ส.ส. คนอื่น เรียกร้องให้ประธานาธิบดีจอร์จ บุช คว่ำบาตร ไม่ไปร่วมพิธีเปิดปักกิ่งโอลิมปิกในปี 2551 แต่ไม่สำเร็จ เพราะประธานาธิบดีบุช ทั้งพ่อและลูก เดินทางไปยังกรุงปักกิ่ง


2565 ต้นปีนี้เอง ที่จีนเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกฤดูหนาว นางเพโลซี เจ้าเก่า ก็ไม่เคยพลาด นำขบวนเรียกร้องการคว่ำบาตรทางการทูต โดยอ้างว่าจีนละเมิดสิทธิมนุษยชนชาวอุยกูร์ เอกอัครราชทูตจีนประจำกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ตอบโต้เธอว่า นักการเมืองสหรัฐฯ ไม่มีสิทธิที่จะมาวิพากษ์วิจารณ์จีนอย่างไร้เหตุผล

ท่านผู้ชมครับ ตลอดเส้นทางทางการเมืองสามสิบกว่าปีที่ผ่านมาของนางแนนซี เพโลซี เธอได้ผลักดันมาตรการการต่อต้านจีน ทั้งทางด้านสิทธิมนุษยชน และการค้า มาตลอด เธอมีบทบาทสำคัญในการเสนอเพิ่มเงื่อนไขกับจีนในการเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก (WTO) นโยบายของเธอก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันในรัฐสภาสหรัฐฯ ประธานาธิบดีจอร์จ บุช เคยปฏิเสธหลายครั้งที่จะออกกฎหมายคว่ำบาตรจีนตามที่นางเพโลซี เสนอ ส่วนประธานาธิบดีบิล คลินตัน ในช่วงแรกนั้นก็สนับสนุนเธอ แต่ช่วงหลังเปลี่ยนแนวทาง พร้อมบอกว่า ยุทธศาสตร์และประโยชน์ของสหรัฐฯ โดยรวมได้พิสูจน์ชัดว่า การเปลี่ยนแปลงนโยบายของเขานั้นสมเหตุสมผล

นอกจากนั้นแล้ว เธอก็ยังเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองในประเทศจีน เธอท้าทาย สี จิ้นผิง ก่อนจะต่ออายุผู้นำวาระที่สาม ท่านผู้ชมครับ หากนางเพโลซี เยือนไต้หวันจะเป็นการท้าทายอำนาจนายสี จิ้นผิง ก่อนจะประชุมใหญ่สมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์จีน ครั้งที่ 20 ในเดือนพฤศจิกายน ปีนี้ (2565) ที่มีวาระสำคัญคือการต่ออายุตำแหน่งผู้นำจีนของ สี จิ้นผิง ทั้งนี้ทั้งนั้น หากนางเพโลซี กล้าไปเยือนไต้หวันจริง (และเธอไปมาแล้ว) เธอก็ไม่ใช่ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ คนแรกที่ไปเยือน ก่อนหน้านี้ ยี่สิบห้าปีที่แล้ว (2540) นายนิวท์ กริงกริช สมาชิกพรรครีพับลิกัน ตอนนั้นประธานาธิบดีก็คือ นายบิล คลินตัน จากพรรคเดโมแครต ซึ่งเป็นขั้วตรงข้ามทางการเมือง ต่างจากปัจจุบันที่นางแนนซี เพโลซี สังกัดพรรคเดโมแครต ซึ่งเป็นฝั่งเดียวกับประธานาธิบดีโจ ไบเดน


นายนิวท์ กริงกริช เป็นอดีตประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ คนที่ 50 ซึ่งดำรงตำแหน่งตั้งแต่ปี 2538-2542 นิวท์ กริงกริช ได้เคยเดินทางไปเยือนไต้หวันมาก่อน วันที่ 2 เมษายน 2540 ใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง ไปเยือนแค่ไม่กี่ชั่วโมง และได้พบปะกับประธานาธิบดีไต้วัน คือ นายหลี่ เติงฮุย ผมเอารูปให้ดู ในรูปนี้ นายนิวท์ กริงกริช ประธานสภาผู้แทนราษฎรอเมริกา ได้พบกับนายเหลียน จ้าน ซึ่งเป็นรองประธานาธิบดีไต้หวัน และนายกรัฐมนตรี ที่กรุงไทเป แต่เขาไปเยือนหลังจากที่เขาไปเยือนปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้มาแล้ว


นอกจากนี้ ประธานวุฒิสภาสาธารณรัฐเช็ก เยือนไต้หวัน ตามมาด้วยรองประธานสภายุโรปเยือนไต้หวัน สิ่งที่จีนกังวลคือการเยือนของนางเพโลซี อาจกระตุ้นให้ผู้แทนระดับสูงของประเทศตะวันตกไปเยือนไต้หวัน เท่ากับเป็นการยกสถานะระหว่างประเทศของไต้หวัน แผนงานของนางเพโลซี สร้างความปั่นป่วนให้กับอเมริกา และจีน และไต้หวัน บีบให้ฝ่ายอเมริกาไม่สามารถกลับคำได้ เพราะจะทำให้คนมองว่าอเมริกาปล่อยให้จีนมีอำนาจเหนือนโยบายของอเมริกา ท่านผู้ชมครับ ฝ่ายจีนก็ยอมไม่ได้เหมือนกัน ไม่เช่นนั้น สี จิ้นผิง จะถูกตั้งคำถามในพรรคว่า อ่อนข้อให้กับอเมริกา ขณะเดียวกัน ผู้นำจีนเอง ก็จำเป็นต้องรักษาเสถียรภาพ สร้างความสงบก่อนจะมีการประชุมใหญ่เดือนพฤศจิกายน


สื่อไต้หวันมีคนกล้าหาญออกมาวิพากษ์วิจารณ์นางเพโลซี อย่างตรงไปตรงมา ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ และมีการส่งต่อคำวิพากษ์วิจารณ์กันในโซเชียลมีเดีย ความว่า "คุณเพโลซี คุณทำอย่างนี้หมายความว่าอย่างไร แล้วถามหน่อยว่าคุณมาทำไม คุณมาเพื่อสนับสนุนไต้หวันพวกผมหรือ สนับสนุนไต้หวันบ้านคุณสิ สนับสนุนชาวไต้หวันให้เตรียมพร้อมรบหรือ พวกคุณมาถึงไต้หวันทีไรก็ไม่ได้เรียกให้พวกเราไปเป็นทหาร เรียกให้พวกเราไปซื้ออาวุธจากคุณหรือ หลอกหรืออย่างไร ให้พวกเราต่อสู้ในเขตเมือง จะมายุ่มย่ามมากเกินไปแล้วไหม นี่คือการมาสนับสนุน หรือมาจุดไฟสงครามกันแน่ เพโลซี คุณมาทำไม ตอนนี้สถานการณ์จีน กับ ไต้หวัน ก็ตึงเครียดมากพออยู่แล้ว คุณบอกว่าคุณจะมาสนับสนุนพวกเรา เราไม่ต้องการให้คุณสนับสนุน สิ่งที่คุณนำมาคือคุณมาราดน้ำมันลงในกองไฟ จริงๆ แล้วมันไม่ได้มีไฟอะไรหรอก แต่คุณกำลังหิ้วน้ำมันมาแล้วคุณก็จุดไฟเผาไต้หวัน


ส่วนสื่อของอเมริกัน อย่างเช่น CNN ก็วิเคราะห์สอดคล้องกันว่า ไต้หวันกระอักกระอ่วนกับเรื่องนี้ เพราะไต้หวันต้องพึ่งพาอเมริกา จึงไม่สามารถมีท่าทีไม่ต้อนรับได้ แต่ถ้าแสดงออกนอกหน้าเกินไป อาจทำให้รัฐบาลปักกิ่งไม่พอใจ นี่คือเหตุผลว่าทำไมถึงมีการสงบปากสงบคำจากไต้หวัน

ไต้หวันทำได้อย่างเดียว คือ ทำให้การเดินทางของนางเพโลซี เป็นเรื่องของนางเพโลซี เอง ไม่ได้เกี่ยวหรือเป็นแผนของสหรัฐฯ ถ้าไต้หวันทำออกหน้าออกตาดีงามมากเกินไป ทำให้ฝ่ายจีนอ้างได้ว่าไต้หวันสมคบคิด และพร้อมจะแยกตัวเป็นเอกราช

ท่านผู้ชมครับ กระทรวงการต่างประเทศประเมินว่า นางเพโลซี เยือนไต้หวัน อาจมีการตอบโต้จากกองทัพจีน แต่ว่าประเทศจีนใช้หลักซุนวู ใช้หมากล้อมแทนที่จะใช้หมากรุก การเยือนไต้หวันของเพโลซี คือการเดินหมากรุกของทางตะวันตก จีนยังมองว่าการประชุมสมัชชาฯ ครั้งที่ 20 เดือนพฤศจิกายน ปีนี้ เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด

ตั้งแต่ปี 2563 (สองปีที่แล้ว) จีนได้เพิ่มแรงกดดันต่อไต้หวันอย่างต่อเนื่อง มิถุนายน ที่ผ่านมา (2565) จีนประกาศเลยว่า ช่องแคบไต้หวันไม่ใช่น่านน้ำสากล ทำให้มีการคาดการณ์ว่าต่อจากนี้ไปจีนจะประกาศให้ช่องแคบไต้หวันเป็นเขตเศรษฐกิจจำเพาะของตน เพื่อป้องกันไม่ให้กองทัพสหรัฐฯ ส่งเรือบรรทุกเครื่องบิน หรือเรือรบ ผ่านช่องแคบนี้ จะทำให้อเมริกาเข้ามาแทรกแซงไต้หวันได้น้อยลง


ท่านผู้ชมครับ นิตยสาร Foreign Affairs ของอเมริกา ประเมินว่า หลังจากสี จิ้นผิง ผู้นำจีนวาระที่ 3 ความมั่นคงในอำนาจจะยิ่งมากขึ้น สี จิ้นผิง จะปลดข้อจำกัดทางอำนาจทั้งหมด เดินหน้าจัดการเรื่องภายในประเทศและต่างประเทศ นโยบายต่างๆ จะยิ่งเด็ดขาดและแข็งกร้าว เพื่อบรรลุถึงความฝันแห่งจีน และการฟื้นฟูความยิ่งใหญ่ของจีน กล่าวอีกนัยหนึ่ง สี จิ้นผิง ใช้ความอดทน รอให้การประชุมสมัชชาใหญ่ฯ ครั้งที่ 20 วันที่ 3 พฤศจิกายน ให้สำเร็จ เมื่อตัวเองได้อำนาจอย่างเต็มที่แล้วในการเป็นผู้นำวาระที่ 3 นักวิเคราะห์ รวมทั้งผม ก็คาดว่า สี จิ้นผิง ก็จะดำเนินการตอบโต้อย่างชนิดที่เรียกว่า ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ขณะนี้ สิ่งที่จีนได้ดำเนินการอยู่ในขณะนี้ เป็นจุดเริ่มต้นของการบีบไต้หวัน เรียกว่าบีบไข่เลย

มาตอนนี้ผมกำลังจะเล่าให้ท่านผู้ชมฟังว่า ที่จีนเตือนว่าอย่าเล่นกับไฟ เพราะไฟจะแผดเผาตัวเอง ประเทศจีนปีนี้ วันนี้ 2565 ที่นางแนนซี เพโลซี หาญกล้ามาเยือนไต้หวัน เหยียบจมูกจีน ไม่แคร์คำขอร้องและคำเตือน ถึงขั้นประธานาธิบดีกล่าวเตือนผ่านนายโจ ไบเดน มาว่า อย่าเล่นกับไฟ เพราะผู้เล่นกับไฟย่อมต้องโดนไฟแผดเผาตัวเอง ท่านผู้ชมครับ เรามาดูจีนกันหน่อย จีนในวันนี้ไม่เหมือนจีนในทศวรรษที่ 1990 หรือเมื่อยี่สิบห้าปีที่แล้ว

ยี่สิบห้าปีที่แล้ว ในปี ค.ศ. 1997 หรือ 2540 นายนิวท์ กริงกริช ประธานสภาผู้แทนราษฎรอเมริกา สมาชิกพรรครีพับลิกัน แวะไปเยือนไต้หวันหลังจากไปเยือนปักกิ่ง และเซี่ยงไฮ้ ยี่สิบห้าปีที่แล้ว ท่านผู้ชมต้องดูสิ่งแวดล้อมของจีนก่อน หลายท่านผู้ชมบอกว่าไม่เห็นมีอะไรน่าตื่นเต้นเลย นิวท์ กริงกริช อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร ก็เคยมาเยือนไต้หวันแล้วไม่ใช่หรือ ? ไม่ครับ คนที่จะวิพากษ์วิจารณ์และยืนข้างอเมริกา และไต้หวัน ให้ฟังเอาไว้ให้ดีๆ คุณไม่ได้มีรายละเอียดและข้อต่อสำคัญที่คุณเข้าใจ เพราะยี่สิบห้าปีที่แล้ว ประธานาธิบดีของจีน คือ เจียง เจ๋อหมิน เป็นผู้นำรุ่นที่ 3 ของประเทศ รุ่นที่ 1 คือ เหมา เจ๋อตง รุ่นที่ 2 คือ เติ้ง เสี่ยวผิง และรุ่นที่ 3 คือ เจียง เจ๋อหมิน

เจียง เจ๋อหมิน เพิ่งผ่านโศกนาฏกรรมทางการเมืองที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน พยายามจะฟื้นฟูภาพลักษณ์ของจีนในเวทีโลก จีนต้องการเข้าไปเป็นสมาชิกขององค์การการค้าโลก ต้องการฟื้นฟูสภาพเศรษฐกิจ พัฒนาสังคมในจีนให้เข้มแข็ง ท่านผู้ชมครับ นั่นคือยี่สิบห้าปีที่แล้ว

ยี่สิบห้าปีผ่านไป ผู้นำจีนเปลี่ยนผ่านไปหลายรุ่น จาก เจียง เจ๋อหมิน รุ่นที่ 3 มาถึง หู จิ่นเทา รุ่นที่ 4 และมาถึง สี จิ้นผิง รุ่นที่ 5 ในวันนี้


ยี่สิบห้าปีที่ผ่านมา จีนไม่ได้เปลี่ยนแค่ผู้นำเฉยๆ แต่พลิกโฉมไปทุกมิติ จากหน้ามือเป็นหลังมือ ทางด้านเชิงความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ ซึ่งถ้าพิจารณาความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของ PPP (Purchasing Power Priority) เศรษฐกิจจีนคืออันดับหนึ่งของโลก การเมือง ความมั่นคง พรรคคอมมิวนิสต์ปกครองจีนมาอย่างสงบเรียบร้อย การทหาร ความเข้มแข็งของกองทัพ อาวุธยุทโธปกรณ์ แสนยานุภาพ เครื่องยิงจรวดไฮเปอร์โซนิก ซึ่งแม้แต่อเมริกาก็ยังไม่มี การขึ้นไปท่องอวกาศ สร้างสถานีอวกาศของจีนเองเลย ส่งอุปกรณ์สำรวจดาวอังคารไป ไปที่โลกพระจันทร์ตั้งหลายครั้ง ต่อเรือบรรทุกเครื่องบินเอง สร้างเครื่องบินของตัวเอง ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีต่างๆ รวมไปถึงบทบาท อิทธิพลของจีนในเวทีโลก เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้าความขัดแย้งครั้งนี้เกิดจากการตะแบงดื้อรั้นและความยั่วยุของฝั่งอเมริกา โดยเฉพาะอย่างยิ่งนางเพโลซี ซึ่งน่าจะเตี๊ยมกับทำเนียบขาว โดยทำเนียบขาวอ้างว่าเป็นการไปส่วนตัว ไม่ใช่ทางการ ไม่ได้อยู่ในแผนเดินทางตั้งแต่แรก เพราะฉะนั้น ทำเนียบขาวมิอาจจะแทรกแซงการตัดสินใจกิจกรรมใดๆ ของฝ่ายนิติบัญญัติได้ นั่นคือคำพูดของทำเนียบขาว

แต่ทำเนียบขาวไม่ได้พูดเลยว่า นางเพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎร หรือ Speaker of the House โดยตำแหน่งมีสิทธิขึ้นเป็นประธานาธิบดีได้ กฎหมายรัฐธรรมนูญระบุว่า ถ้านายโจ ไบเดน เป็นอะไรไป คนที่หนึ่ง นางกมลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดี ขึ้นแทนประธานาธิบดี ถ้านางแฮร์ริส ขึ้นไม่ได้ คนที่ 3 ก็คือ นางเปโลซี จะต้องเป็นประธานาธิบดีแทน นี่คือกฎหมายรัฐธรรมนูญ

ท่านผู้ชมครับ อย่างที่ผมวิเคราะห์ไปแล้วในรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ตอนที่ 147 ผมพาดหัวว่า "ใครจะเป็นผู้ชนะ หากสงครามสหรัฐฯ กับ รัสเซีย-จีน ปะทุ" ออกอากาศเมื่อไม่นานมานี้เอง เมื่อปลายเดือนที่แล้ว 22 กรกฎาคม 2565 ท่านผู้ชมลองย้อนไปชม แล้วฟังดูก็ได้ว่า แสนยานุภาพของอเมริกา จีน และรัสเซีย หากเกิดสงครามในเอเชียแปซิฟิก ไม่ว่าจะเป็นทะเลจีนตะวันออก ทะเลจีนใต้ ซึ่งเป็นหน้าบ้านของจีนนั่นเอง แนวโน้มจะเป็นอย่างไร ที่สำคัญผมเคยพูดมาแล้วหลายครั้ง ว่า ในประเด็นอื่นๆ นั้น สำหรับจีนแล้ว อดทนได้ อดกลั้นได้ ยอมถอยได้ เพื่อการเดินไปข้างหน้า พรรคคอมมิวนิสต์จีนใต้ตรรกะนำหน้าอารมณ์และความรู้สึกเสมอ คือจะไม่ใช้อารมณ์และความรู้สึก แต่ใช้เหตุและใช้ผล มีอยู่ประเด็นเดียวที่ผู้นำจีนทุกยุคทุกสมัยยอมไม่ได้เลย ตั้งแต่ผู้นำรุ่นที่ 1 เหมา เจ๋อตง รุ่นที่ 2 เติ้ง เสี่ยวผิง รุ่นที่ 3 เจียง เจ๋อหมิน รุ่นที่ 4 หู จิ่นเทา รุ่นที่ 5 สี จิ้นผิง และต่อไปอีกทุกรุ่น ก็คือเรื่องประเด็นไต้หวัน


พอมาถึงเรื่องไต้หวันแล้ว จีนจะใช้ความรู้สึกนำหน้าอารมณ์และเหตุผล คือยอมสละได้ทุกอย่าง แลกทุกราคา เพื่อไม่ให้มีการแยกจีนออกเป็นสองประเทศ หรือจะกลายเป็น 1 จีน 1 ไต้หวัน

ผมเคยเล่าเรื่องต่างๆ เหล่านี้ในรายการอย่างต่อเนื่อง หลายครั้ง หลายปี ต่อเนื่องจนถึงช่วงหลัง ทั้งก่อนและหลังการเกิดสงครามในยูเครน ทั่วโลกต่างหันมาโฟกัสที่ไต้หวัน ซึ่งเป็นจุดที่อเมริกาต้องการยั่วยุให้เกิดสงครามในจุดต่อไป คือใช้ไต้หวันเป็นเบี้ย ไต้หวันก็คือยูเครนอีกตัวหนึ่ง แล้วอเมริกาก็มองมาที่ประเทศไทยว่าอาจจะเป็น ... ไต้หวันคือยูเครน 2 และในที่สุดแล้ว เมืองไทยก็อาจจะเป็นยูเครน 3 เพราะผู้นำเมืองไทยสติปัญญาต่ำต้อยเรี่ยดิน จากการที่ตั้งตัวแทนของกองทัพไปร่วมประสานงานกับกลุ่มอินโด-แปซิฟิก ซึ่งผมจะพูดภายหลัง อีก 1-2 อาทิตย์ ผมจะเล่าให้ฟังว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คุณกำลังทำอะไรอยู่ คุณเลอะเทอะหรือเปล่าเรื่องนี้ แล้วผมจะอธิบายให้ฟังว่า พล.อ.ประยุทธ์ เลอะเทอะอย่างไร

มีคนเคยเตือนว่า ถ้าไต้หวันเป็นเอกราชแล้วอาจจะเกิดสงครามนิวเคลียร์ เมื่อปลายปีที่แล้ว ศาสตราจารย์ คิชอร์ มาห์บูบานี (Kishore Mahbubani) ผมเคยพูดให้ฟัง ศาสตราจารย์ คิชอร์ เป็นอดีตเอกอัครราชทูตถาวรของสิงคโปร์ประจำสหประชาชาติ เขาได้รับเชิญจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เขาบรรยายในการเสวนาหนึ่งที่จัดขึ้นในสิงคโปร์ หัวข้อ คือ "สี จิ้นผิง และบทบาทของจีนในโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลง" โดยตอนหนึ่ง ดร. คิชอร์ มาห์บูบานี พูดเกี่ยวกับ สี จิ้นผิง ว่า ความสุ่มเสี่ยงประการหนึ่งของกรณีความขัดแย้งระหว่างจีนกับไต้หวัน ก็คือความสุ่มเสี่ยงที่ว่าจะเกิดกรณีสงครามนิวเคลียร์

ดร. คิชอร์ มาห์บูบานี บอกว่า ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา ระหว่างสองฝั่ง คือจีนแผ่นดินใหญ่ กับ ไต้หวัน อยู่ในความสงบมาตลอด เนื่องจากอเมริกาได้บรรลุข้อตกลงกับจีนว่ามีแค่จีนเดียว (One China Policy) โดยรักษาความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการกับปักกิ่ง และความสัมพันธ์อย่างไม่เป็นทางการกับรัฐบาลไทเป ดร. คิชอร์ บอกว่า ถ้าคุณไม่เปลี่ยนสิ่งนี้ ไต้หวันจะรอดพ้นสงคราม แต่ถ้าอเมริกากดดันให้ไต้หวันประกาศเอกราช ซึ่งบางกลุ่มในรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ พยายามทำ และนางเพโลซี พยายามทำตอนนี้ หนึ่งในนั้นของรัฐบาลทรัมป์ คือ นายไมค์ ปอมเปโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ทำให้เกิดการล้ำเส้นแดง ซึ่งการประกาศเอกราชดังกล่าวของไต้หวันจะไปจุดกระแสความคับแค้นของชาวจีน ความคับแค้นอะไร ? ชาวจีนจะมีศตวรรษแห่งความอัปยศ ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Century of Humiliation ตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 19 หลังสงครามฝิ่นเป็นต้นมา ร้อยกว่าปีที่ผ่านมาแล้ว จนถึงช่วงศตวรรษที่ 20 ซึ่งจีนตอนนั้นถูกกล่าวหาว่าเป็นคนป่วยของเอเชีย ไต้หวันถูกยึดครองโดยต่างชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งญี่ปุ่น เพราะฉะนั้นแล้ว จีนจะไม่ยอมรับการประกาศเอกราชดังกล่าวของไต้หวัน แล้ว ดร. คิชอร์ มาห์บูบานี ยืนยันว่า ผมรับประกันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าจีนจะประกาศสงครามกับไต้หวันทันที


เมื่อมีผู้ถามว่า ความสัมพันธ์และการประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจจะฉุดรั้งจีนไม่ให้บุกไต้หวันได้หรือไม่ หากไต้หวันประกาศเอกราช ดร. คิชอร์ มาห์บูบานี พูดเหมือนที่ผมพูด ดร. คิชอร์ บอกว่า คุณตั้งคำถามแบบนี้ คุณลืมไปได้เลย ดร. คิชอร์ บอกว่า ปัจจุบันในเวทีโลกนั้น จีนถือว่าเป็นประเทศที่มีเหตุมีผลมากที่สุดประเทศหนึ่ง ที่ผ่านมาจีนจะคำนวณผลประโยชน์ของชาติอย่างละเอียดรอบคอบ ใช้ความอดทนหลายๆ เรื่องในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา ผลักดันให้ประเด็นต่างๆ ก้าวหน้า ดร. มาห์บูบานี บอกว่า แต่มีอยู่เรื่องเดียวที่เป็นข้อยกเว้นของจีน ที่จีนจะไม่ใช้เหตุใช้ผลเลย แต่ใช้อารมณ์และความรู้สึก จีนจะยอมจ่ายทุกอย่างที่ตัวเองมีอยู่ ต้นทุนทางเศรษฐกิจ การทหาร เพื่อจัดการเรื่องไต้หวัน ไม่ว่าจีนจะเสียหายมาก/น้อยแค่ไหน แม้กระทั่งเกิดการถดถอยทางเศรษฐกิจไปอีกสิบปี จีนก็จะยอมแลก

ยิ่งไปกว่านั้น ท่านผู้ชมครับ ถ้าเรามองดูผู้นำปัจจุบัน สถานการณ์ของจีน ผู้นำในจีนคือ สี จิ้นผิง ไม่เหมือนผู้นำคนก่อน เพราะจีนตอนนี้กลายเป็นมหาอำนาจของโลกอย่างแท้จริงในทุกๆ มิติ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เคยส่งสัญญาณถึงอเมริกา แล้วประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ยกกรณีสงครามเกาหลีมาเป็นตัวอย่าง แล้วก็บอกว่า รังแกจีนอีกต่อไปไม่ได้แล้ว

ในสงครามเกาหลี อเมริกาเป็นแกนนำในการสู้รบเกาหลีเหนือ ซึ่งมีเกาหลีเหนือ จีน และรัสเซีย อเมริการะดมคนจากชาติต่างๆ ประเทศไทยก็ไปรบที่เกาหลีด้วยตอนนั้น ถึงมีเพลงชื่อ "อารีรัง" ไง คือผมจำได้ แต่จริงๆ แล้วเบื้องหลังเพลงเพราะๆ นี้ ก็คือความกระหายสงครามของอเมริกา ที่ต้องการจะยึดเกาหลีทั้งเกาหลี แล้วชูเกาหลีใต้มาเป็นผู้ปกครองเกาหลีทั้งหมด ซึ่งจะอยู่ภายใต้เงื้อมมือของอเมริกา

ในช่วงแรก อเมริกาได้ขับทหารเกาหลีเหนือผ่านเส้นขนานที่ 38 แบ่งระหว่างกรุงโซล กับ เกาหลีเหนือ อเมริการุกผ่านเส้นขนานที่ 38 ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งใกล้เข้าไปสู่แม่น้ำยาลู แม่น้ำยาลู คือแม่น้ำอะไร ? คือแม่น้ำที่แบ่งเกาหลี กับ จีน เพราะฉะนั้นแล้ว จีนในขณะนั้นอ่อนแอมาก เพราะจีนเพิ่งจะรบชนะสงครามกลางเมือง โดยที่สงครามกลางเมืองตัวนี้จีนได้รบชนะเจียงไคเช็ก พรรคก๊กมินตั๋ง แล้วพรรคก๊กมินตั๋งก็หนีลงไปที่แถวๆ ไต้หวัน ที่ปัจจุบันนี้มีปัญหากัน


จีนอ่อนแอมาก อาวุธก็ไม่ทันสมัย รถถังมีอยู่ไม่กี่คัน กองทัพอากาศก็ไม่มี แม้กระทั่งปืนประจำตัวก็เป็นปืนที่เก่า ปืนกลก็เป็นปืนสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ใช้รบกับญี่ปุ่น สู้อเมริกาไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว เขามองว่าฝ่ายใต้ คือตอนนี้อเมริกาตอนนั้นถือว่าเกาหลีอยู่นอกอาณาเขตความมั่นคงของอเมริกา ก็ไม่ได้มีใครสนใจ และไม่ได้ใช้บุคลากรชุดเดียวกับภายใต้อำนาจญี่ปุ่นเพื่อบริหารงาน ทำให้เกาหลีใต้วุ่นวาย คิม อิล-ซุง ผู้นำเกาหลีเหนือ เห็นเป็นโอกาสจะรวมชาติเป็นปึกแผ่น ประธานาธิบดีทรูแมน ก็เลยหันไปหาสหประชาชาติ เพราะตอนนั้น คิม อิง-ซุง รักชาติไงครับ ต้องการที่จะรวมเกาหลีหมดเลย ให้เป็นเกาหลีทั้งประเทศ แต่อเมริกาไม่ยอม ทรูแมน ก็เลยขอกองกำลังสหประชาชาติที่อเมริกาคุมอยู่ เพื่อระดมทหารเข้าไปเพื่อรบในเกาหลี

ท่านผู้ชมครับ อย่างที่ผมเรียนให้ทราบ อเมริกา และทหารเกาหลีใต้ เห็นว่าจีนอ่อนแอตอนนั้น เพราะเพิ่งหยุดสงครามกลางเมือง กำลังไม่มี ก็เลยตัดสินใจโดยมี จอมพลแมกอาร์เธอร์ ประกาศให้บุกและเข้าไปยึดเกาหลีให้หมดเลย แล้วก็กำลังจะเดินทัพต่อไปใกล้แม่น้ำยาลู ก่อนหน้าที่จะเกิดตรงนี้ จีน โดยผ่านท่านโจว เอินไหล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของจีน เนื่องจากจีนสมัยนั้นยังปิดประเทศอยู่ ไม่ได้มีความสัมพันธ์กับประเทศอื่นๆ จีนก็เลยส่งข้อความผ่านทูตอินเดียประจำปักกิ่ง ให้ช่วยแจ้งไปในโลกนี้ ให้ถึงอเมริกา อังกฤษ และสหประชาชาติ ว่า อย่าเข้ามาใกล้แม่น้ำยาลูนะ นี่เป็นแผ่นดินจีนแล้วนะ ถือว่าเป็นการคุกคามจีนแล้วนะ ไม่ได้นะ แต่อเมริกาไม่ฟัง ประธานเหมา เจ๋อตง ก็เลยตั้งจอมพลคนหนึ่ง (ที่จีนมีจอมพลอยู่ 10 คน ที่เก่งมาก) ชื่อ เผิง เต๊อะไหว

จอมพลเผิง เต๊อะไหว ได้รับมอบหมายให้ปกป้องแผ่นดินจีน แล้วช่วยเกาหลีเหนือ คิม อิล-ซุง ให้ยึดพื้นที่คืนมา เพราะอเมริกาบุกไปหมดแล้ว บุกจากเกาหลีใต้มา อเมริกายกพลขึ้นบกที่อินชอน แล้วบุกเข้าไป ประเทศไทยก็ส่งทหารไปรบกับเขาด้วย หลายๆ ประเทศก็ส่งไปรบด้วย ปรากฏว่านายพลเผิง เต๊อะไหว เก่งมาก ระดมทหารจีน 1 ล้าน 5 แสนคน เพราะแมกอาร์เธอร์ ขณะนั้นกำลังมีความสุขกับงานค็อกเทลปาร์ตี้อยู่ที่โตเกียว บอกว่าจีนไม่มีปัญญา ถ้าจีนเคลื่อนกำลังเมื่อไร เราจะรู้ทันที เพราะเรามีทั้งกองทัพอากาศ เรามีทั้งกองทัพเรือ กองเรือที่ 7 จีนไม่มีอะไรเลย เผิง เต๊อะไหว ระดมคนได้ 1 ล้าน 5 แสนคน แบ่งกองกำลังเป็น 3 กองกำลัง เผิง เต๊อะไหว บอกให้จำนวนคน 1 ล้าน 5 แสนคน ให้เดินทางภายในไม่เกิน 10 วัน ให้ถึงพรมแดนแม่น้ำยาลู ให้เดินทางกลางคืน เดินทางในป่า เพื่อไม่ให้จับได้ว่าเรากำลังเคลื่อนกำลังพล และขณะเดียวกัน จีนก็ให้กองทัพที่กวางตุ้ง ซึ่งอยู่ติดกับไต้หวัน ระดมกำลังของทหารจีน ทำเสมือนว่าจะยกพลขึ้นบกที่ไต้หวัน เพื่อยึดไต้หวัน แมกอาร์เธอร์ ก็เลยส่งกองเรือที่ 7 ไปกั๊กไว้ที่ไต้หวัน และขณะเดียวกัน เอากองทัพอากาศไปไว้ที่ไต้หวัน เพื่อที่จะช่วย ปรากฏว่า โจวเอินไหล เตือนแล้วไม่ฟัง พอวินาทีสุดท้าย กองทัพของสหประชาชาติซึ่งมีอเมริกาเป็นหัวหอก จู่ๆ ก็เจอทหารจีนโผล่มาจากไหนไม่รู้ 5 แสนคน สู้กับพวกกองกำลังผสมของสหประชาชาติ 5 แสนคน รบ 8 ชั่วโมง ไม่ถอยเลย พอครบ 8 ชั่วโมง 5 แสนคนแรกถอย 5 แสนคนที่สองที่ซ่อนตัวอยู่ ก็เข้ามาแทนที่ รบต่ออีก 8 ชั่วโมง หลังจากนั้น 5 แสนคนที่สาม ก็เข้าไปแทน 5 แสนคนที่สอง หมุนเวียนอย่างนี้ไม่มีหยุดเลย ไม่มีวันพัก อเมริกา กับกองทัพสหประชาชาติเหน็ดเหนื่อยสาหัสสากรรจ์ จนกระทั่งจีน กับเกาหลีเหนือ บุกขึ้นมาถึงเส้นขนานที่ 38 และกำลังจะข้ามเส้นขนานที่ 38 เพื่อมายึดกรุงโซล


ปรากฏว่าทางอเมริกาขอเจรจาสงบศึก พร้อมกับขู่เข็ญด้วยว่า ถ้าไม่ยอมเจรจา จะเอาระเบิดที่เพิ่งทิ้งไปที่เมืองฮิโรชิมา กับ นางาซากิ มาทิ้งประเทศจีน ก็เลยมีการเจรจาสงบศึกกัน นั่นคือที่มาของเส้นขนานที่ 38 แบ่งกัน แล้วก็เป็นตำนานของการสร้างหนัง ซีรีส์เกาหลีเยอะแยะไปหมด ไม่ว่าจะเป็น Crash Landing อะไรทำนองนี้ ที่ ซนเยจิน เป็นนางเอก แล้วก็แต่งงานกับพระเอกในที่สุด เรื่องพวกนี้

ท่านผู้ชมครับ ยุทธศาสตร์ของจีนผลักดันอเมริกาออก ในขณะที่จีนยังไม่มีอำนาจ ไม่มีกำลังแสนยานุภาพเหมือนวันนี้ แต่ 2493 กับ 2565 ท่านผู้ชมครับ เกือบเจ็ดสิบปีที่แล้ว วันนี้จีนไม่ใช่จีนในอดีตอีกต่อไปแล้ว เกาหลีเหนือก็ไม่ใช่เกาหลีเหนือในอดีตอีกต่อไปแล้ว เกาหลีเหนือมีอาวุธนิวเคลียร์ มีขีปนาวุธที่สามารถจะยิงข้ามไปถึงอเมริกาได้ จีนมีอาวุธทุกประการ เกาหลีเหนือพร้อมจะถล่มญี่ปุ่น พร้อมจะถล่มเกาหลีใต้ได้ จีนก็มีแสนยานุภาพ เทคโนโลยีที่นำกว่าอเมริกา

ในขณะนั้น ยุทธการที่รบกันตอนนั้น รบกัน 87 วัน สงครามเกาหลี จนกระทั่งในที่สุดมีการเจรจากัน นี่คือสงครามเกาหลีที่ สี จิ้นผิง ได้เตือนอเมริกา ว่า ขนาดกูใส่เสื้อผ้าขาดกะรุ่งกะริ่ง ใช้ปืนเล็กยาวที่มันห่วยมาก ปืนกลมีไม่กี่กระบอก รถถังแทบไม่มี กูยังเอามึงอยู่ แต่วันนี้กูไม่ใช่เมื่อวานนี้แล้วนะ มึงคิดผิดคิดใหม่ได้นะ (นี่ผมพูดภาษาผมนะ แต่นัยทางการทูตก็คือเตือนอเมริกาไป) ด้วยเหตุนี้ กระทรวงกลาโหมของอเมริกาพูดอยู่ตลอดเวลาเลยว่า อย่าเพิ่งรบกับจีน เพราะอเมริกาไม่พร้อม ถ้ารบเมื่อไร อเมริกาแพ้ทันทีเลย

เพราะฉะนั้นแล้ว นี่คือสิ่งที่ผมคิดว่าจีนได้เตือนมาแล้ว และจีนเป็นคนที่ชอบเตือน เตือนหลายครั้ง อะไรที่เข้าไปมีผลประโยชน์กับจีน แล้วขัดขวางจีน จีนไม่ยอมแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ขนาดเกาหลีเหนือ อเมริกาจะมาชิดพรมแดนจีน จีนยังไม่ยอมเลย สมัยยุคโน้นซึ่งเป็นยุคที่จีนไม่มีอะไรเลย มาวันนี้อเมริกาจะยุให้ไต้หวันเป็นเอกราช คุณคิดว่าจีนจะยอมหรือ ด้วยนัยที่เขามีอยู่ ด้วยอาวุธที่เขามีอยู่ เพราะฉะนั้นมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ท่านผู้ชมครับ

นี่คือเหตุการณ์ของเกาหลีเหนือที่ผมจะเล่าให้ท่านผู้ชมฟัง และเป็นเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่การทหารของอเมริกาก็ยังงงอยู่ว่าจีนทำได้อย่างไร เดินทางแค่ 10 วัน ด้วยกำลังคน 1 ล้าน 5 แสนคน แล้วไปประชิดพรมแดนตรงริมฝั่งแม่น้ำยาลู แบ่งกองกำลังเป็น 3 กอง บุกเข้าไปยันทหารเกาหลีใต้ และทหารอเมริกัน ทหารสหประชาชาติ 8 ชั่วโมง รบหนัก อีก 8 ชั่วโมง เอากองที่สองเข้าไป กองที่หนึ่งถอยกลับมาพัก หมุนไปอย่างนี้ 87 วัน ใครจะไปทนไหวล่ะ ท่านผู้ชมครับ นี่คือบทเรียนที่ผมต้องเล่าให้ท่านผู้ชมฟัง เพราะหลายๆ ท่านโตไม่ทันพอกับเหตุการณ์นั้น และบทเรียนนี้มันคือแรงบันดาลใจให้จีนมีความมั่นใจในตัวเอง ผสมกับเทคโนโลยีของตัวเองที่มีใหม่ทุกวันนี้ เจ็ดสิบกว่าปีที่ผ่านมา จีนเจ็ดสิบกว่าปีที่แล้ว กับปีนี้ คนละเรื่องกัน เพราะฉะนั้น จีนไม่ได้กังวลหรือกลัวอเมริกาเลยแม้แต่นิดเดียว แต่พยายามใช้เหตุผล แต่พอมาเรื่องไต้หวัน แล้วท่านผู้ชมจะเห็นการแลกหมัดกันอย่างชนิดถึงลูกถึงคน

ท่านผู้ชมครับ ช่วงสุดท้ายรายการวันนี้ จะพูดถึงการตอบโต้ของจีน หลายฝ่ายคาดเดาว่าการยั่วยุของอเมริกาด้วยการส่งหมากรุก หรือส่งเบี้ยอย่างนางเพโลซี ไปยั่วปักกิ่ง ถึงกล่องดวงใจ คือไปเหยียบเกาะไต้หวัน จะทำให้จีนมีปฏิกิริยาต่อต้านอย่างรุนแรง อาจจะถึงขั้นขยับเขยื้อนเคลื่อนกองทัพออกมาสกัดกั้นเครื่องบินของเพโลซี หรืออาจจะต้องยกพลขึ้นบกเกาะไต้หวันทันที แต่มันไม่ใช่อย่างนั้นท่านผู้ชม เพราะรัฐบาลจีนยึดถือปรัชญาตะวันออก และหลักการเดินเกมที่แตกต่างจากอเมริกาอย่างชัดเจน นั่นคือ อเมริกาเล่นหมากรุก แต่จีนเล่นหมากล้อม


ช่วงเช้าวันพุธที่ 3 สิงหาคม สองวันที่ผ่านมา สถานการณ์ทวีความตึงเครียดขึ้น จีนได้ประกาศซ้อมรบรอบเกาะไต้หวัน ตั้งแต่เที่ยงวันของวันพฤหัสบดีที่ 4 สิงหาคม จนถึงวันอาทิตย์ที่ 7 สิงหาคมนี้ พิกัดรอบไต้หวันนี้ จีนแจ้งให้เรือบินและเรือต่างๆ ให้หลีกเลี่ยงพื้นที่ซ้อมรบ เพื่อความปลอดภัย แผนที่ข้างบนจะเห็นพื้นที่การซ้อมรบของจีน สี่เหลี่ยมสีแดงๆ คือการซ้อมรบของจีน 6 จุด เหมือนกับคุมเกาะไต้หวันไว้เรียบร้อยหมดแล้ว และผมจะชี้ให้ดูว่าวันนี้จีนไม่ได้แคร์อะไรอีกต่อไปแล้วกับเส้นแบ่งระหว่างจีน กับ ไต้หวัน สมัยก่อนเคยมีวิกฤตช่องแคบไต้หวัน ครั้งที่ 3 เมื่อปี 2538-2539

2538 ยี่สิบเจ็ดปีที่แล้ว วิกฤตช่องแคบไต้หวันช่วงนั้นกินเวลาที่จีนยันไต้หวันและขู่ไต้หวัน พร้อมจะยึดไต้หวัน เป็นเวลา 8 เดือน 2 วัน


(แผนที่) มืดๆ ตรงนี้คือการซ้อมรบเมื่อประมาณ 28 ปีที่แล้ว ตรงลายปรุนี้คือเส้นแบ่งระหว่างช่องแคบไต้หวัน ฝั่งหนึ่งเป็นของไต้หวัน ฝั่งหนึ่งเป็นของจีน ส่วนลายปรุตรงนี้ คือเขตการบิน ที่ใครก็ตามจะบินเข้ามาลายปรุนี้ ต้องแจ้งให้ไต้หวันทราบว่าคุณคือใคร ที่เขาเรียกว่า Taiwan Air Defence Identification Zone ท่านผู้ชมเห็นหรือยังว่าจีนบุกเข้ามาโดยไม่สนใจลายปรุอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว คือเดินเข้าไปในบ้านเฉยๆ อย่างนั้นล่ะ แล้วก็ซ้อมรบใกล้เมืองเกาสง ซึ่งเป็นเมืองท่าที่สำคัญมากของไต้หวัน น่าจะใหญ่ที่สุด จีนซ้อมรบตรงนี้ ท่านผู้ชมรู้ไหมเมืองเกาสงห่างจากแผ่นดินใหญ่ของไต้หวันไม่ถึง 10 กิโลเมตร แค่ตดเฉยๆ ก็ไปถึงแล้ว แล้วห่างไป 55 กิโลเมตร ซ้อมรบตรงสี่เหลี่ยมนี้ 9.5 กิโลเมตร ถึงเกาสง 16.5 กิโลเมตร จนถึงทางใต้ของไต้หวัน มันกว่านั้น ขึ้นมาทางเหนือหน่อย ไทเป จีนซ้อมรบที่จุด 22 กิโลเมตรครึ่ง ห่างจากไทเป ตรงนี้ 18 กิโลเมตรครึ่งห่างจากไทเป ตรงนี้ 60 กิโลเมตร ก็คือบล็อกตรงนี้ไว้หมดเลย

ท่านผู้ชมครับ เลยไม่น่าประหลาดใจว่า นางกุยช่าย หรือ นางไช่ อิงเหวิน ค่อนข้างจะประสาทแล้วตอนนี้ ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะว่าจีนกำลังรอกระสุนปืนนัดแรก ใครยิงก่อน ถ้าเครื่องบินไต้หวันเกิดพลาดพลั้ง ต้องการจะข่มขู่เครื่องบินจีนให้ออกไปนอกเขต ยิงนัดแรก ท่านผู้ชมครับ ไต้หวันจบเลยทันที

แล้วไต้หวันจะมีเกาะอยู่เกาะหนึ่ง เขาเรียกว่า เกาะจินเหมิน หรือ เกาะคีมอย ท่านผู้ชม ผมเคยไปเรียนไต้หวันมาก่อน ผมรู้จักเกาะนี้ดี เกาะนี้เป็นเกาะเดียวที่ไต้หวันยังเป็นเจ้าของอยู่ แล้วอยู่ห่างจากจีนแผ่นดินใหญ่เพียงนิดเดียว ไต้หวันเอากองกำลังทหารไปตั้งไว้ที่นี่


ท่านผู้ชมไม่ต้องห่วงหรอกครับ ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงจีนก็ยึดเกาะนี้คืนได้แล้ว เพราะฉะนั้นท่านผู้ชมจะเห็นได้ชัดว่า คำถามมีอย่างนี้ครับ สิ่งที่มันเกิดขึ้น คือจีนเหมือนกับยึดช่องแคบไต้หวันไปแล้ว ตอนนี้กองเรือที่ 7 ของอเมริกาจะมาวิ่งผ่านช่องแคบไต้หวันเหมือนที่ตัวเองเคยทำประจำ คงไม่ได้แล้ว จีนไม่ให้เข้าแล้ว เรื่องเกี่ยวกับทางอากาศ จีนก็เข้ามายึดหมดแล้ว ซ้อมรบ จีนถึงประกาศว่าเครื่องบินอะไรก็ตามที่จะเข้ามาตรงนี้ เรืออะไรก็ตามที่จะมาผ่านตรงนี้ ห้ามเข้า เพราะถ้าโดนลูกหลงแล้วจะมาว่าจีนไม่ได้นะ มันก็เกิดเหตุการณ์ที่เหมือนกับว่าการที่อเมริกาส่งหมากรุก คือนางเพโลซี เยือนเกาะไต้หวันครั้งนี้ จีนตอบโต้ด้วยการใช้หมากล้อม ก็คือซ้อมรบรอบเกาะไต้หวัน เป็นตัวอย่างที่คลาสสิกตัวอย่างหนึ่ง การประดาบครั้งนี้เป็นแค่เกมหนึ่งบนกระดาน การเดินหน้าหมากล้อมของจีนจะรุกคืบไปเรื่อยๆ หลังจากซ้อมรบเกาะไต้หวันแล้ว เขาจะดำเนินการล้อมไต้หวันด้านอื่น และผมก็ไม่รู้ จีนบอกว่าจะซ้อมรบถึงวันอาทิตย์นี้ ก็คราวที่แล้วซ้อมรบเมื่อสามสิบกว่าปีที่แล้ว ซ้อมรบถึง 8 เดือน ถ้าเขาล้อมไต้หวันอย่างนี้ 8 เดือน ท่านผู้ชมครับ เรือเข้าก็ไม่ได้ ออกก็ไม่ได้ เครื่องบินเท่าที่ผมรู้มา ไม่ว่าจะเป็นโคเรียนแอร์ไลน์ คาเธ่ย์แปซิฟิค ยกเลิกเที่ยวบินไปไต้หวัน คนอยู่ไต้หวันก็ไปไม่ได้เหมือนกัน


ตอนนี้สื่อตะวันตกหลายเจ้าเริ่มมี "ซาโตริ" ซาโตริ เป็นภาษาญี่ปุ่น เขาเรียกว่า รู้ตัวแล้วนะ ว่าการที่ยัยตัวแสบ เพโลซี เดินทางไปที่ไต้หวันนั้น คนที่ซวยคือคนไต้หวัน ยัยกุยช่าย คือ นางไช่ อิงเหวิน ไม่รู้จะทำอย่างไร ท่านผู้ชมรู้หรือเปล่าว่าจีนได้ทำอะไรไปบ้าง ภายในระยะเวลาไม่ถึง 48 ชั่วโมง แค่ 24 ชั่วโมง จีนสั่งระงับขนม นม ชา ของกิน ของใช้ทุกอย่างจากไต้หวัน สั่งให้บริษัทในแผ่นดินใหญ่จีนห้ามซื้อของไต้หวัน ทั้งหมด ปิดหมด ตลาดของไต้หวันในประเทศจีนหาย สั่งบริษัทจีนระงับการซื้ออาหารจากบริษัทไต้หวัน 2,066 แห่ง จาก 3,200 แห่ง จีนงดการส่งออกทรายพิเศษที่เป็นวัตถุดิบ ก่อนที่จะทำเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งเป็นรายได้หลักของไต้หวัน คุณจำเป็นต้องใช้ทรายพิเศษในการผลิตซิลิคอน เซมิคอนดักเตอร์

เซมิคอนดักเตอร์ เป็นหัวใจในอุตสาหกรรมทุกประเภทที่ใช้ในเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน สมาร์ทโฟน รถยนต์ เครื่องบิน การรถไฟ การสื่อสาร จะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมทุกระดับของไต้หวันและประเทศอื่นในวงกว้าง ทั้งอเมริกา และทั้งยุโรป มาตรการทางเศรษฐกิจ สั่งฮ่องกงให้ยุติการค้าขายกับไต้หวัน แล้วอาจจะโจมตีค่าเงินไต้หวัน ไม่รวมยังกดดันแซงก์ชัน ไม่ให้มีการส่งน้ำมัน ก๊าซ ให้ไต้หวัน สินค้าอุปโภคบริโภคขั้นพื้นฐาน ท่านผู้ชมครับ ครั้งนี้ไม่ใช่ยูเครน กับ รัสเซีย นะ นี่เป็นเกาะนะ ยัยกุยช่าย ไช่ อิงเหวิน จะไปไหนได้ คนไต้หวันถึงบอกว่าโชคร้าย แล้วท่านผู้ชมรู้ไหมว่าจีนมีการค้ากับไต้หวันเป็นอันดับหนึ่งของไต้หวัน 273,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 10 ล้านล้านบาท เป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของมูลค่าการค้าทั้งหมดของไต้หวัน ท่านผู้ชมรู้ไหม ? 33 เปอร์เซ็นต์


คำถามคือ แล้วแนนซี เพโลซี จะว่าอย่างไร ? ก็คงจะทำเหมือนกับกรณีโจชัว หว่อง ไต้หวัน ไช่ อิงเหวิน สู้ๆ นะ เราจะอยู่ที่ Capital Hill ให้กำลังใจน้อง สู้ๆ สู้ๆ นะ เดี๋ยวเตรียมซื้ออาวุธจากเราอีกนะ เพราะคองเกรสกำลังจะออกกฎหมายแล้วให้น้องๆ ไต้หวันสามารถผ่อนส่งอาวุธได้ถึง 12 ปี สู้ๆ นะ นี่ล่ะครับท่านผู้ชม

ตอนนี้เหตุการณ์ทั้งหมด อเมริกากำลังพบกับความห่างเหิน และความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจจากประเทศอื่นเยอะแยะไปหมด อินเดียเคยเป็นมิตร กำลังจะถอยห่าง จะยิ่งถอยห่างกว่าเดิม ซาอุดีอาระเบีย และกลุ่มประเทศในตะวันออกกลาง ก็ถอยห่างจากอเมริการ อาเซียนตอนนี้หลายประเทศเลิกเฮ้าเลี่ยน ยังคงมีประเทศไทยประเทศเดียวที่ยังคงเฮ้าเลี่ยนอยู่ ส่งทหาร ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ไปเป็นตัวประสานงานอินโด-แปซิฟิก เมื่อไร พล.อ.ประยุทธ์ ถึงจะเรียนรู้เสียที ผมกลุ้มใจจริงๆ

ท่านผู้ชมครับ วันนี้ไต้หวันคุกเข่าจุดธูปไหว้เจ้าแม่กวนอิมขอให้คุ้มครองให้พ้นวิกฤต ส่วนนางกุยช่าย ไช่ อิงเหวิน คุกเข่าจุดธูปสักการะเทพีเสรีภาพของอเมริกา ขอยืมไฟคบเพลิงมาจุดเผาเกาะของตัวเอง นี่ล่ะครับ ท่านผู้ชมจะเห็นได้ชัดว่าหมากล้อมเพิ่งเริ่ม การแซงก์ชันทางเศรษฐกิจจะทำให้ไต้หวันเจ๊กอั้ก เจ๊กอั้กจริงๆ เพราะเป็นเกาะ จะเอามาจากไหนล่ะ จีนประกาศแล้วไง เรือจากไหนก็ตามจะผ่านช่องแคบไต้หวัน ต้องขออนุญาตจีนก่อน เพราะจีนบอกว่านี่คืออธิปไตยของจีน สายการบินคาเธ่ย์แปซิฟิค ลดจำนวนไฟลต์บินไปเลย จากอาทิตย์หนึ่งเกือบร้อยไฟลต์ อาจจะเหลือไม่ถึง 5 ไฟลต์ โคเรียนแอร์ไลน์ก็ลดไฟลต์บิน สายการบินยูไนเต็ดแอร์ไลน์ของอเมริกาที่เคยบินมาลงไต้หวัน ตอนนี้ต้องยกเลิกไฟลต์หมด กุยช่าย ไช่ อิงเหวิน คุณเตรียมตัวลี้ภัยไปอเมริกาได้แล้ว

ท่านผู้ชมครับ วันนี้มีอยู่เพียงแค่นี้ แต่ท่านผู้ชมอย่าลืมนะครับ อาทิตย์หน้าผมมีทีเด็ดให้ คือเรื่อง Zipmex เรื่องคล้ายๆ Bitcoin มีลูกของคนใหญ่คนโต 3 คน ลูกของวิษณุ เครืองาม ลูกของสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ อดีตปลัดกระทรวงการคลัง เป็น ส.ว. ยุคปัจจุบัน ตลอดจนเคยเป็นประธานตลาดหลักทรัพย์ฯ ลูกของไชยา ลิ้มวิไล ที่ปรึกษาตลาดหลักทรัพย์ฯ ผู้กว้างขวางในวงการ เคยเป็นอาจารย์ธรรมศาสตร์ เกี่ยวพันกันหมด ผมอยากจะรู้ว่า ก.ล.ต. ซึ่งผมอยากจะตั้งฉายาว่า "กูลืมตรวจ" จะเอื้ออำนวยประโยชน์ให้กับลูกของผู้หลักผู้ใหญ่นี้มากน้อยแค่ไหน แล้วคอยติดตามอาทิตย์หน้า สวัสดีครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น