xs
xsm
sm
md
lg

[คำต่อคำ] SONDHI TALK : นั่น!! "นายก" หรือ "คนรับรถ"

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



วันที่ 17 มิ.ย.65 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ไลฟ์สด “SONDHI TALK” ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ คุยทุกเรื่องกับสนธิ ช่องยูทูป Sondhitalk และและแอปพลิเคชัน Sondhi App โดยมีประเด็นที่ได้เล่าในวันนี้ ได้แก่

- นายกฯ หรือ คนรับรถ? ศักดิ์ศรีนายกไทยอยู่ตรงไหน? ไปยืนกุมเป้ารอต้อนรับ รมต.กลาโหมสหรัฐฯ
- สัญญาณสงครามเริ่มแล้ว “สี จิ้นผิง” ประกาศกฎอัยการศึก รมว.กลาโหม สหรัฐฯ มาไทย มีนัยอะไร

- ฉายภาพอนาคต “จุดจบโลกเก่า จุดเริ่มต้นโลกใหม่”
- ไจแชนการ์ รัฐมนตรีต่างประเทศอินเดีย พูดอย่างไรในเรื่องความขัดแย้งระหว่างอเมริกา ยุโรป ต่อ รัสเซีย และจีน เทียบกับดอน ปรมัตถ์วินัย แล้วเหมือนฟ้ากับเหว
- มาเฟียจีนในเมืองถังซานสุดเหิม สี จิ้นผิง จัดการอย่างไร 
- วิบากกรรมกัญชา ดราม่าหลังปลดล็อก

- “คนไทยโดนปล้น” วาระซ่อนเร้นของนักการเมือง ชื่อ "กรณ์ จาติกวณิช"

ติดตามได้ใน SONDHI TALK : ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง Ep.142



คำต่อคำ SONDHI TALK EP.142 [17 มิ.ย. 65] : นั่น!! "นายก" หรือ "คนรับรถ"

ช่องทางการรับชมรับฟัง "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" หรือ SONDHI TALK
แอปพลิเคชัน : SONDHI APP
ระบบ iOS ดาวโหลดได้ที่ AppStore : https://apps.apple.com/th/app/sondhi-app/id1588046647.
ระบบ Android ดาวโหลดได้ที่ Google Play : https://play.google.com/store/apps/details?id=com.sondhitalk.asia.android
เฟซบุ๊กแฟนเพจ : คุยทุกเรื่องกับสนธิ
YouTube : Sondhitalk
เว็บไซต์: www.sondhitalk.com
Podcast หรือ podbean : SONDHI TALK

สวัสดีครับท่านผู้ชม วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2565 ก็เหมือนอย่างเช่นเคย ทุกๆ ศุกร์ ท่านผู้ชมครับ เผลอไปแป๊บเดียว นี่เข้าไปเกินกลางเดือนมิถุนายนแล้ว เวลาผ่านไปเหมือนโกหก องค์ความรู้ต่างๆ มันเยอะเหลือเกิน ข่าวคราวที่ท่านผู้ชมควรจะรับทราบมันก็มากเหลือเกิน จนกระทั่งรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" แทบจะรับไม่ไหว

เอาเรื่องแรกก่อนครับ อาทิตย์นี้มีอะไรพิเศษ เมื่อวันพุธที่ 15 มิถุนายน เมื่อสองวันที่ผ่านมา ท่านผู้ชมบางท่านอาจจะไม่ได้สังเกต แต่แอปพลิเคชัน Sondhi App ได้มีรายการพิเศษ พิเศษจริงๆ เกี่ยวกับการปกปิดข้อมูลวัคซีนโรคระบาด ซึ่งข้อมูลนี้ได้ถูกเปิดเผย นำโดยอาจารย์แพทย์ คือ อาจารย์นายแพทย์อรรถพล สุคนธาภิรมย์ ณ พัทลุง จากคณะแพทยศาสตร์จุฬาฯ กับ อาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์


ซึ่งหลังจากเราลงไปแล้ว ก็มีคนให้ความสนใจมาก แต่ผมต้องขอย้ำว่า เรื่องนี้ท่านไม่สามารถดูผ่านเฟซบุ๊กตามปกติธรรมดาได้ ดูได้เฉพาะผ่าน Sondi App เท่านั้น แล้ว Sondhi App ก็มีลิงก์ต่อให้ท่านไปเปิดดูต่อได้ที่เว็บไซต์ mgronline.com เหตุผลทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ? เพราะว่ารายการประเภทนี้ไม่สามารถจะดูผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอื่นๆ ได้ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับโรคระบาด และวัคซีน ซึ่งถ้าไม่พูดในทำนองที่เขากำหนดให้พูด ก็จะต้องถูกแบนจากแพลตฟอร์มเหล่านี้ทั้งหมด และถูกลบออกไปทันที แล้วช่องทางก็จะถูกบล็อกทันที

เลยต้องขอร้องท่านผู้ชมที่ได้รับชมแล้ว ช่วยกันบอกต่อ ช่วยกันดาวน์โหลดและสมัคร Sondhi App กันให้มากๆ เพราะเรายังมีข้อมูลและเนื้อหาเกี่ยวกับโรคระบาด วัคซีน รวมไปจนถึงข้อมูลเรื่องกัญชา สมุนไพรไทย อีกหลายเรื่อง ที่ไม่สามารถจะออกอากาศผ่านช่องทางปกติได้ สำหรับท่านผู้ชมที่ดาวน์โหลด Sondhi App แล้ว จะทราบดีว่าแอปฯ นี้มีการแจ้งเตือนรายการใหม่ทุกครั้ง ไม่มีโฆษณาแทรกหรือกวนใจ สามารถดูรายการย้อนหลังได้อย่างต่อเนื่อง เพียงเดือนละ 99 บาท วันละ 3 บาทเท่านั้น ท่านผู้ชมครับ ยิ่งสมัครเป็นรายปียิ่งคุ้ม แถมฟรี 2 เดือน ส่วนใครมีปัญหาในเรื่องการจ่ายเงินหรือเข้าแอปฯ ไม่ได้ ให้แอดไลน์ (LINE) มาสอบถามได้ที่ @sondhitalk ท่านผู้ชมอย่าลืมนะครับ อนาคตของการได้ฟังข้อมูลข่าวสาร องค์ความรู้ที่เสรี ที่ไม่ถูกจำกัดด้วยนโยบายทางตะวันตก ดู Sondhi App ครับ รับรองว่าไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน เพราะว่าเป็นการเสนอเรื่องอย่างตรงไปตรงมาและไม่เข้าข้างใคร ทุกวันนี้แพลตฟอร์มทางตะวันตก ไม่ว่าจะเป็นยูทูบ ไม่ว่าจะเป็นเฟซบุ๊ก เป็นแพลตฟอร์มที่ถูกออกแบบมา และถูกกำกับโดยนโยบายทางตะวันตกทั้งสิ้น แม้กระทั่งเรื่องราวในสงครามระหว่างรัสเซีย กับ ยูเครน ในบางเรื่องก็จะถูกบล็อกไปเช่นกัน

ท่านผู้ชมครับ เรื่องแรกที่ผมจะพูดให้ฟังเป็นเรื่องที่ผมได้ยินข่าวมา ได้เห็นภาพมา ได้รับทราบข้อมูลแล้วผมหงุดหงิดใจมาก และผมโกรธ ผมโกรธท่านนายกรัฐมนตรีคนนี้มากๆ จากการกระทำของท่านเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว คือผมกำลังชี้ให้ท่านผู้ชมเห็นว่า ท่านนายกฯ ทำตัวเหมือน "คนรับรถ" ภาพของท่านนายกฯ ไปยืนหัวโด่รอรับ พล.อ.ลอยด์ เจ. ออสติน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกา ยืนกุมเป้า ไม่รู้ด้วยว่ารถคันไหนจะมา ศักดิ์ศรีของคนเป็นนายกรัฐมนตรีเมืองไทย หรือรัฐมนตรีฯ กลาโหม มันหายไปไหนหมด การกระทำเช่นนี้ยิ่งตอกย้ำ ทำให้ผมเชื่อเลยว่า ท่านนายกฯ เมื่อเจอฝรั่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอเมริกา แล้ว ท่านตัวอ่อนระทวย ยอมทำตามทุกอย่าง อย่างที่เขาว่า


ผมกำลังเรียกร้องศักดิ์ศรี ผมอยากให้ท่านนายกฯ มีศักดิ์ศรีในความเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยหน่อยได้ไหม เดี๋ยวฟังก็แล้วกันว่าผมจะพูดถึงเรื่องนี้ว่าอย่างไร

เรื่องที่สอง ต่อเนื่องไปจากการมาเยือนของ พล.อ.ลอยด์ เจ. ออสติน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกา เกิดสัญญาณสงครามมาแล้วครับท่านผู้ชม ได้มีการประชุมกันในเรื่องของความมั่นคงที่สิงคโปร์ ที่ชื่อว่า แชงกรีล่าไดอะล็อก (Shangri-La Dialogue) การประกาศกฎอัยการศึกของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ท่านผู้ชมคงไม่รู้นะว่า ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้ประกาศกฎอัยการศึกแล้ว นัยการเยือนไทยของ พล.อ.ลอยด์ เจ. ออสติน

เรื่องที่สาม ท่านผู้ชมเคยได้ยินชื่อ นายไจแชนการ์ ไหม ? นายซับรามานยาม ไจแชนการ์ (Subrahmanyam Jaishankar) คือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของอินเดีย ได้รับเชิญไปเสวนาและสัมมนาในเรื่องความมั่นคง ที่เมืองบราติสลาวา ประเทศสโลวาเกีย มีผู้นำประเทศต่างๆ ไปมาก รวมทั้งประธานกรรมาธิการของยุโรป ไปฟังเขาพูดหน่อยท่านผู้ชม ผมฟังเขาพูดแล้วผมประทับใจเขามาก เขาพูดอย่างไรในเรื่องความขัดแย้งระหว่างอเมริกา ยุโรป ต่อ รัสเซีย และจีน ผมฟังแล้วทำให้ผมอดเปรียบเทียบไม่ได้ถึงคุณภาพ กิโลฯ ต่อ กิโลฯ เลย มาเทียบกับนายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย ซึ่งกลายเป็นเด็กเพิ่งเกิด ร้องอุแว้ๆ สู้นายไจแชนการ์ ไม่ได้ทุกมิติ เดี๋ยวผมจะอธิบายให้ฟัง

เรื่องที่สี่ ท่านผู้ชมหลายท่านเคยถามว่า "ระเบียบโลกเก่า" กับ "ระเบียบโลกใหม่" เป็นอย่างไร วันนี้ผมสรุปเบ็ดเสร็จทั้งหมดเป็นองค์รวม มาฉายภาพเรื่อง "จุดจบโลกยุคเก่า และ เริ่มระเบียบโลกยุคใหม่"

เรื่องต่อมา อาทิตย์กว่าๆ ที่แล้ว วันที่ 9 มิถุนายน เราเริ่มปลดล็อกกัญชา ก็เลยเกิดดรามาเยอะแยะไปหมด ผมก็เลยเอาเรื่องราวไขข้อสงสัยกรณีดรามาปลดล็อกกัญชามาเล่าให้ฟัง

เรื่องที่หก ท่านผู้ชมรู้จักคนชื่อ "กรณ์ จาติกวณิช" ไหม ? กรณ์ จาติกวณิช ทำเรื่องราวเป็นเรื่องราวใหญ่โต ว่า จะไม่มีใครเคยพูดเรื่องนี้มาก่อน ผมก็เลยเอาวาระซ่อนเร้นของคุณกรณ์ จาติกวณิช กรณีค่ากลั่นน้ำมัน ใครกันแน่ที่ปล้นคนไทย ? แล้วเบื้องหน้าเบื้องหลังเป็นอย่างไร ผมเอาสปอตไลต์จับไปที่คุณกรณ์ จาติกวณิช แล้วท่านผู้ชมจะเริ่มเห็นด้วยกับผมว่า นักการเมืองสมัยนี้ ไม่ว่าจะน้ำดีหรือน้ำเน่า หิวแสงกันทุกคน พูดเรื่องที่ไม่เป็นความจริง แอบอ้าง ชูตัวเองให้เด่นขึ้นมาทันที

อีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งผมเอาเรื่องของการจำนำข้าว กับ การประกันราคาข้าว ซึ่งเป็นวิวาทะกันระหว่างคน 2 คน ระหว่างผู้หญิงซึ่งเป็นโฆษกประจำของพรรคพลังประชารัฐ อยู่ที่ทำเนียบรัฐบาล กับ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ผู้หญิงอีกคนหนึ่ง คุณทิพานัน จากพลังประชารัฐ และคุณอรุณี กายานนท์ จากพรรคเพื่อไทย เอามาวัดกันคำต่อคำ ตัวเลขต่อตัวเลข แล้วผมจะสรุปให้ท่านผู้ชมฟังว่าเรื่องราวมันเป็นอย่างไร

เรื่องสุดท้าย ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก มันเป็นข่าวที่เกิดขึ้นจากประเทศจีนมาแล้ว ก็คือกรณี แก๊งมาเฟียที่เมืองถังซาน มณฑลเหอเป่ย ท่านผู้ชมครับ แก๊งมาเฟียนี้ในโซเชียลมีเดียบางคนก็เห็นแล้ว แต่ผมกำลังจะเล่าเบื้่องหน้าเบื้องหลังและวิธีปราบแก๊งมาเฟียของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ซึ่งหลังจากเกิดเหตุ 36 ชั่วโมง แก๊งมาเฟียถังซานหายวับไปกับตาเลย


ท่านผู้ชมครับ เมื่อสี่วันที่แล้ว วันอังคารที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2565 พล.อ.ลอยด์ เจ. ออสติน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของสหรัฐอเมริกา ได้มาเยือนประเทศไทย แล้วก็ไปประชุมร่วมกับท่านนายกรัฐมนตรีของเรา ที่กระทรวงกลาโหม ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มันมีภาพๆ หนึ่งซึ่งคนเขาเอามาลง ผมเห็นแล้วผมยอมรับว่าผมหงุดหงิดและผมโกรธท่านนายกฯ มาก ว่าท่านนายกฯ ทำอะไรก็ตามไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรีของประเทศชาติเลยแม้แต่นิดเดียว

รูปที่ท่านผู้ชมเห็น คือรูปที่ท่านนายกฯ กำลังยืนอยู่ ตัวตรง เหมือนกับว่ากำลังรอรับเจ้านายอยู่ นี่คือการลงไปเพื่อที่จะไปต้อนรับ พล.อ.ลอยด์ เจ. ออสติน ที่มาเยือนกระทรวงกลาโหม เพื่อที่จะพูดคุยกัน ผมมองอยู่แว้บหนึ่งผมคิดว่าเป็นเด็กรับรถ หรือคนหน้าเหมือน หรือเปล่า เพราะระดับนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย ไปยืนตรงนั้นทำไม แล้วยืนเหมือนกับตอนต้อนรับผู้หลักผู้ใหญ่ ทั้งๆ ที่นายลอยด์ ออสติน ก็เป็นแค่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตัวท่านนายกฯ ท่านเป็นนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

ท่านนายกฯ ครับ ท่านด้อยค่าตัวท่านเองหรือเปล่า การให้เกียรติแขกผู้มาเยือนมันต่างกัน ในฐานะที่ท่านเป็นนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทย ท่านควรวางตัวให้สมเกียรติ สมศักดิ์ศรี ไม่ใช่ไปยืนเก้ๆ กังๆ รอเขาเหมือนเป็นขี้ข้า ผมถามท่านจริงๆ เวลาท่านไปอเมริกา ท่านไปเยือนประธานาธิบดีคนโน้นคนนี้ หรือท่านไปเยือนคนที่มีชื่อมีเสียงของอเมริกา เขาเคยมายืนรอรับรถท่านอย่างนี้หรือเปล่า ? เขาก็ไม่เคย เขามีเจ้าหน้าที่พิธีการมารอรับท่าน แล้วก็พาไป คนที่ท่านจะพบ เขาก็นั่งอยู่ในห้องประชุมที่เตรียมพร้อมที่จะนั่งคุยกัน ท่านนายกฯ ก็ทำอย่างนั้นได้ ท่านสามารถที่จะไปยืนอยู่ในห้องประชุม ห้องโถง แล้วให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายพิธีการไปรอต้อนรับ นายลอยด์ ออสติน พอรับเสร็จเรียบร้อยก็จับไม้จับมือ แล้วก็ผายมือ เชิญครับ พาไปที่ห้องประชุม แล้วท่านนายกฯ อย่างมากที่สุดก็ไปยืนหน้าห้องประชุม จับไม้จับมือแล้วก็พาเข้าห้องประชุม หรือพาเข้าห้องรับรองที่จะนั่งคุยกัน อย่างนี้ไม่เสียศักดิ์ศรี


ท่านไปทำตัวแบบนี้ ยืนกุมเป้าด้วยนะ พินอบพิเทาขนาดนั้น ผมรับไม่ได้จริงๆ มันก็เลยทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่าท่านนายกฯ เป็นคนกลัวประเทศอเมริกา หรือท่านเคารพคนอเมริกันเป็นพ่อของท่าน ประเทศไทยไม่มีศักดิ์ศรีหรืออย่างไร ทำให้ผมสรุปได้ว่าจริงๆ ก็ไม่มีศักดิ์ศรี เพราะทำไม ? เพราะอเมริกามาเยือนเราทีไร มันจะขอโน่นขอนี่ จะเอาโน่นเอานี่ ท่านนายกฯ เอาหมด แม้กระทั่งล่าสุด เดี๋ยวผมจะพูดต่อ เอาประเทศไทยเข้าไปเป็นด่านหน้า ทำตัวเป็นยูเครน 2 เพื่อที่จะออกไปต้านจีน ในกรณีที่จีนจะเข้าไปยึดเกาะไต้หวันตามสิทธิอันชอบธรรมของจีนที่เขาเห็นว่าไต้หวันเป็นพื้นที่ของอาณาเขตขอบขันธสีมาของเขา

อเมริกาพูดชัดเจนแล้ว แล้วก็ยังมาติดต่อกับประเทศไทย ให้ประเทศไทยหาทางส่งอาวุธ อะไหล่ ไปให้ยูเครนอีก ท่านนายกฯ ครับ ท่านกำลังชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้าน ท่านรู้หรือเปล่า ผมต้องพูดกับท่านผู้ชมที่เป็นคนไทยทั่วไป ผมไม่ได้มีอคติ IO ท่านนายกฯ ท่านว่าอย่างไร เสรี วงษ์มณฑา ว่าอย่างไร สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม TopNews ที่เชียร์ท่านนายกฯ ท่านว่าอย่างไรในเรื่องนี้ ท่านว่าอย่างไรถ้าอเมริกาจะให้เมืองไทยโผล่หน้าขึ้นไปเพื่อเป็นแนวหน้าชั้นหนึ่งไปปะทะกับจีน ในกรณีที่ถ้าจีนเข้าไปใช้กำลังยึดครองไต้หวัน ซึ่งเป็นสิทธิอันชอบธรรมของเขา พวกคุณที่เชียร์นายกรัฐมนตรี คุณเห็นด้วยกับสงครามที่อเมริกามายืมมือประเทศไทยรบ ใช่หรือเปล่า ทำไมเรื่องแบบนี้คุณไม่พูดสักคำ ทำไปภาพที่ท่านนายกฯ มายืนกุมเป้า แล้วก็ไม่รู้ด้วย เก้ๆ กังๆ ผมดูคลิปแล้ว ไม่รู้ว่ามันมารถคันไหน เฮ้ย! ประเทศไทย นายกรัฐมนตรีคนไทย พอเจอฝรั่งแล้วตัวสั่นงันงก ขาอ่อน

ท่านนายกฯ ครับ พฤติกรรมท่านอันนี้ผมรับท่านไม่ได้จริงๆ ไม่ได้จริงๆ เพราะนี่ไม่ใช่นายกฯ ที่ผมเคารพ

ต่อเนื่องมาจากการที่ท่านนายกฯ ไปยืนกุมเป้ารอรับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายลอยด์ ออสติน ที่กระทรวงกลาโหม ทำตัวเหมือนกับว่าเป็นขี้ข้าของนายลอยด์ ออสติน เรามาย้อนรอยนิดหนึ่ง ศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ที่แล้ว สัญญาณสงครามเริ่มแล้ว ได้มีการประชุมสุดยอดแห่งความมั่นคงเอเชีย ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Shangri-La Dialogue ในปีนี้จัดที่สิงคโปร์ วันที่ 10-12 มิถุนายน ประเด็นคือ ความขัดแย้งและการปะทะ วิวาทกันระหว่างผู้นำระดับสูงของอเมริกา และ จีน ในประเด็นไต้หวัน และสงครามยูเครน


อเมริกาส่ง พล.อ.ลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มาร่วมประชุม ฝ่ายจีนส่ง พล.อ.เว่ย เฟิ่งเหอ มนตรีแห่งรัฐ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เข้าร่วมด้วย

ในการประชุมครั้งนี้ได้มีการประชุมกันเป็นการส่วนตัวระหว่าง นายลอยด์ ออสติน และ เว่ย เฟิ่งเหอ เจรจากันวันศุกร์ที่ 10 มิถุนายน กระทรวงกลาโหมจีน เปิดเผยว่า อเมริกาเรียกร้องให้จีนละเว้นการกระทำที่เป็นการละเมิดความมั่นคงต่อไต้หวัน ขณะที่จีนตอบโต้กลับไปว่า กองทัพจีนพร้อมที่้จะทำสงครามเต็มรูปแบบ หากไต้หวันพยายามแยกตัวออกจากจีน ไม่ว่าทางใด


ในวันอาทิตย์ที่ 12 มิถุนายน 2565 ไฮไลต์ของงานทั้งหมดอยู่ที่ปาฐกถาของ พล.อ.เว่ย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เขาพูดบนเวทีด้วยน้ำเสียงและท่าทีที่แข็งกร้าวเกี่ยวกับประเด็นไต้หวัน พล.อ.เว่ย บอกว่า พัฒนาการของจีนนั้นไม่มีใครสามารถหยุดยั้งได้ ฉะนั้นการรวมชาติของจีนจะต้องประสบผลสำเร็จ ใครก็ตามที่พยายามแบ่งแยกไต้หวันออกจากจีน จีนจะไม่ลังเลที่จะจัดการ และเราจะต่อสู้อย่างสุดความสามารถโดยไม่คำนึงว่าจะต้องสูญเสียอะไรบ้าง ดังนั้น ณ ที่นี้ ผมขอย้ำเพื่อความชัดเจนว่า กลุ่มคนที่ต้องการแยกไต้หวันออกเป็นอิสระ และกำลังอยู่เบื้องหลังคนเหล่านั้น ความพยายามดังกล่าวจะไม่มีวันประสบความสำเร็จ


ท่านผู้ชมครับ พล.อ.เว่ย ใช้คำว่า "หนทางสู่ความตาย" ดังนั้น ให้ล้มเลิกความหวังเสีย ก็คือพูดง่ายๆ ว่า ใครก็ตามที่อยู่เบื้องหลังที่จะแยกไต้หวันเป็นเอกราชออกจากจีนนั้น จะไม่มีวันประสบความสำเร็จ และเป็นหนทางไปสู่ความตาย "สื่อลู่อี้เถียว" ก็คือว่า เส้นทางเดียวเท่านั้น นั่นก็คือเส้นทางไปสู่ความตาย

พล.อ.เว่ย พูดต่อว่า เช่นเดียวกับการแสวงหาความช่วยเหลือจากต่างชาติ ก็จะประสบความล้มเหลวเช่นกัน ดังนั้น พวกเขาควรเลิกคิดเรื่องนี้เสีย เนื่องจากการรวมชาติระหว่างจีนกับไต้หวันนั้น เป็นความมุ่งหวังสูงสุดของชาวจีนทั้งมวล


นอกจากนั้นแล้ว กระทรวงกลาโหมจีนก็แถลงเพิ่มเติมว่า รัฐบาลจีนจะทำลายแผนการประกาศเอกราชของไต้หวันให้แหลกเป็นชิ้นๆ และจะผดุงรักษาความเป็นเอกราชของมาตุภูมิไว้อย่างเด็ดขาด พร้อมย้ำหนักแน่นว่า ไต้หวัน คือไต้หวันของจีน และการใช้ไต้หวันเพื่อโจมตีจีนจะไม่มีวันได้รับชัยชนะ

ท่านผู้ชมครับ ผมจะอัปเดตเรื่องราวของไต้หวันสั้นๆ ให้ท่านผู้ชมที่ไม่ได้ติดตามเรื่องนี้ได้เข้าใจ

เกาะไต้หวัน เป็นส่วนหนึ่งของประเทศจีนมาตั้งแต่สมัยก่อนราชวงศ์ชิงแล้ว สมัยราชวงศ์หมิงเสียด้วยซ้ำ หลายร้อยปีมาแล้ว แล้วสมัยราชวงศ์ชิง ชาวโปรตุเกสไปยึดไต้หวัน จักรพรรดิชิง ก็ส่งกองทัพไปปลดแอกไต้หวัน ขับไล่ชาวโปรตุเกสออกไป เรื่องนี้ก็เลยไม่เป็นข้อสงสัยว่าเกาะไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของประเทศจีน จวบจนกระทั่งมีสงครามกลางเมืองระหว่างพรรคก๊กมินตั๋ง กับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน พรรคก๊กมินตั๋ง นำโดย จอมพลเจียง ไคเชก พรรคคอมมิวนิสต์จีน นำโดย ท่านประธานเหมา เจ๋อตง


พรรคก๊กมินตั๋ง พ่ายแพ้ต่อกองทัพพรรคคอมมิวนิสต์อย่างเด็ดขาด ก็เลยขนบุคลากรหนีไปอยู่ที่เกาะไต้หวัน ไปสถาปนาตัวเองเป็นประเทศสาธารณรัฐจีน (Republic of China) ส่วนประเทศจีน ตั้งตัวเองเรียกว่า ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน (People's Republic of China) ประเทศจีนเอาประชาชนนำหน้าไป

จากวันนั้น จนถึงวันนี้ ไต้หวันคือหนามยอกอกของจีน จีนพูดมาตลอดเวลาว่า จีนพร้อมที่จะรวมไต้หวันอย่างสันติ พร้อมที่จะทำข้อตกลงที่ไต้หวันและจีนเห็นว่าวิน-วินด้วยกัน แต่ทำไม่ได้เพราะอเมริกาอยู่เบื้องหลัง เพราะอเมริกาเห็นว่าถ้าไต้หวันไปรวมกับจีนแล้ว ในเอเชียแปซิฟิก ทะเลจีนตอนใต้ อเมริกาจะไม่มีหมากที่จะใช้ไปก่อกวนและป่วนจีนให้ปวดหัวทุกวี่ทุกวัน เหมือนอย่างที่อเมริกา และนาโต ได้ใช้ยูเครนในการมาเล่นงานรัสเซีย ท่านผู้ชมเข้าใจหรือยังครับ เปรียบเทียบให้ดู เพียงแต่ว่ายูเครน กับ ไต้หวัน สถานภาพของแต่ละประเทศไม่เหมือนกัน ยูเครน เป็นประเทศเอกราชของเขาเอง เป็นเพียงแต่ว่า ยูเครน อนุญาตให้นาโตไปตั้งกองกำลังอยู่ในยูเครน พร้อมกับส่งนายพลของนาโตมาบริหารงานเพื่อยึดหรือเพื่อทำลายรัสเซีย รัสเซียเลยจำเป็นต้องบุกเข้าไปก่อน ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Pre-emtive Strike ไปจัดการกับพวกยูเครน และพวกนายพลนาโต วันที่ 24 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา นี่ร้อยกว่าวันเข้าไปแล้ว รัสเซียก็ยึดยูเครนไปทางภาคตะวันออก จนถึงภาคใต้หมดแล้ว กำลังจะรุกคืบไปตรงภาคกลาง

สำหรับไต้หวัน ไม่เหมือนยูเครนตรงไหน ? ไต้หวัน คือพื้นที่ๆ หนึ่งซึ่งเป็นของจีน แล้วจีนพูดชัดเจนว่านี่คือประเทศจีน จีนพูดมาตลอดเวลา 70 ปี ว่าอย่ามายุ่งกับไต้หวัน นี่้คือเรื่องภายในประเทศจีน

เหมือนประเทศไทย สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ยะลา ปัตตานี นราธิวาส ก็คือพื้นที่ของประเทศไทย ถ้าสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ประกาศตัวเป็นเอกราช ผมเชื่อว่าประเทศไทย ทุกคน ไม่มีใครยอมรับ แต่ถ้าจะอยู่ร่วมกันสันติ ในฐานะเป็นคนนับถือศาสนามุสลิม กับคนไทยส่วนใหญ่ที่เป็นศาสนาพุทธ สามารถที่จะพูดคุยกันได้ อยู่ร่วมกันได้ ข้อแตกต่างอะไรที่มีปัญหา ก็สามารถจะแก้ปัญหาต่างๆ เหล่านี้ได้ด้วยวิธีสันติ แต่ถ้ามาแยกสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ออกไปจากประเทศไทย ประเทศไทยก็ไม่ยอม ฉันใดฉันนั้น

ทีนี้ อเมริกาใช้วิธีไหน ? อเมริกาก็ใช้วิธีใช้ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ เป็นตัวนำ เพราะญี่ปุ่นตั้งแต่เปลี่ยนนายกรัฐมนตรี จากอาเบะ จริงๆ แล้วการที่จะเข้ามาแทรกแซงไต้หวันเพื่อต่อต้านจีน มีมาตั้งแต่สมัยนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ แล้ว พอมาถึงยุคนายคิชิดะ คนปัจจุบัน คนนี้เป็นคนหัวร้อน เป็นสายเหยี่ยว ประกอบกับเกาหลีใต้เพิ่งเปลี่ยนประธานาธิบดีคนใหม่ มาเป็นประธานาธิบดีคนที่โปรอเมริกา แล้วเกลียดเกาหลีเหนือ เพราะฉะนั้นเกาหลีใต้ กับญี่ปุ่น ก็เลยลงล็อกที่อเมริกาต้องการ อเมริกาก็เลยใช้เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น เป็นตัวนำในการหาพรรคพวกในเอเชีย แล้วประเทศไทยก็โง่ไปร่วมขบวนการอินโด-แปซิฟิก กับเขา


ท่านผู้ชมจำได้หรือเปล่า ผมเคยพูดกับท่านผู้ชม ผมบอกว่า ในนโยบายอินโด-แปซิฟิก ที่โจ ไบเดน ประกาศที่ทำเนียบขาวเมื่อหลายเดือนที่ผ่านมา บอกว่ามีประเทศต่างๆ เข้าร่วมอินโด-แปซิฟิก และมี 4 ประเทศในเอเชียที่เข้ามา มีฟิลิปปินส์ มีเกาหลีใต้ มีญี่ปุ่น และมีประเทศไทย ผมเคยตั้งคำถามนี้ ถามนายดอน ปรมัตถ์วินัย และถาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าจริงๆ แล้วที่ไบเดน ประกาศว่าประเทศไทยเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการอินโด-แปซิฟิก นั้น ประเทศไทยเป็นหรือเปล่า .. เงียบ

แล้วผมก็เคยถามว่า ข้อตกลงกันตั้งแต่ปี 2562 ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เซ็นแถลงการณ์ร่วม และข้อตกลงร่วม กับนายเอสเปอร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในยุคนายทรัมป์ ว่าเซ็นไปแล้วข้อตกลงมีอะไร ? พล.อ.ประยุทธ์ ก็ไม่พูด


หลังจากนั้นก็มีขบวนการ ผู้บัญชาการอินโด-แปซิฟิก คนล่าสุด ก็มาเยือนประเทศไทย นายลอยด์ ออสติน ก็มาเยือนประเทศไทย และประเทศไทยก็ถูกนายไบเดน เชิญไปประชุมอาเซียน-อเมริกา ที่สหรัฐอเมริกา หลังจากนั้นแล้ว พอกลับมาปั๊บ ทั้งรัฐมนตรีกลาโหมของอเมริกา และนายพล ผู้บัญชาการกองกำลังอินโด-แปซิฟิก ก็บินมาเยือนไทยอย่างใกล้ชิด ประสานงาน และในที่สุดประเทศไทยก็ถูกเชิญเข้าไปซ้อมรบที่เกาะฮาวาย ร่วมกับประเทศอื่นหลายประเทศ แต่ประเทศอื่นหลายประเทศที่เขาไป เขาไปโดยเขาเหยียบเรือสองแคม อินโดนีเซียไป แต่อินโดนีเซีย อาทิตย์หน้า/เดือนหน้า กำลังจะบินไปเยือนรัสเซีย เพราะฉะนั้นแล้ว ประธานาธิบดีอินโดนีเซียเขาเล่นเป็น คุณจะให้ผมไปซ้อมรบ เอ้า ผมไปซ้อมรบ แต่ผมก็จะไปเยือนรัสเซีย ไปสร้างมิตรภาพกับรัสเซีย ส่วนอินเดียวางตัวเป็นกลาง มีประเทศไทยประเทศเดียวที่โง่บัดซบ โง่บัดซบจริงๆ ที่จะสร้างสงครามให้เกิดขึ้นในประเทศไทย ด้วยการเป็นขี้ข้าของอเมริกา ขอประทานโทษ ต้องพูดด้วยอารมณ์นิดหนึ่ง เพราะผมรับไม่ได้จริงๆ แล้วท่านนายกรัฐมนตรี และนายดอน ปรมัตถ์วินัย ต้องรับผิดชอบถึงความพินาศฉิบหายที่จะเกิดขึ้น

ท่านผู้ชมครับ การที่เราต้อนรับ หรือเชิญ หรือบอกนายลอยด์ ออสติน ให้มา พอเขาจะมาเยือนเรา เขาต้องถามเราก่อน สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ทำให้ประเทศจีนมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วว่า ประเทศไทยกำลังยืนข้างอเมริกาเพื่อมาต่อต้านจีน

ท่านผู้ชมครับ ท่านผู้ชมคอยดูการอภิปรายไม่ไว้วางใจในงวดนี้ ฝ่ายค้าน ก็คือฝ่ายพรรคเพื่อไทย และก้าวไกล กำลังจะโจมตีเรื่องเรือดำน้ำจีน ผมได้ข่าวมา ท่านผู้ชมอย่าเพิ่งเชื่อผม ดูเหตุการณ์ต่อไปว่าถ้าการโจมตีเรื่องเรือดำน้ำจีนนั้น ถ้าเป็นข้อมูลที่เสกสรรค์ปั้นแต่งขึ้นมา โดยที่จีนเขาไม่ได้รู้เรื่อง เขาไม่ผิด จีนเขาจะยกเลิกการซื้อเรือดำน้ำครั้งนี้ แล้วเขาจะคืนเงินให้ประเทศไทยไปเลย ตัดขาดไปเลย เอาเรือดำน้ำกลับไป หรือถ้าเขายังไม่ได้ส่งมา ก็ไม่ต้องส่งแล้ว คืนเงินไป คือพูดง่ายๆ ว่า ความตึงเครียดระหว่างจีน กับไทย ค่อยๆ พัฒนามาทีละขั้นๆ ไล่มาตั้งแต่สมัยปฏิญญาซานย่า มาจนถึงข้อตกลงแผนปฏิบัติการที่เซ็นกันที่กัมพูชา แต่ไทยไม่ยอมเซ็น แต่ไทยไปตกลงในปฏิญญาซานย่า แล้วจู่ๆ ไทยก็ไปร่วมกับอเมริกา ไปร่วมกับญี่ปุ่น เพื่อตั้งภาคีลุ่มแม่น้ำโขง โดยมีอเมริกา และญี่ปุ่น เข้ามาร่วม ท่านผู้ชมเห็นหรือยังว่าประเทศไทย ...

และผมรู้ว่าในการประชุมครั้งนี้ ผู้บัญชาการเหล่าทัพหลายคนก็เข้าไปประชุมด้วย พอประชุมเสร็จแล้ว เดินออกมา เขาเรียกว่า ศึกษาพฤติกรรมของร่างกาย Body Language ดูหน้าตา ผู้บัญชาการเหล่าทัพทุกคนตีหน้าเจื่อนๆ หมดเลย คือดูเหมือนกับมีอะไรที่กลุ้มใจอยู่ในใจ

ท่านผู้ชมครับ นี่คือเรื่องที่ผมจำเป็นต้องพูด แล้วท่านผู้ชมรู้ไหมว่า ล่าสุด ... หนังสือพิมพ์ไทยไม่ค่อยมีใครลงข่าวหรอก และผมก็มีข้อเปรียบเทียบอย่างหนึ่ง พรรคก้าวไกล พรรคเพื่อไทย ออกมาด่าเรื่องไทยซื้อเรือดำน้ำจีน แต่ว่าพอไทยสั่งซื้อ F-35 พรรคเพื่อไทย กับพรรคก้าวไกล ไม่พูดสักคำเลย เห็นหรือยังท่านผู้ชม เห็นหรือยัง ว่าพรรคการเมืองไทย ทั้งพรรคก้าวไกล ทั้งพรรคเพื่อไทย ไอ้พวกนี้มันก็พวกชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้าน เหมือนกัน


เอาล่ะ เรามาดูเหตุการณ์ล่าสุด วันจันทร์ที่ผ่านมา 13 มิถุนายน พล.อ.เว่ย ปาฐกถาด้วยเสียงที่กร้าวมาก เรื่องไต้หวัน วันที่ 12 วันรุ่งขึ้น วันที่ 13 ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้ลงนามแผนปฏิบัติการการทหารที่ไม่ใช่สงคราม เทียบได้กับกฎอัยการศึก ให้อำนาจทหารจัดการเรื่องในประเทศที่สามารถตีความได้หลายประเด็น เรื่องในประเทศ แน่นอนรวมถึงไต้หวันด้วย เพราะเขาถือว่าไต้หวันคือเรื่องราวในประเทศของเขา เขาบอกว่าแผนปฏิบัติการดังกล่าวยึดมั่นแนวความคิดความมั่นคงของชาติโดยรวม ประกาศดังกล่าวให้อำนาจทหารจัดการเรื่องราวในประเทศ รวมทั้งไต้หวัน ซึ่งปกติแล้วเรื่องราวในประเทศภายในเป็นหน้าที่คณะรัฐมนตรี ซึ่งนายสี จิ้นผิง เป็นประธานาธิบดี แต่ครั้งนี้เขาใช้อำนาจในฐานะเป็นประธานคณะกรรมาธิการทหารส่วนกลาง หรืออีกนัยหนึ่งก็คือเป็นผู้นำสูงสุดของกองทัพ อนุญาตให้ทหารจัดการได้


เป้าหมายของแผนปฏิบัติการนี้ ก็คือ เตรียมตัวที่จะรับสัญญาณสงคราม ซึ่งมันมาแล้ว และสัญญาณสงครามที่กำลังมานี้ มันก็จะมาหลังจากที่นายลอยด์ ออสติน ได้เดินทางมายังประเทศไทย แล้วอเมริกาก็ประกาศแล้วนี่ พูดจาชัดเจนว่าในเรื่องไต้หวัน ถ้ามีการใช้กำลังแล้ว พันธมิตรของอินโด-แปซิฟิก ฟิลิปปินส์ ไทย เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น จะออกมาขวางจีน และอเมริกาก็จะอยู่ข้างหลังเหมือนเดิม มันพูดชัดเจน แล้วก็ยุให้พวกนี้ซื้ออาวุธจากมันอีกเพื่อเอามาขวางจีน ผมถาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และผมถามท่านผู้บัญชาการเหล่าทัพทั้งหลาย ว่าท่านจะเอาอย่างนี้หรือเปล่า ด้วยความเคารพ ผมไม่ได้ดูถูกศักยภาพทหารไทยหรอก ไม่มีหรอก สู้จีนไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว ผมยังไม่แน่ใจเลยว่าจะสู้กัมพูชาได้หรือเปล่า ตอนนี้ เพราะกัมพูชาเพิ่งได้รับอาวุธล็อตใหญ่จากจีนมา จีนให้อาวุธล็อตใหญ่แก่กัมพูชาเพื่ออะไร ? เพื่อที่จะเอามายันประเทศไทย ถ้าประเทศไทยเป็นเครื่องมือทางการทหารของอเมริกา และอาวุธแต่ละอย่างที่ผมดูลิสต์รายชื่อแล้ว คืออาวุธที่ทำลายศักยภาพอาวุธของประเทศไทยแทบจะทั้งสิ้นเลย


เพราะฉะนั้นแล้ว การประกาศกฎอัยการศึกครั้งนี้เป็นการประกาศกฎอัยการศึกที่ค่อนข้างจะลึกซึ้ง เป็นอีกสเตปหนึ่งของการเตรียมตัวประกาศสงคราม ผมก็เลยได้กลิ่นว่า น่าสนใจมาก เพราะฉะนั้นแล้ว ท่านผู้ชมครับ ขณะนี้เราอยู่ท่ามกลางเขาควาย แต่เราทะลึ่งไปยืนอยู่ข้างเขาควายที่ชื่อสหรัฐอเมริกา มีการที่จะขอความร่วมมือจากประเทศไทยในหลายๆ เรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องอาวุธยุทโธปกรณ์ การส่งอาวุธ เรื่องนี้บังเอิญหรือเปล่า ประเทศไทยเคยซื้อรถถัง Oplot-T ของยูเครน มีอยู่ 49 คัน ตั้งแต่ พล.อ.ประยุทธ์ เป็น ผบ.ทบ. ปี 2554 มูลค่า 241 ล้านดอลลาร์ หรือ 7,200 ล้านบาท ส่งมอบล็อตสุดท้ายปี 2561 ประเทศไทยได้พึ่งยูเครนที่จะผลิตชิ้นส่วนอะไหล่ แต่ตอนนี้ยูเครนผลิตให้ไม่ได้แล้ว ประเทศไทยก็เลยใช้พื้นที่ของบริษัท ชัยเสรีฯ ที่มีโรงงานให้บริการ ทั้งการผลิต ซ่อมแซม


ท่านผู้ชมครับ เป็นไปได้ไหมว่าอเมริกาอาจจะกำลังขอให้ประเทศไทยส่งรถถังไปช่วยนายตัวตลกเซเลนสกี ที่ตอนนี้ไม่มีอาวุธเหลืออยู่เลย

ออสติน พูดแบบกวนเท้ามาก เขาบอกว่า ภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกถือเป็นความสำคัญทางยุทธศาสตร์ทางความมั่นคงของสหรัฐฯ แต่สหรัฐฯ เป็นขุมอำนาจระดับโลกที่มีผลประโยชน์ทั่วโลก และพร้อมไปกับความรับผิดชอบ เขาบอกว่า ระหว่างเราเดินไปด้วย เราก็เคี้ยวหมากฝรั่งไปด้วย ชิลๆ ก็แน่นอนที่สุด อเมริกาเคยรบกับใคร ? มันใช้คนอื่นรบทั้งนั้น มันปั่นหัวให้เขารบ มันอยู่ข้างหลัง


แล้วมันก็ส่งอาวุธ ไต้หวันนี่กำลังเจ๊กอั้ก ไช่ อิงเหวิน ประธานาธิบดีไต้หวัน ต้องซื้ออาวุธจากอเมริกาเป็นจำนวนหลายล้านล้านบาทแล้วตอนนี้ กำลังเจ๊กอั้ก เงินทองก็จะไม่มี อเมริกามั่นใจว่าเขาสามารถที่จะใช้เน็ตเวิร์ก เน็ตเวิร์กอย่างไร ? ก็คือเน็ตเวิร์กญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และเน็ตเวิร์กคนไทยบูชาอเมริกาเป็นพ่อ อย่าง พล.อ.ประยุทธ์ และ ดอน ปรมัตถ์วินัย เขาภูมิใจมากว่าเน็ตเวิร์กของเขาดี

ท่านผู้ชมครับ เขามาคุยครั้งนี้ เขามาคุย 3 เรื่อง ปัญหาทะเลจีนใต้ กรณีพม่า ความร่วมมือด้านความมั่นคงกับภูมิภาค ฉะนั้นท่านผู้ชมจะเห็นชัดว่าตอนนี้ประเทศไทยแสดงท่าทีชัดเจนว่ายืนอยู่ข้างเป็นพันธมิตรใกล้ชิดสหรัฐฯ สอดคล้องกับสิ่งที่ผมเคยพูดก่อนหน้านี้ ในปี 2562 เรื่องการเซ็นสัญญา การแถลงการณ์กัน ระหว่างนายกรัฐมนตรี กับนายเอสเปอร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม


วันนี้ จากปี 2562 มาถึง 2565 ได้พัฒนามาชัดเจนแล้วว่าประเทศไทยตัดสินใจนอนเตียงเดียวกับอเมริกาแล้ว แล้วก็ไม่ได้เป็นเมียหลวงด้วยนะ เป็นเมียเก็บ

ผมขอถาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กับ ดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ว่าพวกคุณสองคนได้ทำการเลือกข้างให้ประเทศไทยและคนไทยทั้ง 70 ล้านคน แล้วใช่ไหม หากเกิดอะไรขึ้นประเทศไทยจะยืนข้างอเมริกา แล้วประกาศตัวว่าเป็นศัตรูกับจีน หากเกิดสงครามในภูมิภาคนี้ ใช่หรือเปล่า ผมอยากได้รับทราบคำตอบ คุณจะเอานายธานี แสงรัตน์ โฆษกของนายดอน มาพูด หรือคุณจะเอา IO ของนายกรัฐมนตรี ไม่ว่าจะเป็นคุณเสรี วงษ์มณฑา หรือใครก็ตามที่ทำหน้าที่เป็น IO ตอบให้ผมฟังหน่อยสิว่าคุณเลือกข้างแล้วใช่ไหม ใช่หรือเปล่า

ท่านผู้ชมครับ ท่านผู้ชมมาฟังเรื่องต่อไปที่ผมจะพูดขั้นต่อไปในเรื่องของบทบาทของรัฐมนตรีต่างประเทศอินเดีย นายไจแชนการ์ แล้วท่านผู้ชมจะเห็น แล้วท่านผู้ชมอาจจะโศกเศร้าไปกับผมว่าทำไมชาติอื่นที่เขาเป็นตัวแทนของประเทศเขา ถึงรักชาติ รักบ้านรักเมืองของเขามากกว่าคนที่เป็นตัวแทนของประเทศไทย


ท่านผู้ชมครับ ก่อนจะปิดเรื่องนี้ ผมจะบอกให้รู้ว่า ตอนนี้จีน และรัสเซีย ขยายความร่วมมือ 6 ชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในเรื่องเศรษฐกิจ ในเรื่องของการท่องเที่ยว ในเรื่องของการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มีเวียดนาม มีกัมพูชา มีลาว มีพม่า แล้วก็มีติมอร์ฯ ติมอร์-เลสเต ตัดสินใจเข้ามาร่วมกับรัสเซีย และจีน โดยที่ไม่ร่วมกับออสเตรเลีย เพราะโดนออสเตรเลียรังแกกลั่นแกล้งมาก ที่สำคัญ 6 ประเทศนี้ไม่มีประเทศไทย แสดงว่าจีน และรัสเซีย เขาตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่า เขาจะตัดหางปล่อยวัดไทยแล้ว ท่านผู้ชมครับ ฟังแล้วน่ากลัวไหม ผลไม้ไทย ข้าวไทย อะไรของไทย และท่านผู้ชมครับ ยังมีคนฝันเฟื่องอยู่ตลอดเวลาว่าจะมีนักท่องเที่ยวจีนกลับมาเมืองไทยอีก ชาติหน้าครับท่านผู้ชม



ท่านผู้ชมครับ ท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจจากสองซีกโลกที่กำลังร้อนระอุขึ้นมา โดยปัจจุบันภาพการปะทะระหว่างสองฝั่งนั้นเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ คืออเมริกา จับมือกับยุโรป รัสเซีย จับมือกับจีน แล้วมีคนถามผมว่าประเทศไทยควรจะวางตัวอย่างไร เรื่องนี้ผมเคยพูดไปแล้วหลายครั้ง ท่านผู้ชมที่ติดตามข่าวคราวจากผมก็คงจะจำได้ ผมบอกว่า เมืองไทยไม่ควรจะไปยุ่งกับใครเลย ควรจะวางตัวเป็นกลาง แต่ขณะนี้เมืองไทยไม่ได้วางตัวเป็นกลางเลย กลับยืนข้างสหรัฐอเมริกา เดี๋ยวผมจะมีเรื่องราวต่างๆ เล่าให้ท่านผู้ชมฟังในเรื่องเกี่ยวกับบทบาทและการวางท่าทีของคนไทย

ในสถานการณ์เช่นนี้ สงครามในภูมิภาคเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ภาวะเศรษฐกิจตอนนี้ล่มสลายกันทั่วโลก ประชาชนในโลกนี้ประสบภาวะลำบากมากขึ้น แล้วไม่มีทีท่าจะทุเลาลงอย่างไร แต่เผอิญมีเหตุการณ์หนึ่ง วันที่ 2-4 มิถุนายน เมื่ออาทิตย์กว่าๆ ที่แล้วนี้ มันมีการประชุมด้านความมั่นคงของโลกที่สำคัญ ชื่อ GLOBSEC 2022 BRATISLAVA FORUM ครั้งที่ 17 จัดที่กรุงบราติสลาวา แห่งประเทศสโลวาเกีย


ประเทศสโลวาเกีย สมัยก่อนโซเวียตล่มสลายนั้น เป็นส่วนหนึ่งของประเทศเช็ก มีอยู่ประเทศเดียว คือ เชโกสโลวาเกีย แต่พอระบบโซเวียตรัสเซียล่มสลาย เชโกสโลวาเกีย ก็แยกเป็นสองประเทศ ประเทศหนึ่ง คือ ประเทศเช็ก อีกประเทศหนึ่ง คือ ประเทศสโลวาเกีย ซึ่งเมืองหลวงก็คือ บราติสลาวา

การประชุมครั้งนี้มีผู้บริหารจากหลากหลายประเทศ อย่างเช่น นางอัวร์ซูลา ฟ็อน แดร์ ไลเอิน (Ursula Gertrud von der Leyen) ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ซึ่งเป็นหัวหอกในการรุกไล่บี้ บอยคอตรัสเซีย แล้วเข้าไปเยือนนายเซเลนสกี ตัวตลกของยูเครน ที่กรุงเคียฟ ถึงสองครั้ง

นางอัวร์ซูลา ฟ็อน แดร์ ไลเอิน
นางซูซานา ชาปูโตวา (Ms. Zuzana Čaputová) ประธานาธิบดีสโลวัก นายไมโล ดูคาโนวิค (Milo Đukanović) ประธานาธิบดีมอนเตเนโกร ประเทศที่ทักษิณ ชินวัตร ได้มีพาสปอร์ตใช้อยู่ นายทีโดรส อัดฮานอม กีบรีเยซุส (Dr.Tedros Adhanom Ghebreyesus) ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก

แน่นอนที่สุด ในการประชุมครั้งนี้ ประเด็นสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน เป็นประเด็นที่ร้อนแรงที่สุด ประเด็นนี้ถูกเวทีหยิบยกขึ้นมาพูด ถูกตั้งเป็นคำถามแขกที่เข้าร่วมงานทุกคน แล้วก็มีการกดดันตัวแทนจากประเทศต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในเรื่องยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก ของอเมริกา ที่เน้นไปในเรื่องของการปิดล้อมจีนด้วย


ท่านผู้ชมครับ ผมเอาเรื่องนี้มาเล่าให้ฟัง ประเด็นอยู่ตรงไหน ? ประเด็นอยู่ที่ว่า ผมดูการให้สัมภาษณ์ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอินเดีย ที่ชื่อ นายซับรามานยาม ไจแชนการ์ (Subrahmanyam Jaishankar) นายไจแชนการ์ กับคนที่มาสัมภาษณ์ คำถามที่เขาถามนั้น เป็นคำถามที่ปิดล้อม คำถามที่ค่อนข้างจะอ่อนไหว และผมเชื่อว่า ... พอผมดู ไจแชนการ์ แล้ว ท่านผู้ชมครับ เขาใช้ภูมิปัญญาอินเดียในการตอบในเรื่องสถานการณ์ยูเครน แล้วเขาตอบได้อย่างเฉียบคม หลักแหลม ไม่เกรงใจชาติตะวันกเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่เหมือนรัฐมนตรีดอน ปรมัตถ์วินัย


ที่ผมเอา ไจแชนการ์ มาให้ดูเพราะ หนึ่ง เขาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอินเดีย เพื่อนบ้านเรานี่เอง อินเดียเป็นประเทศที่วางตัวเป็นกลาง ไม่ยอมออกมาประณามรัสเซีย และอินเดียก็ได้ประโยชน์ไปหมดเต็มๆ ตัว ในขณะซึ่งไทย ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และนายดอน ปรมัตถ์วินัย ออกมาร่วมประณามรัสเซีย ผมก็เลยจะให้ดูข้อแตกต่างระหว่างรัฐมนตรีของประเทศอินเดีย กับ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย ว่าคนละเรื่องกันเลย คนอินเดียจะภูมิใจมากที่มี นายไจแชนการ์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ

วันศุกร์ที่ 3 มิถุนายน นายไจแชนการ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอินเดีย ได้รับเชิญขึ้นเวที เขาใช้เวลา 30 นาที ตอบคำถามหลายคำถามจากผู้ดำเนินรายการ รวมทั้งผู้ร่วมฟังในเวที หลายๆ สิ่งที่นายไจแชนการ์ พูดและตอบ กลายเป็นเรื่องที่ถูกอกถูกใจคนฟังจำนวนมาก แน่นอนที่สุด คนอินเดียภูมิใจมาก ตลอดจนประชาชนจากทุกภูมิภาคทั่วโลก คลิปวิดีโอบางชิ้นผมดูแล้วมีคนดูตั้งหลายล้านคน เพราะคนเหล่านี้อึดอัด กระอักกระอ่วนใจอย่างยิ่งกับสถานการณ์ที่ทางฝั่งตะวันตก ทั้งอเมริกา และประเทศต่างๆ ในสหภาพยุโรป พยายามบีบให้ทุกประเทศบอยคอตรัสเซีย กดดัน ไม่ให้ซื้อพลังงานจากรัสเซีย ลุกลามไปแสดงท่าทีกับจีนในกรณีไต้หวัน แล้วแผ่อิทธิพลไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่างประเทศไทยด้วย


6 คำถาม 6 คำตอบ ของนายไจแชนการ์ รัฐมนตรีต่างประเทศฯ สร้างความฮือฮาไปทั่วโลก ท่านผู้ชมครับ อดทนนิด ตั้งใจฟังหน่อย แล้วจะดูว่าภูมิปัญญาของรัฐมนตรีต่างประเทศของอินเดีย มันสูงกว่ารัฐมนตรีฯ ต่างประเทศบ้านเราตั้งหลายๆ ล้านลี้ เรียกว่าสวรรค์กับนรกกันเลย

คำถามประเด็นที่หนึ่ง พิธีกรถามว่า การซื้อน้ำมันจากรัสเซียของอินเดีย เป็นการสนับสนุนรัสเซียในการทำสงครามในยูเครนหรือเปล่า ? ไจแชนการ์ ตอบว่า "ในประเด็นของการซื้อน้ำมัน เราไม่ได้ส่งคนออกไปแล้วบอกว่าให้ไปหาซื้อน้ำมันรัสเซีย แต่เราบอกว่า ให้ไปหาซื้อน้ำมัน คุณไปหาซื้อน้ำมันที่ดีที่สุดในตลาด ซึ่งผมคิดว่าเราไม่ได้สอดแทรกประเด็นทางการเมืองเข้าไปในคำสั่งนั้นแต่อย่างใด" เขาบอกว่าเขาไม่ได้แทรกแซงคำสั่งทางการเมืองในการสั่งให้ไปหาซื้อน้ำมัน เขาเพียงแต่บอกว่า ให้ไปหาซื้อน้ำมันที่ดีที่สุด และถูกที่สุด เผอิญน้ำมันรัสเซียดีอยู่ในระดับที่สุด และถูกที่สุดด้วย เขาก็เลยซื้อน้ำมันรัสเซีย นี่คือคำตอบของนายไจแชนการ์


คำถามต่อไป เขาถามว่า ชาติตะวันตกดูเหมือนจะรณรงค์อย่างหนักเพื่อให้ชาติต่างๆ หยุดจ่ายเงินเพื่อสนับสนุนสงครามในยูเครนแก่รัสเซีย ซึ่งการซื้อน้ำมันรัสเซียเหล่านี้ในนามผลประโยชน์ชาติ ทำให้อินเดียถูกถามว่ากำลังสนับสนุนสงครามในยูเครนใช่หรือเปล่า ? ท่านรัฐมนตรีต่างประเทศ ไจแชนการ์ พูดว่า "ผมไม่ได้พยายามที่จะโต้เถียงในประเด็นเหล่านี้ แต่คุณช่วยตอบคำถามผมก่อนว่า การซื้อก๊าซจากรัสเซีย ไม่ใช่การสนับสนุนสงครามหรอกหรือ" ขณะที่ยุโรปซื้อก๊าซจากรัสเซีย ก็เป็นการสนับสนุนสงครามในยูเครนเหมือนกันใช่ไหม แล้วทำไมมาเล่นงานอินเดีย นายไจแชนการ์ พูดต่อ "ทำไมเงินของอินเดีย กับน้ำมันที่อินเดียซื้อ จึงเป็นเงินที่สนับสนุนสงครามในยูเครน แต่เงินค่าก๊าซที่ยุโรปจ่ายให้รัสเซีย ไม่ได้เป็นเงินที่สนับสนุนสงคราม ? เราต้องกล่าวถึงเรื่องนี้อย่างไม่ลำเอียงเสียก่อน"

ผมเอากราฟให้ดู ว่าตั้งแต่เกิดสงครามยูเครน ชาติยุโรปจ่ายเงินซื้อก๊าซจากรัสเซียมากขึ้นด้วยซ้ำ และขณะเดียวกัน พยายามยุยงให้ชาติอื่นแซงก์ชันรัสเซีย คิดเป็นเงินที่ยุโรปซื้อก๊าซจากรัสเซียตกเดือนละ 1 หมื่นล้านเหรียญยูโร


อีกประเด็นหนึ่ง ความหน้าไหว้หลังหลอกของชาติตะวันตกในการบีบให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น ไจแชนการ์ บอกว่า ถ้าประเทศต่างๆ ในยุโรป และในอเมริกา ใส่ใจเรื่องน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นอย่างมาก ทำไมพวกคุณถึงไม่ปล่อยให้น้ำมันจากอิหร่าน หรือน้ำมันจากเวเนซุเอลา เข้ามาในตลาดได้ล่ะ ? พวกเขาบีบแหล่งที่มาน้ำมันทุกช่องทางที่เรามี มิหนำซ้ำยังมาบอกเราอีกว่า พวกคุณห้ามเข้าไปซื้อน้ำมันจากตลาดโน้นตลาดนี้ ห้ามซื้ออิหร่าน ห้ามซื้อเวเนซุเอลา ซึ่งทั้งๆ ที่มันเป็นหนทางที่ดีที่สุดของประชาชนของประเทศเรา แล้วเรื่องนี้ก็ไม่ยุติธรรม

แล้วนายไจแชนการ์ ถือโอกาสด่าอเมริกาในทางอ้อมว่า ประเทศอย่างอินเดียคงบ้าไปแล้ว ถ้าซื้อน้ำมันมาแล้วเอาไปขายต่อกับชาติอื่น ซึ่งนี่้คืออเมริกา ยังซื้อน้ำมันรัสเซียอยู่ แล้วเอาไปขายต่อ

ท่านผู้ชมครับ ประเด็นที่สาม สองมาตรฐานของยุโรป นักข่าวคนหนึ่งอ้างว่าเป็นนักข่าวจากลิทัวเนีย ซึ่งน่าจะเป็นนักข่าวคนอังกฤษ หรืออเมริกา ถามว่า ขณะที่อินเดียปฏิเสธการประกอบอาชญากรรมสงครามในยูเครนโดยไม่ประณามรัสเซีย ไม่แซงก์ชันด้วย ในทางกลับกัน ขณะที่เมื่อคุณขอแรงสนับสนุนชาติอื่นๆ ทั่วโลกในประเด็นที่อินเดีย ขัดแย้งกับจีน เรื่องพรมแดน แล้วคุณจะได้รับความเชื่อถือจากชาติอื่นได้อย่างไร หลังจากเหตุการณ์นี้คุณหวังว่าชาติอื่นจะช่วยอย่างไรต่อไป ในเมื่อคุณไม่ได้ช่วยชาติอื่นในเรื่องของยูเครน

ท่านผู้ชมครับ ไจแชนการ์ เอาไม้หน้าสามตีหัวคนถามคำถามนี้เลย เขาบอกว่า "มันเป็นเรื่องที่น่าสนใจ แต่คำถามนี้เป็นคำถามที่ผู้คน (ก็คือคนยุโรป) ควรจะถามตัวเอง เพราะถ้าคุณมองยุโรปแบบองค์รวม ในช่วงที่ผ่านมา ทำตัวโดดเดี่ยวแบบเงียบเชียบในหลายๆ เรื่องที่เกิดขึ้นทั่วโลก อย่างเช่นในเอเชีย นายไจแชนการ์ ถามว่า คุณลองถามดูได้ไหมว่าชาวเอเชียควรจะเชื่อมั่น เชื่อถือชาวยุโรปในเรื่องอะไรบ้าง

วันนี้ชาวยุโรปซื้อน้ำมัน ซื้อก๊าซ ผมเพิ่งอ่านข่าวว่าตอนนี้พยายามออกมาตรการในการแซงก์ชัน โดยมาตรการดังกล่าวร่างอยู่บนพื้นฐานของการคำนึงถึงสภาพความเป็นอยู่ของคนยุโรปเป็นหลัก ยกตัวอย่างการตัดท่อก๊าซจากรัสเซีย ก็ไม่ได้ถูกพูดถึง ระยะเวลาก็ถูกยืดออกไป ไม่ได้เหมือนว่าพรุ่งนี้เช้าพลังงานจากรัสเซียทุกอย่างจะถูกตัดไม่ให้เข้ามาในยุโรป เพราะฉะนั้นพวกคุณต้องเข้าใจว่า ถ้าคุณเห็นอกเห็นใจตนเองได้ คุณก็ต้องเห็นอกเห็นใจผู้อื่นได้เช่นกัน ก็คือ นายไจแชนการ์ สอนยุโรป และคนถามคำถามว่า คุณต้องเอาใจเขามาใส่ใจเรา ซึ่งถ้าชาวยุโรปบอกว่าเราสามารถบริหารจัดการเรื่องนี้ ก็คือพลังงานรัสเซีย เพื่อไม่ให้กระทบเศรษฐกิจของตนเองได้ ดังนั้นเสรีภาพในการบริหารจัดการดังกล่าวก็ควรที่จะปล่อยให้เป็นทางเลือกของชาติอื่นๆ

แล้วนายไจแชนการ์ ก็พูดในประเด็นที่อ่อนไหวมาก แล้วทำให้คนถามคำถาม และคนยุโรป ปวดหัวใจเป็นที่สุด นายไจแชนการ์ บอกว่า ชาวยุโรปต้องก้าวให้พ้นจากความคิดที่ว่า ปัญหาของยุโรปคือปัญหาของโลก แต่ปัญหาของโลกไม่ใช่เป็นปัญหาของยุโรป ถ้ามันเป็นปัญหาของคุณ มันเป็นปัญหาของคุณ แต่ถ้ามันเป็นปัญหาของฉัน มันเป็นปัญหาของพวกเรา เจ็บไหมท่านผู้ชม

ประเด็นที่สี่ อินเดียสามารถจัดการความสัมพันธ์กับจีนได้ด้วยตัวเอง ไม่จำเป็นต้องมีชาติอื่นๆ ช่วย ซึ่งเป็นประเด็นต่อมา จากกรณีที่นักข่าวถามว่า ถ้าคุณไม่เข้ามาร่วมกับชาติอื่นๆ เพื่อประณามรัสเซีย วันหลังคุณมีความขัดแย้งกับจีน คุณจะหวังได้รับความช่วยเหลือจากชาติอื่นๆ ได้อย่างไร นายไจแชนการ์ ตอบได้เจ็บมาก มันมีสองประเด็นที่มีผู้พยายามนำเข้ามาเชื่อมกัน หนึ่งคือประเด็นเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างจีน กับ อินเดีย และสอง ประเด็นเรื่องสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในยูเครน ไจแชนการ์ บอกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างอินเดีย กับ จีน มันเกิดขึ้นก่อนที่ยูเครนจะมานานมาแล้ว ถึงแม้เราจะมีความสัมพันธ์ที่ยากลำบากกับจีน แต่เราก็มีความสามารถอย่างเต็มที่ในการที่จะจัดการกับมันได้ด้วยตัวเราเอง ถ้าเราต้องการความเห็นอกเห็นใจ และความสนับสนุนจากชาติอื่นๆ ซึ่งก็คงช่วยผมได้ แต่ความคิดที่จะเอาสองเรื่องมาเชื่อมโยงกันนั้น ถ้าผมยื่นมือเข้ามาเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งที่หนึ่ง โดยคาดหวังว่าจะมีส่วนช่วยในความขัดแย้งที่สอง มันไม่ใช่วิถีทางในความเป็นจริงของโลก ปัญหาหลายอย่างของเรากับจีนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับยูเครน ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับรัสเซียด้วย มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้นานแล้ว และเราจัดการปัญหาของเราเองได้ คุณไม่ต้องมา (เสือก)

ประเด็นที่ห้า อินเดียมีสิทธิในการเลือกและตัดสินใจเรื่องราวต่างๆ ด้วยตัวเองหรือ ? พิธีกรถามต่อว่า ตอนนี้มีสองข้าง ข้อเท็จจริงต้องยอมรับว่าข้างหนึ่งคือฝั่งตะวันตก นำโดยอเมริกา อีกข้างหนึ่งน่าจะนำโดยจีน อินเดียจะวางตัวในตำแหน่งของตัวเองในจุดไหน ? ไจแชนการ์ บอกว่า ขอโทษนะ นี่เป็นประเด็นที่ผมขอแสดงความไม่เห็นด้วยกับคุณ คือสิ่งที่คุณพยายามยัดเยียดให้ผม (อินเดีย) เป็นเงื่อนไขที่คุณพยายามสร้างให้ผม แต่ผมขอปฏิเสธที่จะไปยอมรับมัน ผมคิดว่าไม่มีความจำเป็นที่อินเดียจะต้องเลือกข้างใดข้างหนึ่ง นายดอน ฟังเอาไว้นะ พล.อ.ประยุทธ์ ฟังเอาไว้นะ หรือถ้าอินเดียตัดสินใจไม่เลือกข้างนี้ อินเดียก็จะต้องไปเลือกอีกข้างหนึ่ง ผมไม่ยอมรับเรื่องนี้ ผมคิดว่า ณ วันที่อินเดียเป็นประเทศที่มีประชากร 1 ใน 5 ของโลก เป็นประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 5 หรือ 6 ของโลก ยังไม่ต้องพูดถึงประวัติศาสตร์และความเป็นมาทางอารยธรรม ซึ่งทุกคนรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว ประเทศกูมีประวัติศาสตร์ อารยธรรมเก่าแก่กว่าพวกมึงทุกคนที่อยู่ในที่นี้


ไจแชนการ์ พูดต่อ ผมคิดว่าอินเดียมีสิทธิที่จะมีข้างของตัวเอง มีสิทธิที่จะชั่งน้ำหนักประโยชน์ของตัวเอง และตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง และทางเลือกของผมก็จะไม่ทำเพื่อดูถูกเหยียดหยามคนอื่น และไม่ยัดเยียดให้ผู้อื่นด้วย ก็คือพูดง่ายๆ ว่า แดกดันชาติทางตะวันตกที่พยายามกดดันให้เลือกข้างอเมริกา หรือจีน แต่มันเป็นทางเลือกที่สร้างสมดุลให้กับคุณค่าและผลประโยชน์ของอินเดีย ซึ่งชัดเจน ไม่มีประเทศไหนในโลกที่ไม่ใส่ใจผลประโยชน์ของตัวเอง

พิธีกรบนเวที ถามต่อ แล้วจุดยืนของอินเดียในโลกปัจจุบันเกี่ยวกับปัญหาโลกนี้คืออะไร ? เนื่องจากการยืนมองความขัดแย้งไม่ได้เป็นทางเลือกของการเป็นผู้นำโลก ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Sitting on a fence is not an option to be a world leader. ไจแชนการ์ บอกว่า การที่ผมไม่เห็นด้วยกับคุณ ไม่ได้หมายความว่าผมยืนดูอยู่เฉยๆ แต่ผมยืนอยู่บนพื้นฐานของผม และหลักการของผม (คือหลักการของอินเดีย) โลกเปลี่ยนไปทุกวัน มีคนเล่นใหม่ๆ เข้ามา มีความเป็นไปได้ใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น ทั้งหมดนี้ต้องมาพร้อมวาระใหม่ โลกจะจมและยึดโยงอยู่กับการที่ยุโรปเป็นศูนย์กลาง เหมือนในอดีตไม่ได้อีกแล้ว (พวกคุณนี่มันตกขบวนไปเรียบร้อยแล้ว ยังเข้าใจตัวเองผิดว่าพวกคุณยิ่งใหญ่เหมือนเดิม)

พิธีกรบนเวที ถามต่อว่า แล้วอินเดียจะเล่นทางไหน ระหว่างอเมริกา กับยุโรป หรือ จีน กับรัสเซีย ไจแชนการ์ บอกว่า มันมีทางเลือกอื่นๆ แต่เราเป็นประชาธิปไตย เราใช้เศรษฐกิจแบบการตลาด เราเป็นสังคมที่เคารพความหลากหลาย เรามีกฎหมายสัญญา เรามีจุดยืนในกฎหมายระหว่างประเทศ

ประเด็นที่หก เหตุผลของการตัดสินใจในวันที่ 13 พฤษภาคม 2565 อินเดียห้ามไม่ให้ส่งออกข้าวสาลี ทั้งๆ ที่โลกกำลังเกิดปัญหาวิกฤตอาหารโลกอันเกิดจากสงครามในยูเครน ท่านผู้ชมครับ นี่คือข้อสังเกต อินเดียเป็นประเทศผู้ผลิตข้าวสาลีมากเป็นอันดับสองของโลก ก็คือ เขาถามมาว่า อินเดียไม่ยอมให้ส่งข้าวสาลีออก ทั้งๆ ที่เกิดวิกฤตอาหารของโลกเนื่องจากสงครามในยูเครน

นายไจแชนการ์ ตอบว่า มันมีข้าวสาลีที่สต๊อกเอาไว้รอการขาย ซึ่งความประสงค์ดีของเราอาจถูกพวกพ่อค้าหัวใสเอาไปเก็งกำไร ดังนั้น เราต้องดำเนินการอะไรบางอย่างเพื่อหยุดการเก็งกำไรนั้น นั่นคือการห้ามส่งออก เพราะการเก็งกำไรเช่นนี้จะกระทบราคาข้าวสาลีในประเทศอินเดียด้วย เราต้องมีความชัดเจนว่า เราได้ทำอะไรลงไป การประกาศไม่ส่งออก เป็นการส่งสัญญาณชัดเจนว่า เราไม่ยอมให้นักเก็งกำไรเข้ามาแสวงหากำไรจากตลาดอินเดียเพื่อที่ชาวอินเดียและประชากรในประเทศที่มีรายได้น้อย จะไม่ได้รับผลกระทบ นอกจากนี้ ยังเป็นการป้องกันไม่ให้ประเทศที่มีรายได้สูง ที่มีอำนาจในการซื้อมากกว่า เข้ามาแย่งซื้อข้าวสาลี

นายไจแชนการ์ พูดต่อ ตรงนี้เจ็บมาก เพราะเราได้รับบทเรียนจากกรณีวัคซีนโควิด-19 มาแล้วว่า ประเทศที่ร่ำรวยได้วัคซีนก่อน ส่วนคนที่ยากจนต้องถูกทิ้งให้ไปรอพบพระผู้เป็นเจ้า (นั่นคือรอความตาย)

ท่านผู้ชมครับ ผมเอาคำพูดของนายไจแชนการ์ และคำตอบของนายไจแชนการ์ บนเวทีโลก เอามาเล่าให้ท่านผู้ชมฟังเป็นฉากๆ ท่านผู้ชมเห็นความแตกต่างไหมครับว่า นักการทูต นักการต่างประเทศชาวเอเชีย ที่เฉลียวฉลาด มีไหวพริบ รู้ทันเล่ห์เหลี่ยมของต่างประเทศ เท่าทันการยุแยงตะแคงรั่วของสื่อมวลชนตะวันตก โดยเฉพาะยุโรป และอเมริกานั้น เป็นอย่างไร เขาทำกันอย่างไร ? เขามีจุดยืนที่ชัดเจน รู้จักตัวเอง เข้าใจประวัติศาสตร์ เขาเท่าทันสถานการณ์ สามารถตอบโต้ สอดแทรกประเด็นย้อนคำถามที่กินความระหว่างบรรทัดให้ทั้งคนถามและคนฟังต้องอึ้ง พอเรามาเปรียบเทียบกับนักการทูต นักการต่างประเทศของไทย เอ่ยชื่อก็ได้ คุณดอน ปรมัตถ์วินัย รวมไปจนถึงผู้นำ คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่มีวาระซ่อนเร้น


ทำตัวเป็นหมาชิวาว่าของพวกตะวันตก ทั้งทางสหรัฐอเมริกา และยุโรป กระดิกหางดิ๊กๆ ทุกครั้งที่นายฝรั่งมาลูบหัว ลูบหลัง หรือยื่นเศษกระดูกให้รับประทาน

ท่านผู้ชมครับ เห็นชัดไหมครับว่าคุณภาพความรักชาติมันแตกต่างอย่างฟ้ากับเหว คุณดอน ปรมัตถ์วินัย ครับ และ คุณธานี แสงรัตน์ ซึ่งเป็นอธิบดีกรมสารนิเทศ ก็คือรับงานคุณดอน มาพูด คุณดูนายไจแชนการ์ แล้ว ผมถามคุณสองคนสักคำนะ คุณอายบ้างไหม คุณอายนายไจแชนการ์ บ้างไหม คุณคงไม่รู้สึกอะไร แต่ผมนี่อายฉิบหายเลย เมืองไทยมีนักการทูตอย่างนายไจแชนการ์ บ้างได้หรือเปล่า หรือว่าเมืองไทยทำได้ก็คือ เคารพนับถือตะวันตกเป็นพ่อของตัวเอง ทำตัวเป็นหมาชิวาว่า เฮ้ย! คุณมีศักดิ์ศรีบ้างสิ คุณมันโคตรจะไม่มีศักดิ์ศรีเลยแม้แต่นิดเดียว คุณธานี จำได้ไหม คุณเคยแถลงการณ์ของกรมสารนิเทศ พยายามจะชี้แจงให้เห็นว่า ประเทศไทยยืนอยู่บนผลประโยชน์ของชาติ และไม่เข้าข้างฝ่ายใด ไม่เข้าข้างกับผีแหน่ะ เดี๋ยวจะมีไม้หน้าสามให้พวกคุณอีก พวกคุณนี่นะ ผมจะเตือนไว้นะ นายดอน และนายธานี นะ เหตุการณ์ยิ่งผ่านไปเท่าไร สิ่งที่ผมพูดไปยิ่งเป็นความจริงมากขึ้นเท่านั้น แล้ววันนั้น พอคุณมองย้อนหลังกับสิ่งที่คุณเคยพูด โต้เถียงกับผม ออกแถลงการณ์สวนผม คุณอาจจะต้องเอาหัวไปชนฟองเต้าหู้ตายไปเลย

ช่วงนี้ผมจะพูดเป็นองค์รวมให้ท่านผู้ชมฟัง ท่านผู้ชมจะได้เข้าใจมากขึ้นกว่าเก่า ผมกำลังจะพูดถึงเรื่อง "จุดจบของโลกยุคเก่า และ จุดเริ่มต้นของโลกยุคใหม่"


ท่านผู้ชมครับ ณ เวลานี้ ต้องฟันธงไปเลยว่า การปะทะกันระหว่างรัสเซีย กับ อเมริกาและพันธมิตรตะวันตก โดยมีประเทศเล็กๆ อย่างยูเครน เป็นตัวแทน ชนิดที่พร้อมจะใส่กันทุกๆ รูป ทุกๆ แบบ ทุกพื้นที่เลยก็ว่าได้ อย่างที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของรัสเซีย นายเซอร์เก ลาฟรอฟ ถึงกับเรียกว่าเป็นสงครามลูกผสมแบบเบ็ดเสร็จ ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Hybrid Total War ตอนที่เขาไปประชุมปราศรัยที่การชุมนุมของ Gorbachev's Public Diplomacy Fund ที่กรุงมอสโก เมื่อวันที่ 25 มีนาคม ที่ผ่านมา


ด้วยเหตุเพราะว่า Hybrid Total War สงครามลูกผสม และสงครามเบ็ดเสร็จ ไม่ใช่แค่เฉพาะเปิดฉากปะทะกันในทางการทหารที่ใช้กำลังทหารราบ ทหารม้า ปืนใหญ่ จรวดนำวิถี รถถัง เครื่องบินรบ เรือรบ ยังรวมไปถึงการเปิดแนวรบทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม รวมไปจนถึงสื่อสารมวลชนอีกด้วย มาถึงวันนี้ต้องยอมรับว่าอเมริกา และตะวันตก ได้พ่ายแพ้ไปเรียบร้อยแล้ว ยกตัวอย่างง่ายๆ สงครามเศรษฐกิจที่บรรดาชาติตะวันตกพยายามจะงัดเอามาตรการแซงก์ชันระดับโหดสุดโหด อภิมหาโหดเท่าที่เคยมีมา จะให้รัสเซียนั้นตายคาตีน แซงก์ชันตั้ง 7-8 พันรายการ แมวเปอร์เซียก็แซงก์ชัน เพลงคลาสสิกจากนักแต่งเพลง ไชคอฟสกี ก็แซงก์ชัน แม้กระทั่งบัลเลต์ของบอลชอย (Bolshoi) ก็แซงก์ชัน เขาตั้งเป้าว่าจะให้ระบบเศรษฐกิจของรัสเซียหดหายไปน้อยกว่าครึ่งต่อครึ่ง ถอยหลังย้อนกลับไปถึง 15-20 ปี และต้องกระทืบให้เงินรูเบิล (Ruble) ต้องกลายสภาพเป็น Rubble หรือเศษขยะ ภายในไม่กี่อึดใจ

นายโจ ไบเดน ได้พูดเมื่อวันที่ 26 มีนาคม ณ กรุงวอร์ซอ ประเทศโปแลนก์ คำต่อคำเลยนะ บริษัทข้ามชาติมากกว่า 400 บริษัท ได้ตัดสินใจยุติทำธุรกิจในรัสเซีย ถอนรากถอนโคนออกจากรัสเซีย ตั้งแต่บริษัทน้ำมัน ไปจนถึงแมคโดนัลด์ จากการแซงก์ชันที่ไม่คาดคิดดังกล่าวทำให้เงินรูเบิลแทบจะกลายเป็นเศษอิฐเศษปูน (Rubble) ไปในทันที กระทบต่อเศรษฐกิจของรัสเซีย ในอัตราแลกเปลี่ยน เงินรูเบิลจะรูดลงไปถึง 200 รูเบิล ต่อ 1 ดอลลาร์ นั่นคือคำขู่ของนายโจ ไบเดน หรือที่ฉายาเรียกว่า โจซึมเซา ประธานาธิบดีที่มีความเป็นอัลไซเมอร์กลายๆ ตอนนี้ ประธานาธิบดีอเมริกาที่มีคะแนนเสียงที่ตกต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์ของประธานาธิบดีในอเมริกา


นายโจ ไบเดน พูดเรื่องนี้หลังจากที่วลาดิมีร์ ปูติน สั่งบุกยูเครนแบบเต็มรูปแบบในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ แต่ไปๆ มาๆ ค่าเงินรูเบิลเด้งกลับมาจนแข็งค่าเสียยิ่งกว่าครั้งที่ยังไม่เกิดวิกฤตยูเครนอีกต่างหาก

ท่านผู้ชมครับ ผมเอากราฟแลกเปลี่ยนให้เห็น ณ วันนี้ เงินรูเบิล ที่นายโจ ไบเดน บอกว่าจะร่วงลงไปจนถึง 200 รูเบิล ต่อ 1 ดอลลาร์ กลับกลายเป็นแข็งขึ้นมา ณ 1-2 วันที่ผ่านมานี้ 58.25 รูเบิล ต่อ 1 ดอลลาร์


มาตรการการป้องกันทางเศรษฐกิจของรัสเซียด้วยการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของรัฐบาลกลาง เคยตั้งการ์ดเอาไว้ เขาเคยขึ้นมาตอนที่ถูกแซงก์ชัน เป็น 20 เปอร์เซ็นต์ แต่ตอนนี้ค่อยๆ ลดลงมาแล้ว เหลือ 17 เหลือ 14 เหลือ 11 แล้วก็จะต่ำกว่า 11 ในเร็วๆ นี้ ถ้าตามลำดับนี่เรียกว่าเป็นนักมวยขึ้นสังเวียนชน ตอนนี้รัสเซียก็ชิลๆ ออกอาการปล่อยการ์ด ทิ้งแขน ส่ายหน้าร่อๆ แร่ๆ หรือยิ้มเยาะล่อเป้า ถึงขั้นนั้นเลย

ท่านผู้ชมครับ ในส่วนของสินค้าส่งออกของรัสเซียที่เคยทำรายได้หลักๆ ให้กับประเทศ อย่างเช่น น้ำมัน ก๊าซ ถ่านหิน ก็จะถูกบอยคอต อย่างน้ำมัน ก๊าซ ถ่านหิน


คว่ำบาตรจากชาติตะวันตก แทบจะไม่เหลือบาตรที่จะคว่ำ แต่กลับสามารถขายไปให้กับผู้บริโภคพลังงานในระดับต้นๆ ของโลก อย่างจีน อินเดีย จนไม่กระทบกระเทือนรายได้ใดๆ เลยแม้แต่นิดเดียว มิหนำซ้ำ ในที่สุดแล้วน้ำมันของรัสเซียก็อาจจะไม่ต้องขายให้กับยุโรปตะวันตกอีกต่อไป โดยที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งเลย เขาสามารถจะพึ่งตลาดในเอเชีย แอฟริกา อินเดีย จีน ได้

ระดับราคาพลังงานที่เพิ่มขึ้นแบบพรวดพราด ทั้งก๊าซธรรมชาติ และน้ำมันดิบ สูงเป็นประวัติการณ์ อันเนื่องมาจากความขาดแคลนต่อสินค้าดังกล่าว เลยกลับกลายเป็นตัวเพิ่มรายได้ให้กับรัสเซีย ให้กับนายปูติน เสียอีก จนกระทั่งรัสเซียวันนี้กำลังเมื่อยมือ เมื่อยนิ้ว เพราะว่านั่งนับเงินไม่ทัน

ในทางตรงกันข้าม คนที่กะจะรุมเหยียบ รุมกระทืบผู้อื่น อย่างอเมริกา ยุโรป กลับมีอาการป้อแป้ ร่อแร่ อาการกำลังใกล้ๆ เข้าขั้นขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่เพียงแต่ภาวะเงินเฟ้อที่มีอยู่เดิมอยู่แล้ว ผมได้กล่าวเป็นระยะๆ ว่า ตอนนี้ภาวะเงินเฟ้อในยุโรป และอเมริกา กำลังเข้าขั้นวิกฤต ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการขาดแคลนพลังงาน ข้าวปลาอาหาร ที่อเมริกาขาดแคลนแม้กระทั่งนมเลี้ยงเด็ก ล่าสุด ราคาพลังงาน น้ำมันเบนซินในอเมริกา ทะลุ 5 ดอลลาร์ต่อแกลลอน เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ สูงมาก ไม่เคยสูงถึงขนาดนี้ ถึงกับปั๊มหลายปั๊มถึงกับปิด บอกว่าไม่ขายแล้ว เพราะไม่มีน้ำมันจะให้ขาย

ถ้าจะเทียบราคาน้ำมันปีนี้ กับ ปีที่แล้ว เวลาเดียวกัน น้ำมันเบนซินในอเมริกาแค่ 3 เหรียญ เท่านั้นเอง แต่วันนี้ขึ้นมาแล้ว 62 เปอร์เซ็นต์


รายงานระบุว่า น้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นนั้น เป็นวาระที่ปวดหัวกับพรรคเดโมแครต และนายไบเดน นายไบเดน พยายามลดราคาน้ำมันลงด้วยหลายวิธีการ ปล่อยน้ำมันสำรองออกสู่ตลาด ผ่อนคลายมาตรการการผลิตช่วงฤดูร้อน หันไปพึ่งพากลุ่มประเทศโอเปกให้ผลิตปริมาณเพิ่มมากขึ้น เป็นต้น แต่ก็ไม่เพียงพอกับปริมาณความต้องการบริโภคน้ำมันของคนอเมริกัน ซึ่งเข้าสู่ช่วงการท่องเที่ยวในภาคฤดูร้อน ซึ่งคนอเมริกันนั้นชอบขับรถทั่วประเทศ

สถานการณ์เงินเฟ้อไม่เพียงทำให้ชาวยุโรปต้องแตกฉานซ่านเซ็นไปตามความคิดความเห็นแบบ ของใครก็ของมัน แม้กระทั่งประเทศพ่อค้าอาวุธอย่างอเมริกา ที่ทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำจากการสนับสนุนอาวุธให้ยูเครน เจอปัญหาเงินเฟ้อ เจอภาวะข้าวของแพง เจอขาดแคลนพลังงาน แม้กระทั่งเจอวัตถุดิบซึ่งเป็นแร่ธาตุที่หายากในการสร้างอาวุธ ซึ่งรัสเซียไม่ให้ส่งออก อย่างเช่นแร่พลวง ก็ไม่สามารถจะผลิตได้ เครื่องยิงรถถัง Javelin ตอนนี้หยุดการผลิต เพราะไม่มีแร่พลวงเข้ามาแล้ว บริษัทต่างๆ เหล่านี้ประกาศภาวะฉุกเฉินด้านพลังงาน

สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นเครื่องยืนยันได้ว่า ไม่ยากเย็นเลย ในเชิงเศรษฐกิจ งานนี้ใครแพ้ใครชนะกันแน่

ในเชิงการทหาร คงไม่ได้ผิดแผกแตกต่างไปจากแนวรบด้านเศรษฐกิจ การเงิน การค้าขาย เท่าไรนัก ภาพแผนที่ด้านบนที่อัปเดตในการสู้รบครั้งหลังสุด ในวันที่ 12 มิถุนายน 2565 หรือเป็นวันที่ 109 ของการบุกยูเครน ทัพรัสเซียยึดพื้นที่สีแดง ควบคุมดินแดนยูเครนเข้าไปมากขึ้นเรื่อยๆ


ท่านผู้ชมครับ ว่ากันว่าการยึดท่าเรือ เมืองท่ามารียูปอลของกองทัพรัสเซียนั้น ถือว่าเป็นข้อพิสูจน์ให้เห็นถึงความพ่ายแพ้ทางยุทธศาสตร์การทหารของทั้งยูเครนและชาติพันธมิตรตะวันตก แบบชนิดเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เพราะไม่เพียงแต่ทำให้เกิดการเชื่อมต่อระหว่างระเบียงทางยุทธศาสตร์ ระหว่างดินแดนดอนบาส หรือ โดเนตสก์ และ ลูฮานสก์ มายังแหลมไครเมีย จนก่อให้เกิดพลังอำนาจทางทหารครอบคลุมทั่วทะเลอะซอฟ และทะเลดำ ได้ตลอดแผน ท่านผู้ชมดูแผนที่จะเห็นได้ว่า ทะเลอะซอฟ ที่อยู่ทางขวามือของท่าน กับทะเลดำ (Black Sea) ที่อยู่ทางซ้ายมือนั้น ตอนนี้อยู่ในกำมือรัสเซียหมดแล้ว ทำให้การส่งออกทางทะเลของยูเครนไม่มี


การยึดพื้นที่แบบนี้ของรัสเซีย ทำให้ยูเครน ซึ่งเป็นดินแดนที่เคยได้ชื่อว่าเป็น "ตะกร้าขนมปังแห่งยุโรป" เขาเรียกว่า Bread Basket of Europe เพราะว่ายูเครนมีความสามารถในการส่งออกข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ ไม่น้อยกว่า 14 เปอร์เซ็นต์ ให้กับบรรดาชาติต่างๆ ในยุโรปอย่างยูเครน ต้องกลายสภาพเป็น Land Locked Country ก็คือประเทศที่ไม่มีทางออกทะเล ส่งสินค้าหลักใดๆ แทบไม่ได้ ถึงกับทำให้ประเทศอียูแต่ละรายต้องสุมหัว รวมหัว เตรียมเปิดปฏิบัติการ Free Ukraine Week ก็คือจัดกองทัพเรือรบขนข้าวสาลีออกจากยูเครนไปตามถนน ทางรถไฟแทน อีกทั้งจะเพิ่มศักยภาพทางทหารให้กับตัวแทนอย่างยูเครน ด้วยการส่งอาวุธหนัก ส่งจรวด ส่งเครื่องบิน อะไรต่อมิอะไรต่างๆ เข้าไปสนับสนุนเพิ่มเติมให้มากกว่าเก่า

โอกาสที่จะต้องเจอการตอบโต้จากอาวุธรุ่นล่าสุดของรัสเซีย ประเภทจรวดความเร็วเหนือเสียง 5 เท่า 6 เท่า หรือ 10 เท่า ยิ่งทำให้การส่งอาวุธลำบากมากขึ้น เพราะขนาดรถถัง T-72 ที่พยายามขนเข้าเป็นล็อตๆ ยังถูกจรวดรัสเซียถล่มจนกลายเป็นเศษเหล็ก

ในเชิงสงครามข้อมูลข่าวสารภายใต้สภาพนี้ ที่ทำให้แม้แต่สงครามข่าวสารที่ถือเป็นข้อได้เปรียบของอเมริกาและชาติตะวันตก ซึ่งมีบทบาทและอิทธิพลต่อสื่อกระแสหลักมาโดยตลอด ตอนนี้ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าเกิดมีรายการพลิกไปพลิกมาแล้ว เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังเท้าอย่างเห็นได้ชัดเข้าทุกที ไม่ว่าจะเป็นสื่ออังกฤษ อย่างเช่น The Guardian, The Telegraph สื่ออเมริกัน เช่น Washington Post, New York Times 


ต่างเริ่มออกอาการกลับหลังหัน โดยคอลัมนิสต์บางราย อย่างเช่นข้อเขียนบทความของ John Walsh คือไม่เพียงแต่สื่อแต่ละสื่อต่างหันมายอมรับถึงความล้มเหลวในการเล่นงานรัสเซีย ไม่ว่าทางเศรษฐกิจ หรือทางทหาร สื่อพวกนี้ถึงกับพยายามชี้แนะ ชี้นำ กระตุ้นให้รัฐบาลอเมริกาและชาติตะวันตกหันมากดดันรัฐบาลยูเครน ให้หาทางเจรจาสันติภาพกับรัสเซียแทน

New York Times เขียนบทนำว่า ความมุ่งหมายที่จะเอาชนะรัสเซียของยูเครน คือเป้าหมายที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง และเขียนต่อว่า ขณะนี้เป็นเวลาสามเดือนมาแล้วที่เราทำสงครามกับรัสเซีย และทุกสิ่งทุกอย่างก็ไม่ได้เป็นไปตามแผน แต่กลับเป็นไปในทิศทางตรงกันข้าม คือทุกสิ่งทุกอย่างมีแต่แย่ลงและแย่ลง

บรรณาธิการเศรษฐกิจของ The Guardian หนังสือพิมพ์อันทรงอิทธิพลของอังกฤษ ชื่อ Larry Elliott ก็สารภาพมาตรงๆ อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้มันชักจะก่อให้เกิดจุดเปลี่ยนต่อแนวรบในยุโรปตะวันออก หรือแม้แต่โลกทั้งโลกในอีกไม่ใกล้ไม่ไกลเอาทีเดียว


มีสำนักคิด Think Tank ผู้อำนวยการสำนักคิดชื่อดังของรัสเซีย อย่าง Valdai Club ชื่อ Timofei Bordachev ออกมาแปลความ ตีความคำพูดคำจาของอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศอเมริกา ผู้ได้ชื่อว่ามองลึก มองไกล อย่างนายเฮนรี คิสซินเจอร์ อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ บนเวทีประชุม World Economic Forum ที่กรุงดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2565 ซึ่งผมเคยเล่าให้ฟังแล้วในรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" เมื่อวันศุกร์ที่ 3 มิถุนายน 2565 ที่ผ่านมา


นายคิสซินเจอร์ บอกว่า ความล้มเหลวในการเปิดการเจรจา และพยายามกีดกันเครมลินออกจากโต๊ะเจรจา จะส่งผลกระทบระยะยาวต่อเสถียรภาพของยุโรป การเจรจาต้องเกิดขึ้นภายใน 2 เดือนข้างหน้านี้ ก่อนที่จะเกิดการลุกฮือและความตึงเครียดมากขึ้นจนยากจะแก้ไขได้ เนื่องจากการสู้รบที่ยืดเยื้อไปจากจุดนี้ ไม่ได้ดำเนินไปเพื่ออิสรภาพของยูเครนแล้ว ก็คือการรบครั้งนี้จะไม่ใช่เพื่ออิสรภาพของยูเครน แต่เท่ากับการข้ามเส้นด้วยการมุ่งเป้าไปทำสงครามกับรัสเซีย

คิสซินเจอร์ บอกว่า สถานการณ์ในอุดมคติคือการแบ่งเส้นแดนให้กลับไปสู่ก่อนเกิดสงครามในเดือนกุมภาพันธ์ นายคิสซินเจอร์ พูดออกมา ซึ่งเป็นคำพูดความคิดในแนวฟ้าผ่านายเซเลนสกี เลย บอกว่า ในกรณีนี้ สันติภาพของรัสเซียจะเกิดขึ้นได้หากยูเครนยอมเสียดินแดนบางส่วนของตัวเองออกไป


ในขณะเดียวกัน สื่ออเมริกันส่งสัญญาณเริ่มหารือเจรจาสันติภาพ ดังนั้น ท่ามกลางข่าวสู้รบ จึงปรากฏข่าวคราวเมื่อช่วงวันศุกร์ที่ 3 มิถุนายน 2565 ผ่านทาง CNN อ้างถึงแหล่งข่าวผู้ไม่ประสงค์จะออกนาม แต่ประสงค์จะออกข่าว สรุปได้ความว่า CNN ออกข่าวว่า ตัวแทนจากอเมริกา อังกฤษ และบรรดาประเทศในยุโรป ได้เริ่มประชุม รวมตัวพูดจาหารือในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาอย่างเป็นระบบ เป็นทางการ ถึงความเป็นไปได้ในการหยุดยิงและบรรลุสันติภาพในสมรภูมิยูเครนนับจากนี้เป็นต้นไป แม้ว่าการพบปะครั้งนี้ไม่มีตัวแทนของรัฐบาลยูเครนเข้าร่วมเลยแม้แต่นิดเดียว แต่การหยิบยกเอาข้อเสนอ 4 ข้อ ที่รัฐมนตรีต่างประเทศของอิตาลี คือ ลุยจิ ดิ มาโย เคยเสนอไว้เมื่อไม่นานมานี้

รัฐมนตรีต่างประเทศอิตาลีเสนอว่า หนึ่ง การหยุดยิง สร้างพื้นที่ปลอดทหารในแนวรบด้านตะวันออกของยูเครน นั่นคือพื้นที่สีแดงที่รัสเซียยึดไปแล้ว สอง ยูเครนที่เหลือจะต้องกลายเป็นกลาง รัฐเป็นกลาง ไม่เข้าข้างใคร สาม การแสวงหาข้อตกลงกับมอสโกต่อดินแดนไครเมีย และสาธารณรัฐโดเนตสก์ และลูฮานสก์ ก็คือพูดง่ายๆ ว่า อาจจะต้องยอมยกพื้นที่นั้นให้กับรัสเซียไป สี่ ข้อตกลงสันติภาพแบบพหุภาคีระหว่างสหภาพยุโรป และ รัสเซีย ในการที่รัสเซียจะถอนกำลังออกจากยูเครน และชาติตะวันตกก็คลายการแซงก์ชันกับรัสเซีย นอกจากนี้ ยังสร้างความหลากหลายทางการทหารและการควบคุมการแข่งขันทางอาวุธทั่วทั้งยุโรป นี่คือข้อเสนอของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของอิตาลี ซึ่งในที่ประชุมอย่างไม่เป็นทางการเอา 4 ข้อนี้ มานั่งพิจารณากัน

เพราะแม้ว่ากองทัพ หรือรัฐบาลยูเครน ที่พร้อมทอดตัวเป็นเครื่องมือและเป็นตัวแทนสงคราม (คือขายตัว) ให้กับอเมริกา และตะวันตก คิดจะฮึดสู้ คิดย้อนกลับไปยึดโน่นยึดนี่ ยึดเมืองโน้นยึดเมืองนี้กันอีกหรือไม่เพียงใดก็ตาม แต่ข้อจำกัดในการสนับสนุนทรัพยากร ทั้งเงิน อาวุธ เสบียง เป็นเงื่อนไข ข้ออ้างที่มีน้ำหนักเพียงพอจะบีบบังคับให้รัฐบาลยูเครนของอดีตดาวตลกเซเลนสกี ต้องยอมขึ้นโต๊ะเจรจา ยอมหาข้อยุติ จุดลงตัว กับนายปูติน ผู้นำรัสเซีย อย่างที่ปรมาจารย์ทางการต่างประเทศ เฮนรี คิสซินเจอร์ ได้กล่าวไว้ว่าต้องทำให้เสร็จภายในสองเดือนข้างหน้านี้ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป

ท่านผู้ชมครับ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงที่อาจจะเกิดขึ้นหลังจากสงครามยูเครนนี้อาจจะไม่ได้มีผลเพียงเฉพาะทวีปยุโรปทั้งทวีป หรือต่อเฉพาะสหรัฐอเมริกาแต่เพียงอย่างนั้น แต่อาจจะมีผลต่อโลกทั้งโลก หรืออาจจะกล้าพูดได้ว่า โลกกำลังก้าวไปสู่ยุคใหม่แล้ว


ท่านผู้ชมครับ หัวหน้ากองบรรณาธิการวารสาร Russia in Global Affairs หนึ่งในผู้บริหารสโมสร Valdai Club อย่างนาย Fyodor Lukyanov เขาเคยฟันธงไว้ก่อนล่วงหน้า ว่า การบุกยูเครนของรัสเซียคราวนี้แทบไม่ต่างไปจากการเริ่มต้นปักหมุดหมายแห่งการสิ้นสุด ยุติของโลกเก่า The End of an Era เป็นการยุติโลกยุคเก่าที่จะนำไปสู่การก่อรูปก่อร่างของโลกยุคใหม่ หรือระเบียบโลกแผนใหม่ ที่มีความเสมอภาคและยุติธรรม บนพื้นฐานของ Fair World Order คือ ระเบียบโลกที่มีความยุติธรรม ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ? เพราะภายใต้ความเสื่อมและการใกล้แพ้ของโลกตะวันตก และคุณพ่ออเมริกา ในแนวรบดังกล่าว ส่งผลทำให้โลกทั้งโลกเริ่มแสดงออกถึงลักษณะอาการที่เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างเห็นได้ถนัดชัดเจนยิ่งขึ้นทุกที

ท่านผู้ชมครับ สื่อทางการจีน Global Times ถึงกับต้องหยิบเอาไปไล่เรียงข้อเขียนบทความเมื่อช่วงวันที่ 7 มิถุนายน 2565 อาทิตย์กว่าๆ ที่แล้ว ถึงท่าทีของแต่ละประเทศในลาตินอเมริกา ต่อการประชุมสุดยอด The Summit of America ในช่วงวันที่ 6-10 มิถุนายน ที่ประเทศอเมริการับอาสาเป็นเจ้าภาพครั้งแรก ด้วยการฟันธงฟันเฟิร์มไปถึงขั้นที่ว่า 'No longer US' backyard,' Latin America sends united message.


หรือ ประเทศลาตินอเมริกาได้ส่งสัญญาณอย่างเป็นเอกภาพว่า บรรดาประเทศลาตินอเมริกาทั้งหลายไม่ได้เป็นแค่สวนหลังบ้านของคุณพ่ออเมริกาอีกต่อไป เพราะไม่ว่าจะเป็นผู้นำของประเทศใหญ่ ประเทศน้อย ในทวีปอเมริกา แคริบเบียน อย่างเช่น เม็กซิโก ฮอนดูรัส กัวเตมาลา บราซิล หรือแม้กระทั่งโคลัมเบีย (โคลัมเบีย ที่เคยยืนหยัดเคียงบ่าเคียงไหล่กับอเมริกามาโดยตลอด) จนอีกหลายประเทศในแคริบเบียน ต่างแสดงอาการไม่คิดจะให้ความสำคัญกับการประชุมครั้งนี้ที่อเมริกาเป็นเจ้าภาพ อย่างเท่าที่ควรจะเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศอเมริกาที่ไม่เคยให้ความสำคัญต่อประเทศภายในภูมิภาคเดียวกัน อย่างเวเนซุเอลา นิการากัว หรือคิวบา เอาไว้ก่อนหน้านั้น ชนิดถึงขั้นกระทรวงการต่างประเทศจีน เจ้า ลี่เจียน หลุดปากออกมาว่า หมดยุคลัทธิมอนโรลงไปเรียบร้อยแล้ว

ท่านผู้ชมครับ นักวิเคราะห์ด้านสังคมวิทยารัฐศาสตร์ชาวเยอรมันอย่างนาย Heinz Dieterich สรุปเอาไว้ประมาณว่า อำนาจเหนือผู้อื่นเบ็ดเสร็จและเด็ดขาดของอเมริกาได้พ้นไปจากความจริงแห่งยุคสมัยไปแล้ว ในบรรดาความเปลี่ยนแปลงในลักษณะทำนองนี้ยังพอจะเห็นจากท่าทีของประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลาง ไม่ว่าจะเป็นราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย กลุ่มประเทศอ่าวที่พร้อมจะบ่ายเบี่ยง เลี่ยงคำขอร้องและวิงวอนอเมริกาในการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันและก๊าซ เพื่อช่วยทุเลาเบาบางภาวะขาดแคลนพลังงานและภาวะเงินเฟ้อที่กำลังทะลุหลังคา เขย่าเพดานประเทศอเมริกาและพันธมิตรตะวันตกอย่างรุนแรง จนตราบเท่าทุกวันนี้ ถึงขั้นอเมริกาต้องบากหน้าไปขอร้องประเทศศัตรูคู่กัดอย่างเวเนซุเอลา ให้ช่วยผลิตน้ำมันเพิ่ม ทั้งๆ ที่ตัวเองนั้นเคยรุมเหยียบ รุมกระทืบเวเนซุเอลามาเป็นปีๆ

แม้แต่บรรดาประเทศในแอฟริกาก็เถอะ การส่งเสียงโอดโอย โอดครวญของประเทศอย่างเช่นเซเนกัล ประธานาธิบดีมากี ซาล ต่อที่ประชุมอียู ถึงความยากลำบากและความเป็นไปไม่ได้ของบรรดาชาติแอฟริกา ต่อการร่วมแซงก์ชันรัสเซีย หรือการไม่เปิดช่องทางให้ชำระเงินในระบบ SWIFT สำหรับการสั่งซื้อข้าวปลาอาหารไปจนถึงปุ๋ยของรัสเซียที่บางชาติในแอฟริกา อย่างเช่นเอธิโอเปีย ต้องพึ่งพารัสเซียถึง 100 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ชาติต่างๆ ในแอฟริกาหนีไม่พ้น ต้องหันมาสวมกอดหมีขาว (รัสเซีย) ดังเดิม มิหนำซ้ำอาจจะแน่นแฟ้นกว่าเก่าเสียอีก ไม่ว่าจะเป็นซิมบับเว ซึ่งเพิ่งลงนามข้อตกลงทวิภาคีด้านเศรษฐกิจ การค้า วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กับรัสเซียไปเมื่อสัปดาห์ก่อน หรือแคเมอรูน ที่หันไปเซ็นสัญญาข้อตกลงทางทหารกับรัสเซียเป็นชาติแรก นับตั้งแต่เกิดการบุกยูเครน เพื่อช่วยให้บรรดาประเทศแอฟริกากลางทั้งหลายพอมีโอกาสที่จะรับมือกับปัญหาโจรสลัด หรือปัญหาก่อการร้าย ได้ถนัดถนี่ขึ้นมาอีกหน่อย

ท่านผู้ชมครับ โดยสรุปรวมความแล้ว จากสถานการณ์ความเป็นไปของโลก รวมนับจากนี้เป็นต้นไป คือโลกที่เต็มไปด้วยความเสื่อมและอาการพังทลายของผู้ที่เคยมีบทบาท มีอำนาจ ในยุคเก่าๆ เดิมๆ อย่างคุณพ่ออเมริกาและพันธมิตรตะวันตกทั้งหลายนั่้นเอง ที่เคยพยายามบีบบังคับ ไปจนถึงแทรกแซงให้ใครต่อใครต้องเป็นประชาธิปไตยตามมาตรฐานของตัวเอง หรือต้องยอมตกอยู่ภายใต้อำนาจอิทธิพลของการค้าเสรี ที่ไม่ได้ให้ความสนใจต่อความถูกต้อง ความเป็นธรรม ความยุติธรรมมากมายสักเท่าไรนัก แต่บรรดาสิ่งต่างๆ เหล่านี้มันกำลังก่อรูปก่อร่างการอุบัติของโลกยุคใหม่ที่พร้อมจะให้ความสำคัญต่อความเสมอภาค ต่อลักษณะสังคมของแต่ละประเทศที่ย่อมผิดแผกแตกต่างกันออกไป พร้อมที่จะแลกเปลี่ยนผลประโยชน์บนความเท่าเทียมกัน หรือวิน-วิน ไปด้วยกันทุกฝ่าย หรือไม่ อย่างไร อันนั้นคงต้องขึ้นอยู่กับความร่วมมือและความร่วมใจของแต่ละประเทศในทุกภูมิภาค หรือทุกซีกโลก ที่จะเนรมิตสร้างสรรค์ระเบียบโลกแบบใหม่ หรือระเบียบโลกแห่งความยุติธรรมขึ้นมาได้ ในตอนไหน และเมื่อไร เท่านั้นเอง

ท่านผู้ชมครับ เรื่องที่ผมจะเล่าให้ฟังวันนี้ ในเรื่องนี้ มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในประเทศจีน จากเมืองที่เรียกว่า ถังซาน ผมมาเล่าให้ฟังเพื่อที่จะดูว่าจริงๆ แล้วในประเทศจีนก็มีแก๊งมาเฟีย แล้วก็มีการร่วมมือกันระหว่างแก๊งมาเฟีย กับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น คือฝ่ายปกครองท้องถิ่น และฝ่ายตำรวจที่ดูแลรักษากฎหมายในเมืองถังซาน


เรื่องที่เกิดขึ้นนั้น เป็นเรื่องที่โด่งดังมากในประเทศจีน ในพวกโซเชียลมีเดียในประเทศจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเเวย์ปั๋ว หรือประเภทเฟซบุ๊กของประเทศจีนนั้น ขึ้นอันดับหนึ่ง เป็นไวรัลเลย เรื่องของเรื่องเป็นอย่างนี้ครับ

สัปดาห์ที่ผ่านมามีเรื่องที่ดังมากและมีการปล่อยคลิปกลุ่มผู้ชายฉกรรจ์รุมทำร้ายร่างกายผู้หญิงอย่างโหดเหี้ยม หน้าร้านปิ้งย่างในเมืองถังซาน ซึ่งอยู่ที่มณฑลเหอเป่ย เป็นแฮชแท็กฮอต ทะยานขึ้นอันดับหนึ่งในโซเชียลมีเดียอย่างเวย์ปั๋ว เรื่องราวที่เกิดขึ้น เกิดขึ้นในเวลาประมาณตีสองครึ่ง วันศุกร์ที่ 10 มิถุนายน 2565 ในร้านอาหารประเภทปิ้งย่างแห่งหนึ่ง ในเมืองถังซาน มณฑลเหอเป่ย

ถังซาน เป็นเมืองๆ หนึ่งซึ่งมีประชากรประมาณ 4 ล้านคน ก็คือพูดง่ายๆ ว่ามีประชากรประมาณสักเศษหนึ่งส่วนสามของกรุงเทพมหานคร กล้องวงจรปิดในร้านบันทึกภาพกลุ่มผู้ชายกำลังเดินออกจากร้าน แต่มีชายคนหนึ่งค่อนข้างจะกินเหล้ามากเกินไป มึนเมา เดินเข้าไปที่โต๊ะ มีผู้หญิง 4 คน กินอยู่ เอื้อมมือไปลวนลาม โอบไหล่ ลูบหลัง ผู้หญิงคนหนึ่งบนโต๊ะที่นั่งอยู่กับเพื่อนไม่พอใจ ก็คงจะพูดอะไรที่โต้ตอบกลับไป อันธพาลคนนี้ก็เลยตบหน้าผู้หญิงคนนี้ ผมสั้น เสื้อขาว


เพื่อนของผู้หญิงคนดังกล่าวก็เลยเอาขวดฟาดหัวผู้ชายกลับไป กลุ่มผู้ชายทั้งหมดก็เข้ามารุมชกต่อยผู้หญิงกับเพื่อน ยกเก้าอี้ฟาด ลากออกไปรุมสกรัมที่หน้าร้านอีกพักใหญ่ ผู้หญิงนั้นได้รับบาดเจ็บสาหัส

คนที่เป็นหัวโจก ชื่อ นายเฉา เจี้ยนหัว เป็นมาเฟียโยงใยกับตำรวจท้องถิ่น


หลังจากที่เกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญ บรรดาชาวเน็ตที่เห็นคลิปก็โกรธแค้น ช่วยกันแจ้งเบาะแสข้อมูล ก็เหมือนกับกรณีแตงโม ทุกคนก็ขุดคุ้ยกัน เผอิญชาวเน็ตที่เป็นคนเมืองถังซาน ก็บอกว่า อันธพาล 9 คน ที่ก่อเหตุ หัวโจกที่ชื่อ เฉา เจี้่ยนหัว นายคนนี้มีประวัติเป็นหนึ่งในผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น สิบปีที่แล้วเคยเป็นกรรมการหมู่บ้านตงหม่าจวง ปี 2555 ได้ใช้บริษัทตัวเองกับพวกมาฮั้วประมูลโครงการสร้างตึกที่พักอาศัยประชาชนในพื้นที่ โดยโครงการนี้ชาวบ้านในหมู่บ้านตงหม่าจวง เขาระดมเงินทุนก่อสร้าง 160 ล้านหยวน หรือประมาณ 800 ล้านบาท เขาหวังว่าเขาจะได้อาศัยอยู่ในบ้านหลังใหม่ แต่ฝันสลาย เพราะว่าบริษัทนายเฉา มาเฟียใหญ่คนนี้เอาเงินทั้งหมดไป ไม่ยอมจ่ายผู้รับเหมา ตึกเลยสร้างไม่เสร็จจนปัจจุบัน

ชาวบ้านพยายามไปร้องเรียนกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ รวมทั้งตำรวจหลายครั้ง แต่คดีไม่คืบ ทนายความหลายคนที่ทำคดีนี้ถูกทุบตี ข่มขู่ ทำร้าย จนไม่มีใครกล้ารับทำคดีนี้เลย (คล้ายๆ ในเมืองไทยไหมท่านผู้ชม)


ท่านผู้ชมครับ จากคดีทำร้ายร่างกาย สะท้อนภาพถังซาน เมืองมาเฟีย ซึ่งท้าทายอำนาจของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง อย่างมาก เพราะสี จิ้นผิง ปราบปรามการคอร์รัปชัน และปราบปรามมาเฟียใหญ่ เรื่องนี้เลยกลายเป็นประเด็นระดับชาติ เมื่อเริ่มมีชาวเมืองถังซานคนอื่นๆ โพสต์เล่าเรื่องที่ตัวเองโดนมาเฟียในเมือง ซึ่งไม่ใช่แค่กลุ่มนายเฉา กลุ่มเดียว มีกลุ่มอื่นๆ อีกมากมาย คุกคาม ออกมาเรื่อยๆ หลายคนถึงกลับอัดคลิปร้องเรียน เปิดตัวว่าตัวเองเคยตกเป็นเหยื่อมาเฟียจริงๆ ยกตัวอย่างเช่น


กรณีที่หนึ่ง วันเสาร์ที่ 11 มิถุนายน 2565 หนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา คนๆ หนึ่งเขาร้องเรียนผ่านออนไลน์ ยืนยันตัวตนว่าเขาเป็นเจ้าของร้านเบเกอรีในถังซาน มีมาเฟียในเมืองนั้น ชื่อ นายสือ เหล่ย มาเรียกเก็บค่าคุ้มครอง เขาไม่ยอมจ่าย ไปแจ้งตำรวจท้องที่ แต่ไม่มีความคืบหน้า นายสือ เหล่ย ก็เลยมาข่มขู่ ไม่เกรงกลัวกฎหมาย ส่งคนมาพังร้าน 2 ครั้ง จนเขาต้องปิดร้านไป ในที่สุดแล้วตำรวจก็เรียกแก๊งอันธพาลนี้ไปตักเตือน ไม่มีการลงโทษทางกฎหมาย

กรณีที่สอง หญิงสาวอีกคนหนึ่ง วันเสาร์ที่ 11 มิถุนายน ร้องเรียนผ่านการยืนยันตัวตนทางออนไลน์ ว่าเมื่อเดือนพฤษภาคม เธอ และเพื่อนสาว โดนกลุ่มมาเฟียกักขังหน่วงเหนี่ยว ใช้ถุงดำคลุมหัว ลักพาตัวไปตบตี ด่าทอ บังคับให้พิมพ์ลายนิ้วมือลงกระดาษเปล่า จับขังกรงหมาเป็นเวลา 16 ชั่วโมง เอาตัวมารุมซ้อม


แต่พอถูกปล่อยออกมา เธอไปแจ้งความตำรวจท้องที่ ก็ไม่มีความคืบหน้าเลยแต่อย่างใด มีหลักฐานของการที่แจ้งตำรวจถังซาน รวมทั้งเจ้าหน้าที่หน่วยงานรัฐหลายหน่วย ปล่อยปละละเลย รู้เห็นเป็นใจ เพิกเฉยต่อการปฏิบัติหน้าที่ จนแก๊งมาเฟียและอิทธิพลมืดเรืองอำนาจในพื้นที่ใช่หรือเปล่า คนตั้งคำถามถามเจ้าหน้าที่กรมตำรวจ เจ้าหน้าที่หน่วยงานรัฐระดับสูงในท้องที่ ว่าทำไม เมืองถังซานมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร

จากหลายกรณีข้างต้น เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นก็เลยถูกเล็งเป้าว่าเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา รัฐบาลกลางของจีน ส่วนกลางของจีนสั่งการให้โอนคดีดังกล่าวไปให้กรมตำรวจของเมืองหลางฝั่ง ซึ่งไม่ได้อยู่ในเมืองนี้ แต่อยู่เป็นเมืองข้างเคียง เข้ามาดูแลคดีแทน ตั้งทีมปฏิบัติการพิเศษ ขุดแฟ้มประวัติการร้องเรียนคดีเก่าๆ ของเมืองถังซาน ขึ้นมาใหม่ ก็คือเหมือนกับเอาตำรวจอีกเมืองหนึ่งมาล้างบางเมืองถังซาน โดยไม่สนใจตำรวจเมืองถังซาน อาจจะได้รับอำนาจมาให้ขุดคดีต่างๆ กลับมา เอาผิดเจ้าหน้าที่รัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ปล่อยปละละเลยทุกฝ่าย


บ่ายสองโมงของวันเสาร์ที่ 11 มิถุนายน หลังเกิดเหตุการณ์รุมทำร้ายหญิงสาวในร้านอาหารปิ้งย่างเพียง 36 ชั่วโมง กรมตำรวจจีนก็เลยแถลงว่าได้ติดตามจับกุมผู้ก่อเหตุรุมซ้อมสาวในร้านปิ้งย่างทั้งหมด 9 คน ได้ครบแล้ว ส่วนกรณีที่ประชาชนให้ความสนใจในวงกว้าง ไม่ว่าจะเป็นคดีพังร้านเบเกอรี หรือพวกที่คลุมหัวลักพาตัวหญิงสาว 16 ชั่วโมง ก็สามารถจับหัวหน้าขบวนการได้หมดแล้วเช่นกัน แล้วกำลังเร่งดำเนินการคดีอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง

สื่อพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนก็เลยตีปี๊บ รัฐบาลจัดแคมเปญกวาดล้างอาชญากรรม ลั่น! จะเอาให้เรียบทั้งมาเฟียท้องถิ่น รวมทั้งข้าราชการคอร์รัปชัน โดยไร้ความเมตตาปรานี


ท่านผู้ชมครับ วันอาทิตย์ที่ 12 มิถุนายน หนังสือพิมพ์ Global Times ภายใต้การควบคุมของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ได้เผยแพร่ข่าว ระบุ จากเหตุการณ์แก๊งมาเฟียถังซานที่ทำร้ายหญิงสาวและฉ้อโกงประชาชนนั้น ก่อให้เกิดปฏิบัติการพิเศษเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน โดยเรียกชื่อปฏิบัติการนี้ว่า พายุ (Thunderstorm) นำโดยผู้บัญชาการ 2 คน คือ เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีนสาขาเมืองถังซาน และ นายกเทศมนตรีเมือง

ท่านผู้ชมครับ โครงสร้างของพรรคคอมมิวนิสต์นั้น ก็คือว่า พรรคคอมมิวนิสต์จะมีพรรคอยู่ในทุกเมือง คนที่คุมพรรคคอมมิวนิสต์ในเมืองทุกเมือง ก็คือเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ นั่นคือคุมในเชิงอุดมการณ์ ทฤษฎี ส่วนคนที่มีอำนาจจริงๆ คือ นายกเทศมนตรีในเมืองนั้น เป็นคนคุมตำรวจ มุ่งเป้ากวาดล้างการกระทำผิดทางอาญาทุกประเภท เช่น การวิวาท ชกต่อย ก่อกวน สร้างความรำคาญ เจตนาทำร้าย การดูหมิ่นเหยียดหยามสตรีเพศ ปฏิบัติการกวาดล้างชุดใหญ่จัดหนักนี้ ยังรวมไปถึงการจับกุมผู้มีพฤติกรรมกลั่นแกล้งผู้อื่นให้ได้รับความอับอาย หรือที่เรียกว่า Bully พวกขู่กรรโชกทรัพย์ พวกเล่นการพนัน พวกเสพยา อาชญากรรมไซเบอร์ ตลอดจนพวกเจ้าหน้าที่รัฐที่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ปกปิดหรือรู้เห็นเป็นใจให้กับผู้กระทำความผิด


ครึ่งเดือนของการปฏิบัติการชำระล้างสะสางปัญหาอาชญากรรมในเมือง ทางการมีการจัดหน่วยตระเวนสอดส่องตามถนนสายต่างๆ มีนายตำรวจระดับสูง มีการสร้างระบบควบคุมป้องกันสามมิติ รอบด้าน เพื่อตอบโต้อาชญากรรมอย่างรวดเร็วและฉับไว

ท่านผู้ชมครับ ตั้งแต่ปี 2561 สี่ปีที่แล้ว รัฐบาลกลางจีนได้ดำเนินนโยบายกำจัดกลุ่มแก๊งอาชญากรรมอย่างเด็ดขาด ต้องถือว่าประสบผลสำเร็จดี รายงานจากสำนักข่าวซินหัว ระบุว่า จากข้อมูลทางการ กลุ่มแก๊งมาเฟียในจีนถูกทลายไปมากกว่า 3,600 กลุ่ม ในช่วงสี่ปีที่ผ่านมา สถิติการกวาดล้างดังกล่าวสูงกว่าช่วงสิบปีก่อนถึงเกือบสองเท่า นอกจากนั้นแล้ว ยังปราบปรามอาชญากรรมเกี่ยวกับการคอร์รัปชัน เจ้าหน้าที่รัฐให้ความคุ้มครองกับกลุ่มอาชญากรรม ทั้งหมด 89,720 กรณี เมืองจีนเป็นเมืองใหญ่นะท่านผู้ชม


อย่างไรก็ตาม การทำร้ายร่างกายในปี 2565 ที่เมืองถังซาน สื่อทางการจีนยอมรับว่าเป็นเรื่องไม่ปกติ อาจจะเป็นข้อบกพร่อง มีช่องโหว่ในกระบวนการรักษาความเรียบร้อยของจีน

ท่านผู้ชมครับ ผมเอาเรื่องนี้มาพูด ประเด็นคือ เหตุการณ์ที่เมืองถังซาน ถือว่าเป็นการท้าทายอำนาจของพรรคคอมมิวนิสต์ สมัยที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ปราบโกง เป็นนโยบายหลัก เพราะฉะนั้นการปราบปรามจึงฉับไวมาก ภายใน 36 ชั่วโมง ตามสไตล์จีน จับ ปะฉะดะ แหลกเลย ใครมีส่วนเกี่ยวข้องก็ลากคอมา ซึ่งเรื่องราวต่างๆ เหล่านี้ เป็นนโยบายที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ดำเนินการมา ท่านผู้ชมจำได้ไหม ผมเคยเล่าให้ฟังว่าตอนสี จิ้นผิง ขึ้นมา สิ่งแรกที่เขาปราบคือเขาปราบมาเฟียทางการเมืองของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนก่อน จำนายโจว หย่งคัง ได้ไหม นายป๋อ ซีไล อดีตผู้นำระดับสูงของจีน


เป็นถึงขนาดระดับสมาชิกโปลิตบูโร เลยนะท่านผู้ชม ซึ่งเป็นองค์กรสูงสุดทางการเมืองของจีน ถูกกวาดล้างอิทธิพล ดำเนินคดีไปช่วงก่อนและระหว่างที่สี จิ้นผิง ขึ้นดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ และประธานาธิบดี เมื่อสิบปีที่แล้ว

ถ้าท่านผู้ชมจำเรื่องนี้ได้ สองคนนี้ นายป๋อ ซีไหล กับ นายโจว หย่งคัง ถึงแม้จะเคยมีตำแหน่งใหญ่โตในศูนย์กลางอำนาจของพรรคคอมมิวนิสต์จีน แต่กลับถูกเปิดโปง ปลดออกจากตำแหน่ง และดำเนินคดีจนหมดอนาคตมาแล้ว ผมยกตัวอย่างคดีฆาตกรรมอื้อฉาว อย่างกับหนังฮอลลีวูด เกี่ยวโยงกับคนใกล้ชิดของป๋อ ซีไหล คือ กู่ ไคไหล ซึ่งเป็นภรรยาของนายป๋อ ซีไหล ซึ่้งทำการฆาตกรรมนักธุรกิจชาวอังกฤษ ชื่อ นายเนลล์ เฮย์วูด วางยาพิษ เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2554


จากความขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์ทางธุรกิจ คดีดังกล่าว ภรรยานายป๋อ ซีไหล นางกู่ ไคไหล ถูกศาลจีนตัดสินประหารชีวิต แต่ให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี เพื่อดูพฤติกรรม ทำให้สามีของเธอถูกปลดออกจากตำแหน่งทั้งหมด ถูกขับออกจากพรรค และยังถูกตั้งข้อหาอีกเยอะแยะไปหมดเลย

เมื่อเปรียบเทียบกับมาเฟียเมืองถังซาน กับ โจว หย่งคัง และ ป๋อ ซีไหล ก็เลยไม่ต้องสงสัยว่า แค่แก๊งมาเฟียกับเจ้าหน้าที่รัฐในเมืองเล็กๆ เพียงหยิบมือหนึ่ง สี จิ้นผิง จะเลือกจัดการอย่างไร เพื่อสยบกระแสข่าวอื้อฉาว สร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนทั้งประเทศ ยิ่งปัจจัยเรื่องการประชุมสมัชชาใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ที่จะจัดขึ้นในช่วงเดือนตุลาคม 2565 นี้ ณ มหาศาลาประชาชน กรุงปักกิ่ง และสี จิ้นผิง ได้รับความคาดหมายว่าจะเป็นผู้นำจีนคนแรก นับต่อจากเหมา เจ๋อตง ที่ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคเป็นวาระที่สามติดต่อกัน ยิ่งทำให้มั่นใจได้เลยว่าปัญหาเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยในประเทศนั้น จะต้องถูกสยบให้เรียบร้อย ราบคาบ โดยเร็วที่สุด

เรามาดูประเทศไทยบ้าง ท่านผู้ชม เหตุการณ์ตำรวจ ทหาร เจ้าหน้าที่ปกครองท้องที่ ที่มีผลประโยชน์ร่วมกับมาเฟีย ผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น มีให้เห็นจนดาษดื่น จนกลายเป็นเรื่องปกติและชินตาคนไทยไปแล้ว ท่านผู้ชมครับ ดูอย่างนายสุนทร วิลาวัลย์ ที่ จ.ปราจีนบุรี ว่ากันว่าใช้อำนาจบาตรใหญ่รุกไล่ที่ ยึดที่ ขับไล่คนโน้นคนนี้เพื่อเอาที่ดินต่างๆ มาเป็นทรัพย์สินของตัวเอง

เมืองไทยหลายสิบปีหลัง มาเฟีย ผู้มีอิทธิพล นักธุรกิจ ทหาร ตำรวจ ไม่ใช่แค่ช่วยพวกมาเฟียนะ กระโดดลงมาเล่นการเมืองเอง จนทุกวันนี้หัวหน้ามาเฟียใหญ่ที่สุดของประเทศไทยไม่ได้อยู่ที่ร้านอาหาร หรือตามท้องถนน โดนรุมกระทืบ ขู่กรรโชกทรัพย์ เก็บค่าคุ้มครองกับพ่อค้าแม่ขาย ชาวบ้านร้านช่อง แต่หัวหน้ามาเฟียใหญ่ในประเทศไทยกลับนั่งใส่สูทผูกไทอยู่ในทำเนียบรัฐบาล หรือในสภาผู้แทนราษฎร นั่นต่างหาก ท่านผู้ชมเห็นไหมครับ ทุกประเทศจะมีแบบนี้ แต่ประเทศจีน เวลาเขามีเรื่อง เขาเอาจริง เขาไม่สนใจเลย ขนาดป๋อ ซีไหล หรือ โจว หย่งคัง จะเป็นสมาชิกโปลิตบูโร เขาก็ฟาดจนเดี้ยงเลย เมืองไทยเราจะมีโอกาสได้เห็นแบบนี้บ้างไหม ?

ท่านผู้ชมครับ หลังจากมีการปลดล็อกกัญชาไปเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน ก็มีดรามาเกิดขึ้นเยอะแยะไปหมดเลย วันนี้กัญชาถูกบรรจุลงในบัญชียาหลักแห่งชาติ แสดงว่าได้รับการรับรองว่ามีคุณสมบัติในการรักษา เป็นยาจริง เพียงแต่หมอ แพทย์แผนตะวันตก หมอแผนฝรั่ง ที่ไม่เคยมีความรู้ ไม่มีการศึกษา นอกจากไม่รู้แล้ว ว่างๆ ไม่มีอะไรทำ ก็ยังมานั่งดิสเครดิตสมุนไพรไทย ไม่สนใจข้อเท็จจริงว่าเป็นอย่างไร


แอปฯ "ปลูกกัญ" ท่านผู้ชมรู้ไหมว่า ตั้งแต่วันที่ 9-15 มิถุนายน เจ็ดวันที่ผ่านมา เวลา 7 โมงเช้า วันที่ 15 มิถุนายน มีคนเข้ามาใช้งานในแอปฯ นี้ 38 ล้านครั้ง ลงทะเบียนจดแจ้งปลูกกัญชา กัญชง เกือบ 9 แสนคน ออกใบรับจดแจ้งกัญชา 8 แสนใบ ออกใบรับจดแจ้งกัญชง 25,000 ใบ

ท่านผู้ชมครับ นี่คือข้อเท็จจริง สะท้อนให้เห็นว่าประชาชนต้องการพึ่งพาตัวเองในการดูแลสุขภาพ ดูแลชุมชน ที่สำคัญ คือ สร้างรายได้ แต่ทุกอย่างมีข้อดี-ข้อเสีย กัญชามีคุณูปการมากทางด้านการแพทย์ เศรษฐกิจ จะทำให้ประชาชนพึ่งตัวเองได้ ลืมตาอ้าปากได้ ประเด็นที่เป็นดรามาขึ้นมา คือต้องอย่าลืมว่าเรากักพืชกัญชาไว้เป็นยาเสพติดมาตั้ง 40 ปีแล้ว แต่ 2-3 ปีที่ผ่านมา มีการศึกษาค้นคว้าวิจัย ผมจะเอาอาจารย์หมอคนหนึ่ง ผศ.นพ.ดร.ปัตพงษ์ เกษสมบูรณ์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ท่านพูดชัดเจนว่า จากงานวิจัยของท่านที่ผ่านมา ท่านวิจัยว่ากัญชาช่วยรักษาโรคต่างๆ ได้อย่างน้อย 6 ล้านคน ปลอกหุ้มประสาท 1,300 คน พาร์กินสัน 170,000 คน มะเร็ง 250,000 คน ลมชัก 475,000 คน ผู้ป่วยระยะสุดท้าย 460,000 คน อัลไซเมอร์ 930,000 คน ปวดประสาท 4 ล้านคน เพราะฉะนั้นแล้ว ข่าวต่างๆ เกี่ยวกับกัญชาในช่วงนี้ เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านที่รอกฎหมายออกมาควบคุมการบังคับการสันทนาการไม่ให้เกินขอบเขตไป ระหว่างนี้ต้องมองเรื่องประโยชน์ทางการแพทย์เป็นหลักก่อน

กลุ่มที่เคลื่อนไหวดิสเครดิตกัญชา ก็ต้องไม่ลืมว่าเป็นพวกที่อาจจะสูญเสียผลประโยชน์จากยาฝรั่ง เพราะกัญชาไม่มีค่าคอมมิชชัน ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้ากัญชาใช้ถูกวิธี ถ้าสนับสนุนให้ประชาชนในวงการแพทย์แผนไทยมีองค์ความรู้ที่ถูกต้อง จะช่วยรักษาโรคที่นอนไม่หลับได้เท่าไร ปวดประสาทเท่าไร อัลไซเมอร์เท่าไร มะเร็งเท่าไร เงินที่ยาฝรั่ง อุปกรณ์การแพทย์ ที่ใช้ในการรักษาโรคเหล่านี้กับคน 5-6 ล้านคน คิดเป็นมูลค่ากี่หมื่นล้านบาท กี่แสนล้านบาท ช่วยลดการนำเข้ายา อุปกรณ์ทางการแพทย์เท่าไร ลองคิดดู


ท่านผู้ชมครับ ส่วนการปลดล็อกกัญชา ไม่ใช่เพิ่งเกิด ผ่านกระบวนการทางกฎหมาย การรับฟังความคิดเห็นอย่างเข้มข้น ใช้เวลาหลายปีที่ผ่านมา จนประสบผลสำเร็จได้อย่างทุกวันนี้ ถ้าท่านผู้ชมไม่รู้ ผมจะบอกให้

ร่างประกาศกัญชง กัญชา ให้เว้นจากการเป็นยาเสพติดให้โทษ เป็นร่างที่รัฐสภา วุฒิสภา เห็นด้วย ให้ถอดออกจากบัญชียาเสพติด โดยที่ไม่มีใครค้าน เรื่องโรงเรียนนั้น คนเข้าใจผิด แม้กระทั่งเหล้า บุหรี่ ขนม ก็ยังเอาเข้าไม่ได้ แต่มันมีดรามาว่ามีการประกาศไม่ให้เอากัญชาเข้า ก็เหล้า บุหรี่ ยังเอาเข้าไม่ได้ กัญชาจะเอาเข้าได้อย่างไร ก็คือหาเรื่องดิสเครดิต

ส่วนอีกประเด็นหนึ่งที่มีการโจมตีว่ามีการกล่าวหาว่าไทยผิดอนุสัญญาว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ เป็นสัญญาระหว่างประเทศ ไม่ผิด เพราะกฎหมายให้คุณควบคุมตั้งแต่การปลูก การมีแอปฯ ขึ้นมาและสภาฯ พิจารณาไม่ทัน 120 วัน มันเป็นความผิดของใคร ? เพราะฉะนั้นแล้ว ท่านผู้ชมครับ ดรามาที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ คือดรามาของกลุ่มที่ต้องการเตะตัดขากัญชา ซึ่งประกอบด้วย กลุ่มการเมือง เพราะว่างานนี้ ท่านผู้ชมจะชอบหรือไม่ชอบพรรคภูมิใจไทย ต้องยอมรับว่า นี่คือผลงานของพรรคภูมิใจไทย ที่ให้คำมั่นสัญญากับประชาชนมาตั้งแต่ต้น ก่อนหาเสียง ก่อนเลือกตั้ง 2562 แล้วเขายึดติดคำมั่นสัญญานี้มา แล้วทำจนประสบความสำเร็จ เพราะฉะนั้นแล้ว ไม่ว่าจะเพื่อไทย ไม่ว่าจะพลังประชารัฐ ก็ต้องเตะตัดขาเขา รวมทั้ง ส.ว. อีกหลายคน ซึ่งรับงานมา รวมทั้งพวกหมอทั้งหลายที่ไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้ มองได้อย่างเดียวว่ามันเป็นยาเสพติด ก็เตะตัดขาเขาทั้งสิ้น

ท่านผู้ชมครับ กัญชา มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีมีมาก ข้อเสียเราต้องหาทางที่จะป้องกัน แต่ไม่ใช่จะมาล้มมัน แล้วเอามันกลับไปเป็นยาเสพติดเหมือนเดิม

ท่านผู้ชมครับ มีเรื่องอยู่เรื่องหนึ่งซึ่งผมคิดว่า ถ้าผมพูดรายละเอียดไปแล้ว ท่านผู้ชมอาจจะไม่ค่อยสนใจเท่าไร เพราะว่าตัวเลขมันเยอะเหลือเกิน นั่นคือ การเปรียบเทียบระหว่าง "การจำนำข้าว" และ "การประกันราคาข้าว" ซึ่งเป็นวิวาทะกันพอสมควร ผมเอาหลักการง่ายๆ มาอธิบายให้ท่านผู้ชมฟังก็แล้วกัน ท่านผู้ชมจะได้เข้าใจ


เพราะว่าสองพรรคการเมือง ก็คือ พรรคพลังประชารัฐ และ พรรคเพื่อไทย โดยพรรคพลังประชารัฐนั้น ตัวแทนในการโต้เถียง คือ คุณทิพานัน ศิริชนะ ท่านประจำสำนักเลขาธิการนายกฯ และเป็นอดีตรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ ส่วนอีกท่านหนึ่ง คือ คุณอรุณี กาสยานนท์ ซึ่งท่านเป็นรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย สรุปง่ายๆ ว่า "ระหว่างการจำนำข้าว กับ การประกันราคาข้าว อะไรโกงกว่ากัน ?" สองสาวซึ่งมีหน้าที่จะต้องแถลง ก็ออกมาฟาดฟันกันไปฟาดฟันกันมา ไม่รู้จักจบ

คุณอรุณี กับ คุณทิพานัน มีประเด็นข้อถกเถียงของสองคนที่ต่างกัน ปกป้องโครงการของตัวเองอย่างเต็มที่ ออกมาเป็นข้อๆ

ข้อแรกนั้น คุณอรุณี กาสยานนท์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ชี้ว่า หนี้จำนำข้าวที่กล่าวหาพรรคเพื่อไทยนั้น ไม่ได้มากเท่าที่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอ้างในสภา ที่อ้างว่าโครงการจำนำข้าวขาดทุน 957,000 ล้านบาท รัฐบาลนี้ตั้งงบประมาณชำระหนี้ไปแล้ว 781,000 ล้านบาท คงเหลือเงินต้นและดอกเบี้ยอีก 3 แสนล้านบาท โดยคุณอรุณี แย้งว่า การผลิตข้าวปี 2554, 2555 และ 2556 นั้น ทั้งสิ้น 661,224 ล้านบาท เป็นการปิดบัญชี ณ วันที่ 31 มกราคม 2556 การดำเนินโครงการมีผลขาดทุนรวม 220,967 ล้านบาท เท่านั้นเอง ไม่ใช่ตัวเลขที่ พล.อ.ประยุทธ์ อ้าง


ยังไม่ทันไรเลย คุณทิพานัน อดีตรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ ก็ตอบโต้ว่า ความเสียหายที่เกิดจากการทุจริตจำนำข้าว ทำให้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ต้องจัดสรรงบประมาณส่วนหนึ่งเพื่อมาใช้หนี้จากการโกงจำนำข้าว ต้องสิ้นเปลืองงบประมาณ ทรัพยากรบุคคลต่างๆ ในการดำเนินการแก้ไข กู้สถานการณ์เรื่องข้าวของไทย หลังจากที่ไทยเสียแชมป์การส่งออกข้าวนอกประเทศให้กับอินเดีย ตั้งแต่ปี 2555 เพราะการโกงจำนำข้าว ซึ่งมีการสวมสิทธิ์เป็นชาวนาไทยเป็นจำนวนมาก นำข้าวคุณภาพต่ำจากเพื่อนบ้านมาร่วมจำนำ จึงเป็นสาเหตุสำคัญในการเสียแชมป์ส่งออก

ข้อที่สองที่ถกเถียงกันมากก็คือ การขายข้าวดี หรือข้าวเน่า ในราคาอาหารสัตว์ คุณอรุณี รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย บอกว่า รัฐบาล คสช. ของ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ใช้อำนาจผ่าน อคส. เปลี่ยนแปลงเอกสารจัดเกรดข้าว ทำให้ข้าวดีในสต๊อกกลายเป็นข้าวเกรดอาหารสัตว์ เปิดขายในราคาอาหารสัตว์ ข้าวอาหารสัตว์กิโลกรัมละแค่ 5.70 บาท ทำให้มีรายได้ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น คือพูดง่ายๆ ว่า ถ้าไม่แก้เป็นอาหารสัตว์ ขายเป็นข้าวปกติธรรมดา ก็จะทำให้การขาดทุนทางบัญชีน้อยลง แต่นี่เอามาขายเป็นอาหารสัตว์ ก็เลยทำให้การขาดทุนทางบัญชีมันสูงขึ้น


คุณทิพานัน ก็สวนทันควัน โต้ว่า ข้าวค้างสต๊อกในโกดังกว่า 20 ล้านตัน จากการโกง เป็นข้าวที่ต้องเปิดขายในราคาอาหารสัตว์ จึงมีรายได้เข้าต่ำกว่าที่ควรจะเป็น ซึ่งตรงนี้คุณทิพานัน ก็ไม่สามารถจะชี้แจงได้ว่าทำไมถึงจะตีเกรดข้าวจากข้าวชั้นดี กลายเป็นข้าวอาหารสัตว์ได้ เป็นเพียงแต่อ้างว่า เนื่องจากข้าวค้างสต๊อกในโกดัง 20 ล้านตัน จากการโกง ต้องเป็นข้าวที่เปิดขายในราคาอาหารสัตว์ ถึงจะขายได้ มีรายได้เข้ามาทันที

ข้อที่สาม รัฐบาลประยุทธ์ใช้สองมาตรฐาน ระหว่าง จำนำข้าว กับ ประกันราคาข้าว ซึ่งการประกันราคาข้าวก็ขาดทุนย่อยยับ รวมทั้งการกู้มาแจกแบบที่ไม่ทราบได้ว่ากี่ชั่วอายุคนจะสามารถใช้คืนได้ ยังไม่มีการตรวจสอบการใช้งบประมาณและความคุ้มค่าของโครงการ หรือการขาดทุนทางบัญชี เหมือนโครงการรับจำนำข้าว คุณอรุณี ถามต่อว่า แบบนี้ใครกันแน่ที่สร้างความเสียหาย ใครกันแน่ที่ต้องใช้หนี้ให้ประเทศ และใครกันแน่ที่ต้องการตรวจสอบ

ประเด็นดังกล่าวคุณทิพานัน ก็เลยโต้ว่า ความเสียหายจากการทุจริตจำนำข้าว เป็นเม็ดเงินมูลค่าหลายแสนล้านบาทของประเทศชาติ บอกว่า เป็นอภิมหาการโกงครั้งประวัติศาสตร์กว่า 1,143 คดี สามารถตรวจสอบได้ แต่พอระยะเวลาผ่านไป พรรคเพื่อไทยได้สร้างชุดข้อมูลใหม่มาเพื่อฟอกขาวความผิดตัวเอง แล้วโยนบาปความผิดให้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์

ข้อที่สี่ พรรคเพื่อไทย โดยคุณอรุณี ตำหนิการบริหารงานระบอบประยุทธ์ ทำให้คนไทยจนลง โครงการประกันรายได้ชาวนาในช่วง 2-3 ปี ระหว่าง 2562-2564 ได้สร้างหนี้เพิ่มจากงบประมาณอุดหนุนไปกว่า 320,000 ล้านบาท แล้วเหตุใดชาวนาไทยยังคงอยู่ในวังวนของหนี้สิน เกษตรกรไทยมีหนี้สินปี 2564 เฉลี่ย 262,317 บาท ต่อ 1 ครัวเรือน เพิ่มขึ้น 16.5 เปอร์เซ็นต์ เพราะราคาข้าวตกต่ำ ต้นทุนการผลิตที่ยังสูงเพราะการบริหารงานแบบระบอบประยุทธ์ ระบอบที่ทำให้คนไทยจนลงและประเทศพัง

คุณทิพานัน ศิริชนะ อดรนทนไม่ไหว ก็ออกมาตอบโต้คุณอรุณี ประเด็นความเสียหายจากการทุจริตโครงการจำนำข้าว รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ได้ออกนโยบายโครงการประกันรายได้เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวแล้ว ยังตัดวงจรโกง มีการวางระบบให้เงินไปถึงมือเกษตรกรโดยตรง อุดช่องโหว่ที่นักการเมืองจะเข้าหาประโยชน์ ทำมาหากินบนหลังชาวนาอย่างในอดีต


ท่านผู้ชมครับ ทั้งคุณทิพานัน และ คุณอรุณี ไม่ต้องเถียงกันหรอกครับ แต่ละคนก็มีข้อมูลของแต่ละฝ่าย เอามาหักล้างแต่ละฝ่ายกัน งานนี้ผมสรุปก็แล้วกัน การจำนำข้าว และ การประกันราคาข้าว โกงด้วยกันทั้งคู่ เป็นเพียงแต่ว่า การจำนำข้าว เป็นคอร์รัปชันที่พิสูจน์ได้ และมีขั้นตอนในการคอร์รัปชันทุกจุด ตั้งแต่เริ่มต้น ตั้งแต่สั่งซื้อข้าวมา ตั้งแต่ส่งโรงสี ตั้งแต่เอาไปฝากโกดัง โน่นนี่นั่น แล้วก็เป็นหลักฐานที่พิสูจน์ได้ชัดว่ามีการโกงกิน มีคดีความถึง 1,143 คดี


แต่การประกันราคาข้าวของ พล.อ.ประยุทธ์ ขึ้นอยู่กับนโยบายรัฐบาลว่าจะประกาศเมื่อไร ไม่ใช่แค่ประกันราคาข้าวอย่างเดียว คือประกันราคาพืชผล ประกันยาง ประกันมันสำปะหลัง ถามว่ามีการโกงได้ไหม ? โกงได้ เพราะผู้มีอำนาจเท่านั้นที่จะประกาศว่าจะประกันเมื่อไร เพราะฉะนั้นแล้ว มันเป็นไปได้ว่าข้าวออกงวดนี้ มันสำปะหลังออกงวดนี้ จะเคาะกันที่ราคาประกันเท่าไร ราคาประกันก็ต้องสูงกว่าราคาที่ซื้อขายกันในตลาด เพราะฉะนั้นพวกรายใหญ่ก็สามารถจะกว้านซื้อข้าวของได้ เก็บเอาไว้ในโกดังของตัวเอง ในสต๊อกของตัวเอง เพื่อรอราคาประกันที่จะออกมา แล้วก็เป็นไปได้อย่างสูงว่ารายใหญ่ก็มีสายสัมพันธ์กับพวกบรรดาผู้มีอำนาจในการที่จะเคาะราคาประกันได้

เมื่อราคาประกันออกมา คนที่ได้ก็คือรายใหญ่ได้ รายใหญ่ก็ไปซื้อจากรายย่อยมาเรียบร้อยแล้วในราคาเก่า แต่พอราคาประกันใหม่ขึ้นมา รายย่อยที่ยังไม่ได้ขายให้กับรายใหญ่ ก็ได้อานิสงส์ แต่ส่วนใหญ่จะโดนรายใหญ่ซื้อไปเรียบร้อยแล้ว ฉะนั้นเปอร์เซ็นต์ที่ลงไปถึงชาวนาอย่างที่คุณทิพานัน ว่านั้น ก็มีอยู่ แต่ไม่ได้มากเหมือนอย่างที่คุณทิพานัน คิด

การประกันราคาข้าวของรัฐบาลนายกฯ ประยุทธ์ เป็นช่องว่างให้คนใกล้ชิดรัฐบาลที่รู้เรื่องก่อน สามารถแอบไปกระซิบนายทุนให้ซื้อข้าวตุนไว้ล่วงหน้า เพื่อเก็งกำไร พอประกาศราคาประกันปั๊บ ชาวนาที่ไม่รู้ล่วงหน้าเขาก็ไม่มีข้าวในมือ เพราะขายทิ้งไปแล้วให้นายทุน เป็นเรื่องที่พิสูจน์ได้ยากหากจะเป็นการคอร์รัปชัน ซึ่งมีไหม ? ผมเชื่อว่ามีอย่างแน่นอนที่สุด ไม่ต้องมาตอแหลกับผมหรอกครับ แต่เป็นการคอร์รัปชันเชิงนโยบาย

ผมเปรียบเทียบให้ฟังอย่างนี้ดีกว่า ท่านผู้ชม การจำนำข้าวนั้น ที่มีการโกงทุกขั้นตอน นั่นคือลักษณะการปล้นแบบไอ้เสือเอาวา ปล้นกลางวันแสกๆ คาดผ้าประเจียด ผ้ายันตร์ ถือดาบ วิ่งเข้าไปในบ้านแล้วปล้น ปล้นโดยที่มีการคดโกงทุกจุดตั้งแต่เริ่มต้น ประกาศออกมา เรียกโรงสีพรรคพวกตัวเองเข้ามามีส่วนร่วม การสั่งข้าว ข้าวในประเทศไม่มีก็เอาข้าวจากนอกประเทศ เขมร ลาว พวกนี้ พม่า ส่งเข้ามาในประเทศไทย ซื้อมาในราคา 11,000 บาท แล้วก็เอามากินราคาจำนำ 15,000 บาท ซึ่งการจำนำข้าวนั้น จริงๆ ก็เป็นเรื่องที่ไม่เสียหาย และเป็นนโยบายที่ดี


แต่การที่คุณยิ่งลักษณ์ ได้ทำพินาศฉิบหายไปแบบนี้ ทำให้คนที่เชื่อในเรื่องการจำนำข้าว แต่ต้องจำนำในราคาที่มีเหตุผล ไม่ใช่ 15,000 บาท ที่คุณยิ่งลักษณ์ เสนอมา เพราะว่า 15,000 บาทนั้น ราคาจริงๆ ในตลาดมันประมาณ 11,000 บาท หรือ 12,000 บาท อย่างสูง ส่วนต่าง 3-4 พันบาทนั้น คือเงินค่าคอร์รัปชันที่เข้าให้กับบรรดาคนที่อยู่เบื้องหลังของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หรือคนที่วิ่งเต้น หรืออย่างกรณีเสี่ยเปี๋ยง ก็ได้ไปด้วย เพราะเสี่ยเปี๋ยง เป็นคนเสนอว่าตั้งราคาจำนำที่ 15,000 บาท แล้วก็จะจัดเงินก้อนนี้ๆๆๆ ให้กับคนโน้นคนนี้คนนั้น นี่คือการปล้นกลางแดด ไอ้เสือเอาวา

ส่วนอีกพวกหนึ่ง คือการประกันราคาข้าว คือประเภทโจรใส่เสื้อนอกปล้น ก็คือทำภาพให้ดี เงินทองทั้งหมดเมื่อประกันราคาแล้ว เงินลงถึงชาวนานะ แต่ไม่ได้บอกว่ากว่าจะประกาศราคาประกันข้าว หรือราคาประกันมันสำปะหลัง หรือประกันราคายางนั้น มันมีพ่อค้าเชี่ยๆ หลายคนที่สนิทสนมกับบรรดาคนของรัฐบาล จะเป็นพรรคการเมืองไหน ท่านผู้ชมไปฟัง เดาเอาเองก็แล้วกัน ได้รับสัญญาณมาเรียบร้อยแล้วว่าจะประกันราคายางเท่านี้นะ จะประกันราคาข้าวเท่านี้นะ ก็เลยไปไล่กว้านซื้อข้าวต่างๆ จากชาวไร่ชาวนาที่ไม่รู้ว่าจะมีการประกัน ราคาจะประกาศออกมาเท่าไร คนที่รู้ทัน หรือมีข่าว ก็เก็บไว้ ไม่ยอมขายให้ คนไม่รู้ทันก็ขายไปๆ บางคนขายที่ 6 พันบาท บางคนขายที่ 7 พันบาท บางคนขายที่ 8 พันบาท แต่พอประกัน 12,000 บาท คนที่ได้ก็คือขาใหญ่ทั้งนั้นที่ได้


น่าสนใจมาก น่าทำข้อมูลสนับสนุนนิดหน่อย ว่าประกันราคาข้าวที่บอกว่าถึงมือชาวนา ถึงกี่เปอร์เซ็นต์ เพราะถ้าถึงเยอะจริงๆ ชาวนาจะยังจนอยู่เหมือนทุกวันนี้ได้หรือไม่ ข้อกล่าวอ้างของคุณอรุณี ก็มีเหตุผลตรงนี้

ที่คุณทิพานัน บอกว่า จำนำข้าวคือการโกงทุกจุด อันนี้ก็ถูกต้อง ก็ไม่ผิด แต่สรุปง่ายๆ ว่า ประกันราคาข้าว ก็คือการใส่เสื้อนอกแล้วปล้นเงียบๆ ภาพลักษณ์ดูดี แต่ในข้อเท็จจริงแล้วมันมีแค่กลไกเล็กๆ น้อยๆ ที่่ส่งออกมาให้คนที่มีสต๊อกข้าว หรือสต๊อกพืชผล ผลิตผลที่จะได้รับการประกันนั้น สามารถจะรีบกว้านซื้อข้าวของต่างๆ เข้ามาในสต๊อกตัวเอง แล้วตัวเองก็กำไร แล้วก็แบ่งส่วนหนึ่งของกำไรให้กับนักการเมือง

ท่านผู้ชมครับ ด้านหนึ่งก็คือ ไอ้เสือเอาวา ปล้นตรงหน้า ด้านหนึ่งก็คือ ใส่เสื้อนอกปล้น คนไทยมักจะชอบใส่เสื้อนอกปล้นมากกว่า เพราะว่าสุภาพ เรียบร้อย ดูดี จะไม่ดีได้อย่างไรล่ะ ก็การประกันราคาข้าว เงินมันลงไปถึงชาวนาทุกคน เอ้อใช่! พูดถูกๆ นอกจากถูกปล้นแล้ว ยังต้องช่วยเขานับเงินที่เขาปล้นเราไปอีก

ก็มีอยู่แค่นี้ล่ะครับ คุณทิพานัน และ คุณอรุณี แต่ก็ขอบคุณในวิวาทะของพวกคุณ เพราะว่าคุณก็แสดงถึงคนที่เล่นการเมืองที่มีคุณภาพ ไม่ว่าจะเป็นพรรคเพื่อไทย หรือพรรคพลังประชารัฐ จริงๆ คุณทั้งสองคนไม่ควรจะอยู่พรรคเพื่อไทย และพรรคพลังประชารัฐ เลย น่าจะหาพรรคที่ดีๆ กว่านี้เข้ามาอยู่ แล้วจะทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติได้มากกว่านี้ครับ


สิ่งที่ผมพูดวันนี้เป็นรายการสุดท้ายของการพูดวันนี้ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 12 มิถุนายน 2565 นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมกับ นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เลขาธิการพรรคฯ ออกมาแถลงข่าวเรื่อง "คนไทยโดนปล้นจากค่าการกลั่นน้ำมันขึ้นพรวดสิบเท่า" มีโปสเตอร์ออกมาให้ท่านผู้ชมได้เห็น โปสเตอร์พาดว่า "คนไทยโดนปล้น พรุ่งนี้พรรคกล้าจะนำเสนอในสิ่งที่ไม่เคยรู้ 10 โมงตรง"

ท่านผู้ชมครับ สิ่งที่คุณกรณ์ พูด ไม่ผิดหรอก ว่าโรงกลั่นน้ำมันเอาเปรียบประชาชนด้วยการคิดค่ากลั่นที่แพงมาก แต่สิ่งหนึ่งซึ่งผมจำเป็นต้องพูดวันนี้ เพราะว่าผมเบื่อนักการเมือง ถึงจะเป็นภาพนักการเมืองที่น้ำดีอย่างไรก็ตาม แต่ในข้อเท็จจริงแล้ว คุณกรณ์ หิวแสงมาก คุยโวโอ้อวดว่าสิ่งที่คุณพูดไม่มีใครรู้ คุณกรณ์ ครับ ถ้าคุณกรณ์ มีสติปัญญาและมีความจำบ้าง ให้ลูกน้องคุณคอยเช็กดู คนที่เขาพูดเรื่องนี้ เขาพูดมานานแล้ว ตั้งแต่อาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คุณรสนา โตสิตระกูล หม่อมหลวงกรกสิวัฒน์ เกษมศรี อาจารย์ประสาท มีแต้ม ส่วนผมเอง สนธิ ลิ้มทองกุล พูดเมื่อปี 2551 บนเวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย สะพานมัฆวานฯ ผมจำคำพูดที่ผมพูดได้ทุกอย่าง ว่า ท่านผู้ชมครับ ทำไมค่ากลั่นมันถึงแพงขนาดนี้ สมัยก่อนคุณค่ากลั่นไม่ถึงบาท มาวันนี้คุณค่ากลั่น 3-4 บาท ผมบอกว่า ทั้งๆ ที่คุณกลั่นน้ำมันโดยใช้เครื่องจักรเครื่องเดิม ใช้คนจำนวนเดิม นี่เป็นการค้ากำไรเกินควรหรรือเปล่า


เอาล่ะ ไม่เป็นไร แต่สิ่งที่คุณกรณ์ พูด ก็พูดออกมาในลักษณะที่ ก็ดีเหมือนกัน ก็เป็นการเปิดโปง แต่ที่ผมรับไม่ได้คือการที่คุณบอกว่าไม่เคยมีใครพูดมาก่อน สมัยที่เขาพูดกัน สมัยที่ผมพูดกัน คุณยังเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอยู่ แล้วถามว่า สมัยคุณเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง การคลังเป็นเจ้าของ ปตท. ซึ่งถือหุ้นในโรงกลั่น แล้วคุณทำอะไรกับมันหรือเปล่าในยุคที่คุณเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง คุณก็ไม่ได้ทำอะไร จริงหรือเปล่าว่าคุณมีข้อตกลงกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และพรรคประชาธิปัตย์ เพราะขนาดคุณพูดออกมา คุณยังพูดความจริงไม่หมด เพราะพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งคุมกระทรวงพาณิชย์ โดยนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ อ้างว่า ค่ากลั่นเป็นเรื่องการค้าเสรี คุณกรณ์ ครับ ผมถามจริงๆ ธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันเป็นตลาดเสรีจริงหรือ ? ธุรกิจนี้เสรีมากพอที่จะเอื้ออำนวยให้เจ้าของสามารถกำหนดราคาเองตามอำเภอใจกระนั้นหรือ ขณะที่ประเทศชาติ ประชาชน ต้องแบกรับภาระเงินเฟ้อ และต้นทุนในการดำรงชีวิตอยู่


นี่ผมรู้มาแน่นอนเลยว่า กระทรวงพลังงาน โดยคุณสุพัฒนพงษ์ พยายามจะผลักดัน แต่ทำไม่ได้เสียที เหตุผลเพราะว่ากองทุนน้ำมันฯ ติดลบ กู้ไม่ได้แล้ว แล้วนี่ใช่หรือเปล่าคือพฤติกรรมที่ผมเคยตั้งข้อสงสัย พยายามชี้ให้เห็นว่า คือการแจกแล้วปล้น โดยเป็นการปล้นเอาไปให้บริษัทพลังงานที่ร่ำรวยมหาศาล โรงกลั่นที่มีกำไรอยู่แล้ว ให้มีกำไรมากขึ้นอีก คุณกรณ์ แก้ตัวให้กระทรวงพาณิชย์ ซึ่งคนพรรคประชาธิปัตย์ดูแลอยู่ แล้วโยนขี้ให้กระทรวงพลังงาน และกระทรวงการคลัง หมดเลย

บอกว่า ผมไม่เข้าใจว่าทางผู้มีอำนาจปล่อยให้สถานการณ์เป็นแบบนี้ได้อย่างไร มีคำถามถึงกระทรวงพาณิชย์ เขาบอกว่า เฮ้ย เรื่องนี้เป็นเรื่องของกระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์มีหน้าที่ควบคุมราคาสินค้าอยู่แล้ว กระทรวงพลังงานมีอำนาจโดยตรง ท่านรัฐมนตรีรู้ดี เพราะเป็นลูกหม้อ ปตท. (ก็หมายถึงคุณสุพัฒนพงษ์) ฝากบอกท่านว่าช่วงเวลานี้ไม่ใช่ช่วงเวลาเกรงใจเพื่อนๆ คือมันมีวิธีที่เราสามารถจะช่วยเหลือประชาชนและบ้านเมืองได้ทันที

ท่านผู้ชมครับ คุณกรณ์ ครับ ถ้าผมจำไม่ผิด คุณสุพัฒนพงษ์ เคยพูดในที่ประชุมว่า เรื่องนี้กระทรวงพลังงานกำลังทำงาน ผลักดันเต็มที่ แต่คนที่ค้านคือกระทรวงพาณิชย์ คุณกรณ์ คุณได้ข้อมูลผิด คุณแก้ตัวได้นะ คุณอย่ามาร่วมมือกับจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ เพียงเพราะว่าคุณต้องการจะเตะสุพัฒนพงษ์ ออกจากรัฐมนตรีฯ พลังงาน แล้วเอาจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ ผลักดัน ร่วมกับประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้คุณเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน


ท่านผู้ชมครับ คุณกรณ์ ครับ ผมจะเอาอะไรให้ดูสักอย่างหนึ่ง เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2565 มีปฏิกิริยารับลูกคุณกรณ์ ต่อ โดยคนพรรคประชาธิปัตย์ นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ ส.ส. ราชบุรี พรรคประชาธิปัตย์ เสนอให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ปลดนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ ออกจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ละเลยปัญหาค่าน้ำมันที่สูงขึ้น

คุณจุรินทร์ ก็ปัดสวะค่าน้ำมัน คุณกรณ์ ครับ คุณจุรินทร์มีอำนาจตามกฎหมาย นั่งบอร์ด กพช. ค่ากลั่นน้ำมัน บอกว่าไม่ใช่หน้าที่ของท่าน ท่านผู้ชมตามผมมา ดูจากอำนาจหน้าที่คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ คือ กกร. ที่มีคุณจุรินทร์ เป็นประธาน แล้วคุณจุรินทร์ ก็โกหกตอแหลให้สัมภาษณ์สื่อไปว่า กระทรวงพาณิชย์ดูแลน้ำมันเครื่อง การปิดป้ายแสดงราคาที่ปั๊มน้ำมัน และมาตรวัดหัวจ่าย ตาม พ.ร.บ. ชั่งตวงวัด เท่านั้นเป็นหลัก ท่านผู้ชมตามผมมา


กกร. ที่คุณจุรินทร์ เป็นประธาน มีอำนาจเกี่ยวกับการกำหนดราคาสินค้าและบริการควบคุม ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ มันมีหลายมาตรา เอามาตรา 25 (2) "กำหนดอัตรากำไรสูงสุดต่อหน่วยของสินค้าหรือบริการควบคุมที่ผู้จำหน่ายจะได้รับจากการจำหน่ายสินค้าหรือบริการควบคุม" มาตรา 25 "มีอำนาจกำหนดมาตรการต่างๆ ที่ใช้สำหรับสินค้าหรือบริการควบคุม" แปลว่าอะไรท่านผู้ชม ? แปลว่า อำนาจตามมาตรา 25 และมาตรา 25 (2) คุณจุรินทร์ สามารถที่จะควบคุมราคาค่ากลั่นน้ำมันได้ ว่าคำนวณต้นทุนคุณที่เท่าไร ต้นทุนคุณมีอยู่เท่าไรแล้ว คุณมีกำไรเหนือต้นทุนแค่นี้พอแล้ว เราจะไม่ให้คุณคิดค่ากลั่นมากกว่านี้ นี่คืออำนาจคุณจุรินทร์ และนี่คือข้อเท็จจริงครับ คุณกรณ์ เฮ้ย! คุณหิวแสงผมไม่ว่า คุณว่าค่ากลั่นน้ำมันกำไรเป็นสิบเท่า ผมก็เห็นด้วย แต่คุณปิดบังหลายเรื่อง แล้วคุณก็ไม่กล้าพูดความจริง และที่สำคัญที่สุด คุณบอกว่าคุณพูดเรื่องนี้เป็นคนแรก ไม่เคยมีใครพูด คุณอย่าตอแหล คุณกรณ์ มันหมดยุคแล้ว คุณหิวแสง คุณก็หิวไปสิ แต่อย่าเอาอะไรที่มันไม่ใช่ความจริงมา แล้วก็ไปเพิ่มแสงให้กับคุณ

ท่านผู้ชมครับ แค่นี้เองที่ผมอยากจะพูด ผมหงุดหงิดเหลือเกิน คนที่คิดว่าตัวเองน้ำดีและหิวแสง แต่ว่าข้อมูลผิดพลาดไปหมดเลย ท่านผู้ชมครับ วันนี้รายการก็มีอยู่เพียงแค่นี้ วันนี้ก็คงจะมีอาการหัวร้อนไปหน่อย แต่ท่านผู้ชมคงให้อภัยผม เพราะแต่ละเรื่องมันก็น่าหัวร้อนทั้งนั้น ค่อยพบกันอาทิตย์หน้า สวัสดีครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น