วันที่ 13 พ.ค.65 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ไลฟ์สด “SONDHI TALK” ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ คุยทุกเรื่องกับสนธิ ช่องยูทูป Sondhitalk และแอปพลิเคชัน Sondhi App โดยประเด็นที่ได้เล่าในวันนี้ได้แก่
- ดราม่า โฆษณา Lazada ความเสื่อมของประเทศไทยและความต่ำตมของ “นารา เครปกะเทย”
- 84 ปี ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ เจ้าของสมญา "วีรบุรุษประชาธิปไตย"
- รถไฟฟ้าสีเขียว 65 บาทตลอดสาย อดีตผู้ว่าฯ กทม. บอกไม่แพง ทำไมถึงไม่แพง?
- “หาดใหญ่” ตายแล้ว! ความล่มสลายของเมืองหลวงภาคใต้ เป็นเพราะน้ำมือของใคร?
-สิงคโปร์เช่าพื้นที่กองทัพอากาศฝึกบินในไทย รู้หรือไม่ เราถูกล้อมไว้แล้ว
ติดตามได้ใน SONDHI TALK : ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง Ep.137
คำต่อคำ SONDHI TALK EP. 137 [13 พ.ค. 65] : คำเตือน! ถึง นารา ณ Lazada นรกรออยู่
ช่องทางการรับชมรับฟัง "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" หรือ SONDHI TALK
แอปพลิเคชัน : SONDHI APP
ระบบ iOS ดาวโหลดได้ที่ AppStore : https://apps.apple.com/th/app/sondhi-app/id1588046647.
ระบบ Android ดาวโหลดได้ที่ Google Play : https://play.google.com/store/apps/details?id=com.sondhitalk.asia.android
เฟซบุ๊กแฟนเพจ : คุยทุกเรื่องกับสนธิ
YouTube : Sondhitalk
เว็บไซต์: www.sondhitalk.com
Podcast หรือ podbean : SONDHI TALK
สวัสดีครับท่านผู้ชม วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 เหมือนเช่นเคยนะครับ ทุกๆ วันศุกร์ เรามาพบกันเวลาประมาณ 9 นาฬิกา ตอนเช้า เพื่อมารับฟังการออกรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ของผม ยกเว้นกรณีที่เป็นเรื่องเร่งด่วนจริงๆ ผมก็จะออก SONDHI EXPRESS แต่จะออกวันไหน ขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ที่เร่งด่วนนั้นเกิดขึ้นวันไหน บางทีเหตุการณ์อาจจะเกิดขึ้นวันพุธ ผมอาจจะจำเป็นต้องออกวันพฤหัสฯ เลย แล้ววันศุกร์ก็ต้องต่อด้วยรายการปกติธรรมดา
ท่านผู้ชมครับ ผมอยากจะขอความกรุณาท่านผู้ชมมาดาวน์โหลด Sondhi App และสมัครเป็นสมาชิก เพราะนอกจากท่านจะไม่พลาดการรับชมรายการ SONDHI TALK ในทุกวันศุกร์แล้ว ยังมีรายการพิเศษต่างๆ สำหรับช่วงนี้เรื่องราวที่ขมึงตึงเครียดมาก ก็คือเรื่องราวเกี่ยวกับสถานการณ์ความขัดแย้งและสงครามในต่างประเทศ
ท่านผู้ชมครับ ปัจจุบันนี้ความขัดแย้งกำลังลุกลามจากยูเครน ไปยังภูมิภาคอื่นแล้ว จนอาจจะกลายเป็นสงครามโลกครั้งที่ 3 ได้ไม่ยาก คือสงครามที่เกิดเป็นจุดๆ และขณะเดียวกัน ก็จะเกิดพร้อมกัน อาจจะเกิดที่ตะวันออกกลาง อาจจะเกิดที่ยุโรป ประเทศเบลารุสก็อาจจะบุกโปแลนด์ เพราะโปแลนด์ทำตัวซ่ามาก จนกระทั่งเบลารุสบุก แล้วรัสเซียก็จะหนุนหลังเบลารุส ในขณะเดียวกัน ทางจีนก็ไม่พอใจอย่างมากที่อเมริกาเอาขบวนเรือรบวิ่งผ่านช่องแคบไต้หวันถี่มากจนผิดปกติ จนกระทั่งจีนออกมาแสดงความแข็งกร้าว
ทุกอย่างจะต้องเกิดขึ้น ถ้ามันจะเกิดขึ้น มันจะเกิดขึ้นโดยเราไม่รู้ตัว แต่ว่าสัญญาณหลายอย่างมันส่อ มันชี้ให้เห็นว่าโอกาสที่จะเกิดสงครามเป็นจุดๆ แล้วแต่ละจุดก็จะเชื่อมเข้าหากันเป็นสงครามโลกครั้งที่ 3 ซึ่งผมไม่รู้ว่าจะมีการใช้อาวุธนิวเคลียร์กันหรือเปล่า มันจะกระทบทั้งการค้า การลงทุน ตลาดเงินตลาดทุน ราคาพลังงาน สินค้าโภคภัณฑ์ทั้งหลาย
ทั้งหมดนี้ท่านผู้ชมติดตามได้ผ่านรายการของ Sondhi App เรามีผู้เชี่ยวชาญ ไม่ว่าจะเป็น คุณโสภณ องค์การณ์ อาจารย์สุดาทิพย์ คุณอุษณีย์ เอกอุษณีย์ ตลอดจน คุณสโรชา พรอุดมศักดิ์ คุณนงวดี ถนิมมาลย์ ซึ่งเป็นกระบี่มือหนึ่งทางด้านข่าวต่างประเทศที่ไม่เหมือนใครเลย
อีกเรื่องหนึ่งก็คือว่า ท่านผู้ชมที่โหลด Sondhi App แต่พอมีรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" มีอยู่จำนวนหนึ่ง ผมพอเข้าใจได้ ก็ยังโหลด Sondhi App อยู่ แต่ขอเข้ามาดูในเฟซบุ๊ก เพราะว่าติดการคอมเมนต์ เพราะว่าตัวเองมีเพื่อนฝูงอยู่ ก็จะได้ทักทายคนโน้นคนนี้บ้าง สวัสดีค่ะ พี่ปานเลขา สวัสดีครับน้อง โน่นนี่นั่น อันนี้เข้าใจได้ แต่ในที่สุดแล้ว Sondhi App ก็มีข้อความที่จะให้เราแสดงความคิดเห็นได้ เป็นเพียงแต่ว่าปฏิสัมพันธ์มันไม่ดีเท่าเฟซบุ๊ก แต่ประเด็นหลักที่เราทำ Sondhi App ก็เพราะว่า จะได้มีเรื่องหลายเรื่องที่เราสามารถเอามาลงได้ โดยที่ไม่ต้องหวั่นเกรงว่าจะผิดนโยบายของเฟซบุ๊กหรือเปล่า ตรงนั้นต่างหาก และอีกเรื่องหนึ่งก็คือว่า เราไม่รู้ว่าวันข้างหน้า มีเรื่องมีราวอะไรเกิดขึ้นในโลกนี้ แล้วผมอาจจะเป็นเป้าอันหนึ่งที่เฟซบุ๊ก หรือ ยูทูบ ตัดสินใจว่าผมเป็นอันตรายต่อโลกตะวันตก อาจจะให้ผมยุติเรื่องในเฟซบุ๊ก เราก็ยังมี Sondhi App ซึ่งไม่สามารถจะแทรกแซงเข้ามาได้ ตรงนี้ต่างหากที่ผมอยากให้ท่านผู้ชมโหลด Sondhi App เอาไว้ นานๆ ดูทีก็ไม่เป็นไร มันแค่วันละ 3.30 บาท เดือนละ 99 บาท ถูกมาก ไม่แพงเลยแม้แต่นิดเดียว แค่ก้าวออกจากบ้าน หายใจ 2 เฮือก ก็หมดไปแล้วร้อยนึง
สำหรับท่านผู้ชมที่ดาวน์โหลด Sondhi App เราจะมีการแจ้งเตือนรายการใหม่ทุกครั้ง ที่สำคัญ เราไม่มีโฆษณาแทรกหรือกวนใจ ท่านผู้ชมดูเรื่องย้อนหลังได้อย่างต่อเนื่อง เดือนละ 99 บาท ถ้าท่านผู้ชมสมัครรายปี แค่ 990 บาท ได้ฟรี 2 เดือน ใครมีปัญหา ซึ่งมีอยู่ตลอดเวลา แต่จำนวนคนที่มีไม่มาก ในเรื่องการจ่ายเงินหรือการเข้าแอปฯ ให้แอดไลน์ (LINE) มาสอบถามได้ที่ #sondhitalk
ท่านผู้ชมครับ อาทิตย์นี้มีเรื่องราวหลายเรื่องที่ผมอยากจะเรียนให้ท่านผู้ชมทราบ และผมคิดว่าเป็นเรื่องราวที่จะมีการต่อเนื่องกันไปต่ออาทิตย์หน้า คือเรื่องของ ลาซาด้า (Lazada) กับคนแปลงเพศที่ชื่อ "นารา เครปกะเทย" หรือชื่อจริงคือ นายอนิวัติ ประทุมถิ่น มีเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับลาซาด้าเยอะมาก แต่ว่ายังไม่มีใครเอาชีวิตความเป็นอยู่และที่มาที่ไปของ นายนารา เครปกะเทย หรือ นายอนิวัติ ประทุมถิ่น มาตีแผ่ให้ทราบว่าเป็นใครมาจากไหน พ่อแม่ทำงานอะไร เรียนหนังสืออยู่ที่ไหน ครูโรงเรียนเก่าพูดถึง นายนารา ว่าอย่างไรบ้าง นายนารา เคยให้สัมภาษณ์ในรายการ "แฉ" ท่านผู้ชมหลายท่านอาจจะไม่เคยได้ยิน แต่เรามีข้อมูลหมด แล้วผมก็กำลังจะชี้ให้เห็นว่า นายนารา ในที่สุดแล้วชีวิตจะจบลงอย่างไร ผมให้แนวทางไปแล้วว่าชีวิตเขาต้องเจออะไรบ้าง เอาเป็นว่า ต้องลงนรกอย่างแน่นอน แต่ลงนรกแบบไหน เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟัง
เรื่องที่สอง ผมจะทบทวนความทรงจำ มีคนพูดถึงเรื่องรถไฟลอยฟ้าสายสีเขียวกันเยอะ แต่ผมจะทบทวนความทรงจำกับคำพูดที่ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง เป็นคนที่แก้ตัวแทนเอกชนว่า ค่าโดยสาร 65 บาท นั้นไม่แพง แล้วผมมีความคิดในเรื่องนี้อย่างไร
เรื่องที่สาม ท่านผู้ชมคงรู้จัก ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต ซึ่งท่านเพิ่งลาออกอย่างเด็ดขาดแล้วเมื่อประมาณวันจันทร์ที่ผ่านมา โดยส่งไม้ต่อให้กับลูกชายคนรอง เป็นอธิการบดีต่อไป ผมได้รับเชิญไปงานเลี้ยงฉลองครบรอบวันเกิด 7 รอบ 84 ปี ผมมีเรื่องเกี่ยวกับ ดร.อาทิตย์ มาเล่าให้ฟังหลายๆ เรื่อง ซึ่งหลายๆ ท่านอาจจะไม่เคยรับทราบมาก่อน เพราะเป็นเรื่องเก่า เรื่องที่เกิดขึ้น บางท่านอาจจะยังไม่เกิด หรือบางท่านอาจจะยังเป็นเด็กน้อยอยู่ หรือเป็นวัยรุ่นที่ไม่สนใจเรื่องนี้ ท่านล้างมือในอ่างทองคำ ท่านเป็นวีรบุรุษของการเมืองไทย
เรื่องที่สี่ เป็นเรื่องที่ฟังหัวข้อแล้วอย่าตกใจนะครับ ผมกำลังบอกว่า หาดใหญ่ตายแล้ว คือเมืองหาดใหญ่ ความล่มสลายของเมืองหลวงภาคใต้ ล่มสลายเพราะใครเป็นคนทำ อนาคตเป็นอย่างไร เป็นการขุดลงไปอย่างลึกที่สุดที่ไม่เคยมีใครขุดลงไป โดยทีมงานของศูนย์ข่าวภาคใต้ของผม ซึ่งทำงานเรื่องนี้มานานพอสมควร อาจจะค่อนข้างยืดยาวหน่อย แต่ท่านผู้ชมตั้งใจฟังดีๆ จะได้ความรู้อย่างมากมาย อย่างชนิดที่เรียกว่าคุ้มค่าที่อดทนฟังต่อไป ท่านผู้ชมจะได้รู้เสียทีว่า เมืองๆ หนึ่งที่เคยรุ่งเรืองอย่างมากมาย แล้วทำไมจู่ๆ ไม่กี่สิบปีก็ตายไปแล้ว แล้วโอกาสที่จะฟื้นจะมีหรือไม่ ผมเชื่อว่าคนหาดใหญ่ หรือคนใต้ที่อยู่ใกล้ๆ หาดใหญ่ คนสงขลา น่าจะฟังเรื่องนี้ อาจจะเป็นการจุดประกายเพื่อเดินหน้าต่อในการหาทางออกให้กับเมืองหาดใหญ่อย่างเป็นรูปธรรม และอย่างมีคุณธรรม และอย่างที่เป็นไปได้
เรื่องสุดท้าย ผมได้โยนประเด็นเรื่องกองทัพอากาศสิงคโปร์ได้มาเช่าฐานทัพอากาศของประเทศไทยที่หลายแห่ง ท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งทั่วโลก และโอกาสในการเกิดการปะทะกัน ถูกหรือเปล่าที่กองทัพอากาศไทยตัดสินใจให้สิงคโปร์เช่าพื้นที่ ท่านผู้ชมครับ สิงคโปร์ ประเทศเล็กมาก ผมมานั่งดูแผนที่แล้ว ยังเล็กกว่าเขตพระนครของบ้านเราอีก ประชากรก็ยังน้อยกว่าเขตพระนคร มีไม่ถึง 3 ล้านคน แต่ทำไมสิงคโปร์ถึงมีเครื่องบินสมัยใหม่อย่างเช่น F-35 ของอเมริกา เป็นฝูงๆ เอาไว้รบกับใคร หรือว่าสิงคโปร์ลึกๆ แล้วก็คือนอมินีของอเมริกานั่นเอง เรามาฟังกันดูว่าเป็นอย่างไร
โอกาสการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ก็มี ซึ่งผมจะเปิดประเด็นเล็กๆ เป็นน้ำจิ้มให้ท่านผู้ชมได้ฟัง จากการติดตามข่าวคราวมา แล้วท่านผู้ชมคอยฟังอาทิตย์หน้า ซึ่งอาทิตย์หน้าจะเป็นอาทิตย์ที่ให้องค์ความรู้อย่างเต็มตัวเลยว่า สงครามโลกครั้งที่ 3 มีโอกาสเกิดไหม ถ้าจะเกิด จะเกิดอย่างไร เล่าสถานการณ์ปัจจุบันของโลกให้ฟัง มีแผนที่ให้ เรียกว่าถ้าอาทิตย์หน้าท่านผู้ชมฟังเรื่องนี้แล้ว ท่านผู้ชมจะทะลุปรุโปร่ง ท่านผู้ชมแทบจะไม่ต้องไปดูข่าวที่ไหนเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่ว่าจะเป็นข่าวทีวีดิจิทัลของใครก็ตาม เพราะว่าข่าวส่วนใหญ่พวกนั้นจะเป็นข่าวที่ลอกและแปลมาจากสำนักข่าวตะวันตกทั้งสิ้น มีแต่ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" คือของจริง
ท่านผู้ชมครับ ขอประทานโทษที ผมลืมไป สินค้าต่างๆ ของ "สมุนไพรบ้านพระอาทิตย์" มาแล้ว ท่านผู้ชมอย่าลืมนะครับ ยาสีฟันที่มีการรีวิวออกมาหลายครั้งว่าเป็นยาสีฟันที่ดีที่สุด หาไม่ได้อีกแล้ว ยาฟ้าทะลายโจรระดับพรีเมียม ของอาจารย์ปานเทพ LUTEIN อาหารเสริมที่ทานเพื่อทำให้สายตากระจ่าง สว่าง มีคนสั่งมาตลอดเวลา QUERCETIN C PLUS ZINC อาหารเสริมสำหรับสร้างภูมิคุ้มกัน ซึ่งมีสารสกัดหอมแดง และมีวิตามินซีในตัว ขายดีมาก และสุดท้าย ของมาแล้ว "ยาลม ๓๐๐ จำพวก" ของมาแล้วตอนนี้ แต่จะอยู่ได้ไม่นาน รีบๆ สั่งเข้ามา
ถ้าพูดถึงเรื่อง ลาซาด้า กับผู้ชายที่แปลงเพศเป็นกะเทย ที่ชื่อ นารา เครปกะเทย ท่านผู้ชมคงรู้ดีแล้ว เรื่องราวใหญ่โตมโหฬารเลย อาจจะลามปามไปจนถึงขั้นแพลตฟอร์มลาซาด้า อาจจะถูกปิดก็ได้ เพราะว่าเรื่องราวที่ นารา เครปกะเทย ได้สร้างมา เป็นเรื่องราวที่ทุเรศสองเรื่อง แล้วก็บัดซบมาก เรื่องแรก คือการล้อเลียนคนพิการ เรื่องที่สอง ลักษณะเรื่องราวและการแสดงออก ก็คือการจาบจ้วงฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ องค์เล็ก อย่างตรงไปตรงมา ซึ่งประชาชนทนไม่ได้ที่คนที่ต่ำตมอย่างนี้ แล้วลาซาด้า ก็แสดงความรับผิดชอบน้อยจนเกินไป
ทุกคนพูดถึง ลาซาด้า ทุกคนพูดถึงการแบนสินค้า โน่นนี่นั่น แต่ยังไม่มีใครพูดถึง นารา เครปกะเทย ซึ่งชื่อจริงของคนๆ นี้คือ นายอนิวัติ ประทุมถิ่น ชื่อเล่นชื่อ เอิร์ธ อายุแค่ 23 ปีเอง ไอ้เด็กเวรนี่เกิดวันที่ 31 สิงหาคม 2542 เกิดที่ลพบุรี แต่ย้ายไปอยู่พระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นบ้านเกิดของแม่
นายอนิวัติ หรือ นารา เป็นลูกคนโต มีน้องชาย 1 คน มีน้องสาวต่างพ่ออีก 1 คน พ่อเป็นข้าราชการ แม่ค้าขาย นายคนนี้เรียนจบมัธยมต้นจากโรงเรียนยอแซฟอยุธยา แล้วเรียนต่อสายอาชีพที่วิทยาลัยเทคโนโลยีพาณิชยการอยุธยา เข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพ คณะนิเทศศาสตร์ สาขาการแสดง
ที่นายอนิวัติ ใช้ชื่อ นารา เธอบอกว่า เธอชื่นชอบดาราสาวคนหนึ่ง ชื่อ นารา เทพนุภา ก็เลยอยากเป็น นารา จึงเลือกใช้ชื่อนี้มาตลอด ผมเอารูปตั้งแต่สมัยที่ยังไม่ได้ไปโม่หน้าให้ดู รูปหนุ่มๆ เด็กๆ และรูปปัจจุบัน
ส่วนที่มีฉายาว่า นารา เครปกะเทย มาจากช่วงหนึ่งเธอเปิดร้านขายเครป ที่ถนนอู่ทอง ใกล้กับสะพานนเรศวร จ.พระนครศรีอยุธยา เธอทำคลิปแนะนำตัวในโซเชียล แสดงลีลาการขาย แซวลูกค้า จนเป็นที่บอกต่อ ถูกแชร์จากชาวเน็ต มีการต่อคิวซื้อเครปจำนวนมาก ทำให้นายอนิวัติ มีไอเดียทำคลิปตลกๆ โพสต์ลงโซเชียล จนกลายเป็นเน็ตไอดอลสายฮา ปกติธรรมดา พอเริ่มมีคนสนใจ ก็จะเริ่มมีงานรีวิวติดต่อมา ก็เลยทำรายได้ให้เธอ ปลดหนี้ มีบ้าน มีรถ ส่งตัวเองได้
ท่านผู้ชมครับ 2562 สามปีที่แล้ว นายอนิวัติ เกิดเรื่องอื้อฉาว เมื่อเธอร่วมกับ หมวยโซฮอต เน็ตไอดอลสาวประเภทสอง กลั่นแกล้ง หนูรัตน์ หรือ น.ส.ธิดาพร ชาวคูเวียง ซึ่งเป็นผู้พิการบกพร่องทางการได้ยิน ระหว่างเฟซบุ๊กไลฟ์ ทั้งการแสดงออก แต่งหน้า จ้บหน้า จับศีรษะอย่างรุนแรง พยายามให้หนูรัตน์ โชว์สองแง่สองง่าม ล้อเลียนการพูดไม่ชัด จนกระทั่ง นารา โพสต์คอมเมนต์แกล้ง หนูรัตน์ ใส่ความว่านัดผู้ชายคนหนึ่งมา ไม่ยอมจ่ายค่าตัว แย่งแฟนเก่านารา ชื่อ สมปอง ก่อนที่ หนูรัตน์ สุดทน ยืนยันไม่ได้เป็นอะไรกัน และระเบิดอารมณ์ ปล่อยโฮ ร้องไห้ออกมา
หนักกว่านั้น นายอนิวัติ ให้หนูรัตน์ ดมแท่งโมที่ใช้ในการผ่าตัดแปลงเพศ ทำเอาชาวเน็ตออกมาติดแฮชแท็กว่า #Saveหนูรัตน์ วิจารณ์ว่า อีกะเทยคนนี้บูลลี่หนูรัตน์ ใช้ความรุนแรง ลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ของผู้อื่น นายอนิวัติ ก็ออกมาโพสต์ขอโทษ หนูรัตน์ และสัญญาว่าต่อไปนี้จะไม่เล่นอะไรแบบนี้อีก
นายอนิวัติ มีแนวคิดต่อต้านรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยปี 2564 ได้ทำคลิปถามแม่ค้าในตลาดนัดแห่งหนึ่งว่า รักประยุทธ์ไหม ? ถ้าตอบว่ารัก จะเดินหนี แต่ถ้าตอบว่าไม่รัก จะเหมาสินค้าทั้งร้าน แต่ต่อมาภายหลัง นายอนิวัติ ต้องลบคลิปและโพสต์ข้อความว่า "ขอโทษที่ต้องลบคลิปเหมาของในตลาด เพราะมันกำลังจะเกิดเรื่อง ช่วยนารา ด้วย" ก็แน่นนอน คงจะมีของแข็ง หรือคนที่มีกล้าม เข้าไปบีบคอและเตรยีมตัวจะสั่งสอน ก็เลยต้องลบคลิปออกไป
ต่อมา ตำรวจศูนย์ป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สืบสวนพบว่า อนิวัติ กะเทยแปลงเพศคนนี้ มีการโฆษณาชักชวนให้คนดูเล่นการพนันออนไลน์ ในคลิปที่ชื่อว่า "นารา ซื้อทองหลักแสนให้แม่" ระหว่างวันที่ 25 พฤษภาคม ถึง 14 มิถุนายน เธอระบุว่า "นารา ก็เล่นเว็บนี้เลยค่ะ เว็บนี้นะคะ เป็นเว็บเกมที่เล่นง่าย" มันก็คือเว็บพนันนั่นเอง จนกระทั่งตำรวจออกหมายเรียก นายอนิวัติ เธอก็รับสารภาพว่า เธอรับรีวิวเพราะไม่มีงาน ต้องการเงิน จึงรับรีวิว อ้างว่าเงินที่ได้ส่วนหนึ่งจะได้เอาไปช่วยเหลือคนอื่นด้วย แม้จะต้องรับรีวิวเว็บพนันให้ครบตามสัญญา แต่จะไม่ทำอีก และไม่คืนเงินรับรีวิว เพราะตอนนี้โดนจับ ไม่เห็นเว็บพนันมาช่วย
18 สิงหาคม พ.ศ. 2564 ปีที่แล้ว คดีนี้ศาลแขวงพระนครเหนือ พิพากษาจำคุกเธอ 1 ปี ปรับ 5 พันบาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษ 2 ปี เพราะว่าเธอสารภาพ
นอกจากนี้ นายอนิวัติ ยังถูกบริษัท เอินเวย์ กรุ๊ป แจ้งความดำเนินคดี เพราะลักลอบจำหน่ายสมุนไพร เหลียนฮัว ชิงเวิน แคปซูล ผิดกฎหมาย หลังนายอนิวัติ เฟซบุ๊กไลฟ์ขายยาดังกล่าว อ้างว่ายาดังกล่าวต่อต้านโควิด บรรเทาอาการโควิด กล่องละ 350 บาท พอบริษัทฯ ซึ่งเป็นผู้นำเข้าอย่างถูกต้องตามกฎหมายสั่งซื้อยามาตรวจสอบ พบว่าเป็นยาปลอม ไม่มี อย. รับรอง
ท่านผู้ชมครับ จากประวัติและพฤติกรรมดังกล่าว ทำให้มีคนบุกไปยื่นร้องเรียนที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ให้ตรวจสอบว่า นายอนิวัติ หรือชื่อ นารา เครปกะเทย มีพฤติกรรมฟอกเงิน เลี่ยงภาษีหรือไม่ การร้องเรียนบอกว่า พบว่าร่ำรวยผิดปกติ ที่เดิมทีเป็นคนไม่ค่อยมีฐานะเท่าใด แต่ตอนนี้ดูร่ำรวยมาก ซึ่งตำรวจก็รับเรื่องไว้แล้ว
ซึ่งคนแจ้งความคือ คุณอานนท์ กลิ่นแก้ว บอกว่า นารา เครปกะเทย มีฐานะยากจน แต่ตอนนี้กลับมีฐานะร่ำรวยและมีกิจการต่างๆ มากมาย ซึ่งน่าจะเป็นการฟอกเงินและหลีกเลี่ยงภาษีหรือเปล่า อยากให้มีการตรวจสอบให้แน่ชัดว่าเป็นการทำธุรกิจที่สุจริตหรือไม่
มิหนำซ้ำยังบอกว่าสินค้าที่มาจากธุรกิจผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง ขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบคุณภาพสินค้าว่าผ่านมาตรฐาน อย. หรือเปล่า ตรวจสอบโฆษณาทุกผลิตภัณฑ์ที่ได้เผยแพร่ในโซเชียลมีเดียอยู่ในขณะนี้ว่าเป็นการโฆษณาเกินจริงหรือไม่ หากพบว่ามีการกระทำผิดจริง ขอให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการให้ถึงที่สุด นอกจากปัญหาการทำผิดกฎหมายโฆษณาเว็บพนันแล้ว อาจเข้าข่ายฟอกเงิน รีวิวสินค้าไร้คุณภาพ
4 เมษายน 2565 เดือนที่แล้ว นายอนิวัติ โพสต์ภาพใส่เสื้อยืดสกรีนตัวการ์ตูน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ระหว่างเข้ารับการตรวจเลือกทหารที่ อ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา พร้อมแคปชัน "มาทำตามหน้าที่ เผื่อจะได้เป็นนายก" ต่อมาก็เลยโพสต์ใหม่ เปลี่ยนเสื้อ คืออ้างว่า ถ้าไม่เปลี่ยนเสื้อจะไม่ได้ถูกเรียกชื่อให้เข้ารับการเกณฑ์ทหาร ซึ่งต่อมา พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก ชี้แจงว่า ได้ตรวจสอบแล้วไม่เป็นความจริง ไม่มีใครสั่งเปลี่ยนเสื้อผ้าตามที่กล่าวอ้าง และสามารถเข้ารับการตรวจเลือกเป็นปกติ
ดูรูปนะครับ หน้าตาสวยเชียว ฝีมือหมอผ่าตัดศัลยกรรมเกาหลี ผมจะเอารูปเก่าของ นายอนิวัติ ให้ดู
ที่ผมเล่าไปข้างต้นคือประวัติการสร้างชื่อในวงการโซเชียลของ นายอนิวัติ ประทุมถิ่น หรือ นารา เครปกะเทย บุคคลทั่วไปรับรู้ เจ้าตัวใช้ทำมาหากินก่อนที่จะมาฉาวโฉ่สุดๆ ในกรณีโฆษณา ลาซาด้า ที่เข้าข่ายผิดกฎหมายและจริยธรรม
หลังจากเกิดเรื่อง ผมส่งทีมงานไปลงพื้นที่ที่บ้านเกิดและโรงเรียน เพื่อค้นประวัติ นายอนิวัติ
นายอนิวัติ ชื่อเล่นชื่อ เอิร์ธ ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น ผิงผิง แล้วเปลี่ยนมาเป็นชื่อ น้ำ และในที่สุดก็ชื่อ นารา
ก่อนมาขายเครป เธอทำหลายอาชีพมาก ไม่ว่าจะเป็นขายปลาหมึกย่าง ทำงานโลตัส ขับวินมอเตอร์ไซค์ เสิร์ฟเหล้า แดนเซอร์ แล้วจบที่เธอขายบริการ เรต 500-800 บาท
เธอเคยให้สัมภาษณ์ครับ นี่คือคำพูดของเธอเองนะ เรียนไปด้วยแต่ได้เงินน้อย เลยไปขายตัว ตอนนั้นอายุ 18 วันแรกคนแก่อายุ 60 มาซื้อ หนูขาย 800 แต่ลูกค้าให้มาร้อยเดียว บอกเดี๋ยวออกไปกดเงิน รออยู่โรงแรมเท่าไหร่ก็ไม่มา ขายตูดเจ็บมาก ก็เลยไม่เอาแล้ว ขายไป 6 รอบ 7-8 วัน เหนื่อยมาก ได้สูงสุด 800 บาท ต้องหาเงินส่งแชร์ นี่คือคำพูดของ นายอนิวัติ
นายอนิวัติ ยอมรับเองว่า ก่อนจะมาเป็น นารา เป็นคนบ้าผู้ชาย อยากมีเงินไปเปย์ผู้ชาย ก็เลยหลอกแม่ตัวเองไปทำศัลยกรรม เอาเงินแม่มา 5 หมื่นบาท แต่เก็บไว้ ค่าศัลยกรรมแค่หมื่นเดียว อีก 4 หมื่น เก็บเอาไว้เอง เสร็จเรียบร้อยแล้ว หมอทำไม่เสร็จ ไม่มีเงินจ่ายค่าศัลยกรรม
นายอนิวัติ ขาดการติดต่อกับแม่ไปเลย จนแม่ต้องเอากำไลข้อมือทองไปขาย เพราะครอบครัวติดหนี้ แล้วตัวเองจะเอาเงินไปเปย์ผู้ชาย เล่นแชร์ไม่มีเงินจ่าย จนโดนประจาน ต้องขายเครปเอาเงินมาจ่ายค่าแชร์ แต่ยังเอามาพูดเป็นเรื่องขำขัน เคยมีจักรยานยนต์ ก็ทำหาย อีกสองวันก็เลยไปยืมแม่มาใช้ ก็หายอีก
นายอนิวัติ เคยให้สัมภาษณ์ในรายการ "แฉ" ว่า สำหรับตัวเองเรื่องเรียนต้องมาเป็นที่หนึ่ง แต่เมื่อทีมข่าวเราลงพื้นที่ไปที่วิทยาลัยเทคโนโลยีพาณิชยการอยุธยา ข้อมูลที่ได้จากอาจารย์ บอกว่า นายอนิวัติ เคยเข้ามาเรียนในระดับชั้น ปวช. เป็นศิษย์เก่าที่นี่ แต่พฤติกรรมเป็นคนติดเพื่อน ตอนเรียนแทบจะไม่มาโรงเรียน ดูแลปกครองยาก โรงเรียนมีกฎระเบียบ ก็ไม่ทำตาม ครูอาจารย์เหนื่อยหน่าย จนเรียนไม่จบชั้น ปวช.
อาจารย์ที่วิทยาลัยเทคโนโลยีพาณิชยการอยุธยา ยังฝากทีมงานผมมาด้วยว่า สิ่งที่นายอนิวัติ ทำนั้นไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง จะไปล้อเลียนดารา นักร้อง ยังถือว่าเป็นสิ่งที่สร้างสรรค์กว่า แต่มาแสดงออกกับสถาบันอันเป็นที่เคารพเทิดทูนแบบนี้ใช้ไม่ได้
มาพูดถึงเรื่องการศัลยกรรมเปลี่ยนหน้าตัวเอง ผมจะเอารูปเก่า ตัวดำปึ้ด หน้าอย่างกับอะไรก็ไม่รู้ ผมไม่อยากจะพูด นายอนิวัติ ได้รับการติดต่อจากเจ้าแม่เอเยนซีศัลยกรรมตัวท้อปของเกาหลี คือ มาดามเอ๋ เจ้าของเพจ "Aey Surgery ศัลยกรรมเกาหลีwww.aeysurgery.com" ที่พาดาราเมืองไทยเหินฟ้า บินไปโมดิฟายมาแล้วมากมาย ใจดีแนะนำโรงพยาบาลดังในเกาหลีให้ นายอนิวัติ ไปขึ้นเขียงผ่าหน้าใหม่ เพราะสมัยก่อนนั้นเธอเสียศูนย์กับการศัลยกรรมหมอกระเป๋าเมืองไทยมานานแล้ว นับครั้งไม่ถ้วน
ท่านผู้ชมครับ กรณีที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ ทีมงานเราได้คุยกับ หนูรัตน์ ชาวคูเวียง ซึ่งเป็นผู้พิการบกพร่องทางการได้ยิน อธิบายว่า เธอได้รับงานถ่ายเซรั่มของ นารา ซึ่งคิดว่าเป็นงานโปรโมตสินค้าทั่วๆ ไป แต่มาถึงสตูดิโอ คอสตูมให้เธอเปลี่ยนชุด และถ่ายคลิปโฆษณาเซรั่มเสร็จหนึ่งคลิป จากนั้นจะมีการถ่ายอีกคลิป เป็นละครสั้นเรื่อง "หนูเล็กบ้านทรายทอง" โดยไม่ได้บอกว่าทำของใคร แล้ว หนูรัตน์ ก็เปลี่ยนชุดตามภาพที่ปรากฏในแคมเปญ ลาซาด้า เธอยืนยันว่าเธอไม่รู้มาก่อนว่ามีการแต่งกายแบบนี้ เป็นการหมิ่นเบื้องสูง โดยในการทำงานครั้งนี้ หนูรัตน์ ได้เงินค่าจ้าง 5,000 บาท บวกค่าน้ำมันอีก 2,000 บาท เธอยืนยันว่าเธอไม่รู้จริงๆ พี่ชายเป็นคนติดต่องาน
ท่านผู้ชมครับ นี่คือ นายอนิวัติ ประทุมถิ่น ชีวิตเธอต่ำตมมากตั้งแต่ต้น แล้ววิธีทำงานของเธอก็ไม่ได้โปร่งใส หรือซื่อสัตย์สุจริต สังเกตได้ว่าเอายาปลอมมาขาย ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าคนอย่างเธอ สินค้าต่างๆ หลายอย่างที่เธอเอามาขาย ได้รับการผ่านจาก อย. หรือเปล่า มีคุณภาพตามที่อ้างอิงหรือไม่
สรุปง่ายๆ ก็คือว่า สังคมไทยและประเทศไทยโชคร้ายที่มีคนอย่าง นายอนิวัติ หรือ นารา เครปกะเทย ผมจะบอกคุณนารา คุณจะต้องลงนรกแน่นอน ที่ผมรู้มาเขาเล่นงานคุณเรื่องภาษีแน่นอน เรื่องการฟอกเงิน แล้วโอกาสที่เขาจะยึดทรัพย์ที่คุณบอกว่าคุณเอาเงินจากการทำงานไปไถ่บ้าน ล้างหนี้ให้หมด คุณต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าเงินที่คุณเอามา เอามาจากไหน นอกจากนั้นแล้ว คุณก็ยังต้องโดน มาตรา 112 อีก ผมไม่รู้ แต่ผมรู้อย่างเดียวว่า นรกรอคุณอยู่แล้ว แล้วคุณนารา คุณจะไม่ได้ความเห็นใจจากประชาชนคนไทย นอกจากความเห็นใจจากบรรดาพวกสามนิ้วที่มีเจตนาที่จะล้มล้างสถาบันกษัตริย์อยู่แล้ว คุณทำตัวคุณเอง หน้าคุณ สมัยก่อนคุณไปโม่หน้าคุณมา หน้าคุณมันช่างน่าขยะแขยงเหลือเกิน แต่ผมไม่ได้ติดใจที่ว่าคุณหน้าตาไม่สวยหรือดำ แต่จิตใจคุณสกปรก จนวันนี้คุณยังไม่ยอมรับ คุณบอกว่ามันเป็นแค่ละคร แต่มันไม่ใช่ คุณถูกออกแบบและถูกว่าจ้างโดยเอเยนซีที่รับงาน ลาซาด้า
เอเยนซีนี้ชื่อ อินเตอร์เซคท์ ดีไซน์ แฟคทอรี่ พยายามออกมาชี้แจง กระโดดตัวยาว วิ่งหนี บอกว่าเสียใจ โน่นนี่นั่น นิทานเก่าๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยืนยันไม่ได้มีความตั้งใจหรือเจตนาอื่น ถึงแม้ว่าคุณไม่มีเจตนา แต่อีกด้านหนึ่ง ผมจะบอกให้รู้ว่าเอเยนซีนี้มันมีกรรมการบริษัท 3 คน ชื่อ น.ส.อริสรา อมรรัถยา นายเรืองโรจน์ ศรีงาม น.ส.ฐิตานันท์ เหล่าวีระพัชร รายได้ก็ดูดี รายได้รวมของปี 62 มีรายได้ตั้ง 80 ล้านบาท กำไรสุทธิ 12 ล้านบาท
ปรากฏว่าพอเช็กไปเช็กมา เอเยนซีบ้านี่มีส่วนเกี่ยวข้องกับม็อบราษฎร ในวันที่ 18 กรกฎาคม 2564 เอเยนซีนี้ สรุปง่ายๆ ว่าเป็นเอเยนซีที่ยืนข้างม็อบราษฎร หรือม็อบสามนิ้ว
ท่านผู้ชมจำให้ดีๆ นะครับเอเยนซีนี้ และจำชื่อคนที่ผมอ่านให้ฟังเมื่อกี้นี้ มีใครบ้าง อริสยา อมรรัถยา เรืองโรจน์ ศรีงาม ฐิตานันท์ เหล่าวีระพัชร ดูพฤติกรรมแล้วผมไม่เชื่อว่าเอเยนซีนี้จะขอโทษด้วยความจริงใจ ไม่ใช่ ถูกจับคาหนังคาเขา ก็เลยต้องบอกว่าขอโทษ ไม่ได้มีเจตนา พวกคุณไม่เคยมีเจตนาอะไรทั้งสิ้น ถ้าเรื่อง here here เกิดขึ้นมาแบบนี้ ก็ทันทีเลย โดนจับโป๊ะได้ก็บอกว่าไม่มีเจตนา
ท่านผู้ชมครับ ท่านเจ้าหน้าที่ครับ เอเยนซีนี้ต้องโดนกรณีมาตรา 112 เช่นกัน นอกจาก นายอนิวัติ กะเทยแปลงเพศ ที่ทำทุกอย่างในชีวิตเพราะเห็นแก่เงิน ต้องไม่ปล่อยพวกนี้ให้ลอยนวล ข้อกฎหมายอะไรก็ตาม เดินหน้าใส่ให้เต็มที่เลย พวกม็อบสามนิ้ว หรือพวกสมาชิกพรรคก้าวไกล เวลาประชาชนคนอื่นเขาโดนบูลลี่ ไม่เห็นพวกคุณออกมาต่อต้าน ต่อสู้แทนเลย แต่พอพวกคุณโดนบูลลี่ คุณบอกว่า อนิวัติ โดนบูลลี่ กลับออกมาปกป้องกันฉิบหายวายป่วงหมดเลย
ท่านผู้ชมครับ นี่คือเรื่องของ นารา เครปกะเทย หรือ นายอนิวัติ ซึ่งผมเชื่อว่าท่านผู้ชมก็คงไม่รู้ข้อมูลหลายข้อมูลที่ผมเอามาเล่าให้ฟัง รวมทั้งเอเยนซีทั้งหลายที่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย อินเตอร์เซคท์ ผมเอ่ยชื่อไปแล้วนะครับ ผมเอ่ยชื่อเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว อย่าลืมจดและจำเอาไว้ให้ดี
ท่านผู้ชมครับ ผมเคยสัญญากับท่านผู้ชมว่าจะหยิบเรื่องปมปัญหาเรื่องรถไฟฟ้าสีเขียว ซึ่งเป็นประเด็นหนึ่ง หัวข้อหนึ่งในการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ซึ่งจะมีการเลือกตั้งในวันที่ 22 พฤษภาคม 2565 นี่ก็ใกล้เข้ามาแล้ว
รถไฟฟ้าสายสีเขียว เป็นปมปัญหาใหญ่ที่ผู้ว่าฯ กทม. คนใหม่ ไม่ว่าใคร ต้องเข้ามาสะสางภาระหนี้ก้อนโตกว่า 1 แสนล้านบาท หนี้ก้อนนี้มาจากไหน ? หนี้ก้อนนี้คือรับโอนค่างานโยธามาจาก การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ประมาณ 6 หมื่นล้าน ขณะเดียวกัน กทม. ยังค้างหนี้บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ หรือ BTS จากการรับจ้างเดินรถ และค่าติดตั้งระบบรถไฟฟ้าสายสีเขียว รวมกว่า 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นเรื่องพิพาทกันจนต้องมีเรื่องฟ้องร้องกันอยู่ในศาลปกครอง
ทางออก เดิมที พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง อดีตผู้ว่าฯ กทม. ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. มีนโยบายจะขยายสัมปทานสายสีเขียวให้กับเอกชน โดยยกร่างสัญญาร่วมลงทุนในโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ให้กับบริษัท BTSC ในฐานะผู้รับสัมปทาน BTS ส่วนกลาง ออกไปทั้งระบบเลย ต่อสัมปทานให้อีก 30 ปี จากเดิมจะสิ้นสุดสัมปทานในปี 2572 ขยายไปถึง 2602 แล้วยังกำหนดเพดานค่าโดยสารว่า 65 บาท คิดตามจำนวนสถานี
ท่านผู้ชมครับ เรื่องนี้ยังยืดเยื้อมามาก เนื่องจากกระทรวงคมนาคม และภาคสังคม ไม่เห็นด้วย โดยเฉพาะค่าโดยสารที่ยังมองว่าสูงเกินไป ที่อัตรา 65 บาทตลอดสาย อาจจะเป็นภาระประชาชนผู้ใช้บริการในระยะยาว ซึ่งถ้าใครยังจำได้ ผมเคยเกริ่นให้ฟังแล้ว ในรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ตอนที่ 124
กระทรวงคมนาคม ภายใต้การดูแลของพรรคภูมิใจไทย หัวหน้าพรรคคือ คุณอนุทิน ชาญวีรกูล คุณศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นเลขาธิการพรรค พรรคภูมิใจไทย ได้แสดงความเห็นคัดค้านต่อการขยายสัญญาสัมปทานมาตลอดใน 4 ประเด็นหลัก หนึ่ง ประเด็นความครบถ้วนตามหลักการของพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 ก็คือพูดง่ายๆ ว่า ต่อสัมปทานไม่ได้ ถ้าอยากจะได้ตรงนี้ต้องเข้ามาประมูลกันใหม่ ตามหลักการของพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน ข้อที่สอง ก็เป็นเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง คือประเด็นค่าโดยสารที่เหมาะสมและเป็นธรรมแก่ผู้ใช้บริการ เพื่อส่งเสริมผู้มีรายได้น้อยมาใช้บริการ รวมทั้งรถไฟฟ้าสายสีเขียวที่สามารถจะกำหนดอัตราค่าสูงสุด สามารถจะกำหนดได้ต่ำกว่า 65 บาท
ประเด็นที่สาม คือประเด็นการใช้สินทรัพย์ของรัฐที่ได้รับโอนจากเอกชนให้เกิดประโยชน์สูงสุด พรรคภูมิใจไทย โดยผ่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เห็นว่าควรพิจารณาให้เกิดความถ่องแท้ถึงการใช้สินทรัพย์ว่า รัฐควรได้ประโยชน์จากการขยายสัญญาสัมปทานเป็นจำนวนเท่าไร อย่างไร จนกว่าจะครบอายุสัญญา และข้อสุดท้าย คือประเด็นข้อพิพาททางกฎหมาย ซึ่งเกิดขึ้นจากกรณี กทม. ในยุค พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ได้ทำสัญญาจ้าง BTSC เดินรถส่วนต่อขยายที่ 1 และส่วนต่อขยายที่ 2 ไปจนถึงปี 2585 แล้วได้มีการไต่สวนข้อเท็จจริงของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พรรคภูมิใจไทย เห็นว่าควรจะรอผลการไต่สวนข้อเท็จจริงก่อน เพื่อให้เกิดความชัดเจน กระทรวงคมนาคม ขอให้ กทม. ซึ่งในยุคนั้นก็คือ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง เป็นผู้ว่าฯ ชี้แจงทั้งสี่ประเด็นนี้ให้ชัดเจนก่อน จนถึงวันนี้ สี่ข้อนี้ก็ยังไม่ได้รับคำตอบเลยสักข้อ จากกระทรวงมหาดไทย และผู้ว่าฯ กทม.
ผู้ว่าฯ กทม. คนล่าสุด คุณอัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าฯ กทม. ซึ่งได้รับแต่งตั้งตามมาตรา 44 ก็คือว่าลงมาจากเฮลิคอปเตอร์ แล้วส่งลงมาเลย มาเป็นผู้ว่าฯ กทม. ใช้อำนาจเผด็จการตั้ง ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2559 เพิ่งจะลาออกเพื่อมาสมัครผู้ว่าฯ กทม. อีกรอบหนึ่ง ภายใต้หัวข้อว่า "จะไปต่อ"
ท่านผู้ชมครับ ผมไม่ได้มีอะไรกับคุณอัศวิน ขวัญเมือง แต่ผมคิดว่าถ้าเราเอาความจริงมาพูดกัน เราจะเห็นว่า พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง เป็นคนที่ ... ท่านผู้ชมต้องเข้าใจตรงนี้ก่อน คนลงทุน คือ BTS ไม่ผิด เพราะนักลงทุนก็ต้องการผลประโยชน์ กำไรสูงสุด เพราะฉะนั้นเขาก็ต้องคิดว่าราคาต้องเท่านี้ๆ เขาอาจจะอ้างว่าเป็นราคาที่เขาอยู่ได้ แต่จริงๆ นั่นคือราคาที่เขามีกำไร ที่สำคัญที่สุดคือว่า ผู้ว่าฯ กทม. จะเป็นใครก็ตาม ไม่จำเป็นต้องเป็น พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง มีความจำเป็นต้องมาวิเคราะห์ ดูให้ลึกซึ้งไปว่า 65 บาท แพงไปหรือเปล่า มีทางไหนมั้ยที่จะลดลงกว่า 65 บาท แต่ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง อธิบายค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียว ในราคาไม่เกิน 65 คืออธิบาย เอาเหตุผลมาตั้ง ประมาณเสร็จเรียบร้อย คือพูดง่ายๆ ว่า คุณอัศวิน สรุปแล้วว่าค่าโดยสาร 65 บาท สมควรแล้ว เพราะฉะนั้นแล้ว พิสูจน์ได้ชัดว่า พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง เป็นคนยืนข้างราคา 65 บาท โดยไม่ได้หาทางต่อรอง หรือลดราคาลงไป คือพูดง่ายๆ ว่า ฝ่ายเอกชนเสนอมาเท่าไร คุณอัศวิน ก็ตกลงตามนั้น ก็เป็นข้อเท็จจริงที่ปฏิเสธไม่ได้
ครั้งที่สาม วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2564 ปีที่แล้ว ปีกว่าๆ คุณอัศวิน โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก "ผู้ว่าฯ อัศวิน" พยายามบอกว่า "ค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียว เพดานสูงสุด 65 บาท เดินทางระยะไกล ตลอดสาย ราคาสูงสุดเพียง 65 บาท เดินทางระยะสั้น คิดตามจำนวนสถานี" แถมคุณอัศวิน ยังอ้างโน่นอ้างนี่ เปรียบเทียบความคุ้มค่าในการเดินทางด้วยวิธีการต่างๆ อ้างว่าถ้าเดินทางจากคูคต ปทุมธานี ไปเคหะฯ สมุทรปราการ รถไฟฟ้าสายสีเขียว ใช้เวลา 2 ชั่วโมง 65 บาท แต่ถ้ารถเมล์ ใช้เวลา 3 ชั่วโมงครึ่ง 70 บาท แท็กซี่ 2 ชั่วโมง 421 บาท
ท่านผู้ชมครับ ประเด็นปัญหาเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ที่การใช้เวลาน้อยกว่า หรือถูกกว่า แล้วจะมาบอกว่าคนน่าจะพอใจ คุ้มที่สุด ไม่มีถูกกว่านี้แล้ว คือคุณอัศวิน ออกมาปกป้องราคา 65 บาท อย่างหน้าดำคร่ำเครียด
คุณอัศวิน ครับ คนที่เขาไม่มีเงิน เขาไม่สนใจเรื่องเวลาจะเดินทางได้เร็วกว่าหรือช้ากว่า เขาต้องการใช้จ่ายให้น้อยที่สุด ที่สำคัญคือคุณอัศวิน ไม่ได้บอกเลยว่าจริงๆ แล้วราคาค่าตั๋วมันถูกกว่า 65 บาท ได้ ทำได้ใช่ไหม แต่คุณไม่ยอมพูด
คุณเป็นผู้ว่าฯ กทม. ในยุคนั้น ต้องหาทางลดค่าใช้จ่ายที่จำเป็นให้ประชาชนสิ เพราะคุณกำลังดูแลประชาชนใน กทม. อยู่ เพราะฉะนั้นการที่คุณยืนยัน นั่งยัน นอนยัน ว่า 65 บาทตลอดสาย ไม่แพง คำพูดนี้ไม่ควรจะหลุดจากปากคุณเลยแม้แต่นิดเดียว ในฐานะคุณเป็นผู้บริหาร กทม.
มิหนำซ้ำวันนั้นไปออกรายการทีวี กับผู้สมัครผู้ว่าฯ หลายคน ปรากฏว่าทุกคนก็รุมถล่มในเรื่อง 65 บาท คุณอัศวิน ก็ลุกขึ้นมา ค่อนข้างจะฉุนเฉียว บอกว่า ถ้าผมเป็นผู้ว่าฯ กทม. ผมจะให้นั่งฟรีไปเลย 1 ปี อ้าว แล้ว 65 บาท ไปไหน คุณจะนั่งฟรีไป 1 ปี ได้อย่างไร ในเมื่อในที่สุดคุณก็ต้องจ่ายคืนให้กับบริษัทเจ้าของสัมปทาน ใช่ไหม
แล้วข้อเท็จจริงอย่างหนึ่ง ทีมงานคุณรสนา โตสิตระกูล ซึ่งผมบอกว่า เราลืมเธอไปได้อย่างไร กับอาจารย์ปานเทพ ได้ทำข้อมูลเรื่องนี้ไว้แล้ว บอกว่าค่าโดยสารสายสีเขียว รวมส่วนต่อขยายถึงคูคต สามารถคุมได้ในราคา 20-25 บาท หรืออย่างมากไม่เกิน 30 บาท ได้สบายๆ ตัวเลขนี้เอามาจากไหน ? ตัวเลขนี้เอามาจากรายงานประจำปีของบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ เขารายงานว่า ปี 2562-2563 จำนวนเที่ยวโดยสารทั้งสิ้นมีทั้งหมด 241 ล้านเที่ยว BTS มีรายจ่ายเกี่ยวข้องกับการบริการ 3,777 ล้านบาท หรือพูดอีกนัยหนึ่งว่า ต้นทุนเฉลี่ยต่อเที่ยวโดยสาร แค่ 15 บาท 70 สตางค์ต่อเที่ยว เท่านั้น สะท้อนให้เห็นว่า แม้จะผ่านเวลาไปนานแล้วถึง 21 ปี ต้นทุนค่าเดินรถนั้นถูกมาก คือเพียง 15 บาท 70 สตางค์ต่อเที่ยว เพราะฉะนั้นความคิดที่จะต่อสัมปทานไป 30 ปี โดยคิดค่าโดยสารสูงสุด 65 บาทตลอดสาย นั้น ไม่น่าจะสมเหตุสมผลครับ
ด้วยเหตุนี้ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม จากพรรคภูมิใจไทย ได้เคยทำหนังสือคัดค้านด่วนที่สุด ต่อเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เอาไว้ตั้งแต่วันที่ 16 พฤศจิกายน 2563 ปีกว่าที่แล้ว ว่า การขยายเวลาสัญญาสัมปทานไปอีก 30 ปี คิดอัตราค่าโดยสารไม่เกิน 65 บาทตลอดสาย นั้น เป็นการคิดค่าโดยสารที่สูงกว่ารถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ทั้งๆ ที่รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินนั้นมีผู้โดยสารน้อยกว่า ท่านผู้ชมครับ พรรคภูมิใจไทย ไม่ได้มี ส.ส. อยู่ในกรุงเทพฯ แต่เอาข้อเท็จจริงมาปกป้องผลประโยชน์ ปกป้องประชาชนชาวกรุงเทพมหานคร เพื่อให้ได้โดยสารในราคาที่ถูกกว่า
ท่านผู้ชมครับ ท่านผู้ชมจำเอาไว้อย่างหนึ่งนะ BTS ไม่ผิด เพราะ BTS คือเอกชนที่รับงานมา ได้สัมปทานมา จุดประสงค์ของบริษัทเอกชนก็คือ ต้องการค่าโดยสารที่สูงที่สุดที่ตัวเองอยู่ได้สบาย แต่ BTS ได้ระบุมาชัดเจนแล้วในรายงานประจำปี ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Annual Report ว่าต้นทุนของ BTS คือ 15 บาท 70 สตางค์ต่อเที่ยว
เมื่อ 15 บาท 70 สตางค์ ถ้าคุณอัศวิน เบิกเนตรแล้วเปิดกะโหลกมาดูรายงานประจำปีของ BTS แล้ว คุณอัศวิน จะเห็นได้ว่า ถ้าต้นทุนมันแค่ 15 บาท 70 สตางค์ 65 บาท มันแพงเกินไปหรือเปล่า ถ้าคุณอัศวิน มีจิตใจคิดถึงประชาชนชาว กทม. แต่คุณอัศวิน กลับไม่ทำเช่นนั้น กลับออกมาพูดสนับสนุนว่าราคา 65 บาท เป็นราคาที่เหมาะสมแล้ว และนี่คือคำพูดของคุณอัศวิน เอง
ท่านผู้ชมครับ นี่คือข้อเท็จจริงที่เราต้องรู้ เราถูกปกปิดมาตลอด สมัยแรก พล.ต.จำลอง ศรีเมือง เจรจากับ BTS ตอนที่ BTS เริ่มแรกๆ ว่า ให้คิด 15 บาทตลอดสาย ได้ไหม BTS ยอม ทำได้ แต่พอพ้นผู้ว่าฯ จำลอง ไปแล้ว ตั้งแต่พิจิตต รัตตกุล ผู้ว่าฯ ไล่มาเรื่อย จนกระทั่งถึง สุขุมพันธุ์ บริพัตร มาจนถึง อัศวิน ขวัญเมือง ราคาค่าโดยสารก้าวกระโดดขึ้นเป็นขั้นบันไดตลอดเวลา ท่านผู้ชมครับ บางสายอาจจะขาดทุน แต่บางสายจะกำไร มันก็สามารถจะเฉลี่ยกำไรกับขาดทุนเข้าด้วยกันได้ เหมือนกับท่านผู้ชมเปิดร้าน มีสาขาทั้งหมด 20 สาขา มี 5 สาขาที่ขายราคานี้แล้วขาดทุน แต่เผอิญอีก 15 สาขา ขายราคาเดียวกัน แต่กำไร ก็สามารถจะเอากำไรของ 15 สาขา มาถัวเฉลี่ยอีก 5 สาขา ทำให้ภาพรวมไม่ได้ขาดทุน ตรงนี้ต่างหากคือหัวใจสำคัญที่สุด
เพราะฉะนั้นผมจำเป็นต้องชี้แจงในเรื่องนี้ให้ชัดเจน ว่าสัญญาสัมปทานจากเดิมจะสิ้นสุดเมื่อปี 2572 แต่ถ้าทางกระทรวงคมนาคม พรรคภูมิใจไทย ไม่เห็นด้วย ถ้าไม่มีพรรคภูมิใจไทย ซึ่งน่าสนใจมาก เป็นพรรคการเมืองที่ไม่มี ส.ส. ในกรุงเทพมหานคร เลยแม้แต่นิดเดียว ก็คงจะเสร็จผู้ว่าฯ กทม. คือ อัศวิน ขวัญเมือง กับเอกชนไปแล้ว ก็คือขยายสัมปทานไปเลยอีก 30 ปี เรียกว่าจะประเคนสัมปทานให้ถึงชั่วลูกชั่วหลาน
ท่านผู้ชมครับ นี่ข้อเท็จจริง คิดกันเอาเอง ข้อเท็จจริงที่มันเป็นอย่างนี้ เป็นความจริงทุกประการ
ท่านผู้ชมครับ เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ผมไปงานฉลองวันเกิดครบ 7 รอบ 84 ปี ของพี่ปู๊ด คือ ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต ซึ่งเพิ่งเป็นอดีตไปเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมานี่เอง เนื่องจากว่า ดร.อาทิตย์ ได้ลาออกจากตำแหน่งอย่างเด็ดขาด แล้วก็มอบให้บุตรชายคนที่สอง ขึ้นมาเป็นอธิการบดีแทน
วันนี้ผมต้องพูดถึงเรื่อง ดร.อาทิตย์ นิดหนึ่ง ผมรู้จัก ดร.อาทิตย์ มาเกือบห้าสิบปี ตั้งแต่ผมอายุเพียง 30 มั้งตอนนั้น ไม่ถึง 30 เสียด้วยซ้ำ ตอนนั้นท่านเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลพญาไท ผมรู้จัก ดร.อาทิตย์ โดยผ่านคุณหมอโกวิทย์ ซึ่งท่านเป็นจิตแพทย์ ซึ่งท่านเคยศึกษาที่อเมริกา แล้วผมก็ไปสนิทสนมกับ ดร.โกวิทย์ แล้วก็จาก ดร.โกวิทย์ มาถึง ดร.อาทิตย์
สี่สิบห้า เกือบห้าสิบปีที่ผ่านมา ที่ผมได้สัมผัสและได้รู้จัก ดร.อาทิตย์ หรือพี่ปู๊ด เป็นคนที่ดีมาก หาคนที่ดีแบบ ดร.อาทิตย์ ยากมาก เป็นคนที่มีจริยธรรมสูง คุณธรรมเลอเลิศ และเป็นคนที่ไม่รีรอที่จะช่วยคน ถ้าจะพูดว่า ดร.อาทิตย์ คือหนึ่งในไม่กี่คนในประเทศไทยที่มีบุญคุณและพระคุณกับผม ก็ย่อมพูดได้ ดร.อาทิตย์ เป็นคนที่มีคุณูปการต่อชาติบ้านเมืองมาก หลายๆ งาน หลายๆ วีรกรรมที่ท่านทำมา เด็กรุ่นหลังและหลายคนที่โตไม่ทัน ก็จะไม่รู้ เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟัง
แต่เมื่อวันครบรอบ 80 ปี ของ ดร.อาทิตย์ เมื่อปี 2561 นั้น ดร.อาทิตย์ ได้ให้โอวาท หรือกล่าวสัจจะวาจาบางอย่าง ซึ่งผมคิดว่าน่าสนใจมาก ผมอยากจะเอามาถ่ายทอดให้ท่านผู้ชมฟัง
ดร.อาทิตย์ ท่านบอกว่า "แม้จะล้มเหลวมากเพียงใด ก็ไม่มีทางมืดแปดด้าน มืดอย่างมากที่สุดก็เจ็ดด้าน ชีวิตผมไม่ได้ชนะหรือสำเร็จทั้งหมด หากก็ได้เคยพ่ายแพ้และเพลี่ยงพล้ำ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ต้องแพ้ให้เป็น เมื่อแพ้แล้วก็จัดการกับความพ่ายแพ้ให้ได้ นั่นล่ะเป็นสิ่งที่ต้องทำให้ได้" คำพูดนี้เป็นสัจธรรมมาก เป็นหลักธรรมขั้นสูง คือคนเราจะไปย่อท้อหรือท้อถอยกับอุปสรรคไม่ได้แน่นอน ถ้าแพ้ ก็ต้องรู้จักแพ้ แล้วบริหารการแพ้ให้เป็น
เหมือนคุณพ่อผม ซึ่งเสียชีวิตไปนานแล้ว วิเชียร ลิ้มทองกุล สมัยหนุ่มๆ ผมเป็นคนที่ยะโสโอหังมาก ผมเป็นคนเก่ง โคตรเก่งเลย ผมไม่เคยเห็นใครอยู่ในสายตา ผมมีความรู้สึกว่าผมเลอเลิศประเสริฐศรี เกือบๆ จะถึงขั้นดูถูกชาวบ้านเขาเสียด้วยซ้ำ นี่คือสันดานของผมที่เลวมาก สมัยหนุ่มๆ แต่ผมไม่รู้ตัวนะ แต่พ่อผมรู้ แล้วมีอยู่วันหนึ่ง ผมล้มเป็นครั้งแรก นานแล้ว ผมกลับบ้านอย่างนกปีกหัก พ่อผมเขามองหน้าผม แล้วก็หัวเราะ เขาบอกว่า สมน้ำหน้ามึง ผมก็ฉุนกึ้กเลย เอ๊ะ นี่พ่อกูหรือเปล่าวะ แทนที่จะให้กำลังใจ กลับมาด่า พ่อก็บอกว่า คนอย่างมึงต้องแพ้เสียบ้าง ชีวิตมึงมีแต่ชนะมาตลอด มึงไม่รู้หรอกว่าความพ่ายแพ้รสชาติมันเป็นอย่างไร ขมขื่นมันเป็นอย่างไร เมื่อแพ้แล้ว ให้ทบทวนว่าแพ้ได้อย่างไร ไอ้ตั๊บ (คือชื่อเล่นผม) ดี ป๋าดีใจที่เอ็งแพ้ เอ็งจะได้กลับมาเป็นมนุษย์ ยืนบนแผ่นดิน บนพื้นฐานแห่งความเป็นจริง มึงจำเอาไว้ ต้องแพ้เสียก่อนถึงจะชนะได้ ถ้าชนะมาตลอดโดยไม่แพ้ เป็นไปไม่ได้
ลักษณะคล้ายๆ กับสิ่งที่ ดร.อาทิตย์ พูด เพียงแต่นั่นคือคำพูดของพ่อผม
ท่านผู้ชมครับ แพ้ ไม่มีอะไรน่าเสียดาย การยอมรับความพ่ายแพ้ก็ไม่เสียหาย
ท่านผู้ชมครับ ดร.อาทิตย์ ท่านผ่านชีวิตท่านมาอย่างชนิดที่เรียกว่าคุ้มค่ามาก 2527 ท่านเป็นผู้ว่าการ การประปานครหลวง ท่านเข้ามาบริหารปรับปรุงการประปาฯ จนกระทั่งการประปาฯ จากขาดทุนมาเป็นกำไร พอกำไรปุ๊บ ท่านผู้ชมรู้ไหม สิ่งที่ ดร.อาทิตย์ ทำในยุคนั้น ผมยังจำได้ พวกเราคนรุ่นหลัง หลายๆ คนจำไม่ได้ และไม่รู้จักด้วย ท่านเสนอให้ลดค่าน้ำประปาให้ประชาชน หน่วยละ 5 สตางค์ แต่ตอนนั้นเนื่องจากว่าบอร์ดการประปาฯ เป็นบอร์ดของนักการเมือง ของคุณสุขุม เลาวัณย์ศิริ และบอร์ดทั้งหมดก็เป็นของพรรคชาติไทย ก็ต้องการบีบให้ ดร.อาทิตย์ ออก เพราะสมัยที่ ดร.อาทิตย์ เป็นผู้ว่าการ การประปานครหลวง เป็นคนที่ยอมหักไม่ยอมงอในเรื่องของการทุจริต ในเรื่องการคอร์รัปชัน ซึ่งตรงกันข้ามกับความต้องการของนักการเมือง ท่านก็เลยยื่นใบลาออก ยุคนั้นเป็นยุค พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ท่านก็เลยขอร้องให้ ดร.อาทิตย์ ถอนใบลาออก อยู่ต่อ แต่ท่านก็ออกไปแล้ว
หลังจากนั้น ดร.อาทิตย์ ก็เข้ามา ใช้ทรัพย์สมบัติของตระกูล "อุไรรัตน์" คุณพ่อของ ดร.อาทิตย์ ชื่อ ประสิทธิ์ เป็นอดีตข้าราชการระดับสูง กู้เงินกู้ทองมาสร้างโรงพยาบาลเอกชน ที่ชื่อว่า โรงพยาบาลพญาไท น่าจะเป็นโรงพยาบาลเอกชนยุคแรกๆ แล้วก็บริหารแบบเอกชน ให้ความคล่องแคล่ว เอาหมอที่เก่งๆ มาประจำโรงพยาบาลพญาไท สมัยก่อนนั้นถ้าพูดถึงโรงพยาบาลอันดับหนึ่งในประเทศไทย ก็ต้องโรงพยาบาลพญาไท ไม่ใช่โรงพยาบาลกรุงเทพ อย่างปัจจุบันนี้
ชีวิต ดร.อาทิตย์ เคยเป็นรัฐมนตรีมา 3 กระทรวง ท่านเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แค่ไม่กี่เดือนเอง 4 ธันวาคม 2533 ถึง 23 กุมภาพันธ์ 2534 สามเดือนเอง ในรัฐบาลชุด พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ตอนที่ท่านเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศนั้น ท่านเพิ่งได้รับแต่งตั้ง ยังไม่ทันถวายสัตย์หรืออะไรทั้งสิ้น เกิดสงครามระหว่างอเมริกา กับ อิรัก ท่านบินไปที่ซาอุดีอาระเบียทันทีเลย เพื่อไปเจรจาขอซื้อน้ำมันกับซาอุดีอาระเบีย เพราะไม่อย่างนั้นน้ำมันจะขาดตลาด นี่คือคนที่มีวิสัยทัศน์และมีความกล้าหาญ
ท่านเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข 23 กันยายน 2536 ถึง 12 กรกฎาคม 2538 ประมาณเกือบสองปี ยุคสมัยคุณชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรีสมัยแรก หลังจากนั้นก็เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม 9 กรกฎาคม 2542 ถึง 17 กุมภาพันธ์ 2544 ในยุคที่คุณชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรีรอบที่สอง
ท่านผู้ชมครับ ดร.อาทิตย์ ทำงานอย่างโปร่งใสและมีวิสัยทัศน์อย่างมาก เป็นคนที่มองอะไรไกล ไกลมาก งานที่ ดร.อาทิตย์ ทำ ที่สำหรับผมถือว่าเป็นมาสเตอร์พีซ และเป็นวีรกรรมที่ต้องจารึกลงไปในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ที่ไม่เคยมีใครทำได้อย่าง ดร.อาทิตย์ และไม่มีอีกแล้ว
ท่านผู้ชมครับ ยุคนั้นเป็นยุคที่ประเทศไทยอยู่ภายใต้การบริหารงานของคณะรัฐประหาร คือ คณะ รสช. ดร.อาทิตย์ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานสภาฯ ในช่วงเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 เหตุการณ์ในยุคนั้น ดร.อาทิตย์ ได้รับฉายาว่า เป็น "วีรบุรุษประชาธิปไตย" เป็นอย่างไร ?
เนื่องจาก ดร.อาทิตย์ มีหน้าที่ที่จะเสนอชื่อนักการเมืองขึ้นไปเป็นนายกฯ หรือเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีขึ้นมาเพื่อดูแลประเทศชาติในยุคที่เผด็จการทหารยังมีอำนาจอยู่ ตอนนั้นวงการเมืองทุกคนบอกให้เสนอชื่อ พล.อ.อ.สมบุญ ระหงษ์ อดีตผู้ว่าการ การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย หรือ ทอท. ท่านผู้ชมรู้ไหม ในขณะนั้นสภาวะสังคมไทยไม่พอใจมากที่ชื่อของ พล.อ.อ.สมบุญ ระหงษ์ ถูกเสนอเข้ามา
พล.อ.อ.สมบุญ ระหงษ์ มีเส้นสายกับพวกทหารอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสายทหารอากาศ ซึ่งตอนนั้นหนึ่งในผู้ปฏิวัติ คือ พล.อ.อ.เกษตร โรจนนิล และมีทหารอากาศระดับบิ๊กๆ หลายคนที่อยู่ในคณะรัฐประหาร
ท่านผู้ชมครับ การเสนอชื่อขึ้นอยู่กับประธานสภาฯ ที่ ดร.อาทิตย์ เป็นประธานสภาฯ ตอนนั้น ถ้า ดร.อาทิตย์ เสนอชื่อหมูหมากาไก่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ก็คงจะทรงโปรดเกล้าฯ ให้ เพราะพระองค์ท่านไม่ยุ่งเรื่องการเมือง เมื่อเสนอชื่อใครเป็นนายกฯ แล้ว พระองค์ทำได้อย่างเดียวคือ โปรดเกล้าฯ ให้ เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้า ดร.อาทิตย์ ยังเสนอชื่อ พล.อ.อ.สมบุญ ระหงษ์ พระองค์ท่านก็ไม่มีทางเลือก นอกจากจะโปรดเกล้าฯ ให้
ท่านผู้ชมครับ 10 มิถุนายน 2535 ดร.อาทิตย์ เข้าไปในวัง เปลี่ยนชื่อจาก พล.อ.อ.สมบุญ ระหงษ์ มาเป็น นายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี ขึ้นทูลเกล้าฯ เป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัย แทนชื่อ พล.อ.อ.สมบุญ ระหงษ์ ซึ่งมาจากพรรคชาติไทย ซึ่งพรรคชาติไทยตอนนั้นเป็นตัวแทนของฝ่ายคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ตอนนั้น ดร.อาทิตย์ ถูกทัวร์ลง พวก ส.ส. ในพรรคด่าเสียผู้เสียคน แต่ ดร.อาทิตย์ ยืนยันมาตลอด จากวันนั้นถึงวันนี้ว่า ท่านได้ยึดประโยชน์ของประเทศเป็นที่ตั้ง และเพื่อไม่ให้สถานการณ์บ้านเมืองมันวุ่นวายไปมากกว่านี้ เพราะเหตุการณ์พฤษภาทมิฬเพิ่งผ่านไป
ดร.อาทิตย์ เป็นคนที่กล้าหาญในทางการเมืองมาก มีจริยธรรมอย่างสูง และไม่เกรงกลัวอิทธิพลใดๆ ทั้งสิ้น ในเมื่ออำนาจในมือมอบให้ท่านเป็นคนเสนอ ใครก็ได้ ให้ขึ้นเป็นนายกฯ ทุกคนตอนนั้นทราบว่า พล.อ.อ.สมบุญ ระหงษ์ เตรียมพานพุ่มเรียบร้อยแล้ว ใส่ชุดขาวรอ ผมเห็นใจ พล.อ.อ.สมบุญ ระหงษ์ มาก ผมยังดีใจที่ พล.อ.อ.สมบุญ ช่วงนั้นไม่ได้หัวใจวายตายไปด้วยความชอกช้ำใจ
หลังจากผ่านเหตุการณ์ไปแล้ว ดร.อาทิตย์ ก็กลับไปบริหารโรงพยาบาลพญาไท โรงพยาบาลพญาไท นั้น ประสบปัญหามาก เนื่องจากว่าโรงพยาบาลพญาไท ไปกู้เงินมา แล้วก็เกิดเหตุการณ์ต้มยำกุ้ง ในปี 2540 ก็เลยถูกประกาศเป็นองค์กรที่ล้มละลาย ดร.อาทิตย์ ก็ยังต่อสู้ต่อ ในที่สุดแล้วก็ให้บริษัท พี แอนด์ ดับบลิว หรือ Pricewaterhouse ของฝรั่ง เข้ามาปรับปรุงโครงสร้าง ปรากฏว่าโรงพยาบาลพญาไท ถูกโจรปล้นไป เมื่อปรับปรุงโครงสร้างเสร็จแล้วก็ไม่ยอมคืนโรงพยาบาลให้กับผู้ถือหุ้นเดิม กลับเอาไปปู้ยี่ปู้ยำ จนผ่านมาหลายมือ จนในที่สุดแล้ว คนที่เป็นเจ้าของโรงพยาบาลพญาไท ก็คือ นายวิชัย ทองแตง ซึ่งเป็นมือขวาทางด้านการเงินการลงทุนของ ทักษิณ ชินวัตร
ท่านผู้ชมครับ ดร.อาทิตย์ เป็นมืออาชีพ เมื่อเป็นมืออาชีพแล้ว เวลาท่านทำงานอะไรที่จะต้องเกี่ยวข้องกับทางการเมือง ท่านจะทำไปอย่างโปร่งใสและตรงไปตรงมา มาทำธุรกิจก็เช่นกัน
ท่านผู้ชมครับ ดร.อาทิตย์ และครอบครัว เป็นคนไปก่อตั้งมหาวิทยาลัยขึ้นมา แถวทุ่งรังสิต ก็เลยใช้ชื่อว่า มหาวิทยาลัยรังสิต แล้วท่านรู้หรือเปล่าว่า ดร.อาทิตย์ เป็นคนที่มองอะไรไกล เมื่อ ดร.อาทิตย์ พูดถึงการสูญเสียโรงพยาบาลพญาไท ที่ครอบครัวทั้งครอบครัวลงทุนไป และดูแลมาตลอด ท่านพูดอย่างนี้ ท่านบอกว่า "พวกเราเอาชีวิตทั้งชีวิตมาฝังอยู่ในนี้ ชื่อบริษัทก็ชื่อพ่อชื่อแม่ ถามว่าเสียดายไหมที่มันเป็นทรัพย์สมบัติ ผมไม่ได้เสียดายในทรัพย์สมบัติมากไปกว่าความถูกต้อง นี่มันโจรนะ มันปล้นกันชัดๆ พูดกันดีๆ มาเจรจากันดีๆ แค่นี้ ผมไม่ได้ยึดติดอะไร เพราะหุ้นเราก็นิดเดียว และมันก็เป็นกิจการ ไม่ใช่ว่าเราต้องเป็นเจ้าของใหญ่ หุ้นใหญ่ ถึงแม้จะเป็นผู้บริหาร"
ท่านผู้ชมครับ ในที่สุดแล้ว ดร.อาทิตย์ ก็เลยกลับไปบริหารมหาวิทยาลัยรังสิต แล้วท่านเป็นคนที่มีวิสัยทัศน์มาก ตอนที่ท่านริเริ่มตั้งคณะแพทยศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยรังสิต นั้น หลายคนก็หาว่าท่านคงไปไม่รอด กรรมการแพทยสภาบางคนถึงกับคัดค้าน แต่ท่านเห็นการขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ แล้วมหาวิทยาลัยรังสิต ก็ผลิตบุคลากรทางการแพทย์ออกมา 20-30 รุ่นแล้ว ถึงจะเป็นมหาวิทยาลัยเอกชน แต่การสอบเข้าเรียนแพทย์ในมหาวิทยาลัยรังสิต ไม่ได้ง่ายไปกว่าการสอบเข้าแพทย์จุฬาฯ หรือแพทย์มหิดล เลยแม้แต่นิดเดียว คุณภาพของแพทย์ที่จบจากรังสิตนั้น เทียบเทียมได้กับคุณภาพของแพทย์ในโรงพยาบาลรัฐ หรือในมหาวิทยาลัยของรัฐ
วันนี้เป็นวันที่ ดร.อาทิตย์ กำลังย่างเข้าสู่อายุ 85 ผมมีความจำเป็นต้องพูดถึงท่าน ท่านเป็นบุคคลที่มีคุณูปการกับสังคมไทย และที่สำคัญกับชาติไทย อย่างมาก ทุกช่วงตอนการเดินทางของชีวิตของ ดร.อาทิตย์ นั้น ดร.อาทิตย์ ไม่มีอะไรต้องอับอายขายหน้าใคร ดร.อาทิตย์ ในช่วงที่ผมติดคุกอยู่เกือบสามปี 2 ปี 11 เดือน 27 วัน ดร.อาทิตย์ แสดงความห่วงใยมาตลอดผ่านคนหลายคน แล้วก็ช่วยเหลือผมมาตลอดในเรื่องของค่าใช้จ่ายต่างๆ โดยไม่ได้หวังผลตอบแทนอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว เพียงเพราะว่า ดร.อาทิตย์ บอกว่า คุณสนธิ เป็นคนดี น่าเห็นใจ อะไรที่เราช่วยได้ เราจะช่วย นั่นก็เป็นส่วนหนึ่งของความช่วยเหลือส่วนตัว
แต่ความช่วยเหลือที่ ดร.อาทิตย์ มีต่อสังคมนั้น มีมาก หลายต่อหลายคนซึ่งมีคุณภาพ แล้วพอหมดวาระที่จะต้องทำงานให้กับสังคมแล้ว ดร.อาทิตย์ ก็จะดึงเข้ามาเป็นส่วนเสริมสร้างคุณภาพให้กับแวดวงวิชาการของมหาวิทยาลัยรังสิต แม้กระทั่งคนอย่างเช่น อาจารย์ ดร.พรชัย อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล ผู้ซึ่งปลุกมหาวิทยาลัยมหิดล และปลูกฝัง พัฒนา จนกระทั่งสามารถติดอันดับโลกได้ พอเกษียณอายุแล้วก็ยังมาเป็นอุปนายก นายกสภาที่มหาวิทยาลัยรังสิต แล้วเป็นคนที่พิจารณาเรื่องการตั้งคณะ การตั้งชั้นเรียน หรือการมีหลักสูตรต่างๆ ขึ้นมา นี่คือตัวอย่างที่ ดร.อาทิตย์ ทำ
ผมไปเจอ ดร.อาทิตย์ เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมานี้ ดร.อาทิตย์ ยังแข็งแรงอยู่ ดูไม่ออกว่าเหมือนคนอายุ 84 ยังพูดจา รู้จักคนเยอะมาก ผมเห็นคนที่ไปงานเลี้ยงวันนั้นมากมายหลายสาขาอาชีพ ที่สำคัญก็คือ หลากหลายความแตกต่างทางความคิดทางการเมือง แต่ทุกคนก็ให้ความเคารพ ดร.อาทิตย์ ในฐานะที่เป็นคนดีที่หาได้ยากในสังคมไทย
ท่านผู้ชมครับ เรื่องนี้ถ้าผมจะพูดว่า "หาดใหญ่ตายแล้ว" ท่านผู้ชมจะตกใจไหม ผมเคยเรียนเอาไว้แล้วว่าผมจะพูดเรื่องหาดใหญ่สักครั้งหนึ่ง ผมไปหาดใหญ่ตั้งแต่ยังเด็กๆ แต่วันนี้ไม่เหมือนที่คุณและผมเคยรู้จัก เคยสัมผัส เคยไปเยี่ยมเยียน เคยไปเที่ยว
หาดใหญ่ จากเมืองที่ใหญ่ที่สุดในภาคใต้ เคยได้รับฉายาว่าเป็น "เมืองหลวงของภาคใต้" สมัยก่อนนั้นหาดใหญ่เป็นเมืองที่ไม่เคยหลับใหล นักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวนมากเคยมาเที่ยวหาดใหญ่ ถึงกับตั้งฉายาว่า "นครปารีสแห่งภาคใต้ของประเทศไทย" ท่านผู้ชมครับ สมัยโน้น ใครก็ตามที่มาหาดใหญ่ จะเสนอความสนุก ความสะดวกสบายทุกอย่าง ตราบเท่าที่มีเงิน มีกำลังทรัพย์ มีเวลาพอ
ในช่วงกลางวันนักท่องเที่ยวเลือกเดินได้ทั่ว รอบอำเภอ อาจจะไปเที่ยวตามสถานที่ธรรมชาติ เช่น ชายหาดที่สงขลา
ภูเขา น้ำตก อาจจะไปเยี่ยมชมโบราณสถาน วัดวาอารามเก่าๆ ที่สวยงาม เดินไปซื้อของก็ได้ หาดใหญ่เป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยงสามารถซื้อหาสินค้าหลากหลายได้ในราคาถูก นอกจากนี้ หาดใหญ่ยังมีภัตตาคาร ร้านอาหาร หลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่ร้านข้างถนน ไปจนถึงสวนอาหาร หรือภัตตาคารหรูหราในโรงแรม มีเมนูอาหารที่แปลกและอร่อยรองรับ 24 ชั่วโมง
นอกจากการท่องเที่ยวแล้ว การจับจ่ายใช้สอยชอปปิงในอดีต ก็เป็นเสน่ห์ที่สำคัญอีกอย่างของเมืองหาดใหญ่ ท่านผู้ชม สมัยก่อนนี้เรายังไม่มี Shopee ไม่มี Lazada เราไม่มีการซื้อของออนไลน์ เราจะซื้อของหนีภาษี ของราคาถูก ก็ต้องไปหาดใหญ่
หาดใหญ่มีห้างสรรพสินค้าหลายห้างขนาดใหญ่ ร้านค้าขายสินค้าหนีภาษี รวมทั้งร้านค้าขนาดกลางและเล็กอีกหลายร้อยแห่ง นักท่องเที่ยวสามารถหาซื้อสินค้าหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า งานฝีมือ ผลไม้สด อาหารแห้ง เครื่องสำอาง เครื่องใช้ไฟฟ้า และอื่นๆ ในราคาที่ค่อนข้างจะถูก
พอตกกลางคืน นักท่องเที่ยวสามารถสนุกสนานกับการท่องราตรี หาดใหญ่เป็นศูนย์กลางความบันเทิงที่หรูหราน่าตื่นใจ นักท่องเที่ยวสามารถเลือกไปดูหนัง ฟังเพลง เที่ยวดิสโก้ คาราโอเกะ ไนต์คลับ หรือแม้กระทั่งไปเที่ยวซ่องต่างๆ ซึ่งออกมาในรูปแบบหลายอย่าง พูดง่ายๆ ว่าหาดใหญ่สมัยก่อนนั้น สำหรับนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียแล้ว เน้นกามารมณ์ หรือเซ็กซ์ เป็นตัวขาย
ในแง่การเดินทาง นักท่องเที่ยวเดินทางเข้าหาดใหญ่ได้หลายวิธี หาดใหญ่เป็นศูนย์กลางของการคมนาคมทางภาคใต้ มีรถโดยสารจำนวนมากเดินทางไปจังหวัดใกล้เคียงทุกจังหวัด นอกจากนั้นแล้ว ยังมีเส้นทางเชื่อมต่อไปยังชายแดนมาเลเซียด้วย
หาดใหญ่มีชุมทางรถไฟที่ใหญ่ของประเทศ นักเดินทางสามารถเดินทางโดยรถไฟมาหาดใหญ่ หรือจากหาดใหญ่ไปภาคอื่นๆ ของประเทศได้ ผ่านกรุงเทพฯ ประเทศมาเลเซีย กัวลาลัมเปอร์ หรือแม้กระทั่งสิงคโปร์
ท่านผู้ชมครับ วันนี้หาดใหญ่กลับกลายเป็นเมืองที่ลมหายใจรวยริน บางคนถึงกับกล่าวว่า "หาดใหญ่เป็นเมืองที่ตายไปแล้ว" จากเมืองที่เคยคึกคัก คราคร่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ คนไทยจากทั่วประเทศหลั่งไหลไปท่องเที่ยว ทำธุรกิจ ชอปปิง วันนี้ภาพเหล่านี้ที่หาดใหญ่ไม่มีอีกแล้ว ทั้งเมืองเงียบเหงา มีตึกว่าง ตึกร้าง ประกาศเช่า ประกาศขาย ประกาศเซ้งกิจการ ปรับปรุงกิจการ ปิดกิจการ เต็มไปหมด ท่านผู้ชมจำ "ตลาดกิมหยง" ได้ไหม ร้านขายของหนีภาษีก็ซบเซา เพราะคนหันไปหาซื้อของออนไลน์กันหมด ผมเอารูปให้ดู นี่เป็นรูปล่าสุดที่ทีมงานข่าวของผมลงไปทำมา
เมื่อต้นเดือนพฤษภาคม ที่ผ่านมา ภายหลังจากที่รัฐบาลประกาศยกเลิกมาตรการ Test & Go สำนักข่าวหลายแห่งก็พยายามรายงานว่าเมืองหาดใหญ่กลับมาคึกคักหลังจากที่มีการเปิดประเทศรอบใหม่ ไม่ว่าจะเป็นสำนักข่าวไทย กรมประชาสัมพันธ์ ไทยพีบีเอส หรือแม้กระทั่งช่อง 7
แต่ท่านผู้ชมครับ พอเราลงไปคุยกับคนในพื้นที่ พ่อค้าแม่ขาย และผู้ประกอบการแล้ว กลับบอกว่าไม่ใช่อย่างที่สื่อหรือรัฐพยายามตีปี๊บแต่อย่างใด ยกตัวอย่างเช่น ความเห็นของคนในพื้นที่ที่ไปโต้แย้งข่าวของไทยพีบีเอสในเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2565 ที่ผ่านมา มีความเห็นของคุณ Tanya บอกว่า "คึกคักบ้าอะไรกัน ไปถ่ายร้านโชคดดีติ่มซำ มันก็คนเยอะของมันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน หาดสมิหลาเหรอ เหอะๆ ร้านเจ๊งไปเป็นแถบ ขนาดร้านกาแฟที่ว่าแน่ นายทุนหนุนหลัง ยังเจ๊ง ร้านอาหารไม่ต้องพูดถึง งงมาก ลองมาสอบถามพ่อค้าแม่ค้าตามตลาดปกติบ้างสิ เงียบอย่างกับเมืองผี"
ความเห็นของคุณธนินทร์ หลวงศรี "เงียบเหมือนเดิมครับ ไม่ได้คึกคักเหมือนตามที่เสนอข่าวเลย" คุณฮั่นแน่ เขียนว่า "ไม่ได้คึกคักเลยครับ เอาจริง เงียบมาก เงียบจริงๆ เป็นอะไรที่น่าใจหาย ต่างจากสมัยที่ผมยังเป็นเด็ก" ความเห็นคุณ SB "คึกบ้าอะไร เงียบเป็นป่าช้า หลังหนึ่งทุ่มคนก็เข้าบ้านกันหมดแล้ว" คุณปิยะณัฐ กุลประสิทธิ์ "หาดใหญ่ได้ตายไปแล้ว การเมืองผูกขาด ขาดการพัฒนาสิ่งใหม่ๆ" คุณ Black Heart "ตายไปนานแล้วด้วย ก่อนโควิดอีก คนที่นี่ใครๆ ก็รู้ มันจุกอยู่ในอก ใช่ครับ ก่อนโควิดคือเงียบมาก เจอโควิดอีก ตายเลย" คุณ Punnaton Boonrak "หาดใหญ่คือเมืองที่ตายไปแล้ว พูดตรงๆเลย เปิดด่านก็แทบจะกู้ไม่ขึ้นแล้ว ลองไปดูตามอำเภอยังคึกคักกว่าในเมืองเยอะ ป้ายขายให้เช่าติดเพียบ คนในหาดใหญ่ยังไม่มีเลย ไม่รู้หายไปไหนหมด" คุณศุภชัย ยี่วอน "ผมเป็นคนสงขลา แต่เลือกไปอยู่ อ.เมือง มากกว่า เพราะบอกเลยเมืองหาดใหญ่อากาศร้อนมาก ควันก็เยอะ ปัจจุบันคนไม่จำเป็นต้องไปหาดใหญ่บ่อย แล้วคนไปหลักๆ เมื่อก่อนก็ซื้อของกับเรียน เที่ยวส่วนน้อยนะ เหมือนทางผ่าน แถมปัจจุบันการค้าก็สั่งออนไลน์ซะเยอะ คนเลยไม่จำเป็นต้องไปเท่าไหร่ ถ้าให้พูด อำเภอเมืองสงขลา ก็มีพร้อมนะ แถมมีทะเลต่างๆ คนเลยมาอำเภอเมือง แทน หาดใหญ่ได้เปรียบข้อเดียวคือมีสนามบิน ถ้ายกข้อดีนี้มาใช้ได้เต็มๆ จะดีมาก เช่น พยายามทำทัวร์การท่องเที่ยวให้ดีขึ้น" คุณวันชัย แซ่ลิ้ม "รัฐบาลสร้างภาพ ความจริงชาวมาเลย์มาน้อย คนที่มีเงินมาได้ คนไม่มีเงินมาไม่ได้ รัฐบาลแก้ปลายเหตุ ไม่ได้เป็นต้นเหตุ ชาวหาดใหญ่รู้ดีครับ มันเงียบอยู่ครับ" คุณเอกชัย ปลอดภัย (ตรงนี้สำคัญนะท่านผู้ชม) "อยากได้นักธุรกิจแท้ๆ มาเป็นนายกเมืองหาดใหญ่ น่าจะพอ พวกนักการเมืองอาชีพ ข้าราชการ หาดใหญ่ไม่ต้องการมีคนมีบารมี หาดใหญ่ต้องการมือเศรษฐกิจแท้ๆ พวกชอบการเมืองขอให้ท่านไปลง ส.ส. เถอะ"
ท่านผู้ชมครับ ที่ผมอ่านให้ฟังเมื่อกี้ คือความเห็นของคนหาดใหญ่ที่ออกมาตอบโต้ข่าวของไทยพีบีเอส และหลายๆ ช่อง ที่เป็น IO ของรัฐบาล
ท่านผู้ชมครับ ทำไมหาดใหญ่ เมืองหลวงของภาคใต้ จึงกลายเป็นอดีต กลายเป็นเมืองที่ตายไปแล้ว ? ที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้น ? แล้วใครต้องรับผิดชอบ ?
ท่านผู้ชมรู้ไหมคำขวัญของจังหวัดสงขลา มีว่า "นกน้ำเพลินตา สมิหลาเพลินใจ เมืองใหญ่สองทะเล เสน่ห์สะพานป๋า ศูนย์การค้าแดนใต้" ชัดเจนที่สุดคือวรรคสุดท้าย ที่บอกว่า "ศูนย์การค้าแดนใต้" นั่นเป็นการกล่าวถึงเมืองหาดใหญ่โดยเฉพาะ เมืองที่ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นเมืองศูนย์กลางเศรษฐกิจของภาคใต้ ครอบคลุมทุกด้านทางด้านธุรกิจการค้า การลงทุน โดยเฉพาะการท่องเที่ยว
ความจริงแล้วการตายของเมืองหาดใหญ่ไม่ใช่เพิ่งจะถูกพูดถึงภายหลังจากวันที่ 25 เมษายน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล ได้ควงแขนนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ซึ่งก็เป็นคนหาดใหญ่ พร้อมกับนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มาทัวร์เมืองหาดใหญ่ ลุงตู่มาส่งเสียงฉอเลาะออดอ้อนว่า เอาทั้งตัวและหัวใจมาฝากแม่ค้าตลาดกิมหยงและชาวหาดใหญ่กันทั่วหน้า ท่านผู้ชมครับ น่าสังเกตว่าการจัดอีเวนต์ของรัฐบาลใจกลางเมืองหาดใหญ่ครั้งนี้ เหมือนต้องการปูทางสู่การเลือกตั้ง ซึ่งคาดว่าคงจะมีในอีกไม่นานนัก เพราะ ส.ส. พลังประชารัฐ เจ้าของพื้นที่ ทั้งในจังหวัดสงขลา และจังหวัดใกล้เคียง ขนมวลชน ป้ายเยินยอ มาให้การต้อนรับมากมาย ไม่ว่าจะเป็นนายพยม พรหมเพชร นายวันชัย ปริญญาศิริ นายศาสตรา ศรีปาน นายทวี สุระบาล อดีต ส.ส. ตรัง ก็ดันมากับเขาด้วย
นอกจากการจัดอีเวนต์ของรัฐบาลครั้งนี้ได้เป็นข่าวตามหน้าสื่อมวลชนอย่างครึกโครมแล้ว ภาพและคลิปของ พล.อ.ประยุทธ์ ออดอ้อนแม่ค้า ชูป้ายส่งเสียงเชียร์ ชาวบ้าน กระจายไปตามสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ ซึ่งดึงดูดให้ทัวร์มาลง ถล่มกันสนุกสนาน ในแง่บวกและลบกับทั้งเมืองหาดใหญ่ โดยเฉพาะธุรกิจการค้าขายหาดใหญ่ มากมาย ต่อเนื่องกันมาจนถึงวันนี้
ท่านผู้ชมครับ ความซบเซาของเมืองหาดใหญ่เคยเป็นข่าวฮือฮามาแล้วหลายระลอก เป็นไปตามภาวะการณ์ของเศรษฐกิจประเทศ แต่ปรากฏว่าไม่ค่อยได้เห็นตัวแทนเอกชน องค์กรเอกชนที่เกี่ยวข้องมาพูดให้ข้อมูลชี้แนะ หาทางแก้ไข
นับตั้งแต่เริ่มวิกฤตเศรษฐกิจช่วงหลายปีมานี้ มีการพูดถึงภาวะซบเซาของเมืองหาดใหญ่กันบ้าง มาพูดหนาหูเพิ่มขึ้นก็ตอนเกิดโรคโควิด-19 ระบาด เมื่อเกิดสงครามรัสเซีย-ยูเครน ก็ยังเสียงดังขึ้น แต่ที่ต้องนับว่าเป็นวิกฤตซับซ้อนเข้ามาอีกทีก็คือภาวะรัฐบาลที่ไร้เสถียรภาพ เกิดความระส่ำหนักทางการเมืองเวลานี้ เสียงพูดในเมืองหาดใหญ่ก็จะดังขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเมื่อรัฐบาลเข้ามาจัดอีเวนต์ให้ พล.อ.ประยุทธ์ โชว์ออดอ้อนผ่านดาวน์ทาวน์ของเมืองหาดใหญ่ในวันที่ 25 เมษายน 2565 สิ่งนี้นับว่าได้นำมาซึ่งกระแสเสียงที่กล่าวถึงความซบเซาของเมืองหาดใหญ่อย่างครึกโครม อย่างชนิดที่ไม่เคยดังแบบนี้มาก่อน
ท่านผู้ชมครับ มีการวิเคราะห์ว่าการสิ้นชีพของหาดใหญ่แบบแทบจะไร้มนต์เสน่ห์ส่องประกายให้เห็น แม้แต่แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ เป็นเหมือนกระจกสะท้อนประเทศไทยในภาพรวมได้เฉกเช่นกัน ก่อนพูดถึงความตายของเมืองหาดใหญ่ว่าเป็นฝีมือใคร และใครควรรับผิดชอบ เรามามองพัฒนาการด้านต่างๆ ของเมืองหาดใหญ่กันก่อน เราต้องพยายามเจาะลึกลงไปถึงศักยภาพของกลุ่มคนที่เกี่ยวข้องไปด้วย
ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องปูพื้นกับท่านผู้ชมไว้ตรงนี้ว่า ผมกับสื่อเครือผู้จัดการ ยึดคติมาตลอดว่า กรุงเทพฯ ไม่ใช่ประเทศไทย เราส่งนักข่าวส่วนกลางออกไปตั้งศูนย์ ตามข่าวภูมิภาคต่างๆ มาแล้วกว่าสามสิบปี เนื่องจากภาคใต้เป็นคาบสมุทรที่ยาวมาก เราก็เลยมีศูนย์ข่าวที่ดำเนินการทุกวันนี้ คือศูนย์ข่าวหาดใหญ่ และดูแลพื้นที่ 8 จังหวัดภาคใต้ตอนล่าง นครศรีธรรมราช ตรัง พัทลุง สงขลา สตูล ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส กับศูนย์ข่าวภูเก็ต ดูแลพื้นที่ 6 จังหวัดภาคใต้ตอนบน ชุมพร ระนอง สุราษฎร์ธานี กระบี่ พังงา ภูเก็ต มีคนติดตามทั้งสองศูนย์ข่าวของเราจำนวนมาก เฟซบุ๊กเพจ MGROnline ภาคใต้ มีผู้ติดตามเพจเกือบ 1 ล้านคน
การส่งนักข่าวส่วนกลางลงไปฝังตัวอยู่ทุกภูมิภาคหลายสิบปี ทำให้เราเจาะลึก ได้ข้อมูลข่าวสารทั้งในระดับภูมิภาค ระดับพื้นที่ และพื้นถิ่น เราสร้างองค์ความรู้ พลังความรู้ เชื่อมโยงระดับประเทศ แม้กระทั่งระดับโลก ได้อย่างต่อเนื่อง อย่างเป็นระบบ เพื่อให้สอดคล้องกับทุกยุคทุกสมัย การทำงานของสื่อยุคใหม่ ไม่ใช่เพียงแค่เอาทฤษฎีทางด้านการสื่อสารมวลชนมาใช้เท่านั้น แต่ต้องนำความรู้ทางวิชาการที่หลากหลายมาผสมผสานด้วย
สิ่งที่ผมและพวกผมมาบอกเล่าวันนี้ ส่วนหนึ่งประมวลจากคลังข้อมูลของศูนย์ข่าวภาคใต้ และจากการเจาะสัมภาษณ์ พูดคุยกับกลุ่มเป้าหมายต่างๆ ทั้งคนรุ่นเก่าและคนรุ่นใหม่
ท่านผู้ชมครับ เป็นที่รับรู้กันมานานแล้วว่าหาดใหญ่เป็นเมืองสมัยใหม่ ส่วนสงขลา เป็นเมืองเก่าแก่ มีหลักฐานโยงใยไปถึง 1,400 ปี ตั้งแต่สมัยอาณาจักรทวารวดี หรือความเป็นเมืองปรากฏชัดเจนตั้งแต่สมัยอาณาจักรอยุธยา กว่า 300 ปีมาแล้ว อย่างที่เป็นข่าวอยู่ ท่านผู้ชมจำได้ไหมที่ผมเอาข่าวมาลงว่า ข่าวฉาวใหญ่โต คดีบุกรุกโบราณสถานเมืองเก่าสงขลา มีกลุ่มอิทธิพลและนักการเมืองท้องถิ่นที่ตกเป็นจำเลย และเกี่ยวข้องเป็นญาติใกล้ชิดกับ นายเดชอิศม์ ขาวทอง หรือนายกชาย ที่นั่งเป็นรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์อยู่ในเวลานี้
ถ้าท่านผู้ชมยังจำได้ ที่ผมเกริ่นเรื่องคดีบุกรุกโบราณสถานให้ฟังไปแล้วในรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ตอนที่ 134 เมื่อวันศุกร์ที่ 22 เมษายน ที่ผ่านมา มีความพยายามต่อเนื่องมาหลายปีที่จะเขียนวรรณกรรมประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเพื่อแก้คำกล่าวหาว่าหาดใหญ่เป็นเมืองไร้ราก ส่วนหนึ่งเพราะถูกนำไปเปรียบเทียบกับเมืองสงขลาที่อยู่ใกล้ชิดกัน จริงๆ แล้วความเป็นมาของเมืองหาดใหญ่นั้น เพิ่งเกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 สร้างบ้านแปงเมืองขึ้นมาจากเส้นทางรถไฟ เริ่มจากจุดเริ่มต้น คือสถานีชุมทางหาดใหญ่ เช่นเดียวกับมีความพยายามที่จะปฏิเสธพัฒนาการของความเป็นเมืองสมัยใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อก้าวสู่ยุคเศรษฐกิจบูมอย่างมาก ช่วงทศวรรษที่ 200 (2530) หรือเมื่อ 30-40 ปีที่แล้ว
สิ่งที่ทำให้เมืองหาดใหญ่เติบโตกระโจนแบบก้าวกระโดด คือธุรกิจท่องเที่ยว ที่วางรากฐานเป็นแหล่งรวมสถานบันเทิงที่เน้นเซ็กซ์ หรือกามารมณ์ กับสินค้าเถื่อน ชนิดเป็นที่ขึ้นชื่อลือชา จนมีคนเอาไปพูดหยอกล้อว่าคนสร้างเมืองหาดใหญ่ยุคสมัยใหม่ คือ ผู้หญิงเชียงราย ผู้ชายมาเลย์ คือผู้หญิงทางเหนือมาทำมาหากินที่หาดใหญ่ เพื่อรองรับอารมณ์ของผู้ชายมาเลย์ที่เก็บกด แล้วมาเที่ยววันหยุด เรื่องนี้กลุ่มคนหาดใหญ่มักจะได้ยินการปฏิเสธ และจะถูกโต้เถียงเลยว่า ใครมาเที่ยวแล้วไม่มีเหล้าเถื่อน บุหรี่เถื่อน เครื่องใช้ไฟฟ้าเถื่อน กระทั่งเครื่องสำอาง สินค้าก๊อป ติดไม้ติดมือไปด้วยถือว่ามาไม่ถึงหาดใหญ่
แต่แล้วกลางทศวรรษที่ 2540 เมืองมากมนต์เสน่ห์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางเอนเตอร์เทนเมนต์ แหล่งรวมสินค้าหนีภาษี เริ่มคลายความขลังลง สาเหตุหลักเพราะว่าเป็นโครงการสามเหลี่ยมเศรษฐกิจ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย "IMT-GT" ย่อมาจาก Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle ในช่วงปี 2536
ที่ผลักดันให้ด่านนอก ในเขตอำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา กลายเป็นเมืองเอนเตอร์เทนเมนต์แทนเมืองหาดใหญ่ไป และนี่คือการฆ่าเมืองหาดใหญ่ เพราะว่าติดชายแดนไทย-มาเลเซียเลย สามารถดักจับนักท่องเที่ยวมาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ผู้พิสมัยกามารมณ์ ได้อย่างสะดวกสบาย
ท่านผู้ชมครับ ก่อนหน้านั้น ในปี 2535 ได้เกิดข้อตกลงเขตการค้าอาเซียน หรือที่เรียกว่า อาฟตา (AFTA : ASEAN Free Trade Area) ได้เป็นจริงเป็นจังในการลดภาษีให้เป็นศูนย์สำหรับสินค้านำเข้า-ส่งออกประเทศสมาชิก ตลาดเครื่องสำอาง เครื่องใช้ไฟฟ้า แฟชั่น สินค้าอุปโภคบริโภคหนีภาษีของเมืองหาดใหญ่ก็เริ่มเจ็บไข้ได้ป่วยและตกตายไปตามกัน มิหนำซ้ำยังถูกกระหน่ำซ้ำแทบไม่เหลือซากด้วยยุคเทคโนโลยีดิจิทัล ที่มีแพลตฟอร์มต่างๆ การซื้อขายสินค้าออนไลน์ ระบบโลจิสติกส์ ทำได้อย่างแค่ปลายนิ้วกระดิก คนจะซื้อของ ก็สามารถกดซื้อของได้ แล้วก็มีบริษัทต่างๆ รับจ้างส่งของให้
นับจากช่วงทศวรรษที่ 2540 ที่สัญญาณความตายของเมืองสถานเริงรมย์ สินค้าเถื่อน ได้ปรากฏขึ้น ทั้งภาคเอกชน และภาครัฐ ตื่นตัวมาก หาทางกู้ชีพให้กับเมืองหาดใหญ่อย่างเอางานเอาการ มีการเสนอไอเดียอย่างหลากหลาย ที่สำคัญๆ ปรากฏเป็นข่าวไปแล้วก็มี เช่น ตั้งเรื่องจากฝ่ายเทศบาล และราชการ เสนอให้รัฐบาลผลักดันพลิกฟื้นชีวิตหาดใหญ่ให้เป็นเมืองปลอดภาษี หรือไม่ก็เป็นเมืองแห่งสินค้าแบรนด์เนม ภาคเอกชนก็ตื่นตัวว่าควรพลิกให้เป็นเมืองศูนย์กลางการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ หรือที่เรียกว่า Night City อะไรทำนองนี้ แต่ทั้งหมดนี้มันเป็นความคิดที่เลื่อนลอยมาก จนกระทั่งวันนี้การค้นหาทิศทางการพัฒนาหาดใหญ่ว่าควรจะไปสู่ความเป็นเมืองอะไร ก็ยังไม่มีความชัดเจน
ท่านผู้ชมครับ มนต์เสน่ห์ของตลาดกิมหยง ท่านผู้ชมที่เคยไปตลาดกิมหยง ตลาดปีนัง ตลาดสันติสุข ตลาดแพงทอง ตลาดพลาซ่า กระทั่งตลาดคลองแห ซึ่งตลาดเหล่านี้เคยคึกคัก เป็นหน้าเป็นตาแหล่งท่องเที่ยวหาดใหญ่ ผู้ประกอบการรายย่อยต่างเลิกกิจการไปมากมาย หลายแห่งเจ้าของโครงการปิดตัวเสียเอง รวมทั้งการปิดตัว ขาย หรือเซ้งกิจการโรงแรม ภัตตาคาร ร้านค้าอื่นๆ อีกมากมายที่ติดป้ายกระจายไปทั่วเมือง จึงไม่แปลกที่สามารถสืบสานคำเรียกขานเมืองหาดใหญ่ จากที่เคยระบุว่า "เมืองไร้ราก" มาถึงวันนี้เมืองหาดใหญ่ได้กลายเป็น "เมืองไร้อัตลักษณ์" ไปแล้วอย่างสมบูรณ์แบบ
การเจริญเติบโของเมืองใหญ่นั้น ล้อกับเศรษฐกิจสังคมไทยมาตลอด เมืองหาดใหญ่สมัยใหม่ ยุคสมัยใหม่ บูมมากในช่วงทศวรรษที่ 2530 พร้อมๆ กับเมกะโปรเจกต์ที่เริ่มขึ้นในสมัยรัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ช่วงปี 2524 หรือประมาณ 41 ปีที่แล้ว ตามด้วยรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ แปรสนามรบเป็นสนามการค้า คิดจะดันให้ไทยเป็นเสือตัวที่ห้าของเอเชีย เวลานั้นผู้ประกอบการระดับชาติเกิดการรวมตัวกันอย่างคึกคัก ในนามคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน
หันมามองที่จังหวัดสงขลา แกนนำผู้ประกอบการส่วนใหญ่ที่อยู่ในอำเภอหาดใหญ่ ก็รวมตัวก่อรูปเป็นองค์กรภาคเอกชนกันคึกคัก แถมยังหลากหลายและมากมายเสียด้วยซ้ำ ยิ่งในช่วงปี 2536 ก่อนที่ ดร.มหาเธร์ โมฮามัด นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย จะก้าวลงจากอำนาจ เขาอยากทิ้งทวนพัฒนา 4 รัฐตอนเหนือแผ่นดินเกิด มาขอให้นายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรีไทย เอา 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้เข้าร่วมพัฒนา แล้วยังให้ไปชวนประธานาธิบดีซูฮาร์โต จากอินโดนีเซีย ให้นำ 2 จังหวัด คือ สุมาตรา และเมดาน เข้ามาร่วมทำโครงการ IMT-GT
ยกเอายุทธศาสตร์การพัฒนาจากโครงการ IMS-GT หรือโครงการสามเหลี่ยมเศรษฐกิจ อินโดนีเซีย มาเลซีย สิงคโปร์ ที่ทาบทับอยู่บริเวณช่องแคบมะละกา เป็นต้นแบบ ซึ่งก็เป็นที่ตกลงและเดินหน้ากันนับแต่นั้น สิ่งนี้เหมือนกับการติดสปริงให้กับภาคเอกชนในหาดใหญ่
ท่านผู้ชมครับ นอกจากหอการค้า สภาอุตสาหกรรม สมาคมธนาคาร ซึ่งเป็นองค์กรกหลักและเป็นทางการในระดับจังหวัดแล้ว ภาคเอกชนของหาดใหญ่ยังจัดตั้งองค์กรมารองรับอีกมากมายจนแทบจะจำชื่อกันแทบไม่หวาดไม่ไหว ขนาดแกนนำเองยังไล่เรียงกันไม่หมด ตัวอย่างเช่น สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวระดับจังหวัด แตกตัว แตกย่อยไปหลากหลาย เช่น สมาคมไกด์ มัคคุเทศก์ แตกแยกเป็น 2 สมาคม สมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยว สมาคมโรงแรม สมาคมภัตตาคารและอาหาร สมาคมธุรกิจทัวร์ สมาคมรถตุ๊กตุ๊ก รถมอเตอร์ไซค์ ชมรมผู้ค้าปลีก ในฟากธุรกิจอื่นๆ ก็ไม่น้อยหน้า สมาคมอสังหาริมทรัพย์ก็มีความพยายามตั้งงอค์กรซ้อนทับขึ้นมาเช่นกัน
ท่านผู้ชมครับ เหตุผลที่องค์กรภาคเอกชนเมืองหาดใหญ่ไร้เอกภาพเช่นนี้ อธิบายแบบสั้นๆ ให้เข้าใจง่ายๆ ได้ว่า ไม่ใช่เป็นเพราะการต้องการชิงดีชิงเด่นกันเท่านั้น แต่หลักๆ แล้วเป็นการขัดผลประโยชน์กัน เพราะโดยธรรมชาติ มีอยู่ประมาณ 50 ตระกูล ที่เป็นเจ้าของธุรกิจในหาดใหญ่ ยึดโยงการทำธุรกิจแบบระบบกงสี พร้อมจะฟาดฟันราคากันตลอดเวลาเมื่อเห็นโอกาสช่วงชิงได้
การขัดผลประโยชน์ในธุรกิจเดียวกันนั้น หรือข้ามไลน์ธุรกิจ มีให้เห็นเป็นปกติธรรมดา ไม่ว่าในเรื่องธุรกิจทางโรงแรม บริษัททัวร์ ภัตตาคาร ร้านอาหาร สถานบันเทิง นวดแผนโบราณ อาบอบนวด กระทั่งตุ๊กตุ๊ก วินมอเตอร์ไซค์ แม้กระทั่งหาบเร่แผงลอย กิจการเหล่านี้พร้อมจะตัดราคากัน หรือไม่ก็พร้อมจะแปรค่าคอมมิชชัน ไม่จ่ายให้กับผู้ค้า แต่เอาไปใช้ลดราคา จูงใจนักท่องเที่ยวหรือลูกค้าโดยตรง
มีความพยายามที่จะแก้ปัญหาเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาครัฐ ในพื้นที่ หลายหน่วยงานมะรุมมะตุ้มยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ซึ่งก็มีทั้งเป็นผลและไม่เป็นผล อย่างเช่น ภายใต้ความร่วมมือของ IMT-GT ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ได้ผลักดันให้มีการตั้งสภาธุรกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ขึ้นมารองรับองค์กรภาคเอกชนของ 5 จังหวัด เพื่อไม่ให้เกิดปัญหา ซึ่งก็ขับเคลื่อนไปได้ดีในระยะเวลาหนึ่ง ก่อนจะหมดความสำคัญไป
ขณะที่ความวุ่นวายของภาคเอกชนในจังหวัดสงขลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคธุรกิจท่องเที่ยว ในเมืองหาดใหญ่ ทั้งฝ่ายปกครอง ทหาร ตำรวจ รวมทั้งหลายๆ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมกันผลักดันให้เกิดสมาพันธ์ธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดสงขลา ขึ้นมาเพื่อเป็นร่มกลางแก้ปัญหากันทุกองค์กรธุรกิจท่องเที่ยว แล้วไปขอร้องนักธุรกิจมากบารมีที่แทบไม่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวเลย ให้มานั่งหัวโต๊ะ ใครบ้างล่ะ ? ลุงน้อย ชื่อเดิม ว่าที่ร้อยตรี ไพโรจน์ รัตตกุล เจ้าสัวโคคา-โคล่า ระดับชาติ เฮียเก๊า นายนิมิตร ชัยจีระธิกุล เจ้าของธุรกิจขนส่งข้ามชาติ เฮียเพ้ง นายกำพล กำพลานนทวัฒน์ ตัวแทนธุรกิจค้ากระดาษ
ท่านผู้ชมครับ ปัจจุบัน นางรุ่งรัตน์ ชัยจีระธิกุล ภรรยาเฮียเก๊า ได้มานั่งเก้าอี้นี้ ตลอดเวลาที่ผ่านมาภารกิจหนักก็คือเดินหน้าไปตัดริบบิน เปิดงานอีเวนต์ ท่านผู้ชมครับ ณ วันที่วิกฤตรอบด้านรุมเร้ากัดกร่อนเมืองหาดใหญ่จนสาหัสสากรรจ์ ความไร้เอกภาพขององค์กรภาคเอกชนก็ยังดำเนินอยู่อย่างเด่นชัด มิเพียงเท่านั้น ความคาดหวังของสังคมที่ต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลงด้านการถ่ายเทเลือดด้วยการให้คนรุ่นใหม่ได้เข้าไปบริหารองค์กรเวลานี้มีให้เห็นเพียงแต่สมาคมโรงแรม ที่เพิ่งได้ผู้นำรุ่นใหม่เข้ามานั่งหัวโต๊ะ 2 คน แต่โดยรวมแล้วคนรุ่นลายครามยังเกาะเก้าอี้ประธานและควบคุมหางเสือไว้เกือบทั้งหมด นั่นเป็นเพราะความที่กลุ่มทุนหาดใหญ่ยังยึดมั่นระบบกงสีไว้อย่างเหนียวแน่น
ท่านผู้ชมครับ กว่าครึ่งศตวรรษ หรือห้าสิบปี ที่เมืองหาดใหญ่พัฒนาสู่ความทันสมัย กราฟแห่งความรุ่งเรืองเคยพุ่งขึ้นสูงสุด ช่วงคาบเกี่ยวทศวรรษที่ 2530-2540 แต่หลังจากนั้นดูเหมือนว่ากราฟจะถูกกดหัวให้ต่ำลงไปเรื่อยๆ ยิ่งสมัยได้รัฐบาลหลังจากการรัฐประหาร 2 ระลอกต่อเนื่อง 16 ปีที่ผ่านมา กราฟไม่ใช่แค่แตะพื้นเรี่ยดินเท่านั้น แต่น่าจะมุดดินลงไป
เมืองหาดใหญ่ เป็นเมืองส่วนหนึ่งของแผ่นดินจังหวัดชายแดนภาคใต้ พื้นที่ความมั่นคงที่ถูกจับตาและให้ความสำคัญเป็นอย่างพิเศษ ยุครัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง รัฐบาลพลเรือน มีการนำนโยบายการเมืองนำหน้าการทหาร เปิดช่องหายใจสำหรับเมืองหาดใหญ่ค่อนข้างกว้างขวาง แต่พอมีรัฐบาลมาก็กลับหัว-หางทันที กลายเป็นการทหารนำหน้าการเมือง ช่องหายใจถูกปิด ทำให้แคบลงชนิดกระอักกระอ่วนไปตามๆ กัน
ในยุคเศรษฐกิจบูม หาดใหญ่เคยเป็นเมืองต้นแบบการพัฒนาที่ช่วยกระจายความเจริญไปสู่เมืองอื่นๆ ทั่วทั้ง 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีการแบ่งยุทธศาสตร์ระดับพื้นที่ไว้เด่นชัด ให้สงขลา ที่มีเมืองหาดใหญ่เป็นศูนย์กลาง เป็นเมืองพี่เอื้อยของกลุ่มจังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ไม่กี่ปีที่ผ่านมา รัฐบาล คสช. รื้อใหม่ ให้สงขลากลับไปเป็นส่วนเล็กๆ ของกลุ่มจังหวัดฝั่งอ่าวไทย ที่รวมพื้นที่ ทั้งที่ยาวไกลกันมาก จากชุมพร ยัน นราธิวาส ศูนย์กลางก็เปลี่ยนไปเป็นสุราษฎร์ธานี ยุทธศาสตร์การพัฒนาที่มีเมืองหาดใหญ่เป็นเมืองสำคัญก็ถูกทำให้เลือนหายไป
ท่านผู้ชมครับ จากข้อมูลข้างต้น เมื่อมารวมกับยุทธศาสตร์การพัฒนาระดับภาคใต้และภาพรวมประเทศ เมืองหาดใหญ่ที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของเมกะโปรเจกต์ ที่กระจายไปทั่วทั้งภาค ไม่ว่าจะเป็นโครงการเมืองต้นแบบอุตสาหกรรมก้าวหน้าแห่งอนาคต แลนด์บริดจ์ สงขลา-สตูล คลองไทย เขตเศรษฐกิจพิเศษเฉพาะกิจการชายแดนใต้ เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ แม้เวลานี้ยุทธศาสตร์การพัฒนาที่ดูเหมือนมองแล้วยังมองไม่ชัดเลยแม้แต่นิดเดียว
ทั้งหมดที่ผมพูดมานี้ สรุปได้ว่า รัฐบาลที่สลับวนเวียนจากการเลือกตั้ง กับการยึดอำนาจเข้ามา สิ่งต่างๆ เหล่านี้ล่ะที่ทำให้เกิดการขาดเสถียรภาพ เกิดความไม่ต่อเนื่องในกลไกอำนาจรัฐ ยุทธศาสตร์ถูกปรับเปลี่ยน ไม่ชัดเจน ความไม่แน่นอนในนโยบายต่างๆ เหล่านี้่ส่งผลต่อการพัฒนาเมืองหาดใหญ่อย่างแน่นอนที่สุด ไม่เพียงภาครัฐบาลเท่านั้น มองดูระดับพื้นที่ที่ไม่แตกต่างกัน มีเสียงบ่นหนาหูมานานว่า ทำไมต้องส่งผู้ว่าฯ ที่รอเกษียณ นายอำเภอ หรือหัวหน้าส่วนราชการต่างๆ ที่มีสายนักการเมืองหรือกลุ่มอำนาจ ให้กินตำแหน่ง ทำไมไม่ส่งมือดีด้านบริหารจัดการ ช่วยพัฒนาหรือแก้ปัญหาวิกฤตต่างๆ มาบ้าง นี่คือลักษณะข้อเท็จจริงที่สะท้อนออกมา
ถ้าเราจะลงให้ลึกลงไป จะเห็นความไม่ชอบมาพากลอีกมากมาย มีเสียงร่ำลือมายาวนาน ว่าถ้ามีโอกาส บรรดาข้าราชการพร้อมจะตีตั๋วช้างให้มานั่งเก้าอี้สำคัญในจังหวัดสงขลากันทั้งนั้น เพราะถือว่าเป็นแหล่งที่มีทรัพยากรมากมาย รอให้ขุดเอาไปได้ ทุกส่วนราชการก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับวิถีความเปลี่ยนไปของเมืองหาดใหญ่แทบทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นด้านธุรกิจใดๆ การเงิน การธนาคาร การค้า การลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการท่องเที่ยวนั้น สำหรับเมืองหาดใหญ่แล้ว คือขุมทรัพย์มากมายก่ายกองรอให้ขุดไปได้แบบไม่มีวันหมดเช่นกัน จนกระทั่งถึงวันนี้ที่มันตายลงไปแล้ว
ท่านผู้ชมครับ ในแวดวงธุรกิจท่องเที่ยวเมืองหาดใหญ่ มีการประเมินว่ามีส่วนราชการ 20 หน่วยงาน เกี่ยวข้อง มีสถานที่ตั้งตั้งแต่ด่านชายแดนไทย-มาเลเซีย เชื่อมโยงมาถึงเมืองหาดใหญ่ ต่อเนื่องไปถึงศาลากลาง หรือศูนย์ราชการในตัวเมืองสงขลา เจ้าหน้าที่ในหน่วยงานมีทั้งประเภทนักบิน ที่พร้อมจะโฉบไปโฉบมา หรือพวกรากงอก ที่เก็บเกี่ยวได้ต่อเนื่องเป็นประจำ
มีตัวอย่างคลาสสิกที่เล่าขานจากรุ่นสู่รุ่น เนื้อหาไม่เปลี่ยนเลย คือในช่วงเทศกาลสำคัญ วันหยุดยาวๆ ของมุสลิมและจีน มักจะมีนักท่องเที่ยวชายมาเลย์ หรือสิงคโปร์ อินโดฯ แซมบ้าง ไปกระจุกตัวที่ด่านนอก และด่านปาดังเบซาร์ เพื่อขอเข้ามาท่องเที่ยวและพักในเมืองหาดใหญ่ เป็นที่รู้กันของไกด์ว่า ถ้าอยากผ่านช่องทางบายพาส ก็ต้องเตรียมไว้ 30 ริงกิตมาเลเซีย หรือประมาณ 240 บาท ถ้าหากการจราจรติดขัดมากๆ ก็ต้องเพิ่มไปตามสัดส่วน อาจจะขึ้นเป็นหลักร้อยริงกิตก็มี มิต้องลงรายละเอียไปถึงตามโรงแรมที่พัก ร้านค้า ร้านอาหาร สถานบันเทิงต่างๆ ว่าถูกดดันจากเจ้าหน้าที่อย่างไรบ้าง
ท่านผู้ชมครับ เอาแค่รถตุ๊กตุ๊กที่นักท่องเที่ยวต่างชาติเหมาไปเที่ยวตามจุดต่างๆ รอบเมือง แม้กระทั่งเทียวรับเทียวส่งตามสถานีต่างๆ ในเมืองหาดใหญ่ บ่อยครั้งเจ้าของรถยังถูกดักจับฐานไม่มีการทำประกันภัยให้กับนักท่องเที่ยว ก็ยังมี เป็นต้น
ท่านผู้ชมเชื่อหรือเปล่าว่า เคยมีบริษัททัวร์ถูกกดดันอย่างหนัก ผสมผสานกับต้องเจอสภาวะวิกฤตเศรษฐกิจต่อเนื่องยาวนาน ส่งผลให้ต้องร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ทำกิจการสีเทามาแล้วมากต่อมาก ตัวอย่างหนึ่งคือ ช่วงที่มีการทลายแก๊งค้ามนุษย์ข้ามชาติใหญ่โตในสงขลาไม่กี่ปีมานี้ ปรากฏว่ายังมีเจ้าของธุรกิจทัวร์ต้องตกบ่วงพ่วงเป็นจำเลยกับเขาไปด้วย
ทีนี้มาดูข้าราชการและเจ้าหน้าที่ส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตเมืองหาดใหญ่โดยตรงบ้าง เป็นที่รับรู้กันว่ามุ่งแต่จะแสวงหาช่องว่าง ช่องทางเอาตัวรอดจากภาวะวิกฤตที่รุมกระหน่ำเช่นนี้ ก็เลยส่งผลให้กิจกรรมหรือการจัดงานต่างๆ ที่ควรจะร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการช่วยหนุนเกื้อพาชาวหาดใหญ่ออกจากวิกฤต ทว่ากลับกลายเป็นการสร้างวิกฤตทับถมเข้าไปอีก สิ่งนี้ดูได้จากการจัดพื้นที่ไปให้กับธุรกิจจัดอีเวนต์มืออาชีพนั่นไง แล้วข้าราชการก็จะมาอยู่เบื้องหลังในการรับส่วยต่างๆ ในธุรกิจการจัดอีเวนต์แบบมืออาชีพ
ถ้าพูดถึงเมืองหาดใหญ่ และการตายของเมืองนี้ ถ้าไม่คุยในเรื่องภาคการเมือง ก็ดูจะไม่สมบูรณ์แบบ
ภาคการเมือง กับการฟื้นชีพของเมืองหาดใหญ่ ไม่ต้องเจาะรายละเอียดให้ลึกมากนัก เอาเป็นดูง่ายๆ เลยว่า รัฐบาลชุดปัจจุบันหลังเลือกตั้ง ส.ส. เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2562 ท่านผู้ชมรู้ไหม มีเลือดเนื้อชาวสงขลาได้รับโปรดเกล้าฯ เป็นรัฐมนตรีถึง 4 คน หนึ่ง นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย สอง นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สาม นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และสี่ นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมในยุคนั้น
เมื่อสองปีที่แล้ว 12 กรกฎาคม 2562 มีการจัดกิจกรรมอย่างยิ่งใหญ่มาก "4 รัฐมนตรีสงขลาพบปะพูดคุยกับตัวแทนองค์กรภาคเอกชน" ที่โรงแรมบุรีศรีภู บูติก กลางเมืองหาดใหญ่ ท่านผู้ชมรู้ไหม คนหาดใหญ่ นักธุรกิจ ตื่นเต้นมาก มีการเสนอ 9 โครงการเร่งด่วนให้รัฐบาลเร่งดำเนินการ หนึ่ง รถไฟรางคู่สุราษฎร์ธานี-สงขลา สอง โครงการมอเตอร์เวย์หาดใหญ่-สะเดา สาม ท่าเรือน้ำลึกแห่งที่ 2 อ.จะนะ สี่ โครงการถนนเลี่ยงเมืองหาดใหญ่ ห้า โครงการสงขลาไชน่าทาวน์ หก การตั้งกลุ่มจังหวัดใหม่สงขลา-พัทลุง-สตูล เจ็ด โครงการดิวตี้ฟรีโซน (Duty Free Zone) แปด ระบบจราจรอัจฉริยะ เก้า โครงการสงขลาไมซ์ ซิตี้ (MICE City)
ตื่นเต้นกันมาก คนภาคเอกชนคาดหวัง ไม่เคยมีรัฐมนตรีชาวสงขลาพร้อมกัน 4 คน มาก่อนในประวัติศาสตร์ ทุกคนเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่าจะมีพลังหนุนช่วยกันขับเคลื่อนผลักดันการฟื้นคืนชีพให้เมืองหาดใหญ่ เพราะถ้าดูในเหตุการณ์ 9 โครงการและรายละเอียดแล้ว เราจะเห็นว่ามันเกี่ยวข้องโดยตรงกับวิถีเมืองหาดใหญ่ทั้งสิ้น
ท่านผู้ชมรู้หรือเปล่าว่า ผ่านไปจะครบสามปีในอีกไม่กี่วันข้างหน้า จะครบสามปีที่เขาฮือฮา ที่เขาประชุมกันใหญ่ 9 โครงการกลับไม่มีอะไรคืบหน้า ความฝันที่จะมีพลังผลักดันการพัฒนานำเมืองหาดใหญ่หลุดออกจากวิกฤตอย่างมากมาย กลายเป็นความฝันลมๆ แล้งๆ
เวลานี้แม้กระทั่งถาวร เสนเนียม ที่ต้องพ้นจากเก้าอี้รัฐมนตรีไปแล้ว แต่ 3 รัฐมนตรีชาวสงขลายังอยู่ วิษณุ พิพัฒน์ นิพนธ์ ยังอยู่ หรือถ้าเราจะพุ่งไปที่พรรคประชาธิปัตย์ที่แผ่เงาทาบทับเมืองหาดใหญ่มานาน เวลานี้ก็ยังเป็นแกนจัดตั้งและค้ำยันรัฐบาลอยู่ ยังคุมและมีส่วนดูแลกระทรวงสำคัญๆ อย่างเช่น พาณิชย์ เกษตรฯ พัฒนาสังคมฯ มหาดไทย และสาธารณสุข ทำไมพวกนี้ถึงไม่มีส่วนในการช่วยแก้วิกฤตของเมืองหาดใหญ่
เลี้ยวมาทางด้านการเมืองท้องถิ่น เทศบาลนครหาดใหญ่ ทีมบริหารก็ได้สวมเสื้อพรรคประชาธิปัตย์มาเกือบยี่สิบปี เริ่มจาก นายไพร พัฒโน ของพรรค ทิ้งตำแหน่ง ส.ส. ไปลงเลือกตั้ง ได้นายกเทศมนตรีปี 2547
จนกระทั่งเวลานี้ พล.ต.ท.สาคร ทองมุณี สวมเสื้อพรรค นั่งทีมบริหารงานอยู่ ซึ่ง พล.ต.ท.สาคร ทองมุณี เป็นอดีตผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว องค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา ทีมปัจจุบันนำโดยนายไพเจน มากสุวรรณ์ นายก อบจ. ก็เป็นคนพรรคประชาธิปัตย์ที่ส่งลงชิงตำแหน่งได้มา
ทำไมข่าวคราวของการหนุนช่วยกอบกู้เพื่อฟื้นคืนลมหายใจให้กับเมืองหาดใหญ่ของฝ่ายการเมืองที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับพรรคประชาธิปัตย์ช่างเงียบสงบอย่างนี้ ที่พอมีเห็นได้บ้าง ก็มีผลักดันโครงการที่ต้องใช้งบลงทุนจำนวนมาก ซึ่งนอกจากไม่สอดรับภาวะเศรษฐกิจ เชื่อว่าคนจำนวนมากก็ไม่อยากจะเห็น อย่างเช่นการละลายของแท่งไอติมล่าสุด เพิ่งจะเปิดตัวโครงการหอชมเมือง และสกายวอล์กของเมืองหาดใหญ่ ที่ต้องทุ่มงบประมาณไปหลายร้อยล้านบาท
ท่านผู้ชมครับ สักนิดหนึ่งกับโครงการหอชมเมืองและสกายวอล์ก แบ่งออกเป็นสองส่วน การสร้างหอชมเมือง 30 ชั้น เพื่อเป็นจุดชมวิว 360 องศา ใช้งบประมาณก่อสร้าง 138 ล้านบาท การก่อสร้างเส้นทางสกายวอล์ก เส้นทางศึกษาธรรมชาติ ชมวิวเมืองหาดใหญ่ ระยะทาง 500 เมตร งบประมาณก่อสร้าง 41 ล้านบาท
ท่านผู้ชมครับ พรรคประชาธิปัตย์ปกครองหาดใหญ่และสงขลามาเกือบยี่สิบปี มีคนพรรคประชาธิปัตย์ที่มาจากสงขลาเป็นรัฐมนตรีหลายคน แต่เมืองหาดใหญ่กลับกลายเป็นเมืองที่ตายไปได้ นี่คือผลงานในทางการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งระดับชาติและระดับท้องถิ่น
ผมพูดมาตั้งเกือบครึ่งชั่วโมง เกือบสี่สิบนาที ท่านผู้ชมจะเห็นภาพชัดแล้วว่าเมืองหาดใหญ่ตายด้วยสาเหตุอะไร ใครบ้างควรจะรับผิดชอบ อย่างน้อยก็ใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจกาบัตรเลือกตั้งครั้งหน้า ที่เชื่อว่าจะมีเกิดขึ้นในอีกไม่นานนี้ อย่างที่ผมเคยเตือนไว้ว่า ท่านผู้ชมที่เชียร์พรรคประชาธิปัตย์ ที่อยู่ทางหาดใหญ่ สงขลา หรือทางใต้ ขอสักครั้งเถอะ สั่งสอนเขาเสียหน่อยได้ไหม หาดใหญ่ เป็นตัวอย่างที่เห็นชัดเจนถึงความล้มเหลวของพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งระดับชาติและระดับท้องถิ่น
แล้วหาดใหญ่จะฟื้นคืนชีพอย่างไร ? ผมคิดว่าถึงเวลาแล้วที่ทุกคนที่เกี่ยวข้องต้องมองไกลไปกว่าหัวแม่เท้าของตัวเอง ต้องมองไกลไปกว่าผลประโยชน์ของตนและกลุ่มตน แล้วต้องมาคุยกันอย่างจริงจัง
ประเด็นหนึ่งที่ทุกคนต้องพร้อมคือการรื้อกระบวนความคิดและโครงสร้างที่พะรุงพะรังที่ต่างสร้างขึ้นมาในอดีตเพื่อล้อมตัวเองและพวกพ้องเอาไว้ แล้วเลิกที่จะผลักฝ่ายตรงข้ามให้กลายเป็นอื่นเหมือนอย่างที่ทำมาตลอด ทั้งภาคเอกชน ภาครัฐ ภาคประชาสังคม ภาคประชาชน ควรจะเปิดช่องทางการมีส่วนร่วมเปิดกว้างสำหรับชาวหาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นคนเมือง หรืออยู่นอกเมืองแต่มีส่วนต้องปฏิสัมพันธ์กัน ให้เข้ามาร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมกันหนุนช่วยแก้วิกฤตปัญหาด้วยกัน
ประเด็นสำคัญประเด็นหนึ่ง เมืองหาดใหญ่นอกจากครอบคลุมพื้นที่เทศบาลหาดใหญ่ ยังต้องรวมถึงเทศบาลเมืองอีก 4 แห่ง ที่ล้อมรอบอยู่ คือ เมืองคลองหงส์ เมืองคลองแห เมืองควนลัง และเมืองบ้านพรุ ซึ่งมีอีกหลายเทศบาลและ อบต. ที่มีศักยภาพ มาร่วมกันได้ หรือถ้าจะเกี่ยวร้อยไปจนถึงเมืองสงขลา ที่ห่างกันเพียง 20-30 กิโลเมตร ซึ่งครอบคลุมพื้นที่เทศบาลนครสงขลา มีเทศบาลเมือง เทศบาล ตำบล อบต. หลายแห่งล้อมรอบเช่นกัน มีทั้งสถาบันการศึกษาใหญ่ๆ 5 มหาวิทยาลัย มอ. หาดใหญ่ มหาวิทยาลัยหาดใหญ่ ม.ทักษิณ มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา และมหาวิทยาลัยราชมงคลศรีวิชัย สงขลา เป็นจังหวัดที่มีศักยภาพและเป็นจังหวัดใหญ่ที่ไม่เบา
ท่านผู้ชมครับ ชาวหาดใหญ่ครับ การพลิกฟื้นหาดใหญ่เป็นภารกิจที่ต้องทำอย่างเร่งด่วน อย่าสร้างภาพ อย่าไปฝันถึงวันเก่าๆ ว่ามีการเปิดประเทศและการท่องเที่ยวเริ่มฟื้นตัวแล้ว คนมาเลเซีย นักท่องเที่ยวจะกลับมายังหาดใหญ่อีก เพราะว่าเมืองหาดใหญ่ ณ วันนี้ เหมือนคนตายไปแล้ว คนเดินทางเข้ามาเห็นสภาพเมืองที่รกร้าง ไร้ชีวิตชีวา กลับไปรอบนี้เชื่อผมสิเขาไม่มาอีกแล้ว ที่สำคัญการฟื้นฟูครั้งนี้ต้องมองปัจจุบันถึงอนาคต โลกเปลี่ยนไปมากแล้วจาก 30-40 ปีที่แล้ว หาดใหญ่ต้องมีอัตลักษณ์ของตัวเองขึ้นมา ไม่ใช่ยึดอดีตว่าหาดใหญ่เป็นแหล่งบันเทิงเริงรมย์ คนมาเลเซีย สิงคโปร์ เข้ามาแสวงหาเซ็กซ์และสินค้าหนีภาษี มองไปข้างหน้า ดึงจุดเด่นในการเป็นศูนย์กลางการศึกษาภาคใต้ ศูนย์กลางทางสุขภาพ (Medical Hub) ศูนย์กลางการคมนาคม การค้า การทำธุรกิจ การท่องเที่ยว ที่เชื่อมโยงไปสู่จังหวัดในภูมิภาคอื่นๆ แผนเหล่านี้ต้องวางเป็นระยะยาว 10-20 ปี เพื่อให้เกิดการลงทุนด้านสาธารณูปโภค จูงใจให้เกิดการลงทุนภาคเอกชน แต่ต้องพร้อมปรับเปลี่ยนรายละเอียดในระยะสั้นตามสถานการณ์
ท่านผู้ชมครับ หาดใหญ่ตายไปแล้ว ผมใช้เวลานานพอสมควรลงรายละเอียด เล่าว่าทำไมหาดใหญ่ถึงตาย มีทั้งการไม่มีวิสัยทัศน์ของคนบริหาร มีทั้งความเห็นแก่ตัวของพ่อค้า กลุ่มกงสีที่อยากจะผูกขาดผลประโยชน์ให้เข้าตัวเอง มีทั้งการเข้ามาสูบเลือดเนื้อการทำมาหากินของคนในหาดใหญ่ ของหน่วยงานราชการ
คนหาดใหญ่ คนที่อยากเห็นหาดใหญ่ และสงขลา เจริญเติบโตต่อไป คงต้องลุกขึ้นมาสู้แล้วคราวนี้ ถ้าคุณไม่สู้ ก็ทำการฌาปนกิจศพอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ได้เลยครับ
ท่านผู้ชมครับ เมื่ออาทิตย์ที่แล้วผมได้พูดเรื่องการที่ประเทศไทย กองทัพอากาศ หรือรัฐบาล ให้กองทัพสิงคโปร์มาเช่าฐานทัพอากาศเพื่อจะฝึกบินเครื่องบิน F-16 และ F-35
ที่มาที่ไป ตั้งแต่ปี 2524 รัฐบาล ครม. ให้กองทัพอากาศสิงคโปร์ฝึกบินในประเทศไทย ขอใช้ที่ฝึกบินที่กาญจนบุรี พื้นที่ฝึกอยู่บริเวณชายแดนไทย-พม่า ท่านผู้ชมรู้ไหม เขาไปฝึกบินบริเวณชายแดนไทย-พม่า ซึ่งเป็นเขตยึดครองของกองทัพกะเหรี่ยงอิสระ บริเวณนั้นเรียกว่า บ้านกะเหรี่ยงโตถะ บ้านหนองศรีมงคล บ้านห้วยน้ำขาว อยู่ในเขตอำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี อาวุธกระสุนที่ใช้ในการฝึกส่งมาจากสิงคโปร์ ในปีหนึ่งๆ มีการฝึก 3 รุ่น รุ่นหนึ่งใช้เวลา 2 เดือน หรือบางปีมีถึง 4 รุ่น
นอกจากนั้นแล้ว กองทัพอากาศสิงคโปร์ยังขอใช้พื้นที่ฝึกที่กองบิน 1 จังหวัดนครราชสีมา เป็นประจำทุกปี ทำสัญญาปีต่อปี นอกจากนั้น ปี 2535 กองทัพอากาศสิงคโปร์ก็ยังขอใช้กองบิน 2 โคกกระเทียม เป็นที่ฝึกบินเฮลิคอปเตอร์
ปลายปี 2547 ในสมัยที่ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกฯ ได้ให้รัฐบาลสิงคโปร์เช่าสนามบินกองบิน 23 จังหวัดอุดรธานี เป็นระยะเวลา 15 ปี เป็นฐานฝึกบินเครื่องบินขับไล่ F-19 แบบ A, B, C, D จะทบทวนสัญญาทุกๆ 5 ปี
ท่านผู้ชมครับ ผมมีข้อคิดอย่างนี้ แล้วผมจะฝากไปถึงกองทัพอากาศด้วย เท่าที่ผมรู้ กองทัพสิงคโปร์ หรือประเทศสิงคโปร์ ได้มอบค่าตอบแทนในการเช่าสถานที่ ด้วยการยกฝูงบิน F-16 เก่าๆ เอามาให้กองทัพอากาศเอามาใช้ ผมอยากจะถามผู้ใหญ่ในกองทัพอากาศ แล้วถามรัฐบาลไทย ว่าพวกคุณสติปัญญาต่ำต้อยถึงขนาดนั้นเลยหรือ ที่เที่ยวไปยกฐานทัพให้ต่างชาติมาฝึกบิน ท่านผู้ชมตามผมมา
สิงคโปร์มันเป็นสุนัขรับใช้ของอเมริกามาตั้งนานแล้ว ทุกวันนี้ก็ยังเป็นอยู่ ประเทศเล็กนิดเดียว ยังเล็กกว่าเขตพระนคร ประชากรยังน้อยกว่าประชากรเขตพระนครอีก ทะลึ่งมี F-16 และ F-35 ซึ่งเป็นเครื่องบินที่ใหม่ที่สุดในโลก ทำไมประเทศสิงคโปร์ต้องมี F-35 เป็นฝูงๆ หรือว่าเป็นนอมินีให้อเมริกาในการมาเช็ก แล้วไม่ใช่ใช่แค่ฐานบินที่เดียวนะ ประเดี๋ยวก็ไปขอใช้โคราช ประเดี๋ยวก็ขอใช้อุดรฯ น้ำพอง โน่นนี่นั่น นี่เรากำลังยกอธิปไตยทางอากาศให้กับสิงคโปร์หรืออย่างไร คุณอย่ามาแก้ตัว กองทัพอากาศ ว่าเวลามันบิน มันต้องเอาแผนการบินมาให้ โอเค การฝึกบิน เอาแผนการบินมาให้ แต่ถ้าเวลามีเรื่องคุณจะรู้ได้อย่างไรว่า F-35 นั้น เป็น F-35 ที่ไม่มีปัญหาอะไรกับประเทศเพื่อนบ้าน เผลอๆ เวลามีเรื่องกัน รบกัน ใครจะไปสนใจแผนการบินของคุณ
ถามว่าคุณได้อะไร ? ได้ F-16 สับปะรังเคโกโรโกโส เก่าก็เก่า แล้วคุณแลกกับอะไร อธิปไตยบนน่านฟ้าประเทศไทยหรืออย่างไร สิงคโปร์อยู่ติดมาเลเซีย ทำไมไม่ไปขออนุญาตมาเลเซียฝึกบินล่ะ ทำไมมาฝึกบินที่เมืองไทย คุณกำลังเป็นเอเยนต์ เป็นนายหน้า ให้ประเทศมหาอำนาจใช้นอมินีเช่นสิงคโปร์ แล้วคุณรู้ได้อย่างไรว่า F-35 ที่บินอยู่ไม่มีเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ที่จะสืบราชการลับ สามารถจะยิงเลเซอร์สืบราชการลับจากทางลาว จากทางเขมร จากทางเวียดนาม หรือจากทางจีนตอนใต้ คุณก็ไม่รู้
ผมว่ากองทัพอากาศต้องทบทวนเรื่องนี้เสียใหม่ ไม่ได้นะครับ ใช้ไม่ได้เลยงานนี้ ตรรกะอะไรที่คุณอ้างการให้มาฝึกบิน ผมรับไม่ได้ แล้วผมไม่อยากให้พ่อแม่พี่น้อง ท่านผู้ชมทุกคนครับ ถ้าคุณไม่มาฝึกบิน เราตายไหม ? ไม่ตาย ก็ไปฝึกบินมาเลเซียสิ แล้วสิงคโปร์จะไปรบกับใคร แค่ฝึกบินก็บินสิงคโปร์ได้ ก็บินออกทะเลสิ ก็ไม่เสียหายอะไรไม่ใช่หรือ ทำไมต้องมาฝึกบินประเทศไทย นี่แสดงว่ามันรู้ขี้รู้ไส้ของกำลังทหาร หน่วยที่ตั้งทหารในประเทศไทยทุกจุดแล้ว จากการที่เข้ามาฝึกบินตั้งแต่ปี 2542 กี่ปีแล้วที่มันทำแบบนี้ คุณได้อะไรจากสิงคโปร์บ้าง ? คุณไม่เคยได้อะไรจากมันเลย
สิงคโปร์คือนายหน้าของอเมริกาในการที่จะรุกเข้ามาในพื้นภูมิภาคนี้ แล้วคุณรู้ไหมว่าการที่คุณให้สิงคโปร์มาฝึกบินตรงนี้ ก่อให้เกิดสนามบิน ฐานทัพอากาศ เขาล้อมเมืองไทยไว้เรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวอาทิตย์หน้าผมจะพูดให้ฟังว่าเขาล้อมอย่างไร สิงคโปร์ที่มาฝึกบินนี่ก็เป็นส่วนหนึ่ง เหตุผลสำคัญที่เขาต้องมาตั้งฐานทัพทางลาว ทางพม่า ทางกัมพูชา เพื่อมาล้อมประเทศไทย ผมอับอายขายหน้าแทนกองทัพอากาศ ขายหน้า คุณทำเรื่องแบบนี้ คุณน่าที่จะบอกว่า เราไม่ต่อสัญญาอีกแล้ว ลองใช้ตรรกะง่ายๆ คิด ท่านแม่ทัพอากาศ F-35 ที่ท่านกำลังจะเจรจาซื้อ สิงคโปร์มันมีมาพักหนึ่งแล้ว ทำไมประเทศเล็กๆ อย่างสิงคโปร์ถึงมี F-35 ได้เร็วนัก ที่มันมีได้เร็วเพราะว่ามันเป็นนอมินีของอเมริกา แล้วถ้าสงครามเกิดขึ้น ถ้ามีการรบกันจริงๆ จากกาญจนบุรี เข้าไปในพม่า ประเดี๋ยวเดียวเอง มันติดชายแดนเลย ถ้ามีการที่จะต้องถล่มพม่ากัน มันคุ้มหรือเพื่อแลกกับ F-16 สับปะรังเคฝูงนั้น แล้วสภาพ F-16 ที่มันให้มา วันนี้เป็นอย่างไรบ้าง นี่เป็นการบ้านที่ผมฝากกองทัพอากาศไปคิด ผมอยากให้ท่านมีศักดิ์ศรีเสียหน่อยได้ไหม ท่านเข้าใจคำว่าศักดิ์ศรีไหม เอาไว้รออาทิตย์หน้าผมจะพูดเรื่องนี้ แล้วพูดเรื่อง สงครามโลกครั้งที่ 3 กำลังจะมีโอกาสเกิดขึ้นหรือไม่ มีกี่จุดบ้างที่จะเป็นตัวจุดชนวนสงครามโลก
ท่านผู้ชมครับ วันนี้รายการก็มีอยู่เพียงแค่นี้ รออาทิตย์หน้า รับรองได้ว่าจะไม่เคยมีใครอธิบายเรื่องแบบนี้ให้ท่านผู้ชมฟัง เก็บเอาไว้เป็นหลักฐาน Documentary ที่สามารถดูได้ถึงชั่วลูกชั่วหลาน สวัสดีครับ