xs
xsm
sm
md
lg

“ถ้าไม่หยุดโกง เปลี่ยนกรุงเทพฯ ไม่ได้ และเปลี่ยนประเทศไม่ได้ด้วย” เหตุผลที่ต้องเลือก “รสนา โตสิตระกูล”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



สัมภาษณ์พิเศษ

ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - “รสนา โตสิตระกูล” ถือเป็นผู้สมัครชิงเก้าอี้ “ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร” ที่น่าสนใจไม่แพ้คนอื่น จากความโดดเด่นในเรื่อง “ไร้สังกัด อิสระตัวจริง” นั่นหมายความว่า อิสระจากผลประโยชน์ของกลุ่มทุน หรือพรรคการเมือง และยึดโยงผลประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ

นอกจากนี้ ยังมีนโยบายสำคัญที่ถูกกล่าวขานกันทั่วเมืองกรุง นั่นก็คือ “แนวคิดหยุดโกง” ซึ่งผู้สมัครรายนี้จะใช้เป็น “สารตั้งต้น” ของนโยบายเสริมสร้างคุณภาพชีวิตคนเมือง ไม่ว่าจะเรื่องบำนาญประชาชน 3,000 บาท, ไม่ต่อสัมปทานบีทีเอส ลดค่าตั๋วสายสีเขียว 20 บาท ตลอดสาย, เลิกไล่จับหาบเร่แผงลอย จัดทำเลขายดี, หนุนติดโซลาร์เซลล์ตามบ้านเรือน ประหยัดไฟ 500 ต่อเดือน ฯลฯ รวมทั้งนโยบายอยู่ร่วมกับโควิด-19 ที่หญิงแกร่งคนนี้จะเป็นผู้นำฝ่าวิกฤตโรคระบาด ทุกชีวิตจะกลับมาใช้ชีวิตโดยมีสมุนไพรไทยฟ้าทลายโจรเป็นประกัน หากติดเชื้อเจ็บป่วยสามารถใช้ได้ทันที ไม่ต้องรอคิวเข้าระบบรัฐ

เวลานี้ แม้จะเป็น “ม้านอกสายตา” แต่ก็เป็น “ม้านอกสายตา” ที่กำลังเร่งฝีเท้าไต่ลำดับ ในสนามเลือกตั้ง ผู้ว่าฯ กทม. ที่ชวนติดตามชนิดห้ามกระพริบตา

และคำถามต่อไปนี้ก็คือการแสวงหาคำตอบที่ว่า “ทำไมต้องเลือกรสนา โตสิตระกูลเป็นผู้ว่าฯ กทม.?”


- ทำไมคุณรสนาถึงตัดสินใจลงสมัครผู้ว่าฯ เลือกตั้ง กทม.

ด้วยความที่เกิดในกรุงเทพฯ โตในกรุงเทพฯ ทำงานในกรุงเทพฯ เพราะฉะนั้นต้องบอกว่าเราเป็นชาวกรุงเทพฯ โดยกำเนิด ก็เลยสนใจลงสมัครผู้ว่าฯ โดยต้นทุนกรุงเทพฯ เป็นเมืองท่องเที่ยว มีความสวยงาม แต่ในปัจจุบันจะมองห็นว่ากรุงเทพฯ เป็นที่มีความทันสมัย แต่มันยังไม่พัฒนาเท่าที่ควร ทีนี้ เราได้เห็นถึงปัญหาหลายอย่างมาก ทั้งในแง่ของทั้งปัญหาทางกายภาพ ปัญหาทางเศรษฐกิจทั้งหลาย กรุงเทพฯ มีความพยายามขับเคลื่อนของผู้คนที่ต้องการจะเปลี่ยนสังคม มาตั้งแต่ยุคพันธมิตร หรือ ยุค กปปส. ประชาชนล้วนแล้วแต่เห็นว่าบ้านเมืองต้องเปลี่ยนแปลง ถามว่าต้องการเปลี่ยนแปลงแบบไหน ก็คือการที่ไม่มีการทุจริตคอร์รัปชั่น

เราเคยเจออาจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ สมัยที่มีการเปลี่ยนแปลง 14 ตุลาฯ 2516 ตอนนั้นทุกคนคิดว่ากระบวนการของนักศึกษาเป็นการขับไล่ทหาร แต่สิ่งที่อาจารย์พูดกับพวกเรา ท่านบอกสิ่งที่ลึกไปกว่านั้น คือ คนต้องการขับไล่การทุจริตคอร์รัปชั่นของผู้มีอำนาจ ฉะนั้น เราโตมาจากยุค 14 ตุลาฯ ตอนนี้ก็ร่วมๆ 50 ปีแล้ว แต่สภาพสังคมผู้คนยังคงต้องการให้มีการปฏิรูปโดยเฉพาะปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง ซึ่งที่ผ่านจะเห็นว่ายังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองอย่างที่ประชาชนคาดหวัง

ในแง่ของดิฉันทำไมถึงสนใจสมัคร นอกจากเราเป็นชาวกรุงเทพฯ แล้ว การบริหารงานท้องถิ่นในส่วนของตัวแทนผู้สมัครนั้นสามารถเข้ามาสมัครได้โดยไม่ต้องสังกัดพรรคการเมือง ผู้สมัครสามารถเป็นประชาชนได้

และในความคิดของเราไม่ต้องการสมัครในลักษณะของการสังกัดพรรค หรือมีกลุ่มทุนเข้ามาหนุนหลัง เพราะถ้าเราไปอาศัยสิ่งเหล่านั้นเข้ามา มันก็ต้องทำตาม agenda หรือวาระของคนเหล่านั้น ซึ่งคิดว่าเราไม่ต้องมีพรรค เพราะฉะนั้นกรุงเทพฯ เป็นพื้นที่ที่เป็นโอกาสในการเข้ามา เพื่อเราจะได้นำไปสู่ความเป็นไปได้ของการเปลี่ยนแปลงตามที่ประชาชนเรียกร้องต้องการให้บ้านเมืองมีการบริหารงานที่เป็นธรรมาภิบาลมากกว่านี้

ฉะนั้นการเลือกตั้งท้องถิ่นมันเป็นโอกาส และเจตนารมณ์ของการบริหารงานท้องถิ่น มันทำให้เกิด “ประชาธิปไตยทางตรงหรือ “ประชาธิปไตยแบบปรึกษาหารือ” เป็นประชาธิปไตยที่เราสามารถทำงานกับประชาชน ส่วนหนึ่งเราเป็นชาวธรรมศาสตร์ สิ่งหนึ่งที่อยู่ในใจมาตลอดคือ อ.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ สมัยก่อนท่านบอกว่า ถ้าเกษียณอายุแล้วการเมืองที่อยากไปทำต่อคือการเป็นผู้ว่าฯ และอีกสิ่งที่ท่านพูดคือ ท่านต้องการให้เกิดคุณภาพชีวิตที่ดี เหมือนที่ท่านเขียนหนังสือ คุณภาพแห่งชีวิต ปฏิทินแห่งความหวัง : จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน ซึ่งงานท้องถิ่นทำให้เกิดคุณภาพชีวิตของผู้คน การทำมาหากินการดูแลกัน รัฐในส่วนที่เป็นท้องถิ่นมีหน้าที่ทำให้สิ่งนี้ ทั้งหมดนี้เป็นจุดสนใจที่ทำให้เราสนใจลงสมัครเป็น ผู้ว่า กทม.

- แสดงว่า เรื่องธุรกิจการเมืองจะเข้ามาเกี่ยวข้อง หากผู้สมัครฯ สังกัดพรรค หรือมีกลุ่มทุนให้การสนับสนุน

แน่นอน หรือแม้ไม่ได้สังกัดพรรคก็ตาม งานท้องถิ่นเราจะเห็นว่ามันมีการใช้เงินกันมหาศาลขนาดไหน ลองคิดูเงินเดือนประจำตำแหน่ง ผู้ว่าฯ กทม. 4 ปี 5.4 ล้านเท่านั้น แต่ถ้ารวมอื่นๆ ด้วย เช่น เป็นกรรมการ งบการประประชุม ฯลฯ รวมๆ แล้วก็ไม่เกิน 10 ล้าน แต่ปรากฎว่า กกต. อนุมัติว่าสามารถใช้เงินหาเสียงได้ถึง 49 ล้านบาท ฉะนั้น มันจะเกิดในแง่ที่ว่าคนต้องไปหาทุนมาสนับสนุนก็ต้องอยู่ภายใต้พรรคการเมืองถึงทำได้ และเมื่อลงทุนถึงขนาดนี้เพื่อจะไปรับเงินเดือน 5.4 ล้าน คุณคิดว่ามันจะมีการถอนทุนไหม? จะมีการใช้อำนาจเพื่อแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ไหม เหล่านี้คือคำถาม

เรื่องพวกนี้เชื่อได้ว่ามันเป็นเรื่องของธุรกิจการเมือง เพราะงานบริหารพวกนี้ไม่ใช่งานการกุศล ซึ่ง การเลือกตั้งหลายครั้งที่ผ่านมาก็จะนำไปสู่ธุรกิจการเมือง เพราะนั้นการที่เราลงสมัครเป็น “อิสระตัวจริง” ไม่มีพรรคไม่มีทุนมาหนุนหลัง เพราะว่าเราเป็นประชาชนเราต้องการทำงาน เพื่อที่จะให้ผลประโยชน์ทั้งหมดตกอยู่กับประชาชนชาว กทม.

เพราะนักการเมืองคือผู้ที่จะจัดสรรทรัพยากรสิ่งที่มีคุณค่าให้สมาชิกในสังคมนั้นๆ อย่างเท่าเทียมที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมให้เกิดความเสมอภาคทั้งหลาย นี่มันเป็นสิ่งที่ต้องบอกว่ามันเป็นอุดมคติของนักกการเมือง แต่เราอาจไม่เคยเห็นเลยด้วยซ้ำว่านักการเมืองทำหน้าที่จัดสรรผลประโยชน์ให้ประชาชนอย่างเท่าเทียมกัน

เพราะว่าประชาชนทุกคนยอมสละอำนาจเพื่อเลือกคุณ เท่ากับเขามอบอำนาจให้เป็นอำนาจของตัวแทน แต่ปัญหาคือตัวแทนส่วนใหญ่ไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ที่รับมอบอำนาจมา แต่ว่าจัดสรรผลประโยชน์ให้กลุ่มและพวกที่สนับสนุนเงินให้แก่คุณในการเข้าสู่การเลือกตั้งใช่ไหม? เพราะว่าระหว่างคุณกับอำนาจมันคือสิ่งที่แลกเปลี่ยนกันไปมา เพราะฉะนั้นเราจึงได้สังคมอย่างที่เราเห็นไม่ว่าจะสังกัดกลุ่มไหนต่างเรียกร้องต้องการการปฏิรูป แต่จะปฏิรูปได้อย่างไร

- การเป็นผู้สมัครอิสระมีความแตกต่างอย่างไร อะไรคือจุดแข็งของคุณรสนาในฐานะ “ผู้ท้าชิงเก้าอี้ ผู้ว่าฯ กทม.”

ความแตกต่าง เราใช้เงินน้อย เวลานี้เป็นยุคดิจิทัล ที่เราสามารถใช้การประชาสัมพันธ์ในแง่ใช้เงินน้อย อาศัยการบอกต่อ เราเคยได้รับคะแนนเสียงตอนเลือกตั้ง ส.ว. 2 ครั้ง ปี 2549 รัฐธรรมนูญ 2540 กทม. ยังมี ส.ว. 18 คน ตอนนั้นได้คะแนนเป็นอันดับ 4 แต่ก็ถูกรัฐประหารไป พอปี 2550 มีการเลือกตั้ง ส.ว. จังหวัดละ 1 คน เราได้คะแนนเสียงมา 743,397 คะแนน ทั้งที่มีป้ายน้อยมากทั้งกรุงเทพฯ ประมาณ 2,000 ป้าย มีการพิมพ์ใบปลิวแจก 500,000

แต่คนที่เคยเห็นประวัติการทำงานของเราหยุดยั้งคอร์รัปชั่น จัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ 1.4 พันล้าน หลังยุคต้มยำกุ้งได้สำเร็จ ทำให้รัฐมนตรีสาธารณสุขติดคุกถูกยึดทรัพย์ ต่อมาเราหยุดยั้งการแปรรูป กฟผ. ที่จ้องยึดทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดคือสายส่ง Fiber Optic ซึ่งเป็นคมนาคมที่สำคัญมาก ปรากฎว่าถ้าถูกโยกเป็นของเอกชนทำความร่ำรวยให้เอกชนโดยประชาชนจ่ายค่าไฟแพงกว่าที่เป็นอยู่ มูลค่า 3.4 ล้านล้าน

หลังจากนั้นฟ้องเรื่อง ปตท. ถึงแม้จะไม่ถูกเพิกถอนจากตลาดหลักทรัพย์ แต่ศาลปกครองสูงสุดสั่งคืนสาธารณสมบัติ 1.6 หมื่นล้าน ตอนนี้ 5 ปี ผ่านไปก็ยังสู้อยู่นะ ที่จะทวงคืนท่อก๊าซกลางทะเล สิ่งที่เราทำมาเราเกาะติดนะ เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ การที่เราต่อสู้ไม่ว่าจะเป็นด้านพลังงาน เพื่อราคาน้ำมันถูกลง ราคาค่าไฟถูกลง ค่าแก๊สหุ้งต้มถูกลง การมีธรรมภิบาลในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยพื้นฐานชีวิตของประชาชน

เราคิดว่าสิ่งนี้คือจุดแข็งในฐานะที่การเป็นผู้สมัครอิสระ เพราะว่าในฐานะประชาชน ประชาชนสำคัญที่สุด เราไม่ได้ต้องการที่จะใช้เงินในการหาเสียงที่จะเป็นหนี้บุญคุญกับกลุ่มไหนไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมืองหรือกลุ่มทุน ที่ต้องมาเรียกผลประโยชน์ตอบแทน เราคิดว่าอาศัยประชาชนในการบอกต่อสู้เต็มที่ได้หรือไม่ได้เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ขึ้นอยู่กับประชาชนว่าจะตัดสินใจอย่างไร

- ก่อนที่คุณรสนาจะตัดสินใจลงสมัครผู้ว่าฯ กทม. ในฐานะประชาชนผู้มีสิทธิออกเสียง มองการตั้งท้องถิ่นอย่างไร

ส่วนใหญ่แล้วประชาชนไม่เชื่อในเรื่องนโยบาย เพราะว่านโยบายเป็นเหมือน Marketing เหมือนกับโฆษณาสินค้า และอยู่ที่ว่าคนจะเชื่อหรือไม่ ซึ่งถ้าให้เลือกเขาก็อาจจะคุ้นเคยกับการเลือกเพราะโฆษณาฟอร์มใหญ่ เพราะคิดว่าฟอร์มใหญ่น่าจะดีกว่าฟอร์มเล็ก แต่สิ่งที่เราพบมาไม่ว่าจะการเลือกตั้งใหญ่ หรือการเลือกตั้งท้องถิ่น เมื่อประชาชนให้อำนาจในการเลือกตั้งไปแล้ว ประชาชนไม่มีอำนาจเลย กลายเป็น powerless ไม่ว่าตัวแทนของประชาชนจะทำอะไรที่ไม่เห็นด้วยแต่ประชาชนก็ทำอะไรไม่ได้ สุดท้ายต้องออกมาเดินขบวนต่อต้าน ประชาชนไม่สามารถบอกได้ว่าเมื่อเราเลือกคุณแล้วเราเป็นนายคุณนะ คุณเป็นตัวแทนของฉันคุณต้องฟังฉัน แต่ปรากฎว่าจะต้องมาต่อต้านเรียกร้องว่าไม่เอาโครงการอย่างนี้อย่างนั้นตลอดเวลา เพราะว่าประชาชนป็นคนที่หมดอำนาจหลังเลือกตั้งแล้ว สังคมไทยอยู่ในวังวนของการเมืองแบบนี้มาตลอด

- ถ้าคุณรสนาได้เป็น ผู้ว่าฯ กทม. จะสร้างความแตกต่างสร้างเปลี่ยนแปลงอย่างไร

ดิฉันคิดว่า กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่มันจำลองสภาพทั้งประเทศ อย่างที่ประกาศวิสัยทัศน์ออกมาว่าต้อง หยุดโกง กรุงเทพฯ เปลี่ยนแน่ เพราะว่าถ้าคุณไม่หยุดโกง กรุงเทพฯ เปลี่ยนไม่ได้ สิ่งนี้คือหัวใจเลย ถ้าไม่หยุดโกง เปลี่ยนกรุงเทพฯ ไม่ได้ และเปลี่ยนประเทศไม่ได้ด้วย เพราะว่าปัญหาที่เราพบไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ คนรวยจำนวนหนึ่งครอบคลุมอาณาจักรธุรกิจทุกอย่าง ส่วนคนจนก็ต่อไป เกิดความเหลื่อมล้ำในทุกระบบมันปรากฎทั้งในกายภาพเศรษฐกิจสังคมทั้งหมด ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันเป็นปัญหาใหญ่ของกรุงเทพฯ ซึ่งฉายมา


-นโยบายของคุณรสนาเน้นสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีของคนเมือง และการบริหารด้วยความโปร่งใสเพื่อบรรลุเป้าหมายประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก

และประเด็นสำคัญที่สุดที่ทำให้นโยบายต่างๆ บรรลุได้คือ “ต้องหยุดโกง” ซึ่งเราคิดว่าถ้าหยุดโกง เราจะมีเงิน อย่าถามว่าเลือกรสนาแล้วได้อะไร ต้องถามว่าหยุดโกงแล้วได้อะไร หยุดโกงแล้วทำได้! เพราะ กทม. มีศักยภาพในการหารายได้ เอามาเป็นสวัสดิการให้กับประชาชน ไม่ใช่ไปรีดเอาแต่ภาษี เพราะ กทม. เป็นเป็นเมืองใหญ่ ถ้าบริหารอย่างโปร่งใส ซื่อสัตย์ สุจริต ไม่ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ สามารถสร้างรายได้มาสร้างเสริมคุณภาพชีวิตประชาชนได้เป็นจำนวนมาก

-การหยุดโกงจะเป็นเสมือนสารตั้งต้น สร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้น

จากนโยบายหยุดโกง เราได้นำเสนอออกมาเป็นในเรื่องๆ ตั้งแต่เรื่องของเงินบำนาญ 3,000 บาท ซึ่งเป็นเรื่องที่มีการถกเถียงในสังคมเป็นสิ่งที่ดีมาก เพราะว่าเราต้องให้เรื่องนี้เป็นตัวส่งแรงกระเพื่อมไปถึงจังหวัดอื่นๆ รวมไปถึงส่วนกลางด้วย ว่าถ้าเราเป็นนักการเมืองที่เป็นคนจัดสรรทรัพยากรให้กับประชาชนอย่างนี้ และกลับไปดูกันว่าที่ผ่านมามีการจัดสรรทรัพยากรผิดรูปผิดร่างหรือเปล่า เราไปอุ้มแต่คนรวยอยู่แล้วให้รวยมากขึ้นหรือเปล่า แต่ในขณะที่คนจนเราจนก็มากขึ้น เรามองว่าปัญหา กทม. ที่ควรแก้ไข้เป็นลำดับแรกเลยคือการมุ่งแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับผู้คน

อย่างนโนบายเรื่องบำนาญ 3,000 บาท หลายคนบอกทำไม่ได้หรอก แต่ลองคิดดูก่อนว่าถ้าคุณหยุดโกง เราทำได้นะ เพราะว่าในงบประมาณของ กทม. 7.9 หมื่นล้านในปี 2565 ยกตัวอย่าง มีการใช้เงินไปกับการกำจัดขยะถึง 10 % ของงบประมาณแผ่นดิน ของงบ กทม. ในแต่ละปีเราใช้เงินในการทำลายทรัพย์สินเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ 5 พันล้าน 6 พันล้าน 7 พันล้าน แทนที่ทรัพย์สินนั้นจะทำรายได้กลับเข้ามา โดยมีประเด็นเรื่องเงินใต้โต๊ะเข้ามาเอี่ยวด้วย ซึ่งองค์กรด้านความโปร่งใสนานาชาติเคยทำดัชนีชีวัดการทุจริตคอร์รัปชั่นในประเทศไทย ปี 2560 คะแนนของเราอยู่ที่ 37 คือ สอบตก เพราะต่ำกว่า 50 พอปี 2564 คะแนนความโปร่งใสเหลือ 35 แสดงว่าต้องมีการคอรัปชั่นมากขึ้นถูกไหม? แล้วในปี 2560 มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย รวมกับ ACT องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ระบุมีการรับเงินใต้โต๊ะสูงถึง 20 เปอร์เซ็นต์ ฉะนั้น ในปี 2564 คะแนน สัดส่วนการรับเงินใต้โต๊ะย่อมกว่ามากกว่า 20 เปอร์เซ็นต์

ดังนั้น ถ้าบริหารจัดการปัญหาในส่วนนี้ได้เราก็จะมีเงิน ซึ่งมีการรวบรวมข้อมูล อาทิ ผู้สูงอายุใน กรุงเทพฯ 1.1 ล้านคน ถ้าเราตัดผู้สูงอายุที่ได้บำนาญราชการรัฐวิสาหกิจ ตัดผู้สูงอายุที่มีรายได้พอเลี้ยงตัวได้ จะมีผู้สูงอายุไร้หลักประกันประมาณ 5.5 แสนคน ซึ่งรัฐส่วนกลางมีเบี้ยผู้สูงอายุตามอายุ 600 บาท 700 บาท 800 บาท นโนบายของเราเมื่อรัฐกระจายเบี้ยยังชีพส่วนนี้มาสู่ท้องถิ่น กทม. จะท็อปปอัพสำหรับผู้สูงอายุในส่วนนี้ให้เป็น 3,000 บาท

ถามว่าเอาเงินมาจากไหนก็มาจากการรีดงบส่วนต่างๆ ของ กทม. ซึ่งยังมีวิสาหกิจของ กทม. เช่น กรุงเทพธนาคม ตลาด และโรงรับจำนำ เรามีกิจกรรมของ กทม. ที่หารายได้ได้ ฉะนั้น ถ้าเรามีเจตนาที่ต้องการกระจายทรัพยากรไปให้กับผู้ที่ยากจนข้นแค้นที่สุดเพื่อให้เขามีชีวิตอยู่อย่างมีศักดิ์ศรีในฐานนะประชาชนชาว กทม. ซึ่งเข้าได้เคยจ่ายภาษีมาแล้วตลอดชีวิตไม่ว่าจะทางตรง หรือทางอ้อมเขาควรจะได้รับ

ฉะนั้น คนที่จะมาเป็นผู้บริหาร กทม. คนที่จะจัดสรรทรัพยากรให้กับสมาชิกในครอบครัว หรือ ชาว กทม. ต้องกระจายทรัพยกรไปสู่ผู้ที่มีความต้องการมากที่สุดก่อน สำหรับนโยบายเงินบำนาญ 3,000 ทำได้จริง คือเรามีการคิดวิเคราะห์มาแล้วมีวิศวกรรมการเงินเข้ามาดูระบบว่ามันสามามารถทำได้

-นโยบายลดค่าตั๋วบีทีเอส สายสีเขียว 20 บาท เป็นสิ่งที่คนกรุงเทพฯ ให้ความสนใจ และตั้งคำถามว่าทำได้จริงหรือ

บีทีเอสจะครบสัญญาสัมปทานในปี 2572 ซึ่งให้สัมปทานเอกชนก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานระบบราง ผูกขาดสิทธิประโยชน์ในการเดินรถ และได้รับสิทธิประโยชน์อื่นๆ ในการเดินรถ เช่น การเช่าที่ในสถานีรถไฟ การโฆษณา การเชื่อมต่อสถานีกับพื้นที่เอกชน ซึ่งพวกนี้เป็นเงินหมด ซึ่ง กทม. ยกให้เป็นสัมปทานกับบีทีเอสแต่อีก 7 สัมปทานจะสิ้นสุด

เราย้อนดูงบการเงิน ปี 2562, 2563 ต้นทุนต่อเที่ยว 15.70 บาท ย้อนหลัง 6 - 7 ปี ต้นทุนต่อเที่ยว 10-16 บาท เพราะฉะนั้นต้นทุนการเดินรถถูกมาก แต่ว่าที่เราต้องจ่าย 65 ต่อเที่ยว เพราะว่าเขาเอาต้นระบบรางเข้ามาคิดด้วย แสดงว่าคน กทม. เป็นคนจ่ายโครงสร้างพื้นฐานระบบรางทั้งหมด ฉะนั้น เมื่อถึงปี 2572 ประชาชนควรได้ใช้ของถูกแล้ว หลังจากทนกันมา 30 ปีในการจ่ายค่าโครงสร้างด้วย เพราะฉะนั้น คนกรุงเทพฯ ควรได้ใช้รถไฟฟ้าราคาถูก ราคา 20 บาท สำหรับสายสีเขียวทำได้แน่นอน

ถามว่าเป็นไปได้จริงๆ น่ะเหรอ ต้องบอกว่าค่าโดยสารบีทีเอส 20 บาท แม้จะไม่ใช่วันนี้หรือพรุ่งนี้ แต่การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ในยุคนี้คือตัวตัดสินชี้ชะตาอนาคตของคุณและลูกของคุณว่าจะจ่ายเงิน 65 บาทไปอีก 20 – 30 ปี หรือว่าจะมีโอกาสได้ใช้ค่าระ 20 บาท ซึ่งนี้เป็นหัวเลี้ยงหัวต่อที่สำคัญ

รัฐบาลเคยออกหลักเกณฑ์มาแล้วตั้งขึ้นมาให้ต่อสัมปทาน 65 บาทไปอีก 30 หรือบางคนบอกให้อยู่ไป 40 ปีเลย เพราะฉะนั้น การตัดสินจะเลือกใครมาาเป็นผู้ว่าฯ กทม. คือคุณตัดสินอนาคตของคุณเลยนะว่าจะเลือกค่ารถไฟฟ้า 20 บาท หรือ 65 บาท ซึ่งการยกข้ออ้างว่าต้องยกสัมปทานให้นั้น เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเรื่องสัมปทาน แต่ติดหนี้ก็ต้องจ่ายก็เท่านั้น ต้องหาวิธีการจ่าย และดิฉันมีวิธีการจ่าย

-ค่าตั๋วบีทีเอส 20 บาท เป็นไปได้ หากคุณรสนาได้รับเลือกเป็นผู้ว่า กทมฯ

ต้องบอกว่าเรื่องบีทีเอส 20 บาท เป็นตัวชี้ชะตานะ ว่าคุณจะเจอ 65 บาทอีก 30 ปีไหม และสิ่งที่จะเกิดขึ้นระบบรางจะไม่ใช่ขนส่งมวลชน คนจะหันไปพึ่งรถยนต์ จะเกิดปัญหารถติดเหมือนเดิม ปัญหาฝุ่น PM 2.5 เป็นพิษเหมือนเดิม การที่เราจะแก้ปัญหาแต่ละเรื่องของคนกรุงเทพฯ เรื่องอากาศ เรื่องรถติด เรื่องน้ำท่วม เป็นเรื่องที่ต้องวางทิศทางของการพัฒนาไปข้างหน้า แต่ถ้าไม่วางทิศทาง ไม่แก้วันนี้ คุณอาจจะแก้ไม่ได้ทั้งหมด ซึ่งการแก้ไขมันมุ่งไปสู่จัดนั้น ต้องมาดูกันว่าการแก้ไขไนวันนี้มันมุ่งไปสู่จุดนั้นไหม

ถ้าดิฉันมีโอกาสเป็น ผู้ว่าฯ กทม. เราจะเจรจากับทาง รฟม. รถของ กระทรวงคมนาคม ก่อสร้างโดย รฟม. มีลักษณะซ้ำซ้อนเรื่องค่าแรกเข้า กทม. และ รฟม. จะหารือเรื่องค่าแรกเข้าไม่ให้ซ้ำซ้อนได้หรือไม่ ถ้าสามารถลดค่าใช้จ่ายลงไปได้ เราเคยเสนอไอเดียนึง ถ้าเราสามาถทำราคาเดียว มีค่าแรงเข้าเดียว บวกค่าเดินทางต่อสถานีละ 2 บาท โดยมีค่าแรกเข้า 12 บาท แล้วสูงสุดอย่าเกิน 40 - 44 บาท ทั้ง 10 สายของรัฐ ระยะ 466 กม. ถ้าเราเจรจาได้จะทำสัญญาว่าเมื่อถึงปี 2572 กทม. ได้กรรมสิทธิรถไฟฟ้าสายสีเขียว จะยกมาผนวกกับ รฟม. ทั้งระบบ จะมีค่าส่วนต่างใดๆ ทั้งนั้น เพราะ กทม. เป็นรัฐกิจ ไม่ใช่ธุรกิจ จุดมุ่งหมายของรัฐกิจคือความสุขสมบูรณ์ของประชาชน

-นโยบายของคุณรสนาจะส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนสร้างเศรษฐกิจประเทศ โดยเริ่มจาก economic actors

เราคิดว่าประชาชนทุกคนมีส่วนสร้างเศรษฐกิจให้กับประเทศ เป็น economic actors หมายความว่คนเล็กคนน้อย เช่น หาบเล่แผงลอย ทุกคนมีส่วนในการส้รงาเศรษฐกิจของประเทศ แต่ว่ารัฐบาลไม่ได้มองคนเล็กคนน้อยเหล่านี้ ว่าเขาเป็น economic actors คุณรู้ไหม? หาบเร่แผงลอยสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ หมุนเวียน 8 หมื่นล้าน ตัวเลขนี้ไม่ใช่น้อยนะ คือเรื่องหาบเร่แผงลอย

ไอเดียของเราคือจะไม่ไปไล่จับหาบเร่แผงลอย แต่เราจะดูความสมดุลสตรีทฟู้ดที่เป็นซิกเนเจอร์ของไทย เราจะรักษาให้อยู่ในระดับมาตรฐานอย่างไร แล้วพื้นที่ที่ไปรบกวนทางเดินเท้าต้องแก้ไขปัญหาโดยหาพื้นที่ที่เป็นทำเลขายดีให้เขาไปขาย ไม่ใช่ว่าจับย้ายไปหลบซ่อนไกลๆ คนเข้าไม่ถึง ซึ่งเราจะไม่ทำอย่างนั้น เราจะทำพื้นที่ให้คนเหล่านี้มีทำเลในการขาย แล้วทำความสะอาด อาหารปลอดภัย ราคาถูก เราต้องการส่งเสริมเพราะคนเหล่านี้เป็น economic actors เล็กๆ ที่สร้างมูลค่านับหมื่นล้านต่อปี

ในความคิดของเราประชาธิปไตยในการเมืองมันจะอยู่ได้ต้องมีประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ ประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจคือต้องทำให้คนเล็กคนน้อยเขามีงานทำพึ่งพาตัวเองได้ เขาก็ยืนอยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรี ไม่ใช่ว่าคุณเอาเงินไปแจกเค้าอย่างเดียว แต่คุณต้องช่วยให้เขามีงานทำ เพราะสิ่งที่เรียกว่า mass production คือการผลิตขนาดใหญ่มันแก้ปัญหาได้บางเรื่องเรียกว่าเป็นความสะดวก แต่ว่ามันไม่สามารถจะช่วยให้คนทุกคนมีงานทำ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือคุณต้อง production by the mass ผลิตโดยคนส่วนใหญ่ไม่ใช่แค่ผลิตขนาดใหญ่ คือรัฐเวลานี้สงเสริมแค่ผลิตขนาดใหญ่ ซึ่งการผลิตขนาดใหญ่เป็นที่จำเป็น แต่ขณะเดียวกันคุณต้องส่งเสริมการผลิตโดยคนส่วนใหญ่ด้วย เช่นการส่งเสริมหาบเร่แผงลอยให้เขาทำมาหากิน เมื่อเขาทำมาหากินได้ ก็ไม่มาเป็นภาระกับรัฐ เขายื่นอยู่ได้ด้วยตัวเขาเอง เขาก็มีศักดิ์ศรี

รวมไปถึง solar roof มันคือประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ แดดมันเป็นประชาธิปไตยนะ แดดมันส่องให้กับทุกคน ไม่ว่าคุณจะเป็นคนดีคนชั่ว แดดมันเข้าถึงได้ทุกคน รัฐควรสนับสนุนให้ประชาชนผลิตไฟบนหลังคาให้หลังคาเป็นธนาคารของตัวเอง เพราะถ้าผลิตไฟจาก solar roof ได้ เชื้อเพลิงหรือแสงแดดเป็นของฟรีที่ทุกคนเข้าถึงได้ เพียแต่ของให้คุณมีเทคโนโลยีไปรับแสง สมติติด 1.5 กิโลวัตต์บนหลังคา จะประระหยัดไฟได้เดือนละ 500 บาท ฉะนั้น เราอยากรณรงค์ให้มีการสนับสนุนให้ประชาชนติด solar roof แล้วใช้ระบบ Net Metering หรือ หักลบกลบหน่วย เช่นสมมติเราผลิตได้ 100 หน่วย เราใช้ไป 200 หน่วย เราจ่ายเงิน 100 หน่วย แต่ตอนนี้รัฐบาลสร้างอุปสรรคเยอะ ที่จะไม่ให้คนได้ทำ แต่เวลานายทุนทำโรงไฟฟ้าใหญ่ให้เขาทำได้ ซึ่งเป็นความเหลื่อล้ำที่ไม่เป็นธรรม

นโยบายของดิฉันเพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำเหล่านี้ การเมืองที่เรียกว่าประชาธิปไตย ต้องถูกรองรับด้วยประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ และประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจคือการผลิตโดยคนส่วนใหญ่ต้องทำได้ ไม่ใช่ผลิตขนาดใหญ่เพียงอย่างเดียว เพราะการผลิตขนาดใหญ่มันทำให้เกิดการรวมศูนย์ทุน พอรวมศูนย์ปุ๊บก็จะมีอำนาจเหนือคนอื่น รวมทั้งเหนือนักการเมืองในรัฐบาล เพราะฉะนั้นมันก็จะเกิดการทุจริตคอร์รัปชั่นขึ้นมาได้

-เรื่องน้ำท่วมเป็นปัญหาที่คนกรุงเทพฯ เผชิญซ้ำซาก แม้มีอุโมงค์ระบายน้ำก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ คุณรสนามีแนวทางแก้ปัญหาอย่างไร

แทนที่จะสร้างอุโมงค์น้ำเป็นแสนๆ ล้าน หมดไปแล้วกี่อุโมงค์แก้ปัญหาทำท่วมได้ไหม แก้ไม่ได้ แล้วยังจะทำอีกเหรอ แทนที่จะขุดคลองเพิ่มทางสัญจรในทางน้ำให้มากขึ้น แล้วเปิดเป็นพื้นที่ที่ประชาชนหากินได้ ทำตลาดน้ำขึ้นมา และเมื่อขุดคลองจะเป็นที่ระบายน้ำได้มากขึ้น กรุงเทพฯ จะมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจเกิดขึ้นได้ กรุงเทพฯ มีคลอง 1,800 คลอง ทำไมไม่พัฒนาของเก่าที่บรรพบุรุษทำเอาไว้ กรุงเทพฯ เป็นพื้นที่ลุ่มต่ำ ภูมินิเวศเราคือน้ำ แต่เวลานี้เราถมทิ้งคูคลองเป็นที่ทิ้งขยะเป็นที่ระบายน้ำเสียหรือถมทำถนน ซึ่งมันไม่ใช่ภูมินิเวศของเรา ฉะนั้น กรุงเทพฯ ก็เจอปัญหาน้ำท่วมเป็นธรรมดา แต่ถ้าขุดคูคลองน้ำท่วมไปได้เร็วขึ้น

แล้วการขุดคูคลองเพิ่มจะเป็นการจ้างงานด้วย จากที่ประชาชนไม่มีเงินเพราะไม่มีงาน เรื่องการทำอุโมงค์น้ำเราต้องรู้ว่าภูมินิเวศ กทม. เป็นดินอ่อน ดินทรุดลงทุกปี ยกตัวอย่าง อาคารรับน้ำ ในโครงการก่อสร้างอุโมงค์ระบายน้ำบึงหนองบอน ในพื้นที่อุดมสุข เขตประเวศ ที่ถล่มแล้วลากเอาถนนไปทั้งสาย รวมทั้งบ้านเรือนประชาชน มอเตอร์ไซค์ เพราะการสร้างโครงการขนาดใหญ่

แก้ปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพฯ เห็นมีแต่โฆษณาโครงการเมกะโปรเจกต์ แต่แก้ไม่ได้จริง ซึ่งคนกรุงเทพฯ ก็ยังอยากจะฟัง ทั้งที่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ก็จะเลือกคนฟอร์มใหญ่มีความน่าเชื่อถือ ถ้าต้องการแก้ปัญหาจริง ต้องมองมันด้วยสายตาว่าอะไรที่มันจำเป็นต้องแก้ไข แต่ถ้าคุณมี agenda ว่าเป็นธุรกิจการเมืองคุณจะทำโครงการที่จะทำให้คนบางกลุ่มได้ประโยชน์ โดยไม่สนใจเลยว่าคนกรุงเทพฯ ได้ประโยชน์มั้ย คุณทำอุโมงค์ตั้งเท่าไหร่ แล้วยังจะทำต่อ โครงการใหญ่ทั้งนั้น คนจะอดตายกันอยู่แล้ว โครงการใหญ่ผลาญเงินหร่อยหรอ ฉะนั้น มันวนกลับมาที่ หัวใจ คือ หยุดโกงกรุงเทพฯ เปลี่ยนแน่ และหยุดโกงประเทศไทยเปลี่ยนเช่นเดียวกัน แต่เรายังไม่สามารถทำได้ในระดับประเทศ เราเริ่มทำในกรุงเทพฯ

-ประเด็นการกระจายงบ 50 ล้านต่อเขต ให้คนในพื้นที่ตัดสินใจ เป็นหนึ่งในนโยบายที่ถูกจับตามองและตั้งคำถามถึงความเป็นไปได้

กรุงเทพฯ ควรจะเป็นองค์กรท้องถิ่นโดยเจตนารมณ์ควรมีเป็นการกระจายอำนาจ และการกระจายอำนาจต้องไม่ใช่กระจายอำนาจแต่ปาก คุณจะต้องมีโครงการที่แสดงให้เห็นถึงการกระจายอำนาจ ในทั่วโลกที่เริ่มมองกันมากขึ้น แม้ประชาชนถึงจะเลือกผู้แทนของเขาเข้ามา แต่เขาต้องมีส่วนร่วม แต่ของไทยเราเลือกตั้งท้องถิ่นหรือเลือกตั้งการเมืองระดับใหญ่แล้วประชาชนการเป็นคนไร้อำนาจไม่มีอำนาจตัดสินใดๆ ทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น เรามีนโยบายกระจายงบ 50 ล้านต่อเขต ให้คนในพื้นที่ตัดสินใจแก้ปัญาหา คือเวลาเราทราบว่าแต่ละเขตมีเงินปีละ 2-3 ล้าน ซึ่งมันแก้ไขปัญหาในท้องถินไม่ได้

ดังนั้น จะมีการกระจายงบลงไปแล้วให้ผู้อำนวยการเขตแต่ละเขตมีอิสระในการแก้ปัญหาบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้กับประชาชนในเขตของเขา ไม่ใช่อยู่แบบตามคำสั่งเพียงอย่างเดียว ผอ. ต้องออกคำสั่งออกไป เพราะคุณคือแม่บ้านของเขต ส่วนเราเสนอตัวเป็นผู้ว่า กทม. เราก็เป็นแค่หัวหน้าแม่บ้าน ต้องกระจายงบประมาณที่เราได้มาจากภาษีของประชาชนให้กับแต่ละเขตเพื่อให้เขตในการบริหารท้องถิ่นนั้นๆ

โดยกระบวนการที่จะให้การบริหารมีความโปร่งใส ต้องมี Participatory Budgeting การมีส่วนร่วมในเรื่องของงบประมาณโดยประชาชน การทำงบประมาณที่มีส่วนร่วม เริ่มต้นไม่สามารถทำทั้งระบบ แต่หนึ่งประชาชนชาว กทม. ที่เป็นเจ้าของภาษีต้องมีโอกาสรับรู้ว่า เอาเงินเราไปทำไร เราเห็นด้วยมั้ย อย่างน้อยในเจตจำนงค์ของตัวเองได้เห็นการบริหารเงินอย่างไรทำสิ่งใดบ้าง

คำถามคือ 50 ล้านบาท หากกระจายลงไปแล้วไปอยู่ที่ ผอ.เขต แล้วจะแน่ใจอย่างไรว่ามีความโปร่งใส คือเรื่องนี้เรามีแนวคิดว่าเราจะใช้สิ่งที่เรียกว่า ACT AI คือองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) ซึ่งเป็นหน่วยงานภาคธุรกิจ เชื่อมโยงมาถึงแนวคิดนโยบายปราบโกง เราต้องมีเครื่องมือในการตรวจสอบ ACT ได้มีการพัฒนาแอปพลิเคชั่นเป็นระบบ Big data สามารถตรวจสอบการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานมีความโปร่งใสไหม การนำเทคโนโลยีของ ACT เข้ามาตรวจสอบชี้วัดความโปร่งใส เป็นดัชนีความโปร่งใส่ระหว่างภาคธุรกิจกับรัฐ จะตัดวงจรเงินใต้โต๊ะ ต้องถูกตรวจสอบใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่าเป็นประโยชน์ต่อประชาชน นี่คือวิธีการกำกัดการโกงโดยใช้แอปพลิเคชั่นของภาคธุรกิจ เราสามารถใช้งบอย่างโปร่งใส มีธรรมาภิบาล ได้ประโยชน์สูงสุดต่อคนชาวกรุงเทพฯ


- สนับสนุนเรื่องยาไทยสมุนไพรไทย ชูฟ้าทะลายโจรเป็นหลักประกันอยู่ร่วมกับโควิด-19 เพื่อให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างมั่นใจ

ดิฉันเสนอเรื่องยาสมุนไพรไทยและฟ้าทะลายโจร ตั้งแต่ปี 2564 ในช่วงโควิด-19 สายพันธ์เดลต้า ยอดผู้ติดเชื้อพุ่งสูง ตอนั้นเรายังไม่มีเรื่องวัคซีน หรือฟาวิพิราเวียร์ ซึ่งแทบจะไม่มีการพูดถึง หรือมีเป็นจำนวนน้อย ดังนั้น สมุนไพรไทยฟ้าทะลายโจร ที่มีสรรพคุณในการรักษาอาการของโรคโควิด เรากระจายไปทั้งประเทศมากกว่า 3 ล้านแคปซูน

แล้วสิ่งที่เก็บข้อมูลคือเราได้ทำโครงการสมุนไพรเพื่อการพึ่งพาตัวเองตั้งแต่เรียนจบมาใหม่ๆ ตั้งแต่ปี 2522 และโครงการนี้มีส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดสมุนไพร 5 ตัวในบัญชียาหลัก และ 1 ใน 5 ตัวนั้น คือ ฟ้าทลายโจร ซึ่งเราได้รวบรวมข้อมูลไว้ว่ามันเป็นยาที่ใช้สำหรับพวกไวรัส ซึ่งไม่ว่าไวรัสจะมาจากชนิดไหน ถ้าเพิ่งเริ่มเป็นและใช้เลยมันได้ผลแน่นอน มันเหมือนกับว่าเรายังไม่ปล่อยให้เชื้อไวรัสสร้างพลพรรคโจมตีร่างกาย

คือเราต้องรู้ว่า โรคที่เกิดจากไวรัสทั้งหลาย ต้องอาศัยภูมิบนร่างกายตัวเอง วัคซีนซึ่งเป็นหนึ่งที่จะทำให้ร่างกายจดจำศัตรู สมมติไวรัสตัวนี้เข้ามาปุ๊บเป็นศัตรูตัวใหม่ เราฉีดวัคซีนเพื่อให้ร่างกายจดจำว่ามันคือศัตรู ร่างกายจะได้สร้างภูมิขึ้นมาต่อสู้กับมัน ซึ่งถ้าหากเริ่มมีอาการป่วยแล้วกินยาสมุนไพรฟ้าทะลายโจรเลย ร่างกายที่มันแข็งแรงอยู่แล้วมันจัดการได้

หมออมร นนทสุต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พูดไว้ว่าโรค 80 เปอร์เซ็นต์รักษาได้ด้วยสมุนไพร มีเพียง 20 เปอร์เซ็นต์ที่ต้องพึ่งระบบการรักษาที่ซับซ้อน เช่น การแพทย์แผนตะวันตก ฯลฯ ฉะนั้น ระบบสาธารณสุขต้องบริหารพื้นที่ในการรักษา แยกรักษาผู้ป่วยกลุ่มตามกลุ่มอาการ ที่มีอาการน้อยที่แข็งแรงให้รักษาตัวที่บ้าน กันพื้นที่ในโรงพยาบาลสำหรับผู้ป่วยอาการรุนแรง

ซึ่งงานวิจัยฟ้าทลายโจรสามารถหยุดยั้งการขยายตัวของโควิด-19 ในหลอดทดลอง ฟ้าทะลายโจรมีความปลอดภัยกับเนื้อเยื้อ สมอง ตับ ไต ปอด ลำไส้ ฯลฯ มีการทดลองของคนไทยซึ่งตีพิมพ์ในต่างประเทศด้วย ฟ้าทลายโจรสามารถจัดการเชื้อโควิดได้ในช่วงเริ่มต้น ซึ่งเราได้แจกจ่ายให้ประชาชนมียาสมุนไพรป้องกันตัวเอง

นโยบายข้อนึงของเราคือต้องอยู่กับโควิดให้ได้ ต้องทำงานทำมาหากิน และถ้ามีอาการป่วยให้กินฟ้าทลายโจร ซึ่ง 80 เปอร์ที่ร่างกายแข็งแรง สามารถป้องกันตัวเองได้ ส่วน 20 เปอร์เซ็นต์อาจต้องสงวนเตียงในโรงพยาบาลไว้สำหรับรักษากลุ่มอาการหนัก เพราะหากทั้ง 100 เปอร์เซ็นต์ระดมข้าไประบบสาธารณสุขล่มแน่นอน การแยกกลุ่มผู้ป่วยเป็นเรื่องสำคัญ

ส่วนตัวดิฉันไม่ได้ด้อยค่าวัคซีน แต่ปัญหาคือวัคซีนฉีดไปแล้วก็ยังติดเชื้อได้ ส่วนถ้าติดก็ใช้ฟ้าทะลายโจรควบคู่ด้วยเพราะไม่มีอันตราย เราอยู่กับโควิดมาแล้ว 3 ปี เราต้องหันกลับมาพึ่งตัวเอง เราต้องอยู่กับมันให้ได้ นอกจากนี้ เรายังต่อยอดผลิตยาแผนไทยฟ้าทะลายโจรส่งขายเพื่อนบ้านได้ด้วย

-เป้าหมายสูงสุดในการลงเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ครั้งนี้

ทุกคนก็ต้องคิดว่าเราต้องสามารถได้เป็น ผู้ว่าฯ กทม. แล้วก็การที่เราเป็นผู้ว่าฯ กทม. ช่วงนี้เป็นจุดหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญ เรามีความพยายามในแก้ไขปัญหา เราเป็นคนยุค 14 ตุลาฯ เราผ่านเหตุการณ์ที่ประชาชนต้องการต่อสู้เพื่อขจัดการทุจริตคอร์รัปชั่น เพราะอาจาร์สัญญา ธรรมศักดิ์ เคยพูดไว้แล้วเรื่อง 14 ตุลาฯ ไม่ใช่การไล่ทหาร แต่เป็นการแสดงให้เห็นว่าประชาชนไม่ต้องการการทุจริตคอร์รัปชั่นที่มีการใช้อำนาจทหาร

ต่อมา ปี 2535 เราคิดว่าทหารหมดไป แต่กลายเป็นนักการเมืองกลับมาคอร์รัปชั่น กลายเป็นว่าสองฝ่ายผลัดกันบริหารประเทศ ผลัดกันกิน เหล่านี้ประชาชนไม่ต้องการ เราจึงเห็นการเคลื่อนไหวของประชาชนไม่ว่าจะเป็นกลุ่มไหนที่ออกมาเรียกร้องในแง่ปฏิรูป และปัญหาคือประชาชนถูกมายาคติแบ่งขั้วสู้กันระหว่างขั้ว ซึ่งมันเป็นประโยชน์ของการผูกขาดอำนาจเท่านั้นเอง เราคิดว่าในส่วนของการที่เรามาลงในพื้นที่ท้องถิ่น มันเป็นจุดที่เราเห็นว่าถ้าเรามีโอกาสเปลี่ยนแปลงจุดนี้ได้มันจะเป็นแรงกระเพื่อมสู่การเปลี่ยนแปลงอื่นๆ

-“ม้านอกสายตา” การจะไต่ลำดับขึ้นมาสู่อันหนึ่งขึ้นอยู่กับประชาชนอย่างแท้จริง

ความที่เราเป็นม้านอกสายตา ถามว่ากังวลคู่แข่งมั้ย? สิ่งที่กังวลไม่ได้กังวลคู่แข่ง เพราะแข่งกับตัวเอง เพราะฉะนั้นต้องแข่งกับตัวเองในการไต่อันดับขึ้นไปให้ได้ ซึ่งมันขึ้นอยู่กับประชาชน ว่าเขาเห็นในสิ่งที่เราเห็นมั้ย และเราทำให้เขาเห็นในสิ่งที่เราเห็นได้มั้ย ซึ่งเราไม่ได้มีงบในการทำมาร์เกตติ้งมากพอ เราใช้โซเชียลฯ ในการทำให้คนกรุงเทพฯ ได้เห็นในสิ่งที่เราเห็น ส่วนจะเข้ามาร่วมไต่ลำดับขึ้นไป มันขึ้นอยู่กับประชาชน.


กำลังโหลดความคิดเห็น