xs
xsm
sm
md
lg

[คำต่อคำ] SONDHI TALK : ส่องตัวเลือกผู้ว่าฯ กทม. ใครคือของจริง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



วันที่ 8 เม.ย. 65 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ไลฟ์สด “SONDHI TALK” ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ คุยทุกเรื่องกับสนธิ ช่องยูทูป Sondhitalk และแอปพลิเคชัน Sondhi App โดยประเด็นเล่าในวันนี้ เริ่มจาก ฉีกหน้ากากคนสนิทสมเด็จพระวันรัต ยอกทรัพย์วัดบวรฯ ไป 200 ล้าน "ไวยาวัจกรเนย" ทำอย่างไรถึงก้าวกระโดดมาเป็นคนสนิทของ สมเด็จพระวันรัต
-"การบินไทย" จู่ๆ ก็มีกำไร 5 หมื่นกว่าล้านได้อย่างไร
-ทำไมรัสเซียถึงต้องเข้าไปยึดไครเมีย และยูเครน มี 9 เหตุผลในเชิงยุทธศาสตร์ จะร่ายยาวให้ฟัง
-กลิ่นสงครามนิวเคลียร์? ตอนนี้รัสเซียกับญี่ปุ่น กำลังวัดดวงกันหลายๆ เรื่อง มีข้อเสนอจากชินโซ อาเบะ ให้ญี่ปุ่นผลิตอาวุธนิวเคลียร์เอง แต่ละประเทศต่างก็มีนิวเคลียร์ คราวนี้โลกอยู่อย่างไม่สงบสุข
-ผู้สมัครชิงตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม. บางคนสังกัดพรรค บางคนลงในนามอิสระ แต่คนที่อิสระจริงๆ คือใครกันแน่



คำต่อคำ SONDHI TALK EP. 132 [8 เม.ย. 65] : ส่องตัวเลือกผู้ว่าฯ กทม. ใครคือของจริง

ช่องทางการรับชมรับฟัง "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" หรือ SONDHI TALK

แอปพลิเคชัน : SONDHI APP
ระบบ iOS ดาวโหลดได้ที่ AppStore : https://apps.apple.com/th/app/sondhi-app/id1588046647.
ระบบ Android ดาวโหลดได้ที่ Google Play : https://play.google.com/store/apps/details?id=com.sondhitalk.asia.android
เฟซบุ๊กแฟนเพจคุยทุกเรื่องกับสนธิ
YouTubeSondhitalk
เว็บไซต์ www.sondhitalk.com
Podcast หรือ podbean : SONDHI TALK

สวัสดีครับท่านผู้ชม วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2565 อาทิตย์หน้าก็จะเป็นวันสงกรานต์แล้ว วันนี้ผมจะพูดหลายๆ เรื่อง แต่ก่อนจะเข้าไปหลายๆ เรื่องนั้น ขอเข้ามาสู่เรื่องของ Sondhi App ก่อน

สัปดาห์ที่แล้วเป็นสัปดาห์แรกที่เราปิดระบบ ทำให้เข้าดูได้เฉพาะคนที่สมัครเป็นสมาชิกเท่านั้น ใครที่ยังไม่ได้สมัครเป็นสมาชิก รีบเข้าไปสมัครนะครับ ผมขอยืนยันว่าเรากำลังทำหลายๆ เรื่องที่ไม่สามารถเผยแพร่ทางเฟซบุ๊ก หรือยูทูบได้ รับรองแต่ละเรื่องจะโดนใจท่านผู้ชมอย่างแน่นอนที่สุด และท่านผู้ชมจะหาฟังไม่ได้จากที่ไหนเลย เหมือนกับอาทิตย์ที่แล้ว พอเราออกรายการไป ธรรมดาพอหมดไลฟ์โปรแกรมแล้ว เราก็จะทำชุดที่เรียกว่า ฟูลโปรแกรม (Full Programme) เอามาแต่งหน้าแต่งตา ตัดต่อ Sondhi App ก็ได้ดูเป็นคนแรก ส่วนหน้าเฟซบุ๊กนั้น เราต้องรอให้ Sondhi App ได้ดูกัน 2-3 วันก่อนแล้วค่อยเอามาลงที่หน้าเฟซบุ๊ก

ใครที่มีปัญหาในเรื่องการจ่ายเงิน หรือเข้าแอปฯ ไม่ได้ ท่านผู้ชมแอดไลน์มาเลย สอบถามมาได้ ที่ #sondhitalk

ท่านผู้ชมครับ การทำรายการนั้น ต้องใช้เงินใช้ทอง แล้วอิสระเสรีภาพในการทำนั้น เป็นเรื่องที่สำคัญมาก ด้วยเหตุนี้เราถึงทำ Sondhi App กันขึ้นมา ท่านผู้ชมครับ เดือนละ 99 บาท / วันละ 3.30 บาท ถูกมากสำหรับการเอาปัญญามาเสริมปัญญาท่านผู้ชม ไม่มีอีกแล้วครับในสังคมไทยที่จะมีรายการที่ให้ปัญญาท่านผู้ชมได้


ท่านผู้ชมครับ ในช่วงสงกรานต์นี้ สมุนไพรบ้านพระอาทิตย์ ได้ส่งเซ็ตสุขภาพมาให้ผม เอามาแนะนำให้ท่านผู้ชมนะครับ เซ็ตนี้ประกอบด้วย QUERCETIN คือวิตามินเสริมภูมิคุ้มกัน LUTEIN เป็นวิตามิน ยาสีฟันสมุนไพรบ้านพระอาทิตย์ และฟ้าทะลายโจร ของอาจารย์ปานเทพ อย่างละชิ้น ทั้งเซ็ตนี้ มิหนำซ้ำเรายังมีหน้ากากผ้า สกรีนโลโก้ SONDHI TALK อีก 1 ชิ้น ทั้งหมดนี้ส่งให้คนที่คุณรักถึงหน้าบ้านในราคาพิเศษ เฉพาะช่วงนี้เท่านั้น สินค้านี้มีจำนวนจำกัด ถ้าใครสนใจ สามารถสั่งซื้อได้ที่ Shopee, Lazada หัวข้อ "สมุนไพรบ้านพระอาทิตย์"

สำหรับท่านผู้ชมที่สนใจสินค้าของสมุนไพรบ้านพระอาทิตย์ ตอนนี้เรามีวางจำหน่ายแล้วที่ร้าน Kleens STATION สาขา ปตท. วิภาวดี ติดกับร้าน SUN PAN ที่ท่านผู้ชมไปดู


เมื่อวันพุธ วันหยุดที่ผ่านมา เมื่อวานซืน ผมได้ไปร้าน SUN PAN สาขา ปตท. ได้พบกับแฟนรายการที่ไปอุดหนุน ผมซื้อน้ำ Yuzu Soda และสินค้าใหม่ คือ พุดดิ้ง กลับมาทานที่บ้าน Yuzu อร่อยมากครับ เป็นน้ำโซดา ท่านผู้ชมซื้อไปรับรองไม่ผิดหวัง ผมแนะนำให้ซื้อติดเอาไว้ดื่มตอนหน้าร้อนนี้

พุดดิ้ง ทำโดยเชฟจากญี่ปุ่นที่มาอยู่เมืองไทยนานพอสมควรแล้ว อร่อยครับ ท่านผู้ชมที่เคยทานพุดดิ้งที่ญี่ปุ่น เมื่อทานอันนี้แล้วท่านผู้ชมจะรู้สึกว่ามันอร่อยพอๆ กันเลย หรืออาจจะอร่อยมากกว่าด้วยซ้ำ



ท่านผู้ชมครับ อาทิตย์นี้เรามีหลายๆ เรื่องที่เป็นที่น่าสนใจมาก เรื่องแรก ท่านผู้ชมคงได้ยินข่าวนี้มาแล้ว แต่เราเอาเบื้องหน้าเบื้องหลังมาเล่าให้ฟัง มาฉีกหน้ากากคนที่เป็นคนสนิท และเป็นคนที่ทำงานแทน สมเด็จพระวันรัต ที่วัดบวรนิเวศฯ ที่ตั้งฉายาว่า "ไวยาวัจกรเนย" ยักยอกทรัพย์วัดบวรฯ ไปประมาณ 200 ล้าน ติดตามมา แล้วจะรู้ว่า "ไวยาวัจกรเนย" ทำอย่างไรถึงก้าวกระโดดมาเป็นคนสนิทของ สมเด็จพระวันรัต

เรื่องที่สอง เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นและท่านผู้ชมคงรอให้ผมพูดมานานแล้ว ก็คือ ผู้สมัครชิงตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม. มีหลายมิติที่ผมจะเล่าให้ฟัง และผมก็มีความคิดของผมในเรื่องผู้สมัคร ผมกำลังจะบอกท่านผู้ชมว่า ตั้งใจฟังคลิปตอนนี้ดีๆ แล้วท่านผู้ชมอาจจะตัดสินใจได้ว่าใครควรที่จะเป็นผู้ว่าฯ กทม. ในหัวใจของท่าน ผมเพียงแต่ขอให้ท่านผู้ชมดูเหตุการณ์ อ่านข้อมูล ด้วยสติปัญญา อย่าใช้อารมณ์ อย่าติดตามกระแส ผมไม่ต้องการให้การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. นั้นเกิดขึ้นเพราะกระแสในโซเชียลมีเดีย แต่ผมขอให้ท่านผู้ชมใช้จุดยืนของตัวเอง ใช้ความคิดของตัวเอง วิเคราะห์ข้อมูลให้รอบด้าน

อีกเรื่องหนึ่ง มันมีคนสงสัยมานานและถามผมมานานแล้ว ว่า ทำไมรัสเซียถึงต้องเข้าไปยึดไครเมีย และยูเครน ผมก็ไปค้นข้อมูลเก่าๆ มา แล้วก็วิเคราะห์เรื่องราวต่างๆ น่าสนใจมากครับท่านผู้ชม และน่าจะเป็นครั้งแรก ในต่างประเทศผมไม่รู้นะ แต่ในเมืองไทยไม่มีใครวิเคราะห์แบบนี้ ผมกำลังบอกว่า มี 9 เหตุผลในเชิงยุทธศาสตร์ ว่าทำไมรัสเซียต้องยึดไครเมีย และบุกยูเครน แล้วเหตุผลแต่ละข้อ เดี๋ยวผมจะร่ายยาวให้ท่านผู้ชมได้ฟัง ว่าเหตุใด ข้อนี้เพราะอะไรๆ เมื่อท่านผู้ชมฟังทั้ง 9 ข้อแล้ว ผมเชื่อว่าท่านผู้ชมจะเห็นด้วยกับผม

อีกเรื่องหนึ่ง น่าสนใจมาก ได้กลิ่นสงครามนิวเคลียร์หรือยังท่านผู้ชม ? ตอนนี้รัสเซีย กับญี่ปุ่น กำลังวัดดวงกันหลายๆ เรื่อง ญี่ปุ่นเองถึงกับมีข้อเสนอจาก นายชินโซ อาเบะ อดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ว่า อยากให้ญี่ปุ่นผลิตอาวุธนิวเคลียร์เอง ญี่ปุ่นมีนิวเคลียร์ เกาหลีใต้มีนิวเคลียร์ อเมริกามีนิวเคลียร์ จีนมีนิวเคลียร์ ปากีสถานมีนิวเคลียร์ คราวนี้โลกอยู่อย่างไม่สงบสุขล่ะครับ

สุดท้าย เรื่องที่ผมจะพูดคือเรื่อง "การบินไทย" เรื่องการบินไทย ผมเคยพูดเรื่องของผลประกอบการมา โดยที่คุณปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ได้ออกมาแถลงในเรื่องของผลประกอบการ การบินไทย ว่าจู่ๆ ก็มีกำไร 5 หมื่นกว่าล้าน เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟังว่า ที่กำไรนั้น กำไรอย่างไร และที่สำคัญที่สุดตอนนี้ ผมเคยพูดเรื่องการบินไทยมาหลายครั้งแล้ว และหลักการที่ผมพูดว่าการบินไทยจะต้องเป็นอย่างไร วันนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง และผมก็มีข้อคิดอีกหลายข้อคิดที่คุณปิยสวัสดิ์ ไม่ได้พูดหรืออธิบายให้ผู้ถือหุ้นการบินไทย ท่านผู้ชมลองฟังข้อคิดของผม ผมเชื่อว่าท่านผู้ชมจะเห็นด้วยกับผมครับ


ท่านผู้ชมครับ เมื่อประมาณสักสองอาทิตย์กว่าๆ ที่ผ่านมานี้ มีข่าวเรื่องศิษย์ของ สมเด็จพระวันรัต ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศฯ ถูกข้อหาว่ายักยอกทรัพย์วัดบวรฯ ไปประมาณ สองร้อยล้านบาท ก็เป็นข่าวที่ประชาชนให้ความสนใจมากพอสมควร ประเด็นที่ผมจะมาพูดในวันนี้ก็คือ ผมจะไม่ลงในรายละเอียดว่ายักยอกไปเท่าไร แต่เอาเป็นตัวเลขกลมๆ ประมาณสองร้อยล้าน แล้วก็มีการเอาทรัพย์สมบัติของวัด คือเงินทอง โอนเข้าบัญชีตัวเอง ไปซื้อรถยนต์ รถหรู หลายๆ อย่าง ซึ่งเดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟัง แต่เรื่องที่ผมจะพูดในวันนี้ คือผมจะเปิดหน้ากากคนที่ชื่อ "ไวยาวัจกรเนย" ว่าเขาเป็นใครกันแน่ แล้วทำอิท่าไหนถึงไม่กลัวบาปกลัวกรรม ตายไปต้องตกนรกเป็นกัปเป็นกัลป์เลย ถ้าเชื่อในเรื่องของกรรมที่ทำเอาไว้

เรามาคุยกันถึงเรื่อง "สมเด็จพระวันรัต" กันนิดหนึ่ง

"สมเด็จพระวันรัต" เป็นสมเด็จพระราชาคณะฝ่ายธรรมยุตนิกาย เป็นอดีตกรรมการมหาเถรสมาคม และอดีตผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุต ท่านได้มรณภาพไปเมื่อวันที่ 15 มีนาคม ด้วยโรคมะเร็งถุงน้ำดี ที่โรงพยาบาลจุฬาฯ สิริอายุรวม 85 ปี ท่านโดนไวยาวัจกร (คนดูแลทรัพย์สิน ผู้มีหน้าที่เบิกจ่ายและดูแลทรัพย์สินวัดแทนพระ) ยักยอกเงินไปเป็นจำนวนมาก ตำรวจได้จับกุมมาแล้วที่คอนโดมิเนียมแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ และกำลังสืบเสาะ ตลอดจนดูเส้นทางการเงินว่าได้โอนเข้าบัญชีใครบ้าง ซึ่งเท่าที่ทราบมาได้มีการโอนเข้าบัญชีญาติพี่น้อง บัญชีตัวเอง และบัญชีเพื่อนฝูง


"ไวยาวัจกรเนย" คนที่ดูแลทรัพย์สิน อาศัยช่วงที่สมเด็จพระวันรัต อาพาธ รักษาโรคมะเร็งอยู่ที่โรงพยาบาลจุฬาฯ ปลอมแปลงเอกสารลายเซ็นการทำธุรกรรมอื่นๆ โยกย้ายทรัพย์สินไปเป็นของตัวเองกว่า 190 ล้านบาท ซึ่งอาจจะมีมากกว่านี้ เหตุเกิดขึ้นปลายพฤศจิกายน 2564 ต่อเนื่องจนถึงกุมภาพันธ์ 2565 ประมาณสี่เดือนในช่วงที่สมเด็จพระวันรัต อาพาธ ก็เลยปลอมแปลงเอกสาร

จากการสืบสวนของตำรวจ ปรากฏว่า ไวยาวัจกรคนนี้ (เนย) ใช้อุบายหลอกลวงให้สมเด็จพระวันรัต ลงชื่อในใบถอนเงิน จากนั้นเอาใบถอนเงินฉบับดังกล่าว เขียนจำนวนเงินตามที่ตัวเองต้องการ ไปให้เจ้าหน้าที่ธนาคารแห่งหนึ่ง เพื่อถอนเงินออกจากบัญชีเงินฝากของวัดวชิรธรรมาราม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นวัดสาขาของวัดบวรนิเวศฯ นอกจากนี้ ยังไหว้วานคนสนิทอีกคนหนึ่ง ให้เปลี่ยนแปลงข้อมูลเครื่องโทรศัพท์ที่ใช้ในการทำธุรกรรมทางช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งซื้อแคชเชียร์เช็คของธนาคารกสิกรไทย สั่งจ่ายให้กับตัวเอง ก่อนที่จะนำแคชเชียร์เช็คไปฝากเข้าบัญชีเงินฝากของตัวเอง

การสอบสวนเพิ่มเติมน่าจะมีอะไรหลายอย่างเปิดเผยออกมาว่ามีผู้ร่วมขบวนการนี้กี่คน ตอนนี้ผู้ต้องหาถูกควบคุมตัวอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ไม่ได้รับการประกันตัว


ท่านผู้ชมครับ บัญชีที่ถูกยักยอกนั้นเป็นเงินจากที่ผู้มีศรัทธาบริจาคเพื่อพัฒนาวัด บางส่วนหายไป คนที่จะลงนามถอนได้ มีสมเด็จพระวันรัต คนเดียวเท่านั้น ต่อมาทางผู้รักษาเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศฯ มีคำสั่งให้ตรวจสอบทรัพย์สินของ สมเด็จพระวันรัต ด้วย จนพบว่าเกิดเหตุในลักษณะเดียวกัน

ตกลงนายคนนี้ โดน 4 ข้อหา ฉ้อโกง ลักทรัพย์ ปลอมเอกสาร/ใช้เอกสารปลอม และฟอกเงิน เฉพาะฉ้อโกง ลักทรัพย์ ปลอมเอกสาร/ใช้เอกสารปลอม น่าจะโดนโทษจำคุกไม่ต่ำกว่า 50 ปี

นายเนย ยังปฏิเสธข้อกล่าวหา อ้างว่าเงินที่หายไปเป็นเงินที่สมเด็จพระวันรัต มอบให้เขาใช้จ่ายส่วนตัว ไม่ได้ฉ้อโกงแต่อย่างใด ผมเกิดมาไม่เคยเจอใครหน้าด้านแบบนี้เลย แต่ข้อเท็จจริงออกมาว่า เป็นเงินที่ได้มาจากการกระทำความผิด เพราะเป็นเงินที่ถูกโอนจากบัญชีวัด มาเข้าบัญชีส่วนตัวของผู้ต้องหา และผู้ต้องหายังทำลักษณะเดียวกันนี้กับวัดสาขาในพื้นที่จังหวัดตราด อีก 2 วัด วัดรัตนวราราม โรงเรียนวัดคีรีวิหาร โรงเรียนที่สมเด็จพระวันรัต สำเร็จการศึกษาประถมฯ 4 ก่อนบรรพชา พบว่างบประมาณจัดสร้างวัดรัตนวราราม 80 กว่าล้านบาท และงบจัดสร้างโรงเรียนวัดคีรีวิหาร อีก 10 กว่าล้านบาท ถูกผ่องไป

ท่านผู้ชมดูแล้วกัน มีการค้นพบว่านายคนนี้เอาเงินไปซื้อรถยนต์หรู ยี่ห้อ เบนท์ลีย์ (Bentley), ปอร์ช (Porsche), เทสล่า (Tesla), วอลโว่ (VOLVO), บีเอ็มดับบลิว (BMW), เล็กซัส (Lexus) มีเงินฝากในบัญชี อสังหาริมทรัพย์ กระเป๋าแบรนด์เนม พระเครื่อง ทองคำ มูลค่ากว่าร้อยล้านบาท ตอนนี้ก็ถูกยึดทรัพย์ไปเรียบร้อยแล้ว รถที่ถูกยึดอายัดไว้ 8 คัน จากการตรวจสอบเอกสารการครอบครอง พบว่ามีชื่อนายเนย เป็นผู้ครอบครองเพียงไม่กี่คัน ส่วนใหญ่ผู้ครอบครองรถจะเป็นชื่อบุคคลใกล้ชิด เช่น ชายหนุ่มคนสนิท พ่อครอบครองด้วย แม่ครอบครองด้วย น้องครอบครองด้วย ก็คงจะต้องโดนกันถ้วนหน้าครับท่านผู้ชม


ไวยาวัจกรเนย คือใคร ? ชื่อจริงของเขาคือ นายอภิรัตน์ ชยางกูร ณ อยุธยา เป็นลูกของ หม่อมหลวง อภิชัย ชยางกูร ณ อยุธยา เกิดวันที่ 21 กรกฎาคม 2525 ปัจจุบันอายุ 39 ปี จบการศึกษานิติศาสตรบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยกรุงเทพ ปริญญาโทคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สาขาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เคยเข้าไปทำงานครั้งแรกในสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ออกมา ไปอยู่ไทยเบฟฯ เคยเป็นเจ้าหน้าที่บริหารโครงการ กองโครงการธุรกิจฝ่ายโครงการพิเศษ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์

ก่อนหน้านี้เป็นที่ทราบกันดีในวัด ว่าใครจะติดต่อกับสมเด็จพระวันรัต จะต้องติดต่อผ่านนายอภิรัตน์ เท่านั้น

ครอบครัวไม่ได้มีฐานะร่ำรวยอะไร เป็นผู้ดีเก่า ข้อมูลจากวงในเผยว่า นายอภิรัตน์ หรือ นายเนย เข้ามาบวชเป็นนาคหลวง ทำไมถึงได้สิทธิ์เป็นนาคหลวง ? เพราะว่ามีเชื้อสายราชสกุล "ชยางกูร" เมื่อ 18 ปีที่แล้ว บวชกับเจ้าประคุณสมเด็จวันรัต สึกไปแล้วก็อยู่กับวัด ได้รับความเมตตาจากท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ตอนนั้นเจ้าประคุณสมเด็จฯ มีงานเยอะมาก นายเนย ก็เข้ามาเป็นลูกศิษย์ ติดตามดูแล อาสาดูแล ช่วยสมเด็จพระวันรัต เริ่มแรกเป็นลูกศิษย์ที่คอยถือย่ามเดินทางไปไหนด้วย ต่อมาก็ได้ขับรถ เริ่มกลายเป็นศิษย์ที่สนิท ไปไหนมาไหนด้วยกัน


นับจาก 16 ปีที่แล้ว นายอภิรัตน์ หรือ นายเนย มีความสำคัญเรื่อยๆ จนกลายเป็นเลขาฯ ส่วนตัวเจ้าประคุณสมเด็จฯ ซึ่งท่านก็มีความเมตตา ให้ติดตามในโอกาสสำคัญ นายเนย ก็เลยมีบทบาทในวัดบวรฯ มากขึ้น พระหรือใครที่จะเข้าไปพบ ก็ต้องดูคิวจากนายเนย ญาติโยมถวายปัจจัย ร่วมทำบุญโครงการต่างๆ ของสมเด็จฯ นายเนย จะทำหน้าที่ดูแล เอาเช็คไปเข้า ดูแลการเดินทางไปศาสนกิจในจังหวัดต่างๆ ดูแลเรื่องหยูกยา เพราะฉะนั้นนายเนย ก็จะรู้ดีว่าเงินที่ประชาชนศรัทธาถวายวัดบวรฯ โดยสมเด็จพระวันรัต เป็นผู้ดูแลนั้น จะมียอดเงินอยู่เท่าไร ท่านผู้ชมครับ "ความโลภ" ไม่เข้าใครออกใคร

สิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่าสังคมไทยหลายๆ ส่วนยังเข้าใจผิด ข้อเท็จจริงแล้ว สมเด็จพระวันรัต ไม่มีทรัพย์สินส่วนตัวเลย เหตุการณ์ยักยอกทรัพย์วัดบวรฯ 200 ล้าน อาจจะมีคนตั้งข้อสงสัยว่า สมเด็จพระวันรัต เป็นพระผู้ใหญ่ ทำไมมีเงินในบัญชีมากมายขนาดนั้น บางคนตั้งข้อสงสัยไปจนถึงวัดบวรฯ ความจริงคือ จำนวนเงินที่ยักยอก รวมทั้งทรัพย์สินหลายรายการนั้น ไม่ใช่ทรัพย์สินของสมเด็จพระวันรัต แต่เป็นทรัพย์สินของวัดที่อยู่ในความดูแลของสมเด็จพระวันรัต ซึ่งเป็นเจ้าอาวาส ฉะนั้นต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า ทรัพย์สินของสมเด็จพระวันรัต นั้น ไม่มี

สมเด็จพระวันรัต เป็นพระมหาเถระที่เคร่งในพระวินัย ไม่จับเงินจับทอง และนี่ก็คือข้อดีและข้อเสียของพระสายธรรมยุต เพราะพระสายธรรมยุตไม่ให้จับเงินจับทอง เวลาใครถวายเงินทอง ต้องเขียนเป็น "ปวารณาบัตร" ว่าจะบริจาค 1 แสนบาท 1 หมื่นบาท 1 พันบาท แล้วกระดาษชิ้นนั้นมอบให้กับพระสงฆ์องค์นั้น ส่วนเงินนำไปมอบให้กับลูกศิษย์ที่อยู่ข้างๆ เพราะฉะนั้น นายเนย หรือ นายอภิรัตน์ ก็จะได้สัมผัสเงินที่แท้จริง ไม่ว่าจะในรูปแบบเช็ค หรือเงินสด เพราะต้องเป็นคนถือเงินแทนสมเด็จพระวันรัต ทั้งหมดนี้ เป็นหน้าที่ของไวยาวัจกร ที่เจ้าประคุณสมเด็จฯ มอบหมายให้เป็นไปตามพระวินัย ดังนั้น บรรดาทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องจึงอยู่ในการครอบครองและดูแลจัดการของไวยาวัจกร ก็คือนายเนย หรือ นายอภิรัตน์ ชยางกูร ณ อยุธยา ผู้ต้องหาในคดีนี้


ก็เลยอยากทำความเข้าใจกับท่านผู้ชมทุกท่านเสียก่อนว่าทรัพย์สินที่มีการกล่าวหาว่ายักยอกนั้น เป็นเรื่องที่ลูกศิษย์ ซึ่งเป็นไวยาวัจกร เป็นผู้ครอบครองดูแลและจัดการ การจัดการผิด/ถูก เป็นเรื่องความรับผิดชอบของไวยาวัจกร จำนวนเงินที่หายไปนั้นเป็นเรื่องเงินในการก่อสร้างศาสนสถาน ซึ่งสมเด็จพระวันรัต ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ทำงานก่อสร้าง เพื่อประโยชน์แก่พระพุทธศาสนา การก่อสร้างมีวงเงิน 80 ล้านบาท และเงินดังกล่าวก็อยู่ในความดูแล การจัดการของไวยาวัจกร ซึ่งมีหน้าที่จัดการให้ถูกต้องเพื่อประโยชน์ เพื่อให้การก่อสร้างนั้นสำเร็จลงได้

นอกจากเงิน 80 ล้านบาท ดังกล่าว ยังต้องมีวงเงินอีก 2-3 ยอด ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับการบูรณะก่อสร้าง ค่าใช้จ่ายในกิจการวัด ค่าน้ำ ค่าไฟ เอามาจ่ายยามต่างๆ ซึ่งวัดบวรฯ มียามรักษาการณ์อยู่ ซึ่งอยู่ในหน้าที่ของสมเด็จพระวันรัต และคนที่ดูแลก็เป็นไวยาวัจกร ในการครอบครองดูแลรักษา จัดการไปอย่างถูกต้อง

เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้าเงินดังกล่าวถูกจัดการไปโดยไม่ถูกต้อง ไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว ซื้อรถยนต์ ใส่ชื่อพ่อ ชื่อแม่ ชื่อเพื่อน ชื่อเพื่อนผู้ชาย เสียหายประการใด เป็นความรับผิดชอบของไวยาวัจกร ซึ่งขณะนี้กำลังสะสางเรื่องนี้อยู่ เพราะฉะนั้นแล้ว ท่านผู้ชมทำความเข้าใจกันก่อนนะครับ ให้ตรงกันว่า วัดบวรฯ ก็ดี สมเด็จพระวันรัต ก็ดี ไม่ได้ทำสิ่งใดผิดหรือเสียหายเลยแม้แต่น้อย แต่โดนคนที่ไม่กลัวบาปกรรมอย่าง นายอภิรัตน์ ชยางกูร ณ อยุธยา ซึ่งผมเชื่อว่าจะต้องได้รับกรรมอย่างสาสมในตอนที่มีชีวิตอยู่ จากกรรมทางโลก โลกุตระ และเมื่อตายไปแล้วก็จะต้องตกนรกหมกไหม้เป็นกัปเป็นกัลป์ต่อไปอีกนานแสนนาน


ผมไม่ได้พูดเรื่องการบินไทยมาสักพักใหญ่แล้ว ครั้งสุดท้ายที่ผมพูดถึงก็คือ รายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ตอนที่ 87 เมื่อปีที่แล้ว 24 พฤษภาคม 2564 เกือบๆ หนึ่งปีมาแล้ว ผมพูดในวันนั้นผมตั้งข้อสังเกตถึงแผนฟื้นฟูฯ การบินไทย ที่มีขาใหญ่ มีตัวแทน เข้ามาเป็นกรรมการบริหารแผนฯ ผมตั้งข้อสงสัยไว้ว่า เป็นไปได้ไหมว่าการบินไทยกำลังจะถูก Strip Asset คือขายทรัพย์สินที่มีค่าของการบินไทยออกไป หลายๆ อย่าง ซึ่งผมก็เคยพูดไปแล้ว และปรากฏว่าคนที่ซื้อหุ้นของการบินไทย ที่การบินไทยขายไป รวมทั้งทรัพย์สินต่างๆ นั้น ก็เป็นคนที่อยู่ในแวดวงทั้งนั้น อย่างเช่น อาคารของการบินไทยที่อยู่ที่สนามบินสุวรรณภูมิ คนซื้อก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็คือ ปตท. 


แล้วกรรมการการบินไทย ก็มีคุณศิริ จิระพงษ์พันธ์ ซึ่งเคยเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และปัจจุบันนี้ทำงานอยู่ที่ธนาคารกรุงเทพ ก็มานั่งอยู่ที่นี่ แล้วก็มีอดีตผู้ว่าฯ ปตท. ก็มาเป็น ดีดี การบินไทย


คนที่มาซื้อทรัพย์สินของการบินไทยชิ้นใหญ่ๆ ก็เป็นคนรู้จักกันทั้งนั้น ส่วนจะตกลงราคากันอย่างไร เจรจากันอย่างไร ผมไม่ยุ่งก็แล้วกัน เอาเป็นว่า ผมอยากจะตั้งข้อสังเกตว่าการที่จะประกาศขายอะไรก็ตามของการบินไทย เรื่องใหญ่ๆ อย่างเช่น ตึกที่สีลม หรือที่หลานหลวง ที่มีมูลค่ามาก การบินไทยก็งุบงิบทำกันเป็นเอกสารภายใน ผมเชื่อว่าถ้าโปร่งใสจริง การบินไทยต้องประกาศออกมาเป็น Bidding คือประมูลกันเลย สำหรับคนที่สนใจจะซื้อ เพราะว่าที่แต่ละที่ที่การบินไทยขายนั้น เป็นที่ทองทั้งนั้น แต่นี่ก็งุบงิบทำกัน และก็มีเจ้าเข้ามาประมูลด้วย ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าเจ้านั้นเป็นเจ้าที่ฮั้วกันหรือเปล่า ก็ไม่เป็นไรครับ

แต่สิ่งที่ผมพูดไปคราวที่แล้ว ตั้งข้อสังเกตไว้ปีที่แล้ว มาถึงวันนี้ก็เป็นความจริงออกมาแจ่มแจ้งแดงแจ๋


เมื่อ 28 กุมภาพันธ์ 2565 การบินไทยได้รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ แจ้งนำส่งงบการเงินของบริษัท และบริษัทย่อย ว่า ตอนนี้การบินไทยมีกำไรสุทธิมากถึง 55,113 ล้านบาท จากผลการปรับโครงสร้างหนี้ รื้อโครงสร้างองค์กร ปรับค่าตอบแทนบุคลากร มีกำไรจากการขายเงินลงทุนทรัพย์สิน แถมไม่ผิดนัดชำระหนี้ดอกเบี้ยที่คงค้างอยู่ 1,403 ล้านบาท แต่ก็กลบความจริงไม่ได้เกี่ยวกับตัวเลขขาดทุนสะสม ตัวเลขยอดหนี้ที่ยังคงสะสมไว้มากกว่า 352,000 ล้านบาท


ท่านผู้ชมครับ กำไร 55,000 ล้านบาท ที่การบินไทยอ้าง มาจากไหน ? มันคือตัวเลขกำไรทางบัญชีในการปรับโครงสร้างหนี้ ไม่ได้มาจากผลกำไรของการดำเนินธุรกิจปกติ เมื่อเปิดดูตู้ไส้ในของงบการเงินจะเห็นได้ชัด ก็คือ ปี 2564 รายได้รวมของการบินไทย 25,339.48 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 55,118.21 ล้านบาท ทรัพย์สินรวมลดลงมาจาก 2 แสนล้าน เหลือ 1.6 แสนล้าน คือลดลงมา 47,500 ล้าน ก็คงจะเป็นทรัพย์สินที่ขายไป เพราะฉะนั้นแล้ว จะเห็นได้ชัดว่ารายได้แค่ 25,000 ล้าน แต่กำไร 55,000 ล้าน มากกว่ารายได้ 3 หมื่นล้านบาท กำไรที่เกิดขึ้นนี้ แน่นอนที่สุด เกิดจากการขายทรัพย์สิน ขายของเก่ากินอย่างแน่นอน หลังสุด ล่าสุด มีการขายเก้าอี้ของเครื่องบินให้คนซื้อไป


การบินไทยล้มละลายไปเมื่อปี 2563 มีหนี้มากกว่าทุน ส่วนของทุนผู้ถือหุ้นตอนนี้ติดลบ 71,000 ล้าน ที่น่าสนใจอย่างหนึ่ง งบการเงินบริษัท การบินไทยฯ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2564 ได้ถูกผู้ตรวจสอบบัญชี บริษัท ดีลอยท์ ทู้ช โธมัทสุ ไชยยศฯ

ดร.ศุภมิตร เตชะมนตรีกุล ผู้สอบบัญชีรับอนุญาตของบริษัท ดีลอยท์ฯ ได้มีหมายเหตุ ไม่ออกความเห็น ดังปรากฏในเว็บไซต์การบินไทย เขาบอกว่า "ข้าพเจ้าเป็นผู้รับผิดชอบในการแสดงความเห็นต่องบการเงินรวม และงบการเงินเฉพาะกิจการดังกล่าว จากการปฏิบัติงานตรวจสอบตามมาตรฐานการสอบบัญชี อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเรื่องที่กล่าวไว้ในวรรคเกณฑ์ในการไม่แสดงความเห็นในการรายงานข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าไม่สามารถหาหลักฐานการสอบบัญชีที่เหมาะสมอย่างเพียงพอเพื่อเป็นการแสดงความเห็นต่องบการเงินดังกล่าว"


สรุปง่ายๆ นะครับ ถ้าตามภาษาชาวบ้านร้านถิ่น อาแปะ อาเจ็ก อาม่า ก็จะพูดชัดเจน คนตรวจสอบบัญชีร้านก๋วยเตี๋ยวร้านนี้บอก เฮ้ย อั๊วไม่มีความเห็นกับงบที่ลื้อเสนอมา เพราะอั๊วมีข้อสงสัยเยอะอิ๊บอ๋ายเลย เยอะมาก เยอะเรือหายเลย เพราะฉะนั้น ไม่มีความเห็น หรือนัยหนึ่งก็คึอว่า งบของการบินไทยนั้นเป็นงบที่ไม่โปร่งใสเลยแม้แต่นิดเดียว นั่นคือการพูดอย่างสุภาพของผู้ตรวจสอบบัญชีของบริษัท ดีลอยท์ ฯ เพราะฉะนั้นผมก็เลยจำเป็นจะต้องมาดูสักนิดหนึ่ง

การบินไทย ได้รับการโอ้อวดจากคุณปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ประธานกรรมการบริษัท การบินไทยฯ แต่ก่อนที่จะไปถึงเรื่องนี้ มันมีอยู่ส่วนหนึ่งที่ผมยังไม่เข้าใจจนทุกวันนี้


เดิมทีกรรมการการบินไทย มีคนอยู่ 2 คน คนหนึ่งคือ คุณพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค อีกคนหนึ่งคือ คุณบุญทักษ์ หวังเจริญ สองคนนี้ลาออกจากกรรมการ คุณพีระพันธุ์ นั้น พอเข้าใจได้ ต้องการจะไปเล่นการเมือง แต่คุณบุญทักษ์ อดีตท่านเป็นซีอีโอของธนาคารกสิกรไทย แล้วท่านมาอยู่ที่ธนาคารทหารไทย TMB แล้วท่านก็ลาออกจากการเป็นกรรมการ สรุปง่ายๆ ว่า กรรมการการบินไทย ก็อยู่บรรดาพรรคพวกที่สนิทสนมกันกับท่านประธาน คือ คุณปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ พวกธนาคารกรุงเทพ เจ้าหนี้รายใหญ่ คุณศิริ ซึ่งเคยอยู่กระทรวงพลังงาน และเป็นคนทำงานอยู่กับธนาคารกรุงเทพ ในปัจจุบันนี้ หรือคนบางคนที่เคยเป็นอธิบดีกรมบังคับคดี แล้วตอนหลังก็มาอยู่ธนาคารกรุงเทพ แล้วก็มาเป็นกรรมการการบินไทย

คือผมไม่อยากจะพูดว่าบอร์ดของการบินไทยชุดนี้ เป็นบอร์ดที่ใกล้ชิดกับเจ้าหนี้ คือ ธนาคารกรุงเทพ อย่างมากที่สุด ไม่ได้มีความหมายอะไรหรอกครับ มีความหมายแต่เพียงว่า มันไม่ค่อยจะโปร่งใสเท่าใดนักในการทำงานของบอร์ด เพราะอะไร ? ผมสงสัยครับท่านผู้ชม และคุณปิยสวัสดิ์ ก็ตอบแทนออกมาเรียบร้อยแล้ว และทำให้ความสงสัยของผมยิ่งสงสัยมากขึ้น


เวลาคุณปิยสวัสดิ์ มาแถลง มีผู้สื่อข่าวถามว่า สรุปแล้วในแผนฟื้นฟูการบินไทย ไม่ได้มีการเจรจาขอลดหนี้กันเลยหรือ คุณปิยสวัสดิ์ บอกว่าไม่มีการเจรจาขอลดหนี้ ซึ่งผมก็ประหลาดใจมาก เพราะว่าธรรมดาแล้วในแผนฟื้นฟู บริษัทที่ใกล้ล้มละลายแล้ว มีเจ้าหนี้เยอะเหลือเกิน เขาต้องพยายามเจรจากับเจ้าหนี้ ว่าหนี้สินที่มีอยู่นี้ คุณแฮร์คัต (hair cut) ให้หน่อยได้ไหม คุณลดหนี้ให้หน่อยได้ไหม แต่คุณปิยสวัสดิ์ ในฐานะประธานกรรมการ บอกว่าไม่มี ไม่สนใจ

การบินไทยยังมีทรัพย์สินที่ยังไม่ได้สร้างรายได้เตรียมประกาศขาย มีสำนักงานต่างประเทศ 9 แห่ง ฮ่องกงมี 2 แห่ง ที่ Worldwidw Plaza มูลค่า 100 ล้านเหรียญฮ่องกง อีกแห่งหนึ่ง 400 ตารางเมตร อยู่ในตึก United Center มูลค่า 122 ล้านเหรียญฮ่องกง สิงคโปร์ 2 แห่ง อิตาลี อังกฤษ ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย


ผมขอได้ไหมครับเรื่องนี้ ท่านประธานกรรมการบอร์ดการบินไทย และคณะกรรมการบอร์ดการบินไทย ทรัพย์สินที่อยู่ในเมืองนอก กรุณาประกาศขายให้โปร่งใสหน่อยได้ไหม ผมคิดว่าในฐานะผู้ที่ถือหุ้นอยู่หลายคน มูลค่าหุ้นเขาติดลบไปแล้ว แต่ว่าเขาอยากจะรู้ว่าเวลาคุณขายทรัพย์สินออกไป คุณจะทำอย่างยุติธรรมหรือเปล่า ที่ฮ่องกง 2 เจ้า บวกเข้าไปแล้วก็ประมาณเกือบๆ 200 กว่าล้านเหรียญฮ่องกง คิดเป็นเงินไทยก็น่าจะเกือบพันล้านบาท ช่วยแจ้งให้ทราบหน่อยได้ไหมว่าคุณมีการประกาศในที่สาธารณะที่ฮ่องกงได้ไหมว่าคุณจะขายของสิ่งนี้ให้คนมาประมูลกัน หรือคุณจะแอบงุบงิบทำกันโดยที่คุณบอกว่า มียื่นมา 3 คนแล้ว คนนี้ให้ราคาดีที่สุดก็เลยต้องให้คนนี้ไป ผมคิดว่าตรงนี้ไม่สวยงาม เพราะทรัพย์สินของการบินไทยที่อยู่ต่างประเทศยังมีอีกเยอะ แล้วการบินไทยในอดีตมักจะมีชื่อเสียงในเรื่องแอบรับประทานกันใต้โต๊ะ ผมหวังว่าคณะกรรมการชุดนี้ ในภาวการณ์ที่มาทำแผนฟื้นฟู ไม่ได้ทำอะไรที่โปร่งใส

แม้กระทั่งการขายอะไหล่ที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว ก็ไม่ได้มีการรายงาน คือผมคิดว่าทุกอย่างที่การบินไทย ถ้าจะขายทรัพย์สินการบินไทย น่าที่จะเปิดเว็บไซต์ชัดเจน ระบุเลยว่า ขณะนี้มีอะไหล่ที่ไม่ได้ใช้งาน 5 เครื่อง ใครสนใจ เสนอราคามา

เรากำลังเรียกร้องให้คณะกรรมการแผนฟื้นฟูชุดนี้ กรุณาทำงานให้โปร่งใสหน่อย คือเขาอาจจะคิดว่าเขาทำงานโปร่งใสแล้ว แต่ผมคิดว่ายังไม่พอ ท่านผู้ชมเห็นด้วยกับผมไหมว่ายังไม่พอ


คุณปิยสวัสดิ์ พูดให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ว่า การบินไทยไม่มีแผนจะขอให้เจ้าหนี้แฮร์คัตหนี้แต่อย่างใด และวันนี้การบินไทยไม่จำเป็นต้องพึ่งแหล่งเงินใหม่ของภาครัฐแล้ว ผมก็เลยสงสัย ท่านประธานการบินไทย ปิยสวัสดิ์ ใช้ตรรกะอะไรมาชี้แจงว่า ไม่มีแผนที่จะขอให้เจ้าหนี้แฮร์คัต ถ้าไม่มีจริงๆ ผมเชื่อว่าน่าจะเป็นบริษัทเดียวในโลกนี้มั้งที่เข้าสู่แผนฟื้นฟูกิจการแล้วไม่เจรจากับเจ้าหนี้ขอให้ลดหนี้ น่าจะเป็นเจ้าเดียวในโลกนี้นะ

ท่านผู้ชมครับ เรามาดูกรรมการที่เป็นตัวแทนในการบริหารแผนฟื้นฟูฯ คุณปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และอดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ (ดีดี) การบินไทย คุณพรชัย ฐีระเวช ตัวแทนกระทรวงการคลัง คุณศิริ จิระพงษ์พันธ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ปัจจุบันเป็นคณะกรรมการธนาคากรุงเทพ คุณไกรสร บารมีอวยชัย อดีตอธิบดีกรมบังคับคดี ซึ่งเป็นผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ผู้จัดการประนอมหนี้และกฎหมาย ธนาคารกรุงเทพ และสุดท้าย คุณชาญศิลป์ ตรีนุชกร อดีตซีอีโอ ปตท. และอดีตรักษาการ ดีดี การบินไทย

ท่านผู้ชมครับ ดูๆ แล้วคนที่เกี่ยวข้องกับ ปตท. และกับธนาคารกรุงเทพ นั่งคุมคณะกรรมการบริหารแผนฟื้นฟูฯ ท่านผู้ชมครับ แต่ก่อนนี้การบินไทยมีเครื่องบินที่อยู่ในฝูงบินประมาณร้อยกว่าลำ ตอนนี้ลดจำนวนเหลือ 61 ลำ โดยมีเครื่องบินรุ่นใหม่ 4 แบบ คือ โบอิ้ง 777 โบอิ้ง 787 ดรีมไลเนอร์ แอร์บัส 350 และ แอร์บัส 320 ก็มีเหตุผลนะครับ ลดประเภทเครื่องบินเครื่องยนต์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ และลดต้นทุนในการบำรุงรักษา แต่ผมมีข้อมูลเก่าๆ ที่ผมอยากจะเอามาเล่าให้ท่านผู้ชมฟังนิดหนึ่ง และอยากจะพูดถึงคุณปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ด้วย


สมัยปี 2554 (11 ปีที่แล้ว) ตอนนั้นพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี ช่วงนั้นคุณปิยสวัสดิ์ ได้รับแต่งตั้งเป็น ดีดี การบินไทย อนุมัติผ่าน ครม. เรียบร้อย แล้วยื่นเรื่องเพื่อให้การบินไทยสามารถจัดซื้อเครื่องบินสำหรับแผนงานระยะยาว 10 ปี (2554-2565) จำนวน 75 ลำ โดยแบ่งเป็น 2 ระยะ ระยะแรก 2554-2560 ประมาณ 6 ปี 37 ลำ วงเงิน 2 แสนกว่าล้านบาท พร้อมเครื่องยนต์สำรอง คิดเป็นวงเงินประมาณ 216,750 ล้านบาท ระยะที่สอง 2561-2565 อีก 38 ลำ แบ่งเป็น การจัดหาเครื่องบินแบบ Firm Order จำนวน 21 ลำ รวมทั้งเครื่องยนต์ เบ็ดเสร็จทั้งหมดแล้ว 241,052 ล้านบาท

ในช่วงปลายสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในการประชุม ครม. วันที่ 20 เมษายน 2554 ได้มีการอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบโครงการจัดหาเครื่องบิน ปี 2554-2565 จำนวน 75 ลำ วงเงินทั้งหมด 457,000 ล้านบาท


ผมอยากจะถามว่าเครื่องบินล็อตที่รัฐบาลชุดประชาธิปัตย์อนุมัติไปแล้วครึ่งหนึ่ง เหลืออีกครึ่งหนึ่ง มีการคาดการณ์ว่าในช่วงปลายปี ตั้งแต่กันยายน 2565 หากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลง อุตสาหกรรมการบินกลับมาเฟื่องฟู เครื่องบินการบินไทยที่มีอยู่จะไม่เพียงพอต่อการให้บริการ เดี๋ยวจะมีการบ่นกันอีกเกี่ยวกับปริมาณฝูงบินที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้โดยสาร การบินไทย และคุณปิยสวัสดิ์ รวมถึงพรรคพวก จะใช้ข้ออ้างนี้หรือเปล่าในการจัดซื้อเครื่องบินล็อตที่ 2 ที่ยังค้างคา เนื่องจากเกิดสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 เสียก่อน เพราะฉะนั้นกล้ว ก็เลยมีคนตั้งข้อสงสัย ผมเล่าให้ฟังนะ มีคนตั้งข้อสงสัยว่า การที่ลดฝูงบินลงมาเหลือน้อยมาก ปลดระวางเครื่องบินแบบต่างๆ กำลังจะเป็นการเตรียมการซื้อเครื่องบินใหม่กันหรือเปล่า เพราะว่าเครื่องบินล็อตใหม่ที่สามารถจัดซ้อได้จำนวนสามสิบกว่าลำที่เหลือนี้ ซื้อได้ทันที ไม่ต้องผ่าน ครม. ใดๆ อีกแล้ว

น่าสนใจมาก คุณปิยสวัสดิ์ เข้ามานั่งในการบินไทยครั้งนี้ กับคุณปิยสวัสดิ์ ที่เป็น ดีดี การบินไทย สมัยยุคพรรคประชาธิปัตย์ เสนอซื้อเครื่องบินตามแผนระยะยาว 10 ปี เอ้า! กลับมานั่งอีกทีแล้ว เหลือล็อตสุดท้ายอีกสามสิบลำ ซื้อเดตไลน์ (Deadline) ก็คือปี 2565 นี้

คุณปิยสวัสดิ์ พูดตลอดเวลาว่า ตอนนี้ธุรกิจเห็นว่าเชื่อใจว่าดีขึ้น โน่นนี่นั่น ท่านบอกว่าท่านสามารถจะคืนเงินกู้ โน่นนี่นั่น เอาล่ะ นั่นคือความฝันของท่าน แต่ความจริงของผม ผมขอยืนยัน และผมยืนยันกับท่านผู้ชมว่า ทุกวันนี้ที่การบินไทยมีรูท (route) ต่างๆ ที่จะไปนั้น จำนวนผู้โดยสารไม่คุ้มกับการบิน ทุกๆ ไฟลต์ก็ยังขาดทุนกันอยู่ แล้วยังแบกการขาดทุนของไทยสไมล์ (Thai Smile) ต่อ ผมกลัวว่าจะมีการแอบอ้างว่าธุรกิจการบินไทยเริ่มดีขึ้นแล้ว จำนวนเครื่องบินที่มีอยู่ปัจจุบันไม่พอใช้แล้ว ต้องซื้ออีก 30 ลำ เพราะได้มีการอนุมัติมาแล้วตั้งแต่สมัยพรรคประชาธิปัตย์ และคนเสนอก็คือ คุณปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ แล้วคนที่อาจจะซื้อเครื่องบินใหม่อีก ก็คือคุณปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์


เหตุการณ์ผ่านมาสิบปี แต่เรื่องก็ยังเป็นเรื่องเดิมอยู่ นี่เป็นเพียงแต่ตั้งข้อสังเกตเฉยๆ นะ ไม่มีอะไรที่จะมากกว่านี้ อย่าไปคิดอะไรมาก แต่ผมอยากจะให้ดูว่า ในที่สุดแล้ว ผมคิดว่าผมก็คงไม่ตายก่อนคุณปิยสวัสดิ์ หรอก เรามาดูกัน ตามที่คุณปิยสวัสดิ์ บอกว่าอีก 3-4 ปี การบินไทยจะดีขึ้น แล้วคุณปิยสวัสดิ์ ไม่ยอมที่จะแฮร์คัตหนี้ แล้วการบินไทยจะชดใช้หนี้ต่างๆ ได้อย่างไรในอีก 4 ปีข้างหน้านี้ ผมไม่รู้ ผมเห็นแล้วโอกาสมันน้อยมาก และผมไม่คิดว่าธุรกิจการบินมันจะกลับไปดีเหมือนเดิม คุณจะหวังว่านักท่องเที่ยวจากยุโรป ไม่ว่าจะเป็นแฟรงก์เฟิร์ต ไม่ว่าจะเป็นมิวนิก ไม่ว่าจะเป็นอัมสเตอร์ดัม สงครามยูเครนไม่รู้ว่าจะยาวไปอีกนานแค่ไหน คุณคิดว่าคนยุโรปที่เป็นลูกค้าของคุณจะบินมาทางเมืองไทยมากเหมือนแต่ก่อนได้อย่างไร ผมไม่คิดอย่างนั้น และคุณหวังที่จะได้นักท่องเที่ยวจีนกลับมาอีก ผมก็ไม่คิดว่านักท่องเที่ยวจีนจะกลับมาเหมือนในอดีต เป็นการวาดฝันอยู่บนพื้นฐานที่ไม่มีหลักเลยแม้แต่นิดเดียว หรือเปล่า ?

ไม่เป็นไรครับ เรายังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ แล้วถึงวันนั้นเราก็จะเห็นกัน อีกไม่กี่ปี เพราะผมเป็นคนพูดแต่แรก และผมยังยืนยันว่า การบินไทย แค่ยืดเวลาการเจ๊งไปเท่านั้นเอง แล้วก่อนจะถึงวันที่เจ๊ง จะเป็นช่วงเวลาของการขายทรัพย์สินออกไป ช่วงเวลาของการหาเรื่องซื้อเครื่องบินต่อ ถ้ามันเจ๊งไปแล้ว ผู้บริหาร 5 คนนี้ ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรทั้งสิ้น ก็เดินตบเท้าออกจากการบินไทยอย่างสบายใจและสบายอารมณ์

ท่านผู้ชมคงติดตามข่าวสงครามรัสเซีย กับ ยูเครน มาพอสมควรแล้ว แต่วันนี้ผมจะเอาเหตุผล 9 เหตุผลในเชิงยุทธศาสตร์ หลังจากที่ศึกษามาอย่างละเอียดถี่ถ้วนในระยะเวลาเกือบๆ 2 เดือนที่ผ่านมา ผมกำลังจะบอกท่านผู้ชมว่า มันมีอยู่ประมาณ 9 เหตุผลในเชิงยุทธศาสตร์ ว่าทำไมรัสเซียต้องยึดไม่ใช่เฉพาะยูเครน ท่านผู้ชมจำได้ไหม ก่อนยูเครนก็คือคาบสมุทรไครเมีย เพราะอะไร ?


ทั้งหมดนี้มันมีความหลากหลายในเหตุผลของการยึด แต่เบ็ดเสร็จแล้วก็คือ ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และความมั่นคงในฐานะกายภาพของประเทศรัสเซีย เป็นหลักๆ

ประการที่หนึ่ง รัสเซียต้องการกอบกู้ชาวรัสเซียในดินแดนทางตะวันออกที่ติดกับรัสเซีย ที่ต้องการแยกตัวเป็นเอกราช นั่นคือ แคว้นดอนบาส

อย่างที่รายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" เมื่อหลายสัปดาห์ก่อน ผมหยิบยกข้อความของคุณไตรรงค์ สุวรรณคีรี มาเล่าให้ฟัง โดยอ้างอิงข้อมูลหลายแหล่งของตะวันตก และของรัสเซียเอง ว่า ในภูมิภาคดอนบาส ทางตะวันออกของยูเครนนั้น มีสองแคว้น คือ โดเนตสก์ และ ลูฮันสก์ สองแคว้นนี้มีชาวยูเครนพูดรัสเซีย อาศัยอยู่ในสัดส่วนที่มาก แล้วยังมีคนอีกจำนวนมากในสองแคว้นนี้ถือพาสปอร์ตรัสเซียด้วย กลุ่มคนพวกนี้ถูกยูเครนกดขี่ เกิดสงครามของฝ่ายกบฏ ซึ่งฝ่ายกบฏก็คือฝ่ายที่รัสเซียหนุนหลังอยู่ ทำให้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานั้น มีผู้คนล้มหายตายจากไปประมาณ 14,000 คน

สีแดงที่ผมโชว์ให้เห็นในภาพ คือ ลูฮันสก์ และ โดเนตสก์ ทั้งหมดนี้เป็นแคว้นดอนบาส ส่วนไครเมีย อยู่ข้างล่างสุด เป็นแหลม


ในปี 2558 ได้มีการทำข้อตกลง เขาเรียกว่า ข้อตกลงกรุงมินสก์ ชื่อเมืองหลวงของเบลารุส เพื่อให้ทั้งยูเครน และดอนบาส หยุดยิง เข้าสู่โต๊ะเจรจา แต่การหยุดยิงและการเจรจาก็ไม่เกิดขึ้นจริง เพราะมีการตีความข้อตกลงแตกต่างกัน จนในที่สุด เวลาล่วงเลยไป วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2565 ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ลงนามในการประกาศรับรองแคว้นที่แยกตัวออกจากยูเครนของกลุ่มกบฏทางตะวันออกของยูเครน ให้เป็นรัฐอิสระ โดยรับรองว่า เป็น "สาธารณรัฐประชาชนโดเนตสก์" และ "สาธารณรัฐประชาชนลูฮันสก์"


ท่านผู้ชมครับ เหตุการณ์นี้คล้ายคลึงกับสงครามที่เกิดขึ้นในจอร์เจีย เมื่อเดือนสิงหาคม 2551 หรือ 14 ปีที่แล้ว ในนามสงครามรัสเซีย-จอร์เจีย หรือ "สงครามเซาท์ออสซีเชีย" (South Ossetia) ในรัสเซียมีอีกชื่อหนึ่ง เรียกว่า "สงคราม 5 วัน" แต่สงครามครั้งนี้ยูเครนจะกินเวลานานกว่านั้น เพราะยูเครนเป็นประเทศที่มีพื้นที่มากที่สุดในยุโรป ประมาณ 6 แสนตารางกิโลเมตร รองลงมา คือ ฝรั่งเศส 543,000 ตารางกิโลเมตร และสวีเดน 450,000 ตารางกิโลเมตร


อย่างไรก็ตาม ในช่วงนั้นอเมริกากำลังวุ่นวายปัญหาตะวันออกกลาง จึงไม่ได้เข้ามาแทรกแซงในจอร์เจียมาก ระหว่างจอร์เจียฝ่ายหนึ่ง กับ รัสเซีย และร้ฐบาลผู้แบ่งแยกของเซาท์ออสซีเชีย และ อับคาเซีย (Abkhazia) อีกฝ่ายหนึ่ง ผลคือ ทำให้จอร์เจียสูญเสียการควบคุมดินแดนบางส่วน

ประการที่สอง ความพยายามที่จะดึงยูเครนเข้าเป็นสมาชิกนาโต และสหภาพยุโรป เป็นเหมือนหอกข้างแคร่และเป็นภัยคุกคามด้านความมั่นคงอย่างรุนแรงต่อรัสเซีย

ประการที่สาม ท่อก๊าซและพลังงานจากรัสเซียที่ผ่านยูเครนไปยังประเทศต่างๆ ในทวีปยุโรป หลังจากที่ยูเครนแตกออกไปจากสหภาพโซเวียต ในปี 2534 หรือ 31 ปีที่แล้ว ก๊าซธรรมชาติที่ส่งจากรัสเซียไปยังประเทศต่างๆ ในทวีปยุโรปนั้น ต้องดำเนินการผ่านท่อทางประเทศยูเครน


ทำให้สามสิบกว่าปีที่ผ่านมานี้ ยูเครนนอกจากจะใช้ก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียแล้ว ยังได้รับเงินค่าผ่านท่อก๊าซจำนวนมาก คิดเป็นมูลค่าปีละ 3 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือราวแสนล้านบาท สามสิบปีก็คือ 3 ล้านล้านบาท หรือประมาณ 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ต้องถือว่าเป็นเงินที่เยอะมาก อีกประการหนึ่ง ยูเครนมักจะขโมยก๊าซที่รัสเซียส่งผ่านยูเครน เอามาใช้ด้วยตัวเอง คือต้นทุนพลังงานทางก๊าซของยูเครนแทบจะไม่มีเลย

เพราะฉะนั้นแล้ว ประเด็นที่ทำให้เกิดการขยับขยายกำลังทหารของรัสเซียอย่างมีนัยอีกอันหนึ่ง ซึ่งไม่มีใครรู้และไม่มีใครคิด คือ ได้มีการค้นพบแหล่งพลังงาน ค้นพบแหล่งน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ ในทะเลดำ (Black Sea) ซึ่งใกล้กับแหลมไครเมีย ใกล้กับชายฝั่งโอเดสซา (Odessa) มากมายมหาศาล ที่รัสเซียกำลังเข้ายึดอยู่ตอนนี้ ชายฝั่งโอเดสซานั้นอยู่ในยูเครน ซึ่งอยู่ติดกับไครเมีย


ท่านผู้ชมครับ ปริมาณของก๊าซธรรมชาติ น้ำมัน ในไครเมียนั้น ประเมินกันแล้วว่าก๊าซธรรมชาติในทะเลดำ และทะเลอะซอฟ (Sea of Azov) ประกอบไปด้วยน้ำมันดิบ 1 หมื่นล้านบาร์เรล ก๊าซธรรมชาติ 3.8 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต โดยหนึ่งในแหล่งก๊าซที่สำคัญที่สุดของทะเลดำ และทะเลอะซอฟ คือแหล่งก๊าซ สกิฟสกา (Skifska) ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของฝั่งไครเมีย ซึ่งมีก๊าซธรรมชาติบรรจุอยู่ไม่ต่ำกว่า 9 ล้านลูกบาศก์ฟุต หรือประมาณ 200,000-250,000 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งสรุปง่ายๆ ว่า สองแสนกว่าล้านลูกบาศก์เมตรนั้น เท่ากับสามารถที่จะส่งไปขายในทวีปยุโรปทั้งยุโรปได้เป็นเวลา 2-3 ปีเต็มๆ เพราะฉะนั้นตรงนี้เป็นเงินทอง เป็นทรัพย์สมบัติที่มหาศาลมาก ที่อยู่ริมชายฝั่งไครเมีย และอยู่แถวๆ เมืองท่าโอเดสซา และนั่นคือเหตุผลว่า ทำไมรัสเซียจำเป็นต้องยึดไครเมีย


และอีกประการหนึ่ง เนื่องจากคนที่อยู่ในแหลมไครเมียนั้น ส่วนใหญ่เป็นคนที่พูดภาษารัสเซีย และมีจำนวนมากที่ถือพาสปอร์ตรัสเซียด้วย

ท่านผู้ชมครับ พฤษภาคม 2557 หนังสือพิมพ์ The Christian Science Monitor ระบุเรื่องปริมาณของแหล่งพลังงานในทะเลดำ และ ทะเลอะซอฟ หลังการควบคุมไครเมียของรัสเซีย ท่านผู้ชมดูนะครับภาพแผนที่เขตแดนชายทะเลก่อนที่รัสเซียจะควบรวมไครเมีย แล้วก็หลังจากที่รัสเซียเข้าควบรวมไครเมียในปี 2557 นั่นคืออีกแผนที่หนึ่ง จะเห็นได้ชัด


นอกจากนี้ ยังมีการค้นพบแหล่งก๊าซธรรมชาติจากดินดาน หรือที่ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Shale Gas คือหินดินดาน ซึ่งสามารถจะขุดเอามาสกัดเป็นน้ำมันได้ ในแคว้นโดเนตสก์ ซึ่งอยู่ในภูมิภาคดอนบาส ที่ได้ประกาศตัวเป็นรัฐอิสระพร้อมกับลูฮันสก์ และในอนาคตทั้งโดเนตสก์ และ ลูฮันสก์ ก็จะมีการออกประชามติ สำรวจประชามติ ว่าอยากจะรวมเข้ากับรัสเซียไหม เป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย แหล่งของก๊าซธรรมชาติจากหินดินดานนั้น เขาเรียกว่า ก๊าซยูซิฟสกา (Yuzivska) ซึ่งค้นพบในราวปี 2553 หรือ 12 ปีที่แล้ว ประเมินว่าแหล่งก๊าซยูซิฟสกานั้น สะสมก๊าซธรรมชาติจากหินดินถึงราวๆ 70 ล้านลูกบาศก์ฟุต หรือ 2 ล้านล้านลูกบาศก์เมตร

ท่านผู้ชมครับ ยุโรปทั้งทวีปต้องใช้ก๊าซจากรัสเซียประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ คิดแล้วประมาณเกือบสองแสนล้านลูกบาศก์เมตร ตรงนี้ หินดินดานที่เมืองโดเนตสก์ ถ้าเอามาสกัดเป็นก๊าซธรรมชาติและเป็นน้ำมันแล้ว จะมีก๊าซธรรมชาติอยู่ถึง 2 ล้านล้านลูกบาศก์เมตร แปลว่าอะไร ? แปลว่าตรงนี้เป็นแหล่งพลังงานให้ยุโรปได้ถึง 10-20 ปี ทันที ท่านผู้ชมครับ พลังงานเหล่านี้คือคำตอบที่แท้จริงในเชิงเศรษฐกิจ ผลประโยชน์ทางด้านพลังงาน ความมั่นคง และการสั่งสมอิทธิพล ว่าทำไมรัสเซียถึงต้องสนับสนุนกบฏในโดเนตสก์ และ ลูฮันสก์ ให้แยกตัวเป็นรัฐอิสระ รวมไปถึงการควบรวมไครเมียเข้าเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนรัสเซียจนได้

ท่านผู้ชมพอจะมองเห็นหรือยังว่า ปูติน ต้องการตัดไฟแต่ต้นลม ตอนนี้ปราศจากข้อสงสัยแล้วว่า วลาดิมีร์ ปูติน และรัสเซีย ไม่ต้องการให้ยูเครนได้ครอบครองแหล่งพลังงานเหล่านี้ เพราะถ้ายูเครนมีเงินมีทองขึ้นมา เอาไปใช้ซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์เพิ่ม เพื่อจัดการกับบรรดากบฏที่รัสเซียหนุนหลังในดอนบาส ภายใต้การหนุนหลังของอเมริกา และนาโต ก็จะกลายเป็นหอกข้างแคร่ชิ้นใหญ่ที่รัสเซียจะไม่มีปัญญาจัดการได้เลย


ประการที่สี่ ในเชิงภูมิรัฐศาสตร์ ไครเมียเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญมากสำหรับรัสเซีย แม้จะไม่มีเส้นทางทางบกเชื่อมกับดินแดงรัสเซีย แต่รัสเซียก็ทุ่มทุนสร้างสะพานไครเมีย เพื่อข้ามช่องแคบเคียช (Kerch) ทำให้สะพานนี้มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า สะพานเคียช

หลังจากที่รัสเซียควบคุมไครเมียได้ รัสเซียทุ่มทุนมหาศาลกว่า 230,000 ล้านรูเบิล ประมาณ 3,700 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือแสนกว่าล้านบาท 1-1.2 แสนล้านบาท สร้างสะพานแห่งนี้เชื่อมทางบก และเชื่อมด้วยรางจากรัสเซีย สู่ไครเมีย 19 กิโลเมตร ถือว่าเป็นโครงการสะพานที่ใหญ่ที่สุดที่รัสเซียเคยดำเนินการ และเป็นสะพานที่ยาวที่สุดในยุโรปด้วย 19 กิโลเมตร

นอกจากนี้ บนดินแดนไครเมีย รัสเซียยังต้องการยึดกุมจุดยุทธศาสตร์ให้สำเร็จอีกจุดหนึ่ง คือ ท่าเรือเซวัสโตปอล (Sevastopol)


ท่าเรือเซวัสโตปอล อยู่ที่ไหน ? อยู่ตรงปลายแหลมทางตะวันออกเฉียงใต้ของไครเมีย เป็นที่ตั้งของฐานทัพเรือรัสเซียที่ปฏิบัติการครอบคลุมพื้นที่ทั้งน่านน้ำทะเลดำ (Black Sea) และทะเลอะซอฟ (Azov) และตลอดจนทะเลเมดิเตอร์เรเนียน นอกจากนี้ ยังเป็นจุดยุทธศาสตร์ในการขนถ่ายสินค้า น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติด้วย ด้วยเหตุนี้ ฝั่งตะวันออกของยูเครนที่รัสเซียได้ดำเนินการปฏิบัติการทางทหารในหลากหลายรูปแบบ รวมไปถึงสงครามยูเครนในช่วงมีนาคม 2565 นี่คือการบุกยึดเมืองมาริอูโปล (Mariupol') อันเป็นเมืองใหญ่อันดับ 10 ของยูเครน และเป็นเมืองท่าที่สำคัญมากที่สุดทางตะวันออกเฉียงใต้ เพราะฉะนั้นแล้ว ไม่มีทางที่รัสเซียจะปล่อยเมืองมาริอูโปลให้ตกอยู่ในมือของยูเครนได้

ประเด็นที่ผมพูดเรื่องนี้ ข้อที่สี่ ด้วยเหตุผลเชิงยุทธศาสตร์และภูมิศาสตร์ของไครเมียนี้เอง ในเชิงความมั่นคง การค้า การขนส่ง ทำให้รัสเซียต้องแน่ใจว่าไครเมียไม่ตกอยู่ในความครอบครองของชาติตะวันตก ไม่ว่าจะเป็นอเมริกา หรือชาติใดชาติหนึ่งของอียู

ประการที่ห้า เหตุผลข้อที่ 5 ที่รัสเซียต้องเข้าไปยึดไครเมีย และต้องเข้าไปบุกยูเครน คือ ทรัพยากรน้ำ


ท่านผู้ชมคงไม่รู้เลยใช่ไหม อีกสาเหตุหนึ่งที่คนไม่เคยพูดถึง ไครเมีย นั้นเป็นพื้นที่ที่ประสบปัญหาการขาดแคลนน้ำอย่างรุนแรง เพราะถ้าดูตามแผนที่แล้ว ท่านผู้ชมจะเห็นแม่น้ำนีเปอร์ (Dnieper) (เส้นสีแดง) ลากจากข้างบน ลงมาผ่านไครเมีย เมื่อผ่านมาเรียบร้อยแล้ว น้ำที่ไครเมียต้องใช้ คือใช้น้ำจากแม่น้ำนี้ ปรากฏว่าตัวตลก เซเลนสกี ไปสร้างเขื่อนปิดกั้น ไม่ให้น้ำเข้าในไครเมีย คือมันมีคลองส่งน้ำไครเมียเหนือ ซึ่งทดน้ำมาจากแม่น้ำนีเปอร์ มายังไครเมีย คลองส่งน้ำนี้เป็นแหล่งน้ำที่สำคัญที่สุดของไครเมีย เพราะว่าน้ำ 85 เปอร์เซ็นต์ ที่ใช้ในไครเมียนั้น ผ่านมาจากคลองนี้ ตัวตลกเซเลนสกี ก็เลยไปสร้างเขื่อนคอนกรีตบล็อกน้ำ ซึ่งสมัยก่อนเมื่อเกิดวิกฤตน้ำ รัสเซียต้องขนส่งน้ำจำนวนมหาศาลเข้ามาที่ไครเมียทุกวัน เพื่อชดเชยน้ำที่ขาด

ถ้าท่านผู้ชมมองย้อนหลังไปดูว่าหลังจากที่รัสเซียเปิดศึกยูเครนมาตั้งแต่วันที่ 24 กุมภาพันธ์ ภารกิจแรกๆ ของรัสเซียคือ ทำลายเขื่อนคอนกรีตที่กั้นคลองส่งน้ำไปยังไครเมียที่ว่านี้เอง


นี่คือข่าวรอยเตอร์ ผมเอามาลงให้ดู ข่าวรอยเตอร์ 26 กุมภาพันธ์ 2565 สองวันหลังจากที่รัสเซียบุกยูเครน กองทัพรัสเซียทำลายเขื่อนยูเครนที่กีดกันน้ำไปยังไครเมีย ท่านผู้ชมเข้าใจหรือยังครับตอนนี้

ประการที่หก มันมีกลุ่มทหารนีโอนาซีของยูเครนที่เขาตั้งชื่อว่า "กองพันอะซอฟ" (Azhov Militants) ก่อนหน้านี้ นายวลาดิมีร์ ปูติน กับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัสเซีย ย้ำมาหลายครั้งหลายคราแล้วว่า กลุ่มนีโอนาซีในยูเครน และภารกิจในการกำจัดนาซีที่สื่อทางฝั่งตะวันตก ของอเมริกา และหลายประเทศในยุโรป ออกมาแก้ตัวว่าคำว่า "นีโอนาซี" เป็นข้อกล่าวหาที่รุนแรง หาว่ารัสเซียปล่อยข่าวเท็จ

ท่านผู้ชมครับ ในความเป็นจริง กลุ่มนีโอนาซีในยูเครนนั้นหมายถึงกองพันอะซอฟนั่นเอง ซึ่งทางตะวันตกมีการรายงานเรื่องนี้มาเป็นปีๆ แล้ว ความจริง "กองพันอะซอฟ" คืออะไร ? "กองพันอะซอฟ" หรือ "หน่วยปฏิบัติการพิเศษอะซอฟ" เกิดขึ้นจากกลุ่มหัวรุนแรงฝ่ายขวา และกลุ่มนาซีใหม่ (นีโอนาซี) ในกองกำลังรักษาความปลอดภัยแห่งชาติยูเครน 


กลุ่มนี้มีฐานที่มั่นอยู่ในเมืองมาริอูโปล ซึ่งรัสเซียกำลังจะเข้ายึดเร็วๆ นี้แล้ว เมืองในภูมิภาคชายฝั่งทะเลอะซอฟ แล้วเมืองนี้มีอะไรพิเศษ ? เมืองนี้คือเมืองศูนย์รวมของกลุ่มแฟนฟุตบอลหัวรุนแรง ท่านผู้ชมต้องรู้นะครับ พวกแฟนฟุตบอลถ้าหัวรุนแรงแล้ว มันเหมือนกับปีศาจร้ายเลย ไปดูอังกฤษสิครับ คนเชียร์บอลอังกฤษที่บ้าบอคอแตก ที่ไปอาละวาดในยุโรป

เราย้อนประวัติศาสตร์กลับไปถึงปี 2557 หน่อย ประมาณ 8 ปีที่แล้ว เมื่อเกิดความวุ่นวายในยูเครน ความพยายามแยกตัวของภูมิภาคดอนบาส ตามด้วยการรุกรานของรัสเซีย กลุ่มแฟนฟุตบอลหัวรุนแรงเหล่านี้ถูกรัฐบาลยูเครนหันมาฝึกฝนอาวุธให้กลายเป็นหน่วยรบขึ้นมา แล้วยูเครนส่งหน่วยนี้ไปต่อสู้กับกองกำลังแบ่งแยกดินแดนของรัสเซียในแคว้นดอนบาส โดยในช่วงพฤษภาคม-มิถุนายน 2557 ทำการต่อสู้ครั้งแรกในการยึดมาริอูโปลจากกลุ่มแบ่งแยกดินแดนที่สนับสนุนรัสเซีย คือสมัยก่อน เมืองมาริอูโปล ขึ้นอยู่กับกลุ่มดอนบาส พวกนี้เข้ามายึดมาริอูโปลไปเลย

ต่อมา ในช่วงปลายปี 2557 กองกำลังดังกล่าวก็เลยถูกรวมเข้าไปกับกองกำลังรักษาความปลอดภัยแห่งชาติของยูเครน ก็คือกลายเป็นส่วนหนึ่งของทหารยูเครนไปแล้ว ตั้งแต่นั้นมา สมาชิกทั้งหมดก็เป็นทหารที่ประจำการในกองกำลังรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ ได้รับเงินเดือนทหารเหมือนประจำการทั่วไป

ในปี 2557 กองพันอะซอฟ หรือ กองพันปีศาจ กลายเป็นจุดสนใจ หลังจากถูกกล่าวหาว่าทรมาน ก่ออาชญากรรมสงคราม รายงานนี้ถูกตีพิมพ์โดยสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ได้เชื่อมโยงกองพันอะซอฟ กับอาชญากรสงคราม เช่น การปล้นสะดม การกักขังโดยมิชอบด้วยกฎหมาย และการทรมาน

ท่านผู้ชมครับ ผมจะเอาสัญลักษณ์ "ตะขอล่าหมาป่า" ของกองพลยานเกราะที่ 2 สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ของกองทัพนาซีในเยอรมนี ขึ้นมาให้ดู ดูให้ดีๆ นะครับ แล้วผมจะเอารูปสัญลักษณ์ของกองพันอะซอฟในยูเครนปัจจุบัน ขึ้นมาให้ดู เหมือนกันเป๊ะเลย 


รูปแรกที่ผมเอาขึ้นมาให้ดู คือ สัญลักษณ์ตะขอล่าหมาป่า ของกองพลยานเกราะที่ 2 สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ของกองทัพนาซีเยอรมนี ส่วนธงนี้


ซึ่งเป็นสี เป็นธงสัญลักษณ์ของกองพันอะซอฟยูเครนในปัจจุบัน ธงนาซี กองพันอะซอฟ ถูกกล่าวหาว่ามีอุดมการณ์นิยมพวกนาซีใหม่ การใช้สัญลักษณ์ ทหารที่เกี่ยวข้องกับพวกนาซี ดังที่เห็นในโลโก้ของกองพันอะซอฟ มีลักษณะเป็นตะขอล่าหมาป่า ซึ่งเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ดั้งเดิมที่ใช้โดยหน่วยกองพลยานเกราะที่ 2 แห่งเอสเอส "ดัสไรช์" (2nd SS. Panzer Division Das Reich)

อย่างไรก็ตาม ตัวแทนกองพันอะซอฟอ้างว่าสัญลักษณ์นี้เป็นคำย่อของสโลแกนภาษายูเครนที่แปลว่า "อุดมการณ์ระดับชาติ" และพยายามปฏิเสธไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับลัทธินาซี แต่ทว่า ในสัญลักษณ์ของหน่วยยังมีองค์ประกอบอื่นที่แสดงว่าเป็นผู้นิยมนาซี มีสัญลักษณ์ "ตะวันสีดำ" เป็นสัญลักษณ์นาซี พวกนาซีใหม่ทำการออกแบบให้คล้ายสัญลักษณ์ที่ใช้ในโลโก้ของหน่วย "เอสเอส"


"หน่วยเอสเอส" คืออะไร ? หน่วยเอสเอส คือ หน่วยปราบปราม หน่วยสืบราชการลับของนาซีเยอรมนี สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 แม้กระทั่งสื่ออเมริกันยังยืนยันว่า กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่เหยียดชาวยิว

ในรายงานของนิตยสาร Newsweek เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2565 ระบุว่า นาโตทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กรณีทหารยูเครนประดับเครื่องหมายนาซีบนเครื่องแบบ ผมเอาภาพให้ดู ประดับอย่างไร 2 ภาพนี้ ลูกศรที่เห็นอยู่ชี้ให้เห็นว่านี่คือลักษณะของนาซี ก็คือพวกนี้เป็นพวกนีโอนาซี ท่านผู้ชมครับ ชัดเจนหรือยัง


มาที่ประการที่เจ็ด ทรานนิสเทรีย (Transnistria) เป็นสาธารณรัฐ ชื่อ สาธารณรัฐมอลเดเวีย พรีดเนสโตรวี (Pridnestrovian Moldavian Republic) เป็นดินแดนที่ถูกแซนวิชกึ่งกลางระหว่างยูเครน กับ มอลโดวา ซึ่งมีความขัดแย้งกันมาตั้งแต่สมัยสหภาพโซเวียตล่มสลายแล้ว ความขัดแย้งในทรานนิสเทรีย ซึ่งฝ่ายที่ต่อต้านรัฐบาลมอลโดวามีความผูกพันกับรัสเซียมากกว่า ใช้ภาษาทางการ คือ ภาษารัสเซีย ได้รับการสนับสนุนจากรัสเซีย มีพื้นที่ 4 พันตารางกิโลเมตร มีประชากรประมาณ 5 แสนคน กลายเป็นสงคราม โดยถึงปัจจุบันแม้มอลโดวาจะถือว่าทรานนิสเทรียเป็นส่วนหนึ่งอยู่ในอำนาจอธิปไตยของตน แต่ว่าในข้อเท็จจริงมอลโดวาไม่มีอำนาจในพื้นที่สีแดงที่ผมเอาขึ้นให้ดู

คาดการณ์ว่ารัสเซียต้องการเข้าไปสนับสนุนสาธารณรัฐพื้นที่สีแดงนี้โดยตรง ซึ่งอาจจะมีการแบ่งแยก ในการแบ่งแยกยูเครนเป็นฝั่งตะวันออก และฝั่งตะวันตก จะทำให้รัสเซียสามารถเข้าไปครอบครองพื้นที่ทางตะวันออก และทางใต้ได้ โดยตัดยูเครนฝั่งตะวันออก และเหนือ ไม่ให้เข้าถึงทะเลได้ เพราะรัสเซียกุมทะเลดำ และ ทะเลอะซอฟ ไว้หมดเรียบร้อยแล้ว

ประการที่แปด ควบคุมท่าเรือในทะเลดำ ท่าเรือในทะเลดำนั้นเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการขนส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ รวมถึงเสบียงต่างๆ ที่ชาติตะวันตกส่งเข้ามาในยูเครนทางน้ำ รัสเซียต้องการจะคุมตรงนี้ ควบคุมให้ได้อย่างเบ็ดเสร็จ แปลว่าเมื่อควบคุมเบ็ดเสร็จแล้ว ชาติตะวันตกไม่มีทางที่จะส่งอาวุธยุทโธปกรณ์มาทางน้ำได้เลย ทำได้อย่างเดียวคือต้องผ่านพรมแดนที่กั้นระหว่างโปแลนด์ กับ ยูเครน ซึ่งรัสเซียเคยใช้จรวดไฮเปอร์โซนิกถล่มคลังอาวุธที่นาโตส่งผ่านข้ามพรมแดนของโปแลนด์เข้ามา


ประการที่เก้า ประการสุดท้าย การปลดอาวุธยูเครน ประธานาธิบดีปูติน กล่าวถึงเรื่องนี้มานานแล้วว่า ไม่ต้องการให้ยูเครนเข้าเป็นสมาชิกนาโต และสหภาพยุโรป เพื่อไม่ให้มีการนำอาวุธยุทโธปกรณ์เหล่านี้มาโจมตีรัสเซีย รวมไปถึงอาวุธชีวภาพ และอาวุธนิวเคลียร์ที่ยูเครนน่าจะได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา และนาโต

ท่านผู้ชมครับนี่คือ 9 เหตุผล ท่านผู้ชมลองคิดดู ถ้ารวมถึงการตัดสินใจที่จะใช้เงินรูเบิล บังคับให้ชาติที่เป็นศัตรูนั้นต้องซื้อพลังงานและซื้ออาหารการกินจากรัสเซียเป็นเงินรูเบิล และรัสเซียก็ไล่ซื้อทองคำต่างๆ จนกระทั่งรัสเซียมีทองคำอยู่ในโลกนี้ อันดับ 2 รองจากจีน รัสเซียเอาทองคำทั้งหมดนี้มาหนุนรูเบิล แล้วรัสเซียเอาแหล่งพลังงานที่ผมเล่าให้ฟังเมื่อกี้นี้ จากแหลมไครเมีย ตลอดจนหินดินดาน (Shale Oil) ในแคว้นดอนบาส ที่มีก๊าซถึง 2 ล้านล้านลูกบาศก์เมตร ทั้งหมดนี้คือพลังงาน บวกทองคำ บวกทรัพยากรธรรมชาติ รวมถึงอาหารการกิน เอามาหนุนหลังเงินรูเบิล หนุนหลังทองคำ ท่านผู้ชมครับ รัสเซียไม่มีวันแพ้ คนที่เหนื่อยและแพ้คือทางตะวันตก ท่านผู้ชมเริ่มเข้าใจหรือยังที่ผมอธิบายให้ฟัง ตอนนี้จะเริ่มเห็นภาพชัด เมื่อเริ่มเห็นภาพชัด ผมถามคำถามหนึ่ง ปูติน เป็นปรมาจารย์ทางยุทธวิธี เรื่องทั้งหมดที่ผมเล่าให้ฟัง 9 ข้อนี้ รวมทั้งการเอาเงินรูเบิลเป็นเงินหลักที่ใครจะซื้อพลังงานหรือจะซื้ออาหารจากรัสเซียในกลุ่มประเทศที่เป็นพันธมิตร ต้องใช้เงินรูเบิล หรือใช้ทองคำ ทั้งหมดนี้ไม่ได้วางแผนกันแค่ 1-2 ปีนี้ ผมเชื่อว่าอยู่ในยุทธศาสตร์และยุทธวิธีที่รัสเซียวางแผนเป็นเวลา 10-20 ปี ตั้งแต่วันที่รัสเซียไม่ไว้ใจอเมริกา ในกรณีที่อเมริกาไปโจมตีเซอร์เบีย โดยที่ประธานาธิบดีปูติน กำลังไปประชุมอยู่ ไม่รู้เรื่องเลย พอได้ข่าวปั๊บ ปูติน ก็นั่งเครื่องบินหันหลังกลับไปที่รัสเซียทันที และวันนั้นเป็นวันที่ ปูติน ตัดสินใจแล้วว่า ไม่สามารถจะไว้ใจอเมริกาต่อไปได้อีก

ผมขอจบเรื่องนี้ด้วยการฟันธงว่า เงินรูเบิล จะกลายเป็นเงินสกุลหลักในโลกนี้ และจะแข็งค่ามากกว่าดอลลาร์ เงินปอนด์ แม้กระทั่งเงินยูโร


เพราะว่าเงินรูเบิล เป็นเงินเดียวที่มีทองคำหนุนหลัง เป็นเงินสกุลเดียวในโลกนี้ที่มีทองคำหนุนหลังและมีทรัพยากรธรรมชาติของรัสเซีย ไม่ว่าจะเป็นพลังงาน หรืออาหาร หนุนหลังอีก ท่านผู้ชมอาจจะถามผมว่า แล้วเงินหยวนล่ะ ? เงินหยวน ก็มีทองคำหนุนหลัง เพราะประเทศจีนเป็นประเทศที่มีทองคำมากที่สุดในโลก นอกจากนั้น ประเทศจีนมีซัปพลายเชน (Supply Chain) สินค้าส่งออก ที่ส่งออกปีที่แล้ว 2.2 ล้านล้านดอลลาร์ อันดับ 1 ของโลก หนุนหลังเช่นกัน

ท่านผู้ชมครับ เรามาดูเงินกงเต็กอเมริกา เงินยูโร บนพื้นฐานของการหนุนหลัง มีอะไร ? ไม่มี มีแต่ลม เพราะฉะนั้นท่านผู้ชมจะเริ่มเห็นเงินรูเบิลในอนาคตจะค่อยๆ แข็งไปทีละนิดๆๆ และก็จะกลายเป็นเงินสกุลหลักของโลกอีกหนึ่งสกุล


ท่านผู้ชมครับ เมื่อวันจันทร์ที่ 4 เมษายน ที่ผ่านมา ผมได้รื้อเอาภาพเก่าๆ ที่ผมถ่ายเมื่อสัก 8 ปีที่แล้ว มาเล่าให้ทีมงานฟัง ทีมงานก็โพสต์ลงในแฟนเพจ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" เพื่อให้ท่านผู้ชมได้ดูด้วย เป็นภาพช่วงสงกรานต์ ปี 2557 ซึ่งผมได้เดินทางไปที่เมืองนางาซากิ บนเกาะคิวชู ทางตอนใต้ของประเทศญี่ปุ่น ตอนนั้นผมเดินทางไปกับครอบครัว ลูกชาย หลาน และคนใกล้ชิด ไปหลายเมือง ไปทั้งเมืองฟุกุโอกะ นางาซากิ โอซากา และเกียวโต

ระหว่างที่อยู่เมืองนางาซากิ ผมได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ระเบิดปรมาณูนางาซากิ ก่อนที่จะเดินเท้าต่อไปยังจุดที่ระเบิดปรมาณูตก ที่ทำให้มีคนล้มตายเป็นจำนวนมากถึง 8 หมื่นคน และยังมีโศกนาฏกรรมต่างๆ ที่ตามมาอีกนับไม่ถ้วน

ระหว่างที่เดินชมอนุสาวรีย์ ซึ่งไปถึงจุดที่ระเบิดตกนั้น เขาเรียกว่า กราวนด์ซีโร่ (Ground Zero) เด็กน้อยชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งเดินเข้ามาทักทาย ขอจับมือด้วย ก่อนที่ผมจะพาเด็กน้อยชาวญี่ปุ่นเดินไปรอบๆ สวน โดยมีคุณแม่ของเขาเดินตามไปห่างๆ ภาพนี้เป็นภาพที่ผมยังเก็บและยังจำจนถึงทุกวันนี้ วันนี้เด็กน้อยชาวญี่ปุ่นก็คงจะโตแล้ว บวกไปอีก 8 ปี เขาน่าจะประมาณสัก 11-12 ขวบ


ผมจะพูดถึงเรื่องเมืองนางาซากิ ท่านผู้ชมคงได้ยินชื่อเมือง "นางาซากิ" มาบ้าง คู่กับเมือง "ฮิโรชิมา" ในฐานะที่เมืองสองเมืองของญี่ปุ่นเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลกว่าตกเป็นเหยื่อของการทิ้งระเบิดปรมาณูของอเมริกา ในช่วงท้ายของสงครามโลกครั้งที่ 2 ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2488 หรือ ค.ศ. 1945 โดยที่เมืองฮิโรชิมาถูกกองทัพสหรัฐฯ ทิ้งระเบิดปรมาณู ชื่อ ลิตเติลบอย (Little Boy) ในวันจันทร์ที่ 6 สิงหาคม 2488 เมืองนางาซากิ ถูกทิ้งระเบิดปรมาณู ชื่อ แฟตแมน (Fat Man) อีกสามวันถัดมา คือวันพฤหัสบดีที่ 9 สิงหาคม 2488

ที่เมืองนางาซากิ ทำให้คนเสียชีวิตไปถึง 8 หมื่นคน ก่อนที่จักรพรรดิญี่ปุ่นจะประกาศยอมแพ้ในวันที่ 15 สิงหาคม 2488 โดยนายมาโมรุ ชิเกมิตสึ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของญี่ปุ่น ลงนามในตราสารแห่งการยอมจำนน ในนามของรัฐบาลญี่ปุ่น บนเรือรบ ยูเอสเอส มิสซูรี (USS Missouri) ของอเมริกา ที่จอดอยู่ที่อ่าวโตเกียว เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2488

จริงๆ แล้วผมเคยพูดเบื้องหลังของการทิ้งระเบิด ว่า ญี่ปุ่นพร้อมจะยอมแพ้แล้วก่อนจะมีการทิ้งระเบิดปรมาณูเสียอีก แต่อเมริกาไม่ยอม จึงมีการทดลองทิ้งระเบิดปรมาณูก่อน เพราะอเมริกาต้องการใช้การไม่ยอมแพ้ของญี่ปุ่น และอเมริกายังไม่ยอมรับการยอมแพ้นั้น เป็นการทดลองระเบิดปรมาณู 2 ลูก ใน 2 เมือง คือ ฮิโรชิมา และ นางาซากิ โดยทิ้งลูกแรกที่เมืองฮิโรชิมา ยังไม่พอ ฝ่ายทหารและฝ่ายนักวิทยาศาสตร์ นักวิจัย ขอทดลองอีกลูกหนึ่งเพื่อความสบายใจว่าระเบิดปรมาณูนั้นทำงานจริง

นับตั้งแต่วันนั้น จนถึงวันนี้ เป็นเวลา 77 ปี ไม่มีประเทศไหนหรือเมืองไหนในโลกที่โดนโจมตีด้วยระเบิดปรมาณูหรืออาวุธนิวเคลียร์อีกเลย

ท่านผู้ชมครับ ที่ผมหยิบภาพและเรื่องราวเกี่ยวกับนางาซากิน และสงครามโลกครั้งที่ 2 มาเล่าให้ท่านฟัง เพราะว่าภายหลังสงครามยูเครนปะทุขึ้นเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ก็มีเหตุการณ์ที่น่าสนใจหลายเรื่อง ซึ่งถ้าเอามาร้อยเรียงเข้ามาแล้ว ก็พอจะเห็นภาพลางๆ ในอนาคตได้

เรื่องหนึ่ง ท่านผู้ชมคงได้ยินมาแล้ว ผมเคยเล่าให้ท่านผู้ชมฟัง โดยท่าทีของญี่ปุ่น ซึ่งผมให้ฉายาว่าทำตัวเป็น "หมาชิบะ" คือเป็นหมาระดับลูกพี่ของ "หมาชิวาว่า" 2 ตัว ของประเทศไทย

เจ้าของหมาชิบะ และหมาชิวาว่า นั้น ก็คือประเทศอเมริกา ในการเดินเกมกดดันทางการเมืองกับรัสเซีย ช่วยเหลือยูเครนทุกวิถีทาง ญี่ปุ่นได้ลงมติประณามรัสเซียในที่ประชุมสหประชาชาติ แล้วก็เป็นคนเจ้ากี้เจ้าการดำเนินการแซงก์ชันทางเศรษฐกิจกับรัสเซีย ทั้งในเชิงการค้า และการเงิน ออกหน้าออกตา ส่งเงินส่งทองและยุทโธปกรณ์ไปช่วยฝั่งยูเครน มิหนำซ้ำยังจะรับปากว่าจะรับผู้อพยพยูเครนให้เข้ามาในญี่ปุ่นผ่านมูลนิธินิปปอน ซึ่งมูลนิธิเดียวกันนี้ก็เป็นตัวแทนญี่ปุ่นไปเจรจาระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์และรัฐบาลพม่า


นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ยังเดินสายไปตามประเทศต่างๆ ไปทำหน้าที่แทนเจ้านายตัวเอง เจ้าของหมา คืออเมริกา การเดินทางไปอินเดียของนายฟูมิโอะ คิชิดะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น เมื่อกลางเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา ไปพบกับนายนเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดีย ทั้งคู่เป็นสมาชิกกลุ่ม QUAD หรือ ภาคี 4 ฝ่ายที่ต่อต้านจีน เพื่อให้อินเดียร่วมประณามกดดันรัสเซียในประเด็นสงครามยูเครน แต่กลับประสบความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง เพราะผู้นำอินเดียไม่รับปากใดๆ และยังเดินหน้าซื้อพลังงาน ทั้งน้ำมัน และก๊าซ จากรัสเซียต่อไป

นอกจากนั้น หมาชิบะ (ญี่ปุ่น) ยังออกหน้าแทนสหรัฐฯ ด้วยการเดินสายกดดันประเทศต่างๆ โดยผู้นำและรัฐมนตรีต่างประเทศของญี่ปุ่นเดินทางมาหาสมเด็จฮุน เซน ที่กัมพูชา ส่งเรือรบมาเยือนกัมพูชา ส่งคนเข้าไปในพม่าเพื่อช่วยกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ เจรจากับรัฐบาลพม่า

การกระทำของญี่ปุ่นถูกปฏิกิริยาตอบโต้จากรัสเซียด้วยการประกาศว่า ญี่ปุ่นนั้นเป็นหนึ่งในประเทศที่ไม่เป็นมิตรกับรัสเซีย ท่านผู้ชมครับ ขอย้อนหลังไปถึงเหตุการณ์บางเหตุการณ์ วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2565 หลังเกิดเหตุที่รัสเซียบุกยูเครนเพียง 3 วัน อดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น นายชินโซ อาเบะ ซึ่งยังมีอิทธิพลสูงอยู่ในพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) ซึ่งเป็นรัฐบาลชุดปัจจุบัน กลับออกมาให้สัมภาษณ์ผ่านรายการโทรทัศน์ญี่ปุ่น พูดจนกระทั่งทุกคนช็อก ว่า ญี่ปุ่นควรจะเปลี่ยนความคิดให้สามารถกลับมาติดตั้งอาวุธนิวเคลียร์ของอเมริกาบนผืนแผ่นดินของญี่ปุ่นได้ ก็คือพูดง่ายๆ ว่า ถึงแม้ว่าจะมีสนธิสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ ห้าม! ญี่ปุ่นไม่ผลิต ไม่ครอบครอง และไม่นำเข้าอาวุธนิวเคลียร์ แต่นายชินโซ อาเบะ กลับเถียงว่า เราควรพิจารณาทางเลือกต่างๆ อย่างจริงจัง เมื่อเราพูดถึงวิธีที่เราสามารถป้องกันญี่ปุ่นและชีวิตผู้คนในโลกแห่งความเป็นจริงนี้ นายอาเบะ พูดต่อว่า นาโต เยอรมนี เบลเยียม เนเธอร์แลนด์ อิตาลี เข้าร่วมข้อตกลงการร่วมมือด้านอาวุธนิวเคลียร์ เป็นที่ตั้งอาวุธนิวเคลียร์ของอเมริกา เราจำเป็นต้องเข้าใจว่าทั่วโลกมีการรักษาความปลอดภัยอย่างไร


ท่านผู้ชมครับ คำพูดที่สื่อความหมายไปยังที่สาธารณะ คำกล่าวของนายอาเบะ ทำให้นายคิชิดะ ตกใจ ต้องรีบออกมาปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าว โดยบอกว่า มันเป็นไปไม่ได้ แต่ก็มีปฏิกิริยาจากประเทศจีน นายหวัง เหวินปิน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน ออกมาตอบโต้และสั่งสอนญี่ปุ่น ว่า "เราขอให้ญี่ปุ่นไตร่ตรองประวัติศาสตร์อย่างลึกซึ้ง และเตือนญี่ปุ่นให้ระมัดระวังในคำพูดและการกระทำเกี่ยวกับปัญหาไต้หวันเพื่อหยุดยั่วยุให้เกิดปัญหา"


ท่านผู้ชมครับ เป็นที่ทราบกันดี และถูกบันทึกในประวัติศาสตร์ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ว่า ญี่ปุ่นได้สร้างบาปกรรมอย่างแสนสาหัสไว้กับประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งจีน และเกาหลี จนกระทั่งกลายเป็นประเด็นที่บาดหมางกันต่อเนื่องยาวนานถึงปัจจุบันที่ยากจะแก้ไขได้ ท่านผู้ชมที่ติดตามประวัติศาสตร์ต้องรู้ว่าการคร่าชีวิตคนจีนที่เมืองนานจิงเป็นล้านๆ คนของญี่ปุ่นนั้น ไม่เคยเลือนหายไปจากจิตใจของคนจีนเลย หลายคนอาจจะบอกว่า ความคิดของนายอาเบะ เป็นแค่ความคิดและข้อเสนอ ญี่ปุ่นไม่กล้าทำจริง ด้วยการปล่อยให้อเมริกาตั้งฐานจรวดนิวเคลียร์บนผืนแผ่นดินหรอก เพราะบทเรียนที่ญี่ปุ่นเคยได้รับจากฮิโรชิมา และ นางาซากิ เมื่อ 77 ปีที่แล้ว

ท่านผู้ชมครับ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน และผมรู้ว่าญี่ปุ่น สังคมญี่ปุ่น รวมทั้งเกาหลีใต้ ก็รู้ว่าถ้าเกิดเหตุที่ญี่ปุ่นให้อเมริกามาติดตั้งอาวุธนิวเคลียร์ในญี่ปุ่นนั้น สงครามคาบสมุทรเกาหลีต้องเกิดแน่นอน เพราะว่า คิม จอง อึน จะไม่หยุดอยู่เฉยๆ ก็จะถล่มเกาะญี่ปุ่นให้จมลงในทะเล พร้อมกับเมืองโอกินาวา ซึ่งเป็นที่ตั้งฐานทัพของอเมริกาในญี่ปุ่น รวมทั้งเกาะกวม ด้วย

เพราะฉะนั้นแล้ว คำพูดของนายอาเบะ แล้วถ้ามีการกระทำแบบนั้นขึ้นมา ก็คือการแกว่งปากเข้าไปหาเท้า มีเหตุสำคัญมากที่จะให้เกิดปัญหาเรื่องสงครามนิวเคลียร์ คนที่กังวลมากที่สุดในเรื่องนี้กลับเป็น นายลี เซียน ลุง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ ซึ่งเป็นคนที่รับใช้นโยบายอเมริกามาสุดๆ สุดลิ่มทิ่มประตู

ในการประชุมที่อเมริกาสั่งให้ผู้นำอาเซียนไปประชุมกับนายโจ ไบเดน เดิมทีนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยการชักจูงและชักนำของนายดอน ปรมัตถ์วินัย พยายามผลักดัน ประกาศออกมาเป็นคนแรกว่าจะให้ พล.อ.ประยุทธ์ ไปประชุมเมื่อวันที่ 28-29 มีนาคม ที่ผ่านมานี้ แต่พอโดนท่านสมเด็จฮุน เซน ซึ่งเป็นประธานอาเซียน ใส่ดิสก์เบรก ติดเบรกเอาไว้ว่า เฮ้ย! ผู้นำอาเซียน ไม่มีใครว่างตอนนี้ ก็เลยทำให้ความคิดของหมาชิวาว่าบางตัวก็ได้แต่เห่าบ๊อกๆ อยู่ที่บ้าน


แต่กลับมีผู้นำอาเซียนเพียงคนเดียว คือ นายลี เซียน ลุง บินจากสิงคโปร์ ไปเจอโจ ไบเดน ซึ่งอันนี้ทำให้โจ ไบเดน และกระทรวงการต่างประเทศอเมริกา ตลอดจนคนที่มีอิทธิพลทางการเมืองในอเมริกา รู้สึกเสียหน้า และเริ่มรู้สึกตัวแล้วว่าอิทธิพลของตัวเองกำลังถูกสั่นคลอน

ผมเคยพูดไปแล้วว่า ท่าทีของการสั่งคนโน้นคนนี้มาประชุมของผู้นำสหรัฐฯ ดูแล้วไม่ดีเลย เพราะอเมริกาทำตัวเป็นนักเลงโต ซึ่งผมเรียกว่า "อันธพาลโลก" เรียกลิ่วล้อไปสั่งงาน ผู้นำหลายชาติในอาเซียนรู้เท่าทัน ไม่ยอมไปตามคำสั่ง ลี เซียน ลุง ก็เลยตัดสินใจไปด้วยตัวเอง ไปตั้งแต่ 26 มีนาคม กลับวันที่ 2 ประมาณ 7 วัน ไปพบกับนายโจ ไบเดน ประธานาธิบดี นางกมลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดี และไปเจอนางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎร

วันที่ 30 มีนาคม วันพุธที่แล้ว นายลี ได้ไปพูดที่สภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หรือที่เขาเรียกว่า CFR ผมเคยพูดเรื่องนี้มานานแล้ว CFR คืออะไร 


ท่านผู้ชมที่ติดตามคลิปผมมาตลอดจะเข้าใจ Council of Foreign Relations ว่าเขากังวลเกี่ยวกับคำพูดของนายชินโซ อาเบะ อดีตผู้นำญี่ปุ่น เกี่ยวกับเรื่องอาวุธนิวเคลียร์ เขาพูดอย่างนี้ครับ "เราควรจะคิดเรื่องการติดตั้งอาวุธนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ บนผืนแผ่นดินของญี่ปุ่น และผมก็มั่นใจว่าเรื่องนี้ในเชิงยุทธศาสตร์ ต้องมีการหารือกันมาก่อนแล้ว ไม่ใช่จู่ๆ นายชินโซ อาเบะ ก็พูดขึ้นมา" ซึ่งโดยหลักแล้ว นายชินโซ อาเบะ กำลังโยนหินถามทาง นายลี เซียน ลุง พูดต่อ "แม้รัฐบาลญี่ปุ่นจะออกมาปฏิเสธว่าไม่มีทางทำ แต่ความคิดเรื่องอาวุธนิวเคลียร์มันถูกเสนอขึ้นมาเรียบร้อยแล้วในญี่ปุ่น และความคิดเรื่องอาวุธนิวเคลียร์จะไม่หายไป เพราะมันมีบทเรียนในกรณีของยูเครน ซึ่งประเทศเกาหลีใต้ก็อาจจะเริ่มมีการคุยกันแล้วว่า เกาหลีใต้อาจจะต้องเริ่มพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์บ้าง ซึ่งงานนี้ไม่ใช่แค่การเอาจรวดนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ มาติดตั้ง แต่พัฒนาขึ้นมาเองเลย" ผู้นำสิงคโปร์ยังพูดต่อ "คราวนี้ก็จะเกิดการสะสมอาวุธนิวเคลียร์กันใหญ่ อันจะนำพาโลกไปสู่สถานการณ์ที่สุ่มเสี่ยงอย่างยิ่ง"

ท่านผู้ชมครับ บทบาทของญี่ปุ่นที่มีต่อรัสเซีย ก็เลยทำให้ญี่ปุ่นมีงานเข้า หลังจากที่ประกาศคว่ำบาตรรัสเซีย รวมไปถึงการโยนหินถามทางของนายอาเบะ ว่าญี่ปุ่นควรจะให้อเมริกามาตั้งฐานอาวุธนิวเคลียร์บนเกาะญี่ปุ่นได้ วันที่ 7 มีนาคม 2565 นายคิชิดะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ได้ประกาศว่า เกาะคูริลใต้ เป็นอาณาเขตจำเพาะของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นดินแดนที่ญี่ปุ่นมีอำนาจอธิปไตย นั่นคือวันที่ 7 มีนาคม นะครับ


ต่อมา วันที่ 8 มีนาคม วันถัดมา นายโยชิมาสะ ฮายาชิ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ระบุถึงเกาะทั้งสี่นั้นว่า เป็นส่วนสำคัญของญี่ปุ่น และนี่เป็นการตอบโต้การรุกรานยูเครนของรัสเซีย ท่านผู้ชมดูแผนที่นะครับ เกาะคูริล อยู่ติดกับเกาะฮอกไกโด สถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อของคนไทยที่ชอบไป และอีกส่วนหนึ่งก็ไปเชื่อมต่อกับที่รัสเซีย

วันที่ 26 มีนาคม 2565 หลังจากที่ญี่ปุ่นได้แสดงอาการทำตัวเป็นหมาชิบะ เห่าหอนตามที่หัวหน้า เจ้าของหมา คืออเมริกา บอกให้ทำ รัสเซียก็เลยส่งงานเข้าหาญี่ปุ่น ประกาศว่าจะปฏิบัติการซ้อมรบบริเวณหมู่เกาะคูริล ของรัสเซีย ดินแดนที่ญี่ปุ่นอ้างสิทธิ์เหนือพื้นที่ดังกล่าว โดยรัสเซียเรียกเกาะนี้ว่า นอร์เทิร์น เทร์ริทอรี (Northern Territory) พื้นที่อาณาเขตทางเหนือ

นอร์เทิร์น เทร์ริทอรี เกาะสี่เกาะนี้อยู่ภายใต้การปกครองของจังหวัดฮอกไกโด เป็นปัญหาความขัดแย้งของสองชาตินี้ ญี่ปุ่น และ รัสเซีย มาประมาณ 70 ปี โดยกองทัพเขตทหารตะวันออกของรัสเซีย ระบุว่า จะมีการซ้อมรบบริเวณหมู่เกาะคูริล โดยกำลังทหารรัสเซียกว่าสามร้อยนาย และอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ รวมกว่าหลายร้อยชิ้น


ท่านผู้ชมครับ การประกาศซ้อมรบของรัสเซียในพื้นที่พิพาทครั้งนี้ มีขึ้นไม่กี่วันหลังจากที่รัสเซีย เพื่อเอาคืนญี่ปุ่น ประกาศถอนตัวจากการเจรจาสันติภาพกับญี่ปุ่น เพื่อตอบโต้ที่ญี่ปุ่นดำเนินมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียต่อการสงครามรุกรานยูเครน

จากปัญหาพิพาทในพื้นที่หมู่เกาะดังกล่าวที่ยืดเยื้อมานาน เป็นผลให้รัสเซีย และ ญี่ปุ่น ยังไม่ได้ลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติ ระหว่างกันแต่อย่างใด คือพูดง่ายๆ ว่า ตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 มา 70 ปี รัสเซีย และ ญี่ปุ่น ไม่ได้ลงนามในสัญญาสงบศึก ยังถือว่าเป็นศัตรูกันอยู่ สองประเทศนี้ยังอยู่ในสภาวะสงคราม

ก่อนหน้าที่ญี่ปุ่นจะประณามการถอนตัวจากการเจรจาสันติภาพของรัสเซีย และการยุติโครงการพัฒนาเศรษฐกิจร่วมกันในพื้นที่ดังกล่าวของรัสเซีย กับ ญี่ปุ่น ด้วย ในวันจันทร์ที่ 21 มีนาคม กระทรวงการต่างประเทศรัสเซียแถลง โดยระบุว่า "ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน รัสเซียไม่มีความประสงค์ที่จะเจรจาเรื่องสนธิสัญญาสันติภาพกับญี่ปุ่นอีกต่อไป ญี่ปุ่นแสดงจุดยืนไม่เป็นมิตรอย่างโจ่งแจ้ง และพยายามที่จะทำลายผลประโยชน์ของรัสเซีย"


ส่วนนายฟูมิโอะ คิชิดะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ออกมาแถลงคัดค้านการตัดสินใจของมอสโก พูดได้ 2 ประโยค "ไม่ยุติธรรม" และ "รับไม่ได้อย่างสิ้นเชิง" แต่ก็พูดได้เพียงแค่นี้ นายกฯ ญี่ปุ่น บอกว่า "เรื่องราวทั้งหมดเกิดจากรัสเซียไปรุกรานยูเครนก่อน การที่รัสเซียผูกโยงประเด็นนี้เข้ากับความสัมพันธ์ญี่ปุ่น-รัสเซีย จึงเป็นเรื่องไม่ยุติธรรม และรับไม่ได้อย่างสิ้นเชิง" โดยที่นายคิชิดะ ไม่ได้ทำความเข้าใจกับข้อเท็จจริง

ข้อเท็จจริงข้อที่หนึ่ง คือ ยูเครนไม่ได้อยู่ในพื้นที่ของญี่ปุ่น ญี่ปุ่นเข้ามาเสือ ก ในเรื่องไต้หวันยังพอจะเข้าใจได้ เพราะไต้หวันเคยมีสัมพันธภาพที่ดีกับญี่ปุ่นมานานแล้ว ในสมัยโบราณกาล แล้วไต้หวันก็อยู่ติดญี่ปุ่น เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้าญี่ปุ่นจะเข้ามาแล้วปกป้องไต้หวัน ก็เป็นสิทธิอันชอบธรรมในฐานะเพื่อนบ้านได้ แต่ยูเครนอยู่อีกฟากโลกหนึ่ง การที่ญี่ปุ่นมาทะเลาะกับรัสเซียเพราะยูเครน สะท้อนให้เห็นว่าญี่ปุ่นคือหมาชิบะตัวจริงที่รับใช้อันธพาลใหญ่ของโลก คือ สหรัฐอเมริกา

เรื่องราวข้างต้นระหว่างญี่ปุ่น กับ รัสเซีย ถ้าอุปมาอุปไมยบอกเล่าเป็นภาษาชาวบ้านก็คือ ญี่ปุ่น ซึ่งผมเปรียบเป็นหมาชิบะ เวลาเจ้าของสั่งให้ทำอะไร ให้เห่า ให้ข่วน ให้กัด ก็ทำเต็มที่ ช่วงแรกๆ รัสเซีย ซึ่งเป็นตัวแทนของหมีขาว เห็นชิบะตัวเล็กมาก ก็ไม่โต้ตอบ แค่หมายหัวเอาไว้ แต่พอถึงจุดหนึ่ง เห็นว่าคงต้องสั่งสอนแบบเบาะๆ เอาเสียบ้าง ก็เลยจัดการเรื่องดังต่อไปนี้ หนึ่ง รัสเซียถอนตัวจากการเจรจาสันติภาพซึ่งคาราคาซังมาเป็นเวลา 70 กว่าปี ท่านผู้ชมครับ นอกจากระเบิดปรมาณู 2 ลูก ที่ใส่ญี่ปุ่นไปแล้ว มีการวิเคราะห์ของนักวิชาการจำนวนหนึ่ง บอกว่า สาเหตุที่ญี่ปุ่นยอมยกธงขาว รับว่าแพ้สงครามในสงครามโลกครั้งที่ 2 จริงๆ แล้วนอกจากการถูกทิ้งระเบิดปรมาณู แต่ข้อเท็จจริงมาจากการที่สหภาพโซเวียต ประกาศสงครามกับญี่ปุ่น ในวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2488 หรือหลังจากสหรัฐฯ ทิ้งระเบิดลงในฮิโรชิมา 2 วัน และก่อนที่จะทิ้งระเบิดลงที่นางาซากิอีก 1 วัน

หลังจากนั้น 1 วัน กองทัพสหภาพโซเวียตบุกเข้าไปในดินแดนแมนจูกัว ซึ่งญี่ปุ่นยึดครองจากจีน และใช้ฮ่องเต้หุ่นเชิด คือ ปูยี ซึ่งญี่ปุ่นอยู่เบื้องหลัง ตั้งเป็นประเทศแมนจู ขึ้นมา

การถอนตัวดังกล่าวทำให้การเจรจาสันติภาพที่อดีตผู้นำญี่ปุ่นอย่างนายอาเบะ ทุ่มเทอย่างมาก สมัยก่อนนายอาเบะ จะทุ่มเทอย่างมากในเรื่องการเจรจาสันติภาพ มาคุยกับปูติน หลายสิบครั้ง ต้องล่มสลายไปในพริบตา

ข้อสอง เมื่อยุติการเจรจาสันติภาพอย่างเด็ดขาดแล้ว รัสเซียประกาศซ้อมรบบริเวณหมู่เกาะคูริล ที่มีข้อพิพาทกัน คือพูดง่ายๆ ว่าสมัยก่อนนี้ยังถกเถียงกันบนโต๊ะได้ วันนี้รัสเซียบอกไม่ต้องเจรจาสันติภาพแล้ว คุณกับผมยังเป็นศัตรูกัน ยังอยู่ในภาวะสงครามกัน นอกจากพูดด้วยปากไม่พอ ยังลงมือด้วยการซ้อมรบบริเวณหมู่เกาะคูริล ที่มีข้อพิพาท คุ้นๆ ไหมท่านผู้ชมว่าการกระทำของรัสเซียนั้น ก็คือพูดน้อยต่อยหนัก พูดกันไม่รู้เรื่อง ชนทันทีเลย เหมือนกับกรณียูเครน

ข้อที่สาม รัสเซียประกาศยุติโครงการพัฒนาเศรษฐกิจร่วมกับญี่ปุ่นในพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งสมัยก่อนพื้นที่นี้ถึงจะมีข้อพิพาทกัน แต่ทั้งสองประเทศมีข้อตกลงกันว่าเราลงทุนพัฒนาร่วมกันดีกว่า มีบริษัทญี่ปุ่นเข้าไปลงทุนพัฒนา ตอนนี้ญี่ปุ่น-รัสเซีย ยุติโครงการพัฒนาแล้ว เมื่อยึดเกาะคูริลมาแล้ว ที่ญี่ปุ่นพัฒนาไปแล้วก็ถือว่าลงทุนฟรีไป ถ้ารัสเซียเปิดโอกาสให้บริษัทจากประเทศอื่นเข้ามา เช่น จีน เข้ามาพัฒนาแทน ญี่ปุ่นก็จะเจ็บช้ำน้ำใจมาก


ข้อที่สี่ หากความตึงเครียดกลายเป็นสงครามย่อย ประธานาธิบดีปูติน ของรัสเซีย ก็อาจจะชักชวน คิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ ที่มีอาวุธนิวเคลียร์อยู่ในมือ และทดสอบอาวุธอยู่เป็นประจำ รัสเซียอาจจะเชิญเกาหลีเหนือเข้ามาร่วมวงศ์ไพบูลย์ด้วยก็ได้ คราวนี้ญี่ปุ่นจะปวดหัวล่ะ

ท่านผู้ชมครับ ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับญี่ปุ่น ณ วันนี้ เป็นสิ่งที่ไม่น่าเกิดขึ้น ทั้งๆ ที่สถานการณ์ความขัดแย้ง ซึ่งผมเรียนให้ทราบแล้วว่าเกิดขึ้นในยุโรป เป็นความขัดแย้งรัสเซีย กับ ยูเครน นาโต ญี่ปุ่นเสือ ก ทำตัวเป็นแมงเม่าวิ่งเข้ากองไฟ ทำตัวเป็นหมาชิบะเชื่องๆ ที่เจ้าของอย่างอเมริกา สั่งให้หันซ้าย ก็หัน หันขวา ก็หัน สั่งให้เห่า ก็เห่า สั่งให้ไปวิ่งกัดใคร ก็กัด จนสุดท้ายนำภัยมาสู่ประเทศชาติและประชาชนของตัวเองโดยแท้

ท่านผู้ชมครับ การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. นั้น จะมีในวันที่ 22 พฤษภาคม 2565 ถ้านับจากวันนี้ไปแล้ว เราจะเหลือเวลาประมาณ 44 วัน ตอนนี้มีคนลงรับสมัครประมาณสามสิบคนแล้ว แต่หลักๆ แล้ว คนที่มีชื่อเสียง และเป็นคนที่ทุกคนให้ความสนใจก็มีอยู่ 5 คน 6 คน รวมทั้งคุณศิธา ทิวารี มีม้านอกสายตาอยู่คนเดียว คือ เบอร์ 7 คือ คุณรสนา โตสิตระกูล นอกสายตาคือไม่มีคนให้ความสนใจ ไว้วันหลังผมจะพูดถึงเรื่องคุณรสนา สักครั้ง

รสนา โตสิตระกูล
ที่ผมพูดเช่นนี้ ผมกำลังจะบอกให้ท่านผู้ชมรู้ว่า คนกรุงเทพฯ ที่เลือกผู้ว่าฯ กทม. จะแบ่งเป็นคน 2 ประเภท ประเภทหนึ่ง คือ คนที่ถูกจัดตั้งมาเรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะเป็น ส.ก. ต่างๆ ที่พรรคโน้นส่ง พรรคนี้ส่ง แต่ละคนมีฐานเสียงอยู่ในพื้นที่ของตัวเอง จะอยู่เขตจตุจักรก็มี เขตพระนครก็มี ตระกูลกาญจนชูศักดิ์ ก็ส่งลูกหลานลง ส.ก. เช่นกัน ซึ่งก็เป็นคนเก่าคนแก่ เพราะฉะนั้นแล้ว ฐานเสียงจัดตั้งมีหมดทุกพรรค ใครบอกว่าแต่ละพรรคไม่มี มีหมดครับ มีมาก / มีน้อย ฐานเสียงก็จะแบ่งกันไปเรื่อยๆ อันนี้ไปให้ฝ่ายนี้ อันนี้ไปให้ฝ่ายนั้น ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละฝ่ายที่มีฐานเสียงนั้น เป็นฐานเสียงเก่าของพรรคการเมืองใด หรืออีกนัยหนึ่ง ผมกำลังจะพูดว่า ในการเลือกตั้งผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. ในจำนวน 7-8 คนแรกที่เป็นส่วนที่สำคัญที่สุด ล้วนแล้วแต่มีคนหนุนหลังทั้งสิ้น

สำหรับผมแล้ว ไม่มีใครอิสระหรอก นอกจากคนเดียว คือ คุณรสนา โตสิตระกูล หมายเลข 7 แต่ไม่เป็นไร วันนี้ผมจะไม่พูดถึงรสนา อีกสักอาทิตย์ สองอาทิตย์ ผมจะพูดถึง


พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง เจ้าเก่า ที่บอกว่าขอเดินหน้าต่อไป ก็คือมาทำงานต่อให้ ณ วันนี้ ดูเหมือนจะเป็นคนที่มีภาษีพอสมควร ถึงแม้ว่าโพลและโซเชียลมีเดียจะให้คุณชัชชาติ มา เพราะคุณอัศวิน ขวัญเมือง นั้นมีคนที่แบ็กค่อนข้างจะยิ่งใหญ่มาก ท่านผู้ชมครับ เดี๋ยวผมจะแยกให้ดู คุณอัศวิน ขวัญเมือง มีผู้ที่มีอำนาจในปัจจุบันแบ็กอยู่ กลุ่ม 3 ป. และที่น่าสนใจอย่างหนึ่งคือ คนที่แอบแบ็กอยู่เงียบๆ คือ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า

อีกกลุ่มหนึ่งก็คือกลุ่มที่เขาเรียก กลุ่ม กปปส. คุณสกลธี ก็มีคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ แบ็กอยู่ คุณชัชชาติ จะอย่างไรก็ตาม ถึงจะลาออกจากพรรคเพื่อไทยแล้ว แต่การที่พรรคเพื่อไทยไม่ส่งคนลงสมัคร ก็เหมือนกับพรรคพลังประชารัฐไม่ส่งคนลงสมัคร ก็เพราะว่าทั้ง พล.อ.ประวิตร พล.อ.ประยุทธ์ และ ร.อ.ธรรมนัส แบ็กอัศวิน ขวัญเมือง อยู่ เพื่อไทยก็เช่นกัน ก้าวไกลก็เช่นกัน ก้าวไกล กับ เพื่อไทย ก็คาบลูกคาบดอกกัน เพราะฉะนั้นแล้ว จะบอกว่าไม่มีฐานเสียงไม่ได้ พวกนี้ล้วนแต่มีพรรคการเมืองอยู่ทั้งสิ้น จะมีมากหรือน้อย อีกเรื่องหนึ่ง

เพราะฉะนั้นแล้ว ตัวแปรที่สำคัญที่สุดจะทำให้ใครก็ตามสามารถชนะผู้ว่าฯ กทม. ได้ ก็คือคนอย่างผม คนอย่างท่านผู้ชมอีกเยอะเลย ที่ยังไม่ตัดสินใจว่าจะเอาใคร รวมทั้งคนที่บอกว่าอยากจะได้ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. ที่เป็นอิสระจริงๆ ไร้ราคีในเรื่่องความเกี่ยวพันกับพรรคการเมือง นอกจากนั้นแล้ว คนๆ นี้ยังจะต้องทำงานเป็น ทำงานเก่ง และมีวิสัยทัศน์ และสุดท้ายก็คือ ต้องจบลงด้วยเป็นคนที่ซื่อสัตย์ เพราะฉะนั้นแล้ว ท่านผู้ชม กับผม วันนี้หยุดตามกระแสโซเชียลมีเดียว่าคนนั้นไปออกตรงนั้นตรงนี้ คือทั้งหมดเป็นการสร้างภาพกันหมดตอนนี้ เดี๋ยวผมจะวิเคราะห์กลุ่ม วิเคราะห์คนให้ฟัง ในอาทิตย์หน้าหรืออีกอาทิตย์หนึ่งต่อไป น่าสนใจมาก

แต่วันนี้ผมจะบอกว่าผมจะวิเคราะห์ คนแรกที่ผมจะวิเคราะห์ในที่สุดแล้ว และจะเป็นคนเดียวที่ผมจะวิเคราะห์ คือ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง แต่ไม่ใช่ตอนนี้ ทำไมผมต้องวิเคราะห์ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ? เพราะว่า พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง มีแบ็กที่แข็งมาก ขนาด พล.อ.ประยุทธ์ พล.อ.อนุพงษ์ ถึงกับลงพื้นที่และไปส่งสัญญาณกลายๆ ว่าให้เลือก พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง น่าสนใจมากท่านผู้ชมครับ แล้วอีกสัก 1-2 อาทิตย์ ผมก็จะเอาผลงานของ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง มาตีแผ่ให้ดู แต่ละเรื่องๆ ที่ทำเอาไว้ เพราะคุณอัศวิน บอกว่ากำลังจะเดินหน้าทำงานต่อไป แล้วผมจะเอางานที่เคยทำมาในอดีตว่ามีอะไรบ้าง

ท่านผู้ชมครับ เป็นน้ำจิ้มให้หน่อยก็แล้วกัน ทำไมผมต้องพูด ? ที่ผมพูดก็เพราะว่า พล.อ.ประยุทธ์ พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.อนุพงษ์ สนับสนุน พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง และมีคนแอบสนับสนุนอีก ก็คือ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า คนๆ นี้แบ็กดีเหลือเกิน ก็เลยจำเป็นจะต้องเอาสิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ มาแบ็กว่าทำงานดีแล้ว กรุงเทพมหานครดีกว่าเก่า สมัยเก่าเยอะ ก็คือพูดง่ายๆ ว่า สะท้อนว่าน่าจะให้อัศวิน ขวัญเมือง ทำงานต่อ ก็ไหนๆ พล.อ.ประยุทธ์ แบ็งอย่างนี้แล้ว พล.อ.ประวิตร ก็แบ็ก แล้วก็ พล.อ.อนุพงษ์ ก็แบ็ก ผมก็เลยมีหน้าที่ต้องเอาผลงานของ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง มาตีแผ่ให้ทุกคนทราบ

มีว่ากันว่า ถ้าเลือกคุณสกลธี ก็ได้คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ เพราะคุณสกลธี บอกว่า ไม่เสียใจที่เป็น กปปส. คุณสุเทพ ก็แบ็กคุณสกลธี เต็มตัว คุณชัชชาติ เลือกคุณชัชชาติ ก็ได้เพื่อไทย เดี๋ยวนี้ ส.ก. พรรคเพื่อไทย กับป้ายโฆษณาคุณชัชชาติ ก็ตีคู่กันแล้ว


คุณวิโรจน์ พรรคก้าวไกล ก็เป็นคนที่ปากกล้า แต่ชอบขโมยแสงคนอื่นเขา ยกตัวอย่างเช่น กรณีของการทิ้งขยะไว้ที่แถวซอยอ่อนนุช คนที่เดินเรื่องให้ กทพ. ยกเลิกใบอนุญาตให้กับโรงงานไฟฟ้าขยะที่ซอยอ่อนนุช คนที่ทำงานนั้นก็คือ คุณรสนา โตสิตระกูล แต่คุณวิโรจน์ ลงพื้นที่ กลับบอกว่าเป็นฝีมือของเขา คุณรสนา เดินหน้าตั้งแต่ขั้นตอนที่หนึ่ง ถึงขั้นตอนสุดท้าย เอาล่ะ ไม่เป็นไร

วิโรจน์ ลักขณาอดิศร

รสนา โตสิตระกูล
ท่านผู้ชมครับ ถ้าท่านผู้ชมต้องการจะเลือกผู้ว่าฯ ที่เป็นอิสระจริงๆ ไม่ได้เกี่ยวพันอะไรกับพรรคการเมืองทั้งหลาย คุณสุชัชวีร์ หรือ ดร.เอ้ ของผม ก็ชัดเจน อยู่พรรคประชาธิปัตย์ คุณศิธา ทิวารี ก็อยู่พรรคของเจ๊หน่อย ซึ่งก็มีฐานเสียงเก่าของเจ๊หน่อยที่อยู่ในพื้นที่หลายๆ แห่ง สรุปง่ายๆ ว่า ทุกคนเลย ยกเว้นคุณรสนา จะมีการจัดตั้งอยู่บนพื้นที่มานานแล้ว และคนพวกนี้บางทีก็จัดตั้งซ้อนกัน ซ้อนกันไปซ้อนกันมาๆ และทุกคนแสงออกกันหมด ออกโซเชียลมีเดียกันเต็มที่ และสื่อมวลชนให้ความสนใจกับคนพวกนี้เสียส่วนใหญ่ ท่านผู้ชมครับ เพราะฉะนั้นในวันนี้ผมไม่จำเป็นต้องเอารายละเอียดของคนที่สมัครผู้ว่าฯ กทม. 30 คนมา สำคัญที่สุดก็คือ หมายเลข 1 ถึง หมายเลข 8 เท่านั้นเอง แล้วผมจะวิเคราะห์เป็นคนๆ ไป ขอให้ท่านผู้ชมจำคำพูดนี้เอาไว้ บางครั้งป้ายโฆษณาที่เห็นมันเป็นเรื่องของการโกหกหลอกลวง กทม. มีอยู่ 2 เรื่อง สำหรับผมแล้ว หนึ่ง แก้ไขข้อผิดพลาดที่ทำมา สอง บริหารจัดการแล้วเดินหน้าพา กทม. ไปสู่ทิศทางที่จะเป็นประโยชน์กับสังคม หรือเป็นประโยชน์ต่อประชาชนชาว กทม. ทั้งสิ้น ให้ได้ประโยชน์อย่างมาก มีแค่นี้เองท่านผู้ชม

บางคนคุยโม้ ฟุ้งไปเลยว่า ถ้าเลือกเข้ามาเป็นผู้ว่าฯ กทม. จะเปลี่ยน กทม. ให้เป็นโน่นเป็นนี่ เปลี่ยนไม่ได้หรอกครับ กทม. มีหน้าที่ทำความสะอาด ล้างท่อ จัดระเบียบในเรื่องของทางเดิน ทางเท้า เมื่อไรก็ตาม ถ้าใครก็ตามบอกว่าจะทำ กทม. ให้เปลี่ยนไป กทม. ทำอะไรไม่ได้ เพราะว่าถูกกระทรวงมหาดไทยคุมอยู่ทุกเรื่อง เพราะฉะนั้นแล้ว กทม. มีหน้าที่อยู่ไม่กี่อย่าง แล้วดูว่าใครบ้างที่พูดจามีเหตุมีผล ฟังรู้เรื่อง มีตรรกะ ว่าถ้าเขาได้มาเป็นผู้ว่าฯ กทม. แล้ว สิ่งที่เขาจะทำนั้นมันอยู่ในบริบทของผู้ว่าฯ ที่จะทำได้ ไม่ใช่อยู่ในบริบทของคนที่อยากให้ท่านมาลงเสียงให้กับพวกท่าน ก็เลยโม้ ฟุ้งกันไป เพ้อเจ้อกันไปหมดเลยตอนนี้ ผมดูแต่ละคนแล้วเพ้อเจ้อกันจริงๆ ทุกๆ เรื่อง


ท่านผู้ชมครับ วันนี้เอาเพียงแค่นี้่ดีกว่า เป็นการโหมโรงเปิด แล้วหลังจากนี้ผมจะค่อยๆ วิเคราะห์ให้ แต่อย่างที่ผมเรียนให้ทราบ คุณอัศวิน ขวัญเมือง จะเป็นคนเดียวที่ผมจะวิเคราะห์อย่างละเอียด เหตุผลเพราะว่า พล.อ.ประยุทธ์ พล.อ.อนุพงษ์ และ พล.อ.ประวิตร หนุนหลัง อัศวิน ขวัญเมือง อยู่ เพราะคุณอัศวิน ขวัญเมือง เป็นผู้ว่าฯ มาตรา 44 แล้วคุณอัศวิน ขวัญเมือง จะไปต่อ ขอไปต่อ และคุณอัศวิน แบ็กแข็งมาก ผมก็เลยจำเป็นต้องวิเคราะห์ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง วิเคราะห์อย่างตรงไปตรงมา ไม่มีอคติ ทุกอย่างที่ผมวิเคราะห์มีหลักฐานพิสูจน์ได้หมดทุกอย่าง

ท่านผู้ชมครับ ก่อนที่ผมจะจากไป จะขอเกริ่นเป็นน้ำจิ้มไว้ก่อนว่า วันศุกร์หน้าผมจะพูดเรื่อง ระเบียบโลกใหม่ ระเบียบโลกใหม่ที่กำลังจัดอยู่ในขณะนี้ และเจ้าของระเบียบโลกเก่ากำลังสู้อย่างหัวชนฝา ทั้งหมดเป็นการลำดับเรื่องราวของวิวัฒนาการการเมืองโลก ภูมิรัฐศาสตร์โลกว่า เฮ้ย! เรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร อะไรกำลังจะเกิดขึ้นต่อไป ระเบียบโลกใหม่มันเป็นอย่างไร วันศุกร์หน้าซึ่งยังอยู่ในช่วงวันหยุดของเทศกาลสงกรานต์ ท่านผู้ชมครับ อยู่บ้านเฉยๆ ไม่ได้ไปเล่นสงกรานต์กับเขา เปิดชม ท่านผู้ชมพลาดไม่ได้โดยเด็ดขาด เพราะว่าไม่มีใครเคยพูดเรื่องนี้อย่างละเอียด นี่คือการให้ความรู้ ให้ปัญญา อย่างที่ไม่มีใครในวงการสื่อมวลชนมอบให้กับท่านผู้ชมได้ อย่าลืมติดตามในวันศุกร์หน้า วันที่ 15 เมษายน นะครับ รับรองว่าไม่ผิดหวังอย่างแน่นอนที่สุด วันนี้ขอเพียงแค่นี้ และขอลาก่อน สวัสดีครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น