xs
xsm
sm
md
lg

[คำต่อคำ] SONDHI TALK : เปิดมหากาพย์ทหารสีเทา มาเฟียสีเขียว - ทางเลือกสุดท้ายของ พล.อ.ประยุทธ์ - ดรามา "ดาราหอยทาก"

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



วันที่ 28 ม.ค.65 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ไลฟ์สด “SONDHI TALK” ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ คุยทุกเรื่องกับสนธิ ช่องยูทูป Sondhitalk และแอปพลิเคชัน Sondhi App โดยประเด็นที่จะเล่าในวันนี้เป็นเรื่องของดรามา “คณะบุญหอยทาก” เมื่อดาราอภิสิทธิ์ชน แหกกฎผูกขาดสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นยังไง?

“หมอกระต่าย” ถูกบิ๊กไบค์ชนขณะข้ามทางม้าลาย ความศักดิ์สิทธิ์ของทางม้าลาย ที่ไม่เคยมีอยู่จริง!

ความสัมพันธ์ ไทย-ซาอุฯ เมื่อ“บิ๊กตู่” บินกลางดึก เบิ้องหลังคืออะไร? หรือมีอะไรมากกว่านั้น?

ทางรอดของ “พล.อ.ประยุทธ์” ในวิกฤตการเมืองไทย ทางออกไหนดีที่สุด

และสุดท้ายเปิดยุทธจักรมาเฟียไทย “ทหารสีเทา มาเฟียสีเขียว” เริ่มมีมาตั้งแต่สมัยไหน เจ้าพ่อยุคเก่าจนมาถึงเจ้าพ่อยุคใหม่ ใครเป็นใครกันบ้าง?? ติดตามได้ใน SONDHI TALK : ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง Ep.122



[คำต่อคำ] SONDHI TALK : เปิดมหากาพย์ทหารสีเทา มาเฟียสีเขียว

ช่องทางการรับชมรับฟัง "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" หรือ SONDHI TALK
แอปพลิเคชัน : SONDHI APP (ทั้งระบบ iOS และ Android)
เฟซบุ๊กแฟนเพจ : คุยทุกเรื่องกับสนธิ
YouTube : Sondhitalk
เว็บไซต์ : www.sondhitalk.com
Podcast หรือ podbean : SONDHI TALK

สวัสดีครับท่านผู้ชม วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2565 เป็นศุกร์สุดท้ายของเดือนแล้ว เวลาผ่านไปเร็วเหมือนโกหก แล้วนับจากนี้ไปเรื่อยๆ เหตุการณ์บ้านเมืองก็จะเข้มข้นขึ้นตลอดเวลา และผมเชื่อว่าจะมีอะไรหลายอย่างที่เราคาดไม่ถึงเกิดขึ้น ผมมั่นใจอย่างนั้น ท่านผู้ชมตามรายการมาตลอดเวลา ท่านผู้ชมจะเห็นว่าผมได้ทำนายทายทักอะไรไว้หลายอย่าง ท่านผู้ชมครับ ตอนนี้เป็นตอนที่ 122 แล้ว

วันนี้ก่อนที่จะเข้าเรื่อง ผมขออนุญาตพูดเรื่องแอปฯ Sondhi App หน่อย ผมขออัปเดตหลังจากที่เราเปิดให้ดาวน์โหลด ลงทะเบียนให้ใช้ฟรีมาได้ 2-3 สัปดาห์แล้ว ก็มีคนดาวน์โหลดเข้ามาปริมาณมากพอสมควร ส่วนทีมงานเราพยายามอัปเดตแก้ไขจุดบกพร่องตลอดเวลา ทุกวันเราจะประชุมเพื่อนำฟีดแบ็กมาแก้ไข มีหลายๆ ท่านถามถึงการชำระเงินค่าสมาชิก เราจะเริ่มทำการเก็บเงินตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2565 ช่วงนี้ยังดูฟรีอยู่ ส่วนในตอนนี้ทางระบบได้เปิดระบบการจ่ายเงินผูกเข้ากับระบบ App Store สำหรับคนที่ใช้ Apple จ่ายผ่าน App Store ได้ หรือ Play Store สำหรับคนที่ใช้ระบบ Android แต่จะดูได้จนถึงสิ้นกุมภาพันธ์ 2565


จากนั้นระบบจะเริ่มดำเนินการตัดค่าสมาชิกเดือนละ 99 บาท ปีละ 990 บาท ก็คือว่า ถ้าสมัครรายปี จะดูฟรี 2 เดือน สามารถตัดผ่านบัตรเครดิต หรือหักผ่านบิลค่าโทรศัพท์มือถือที่ท่านใช้บริการอยู่ได้โดยอัตโนมัติ เวลานี้เราออกรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ยังผ่านแพลตฟอร์มของเฟซบุ๊ก ยูทูป และ Sondhi App แต่ว่าอีกไม่นาน ภายในปีนี้ ผมไม่แน่ใจ น่าจะเป็นประมาณมิถุนายน ท่านผู้ชมครับ เราจะออกเฉพาะ Sondhi App อย่างเดียว เฟซบุ๊ก กับยูทูป ไม่ออกแล้ว ถ้าท่านอยากจะดูรายการ ท่านต้องมาเป็นสมาชิก ถ้าต้องการได้ความรู้ Netflix ทางปัญญา เดือนละ 99 บาท วันละ 3.30 บาท เอาเงินมาเป็นค่าใช้จ่ายในการลงทุนทางด้านเทคโนโลยีและแพลตฟอร์ม

เราอาจจะออกที่ยูทูป หรือเฟซบุ๊ก ต่อ แต่ว่าไม่ใช่สด อาจจะเอาเรื่องที่เราออก Sondhi App ไปแล้ว แล้วค่อยเอามาลงทีหลัง อาจจะช้าไปสัก 1-2 อาทิตย์ เป็นทิศทางที่เรากำหนด ผมกำหนดเรียบร้อยแล้ว

ท่านผู้ชมที่เข้ามาเป็นสมาชิก App ได้เท่าไร เอาแค่นั้น ผมไม่สนใจ ผมคิดว่าถ้าท่านต้องการความรู้ ถ้าท่านต้องการปัญญา ช่วยเราวันละ 3.30 บาท เดือนละ 99 บาท ท่านได้หมดทุกอย่าง และผมคิดว่ารายการของเรามันไม่ใช่มีแค่ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" เรามีรายการเพิ่มเติมเยอะมาก อัปเดตใหม่ๆ ตลอดเวลา ที่สำคัญนะครับท่านผู้ชม คนที่ดูรายการ Sondhi App จะไม่มีโฆษณาเข้ามารบกวนให้เสียอารมณ์อีก เชื่อผมเถอะครับ คุ้มค่าในการชม และก็ถูกมาก ผมอาจจะเป็นเจ้าเดียวมั้งที่กล้าพอที่จะบอกว่า ถ้าหากท่านต้องการความรู้ ต้องการปัญญา ตั้งแต่ 1 มีนาคม เป็นต้นไป ท่านสามารถที่จะดูได้

ส่วนการที่เราจะออกเฉพาะ Sondhi App อย่างเดียวนั้น เท่าที่กำหนดเวลาไว้ ก็คือประมาณภายในปีนี้ อาจจะเป็นเดือนมิถุนายน หรืออาจจะเป็นเดือนกรกฎาคม ก็แล้วแต่ เมื่อเราพร้อมเมื่อไร ก็หมายความว่าจากนั้นท่านที่ต้องการติดตามรายการของผมทุกวันศุกร์ ก็ต้องเข้าไปเป็นสมาชิกของ Sondhi App นะครับ


ท่านผู้ชมครับ อาทิตย์ที่แล้วผมได้พูดถึง ... มีท่านผู้ชมหลายท่านสั่งซื้อยาบำรุงสายตา ชื่อ LUTEIN ที่มี ZEAXANTHIN ผสมน้ำมันปลา จากสมุนไพรบ้านพระอาทิตย์ ผมจะเปิดให้ดูนะครับ วันละ 2 เม็ด ถ้าท่านผู้ชมใช้สายตาในเรื่องของการดูโทรศัพท์มือถือ ดู iPad หรือแม้กระทั่งดูโทรทัศน์ตามจอต่างๆ เพราะเดี๋ยวนี้ชีวิตเราอยู่กับจอ จอเล็ก จอกลาง หรือจอใหญ่ ต้องทานยานี้ เพราะว่าผมก็ทานประจำ

ยาพวกนี้มันไม่ใช่ยาที่จู่ๆ ผมเอามาแนะนำ เพราะผมใช้ยานี้กับตัวผมเอง ไม่ว่าจะเป็นยาลม 300 จำพวก ซึ่งผมก็ใช้อยู่ ผมทานมาแล้ว 9 เดือน ส่วนทุกเช้านั้นผมก็ใช้ยาสีฟ้าสมุนไพร และทุกเช้าผมทาน QUERCETIN C PLUS ZINC ซึ่งเป็นยาสร้างภูมิคุ้มกัน และ LUTEIN ผมก็ทานประจำทุกวัน สายตาผม อายุมากขนาดนี้แล้ว ตาซ้ายบอดไปแล้ว ตาขวาผ่าตัดต้อกระจกไปเรียบร้อยแล้ว ก็สามารถที่จะอยู่ได้ด้วย LUTEIN ของแบบนี้ไม่ใช่ว่าจู่ๆ ก็เอามาให้ท่าน ผมทดลองมาแล้ว และดีจริงๆ รับประกันได้

ท่านผู้ชม ตั้งแต่ออกรายการมาแล้ว ท่านผู้ชมสนใจ LUTEIN ที่บำรุงสายตา ท่านผู้ชมซื้อได้ผ่านทาง Shopee และ Lazada และได้เข้าซื้อมาเป็นจำนวนมาก ตอนนี้ ยานี้มีส่วนบำรุงสายตา มองเห็นในที่สว่างและที่มืด เพิ่มความชุ่มชื้นให้สายตา ลดความเสี่ยงการเกิดต้อกระจก และโรคจุดรับภาพเสื่อม ท่านผู้ชมอย่าลืมนะครับ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เรื่องตา นี่เป็นอาหารเสริมอีกประเภทหนึ่งที่ออกแบบมาเพื่อที่จะให้บำรุงสายตาจริงๆ


ท่านผู้ชมครับ เอาไว้ผมค่อยอธิบายเรื่องนี้มากขึ้น เอาเป็นสั้นๆ ก็แล้วกันนะครับ ถ้าท่านผู้ชมต้องการที่จะรักษาสายตา ให้สั่งซื้อ LUTEIN ZEAXANTHIN วันหนึ่งทาน 2 เม็ด กระปุกหนึ่งมี 60 เม็ด ก็คือเดือนหนึ่ง ราคาก็สมเหตุสมผล

ท่านผู้ชมครับ รายการวันนี้จะเป็นรายการเรื่องบางเรื่องที่ผมคิดว่าท่านผู้ชมควรจะรับรู้เอาไว้ เราจะเริ่มรายการด้วยรายการดรามา เรื่อง "ดาราหอยทาก" กับคุณกาละแมร์ กับคุณครูอ้อย ซึ่งท่านผู้ชมคงได้ดูเรื่องราวต่างๆ เหล่านี้มามากพอสมควรแล้ว แต่ว่าผมมีข้อคิดอะไรหลายอย่างในเรื่องนี้ แล้วตามสไตล์ของผม เป็นคนที่พูดจาปะฉะดา พูดจาโผงผาง ไม่ไว้หน้าใคร แต่พูดครั้งนี้ไม่ได้เป็นการตามจิกตามกัดคุณกาละแมร์ ซึ่งผมเคยพูดถึงตัวคุณกาละแมร์มาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ครั้งนี้ผมตั้งข้อสงสัย และท่านผู้ชมติดตามการอธิบายของผมไปนะครับ

เรื่องที่สอง เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ผมเสียใจมาก และผมอยากจะพูดเรื่องนี้จริงๆ คือผมเสียดาย "หมอกระต่าย" หรือ แพทย์หญิงวราลัคน์ สุภวัตรจริยากุล ที่ถูกรถบิ๊กไบค์ชนเสียชีวิตขณะข้ามทางม้าลาย

ทั้งสองเรื่องนี้ ทั้งเรื่องของคณะบุญหอยทาก กับเรื่องหมอกระต่าย มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาได้ 2-3 วันแล้ว และท่านผู้ชมก็คงพอจะรู้เรื่องราวต่างๆ ถ้าท่านผู้ชมติดตามข่าวสาร แต่ที่ผมมาพูดครั้งนี้ เพื่อต้องการเอาอีกมิติหนึ่งในข้อคิด เอามาฝากท่านผู้ชม

เรื่องสุดท้ายเรื่องเล็กๆ ก่อนที่จะเข้าเรื่องใหญ่ ก็คือ นโยบายเศรษฐกิจอเมริกาและจีน และผมกำลังจะอธิบายว่าอธิปไตยทางการเงินในโลกยุคหลังโควิด ท่านผู้ชมครับ อาจจะดูน่าเบื่อหน่าย แต่ผมมั่นใจว่าผมอธิบายเรื่องราวได้แบบภาษาชาวบ้านจริงๆ ท่านผู้ชมจะเข้าใจ และขอเถอะครับ ตั้งใจฟัง เพราะเป็นเรื่องราวที่ท่านผู้ชมรู้หรือไม่รู้ ไม่สำคัญ แต่ว่าผมเอาเรื่องที่ยากมาพูดให้ง่าย อย่างน้อยก็ประดับปัญญาเอาไว้

ประเด็นเชิงลึกอีกเรื่องหนึ่งที่ผมจะพูด คือเรื่องของ พล.อ.ประยุทธ์ หมายด่วนไปซาอุดีอาระเบียในครั้งแรกในรอบ 33 ปี จะเป็นอย่างไร ลองมาฟังดู หลายๆ คนก็บอกว่า พล.อ.ประยุทธ์ นั้นไปโน่นนี่นั่น แต่ผมก็มีการตั้งข้อสังเกต ท่านผู้ชมครับ โปรดสังเกต ผมบอกว่า ผมตั้งข้อสังเกตหลายๆ ข้อ

และอีกเรื่องหนึ่งซึ่งจะเป็นก่อนเรื่องสุดท้าย เป็นเรื่องที่ท่านผู้ชมจำนวนมากติดต่อมาว่า คุณสนธิ ครับ คุณสนธิ คะ แล้ว พล.อ.ประยุทธ์ จะมีทางเลือกอย่างไรบ้าง ผมได้เสนอทางเลือกให้ พล.อ.ประยุทธ์ แล้วว่ามีทางเลือกอยู่ทางเดียว ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะสู้ได้อย่างสมความเป็นลูกผู้ชาย และถึงแพ้ ก็แพ้อย่างสมศักดิ์ศรี

เรื่องสุดท้าย ท่านผู้ชมเคยเห็นข่าวคราวมานานแล้วว่า ทหารเราจะมี "ทหารสีเทา" แล้วก็มี "มาเฟียสีเขียว" ผมเคยเขียนเรื่อง "เจ้าพ่อ" มาตั้งแต่ปี 2540 กว่าต้นๆ คิดเป็นเวลาก็เกือบสามสิบปีแล้ว แล้วข้อเขียนเรื่องเจ้าพ่อของผมก็ยังเป็นจริงอยู่ทุกวันนี้ ผมจะมาเล่าเรื่องเก่าให้ฟังบางส่วน และผมจะมาเล่าให้ฟังว่า ต้นเหตุของทหารมาเฟียสีเทา และมาเฟียสีเขียว เริ่มมาในสมัยไหน ใครบ้างที่เกี่ยวข้องในเรื่องพวกนี้


ท่านผู้ชมครับ ท่านผู้ชมคงได้รับทราบข่าวที่เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันมากในหมู่โซเชียลมีเดีย คือข้อกล่าวหาว่าได้มี "ดาราหอยทาก" อยู่กลุ่มหนึ่ง ก็คือพูดง่ายๆ ว่าเป็นก๊วนของครูอ้อย เข็มทิศชีวิต นั่นล่ะ ขึ้นถ้ำนาคา จ.บึงกาฬ เมื่อช่วงต้นเดือนมกราคม ที่ผ่านมานี้ แล้วก็แหกกฎ พกพานดอกไม้ เปิดเครื่องเสียงเสียงดัง สวดขอพรใช้เวลานานมาก ทำพิธีต่างๆ จนคนอื่นที่ต่อคิวไปสักการะต่างได้รับความเดือดร้อนกันถ้วนหน้า

ดรามานี้ทำให้คุณกาละแมร์ หรือ พัชรศรี เบญจมาศ ซึ่งเป็นคนที่ไม่ยอมอะไรทั้งสิ้น อดีตพิธีกรช่อง 3 ขึ้นถ้ำนาคาพร้อมก๊วนครูอ้อย หรือ คุณฐิตินาถ ณ พัทลุง รีบออกมายันว่าไม่ใช่ตัวเอง ตัวเองไม่ใช่ดาราหอยทาก ก็มีข้อแก้ตัวต่างๆ เยอะแยะะไปหมด


เรื่องนี้ถ้าจะดูให้ละเอียดจริงๆ ให้สะใจ ต้องเข้าไปดูคลิปที่อมรินทร์ทีวีเอามาออก เขาทำมาดีมาก แต่ที่ผมจะพูดเรื่องนี้ ผมจะสรุปเรื่องที่ท่านผู้ชมบางท่านไม่ได้ดูและไม่ได้ฟัง ไม่ได้ติดตาม คือพูดง่ายๆ ว่าเขาอ้าง เขากล่าวหาว่า ทีมคุณกาละแมร์ทำผิดกฎหมด เขาห้ามไม่ให้เอาของขึ้นไป ก็เอาขึ้นไป เอาลำโพงขึ้นไปเพื่อสวด ทำชาวบ้านเขาวุ่นวายไปหมด คุณกาละแมร์ก็เลยออกมาโต้ อย่างเช่น เขาบอกว่าคุณกาละแมร์เอาหมากพลู มีคนบนนั้นใส่เป้แบ่งมาให้ถือเพื่อจบที่ศีรษะตอนไหว้ ไหว้เสร็จก็นำกระทงหมากพลูกลับ ก็ปรากฏว่าแต่ละข้อที่คุณกาละแมร์แฉออกมา ถูกโซเชียลตามจับโป๊ะว่าแฉไม่จริง พูดไม่จริง เขาเอารูปมาให้ดูเลยว่า เพื่อนร่วมก๊วนถือพาน กระทงหมากพลู ดอกไม้ กันถ้วนหน้า แล้วยังพูดว่า ภาพที่คุณกาละแมร์มาชี้แจงในอินสตาแกรมนั้น เป็นภาพก่า ไม่ใช่วันที่เกิดเรื่อง (เอาภาพให้ดู) ภาพทางซ้ายเป็นภาพเก่า กับภาพวันที่เกิดเรื่อง เสื้อผ้าคนละชุด


ส่วนคุณอ้อย ฐิตินาถ ณ พัทลุง คนซึ่งเป็นหัวหอกในการสร้างเข็มทิศชีวิต ผมไม่ทราบนะว่าคุณอ้อย อาจารย์อ้อย หรือครูอ้อย หรืออะไรอ้อยก็ตาม ตอนนี้เข็มทิศชีวิตเพี้ยนไปหรือเปล่า ชี้ไปในทิศทางที่ผิดหรือเปล่า คุณอ้อยก็บอกว่า ตอนขึ้นไปมีไกด์คนอื่นให้ยืมกระทงใบตอง ก็ยืมมาแป๊บหนึ่ง แล้วเจ้าของขอคืนเพื่อนำกลับไปบูชาที่บ้าน คุณอ้อยบอกว่า ขึ้นไปมือเปล่า ไม่มีของ ไม่มีกระเป๋า เพื่อความรวดเร็ว


ชาวเน็ต หรือพวกโซเชียลมีเดีย นี่ก็ร้ายยย ร้าย ก็ถามว่า แล้วใครให้ยืมล่ะ ในเมื่อกฎมันห้ามนำขึ้นไป กฎมันชัดเจน ไม่มีใครเอาขึ้นไปหรอก มีแต่คุณเอาขึ้นไปเท่านั้นเอง เอาล่ะสิ ทางด้านหัวหน้าชุดอุทยานแห่งชาติภูลังกา ก็ออกมาให้สัมภาษณ์ยอมรับว่า กลุ่มคุณกาละแมร์มากันประมาณ 28-29 คน เรื่องพานพุ่ม เบื้องต้นไม่เห็นนำขึ้นไป แต่ไม่รู้ว่าซ่อนในกระเป๋าหรือไม่ ส่วนลำโพงบลูทูท เป็นเครื่องเล็กๆ เอาไว้สวดมนต์ ซึ่งกลุ่มคุณกาละแมร์อาจจะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เปิดเบาๆ แต่เพราะเป็นถ้ำ เปิดแล้วก็เลยเสียงก้อง โดยเจ้าหน้าที่ไม่ได้ไปค้นของ เลยไม่ทราบ แต่ถ้าเจ้าหน้าที่เห็นก็จะไม่ให้ใช้ ตักเตือน


ก็เกิดมีชาวบ้านที่ทางช่องอมรินทร์ทีวีเอามาออก ถ้าผมจำไม่ผิด ชื่อ คุณสมชาย มั้ง เขาบอกว่าถ้ำนาคาจะมีสายบุญขึ้นกัน ส่วนกลุ่มไหนทำไม่ดี จะอยู่ไม่ได้ เพราะที่นั่นมีความศักดิ์สิทธิ์จริง

ท่านผู้ชมครับ เอาล่ะ กาละแมร์บอกว่าไม่ใช่เขา ทางโซเชียลมีเดียบอก ใช่ แสดงว่าต้องมีใครสักคนตอแหล ใช่ไหม ? เพราะฉะนั้นแล้ว สรุปง่ายๆ ว่ามันมีอีตอแหลอยู่ 2 กลุ่ม อีตอแหลกลุ่มหนึ่งก็บอกว่า ฉันไม่ได้ทำ อีตอแหลอีกกลุ่มหนึ่งก็บอกว่า คุณนั่นล่ะที่ทำ ทุกอย่างความจริงต้องมีอยู่อย่างเดียว คือ ทำ หรือไม่ได้ทำ ท่านผู้ชมฟังเรื่องราวที่ผมพูดแล้ว ไปตัดสินใจเอาเองว่าใครกันแน่ที่เป็นคนที่ตอแหลจนได้โล่ หรือตอแหลจนได้เหรียญ ผมไม่บังอาจ คุณกาละแมร์อาจจะพูดความจริงก็ได้ ชาวเน็ตอาจจะโกหกก็ได้ สรุปแล้วต้องมีคนตอแหลอยู่คนหนึ่ง ท่านผู้ชมตัดสินใจเอาเองก็แล้วกัน

ผมฝากให้คิดอย่างนี้ เรื่องคุณกาละแมร์ ท่านผู้ชมหรือใครก็ตามที่จะขึ้นไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ท่านผู้ชมเคยเข้าไปไหว้พระ หรือไปในอุโบสถที่ศักดิ์สิทธิ์มากไหม แล้วเขาบอกว่าห้ามจุดธูป ห้ามจุดเทียน เพราะเขากลัวกลิ่นธูป และเปลวไฟของเทียนจะก่อให้เกิดไฟไหม้ได้ เพราะของที่อยู่ในนั้นศักดิ์สิทธิ์และเป็นของเก่า ผมเห็นชาวบ้านเข้าไป พอป้ายบอกว่าห้ามจุดธูป ห้ามจุดเทียน ไม่มีใครเขาจุดกันเลยสักคน ทุกคนเคารพในกติกา สิ่งแรกที่เห็น ที่เราเคยชินเวลาเข้าไปนมัสการสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไปกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือโดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ที่คนเขาเชื่อกันมากๆ เขาให้ถอดรองเท้าไว้ข้างนอก ทุกคนก็ถอดหมด จะมีพวกพิเศษหน่อย หน้าด้าน ก็เอารองเท้าถือเข้าไปแล้วก็เอาไปวางใกล้ๆ ที่ตัวเองนั่งอยู่ นั่นก็เป็นสันดานของคน ไม่รู้จะทำอย่างไร

ท่านผู้ชมครับ เวลาเราไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ และผมอยากจะฝากถึงทุกคน รวมทั้งครูอ้อยที่ชอบอ้างอิงเหลือเกินว่าเข้าใจเรื่องหลักธรรม ผมได้ข่าวว่าทีมครูอ้อยก็ไปกราบกุฏิหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ที่วัดป่านาคนิมิตร ที่ผมเคยเล่าให้ท่านผู้ชมฟัง ไปกันเยอะแยะ เป็นกลุ่มเบ้อเริ่มเลย เหมือนกับไปแล้วก็ไปบล็อกเอา คล้ายๆ ว่าเป็นเจ้าของกุฏิหลวงปู่มั่น ผมไม่ทราบว่าจริงหรือไม่จริง แต่ว่าผมฝากให้ครูอ้อยหน่อย ที่ชอบอ้างว่าตัวเองเข้าถึงหลักธรรม


เวลาเราไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่ว่าที่ไหนก็ตาม ใจต้องเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ถ้าจิตพวกคุณไม่บริสุทธิ์ ต่อให้เอาพานทองคำไปไหว้ หรือเอาพวงมาลัยสักร้อยพวงล้านพวงแค่ไหนไปกราบ ถ้าคุณไปด้วยจิตที่โลภ จิตคุณหิวแสง แล้วผมเชื่อว่าที่พวกคุณไป เกือบจะร้อยเปอร์เซ็นต์ หรือร้อยเปอร์เซ็นต์ ขึ้นไปไหว้ ส่วนใหญ่ขอให้ร่ำรวย ขอให้ลาภยศ ขอให้ชื่อเสียง ขอให้ขายดิบขายดี ขอให้มีคนนิยมชมชอบ ก็คือเป็นเรื่องของกิเลสทั้งนั้น ผมถามว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือเจ้าพ่อนาคา เขาไม่เซ็งพวกคุณบ้างหรือ ท่านคงจะเซ็งพวกคุณฉิบหายเลย (ขอโทษทีต้องพูดหยาบนิดหนึ่ง) เพราะพวกคุณไม่ได้ขึ้นไปไหว้ด้วยจิตที่บริสุทธิ์ คุณไหว้เพื่อหวังลาภ เพื่อหวังกิเลส จิตคุณเป็นกิเลส คุณไม่ได้ขึ้นไปด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ ถ้าคุณขึ้นไปด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ คุณไม่ต้องถืออะไรไปเลยแม้แต่นิดเดียว คุณเข้าไปไหว้ในห้องพระ หรือเวลาเข้าไปไหว้ที่ไหนก็ตามที่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คุณไปตัวเปล่าได้ พวงมาลัยที่คุณเอาไปถวายกับพระพุทธรูป พระพุทธรูปท่านไม่มีจิตวิญญาณหรอก ท่านคือสัญลักษณ์ของพระพุทธเจ้า ถ้าคุณจะเอาพวงมาลัยไปถวายพระภิกษุสงฆ์ซึ่งยังมีชีวิตอยู่ แล้วเป็นพ่อแม่ครูอาจารย์ที่น่าเคารพ ก็ไม่เป็นไร เพราะท่านก็จะยื่นมือมารับพวงมาลัยจากคุณ ก็อนุโมทนาที่คุณได้ถวายพวงมาลัยให้ท่าน แต่จริงๆ แล้วแทบไม่ต้องมีอะไรไปเลยแม้แต่นิดเดียว มีไปอย่างเดียว จิตใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน จิตบริสุทธิ์ เข้าไปกราบไหว้ ท่องนะโม 3 จบ พุทธังสะระณังคัจฉามิ ทุติยัมปิพุทธังฯ ตติยัมปิพุทธังฯ กราบพ่อแม่ครูอาจารย์ กราบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และพ่อแม่ครูอาจารย์ แล้วค่อยอิติปิโส ภะคะวาฯ จนกระทั่งถึงสุปฏิปันโน สาวะกะสังโคฯ พอกราบเสร็จเรียบร้อยแล้ว คุณนั่งใจให้นิ่งๆ คุณตั้งจิตอธิษฐานว่าคุณมาครั้งนี้เพื่อมากราบสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอให้ตัวเองมีสุขภาพที่แข็งแรง ขอให้ครอบครัวมีความสุข ขอให้ประเทศชาติสงบสุข และขอให้โรคโควิดต่างๆ ไม่กล้ำกรายคุณ คุณจะแถมว่าขอให้กิจการงานที่ทำให้สำเร็จก็พอแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องแบกพานชูเหนือหัวขึ้นมา แล้วคุณก็ท่องบทโน้นบทนี้ คุณท่องคาถาอะไรไปไม่มีใครได้ยินหรอก สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ยินหรอก สิ่งศักดิ์สิทธิ์เขารำคาญคุณจะตาย ว่าคุณจิตไม่ปกติ จิตไม่บริสุทธิ์ จิตไม่นิ่ง อยากจะทำบุญไหว้พระเอาหน้า โชว์ออฟ แล้วก็ไปเผยแพร่กัน

ผมให้ดูก็แล้วกันว่าเรื่องนี้ต้องเปลี่ยนทัศนคติใหม่สำหรับคนที่จะไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ คิดให้ดีๆ อย่าไปเน้นพิธีกรรม คุณอย่าไปคิดว่าที่คุณถวายพวงมาลัยแล้ว คุณจะได้ในสิ่งที่คุณต้องการ ไม่ใช่

ผมเห็นคุณกาละแมร์เคยไปไหว้ไอ้ไข่ไม่ใช่หรือ เวลาคุณไปที่ไหน คุณต้องเป็นเจ้าแม่ที่นั่นเลย ได้ข่าวว่าครั้งหนึ่งที่นครพนม คุณก็ไปสร้างวีรกรรมเอาไว้ไม่ใช่หรือ


โอ้! เรื่องของคุณนี่เยอะ ผมขี้เกียจพูด เดี๋ยวจะหาว่าผมตามจิกตามกัดคุณ เมื่อไรคุณจะพอเสียที เมื่อไรคุณจะหยุดหิวแสงเสียที ทำบุญเขาทำกันเงียบๆ ไม่ต้องมาโชว์ออฟกัน คุณจัดทัวร์ทำบุญที่ไหนก็ได้ ครูอ้อยอยากจัดทัวร์ทำบุญ จัดไปเลย แต่ไปแต่ละสถานที่อย่าทำตัวเป็นผู้มีอภิสิทธิ์ ซึ่งผมไม่รู้ว่าคุณทำหรือไม่ทำ แต่ถ้าคุณคิดจะทำ ผมขอเถอะ มีชาวบ้านอีกเยอะที่เขาไป เห็นใจชาวบ้านเขาบ้าง อย่าไปทำตัวเป็นคนผูกขาดสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นๆ นั่นล่ะครับสิ่งที่ผมอยากจะฝากเอาไว้


วันนี้ถ้าจะพูดถึงเรื่อง "หมอกระต่าย" หรือ แพทย์หญิงวราลัคน์ สุภวัตรจริยากุล ถูกบิ๊กไบค์ชนจนเสียชีวิต ก็คงจะไม่สายเกินไป เพราะว่าสิ่งที่ผมจะพูดวันนี้ ผมคงไม่ลงรายละเอียดต่างๆ เพราะว่าเรื่องราวต่างๆ คงจะถูกรายงานข่าวออกมาประจำวันอยู่แล้ว ไม่ว่าเรื่องดรามา เรื่องการบวชแล้วเจ้าคณะจังหวัดท่านก็บอกว่าไม่ให้บวชแล้ว เพราะต้องคดีอยู่ ต้องไม่บวช หรือว่าเรื่องของ ส.ต.ต.นรวิชญ์ บัวดก คนขับบิ๊กไบค์ ปรากฏว่าพอชนหมอกระต่ายเสียชีวิต ก็เข้าไปโรงพยาบาล ก็ปรากฏว่าคนที่หมอจะต้องมาเข้าเวร ก็คือหมอกระต่าย ผมคงไม่ลงรายละเอียดพวกนี้ แต่หมอกระต่าย ที่ผมจะพูดคือ การสูญเสียบุคลากรที่ล้ำค่ามากในสังคมไทย

คุณหมอกระต่าย อายุ 33 ปี เป็นลูกสาวคนโตในจำนวนลูกสาว 2 คน ของคุณพ่อซึ่งเป็นจักษุแพทย์ (หมอตา) ชื่อนายแพทย์อนิรุทธ์ สุภวัตรจริยากุล ผมคิดว่าพ่อคงจะใจสลาย

ที่ผมพูดว่า เป็นการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่มาก เพราะอะไร ? เพราะว่าวิชาชีพที่หมอกระต่ายเรียนนั้น คือ จักษุแพทย์ จักษุแพทย์เป็นวิชาที่เรียนยากที่สุด แล้วจำนวนคนที่เรียนทางตา ถ้าไม่เก่งจริงมาเรียนไม่ได้ ทำไมผมถึงรู้ ? เพราะว่าผมเจอหมอตาตลอดเวลา ตาซ้ายผมเป็นต้อหิน บอดไปแล้ว เหลือตาขวา ซึ่งเป็นต้อกระจก ก็ได้ผ่าตัดไปเรียบร้อยแล้ว เปลี่ยนกระจกใหม่ไปเรียบร้อยแล้ว ก็เลยใช้ตาขวาข้างเดียว เวลาไปรอหมอตานั้น จะเห็นว่าคิวยาวเหยียด และคนเป็นโรคตาก็เยอะมาก

คุณหมอกระต่ายท่านเรียนจบแพทย์ที่โรงพยาบาลรามาฯ ไปเรียนต่อสาขาจักษุวิทยาที่ศูนย์การแพทย์เฉพาะทาง โรงพยาบาลเมตตาประชารักษ์ ก็คือวัดไร่ขิง แล้วก็ไปต่อยอดจอตาและวุ้นตาที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์

คุณหมอกระต่ายเพิ่งจะเรียนจบได้ 2 เดือน แล้วกำลังจะเข้ารับราชการที่โรงพยาบาลตำรวจ ก็เป็นการสูญเสียอย่างยิ่งใหญ่ของโรงพยาบาลตำรวจ เพราะว่าที่โรงพยาบาลตำรวจนั้น คิวคนที่ไปรักษาตานั้นยาวเหยียด


ประเด็นผมกำลังจะพูดว่า อุบัติเหตุนั้นมันเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แต่ว่าเหตุผลของการเกิดขึ้นนั้น มันก็เกิดขึ้นได้จากสองเรื่องสองราวที่ทำให้เกิดขึ้น ประการแรก คนที่ขับรถแล้วไปชนคนที่กำลังเดินข้ามทางม้าลาย มีความผิดหลายกรณีเลย และเป็นความผิดที่ประมาทเลินเล่ออย่างให้อภัยไม่ได้ ประการที่สอง ที่สำคัญก็คือว่า ส.ต.ต.นรวิชญ์ น่าจะเป็นคนที่ห้าว ซื้อบิ๊กไบค์ ก็คือ DUCATI ซึ่งเป็นไบค์สำหรับแข่ง อารมณ์ของคนหนุ่ม

ท่านผู้ชม อุบัติเหตุหลายอย่างที่เกิดขึ้นในประเทศไทยนั้น เกิดเพราะว่าคนหนุ่มที่อารมณ์ร้อน หรือคนหนุ่มที่ควบคุมความห้าวของตัวเองไม่ได้ ยิ่งมาขับรถที่แรง หรือขี่มอเตอร์ไซค์ที่แรง ก็ยิ่งอยากจะบิด แล้วก็ไม่สนใจหน้าอินทร์หน้าพรหม ผมก็คิดว่าในขณะที่คุณนรวิชญ์ก็ต้องสูญเสียอนาคตของตัวเอง เพราะงานนี้คงจะต้องติดคุกแน่นอน หนีไม่พ้น และผมก็คิดว่าประมาณ 3-5 ปี แต่เนื่องจากโทษทางอุบัติเหตุนั้น เวลาได้รับพระราชทานอภัยโทษแล้ว ก็จะได้ลดเยอะมาก แต่ที่สูญเสียมากที่สุด น่าจะเป็นเรื่องของหมอกระต่าย และสังคมไทย สังคมแพทย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เป็นโรคตา


อุบัติเหตุครั้งนี้ หมอกระต่าย เราสูญเสียจักษุแพทย์ในสาขาวิชาที่ขาดแคลนมาก ท่านผู้ชม กว่าที่หมอกระต่ายจะเรียนและฝึกฝนทางการแพทย์อย่างหนัก เธอต้องใช้เวลาถึง 12 ปี ตั้งแต่เรียนแพทย์ปี 1 จนจบเฉพาะทางที่ประเทศไทย ที่เมืองไทยตอนนี้แพทย์ที่ขาดอย่างมาก 2 สาขา สาขาแรกคือ จักษุวิทยา และภูมิคุ้มกันอักเสบ สาขาม่านตาอักเสบ ทั้งประเทศไทยมีแค่ 50 คน จากประชากร 50 ล้านคน เราสูญเสียหมอต่ายไป เป็นการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ที่สุดหนึ่งกรณี

ที่ผมอยากจะพูด สูญเสียชีวิตบนทางม้าลาย มันสะท้อนให้เห็นถึงความโหลยโท่ยของสังคมไทยและความเฮงซวยของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ผมจะไล่ให้ดูนะครับ ทางม้าลาย ตั้งแต่ปี 2557-2564 หลายต่อหลายชีวิตตายบนทางม้าลาย ซึ่งไม่ควรจะเกิดความสูญเสียเลย ท่านผู้ชมรู้ไหม ถ้าท่านผู้ชมไปต่างประเทศ ทันทีที่ท่านผู้ชมก้าวบนถนน เท้าแตะทางม้าลาย รถที่มาส่วนใหญ่ กว่า 90 เปอร์เซ็นต์ เกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ เขาจะแตะเบรกหยุดให้ท่านผู้ชมเดินข้ามไปก่อน แต่เมืองไทย ขนาดคนเดินกลางทางม้าลาย รถก็ไม่หยุด หลบไปข้างหลังคนแล้วฟี้ดไปทันทีเลย อันนี้มันเกี่้ยวกับวินัยของมนุษย์ชาติพันธุ์ที่ชื่อคนไทยหรือเปล่าที่เละเทะ

เอาง่ายๆ ก็แล้วกัน 18 ธันวาคม ปี 2557 คุณกาญจน์ภัสร์ ศิริประทุม หรือ คุณวิเวียน อายุ 29 เดินข้ามทางม้าลาย ปรากฏว่ารถบรรทุก 4 ล้อ เร่งเครื่องฝ่าไฟแดงทางม้าลายอโศก คนตายเห็นไฟเขียวให้เดินข้าม เขาก็เดินข้าม รถบรรทุกไม่ได้สนใจอะไรเลย ฝ่าไฟแดงแล้วชนเขาตาย


22 กุมภาพันธ์ 2558 ถนนเจริญนคร เมดี พุ่มภักดี นักศึกษาปริญญาโทมหาวิทยาลัยรามคำแหง ขับรถชนผู้หญิงคนหนึ่ง ให้การว่าระหว่างที่ตัวเองขับรถจากฝั่งบุคโล เพื่อมุ่งหน้ากลับบ้าน ถึงจุดเกิดเหตุไม่เห็นผู้ตายข้ามทางม้าลาย

18 เมษายน 2558 เขตราษฎร์บูรณะ สุภาพร เจียมวโรดม อายุ 58 ตายอยู่กลางถนน ใกล้ๆ กันพบเก๋ง BMW ของ น.ส.อธิชา ภมรนิยม อายุ 25 ปี คนขับรถ อ้างว่าขับรถก้มหน้าลงไปปรับปุ่มควบคุมที่อยู่บริเวณคันเกียร์ เมื่อเงยหน้าขึ้นก็ชนผู้เสียชีวิตซึ่งกำลังจูงจักรยานข้ามทางม้าลาย ไม่ได้ระวัง


9 กุมภาพันธ์ 2562 หน้าวิทยาลัยนาฏศิลป์นครปฐม หทัยภัทร ตันตศิริ หรือ น้องใบหม่อน นักเรียน ม.4 วิทยาลัยนาฏศิลป์ ถูกนายมรรควัฒน์ จันทร์ไพจิตร หรือ ปุ๊ นักศึกษามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ขับบิ๊กไบค์ฝ่าไฟแดงชนขณะกำลังข้ามถนนตรงทางม้าลายหน้าวิทยาลัยนาฏศิลป์ อาการโคม่า สมองตาย หลังจากนั้นก็เสียชีวิต


1 กรกฎาคม 2562 บริเวณแยกกรมโยธาและผังเมือง ถนนพระราม 9 น.ส.วิลาวัณย์ พุ่มมาลา ชื่อเล่นว่า น้องลิ้นจี่ เพิ่งเรียนจบ เริ่มทำงานวันแรก โดนจักรยานยนต์ชนขณะข้ามทางม้าลาย ได้รับบาดเจ็บสาหัส เสียชีวิตในเวลาต่อมา

กรณีที่ห้า ธันวาคม 2562 นางก้อนทอง อมรินทรบัญชา อายุ 63 ปี ตายอยู่บนทางม้าลาย กำลังข้ามถนนจากฝั่งปากซอยเอกชัย 43/1 เพื่อเดินทางไปยังตลาดปิ่นทอง ฝั่งตรงข้าม รถจักรยานยนต์ขับมาด้วยความเร็ว ชนผู้ตายอย่างจัง

อีกกรณีหนึ่ง 14 เมษายน 2564 หน้าวิทยาลัยการอาชีวศึกษาปทุมธานี คุณธีราพร หวันสู อายุ 23 ปี ถูกรถกระบะของนายใหม่ ศรีชื่นชม อายุ 26 ปี พุ่งชน พอตรวจสอบกล้องหน้ารถ ขณะเกิดเหตุนายใหม่ได้แซงซ้ายจนถึงทางม้าลาย ได้ชนผู้เสียชีวิตขณะข้ามทางม้าลาย


กรณีที่เจ็ด กรกฎาคม ปีที่แล้ว สำรวย ตุ้ยจิต อายุ 81 เสียชีวิตกลางถนนสมุทรสงคราม-บางแพ หลักกิโลเมตรที่ 12 ทางเข้าหน้าวัดปากง่าม สมุทรสงคราม คนขับรถกระบะบอกว่า แถวนั้นมืดมาก เพิ่งจะมองเห็นผู้เสียชีวิตเดินข้ามถนนอย่างกระชั้นชิดมาก หักหลบและเฉี่ยวผู้เสียชีวิตกระแทกกับกระบะด้านซ้าย ตาย

ท่านผู้ชมครับ นี่เป็นตัวอย่าง และผมเชื่อว่ายังมีคนที่ตายบนทางม้าลายอีกเยอะ เหตุการณ์สะเทือนใจมันไม่ควรจะเกิดขึ้นแบบนี้ ทำไมเราไม่ปรับปรุง เปลี่ยนแปลง ผมไม่อยากจะตำหนิใคร แล้วหนีไม่พ้นก็คือตำรวจนั่นเอง ตัวการ

ท่านผู้ชมครับ เวลาเขาสร้างทางม้าลาย ควรที่จะมีไฟ ทางม้าลายมี 2 แบบ แบบหนึ่งก็คือ ฝั่งตรงข้ามมีไฟเขียว-ไฟแดง พอไฟเขียว ให้เดินได้ ไฟแดงอีกด้านหนึ่งห้ามไม่ให้รถไป ก็เดินออกไป อย่างนั้นไม่เป็นไร ขนาดมีแบบนี้นะ ยืนอยู่บนถนน จะข้ามถนน รอไฟเขียวทางม้าลาย ถ้าไฟเขียวทางม้าลาย ไฟแดงทางรถก็ต้องมีเกิดขึ้น ยังโดนชน


ผมคิดว่าท่านผู้พิพากษา ทางกฎหมาย จะต้องเล่นงานพวกนี้ ถ้าสมมุติมืดสนิท แล้วทางม้าลายไม่มีไฟแสดงว่าเป็นทางม้าลาย ยังพอที่จะลงโทษไม่หนักนัก แต่ประเภทที่ว่ามีไฟแดงอยู่ข้างหน้า แต่ดันฝ่าไฟแดงไปชนชาวบ้านหรือประชาชน หรือคนที่มีคุณภาพหรือคนไหนก็แล้วแต่ ซึ่งรอไฟเขียวแล้วเดินข้ามถนนโดยใช้ไฟเขียวเดินข้าม แล้วไปชนเขาตาย พวกนี้นะ ท่านผู้ชมครับ ผมขอเถอะ ในทางกฎหมายผมคิดว่าตำรวจก็น่าที่จะทำคดีให้มันเข้มแข็ง บอกว่าเนื่องจากตัวจำเลยนั้นขับฝ่าไฟแดงโดยเจตนา เพราะถ้าไม่เจตนาจะฝ่าได้อย่างไรล่ะ เป็นผลทำให้คนเสียชีวิต การกระทำครั้งนี้จึงขอให้อัยการ หรืออัยการต้องทำสำนวนขึ้นแล้วขอให้ศาลลงโทษอย่างหนักหน่วง ต้องสั่งสอนคนพวกนี้

ท่านผู้ชมครับ ท่านผู้ชมรู้หรือเปล่าว่าเมืองไทย องค์การอนามัยโลกเขาจัดให้เป็นประเทศที่มีอุบัติเหตุทางถนนสูงเป็นอันดับ 8 ของโลก ของเราเสียชีวิตบนถนนปีละประมาณ 22,491 ราย 32.7 เปอร์เซ็นต์ ต่อคน ต่อประชากร 1 แสนคน เฉลี่ยคนไทยตายจากอุบัติเหตุชั่วโมงละ 3 คน เกินกว่าค่าเฉลี่ยของโลก 2 เท่า ความสูญเสียจากการเสียชีวิต บาดเจ็บสาหัสจากอุบัติเหตุจราจร เกิดความสูญเสียเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจถึง 5 แสนล้านบาท


ท่านผู้ชมครับ ข้อมูลที่น่าสนใจเขาบอกว่า เมื่อจำแนกการเสียชีวิตแบ่งตามประเภทของผู้ใช้ถนนแล้ว คนขี่จักรยานยนต์ 2 หรือ 3 ล้อนั้น เป็นสัดส่วนมากถึง 74 เปอร์เซ็นต์ หรือเกือบ 3 ใน 4 ของคนที่ตายบนท้องถนน ตายเพราะคนขับขี่จักรยานยนต์ ท่านผู้ชมเห็นด้วยกับผมไหมว่าถึงเวลาแล้วที่เราต้องเอาจริง ไม่ใช่คุณแค่สร้างทางม้าลายอย่างเดียว ถ้าจำเป็นต้องเพิ่มตำรวจจราจร คือพูดง่ายๆ ว่าบนทางม้าลาย ถ้าขับรถมาแล้วฝ่าไฟแดง ต้องมีโทษปรับหนักและต้องจับทันที ผมคิดว่าถ้าตำรวจ และไม่ใช่เฉพาะตำรวจกรุงเทพมหานครนะ ทั่วประเทศไทย ต้องถือเป็นนโยบายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเลย เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่เกิดบนทางม้าลาย คือทางอื่นยังพออะลุ่มอล่วย ยังพออนุมานได้ว่าถนนมันมืด แต่ทางม้าลาย ตำรวจต้องไปตรวจสอบ ทุกจุดที่ทางม้าลายมี ถ้าไม่มีไฟแจ้ง ต้องหาทางไปติดไฟวิบวับๆๆ สีเหลือง


รถเห็นไฟเหลืองก็ต้องชะลอแล้วว่าเป็นทางม้าลาย ปรากฏว่าไม่มีใครทำเลย ไม่สนใจ ตีทางม้าลายเสร็จ ชนทางม้าลายก็คือขับรถโดยประมาท มันไม่ใช่ประมาท มันชั่ว ผมรับไม่ได้เลย ชนคนตายบนทางม้าลาย และที่สำคัญที่สุด ยิ่งรับไม่ได้ถ้ามันฝ่าไฟแดงที่เขาบอกให้จอด แล้วประชาชนอีกด้านหนึ่งเขารอไฟเขียวทางม้าลาย แล้วเขาถูกพวกมันชนตายบนทางม้าลาย ทั้งๆ ที่เขากำลังเดินตามไฟเขียว เราจะทำกันอย่างไร ?

ในประเทศที่พัฒนาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นอเมริกา ยุโรป ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น ท่านผู้ชมเคยเห็นป้ายเขาให้หยุดไหม STOP เขาขับรถมา ถึงแม้จะไม่เห็นคนเดินอยู่ริมฟุตปาธ ขอบทาง อย่าว่าแต่ทางม้าลายเลย เขาหยุดทันที เมื่อไม่มีใครข้าม เขาถึงจะไปต่อได้ แล้วที่เมืองนอกเป็นเรื่องที่เคร่งครัดมาก ใครไม่ปฏิบัติตาม โดนโทษอย่างสูง ในแคลิฟอร์เนีย กฎหมาย Highway Traffic Act ถ้าคุณไม่หยุดเมื่อเห็นป้าย STOP ก็คือพูดง่ายๆ ว่า มีป้ายให้หยุด แต่คุณดันไม่หยุด ต้องโดนปรับอย่างน้อย 200-1,000 เหรียญ หรือ 6,600-33,000 บาท นี่ไม่นับรวมกับการตัดแต้มอีกต่างหาก ต่างประเทศเขามีกฎยิบย่อย หยุดรถก่อนถึงทางม้าลาย ต้องหยุดเมื่อถึงทางแยก หยุดรถให้นักเรียนไปก่อน


ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติครับ คุณจะเกษียณอยู่ 30 กันยายนนี้ อีกไม่กี่เดือนแล้ว คุณนับเวลาถอยหลัง คุณทำอะไรให้เป็นรูปธรรมหน่อยได้ไหม ให้ประชาชนคนไทยหน่อยได้ไหม คุณสั่งตำรวจเลย ใครก็ตามฝ่าฝืนกฎจราจร โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ขับรถฝ่าไฟแดง คุณจัดทีมสิ พวกด่านที่คุณตั้งเอาไว้ คุณตั้งก็เรื่องของคุณ แต่ว่าประเภทจุดที่คนทำผิดกฎจราจรเยอะๆ คุณต้องเอาตำรวจไปอยู่ตรงนั้น จับให้หมด แล้วคุณต้องปรับสูงสุด อย่างเช่น ข้ามทางม้าลาย ตอนนี้ตำรวจเพิ่งปรับอัตราค่าปรับเป็น 4,000 บาท ก็ปรับ 4,000 บาทเลย ไม่ต้องไปบอกว่าปรับตั้งแต่ 100 บาท จนถึง 4,000 บาท ตั้ง 4,000 บาท ก็ปรับมัน 4,000 บาทเลย แล้วก็ลงข่าวออกไปตลอดเวลา เชื่อผมสิ แล้วถ้าส่วนใหญ่แล้วมันจะเกิดจากมอเตอร์ไซค์ซึ่งขับไม่ระวัง มอเตอร์ไซค์ออกมาปั๊บ ถ้าผิดระเบียบจราจร ต้องฟาดทันที ไม่มีเว้น เพื่อรักษาชีวิตของคนต่อไป

ท่านผู้ชมครับ นี่คือมิติที่ผมคิดว่าปัญหาใหญ่ ตำรวจจราจรต้องเข้าไปจัดการในเรื่องนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องเอาเรื่องนี้เป็นวาระของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผมรับไม่ได้ ถ้าคนถูกรถชนตายบนทางม้าลาย เพราะทางม้าลาย เมื่อขับรถมา เมื่อเห็นทางม้าลายแล้ว จะมีคนหรือไม่มีคน ต้องชะลอรถ ยิ่งถ้ามีคนอยู่ กำลังเอาเท้าแตะพื้น ต้องค่อยๆ เบรกแล้วให้เขาไป คนขับรถเมืองไทยก็ระยำ พอเขาแตะเบรกรถก็ไปบีบแตรไล่เขา ไปๆๆ ท่านผู้ชมครับ เรามาช่วยกันได้ไหม มาร่วมมือกัน เสียดายชีวิตหมอกระต่าย


เสียดายคนไทยที่เป็นโรคตา เราสูญเสียหมอตาเพียงเพราะความระยำตำบอน ผมไม่ได้เห็นใจตำรวจคนนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว ทำไมผมไม่เห็นใจ ? เพราะว่าห้าว ขับมอเตอร์ไซค์ซิ่ง คุณเป็นตำรวจ คุณต้องรู้หลักการว่ามันอันตราย แต่คุณแค่สิบตำรวจตรี แล้วคุณขับรถสปีดแบบ DUCATI คุณอยากจะโชว์ออฟ คุณรู้หรือเปล่าว่าคุณทำร้ายประเทศไทยอย่างมากมายมหาศาล คุณจะขอโทษกี่ร้อยครั้ง ชีวิตคุณจะต้องมีอยู่ต่อไปและคุณออกจากคุกแล้ว พอคุณนึกถึงเรื่องนี้แล้วคุณจะต้องอับอายขายหน้า มโนธรรมของคุณจะต้องบอกว่า คุณนี่ here จริงๆ

ท่านผู้ชมครับ ถ้าท่านผู้ชมติดตามรายการนี้มาตลอด เรื่องที่ผมจะพูดตอนนี้ เป็นเรื่องที่ผมได้ทำนายเอาไว้ตั้งแต่ปีที่แล้ว และผมพยายามเล่าถึงสถานการณ์ต่อเนื่องว่าปีนี้ (2565) ภาวะเศรษฐกิจไทย และเศรษฐกิจโลก จะอยู่ในภาวะที่เปราะบางมากๆ ผมพูดเมื่อวันศุกร์ที่ 8 ตุลาคม 2564 วันศุกร์ที่ 31 ธันวาคม 2564 และวันศุกร์ที่ 14 มกราคม ที่ผ่านมานี้เอง ตอนที่ 120 ที่ผมพูดเรื่อง "แพงทั้งแผ่นดิน"

เรื่องที่ผมทำนายนั้น สอดคล้องกับสิ่งที่ธนาคารโลกออกมาเตือนในช่วงก่อนหน้านี้ ผมเล่าให้ฟังเลยนะครับว่า ธนาคารโลกบอกว่าทุกอย่างจะแย่ลง ราคาสินค้าจะพุ่ง อาหาร พลังงาน จะฉุดรั้งเศรษฐกิจ ซึ่งตอนนี้เราเห็นแล้ว เนื้อหมู เนื้อไก่ น้ำมันพืช น้ำมันเบนซิน ดีเซล ขึ้นหมด


จนกระทั่งรัฐบาลต้องเข้ามาแทรกแซงเพื่อตรึงราคา ก็เลยทำให้อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้นนับตั้งแต่วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ในปี 2551 ก็คือของแพงขึ้นมา แต่ค่าเงินยังเหมือนเดิม ของที่เคยซื้อในราคาเท่านี้ มาวันนี้ต้องซื้อแพงกว่าเก่า

ปัญหาเศรษฐกิจยังคาราคาซังข้ามปี ไปจนถึงปี 2566 แล้วคาดว่าการเจริญเติบโตในปีนั้นก็ยังจะต่ำอยู่ ธนาคารโลกไม่ได้มองภาวะเศรษฐกิจในแง่บวกเลย มองในแง่ลบ เรามาดูแต่ละประเทศกัน


จีน อัตราการเติบโตในปีนี้จะชะลอตัวจาก 8 เปอร์เซ็นต์ ปีที่แล้ว (2564) เหลือเพียง 5.1 เปอร์เซ็นต์ เศรษฐกิจจีนโต 1 เปอร์เซ็นต์ หรือลดลง 1 เปอร์เซ็นต์ ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ เพราะเป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่มาก เป็นเศรษฐกิจอันดับ 2 ของโลก รองจากสหรัฐอเมริกา แต่เศรษฐกิจในการจับจ่ายใช้สอยกลับเป็นอันดับ 1 เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้าจีนลดลงเกือบ 3 เปอร์เซ็นต์ หมายความว่าอย่างไร ? หมายความว่าการค้าขายจะชะงักและชะลอ ส่วนอเมริกานั้นจะลดลงจาก 5.6 เปอร์เซ็นต์ เหลือ 3.7 เปอร์เซ็นต์ สองเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 1 อันดับ 2 อัตราการเจริญเติบโตลดลงไปประเทศละประมาณ 2-3 เปอร์เซ็นต์ นี่เรื่องใหญ่มากในโลกนี้ ด้วยเหตุนี้ สัปดาห์ที่แล้ว รัฐบาลและธนาคารกลางของอเมริกาและจีน ซึ่งเป็นประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 1 และ 2 เขาออกมาส่งสัญญาณอย่างไม่เหมือนกันเลย คนละขั้วกันเลย อเมริกาส่งสัญญาณเลี้ยวซ้าย จีนส่งสัญญาณเลี้ยวขวา

อเมริกาส่งสัญญาณด้วยการจะใช้นโยบายเงินตึงตัว โดยลดวงเงินการทำมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE)

มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) คืออะไร ? คืออเมริกาเขาพิมพ์แบงก์ขึ้นมาเอง เป็นแบงก์ดอลลาร์ แล้วบังเอิญแบงก์ดอลลาร์เป็นเงินทุนสำรองระหว่างโลกที่ทุกคนต้องใช้กัน อเมริกามีอยู่อย่างเดียวที่เป็นอาวุธที่สำคัญที่สุด คือ มีแท่นพิมพ์ พิมพ์ออกมาเท่าไรก็ไม่มีใครคุมเขาได้


ตอนเศรษฐกิจตกต่ำเขาก็พิมพ์แบงก์ออกมา แล้วเอาแบงก์นั้นอัดเข้าไปในสังคม เพื่อดึงสภาพคล่องออกจากตลาด ตอนนี้เขาต้องการที่จะชะลอการเอาเงินอัดเข้าไปแล้ว เพื่อดึงสภาพคล่องออกมาให้มันน้อยลง และเขาขึ้นดอกเบี้ยทันที เพราะว่าตามหลักเศรษฐศาสตร์ของคนทางอเมริกา ทางตะวันตก ถ้าของแพง เงินเฟ้อ เขาต้องขึ้นดอกเบี้ยเพื่อให้คนใช้เงินน้อยลง เพื่อของจะได้ลดลง และเงินก็ลดการเฟ้อ

ธนาคารกลาง (เฟด) ยังไม่ได้ส่งสัญญาณอะไรเพิ่มเติม นอกเหนือจากการเริ่มปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในเดือนมีนาคม 2565 ท่ามกลางแรงกดดันจากเงินเฟ้อที่ยังคงเร่งตัวอย่างต่อเนื่อง และตลาดแรงงานอเมริกาก้าวเข้าสู่ระดับการจ้างงานเต็มศักยภาพ เฟดก็คงจะเริ่มวัฏจักรการขึ้นดอกเบี้ยในเดือนมีนาคมนี้ เจ้าหน้าที่ของเฟดหลายคนส่งสัญญาณมาแล้ว ปัญหาคอขวดของห่วงโซ่อุปทาน ก็คือไม่สามารถจะคลี่คลายลงได้ในระยะเวลาอันใกล้ๆ นี้


นอกจากนี้แล้ว ราคาน้ำมันในตลาดโลกมีแนวโน้มที่จะยืนอยู่บนระดับสูงอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางอุปทานที่ยังตึงตัว และความเสี่ยงจากปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของโลก โดยเฉพาะสถานการณ์ที่ยูเครน ซึ่งกำลังตึงเครียดมาก ที่มีความตึงเครียดขึ้น ทำให้เงินเฟ้อสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะอยู่ในระดับสูงต่อไปอีกระยะ

ประเด็นอยู่ตรงไหน ? ผมเคยเล่าให้ฟังแล้ว ถ้ามองในกรอบของเศรษฐศาสตร์แบบตะวันตก แล้วก็หลักเศรษฐศาสตร์ที่เราเรียนอยู่ทุกวันนี้ เป็นหลักเศรษฐศาสตร์ทางตะวันตก ไม่ว่าจะเป็นจุฬาฯ ธรรมศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นนิด้า ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ทุกมหาวิทยาลัย คณะเศรษฐศาสตร์เรียนหลักการแบบตะวันตกเลย ตะวันตกนั้นกลัวเรื่องเงินเฟ้อ กลัวมาก เพราะฉะนั้นแล้ว ธนาคารกลางของตะวันตก รวมทั้งไทยด้วย จึงมีการกำหนดเป้าหมายทางเศรษฐกิจ ที่เขาเรียกกันว่า กำหนดเป้าหมายเงินเฟ้อ คือพูดง่ายๆ ว่า เป้าหมายเศรษฐกิจ แล้วจะต้องมีด้วยว่าเป้าหมายเงินเฟ้อปีนี้จะเท่าไร จะต้องรักษาเป้าหมายนั้นไว้ให้ดี


การตัดสินใจของเฟด หรือธนาคารกลางสหรัฐฯ ทั้งสองเรื่อง คือ ปรับขึ้นดอกเบี้ย และลดการอัดเงินเข้าไป คือที่เขาเรียกว่า QE (Quantitative Easing)

ท่านผู้ชมที่ยังไม่เข้าใจเศรษฐศาสตร์ QE ก็คือ ช่วงที่เศรษฐกิจกำลังตกต่ำมาก อเมริกาก็พิมพ์เงินขึ้นมา แล้วเอาเงินใส่เข้าไปในตลาดอย่างมากมายมหาศาล ให้คนกู้ในราคาถูกๆ เพื่อให้เงินที่ตึงมันคลายตัว แต่ตอนนี้เขาบอกว่า งวดนี้เอาเงินอัดไม่ได้แล้ว ต้องหยุดการทุ่มเงินเข้าไป และก็ปรับขึ้นดอกเบี้ย เหมือนกับถ้าเป็นรถยนต์ เศรษฐกิจตอนนี้เป็นการถอนคันเร่งออก ไม่ให้รถวิ่งเร็วเกินไป ถอนคันเร่งออกจากการกระตุ้นเศรษฐกิจ ก็คือว่า ไม่กระตุ้นแล้ว ลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจและควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ตามระดับเป้าหมายเงินเฟ้อที่เขากำหนดไว้


อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจของเฟดที่มีต่อเศรษฐกิจโลกนั้น จะมีผลต่อโลกอย่างมหาศาล ถ้าหากถอนคันเร่งจากเศรษฐกิจช้า เศรษฐกิจอเมริกาก็จะได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้ออย่างสูง อีกส่วนคือ ถ้าถอนคันเร่งจากเศรษฐกิจเร็ว เศรษฐกิจโลกก็จะได้รับผลกระทบอย่างหนัก เพราะว่ามันถูกโยงกันไปหมด

การถอนคันเร่งจากเศรษฐกิจเร็วดังกล่าวของอเมริกา จะส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกมาก คือ เงินจะไหลเข้าอเมริกา เพราะว่าอเมริกาขึ้นดอกเบี้ย เงินต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเงินที่เขาเรียกว่า เงินร้อน (Hot Money) ที่เข้ามาในประเทศไทย ก็ต้องถอนออกไปเข้าอเมริกา เพื่อไปหาผลตอบแทนจากดอกเบี้ยขาขึ้น เพราะฉะนั้นแล้ว เศรษฐกิจโลกในขณะนี้ และมีผลกระทบต่อประเทศไทย จะมีความเสี่ยงก็คือ การฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังจากวิกฤตโควิดจะช้าลง การส่งออก การลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ จะได้รับผลกระทบ เนื่องจากเงินไหลเข้าไปหาการลงทุน หาผลตอบแทนในพันธบัตรอเมริกา ซึ่งพันธบัตรอเมริกาก็ต้องขึ้นดอกเบี้ยด้วย ภาคการลงทุนและตลาดหุ้นไทยจะตกลงอีกเยอะ ผลกระทบ อย่างหลายคนอยู่ในแวดวงคริปโทเคอร์เรนซี คือการเล่นคริปโทฯ ราคาเหรียญดิจิทัลอย่างบิทคอยน์ ตอนนี้ตกไปแล้ว 50 กว่าเปอร์เซ็นต์


ผมรู้ว่าหลายคนเก๊กซิมมาก กินไม่ได้ นอนไม่หลับ ไปเล่นบิทคอยน์ มันหายไป 50 เปอร์เซ็นต์ สองเดือนหายไป 50 เปอร์เซ็นต์ คนที่เข้าทีหลังโดนไฟเผาไหม้ทั้งตัวไปเลย แน่นอนว่าย่อมส่งผลกระทบถึงเหรียญดิจิทัลอื่นๆ รวมทั้งเหรียญดิจิทัลที่ออกในประเทศไทย และราคาที่ถูกปั่นพุ่งขึ้นก่อนหน้านั้น

เรามาที่จีนกัน ขณะที่จีนเจอปัญหานี้ แต่จีนทำตรงกันข้ามกับอเมริกาเลย ไม่ยึดถือเศรษฐศาสตร์ทางตะวันตก ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ธนาคารกลางจีน ตรงกันข้ามกับเฟดของอเมริกาที่ขึ้นดอกเบี้ย ธนาคารกลางจีนลดดอกเบี้ยลงมาสองครั้ง อเมริกาขึ้นดอกเบี้ย 


จีน ถ้าตามหลักเศรษฐศาสตร์ตะวันตก ก็ต้องขึ้นตาม จีนบอกไม่ กูลดสองครั้ง ครั้งแรก 20 ธันวาคม ปลายปีที่แล้ว ลดจาก 3.85 เปอร์เซ็นต์ ลงเหลือแค่ 3.80 ครั้งที่สอง 20 มกราคม ไม่กี่วันมานี้เอง ประกาศลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.1 เปอร์เซ็นต์ อัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบ โดยธนาคารกลางจีนปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี จาก 3.8 เปอร์เซ็นต์ เหลือ 3.7 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ ยังปรับลดอัตราดอกเบี้ยประเภท 5 ปี จาก 4.65 เปอร์เซ็นต์ เหลือ 4.6 เปอร์เซ็นต์

การแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกล่าสุด เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้จีนและอเมริกาต้องดำเนินนโยบายการเงินที่สวนทางกัน แม้ว่าปี 2564 เศรษฐกิจจีนจะโตถึง 8.1 เปอร์เซ็นต์ สูงกว่าที่ตั้งเป้าไว้ เป็นอัตราการขยายตัวที่แข็งแกร่งที่สุดในรอบ 10 ปี แต่ว่าอุปสงค์ภายในประเทศฟื้นตัวจากการแพร่ระบาดโควิด แต่จีนระบุชัดเจนว่า ไตรมาสที่ 4 ปีที่แล้ว GDP ขยายตัวน้อยมาก ขยายตัวแค่ 4 เปอร์เซ็นต์ เพราะได้รับผลกระทบจากโอมิครอน เลยต้องใช้นโยบายการเงินให้ผ่อนคลายลง

เมื่อวันที่ 17 มกราคม ไม่กี่วันมานี้ ก่อนหน้าที่ธนาคารกลางจีนจะประกาศลดอัตราดอกเบี้ยลงไม่กี่วัน นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ได้กล่าวสุนทรพจน์ตอนหนึ่งผ่านระบบออนไลน์ต่อผู้ร่วมประชุม World Economic Forum ว่า โรคระบาดร้ายแรงทำให้โลกเผชิญความปั่นป่วนแบบใหม่


ในช่วงต้นของการกล่าวสุนทรพจน์ เขาพูดว่า ภายในสองสัปดาห์ จีนจะฉลองเทศกาลตรุษจีน ปีนี้คือปีเสือ ตามคติวัฒนธรรมจีน เป็นสัญลักษณ์ที่บ่งชี้ถึงความกล้าหาญและเข้มแข็ง เพื่อต่อสู้กับมวลมนุษย์ การท้าทาย เราต้องติดปีกให้พยัคฆ์ โดยต้องดำเนินนโยบายที่กล้าหาญและเข้มแข็ง ดังเช่นเสือ เพื่อเอาชนะอุปสรรคทั้งปวงที่เรากำลังต้องเผชิญหน้า พวกเราต้องทำทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อลบล้างเงาทะมึนของโรคระบาด กระตุ้นเศรษฐกิจ ฟื้นฟูสังคม และสานต่อการพัฒนาเพื่อให้เป็นแสงแห่งความหวังในอนาคตของมวลมนุษยชาติ

ท่านผู้ชมครับ ประเทศจีนได้แสดงความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มทางเศรษฐกิจจีน หลังจากที่ขยายตัวในปีที่แล้วถึง 8.1 เปอร์เซ็นต์ นายสี จิ้นผิง บอกเลยว่า เขามีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจในอนาคตของจีน เป็นการบรรลุเป้าหมายในด้านการเติบโตระดับสูง และเงินเฟ้อที่ค่อนข้างต่ำ

ท่านผู้ชมครับ สี จิ้นผิง พูดต่อ ความคืบหน้าทางเศรษฐกิจจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนชาวจีนทุกคน คือพูดง่ายๆ ว่า จีนลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงที่ทั่วโลกกำลังขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อชะลอการจับจ่ายใช้สอย แต่จีนกลับลด เพื่อให้ต้นทุนลดลงและกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยขึ้นมา นอกจากนั้นแล้ว สี จิ้นผิง ก็ยังพูดต่อว่า ห่วงโซ่อุปทานอุตสาหกรรมโลกกำลังชะงักเสียกระบวน ราคาสินค้าโภคภัณฑ์สูงขึ้นต่อเนื่อง อุปทานด้านพลังงานตึงตัว ความเสี่ยงเหล่านี้มันทับถมกันมาเรื่อยๆ ทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกมีความไม่แน่นอน และสี จิ้นผิง เตือนว่า การที่พวกคุณไปขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วเกินไป ถ้าประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่แตะเบรก และใช้นโยบายแบบเลี้ยวกลับ ก็คือยูเทิร์น จะส่งผลกระทบด้านลบต่อประเทศอื่นๆ จะสร้างปัญหาต่อเศรษฐกิจและเสถียรภาพการเงินของโลก ประเทศกำลังพัฒนาจะลำบาก


เพราะฉะนั้นแล้ว สรุปง่ายๆ ว่า ในกรณีของสี จิ้นผิง เขามองว่าโลกตะวันตกกำลังขึ้นอัตราดอกเบี้ย จะทำให้การค้าขายชะลอมาก มีปัญหามาก เพราะฉะนั้น จีนซึ่งมีเศรษฐกิจอันดับโลกอันดับที่สอง ต้องป้องกันตัวเองไว้แล้ว วิธีป้องกันตัวเองก็คือ ทุกคนขึ้นดอกเบี้ย เขาลดดอกเบี้ย เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย เพราะฉะนั้นแล้ว ผลกระทบจากการที่ประเทศอื่นขึ้นดอกเบี้ย จะเข้ามาสู่ประเทศจีน ก็จะได้รับผลกระทบที่น้อย เพราะว่าเศรษฐกิจจีนก็ยังขยับขยายเพิ่มขึ้นมากกว่าเก่า

ท่านผู้ชมครับ ตอนนี้ชัดเจนแล้ว ประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลาย รวมทั้งประเทศไทย สุ่มเสี่ยงมากในการตกลงไปในเหวลึก ไม่ว่าจะเป็นภาวะเงินเฟ้อ ของแพง อาหาร หมู เป็ด ไก่ ไข่ น้ำมันพืช ราคาพลังงาน ในช่วงสองปีข้างหน้า คือ 2565-2566 ยากจะฟื้นตัว ภายในสถานการณ์เศรษฐกิจโลกปัจจุบัน ที่สำคัญคือ ผลกระทบจากการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจในระดับโลกของประเทศมหาอำนาจทั้งหลายที่ครอบงำโลกอยู่ในวันนี้ ด้วยนโยบายทางการเงินการคลังที่เขามองตัวเขาเองเป็นหลัก เขาไม่ได้สนใจว่าโลกจะเป็นอย่างไร อเมริกาไม่สนใจว่าประเทศอื่นจะฉิบหายตายอย่างไร เพราะเขามุ่งตอบสนองเป้าหมายของเขา และเขามองว่า ถ้าเขาทำอย่างนั้น ทุกคนต้องทำตาม


ประเด็นนี้ผมต้องชี้แจงต่อว่า โดยการที่จะใช้นโยบายตัดช่องน้อยแต่พอตัวของอเมริกา มหาอำนาจใหม่อย่างจีนเขาดำเนินการอย่างไร ?

ประเด็นที่หนึ่ง เขาดำเนินการทางการเงินสวนทางกับอเมริกาอย่างชัดเจน อย่างที่ผมเล่าให้ฟังเมื่อกี้นี้ ขณะที่อเมริกาขึ้นดอกเบี้ย ลดวงเงิน QE ไม่เอาเงินทุ่มลงไปในตลาด ดึงเงินออกจากระบบ เพื่อชะลอภาวะเงินเฟ้อ จีนกลับลดดอกเบี้ย เพิ่มสภาพคล่องในระบบการเงิน กระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศให้ฟื้นฟูต่อเนื่องจากภาวการณ์ซบเซาของเศรษฐกิจ ซึ่งเกิดจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 การดำเนินการแบบนี้ ถ้าเป็นประเทศไทยก็จะกลัวว่าเงินทุน หรือเงินร้อน (Hot Money) จะไหลออก แต่จีนเขาไม่กลัว เพราะเขาคุมตลาดการเงินและอัตราการแลกเปลี่ยนของเขาอยู่ ไม่เหมือนประเทศอื่นๆ ที่เดินตามก้นฝรั่ง รวมทั้งไทย จะได้รับผลกระทบเยอะจากการดำเนินนโยบายแตะเบรกเศรษฐกิจรอบนี้ของอเมริกา และนี่เองเป็นเหตุที่ผมอธิบายให้ท่านผู้ชมฟังว่าทำไมประเทศไทยถึงต้องสะสมเงินทุนสำรองระหว่างประเทศไว้มากกว่า 2.4 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 8.2 ล้านล้านบาท


ประเด็นที่สอง สาเหตุที่จีนกล้าดำเนินนโยบายการเงินที่เป็นอิสระ ไม่ต้องตามโลกตะวันตก เพราะเขามั่นใจว่า ... และเรื่องนี้ผมพูดมาตั้งนานแล้วว่า ตลาดภายในประเทศ (Domestic Market) ของเขาแข็งแกร่ง 1,400 ล้านคน แล้วยังมีโอกาสเจริญเติบโตอย่างสูงมาก ท่านผู้ชมครับ 17 มกราคม ไม่กี่อาทิตย์ที่ผ่านมา สำนักงานสถิติแห่งชาติของจีนบอกว่า เศรษฐกิจจีนเติบโตอย่างมั่นคงในปี 2565 เขามั่นใจ ถึงแม้จะเผชิญความท้าทายหลายประการ อย่างเช่น ปีที่แล้วจีนโต 8.1 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบปีต่อปี ตัวเลขนั้นสูงกว่าที่รัฐบาลตั้งเป้าหมาย ปัจจุบันประเทศไทยอยู่ที่ราว 16.11 ล้านล้านบาท ของจีนอยู่ที่ 597 ล้านล้านบาท เพราะฉะนั้นแล้ว GDP ไทย คิดเป็นสัดส่วนต่อ GDP จีน แค่ 2.7 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้นเอง


สำนักงานสถิติแห่งชาติจีนยังบอกด้วยว่า ยอดค้าปลีกของจีนมีการฟื้นตัวอย่างโดดเด่น เพิ่มขึ้น 12.5 เปอร์เซ็นต์ การลงทุนในสินทรัพย์ถาวรก็เพิ่มขึ้น 4.9 เปอร์เซ็นต์ ผลผลิตทางอุตสาหกรรมมูลค่าเพิ่มขยายตัวเป็น 9.6 เปอร์เซ็นต์ ตลาดจ้างแรงงานของจีนมีเสถียรภาพ อัตราการว่างงานที่ได้รับการสำรวจในพื้นที่เมืองอยู่ที่ 5.1 เปอร์เซ็นต์ เทียบกับปีก่อน ยังต่ำกว่าช่วงปีก่อน 0.5 จุด สำนักงานสถิติยังระบุว่า คนจีนมีฐานะมั่งคั่ง ร่ำรวยมากขึ้นในปี 2564 โดยรายได้ที่ใช้จ่ายจริงต่อหัวอยู่ที่ 35,128 หยวน หรือราวๆ 184,000 บาท ตกประมาณอย่างน้อยเดือนละ 15,000 บาท เพิ่มขึ้นกว่าเก่า 9.1 เปอร์เซ็นต์

จะเห็นได้ว่าเศรษฐกิจจีนในยุคปัจจุบันนั้น แม้ประสบกับภาวะวิกฤตโควิด-19 แต่ยังแข็งมาก ตลาดในประเทศของเขาเติบโตสูงขึ้น

ประเด็นที่สาม การที่เศรษฐกิจจีนสามารถผ่านวิกฤตโควิดมาได้ถึงวันนี้ แล้วเติบโตถึง 8.1 เปอร์เซ็นต์ ท่านผู้ชมครับ ปี 2564 เศรษฐกิจไทยโตแค่ 1 เปอร์เซ็นต์ ของเขาโต 8.1 เปอร์เซ็นต์ ปี 2563 เราติดลบไป 6.1 เปอร์เซ็นต์ ที่จีนเขาทำได้เพราะพื้นฐานเศรษฐกิจของเขาแข็งแกร่ง ถึงจะเจอวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ อย่างบริษัทยักษ์ใหญ่ เช่น EVERGRANDE ล่าสุดบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ หยู่โชว ซึ่งเทรดอยู่ในตลาดฮ่องกง ประกาศเมื่อวานว่าไม่สามารถจ่ายเงินต้นคืนให้กับผู้ถือพันธบัตร USD Bonds ได้ ทำให้ตลาดหุ้นฮ่องกง ตลาดฮั่งเส็ง ปรับลดลง 1 เปอร์เซ็นต์ แต่จีนใช้โอกาสนี้ในการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์ ใช้นโยบายที่สี จิ้นผิง ออกมาประกาศ กล่าวว่า หมดยุคของการเก็งกำไรในตลาดอสังหาริมทรัพย์และตลาดหุ้นแล้ว


ประเด็นอยู่ที่ไหนสำหรับเรื่องนี้ ? ประเด็นคือ จีนกำลังแสดงให้โลกเห็นว่า เขาให้ความสำคัญกับภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง คือ Real Economy คือพ่อค้าแม่ค้าขายของอยู่บนถนน สวนส่งของไปที่ตลาด ฯลฯ นี่คือ Real Economy มากกว่าตลาดทุน คือ Capital Market เพราะตลาดทุนนั้นมันคือตลาดกาสิโน บ่อนการพนันกาสิโน แต่ Real Economy คือของจริง ข้าวของที่ขายกัน ขายได้ไหม ข้าวแกงราคาเท่าไร มีคนมากินก๋วยเตี๋ยวมากขึ้นไหม แล้วมีคนออกไปกินข้าวนอกบ้านมากไหม มีคนซื้อสินค้าเสี่ยวหมี่มากขึ้นหรือเปล่า ใช้โทรศัพท์หัวเว่ยมากขึ้นหรือเปล่า ปรัชญาของจีนบอกว่าเงินถูกสร้างขึ้นมาเพื่อรับใช้ภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อตลาดทุนซึ่งเป็นตลาดบ่อนการพนัน

ตรงข้ามกับอเมริกา เขาใช้นโยบายการผ่อนคลายการเงินจริงๆ จริงๆ ก็คือนโยบายแจกเงิน ภาษาจีน คนจีนเขาเรียกนโยบาย QE ของอเมริกาว่า Helicopter Money ไม่แตกต่างจากของเราเลยแม้แต่นิดเดียว โครงการมาตรการแจกเงินผ่านโครงการคนละครึ่ง เราชนะ เราเที่ยวด้วยกัน และอื่นๆ ของรัฐบาลไทย และสุดท้าย ผมบอกไปแล้วว่าเป็นวิธีการกระตุ้นเศรษฐกิจในปรัชญาที่ผมตั้งว่า "แจกแล้วปล้น" คือแจกเงินไป แต่ของที่ใช้ก็ราคาแพงขึ้น เพราะสภาวะเงินเฟ้อ รวมทั้งเก็บภาษีเพิ่มขึ้นด้วย เพื่อจะคอร์รัปชันกันแล้วเอามาแจกรอบใหม่

ประเด็นที่สี่ ข้อน่าสังเกตอีกประการหนึ่งคือ แม้เศรษฐกิจจีนจะใหญ่โตเป็นอันดับสองของโลก แต่ตลาดหุ้นภายในประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ทั้ง 3 แห่ง (ไม่รวมตลาดฮั่งเส็งของฮ่องกง) ยังถือว่าเล็กมาก เมื่อเทียบกับตลาดหลักทรัพย์ในต่างประเทศ ตลาดจีนเขามีอยู่ 3 ตลาด ตลาดหนึ่งก็คือตลาดหลักทรัพย์ที่เซี่ยงไฮ้ (SHANGHAI STOCK EXCHANGE) ตลาดหลักทรัพย์ที่เซินเจิ้น (SHENZHEN STOCK EXCHANGE) และตลาดหลักทรัพย์ที่ปักกิ่ง (BEIJING STOCK EXCHANGE)


ในจำนวนหุ้นของ 3 แห่งของจีน ตลาดใหญ่ที่สุดคือตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ มีมูลค่าขนาดตลาดเพียง 7.9 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ตลาดหุ้นดาวโจนส์มีขนาดมูลค่าตลาดถึง 43.36 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ เล็กกว่ากันมาก ก็คือปัจจุบันตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้มีมูลค่าตลาดไม่ถึง 1 ใน 5 หรือ 20 เปอร์เซ็นต์ ของตลาดดาวโจนส์ แสดงว่าจีนเขาไม่ได้เน้นตลาดหุ้นนะท่านผู้ชม เขาเน้น Real Economy คือเศรษฐกิจที่แท้จริง

ประเด็นที่ห้า เมื่อเอาเรื่องขนาดเศรษฐกิจที่แท้จริง มารวมกับขนาดตลาดหลักทรัพย์/ตลาดหุ้น ประกอบเข้าไปด้วย เรื่องราวที่จีนได้ดำเนินการจัดการจัดระเบียบบริษัท IT ยักษ์ใหญ่ต่างๆ ของจีนในปี 2564 ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็น Alibaba ไม่ว่าจะเป็น Tencent ไม่ว่าจะเป็นโน่นเป็นนี่ จะเห็นได้ว่าเมื่อพูดเรื่องภาวะเศรษฐกิจ นักการเมืองกับชนชั้นปกครองในอเมริกา เมื่อพูดถึงภาวะเศรษฐกิจ นักการเมืองกับเศรษฐี หรือคนที่มีอำนาจทางการเศรษฐกิจในอเมริกาจะให้ความสำคัญกับตลาดทุนและตลาดหุ้น ซึ่งเป็นกาสิโน ตลาดหลักทรัพย์ มากพอๆ กับภาวะการจ้างงาน ราคาสินค้า อัตราเงินเฟ้อ เพราะฉะนั้นแล้วเขาเลยไม่สนใจว่าจะต้องพิมพ์เงินหรือทำ QE แจกมากเท่าไร ขอเพียงให้ตลาดหุ้นของดาวโจนส์ แนสแด็ก มันขึ้นก็พอแล้ว เรื่องอื่นช่างมัน ขอให้หุ้นขึ้น แต่พอเกิดปัญหาเรื่องห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) เกิดมีคอขวด ทำให้เศรษฐกิจอเมริกาเกิดเงินเฟ้ออย่างรุนแรง ผลผลิตทุกอย่างไม่เพิ่มขึ้น ก็เลยทำให้คนในอเมริกา เศรษฐีในอเมริกา และนักการเมือง ตลอดจนนักเศรษฐศาสตร์อเมริกา นักธนาคารอเมริกา ตกใจ ว่าถ้าอเมริกาและเฟดไม่แตะเบรกตอนนี้ด้วยการเพิ่มดอกเบี้ย ลดเงินที่ทุ่มไปในตลาด เงินเฟ้อจะกระโดดไปที่ 15-20 เปอร์เซ็นต์ นี่คือปรัชญาของอเมริกา


ส่วนนักการเมือง ผู้นำจีน เขาให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจที่แท้จริง (Real Economy) ไม่เหมือนอเมริกา รายได้ ราคาสินค้า ความอยู่ดีกินดีของประชาชนต้องมาก่อน เขาแทบจะไม่ต้องแคร์เรื่องตลาดหุ้นเลย ตลาดหลักทรัพย์หุ้นจะขึ้น จะลง เงินทุนจะไหลเข้า ไหลออก เขาไม่แคร์ เพราะเขาควบคุมเรื่องตลาดเหล่านี้ รวมทั้งอัตราแลกเปลี่ยน ได้อย่างสิ้นเชิง เพราะทำไม ? เพราะเขาวางแผนล่วงหน้าว่าเขาจะไม่เปิดประตูตลาดทุนแบบอ้าซ่าให้เหล่านักลงทุน นักเก็งกำไรจากต่างประเทศ เขาไม่ยอมให้คนเหล่านี้มาแสวงส่วนต่างจากระบบเศรษฐกิจของเขาในระยะสั้น และเขาเชื่อว่าในภาคการผลิต การค้า รวมทั้งอนาคตเกี่ยวกับการยกระดับ พัฒนาอุตสาหกรรมไฮเทคของเขา ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมใดๆ ก็ตาม ปัญญาประดิษฐ์ รถไฟฟ้า (EV) ชิปคอมพิวเตอร์ เขาแข็งแกร่ง พึ่งพาตัวเองได้ ท่านผู้ชมพอจะเข้าใจหรือยัง ความแตกต่างระหว่างจีนกับอเมริกา เพราะฉะนั้นแล้ว ท่านผู้ชมเชื่อผมเถอะครับ ถึงสิ้นปี 65 ท่านผู้ชมจะได้เห็นข้อแตกต่างระหว่างเศรษฐกิจอเมริกาและจีน และไทยก็จะไปในทิศทางของอเมริกา แล้ว 65 เราจะเจ็บตัวอย่างมาก ถึงมากที่สุด


ท่านผู้ชมครับ วันนี้ถ้าไม่พูดถึงการไปเยือนซาอุดีอาระเบียของท่านนายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แล้ว เรื่องราวคงไม่สมบูรณ์นัก ผมไม่ค่อยอยากจะตั้งข้อสงสัยอะไรมากมายนักในเรื่องนี้ เป็นเพียงแต่ว่าผมไปติดใจตรงที่สื่อต่างประเทศ เช่น วอชิงตันโพสต์ หรือ The Diplomat เขาเกิดมีการรายงานข่าวบางอย่างขึ้นมา แล้วผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก

เขาพูดว่า การไปเยือนซาอุดีอาระเบียครั้งนี้ของท่านนายกฯ นั้น เหมือนกับว่ายังมีความตึงเครียดอยู่ เพราะว่าดูจากการที่ไปดึกมาก ไปถึงกลางคืน แล้วก็ไปเจอมกุฎราชกุมาร เสร็จเรียบร้อยแล้ว ตอนที่ไปถึงก็ไม่มีการตั้งกองเกียรติยศและเดินตรวจพบอะไรทั้งสิ้น แล้วทำไมถึงกำหนดว่าไปตอนกลางคืน แทนที่จะไปตอนกลางวัน ไปถึงกลางวัน แล้วได้รับการตรวจกองเกียรติยศ ที่สำคัญคือมีหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ และหนังสือพิมพ์ The Diplomat เขาบอกว่า ขณะที่การเยือนของ พล.อ.ประยุทธ์ ถือเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญ แต่การเดินทางมาถึงซาอุฯ แบบเงียบๆ ส่งนัยความสัมพันธ์ที่ยังคงมีความตึงเครียดอยู่ ทั้งนี้ ผู้ที่เดินทางมาต้อนรับนายกฯ ประยุทธ์ ที่สนามบิน ก็เป็นเพียงเจ้าหน้าที่ระดับล่างเท่านั้นเอง ก็คือรองนายกเทศมนตรีนครริยาด แล้วก็ไม่มีการถ่ายทอดสดตามแบบปกติ


ท่านผู้ชมครับ ผมตั้งข้อสังเกตอย่างนี้ เป็นไปได้หรือเปล่าว่าการไปเยือนซาอุดีอาระเบียเพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ครั้งนี้ คนที่อยู่เบื้องหลังการจัดการคือ ประเทศสหรัฐอเมริกา เพราะว่ามีวัตถุประสงค์ในการดึงซาอุดีอาระเบียเข้ามาในเครือข่าย เพราะความสัมพันธ์แบบนี้ปกติแล้วต้องให้รัฐมนตรีต่างประเทศ กับรัฐมนตรีต่างประเทศ คุยกันก่อน แล้วต้องมีสาส์นระหว่างกษัตริย์ต่อกษัตริย์ เนื่องจากว่าทั้งไทยและซาอุดีอาระเบียนั้นเป็นราชอาณาจักรด้วยกันทั้งคู่

ผมตั้งข้อสังเกตนะครับ ผมขอย้ำนะครับ "ตั้งข้อสังเกต" ว่า รูปแบบการเยือนแบบนี้ไม่ใช่ State Visit แต่เป็นลักษณะเหมือนกับซาอุดีอาระเบีย "จำใจ" ต้องรับผู้นำไทยเข้ามาคุยด้วย

มีโพสต์ของอาจารย์สมเกียรติ โอสถสภา ซึ่งท่านเป็นนักวิชาการแนวตะวันตก 100 เปอร์เซ็นต์ ท่านบอกว่าประเทศกลางที่จัดการประชุมครั้งนี้คือประเทศกาตาร์ ซึ่งผมไม่เห็นด้วย ผมคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่มโน เพราะว่ากาตาร์เป็นประเทศที่เล็กมาก เศษเสี้ยวของทั้งหมด ไม่มีความหมายเลขแม้แต่นิดเดียว คนที่จะทำให้ซาอุดีอาระเบียต้องรับนายกรัฐมนตรีคนนี้ได้ น่าจะเป็นความกดดันจากประเทศสหรัฐอเมริกา เพราะว่าอเมริกาต้องการ และในที่สุดก็พูดค่อนข้างชัดเจนแล้ว วันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กำลังต้องพึ่งสหรัฐอเมริกาอย่างแรง เพื่อเอาอเมริกามาสนับสนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป จะด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งก็ตาม


อีกประการหนึ่ง มกุฎราชกุมาร ที่เขาเรียกชื่อย่อว่า MBS (มุฮัมมัด บิน ซัลมาน (Mohammad Bin Salman Al Saud) เป็นผู้นำที่มีข่าวฉาวโฉ่มาก เพราะว่าในประเทศทางตะวันตกนั้น การที่มีผู้นำผู้ใดไปพบกับมกุฎราชกุมาร มุฮัมมัด บิน ซัลมาน จะถูกประณามและถูกแอนตี้อย่างหนัก เพราะว่าพระองค์ท่านถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักถึงการนำซาอุดีอาระเบียเข้าไปมีส่วนร่วมในสงครามในเยเมน จนเกิดหายนะในด้านมนุษยธรรมในประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งข้อพิพาททางการทูตกับกาตาร์ และปราบปรามผู้เห็นต่างในประเทศตัวเอง ที่ร้ายแรงที่สุด มีเสียงเรียกร้องให้ปลดพระองค์ออกจากมกุฎราชกุมาร หลังจากที่นายจามาล คาช็อกกี (Jamal Khashoggi) นักข่าวชาวซาอุดีอาระเบียซึ่งทำงานให้กับหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ ถูกสังหารโดยเจ้าหน้าที่ซาอุฯ ซึ่งเป็นคนสนิท หน่วยรักษาความปลอดภัยของมกุฎราชกุมาร โดยล่อให้นายคาช็อกกี เข้าไปทำธุระที่สถานกงสุลของซาอุดีอาระเบียในตุรกี แล้วก็ฆ่าหั่นศพ หั่นเป็นชิ้นๆ


ถึงแม้พระองค์จะปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ว่าจากการสืบทางลับของหน่วยข่าวกรองทางตะวันตก ไม่ว่าจะเป็นของอังกฤษ หรือของอเมริกา มีหลักฐานที่แน่ชัดว่า มกุฎราชกุมารคนนี้คือคนที่อยู่เบื้องหลังในการสั่งฆ่านักข่าวชาวซาอุดีอาระเบียซึ่งทำงานให้วอชิงตันโพสต์

ทั้งหมดนี้มันก็เลยเป็นอะไรบางอย่างที่ผู้นำประเทศต่างๆ พากันหลีกเลี่ยงที่จะมาเจอมกุฎราชกุมารมุฮัมมัด บิน ซาลมาน (MBS)

อีกประการหนึ่ง ผมตั้งข้อสังเกตว่า ข่าวคราวการเยือนที่อ้างกันว่าเป็น State Visit นั้น ไม่มีข่าวคราวอะไรมาก่อนล่วงหน้าเลย จู่ๆ คืนวันเสาร์ หรือคืนวันอาทิตย์ คุณวาสนา นาน่วม ได้โพสต์เฟซบุ๊กออกมาว่านายกฯ จะไป จะเลื่อนการประชุม ครม. จากวันอังคาร เป็นวันจันทร์ เสร็จเรียบร้อยแล้วจะเดินทางไปถึงซาอุดีอาระเบีย


ท่านผู้ชมครับ ท่านนายกฯ ท่านไปถึงซาอุดีอาระเบียตอนกลางคืน แล้วคนที่มารับก็คือรองนายกเทศมนตรี อย่างน้อยที่สุดก็น่าจะเป็นระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งก็เป็นเจ้าชายองค์หนึ่งเหมือนกัน ที่ผมพูด ผมพูดเพื่อรักษาศักดิ์ศรีท่านนายกฯ ผมทนไม่ได้ เรื่องนี้ งานนี้ เป็นเรื่องของการที่นายกรัฐมนตรีไทยถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม ไม่ใช่ดูหมิ่นเหยียดหยาม แต่ไม่ให้ค่า ไม่ให้ราคาเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ผมเข้าใจว่าในการเจอกับท่านมกุฎราชกุมารนั้น ก็เป็นการเจอกันเหมือนกับการพูดจากันเฉยๆ เท่านั้นเอง เอาล่ะ อยากมาใช่ไหม อยากมาก็มาสิ เจอกัน ไปรับเขาหน่อยสิที่สนามบิน เอาใครดี นายกเทศมนตรีสูงไปไหม เอารองนายกเทศมนตรีไป ผมไม่เคยเจอการรับผู้นำระดับนายกรัฐมนตรีที่ค่อนข้างจะต่ำต้อย เหมือนกับการต้อนรับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อย่างที่ผมเรียนให้ทราบ งานนี้ซาอุดีอาระเบียบอกว่า อยากมาก็มา ไม่เป็นไร


เรื่องราวต่างๆ พวกนี้มันผิดสังเกตหมดทุกเรื่อง แต่ผมไม่ไปฟื้นฝอยหาตะเข็บก็แล้วกัน ผมกำลังบอกว่า เรากำลังถูกการเมืองระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอิทธิพลของอเมริกานั้น มาจัดฉากให้นายกฯ ไทยไปเจอซาอุดีอาระเบีย แล้วก็เชิญซาอุดีอาระเบียเข้ามาร่วมสังเกตการณ์ในการฝึกซ้อม Cobra Gold หรือจะเอาเข้ามาเพื่อแก้ปัญหาโรฮีนจา หรือจะเอาเข้ามาเพื่อที่จะเผยแพร่ศาสนามุสลิมในประเทศไทย นิกายวะฮาบีย์

มันมีคำถามอยู่เยอะมาก ซึ่งผมไม่อยากจะพูด เดี๋ยวจะกลายเป็นว่า เขาอุตส่าห์ไปฟื้นฟูสัมพันธ์ต่างๆ คุณก็มาเที่ยวเลื่อยขาเก้าอี้เขา ทำตัวเป็นปลวกกัดแทะ ไม่ใช่ อาชีพผมเป็นอาชีพช่างสังเกต พอมีอะไรผิดสังเกต ผมจำเป็นต้องเล่าให้ท่านผู้ชมฟัง เพราะว่านี่คือรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" รายการนี้ไม่ใช่เป็นรายการที่จะจูบก้นใคร หรือภาษาอังกฤษว่า Kiss ass ใคร แต่เป็นรายการที่เอาความจริงมาเผยแพร่ เพราะฉะนั้นข้อสังเกตของผมนี้ ผมคิดว่าหลายๆ ท่านที่อยู่ในวงการ ก็สังเกตเหมือนผม เป็นเพียงแต่ไม่ค่อยมีใครกล้าพูด ก็ว่า เขาอุตส่าห์ไปฟื้นฟูความสัมพันธ์ ไม่เป็นไรหรอกครับ ไปฟื้นฟูสัมพันธ์โดยที่เขาแสดงตัวเหมือนกับว่า เฮ้ย อยากจะมาคุยก็มาสิ แล้วท่านผู้ชมเชื่อผมอย่าง จากนี้ไปจะไม่มีอะไรคืบหน้าอีกแล้ว เท่านั้นเองล่ะครับเรื่องที่ผมอยากจะออกความเห็น

ท่านผู้ชมครับ รายการอาทิตย์ที่แล้ว ผมบอกว่าท่านนายกฯ ถึงทางตันแล้ว มีคนเข้ามาถามผม inbox เข้ามาถาม ตลอดจนเพื่อนฝูงในวงการ ถาม คุณสนธิ ไม่มีทางออกเลยหรือ เอาสภาพข้อเท็จจริงมาว่ากันเป็นข้อๆ ดีกว่า แล้วผมก็มาคิดอีกที มีทางออกครับ มีทางออกหนึ่ง เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟัง


ประการแรก สภาฯ จะต้องเปิดการประชุมสภาฯ สมัยสามัญในเดือนพฤษภาคม ซึ่งแน่นอนที่สุด พรรคฝ่ายค้านก็จะต้องยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งถ้ายื่นญัตติวันนั้น แล้วท่านนายกฯ ยังอยู่ในวันนั้น ถ้าเกิดมีข้อผิดพลาดอะไร ท่านนายกฯ ไม่มีสิทธิ์ที่จะยุบสภาแล้ว ถ้าท่านแพ้เสียงในการลงคะแนนเสียงไม่ไว้วางใจ ท่านก็จะต้องลาออกไป แล้วสภาฯ ต้องเลือกนายกฯ ใหม่ ซึ่งผมก็ฟันธงเอาไว้ล่วงหน้าเรียบร้อยแล้ว น่าจะเป็น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เพราะอะไร ?

มีคนฟันธงว่าจะเป็น พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผมคิดว่าไม่ใช่ พล.ต.อ.พัชรวาท มีศัตรูมากจนเกินไป

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ท่านถูกผูกมัดด้วยคำพูดของท่าน และความเป็นพี่ใหญ่ เป็นรุ่นพี่ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา วันนี้ในข้อเท็จจริง พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.อนุพงษ์ นั้น ผูกเสี่ยวกันไว้เรียบร้อยแล้ว ก็เหลือ พล.อ.ประวิตร เท่านั้นเอง


เหตุการณ์ต่างๆ ตั้งแต่ พล.อ.ประยุทธ์ บอกให้ พล.อ.ประวิตร ปลดธรรมนัส ให้ธรรมนัส ออกจากพรรค แล้ว พล.อ.ประวิตร ก็จัดใหญ่ให้เลย 21 คน และทุกวันนี้มีการตั้งโต๊ะเพื่อซื้อ ส.ส. 21 คนที่ออกมานี้ ให้กลับไปสู่พรรคเหมือนเดิม ก็พูดง่ายๆ ว่า จำนวน 21 คนนั้น จะต้องบั่นทอนให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แต่ประเด็นไม่ได้อยู่ตรงนั้น ประเด็นอยู่ตรงที่ว่า เมื่อวันที่มีอภิปรายไม่ไว้วางใจจริงๆ แล้ว วันนั้นอะไรก็เกิดขึ้นได้ ถ้ามีการทุ่มกันสุดตัว เพื่อล้ม พล.อ.ประยุทธ์ เพื่อให้ พล.อ.ประยุทธ์ แพ้เสียงอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภาฯ ต้องลาออก ผมคิดว่ามีโอกาสเกิดขึ้นสูง ผมไม่สนใจว่าใครพูดอย่างไร หรือว่า พล.อ.ประวิตร ท่านจะบอกว่าไม่มีอะไร คุยกันทุกวัน ไม่ใช่ ที่คุยกันทุกวันน่ะ คุยกับพรรคเพื่อไทยทุกวันว่าถ้าเขาอย่างนี้แล้ว จะเอาอย่างไรกัน ไม่ใช่ เพราะถ้าคุยกันทุกวันแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ จะไม่ร้อนรนถึงขนาดนี้ จะไม่อยู่ในสภาพหลังชนกำแพง


เพราะฉะนั้นแล้ว จากวันนี้จนถึงก่อนที่จะเปิดสภาฯ เพื่อถูกยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องตัดสินใจ 2-3 อย่าง อย่างแรก พล.อ.ประยุทธ์ จะมั่นใจหรือไม่ว่าโต๊ะที่ฝ่ายตัวเองตั้งเพื่อซื้อ ส.ส. คืนมา ใช้เงินใช้ทองซื้อ (การเมืองมันก็เป็นอย่างนี้ล่ะ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่นิดเดียว ตั้งแต่ก่อน พล.อ.ประยุทธ์ เข้ามาแล้วปฏิวัติยึดอำนาจเพื่อทำให้ทุกอย่างดีขึ้น ก็เลวเหมือนเดิม มิหนำซ้ำ กลุ่มของตัวเองก็เป็นกลุ่มที่ซื้อ คือกลุ่มของ พล.อ.ประวิตร โดยผ่าน ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ก็ซื้อ ทางนี้ก็ซื้อบ้าง มันโคตรน้ำเน่าเลยท่านผู้ชม) เอาล่ะ พล.อ.ประยุทธ์ จะกล้าเสี่ยงหรือเปล่าที่จะให้เขายื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ แล้วก็เสี่ยงเอาว่า เฮ้ย! มีการพลิกล็อกได้ไหม ? พลิกล็อกได้ ท่านผู้ชม พลิกล็อกได้แน่นอน เพราะว่าคราวที่แล้วถ้าไม่พลิกล็อก ถ้าไม่ใช่เพราะว่า พล.อ.ประยุทธ์ ฮึดสู้ตอนนั้น ท่านก็แพ้เสียงไปแล้วในสภาฯ เพราะว่าเหตุผลเดียวที่ทำให้ท่านฮึดสู้ แล้ว พล.อ.ประวิตร มีความรู้สึกว่าภาพวันนั้นที่จะอภิปรายไม่ไว้วางใจ ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ หลุดออกไป พล.อ.ประวิตร จะเสียชื่อ ในฐานะที่เป็นรุ่นพี่แล้วไปรังแกรุ่นน้อง ก็เลยสั่งทางกลุ่ม ร.อ.ธรรมนัส ให้ถอยออกมา เมื่อถอยออกมา พล.อ.ประยุทธ์ ก็เลยผ่านการอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่ขนาดนั้นก็ยังได้คะแนนรองบ๊วย คุณสุชาติ ชมกลิ่น คะแนนต่ำสุด พล.อ.ประยุทธ์ ต่ำรองมา ซึ่งเป็นไปไม่ได้ ผมชี้แจงให้ฟังแล้ว ให้เห็นเลยว่ามันเป็นอย่างนี้จริงๆ

แล้ว พล.อ.ประยุทธ์ จะยุบสภาฯ ได้ไหม ? ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ ยุบสภาฯ มันจะมีปัญหาอยู่ 2-3 อย่าง ก็คือ ในเมื่อกฎหมายลูกของการเลือกตั้งบัตร 2 ใบ ยังไม่ออกมา ถ้ายุบแล้วจะตีความอย่างไร ยังจะใช้กฎหมายรัฐธรรมนูญเก่าหรือเปล่า หรือจะใช้ตัวใหม่ที่ผ่านมาเรียบร้อยแล้ว หลายคน หลายเกจิอาจารย์ทางกฎหมายก็บอกว่า ใช้ตัวเก่า ไม่มีทางเลือก หลายเกจิอาจารย์ก็บอกว่าใช้ตัวใหม่ เอาล่ะ เป็นที่ถกเถียงกัน แต่ถ้าสมมุติว่าไม่ว่าจะใช้อย่างไรก็ตาม ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ ยุบสภาฯ คำถามคือ พล.อ.ประยุทธ์ มั่นใจแค่ไหนว่าพรรคพลังประชารัฐยังจะชู พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ 


ผมเชื่อว่าพรรคพลังประชารัฐอาจจะชู พล.อ.ประยุทธ์ แต่จะเป็นการชู 1 ใน 3 คน เพราะรัฐธรรมนูญอนุญาตให้ชูได้ถึง 3 คน ซึ่งในข้อเท็จจริงแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ ก็ไม่ต้องการ เพราะว่าท่านไม่ต้องการให้ใครมาแข่งกับท่าน ถ้าจะชูผม ก็ชูผมคนเดียว

แต่วันนี้ ผมต้องเรียนให้ท่านผู้ชมทราบนะครับ ว่าพรรคพลังประชารัฐวันนี้ เดี๋ยวนี้ มันไม่ใช่พรรคพลังประชารัฐสมัยก่อนแล้ว และ พล.อ.ประวิตร ท่านก็ไม่ใช่คนเก่าแล้ว ไม่ว่าท่านจะพูดอย่างไรก็ตาม ท่านมีความขัดแย้ง 4 ครั้ง กับ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร ท่านก็ออกมาพูดตลอดเวลา ทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร ไม่มีอะไรหรอก เป็นพี่น้องกัน คบกันมา 40 ปี รักกันมา ถ้าไปก็ไปด้วยกัน โน่นนี่ พูดอย่างนี้ตลอดเวลา แต่ก็ขัดแย้งกันตลอดเวลา ยิ่งวันยิ่งแรงขึ้นๆๆ


เพราะฉะนั้นแล้ว การยุบสภาฯ ก็อันตราย การเปิดสภาฯ แล้วก็ให้มีการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจก็อันตราย อันตรายคนละแบบ อันตรายแบบแรกคือการยุบสภาฯ นั้น อย่างน้อยที่สุดถ้าประชาชนเรียกร้อง หรือว่าบีบกันจริงๆ พรรคพลังประชารัฐก็อาจจะเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ แต่ก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่รับประกันได้ เพราะ พล.อ.ประวิตร อาจจะเสนอทีละ 3 คน หรือคณะกรรมการพรรคพลังประชารัฐ หรือว่ากลุ่ม พล.อ.ประวิตร ซึ่งประกอบด้วย พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ หรืออะไรโน่นนี่นั่น ก็จะบอกว่าเสนอคุณประยุทธ์ คนเดียวไม่ได้ เสนออีกคน สองคน อาจจะเสนอ พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ แค่นี้ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ไม่เอาแล้ว เพราะฉะนั้นการยุบสภาฯ ก็เป็นอุปสรรคใหญ่หลวงที่จะก่อให้เกิดโอกาสที่ พล.อ.ประยุทธ์ ถูกบีบให้ล้างมือและไม่เล่นอีกต่อไป ความฝันในการเป็นประธานเอเปกก็ต้องตกไป แต่ พล.อ.ประยุทธ์ คงไม่ยอมแพ้ง่ายๆ

ท่านผู้ชมครับ แล้วจะทำอย่างไร ? สิ่งที่ผมคิด และผมคิดว่าน่าจะเป็นอย่างที่ผมคิด ก็คือว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะต้องถึงเวลาแล้ว ถ้าท่านจะสู้จริง ข้อแรก ข้อที่หนึ่ง ท่านต้องล้างความเป็นเทพของท่านออก คือทุกวันนี้ท่านทำตัวเป็นเทพเจ้า เป็นเทวดา ลอยไปลอยมา ท่านต้องลงมา เพราะเขาบีบท่าน เขาบีบท่านทุกวิถีทางเพื่อให้ท่านลงมาเล่นในระบบ ไม่ให้ท่านลอยตัว เพราะท่านเองท่านหงุดหงิดมากในการประชุมสภากลาโหม ท่านตัดการประชุมเลยให้มันสั้น แล้วท่านออกมา ท่านพูดในที่ประชุมต่อว่าทหาร บก เรือ อากาศ ในทำนองว่าทหารต้องยืนข้างรัฐบาล ท่านไม่เคยพูดอย่างนี้เลยนะ แสดงว่าท่านก็รู้แล้วว่าวันนี้ทหาร ... นี่คือข้อเท็จจริง ทหารเขาอยากจะฉีกตัวออก ไม่ให้ภาพออกมาว่าทหารแบ็กท่านอยู่ เพราะทหารต้องการจะเป็นทหารจริงๆ ไม่อยากจะยุ่งเรื่องนี้แล้ว และนั่นคือเหตุผลที่ทำไมท่านต้องพูดบอกว่า "ทหารต้องยืนข้างรัฐบาล"

เพราะฉะนั้นแล้ว เมื่อท่านต้องมาเล่นการเมืองแล้ว ทำไมท่านไม่ถอดมงกุฎ ถอดชฎา ที่ท่านเป็นเทวดาในสายตาของประชาชน และการกระทำของท่าน แล้วท่านลงมาเป็นหัวหน้าพรรคไทยภักดี


หมอวรงค์ เขาตั้งพรรคเพื่อชูท่านอยู่แล้ว หรือท่านจะให้หมอวรงค์ ชูท่านขึ้นมา โดยท่านไม่ต้องลงมาเล่น ก็อีกล่ะ มันไม่ดุเดือดเข้มข้นเท่าทันลงมาเล่นเอง และท่านเป็นหัวหน้าพรรค ผมคิดว่าหมอวรงค์ ยินดีถอยให้เพื่อให้ท่านเป็นหัวหน้าพรรค ท่านนายกฯ ครับ ท่านมีคนที่ชอบท่านจำนวนหนึ่ง ก็ไม่น้อย เพียงแต่ว่ายอดคนชอบมันไม่เพิ่มขึ้น แต่ยอดคนเกลียดท่านมันเพิ่มขึ้นทุกวัน แต่อย่างน้อยที่สุด ถ้าท่านลงมาเอง แล้วท่านบอกว่าท่านจำเป็นต้องสู้อย่างสุดฤทธิ์สุดเดชแล้ว เพื่อที่จะนำพาประเทศชาติต่อไป เพราะว่าผมเป็นคนไม่ยอมแพ้ ติ่งของท่านทั้งหลายก็จะเฮกัน จะช่วยกันเทคะแนนเสียง ผมเชื่อว่าพรรคไทยภักดีจะมีเสียงเข้ามาในสภาฯ พอสมควร จำนวนเท่าไรผมไม่รู้ แต่น่าจะเป็นหลักหลายสิบคน ผมเชื่อมาอย่างนั้น แล้วเงินทองท่าน ท่านยกหูโทรศัพท์ ผมว่ามีคนเอาเงินมาให้ท่านพอสมควร แล้วเครือข่ายของท่านก็เก็บเงินเก็บทองกันเอาไว้เยอะ ผมไม่ใช่คนที่ไร้เดียงสา ผมรู้เรื่องนี้ดี

ด้วยวิธีนี้ ถึงท่านจะแพ้ ท่านก็แพ้อย่างสมศักดิ์ศรี นี่คือท่านสู้แบบไม่ยอมแพ้ไง แต่พอถึงวินาทีสุดท้ายแล้ว ถ้าใครคะแนนเสียงมีไม่มากพอ มีไม่กี่สิบเสียง แล้วเขาเกิดลงคะแนนเสียงเอาคนอื่นเป็นนายกฯ แทน ท่านนายกฯ ครับ ท่านนายกฯ มีทางเดินลงอย่างสง่าผ่าเผย เพราะมันพิสูจน์ได้ชัดว่าท่านยอมรับระบบ ท่านสู้ในระบบ ท่านไม่ยืนทำตัวลอยเป็นเทพเจ้าและคอยตีกิน ท่านลงมาตีนติดดิน ติ่งท่านก็จะชอบ แล้วคนใต้ชอบท่านมาก อย่างน้อยที่สุดเสียงทางใต้ท่านก็จะมีเยอะพอสมควร คนที่แอบชอบท่าน และเป็นติ่งท่าน ถึงจะมีจำนวนที่ไม่เพิ่มขึ้น แต่จำนวนที่มีอยู่ปัจจุบันก็ไม่น้อยนะครับ ฉะนั้นวิธีเดียว ทางออกของท่านที่สง่าผ่าเผยที่สุด ก็คือวิธีนี้ เพราะถ้าท่านเปิดสภาฯ แล้ว ท่านเกิดพลิกล็อก และผมเชื่อว่าพลิกล็อกแน่ เขาลงคะแนนเสียงไม่ไว้วางใจท่าน ท่านไปไม่ถูกแล้วนะงานนี้ เท่ากับท่านถูกไล่


 แต่ถ้าท่านลงมาแล้วท่านเป็นหัวหน้าพรรค แล้วท่านยุบสภาฯ เลย ยุบสภาฯ เดือนพฤษภาคม ตอนที่เปิดสภาฯ ยุบตูมเลย แล้วท่านลงมาลุยหาเสียงสู้ ผมคิดว่าถึงเวลาที่ท่านจะต้องตีนติดดินบ้างแล้ว ท่านเลิกทำตัวเองเป็นเทพเจ้าและเทวดาได้แล้ว

ทุกวันนี้เรามีเทพเจ้าและเทวดาติดไว้อยู่บนผนัง ตั้งไว้บนหิ้งพระ เรากราบไหว้บูชาได้ ขอพรได้ ผมยังไม่เคยเจอว่าใครเป็นเทพเจ้าที่ยังมีชีวิตอยู่แล้วเดินดินได้อย่างท่าน มีท่านคนเดียวเท่านั้นเองที่ทำมาตั้งหลายต่อหลายปี ท่านนายกฯ ครับ สุภาษิตจีนเขาบอกว่า "มึงแน่จริง มึงไสม้าเข้ามา" ท่านนายกฯ ท่านพูดกับทุกคนเลย เอาล่ะ กูจะลง ใส่เสื้อเกราะ ใส่หมวกเหล็ก ถือหอก ถือทวน สะพายธนู เป็นแม่ทัพนำสู้ เป็นไงเป็นกัน ท่านจะได้ใจคนเยอะมาก รวมทั้งท่านจะได้ใจผมด้วย และนั่นคือทางออกทางเดียวเท่านั้นเอง ทางอื่นไม่มี นี่ผมยังไม่นับเดือนสิงหาคม ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินว่าท่านจะมีสิทธิ์เป็นต่อได้อีกหรือเปล่า แต่ถ้าทำอย่างนี้ ถึงแพ้ ก็แพ้อย่างชนะใจคนดู สิ่งที่ท่านแพ้มาตลอด ท่านไม่รู้ตัวหรอก แต่ผมจะบอกให้ ท่านแพ้ "อัตตา" ตัวเอง ท่านแพ้อีโก้ตัวท่านเอง


ท่านผู้ชมครับ ก่อนที่ผมจะเข้าสู่เรื่องสุดท้ายของวันนี้ ท่านผู้ชมคงรู้นะครับว่าผมเป็นคนที่ทานน้ำด่างมาเป็นประจำ เป็นเวลาสิบๆ ปีแล้ว เครื่องทำน้ำด่างก็มีอยู่ทั้งที่บ้าน ที่ออฟฟิศ แต่เวลาออกไปข้างนอก ไม่สะดวก ผมก็ทำน้ำดื่มอัลคาไลน์ ตรา MANNATURE มีค่า pH 8.5 สะดวก หาซื้อได้ง่าย มีวางจำหน่ายแล้วที่ 7-ELEVEN ทั่วประเทศ น้ำด่างคือการบาลานซ์กรดในร่างกาย ท่านผู้ชมเอากรดมาจากไหนล่ะ ? ท่านผู้ชมทานอาหาร ทานเนื้อ ทานปลา มันเป็นฤทธิ์กรดทั้งสิ้น พอท่านทานน้ำด่างลงไปแล้ว มันจะบาลานซ์ตัวเอง และในขณะเดียวกัน ก็มีส่วนช่วยในเรื่องกรดไหลย้อนเช่นกัน

ท่านผู้ชมครับ 32 ปีที่แล้ว ผมได้เขียนคอลัมน์ประจำในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายสัปดาห์ ชื่อ "ตะวันออกที่ท่าพระอาทิตย์" ผมเขียนว่า เรื่องว่าด้วยการเป็นเจ้าพ่อธุรกิจและมาเฟีย ผมเขียนมาตลอด และในที่สุดแล้ว ก็เอาคอลัมน์ประจำที่ผมเขียนมารวบรวม พิมพ์เป็นหนังสือเล่มหนึ่ง นี่คือว่าด้วยเจ้าพ่อ "ต้นกำเนิดเจ้าพ่อ ธุรกิจ อำนาจ และเงินตรา" 2545 ยี่สิบปีที่แล้ว หลังจากนั้นหนังสือเล่มนี้เอามาปรับปรุง เปลี่ยนแปลง ไปจนกระทั่งพิมพ์ในที่สุดทั้งหมด 6 ครั้ง


วันนี้ผมจะพูดเรื่องเจ้าพ่อให้ฟัง เจ้าพ่อในสมัยก่อนนั้น มันมีวิวัฒนาการมาอย่างไร เรามาตั้งใจฟังกันนิดหนึ่ง

สมัยที่ประเทศยังไม่มีโซเชียลมีเดีย คนยังไม่สามารถจะรับรู้สิทธิของตัวเองได้ ทุกอย่างอำนาจตกอยู่ในมืออำนาจรัฐ แล้วคนที่มีอำนาจรัฐมากที่สุดและนานที่สุด คือ ทหาร เพราะว่าทหารปฏิวัติบ่อยที่สุด แล้วก็ใช้อำนาจเผด็จการมานานที่สุด

อำนาจทหารพวกนี้คืออำนาจที่กระจายลงมาไปสู่ท้องถิ่น ตามภูมิภาคต่างๆ จากผู้บัญชาการทหารบก หัวหน้าคณะปฏิวัติ ไล่มาเรื่อยๆ ไปจนถึงแม่ทัพภาค จากแม่ทัพภาค ก็ลงไปเรื่อยๆ จนไปถึงผู้การจังหวัด แล้วอำนาจนี้ก็ถูกเผื่อแผ่ไปที่ตำรวจ ซึ่งตำรวจในยุคนั้นก็เป็นตำรวจที่ฟังทหารมาตลอด แม้กระทั่งยุคนี้ก็ยังฟังทหารมาตลอด ตำรวจจะไม่กล้าหือกับทหารเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะว่าตำรวจปฏิวัติไม่ได้ แต่ทหารปฏิวัติได้ เมื่อทหารปฏิวัติแล้ว อำนาจทั้งหมดมันก็อยู่ในมือของทหาร ท่านผู้ชมครับ หลับตาแล้วตามผมมา

30-40 ปีที่แล้ว ประเทศไทยยังไม่ใช่ประเทศไทย ณ วันนี้ คนที่มีอำนาจในท้องถิ่นทางธุรกิจก็คือพวกคหบดี คหบดีต่างๆ เจ้าสัวต่างๆ ที่เป็นเจ้าสัวอยู่จังหวัดขอนแก่นเอย อยู่ที่บ้านไผ่เอย อยู่ที่สุไหงโก-ลกเอย หรือว่าอยู่ที่พิษณุโลกเอย อยู่ที่โน่นที่นี่ ก็คือคนที่มีเงินแล้วทำมาหากิน และส่วนใหญ่แล้วจะเป็นคนไทยเชื้อสายจีนทั้งนั้น คนไทยที่เป็นไทยแท้ๆ แล้วมาตั้งธุรกิจของตัวเองจนกระทั่งเจริญเติบโตใหญ่โต ต่างจังหวัดหายากมาก มีแต่กรุงเทพฯ อย่างเช่น ตระกูลภิรมย์ภักดี เจ้าของเบียร์สิงห์ ต้องถือว่าเขาก็เป็นผู้มีอิทธิพล

ท่านผู้ชมอาจจะโตไม่ทันผม ที่ผมพูดถึง แต่ว่าคนอายุใกล้ผมจะจำได้ ที่บ้านนอก ต่างจังหวัด ตามบ้านคหบดี ท่านผู้ชมสังเกตไหมถ้าท่านผู้ชมเคยเข้า หรือท่านผู้ชมเองอาจจะมีตระกูลเป็นคนอย่างนี้ ที่บ้านจะชอบติดรูปภาพเจ้าของบ้านถ่ายกับนายอำเภอ เจ้าของบ้านถ่ายกับ ... อย่าว่าแต่ผู้กำกับโรงพัก พันตำรวจเอกเลย แค่สารวัตรอย่างเดียวเจ้าของบ้านก็ภูมิอกภูมิใจแล้ว เพราะว่านั่นคือยันต์กันผี เพราะคนทำมาค้าขายไม่ต้องการมีเรื่องกับใคร และขณะเดียวกัน ถ้าทำผิดอะไรแล้ว ถ้ามีคนพอจะช่วยเหลือได้ เขาก็ยินดี แล้วข้าราชการที่อยู่ตามท้องถิ่น ไม่ว่าจะนายอำเภอ ไม่ว่าจะสารวัตร ไม่ว่าจะเป็นผู้กำกับ เวลาติดขัดเรื่องเงินทองในการพัฒนาท้องถิ่น คงจะไม่ได้ไปเอาจากชาวบ้านที่เดินถนน หรือชาวบ้านที่เข้ามาซื้อข้าวซื้อของ ก็ต้องมาซื้อกับเจ้าสัวที่มีเงินมีทอง


ผมเป็นคนสุโขทัย ตระกูลผมเริ่มที่ตำบลทุ่งหลวง อำเภอคีรีมาส ผมยังจำได้สมัยก่อนตระกูลผม เนื่องจากคุณพ่อผมเป็นพ่อเลี้ยง เป็นพ่อค้าไม้ เพราะฉะนั้นอิทธิพลก็เลยสูง กลายเป็นผู้มีอิทธิพลโดยปริยาย มีคนมาทำงานด้วยเยอะแยะไปหมด เหมือนกับว่าใครมีเรื่องมีราวกัน ถ้าพ่อผมมีอิทธิพลอยู่ พ่อผมก็จะเรียก เฮ้ย! มานั่งคุยกันซิ คุยกันรู้เรื่องไหม อย่าทะเลาะกัน โน่นนี่นั่น หรือว่าจำเป็นต้องใช้ตำรวจ ก็จะเรียกตำรวจมา สารวัตรครับ เรื่องนี้ช่วยหน่อยได้ไหม โน่นนี่นั่น มีแม้กระทั่งไปยิงคนแล้วบอกว่า สารวัตรครับ ผมให้มันหนีไปแล้วนะ พอเรื่องเงียบแล้วให้มันกลับมาได้ไหม - ได้เฮีย ตามสบาย นี่คือลักษณะของระบบอุปถัมภ์จริงๆ ที่มันมีมาสมัยโบราณ แต่พอโลกมันพัฒนา ประเทศไทยพัฒนาไปเรื่อยๆ เริ่มมีประชาธิปไตยเกิดขึ้นมา แล้วรุ่นแรกของคนไทยเชื้อจีนซึ่งอากง อาม่า มาจากเมืองจีน แล้วตัวเองเป็นลูกของอากง อาม่า ก็รับกิจการต่อมา ไม่ยุ่งการเมือง แต่ตัวเองการศึกษาไม่ค่อยมี พอถึงรุ่นลูก ก็คือรุ่นพ่อผม ไม่ใช่รุ่นผม ผมนี่รุ่นหลานแล้ว พอรุ่นลูกก็เริ่มมีอากง อาม่า หรือพวกเจ้าของกิจการพวกนี้มีความรู้สึกว่าตัวเองการศึกษาน้อย ก็ส่งลูกของตัวเองเข้ามาเรียนหนังสือ จากบุรีรัมย์เข้ามาเรียน จากเชียงใหม่เข้ามาเรียน โน่นนี่นั่น ก็เรียนโรงเรียนดีๆ เพราะว่าลูกเถ้าแก่นี่ คหบดีที่อยู่ต่างจังหวัด

พอเรียนดีๆ มีเงินมีทองเข้ามา ก็ไปต่อมหาวิทยาลัย ไปต่อต่างประเทศ พอคนพวกนี้กลับมาแล้ว วิสัยทัศน์ก็เปิดกว้างแล้ว ไปเห็นที่เมืองนอกเป็นอย่างโน้นเป็นอย่างนี้ ก็เลยมาร่วมพัฒนากิจการท้องถิ่นของพ่อของแม่ แล้วส่วนใหญ่สมัยนั้นธุรกิจทางท้องถิ่นจะทำในลักษณะของการเป็น หนึ่ง ค้าทรัพยากรธรรมชาติ ทำป่าไม้ ทำเหมืองแร่ ตัดไม้ในป่า แล้วก็เป็นพ่อค้าคนกลาง รับซื้อพวกพืชผลต่างๆ ผมจำได้ ที่ถนนหน้าบ้านผมที่ตำบลทุ่งหลวง เป็นถนนดิน แล้วก็จะมีญาติพี่น้องผม ตระกูลลิ้มทองกุล ก็เปิดร้านขายของชำเยอะเลย ปรากฏว่าผมไม่ค่อยสังเกต แต่พอผมโตขึ้นมา ผมนึกย้อนหลัง อ๋อ นี่คือแหล่งของการให้เป็นธนาคารสินเชื่อของคนจน หมายความว่าอย่างไร ? หมายความว่าชาวไร่ ชาวนา ที่ต้องการที่จะทำมาค้าขาย หรือทำพืชผล แต่ไม่มีตังค์ ก็มาเอาของไปก่อน เจ๊ ขอปุ๋ยไป 3 ถุงนะ จดบัญชีไว้ แล้วพอผลิตผลออกมาขายได้ ก็เอาเงินมาคืน หรือบางทีอาเจ๊เอง อาเฮียเอง ก็เป็นคนรับซื้อผลิตผลที่ผลิตมา เมื่อซื้อมาแล้วก็เอามาจ่ายเงินคืนที่เขากู้เงินไปลงทุนในเรื่องของการปลูกพืชผักผลไม้ หรือแม้กระทั่งปลูกข้าว ซื้อได้หมด เชื่อได้หมดทุกอย่าง แม้กระทั่งบุหรี่สักแถวหนึ่ง หรือแม้กระทั่งเงินที่จะต้องเอาไปจ่าย จำเป็นที่จะต้องใช้

สมัยก่อนไม่มีเซ็นสัญญานะ จดบัญชีไว้ เอาไปเท่าไร ขอไป 1,000 บาท เอาไป หลายๆ คนก็บวกดอกเบี้ยเข้าไป เพราะฉะนั้นแล้ว คหบดีพวกนี้ก็จะกำไรในเรื่องของที่มีส่วนต่างอยู่แล้ว แล้วยังบวกดอกเบี้ยอีก ส่วนดอกเบี้ยจะแพงหรือจะถูกนั้น ขึ้นอยู่กับมโนธรรมและคุณธรรมของพวกคหบดี คนไทยเชื้อสายจีนพวกนี้

ทีนี้ พอลูกมาแล้ว ... สมัยก่อนไปดูได้เลย ทุกจังหวัด เจ้าของโรงสี โรงเลื่อย ไม่ใช่คนไทย คนไทยเชื้อจีนทั้งนั้น แล้วกิจการพวกนี้ต้องพึ่งอะไร ? พวกนี้ต้องพึ่งระบบอุปถัมภ์ท้องถิ่น พึ่งสารวัตร พึ่งผู้กำกับ ใครพึ่งได้ถึงผู้ว่าฯ ต้องถือว่าเก่งแล้ว เขาเป็นใหญ่ในตำบลๆ หนึ่ง อีกคนก็เป็นใหญ่ในอำเภอๆ หนึ่ง มันก็จะมีระดับตั้วเฮียเป็นชั้นๆ ไป คนที่อยู่ตามจังหวัดสามารถจะผูกมิตรกับผู้ว่าราชการจังหวัดได้ ก็สามารถจะมีอิทธิพลเหนือคหบดีที่อยู่ตามอำเภอ แล้วคหบดีที่อยู่ตามอำเภอก็จะมีอิทธิพลเหนือคหบดีที่อยู่ตามตำบล ทั้งหมดนี้ก็ถูกโยงมาที่กรุงเทพฯ กรุงเทพฯ ก็จะมีพ่อค้าต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสมัยก่อน ธนาคารศรีนคร คุณอุเทน เตชะไพบูลย์ อยู่กรุงเทพฯ คุณสหัท มหาคุณ ซึ่งทำเรื่องเหล้าแม่โขง


ก็อยู่ในกรุงเทพฯ แต่ละคนจะมีเส้นสายอยู่ในกรุงเทพฯ เวลาในภูมิภาคตัวเองเจริญเติบโตต่อมา แล้วติดขัดอะไร ที่ระดับจังหวัดช่วยไม่ได้ พวกนี้จะวิ่งเข้ามาในกรุงเทพฯ ในขณะซึ่งคนในต่างจังหวัด ถ้าคบผู้ว่าราชการจังหวัด ต้องถือว่าใหญ่ แต่เจ้าสัวกรุงเทพฯ เขาคบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หรืออธิบดีกรมการปกครอง ก็คือว่าใช้คนที่ใหญ่กว่าแล้วเป็นเครือข่ายตัวเองคอยปลดล็อกที่ตัวเองไม่สามารถจะปลดล็อกได้ นั่นคือที่มาของระบบอุปถัมภ์ ซึ่งมันผูกพันและยืนยาวมานานแสนนาน เป็นหลายๆ สิบปี 50-60 ปี ต่อเนื่อง ไม่เว้นเลยแม้แต่นิดเดียว

ผมยกตัวอย่างให้ฟังง่ายๆ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คลาสสิคทั้งหมด ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าเหล้าแม่โขงเกิดขึ้นมาจากไหน ? เหล้าแม่โขงเกิดขึ้นมาจาก จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ สมัยที่จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ยังเป็นทหารยศนายพัน เล็กๆ อยู่ทางอีสานใต้ มีนักธุรกิจคนหนึ่งซึ่งคอยบีบคอยนวด คอยสนับสนุนจอมพล สฤษดิ์ ทางการเงินการทอง ซื้อข้าวซื้อของให้ จอมพล สฤษดิ์ ขาดอะไรบ้าง ก็คอยซื้อมาให้ ท่านครับ ซื้อตู้เย็นให้ วันหนึ่ง จอมพล สฤษดิ์ เกิดใหญ่ขึ้นมาเป็นผู้บัญชาการทหารบก และในที่สุดเป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติ ยึดอำนาจจอมพล ประภาส จอมพล ถนอม


วันนั้นคนที่อยู่ในเหตุการณ์ตำนานเป็นรุ่นพี่ผม เสียชีวิตไปแล้ว สนธิ จอมพล สฤษดิ์ เรียกเสี่ยสหัท มหาคุณ เรียกมาว่ายังไง บอกว่า เฮ้ย! ไอ้หัท มึงจะเอาอะไร ตอนนี้กูใหญ่แล้ว คุณสหัท มหาคุณ ก็เลยบอกว่า ผมขอทำเหล้าแม่โขงครับ นี่คือตำนานจุดเกิดขึ้น แล้วอิทธิพลของเหล้ามันเกี่ยวข้องกับเงินเกี่ยวข้องกับทอง เงินทองที่ได้จากเหล้าก็เอามาแจกทหาร แจกตำรวจ เพื่อรักษาการผูกขาดในเรื่องเหล้าเอาไว้

แล้วที่มาที่ไป คนที่มาร่วมลงทุนในเหล้า คือโรงเหล้านอกจากมีในกรุงเทพฯ แล้ว ยังต้องมีตามต่างจังหวัด คนมีชื่อเสียงดังๆ ทั้งนั้นที่เป็นนักธุรกิจ ปัจจุบันนี้ก็ล้วนแล้วแต่ร่ำรวยขึ้นมา ก็ร่ำรวยมาจากโรงเหล้า

คุณนงลักษณ์ ภัทรประสิทธิ์ เจ้าของเดอะมอลล์ สามีของแกคือคนทำเหล้า คุณวานิช ไชยวรรณ เจ้าของไทยประกันชีวิต ก็เริ่มลงทุนในเรื่องโรงเหล้า

วานิช ไชยวรรณ
เพียงแต่คุณวานิช ขยายตัวไปทางด้านธุรกิจประกัน กิจการก็เลยไม่ต้องพึ่งเหล้ามาก ใหญ่โตมโหฬาร ตระกูลเตชะไพบูลย์ ก็เหล้า เหล้าทั้งนั้น สมัยก่อนคุณเจริญ สิริวัฒนภักดี ก็เป็นคนซึ่งคอยรับใช้คุณสหัท มหาคุณ คุณเจริญ เป็นคนเก่ง ไปโน่นไปนี่มาตลอดเวลา ทำงานได้ประสบผลสำเร็จ แล้วในที่สุดคุณเจริญ ก็เลยกลายเป็นคนที่คุณสหัท ใช้ให้ไปติดต่อกับสายสัมพันธ์ของคุณสหัท พวกทหาร พวกตำรวจ พอสิ้นเดือนที ก็เอาเงินไปแจกพวกทหาร ตำรวจ คอนเนกชันนี้ก็เลยอยู่กับคุณเจริญ จนในที่สุดคุณสหัท เริ่มแก่ตัวลง เริ่มไม่ไหวแล้ว คุณเจริญ ก็เลยเทกโอเวอร์แม่โขง แต่ว่าไปติดอยู่ที่พวกตระกูลเตชะไพบูลย์ คุณเจริญ ก็เลยมาทำหงส์ทอง เหล้าหงส์ทอง

เจริญ สิริวัฒนภักดี
สมัยก่อนก็ทำเป็นจังหวัด จังหวัดหนึ่งก็มีหงส์ทอง อีกจังหวัดหนึ่งมีหงส์แดง อีกจังหวัดมีหงส์เหลือง อีกจังหวัดมีหงส์เขียว แต่ที่แท้จริงมันก็คือแม่โขงนั่นเอง แล้วก็มีกระบวนการที่เขาเรียกว่า หงส์ข้ามเขต เพราะเขาไม่ให้ข้ามเขต หมายความว่าถ้าคุณผลิตหงส์แดงอยู่ที่อุทัยธานี คุณไม่มีสิทธิ์จะส่งข้ามไปที่สิงห์บุรี แต่ถ้าจะส่งข้ามไปได้ คุณต้องรู้จักผู้มีอำนาจ และนี่คือที่มา เพราะฉะนั้นการผลิตเหล้าเป็นแค่ส่วนหนึ่ง นี่คืออดีตแล้ว

หลายๆ คนซึ่งเป็นนักธุรกิจอยู่ในกรุงเทพฯ พอเริ่มทำงานใหญ่ขึ้นมา ก็ต้องดีลกับคนระดับแม่ทัพ พลเอกบ้าง พลโทบ้าง แม่ทัพภาค 1 บ้าง ผู้บัญชาการทหารบกบ้าง อธิบดีกรมตำรวจบ้าง พอดีลกับคนพวกนี้แล้ว เขาก็มีสายสัมพันธ์ของเขา ลูกน้องของเขาที่อยู่ตามต่างจังหวัดต่างๆ พอติดขัดอะไรที่ทางภูมิภาคช่วยไม่ได้ ก็ต้องลงมาหาตั้วเฮียที่กรุงเทพฯ ตั้วเฮียก็จะเป็นคนจัดการให้ นี่คือลักษณะของการกระจายอำนาจของผู้มีอิทธิพล แล้วมาพึ่งอำนาจผู้มีอิทธิพลจริงๆ

วิชัย มาลีนนท์
แม้กระทั่งสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 คุณวิชัย มาลีนนท์ ผู้เป็นเจ้าของทีวีช่อง 3 สมัยหนุ่มๆ เป็นใครรู้ไหมท่านผู้ชม ? เป็นหัวหน้าคิวรถบรรทุกที่หัวลำโพง ท่านผู้ชม รถบรรทุกที่หัวลำโพงนี่เป็นศูนย์กลางรถบรรทุกเลยนะ คำว่าหัวหน้าคิว คืออะไร ? นายเลย ใครจะเอารถบรรทุกเข้ามาร่วมก็ต้องมาจ่ายค่าคิว จ่ายค่าต๋ง ค่าคิว ถามว่าเป็นผู้มีอิทธิพลไหม ? ยิ่งกว่าผู้มีอิทธิพล แต่ตอนหลังคุณวิชัย ก็ทิ้งงานนี้ แล้วก็มาลงทุนทางด้านกิจการอื่นๆ แล้วก็ไปจับพลัดจับผลูทำโทรทัศน์ช่อง 3 ได้ แต่การทำโทรทัศน์ช่อง 3 ได้ ก็ต้องรู้จักกัน รู้จักคน รู้จักคนหมด แม้กระทั่งในยุคของ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ เบื้องหลังจริงๆ เฉลิม อยู่บำรุง เป็นคนที่แบ็กสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 เพราะฉะนั้นแล้ว ยุคสมัยที่คุณเฉลิม ยังเป็นนักการเมืองอยู่ ขออะไรจากช่อง 3 ช่อง 3 ให้หมด นี่ผมแค่ยกตัวอย่างให้ฟัง

เฉลิม อยู่บำรุง
ทีนี้ พอเมืองมันพัฒนาไป สังคมมันเจริญเติบโตต่อไป การศึกษามันมีมากขึ้น ลูกหลานของพ่อค้าพวกนี้กลายเป็นคนมีการศึกษา มีเงินติดตัว เริ่มมองหาช่องทางแล้ว พอเริ่มให้มีการเลือกตั้งขึ้นมาปั๊บ คนพวกนี้ก็เลยสมัครรับเลือกตั้ง ความที่เป็นเจ้าสัวแล้วมีอิทธิพล มีเรื่องการเงินการทอง มีเครือข่ายสัมพันธ์ในท้องถิ่น ก็จะได้รับเลือกเข้ามาง่าย พอคนพวกนี้เข้ามาอยู่ในกรุงเทพมหานคร เป็น ส.ส. หรือแม้กระทั่งเป็นรัฐมนตรี คนพวกนี้ สมัยพ่อ สมัยปู่ ต้องยกมือไหว้นายอำเภอ แต่คนพวกนี้พอกลับบ้านที ผู้ว่าฯ ต้องมาไหว้เขา เห็นไหมครับท่านผู้ชม มันพลิกกลับแล้วนะ แต่จะอย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้มันจะหนีไม่พ้นทหาร เพราะทหาร ในที่สุดแล้ว เป็นผู้ที่กุมอำนาจที่แท้จริง

ท่านผู้ชมครับ เมื่อกี้แค่เกริ่นเฉยๆ เป็นการโหมโรง แต่หลักๆ แล้วผมเพียงแต่อยากจะเล่าให้ท่านผู้ชมฟัง ผมปีนี้ 75 แล้ว ผมเห็นมาหมดทุกอย่าง เห็นมาหมด เห็นเจ้าพ่อมาหลายคน เห็นเจ้าพ่อที่ตายไปแล้ว เห็นเสี่ยจิว ที่เมืองชลที่ถูกยิงตาย สนิท ผมรู้จักกำนันเป๊าะดี ผมรู้จักคนโน้นคนนี้ดี ผมโดนแม้กระทั่ง แคล้ว ธนิกุล ซึ่งเขาเรียกกันว่า เฮียแคล้ว ขู่จะฆ่าผม ทุกอย่าง ผมผ่านมาหมดแล้ว เพราะฉะนั้นผมอยู่ในสภาพที่ผมเล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟังได้ แต่พอประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยแล้ว ถึงจะเป็นอย่างไรก็ตาม ท่านผู้ชมครับ ทหารก็ยังเป็นใหญ่เหมือนเดิม

ท่านผู้ชมเคยเห็นไหม เวลามีเรื่องมีราวขึ้นมาปั๊บ ถ้าทหารมีเรื่องมีราวปั๊บ ถ้าผู้ใหญ่ในกองทัพเข้ามาแบ็กทหารที่มีเรื่องมีราว ตำรวจไม่กล้าทำอะไร ไม่กล้า ไม่ว่าจะเป็นทหารเรือ ไม่ว่าจะเป็นทหารอากาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทหารบกนี่ใหญ่มาก และนั่นคือที่มาของ "ทหารสีเทา" และ "มาเฟียสีเขียว"

ท่านผู้ชมครับ รายการวันนี้อาจจะมีได้ไม่ละเอียดนัก เพราะว่าเวลามีจำกัด แต่สิ่งหนึ่งที่จะมี เอกสารที่ผมเตรียมทำเอาไว้ "ทหารสีเทา มาเฟียสีเขียว" ทั้งหมดนี้ มีข้อมูลที่น่าสนใจมาก แล้วผมจะพิมพ์เป็นเล่มให้ รับรองว่าหาอ่านที่ไหนไม่ได้


คนที่เริ่มเป็นทหารมาเฟียคนแรก คนแรกจริงๆ ก็คือที่เขาเรียกว่า "เสธ. แอ๊ว" พล.อ.อัครเดช ศศิประภา ท่านเสียชีวิตเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2561 เสธ. แอ๊ว หรือ พล.อ.อัครเดช นั้น ถ้าจะพูดกันตรงๆ แล้ว เป็นของจริง ของจริงก็คือว่า แกไม่ได้เป็นนักเลงโตประเภทที่ไปรีดไถคนโน้นคนนี้ แกเป็นคนค่อนข้าง "สุขนิยม" ชอบกินเหล้าเมายา มีภรรยาเป็นอดีตนางงาม แล้วเพื่อนฝูงเยอะไปหมด หลายคนรักน้ำใจเพราะแกเป็นคนที่ ต้องการอะไร แกช่วยเหลือหมดทุกอย่าง ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ เสธ. แอ๊ว ปัญหามันอยู่ที่คนรอบตัว เสธ. แอ๊ว คนที่รอบตัว เสธ. แอ๊ว คือคนที่ทำมาหากินโดยใช้ชื่อของ พล.อ.อัครเดช ศศิประภา พล.อ.อัครเดช ศศิประภา นั้นเป็นน้องชายแท้ๆ ของ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และเจ้าของ "คลิปถั่งเช่า" ที่มีชื่อ ที่หนังสือพิมพ์เครือผู้จัดการเป็นคนแรกที่เอาคลิปถั่งเช่าออกมาให้คนชม นานมาแล้ว สิบกว่าปีแล้ว คนชมในตอนนั้นยอดล้านกว่าคน ท่านผู้ชมครับ สิบกว่าปีที่แล้ว ล้านกว่าคนนี่ก็เท่ากับสิบล้านคนปีนี้


เสธ. แอ๊ว ใหญ่กว่าแคล้ว ธนิกุล มาก เพราะว่า เสธ. แอ๊ว เป็นทหาร และเป็นนายพล และเป็นคนที่ไม่ลงมาเกลือกกลั้วกับคดีบ่อนการพนัน แต่ลูกน้องท่านที่รอบตัวจะทำชั่วหลายคน ผมเองยังเคยเจออิทธิพลของ เสธ. แอ๊ว ผมเคยไปซื้อทาวน์เฮาส์ริมทะเล อำเภอศรีราชา ตรงข้ามโรงพยาบาลสมเด็จ คนที่ทำทาวน์เฮาส์นั้น ทำแล้วไม่สมบูรณ์ ขาดตกบกพร่อง ต้องซ่อมแซมเยอะ ผมก็บอกเขาว่าคุณต้องซ่อมแซม ไอ้หมอนั่นไปพาลูกน้องคนสนิทของ เสธ. แอ๊ว มา แล้วบอกว่าผมมาจาก เสธ. แอ๊ว เรื่องนี้คุณซื้อไปแล้ว เมื่อซื้อไปแล้วก็ขาดไป ไม่ต้องมาซ่อมแซมอะไรอีกแล้ว ผมมาจาก เสธ. แอ๊ว พี่แอ๊ว เขาพูดอย่างนี้ เผอิญในช่วงนั้น นานมาแล้ว 20-30 ปีแล้ว คนที่ผมสนิทด้วยคนหนึ่ง ชื่อ สล้าง บุนนาค เขาเป็นคนรุ่นเดียวกับ เสธ. แอ๊ว

สล้าง บุนนาค
เขาเรียกมึง-กู ตลอดเวลา ในที่สุดผมก็เลยบอก พล.ต.อ.สล้าง ผมเรียกแกว่าพี่หล้าง พี่หล้างก็โทรไปนัด เสธ. แอ๊ว แล้วก็นั่งคุยกันที่โรงแรมปริ๊นเซส ห้องอาหารจีน เฮ้ย ไอ้หล้างเป็นไง โน่นนี่ - นี่ น้องกู สนธิ ลิ้มทองกุล ลูกน้องมึงไปอย่างนี้ๆๆ เสธ. แอ๊ว บอกว่า เฮ้ย กูไม่รู้เรื่องนะ เขาก็เลยเรียกไอ้นั่นมา มันยืนอยู่หน้าห้อง เห็นหน้าผม มันยังหน้าซีดเลย แกก็ด่าไอ้หมอนั่นเสียผู้เสียคนเลย มึงไปไถเงินเขาได้อย่างไร นี่คือตัวอย่างหนึ่งที่ผมจับได้ว่าเขาเป็นคนที่ไม่ได้ไปรีดไถใคร แต่ลูกน้องจะรีดไถใคร

ส่วนลูกน้องจะรีดไถใคร แล้วแบ่งให้ใครอย่างไร ผมไม่รู้ ก็คงจะมีบ้างล่ะ มาดูแล เสธ. แอ๊ว เอาเงินเอาทองให้ ซื้อข้าวซื้อของให้ จะไปเลี้ยง กินอะไร ก็จัดการจ่ายเงินให้หมดทุกสิ่ง แต่พึ่งบารมี เสธ. แอ๊ว เพราะฉะนั้นคนพวกนี้ก็จะลงไปถึงระดับที่คุมบ่อน ดีอยู่อย่าง คนพวกนี้ไม่ได้เล่นยาเสพติด มาในแง่ของบันเทิง และในแง่ของการที่จะซื้อขายอะไร แต่ไม่ได้มีเกี่ยวกับยาเสพติด

ในยุค เสธ. แอ๊ว มีที่เป็นกงสีใหญ่ มีแคล้ว ธนิกุล กำนันเป๊าะ เม้ง บางนา ปอ บรั่นดี ขนาดตำรวจยังมีรายงานลับเลยว่าคนที่เป็นมาเฟียจริงๆ มีอยู่ไม่เกิน 10 คน มีพลตรีคนหนึ่ง ตำรวจไม่กล้าใส่ชื่อ ไม่กล้าเลยนะ แต่กำนันเป๊าะ ใส่ชื่อ ปอ บรั่นดี ใส่ชื่อ ปรากฏว่าเช็กไปเช็กมา พลตรีคนนั้นคือ พล.ต.อัครเดช ศศิประภา บารมีแกถึงขนาดไหน

พล.อ.อัครเดช ศศิประภา เป็นน้องชาย พล.อ.ยุทธศักดิ์ พล.อ.ยุทธศักดิ์ นั้นแต่งงานกับลูกสาวของจอมพล ประภาส คือคุณหญิงอรพรรณ ศศิประภา เพราะฉะนั้นแล้ว เสธ. แอ๊ว ก็เลยเป็นคนที่มีเพาเวอร์มาตั้งแต่หนุ่มเลย เพราะพี่ชายตัวเองแต่งงานกับลูกสาวของจอมพล ประภาส เสธ. แอ๊ว นี่เป็นสาย วงศ์เทวัญ แต่ต่อมา เสธ. แอ๊ว ก็เริ่มเป็นทหารการเมืองตั้งแต่ยุคประชาธิปไตยครึ่งใบ ซึ่ง พล.อ.เปรม เป็นนายกรัฐมนตรี ก็มีทหารลูกป๋าเดินเกมการเมือง ไปค้ำบัลลังก์ให้ป๋า เสธ. แอ๊ว เป็นคนหนึ่งที่ถูกบรรดาลูกป๋าดึงตัวมาช่วยงาน ทำงานเป็นมือเป็นไม้ ท่านผู้ชมเข้าใจคำว่า "เป็นมือเป็นไม้" ไหม ? ให้กับบิ๊กจ๊อด พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ บิดาของ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ อดีตผู้บัญชาการทหารบก และปัจจุบันเป็นรองราชเลขาธิการสำนักพระราชวัง


แล้วเคยเป็นหัวหน้านายทหารฝ่ายเสนาธิการของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เพราะฉะนั้นแล้วจะเห็นว่าเส้นสายของ เสธ. แอ๊ว จากบนลงมาล่าง แนวราบก็เต็มไปหมด แม้กระทั่ง พล.อ.มงคล อัมพรพิสิฏฐ์ "บิ๊กหมง" ลึกซึ้งกับ เสธ. แอ๊ว มากที่สุด ว่ากันว่า เสธ. แอ๊ว ให้การดูแลลูกพี่คนนี้แบบตลอดชีวิต คำว่า "ให้การดูแล" คือ ขาดเหลืออะไร จัดให้หมด

หลังจากนั้นแล้ว หลังจากที่ เสธ. แอ๊ว มาร่วมงานกับป๋าแล้ว ก็เลยมีคอนเนกชันตัวเองกับนักการเมืองใหญ่น้อย ต่อสายโดยผ่านเซนต์คาเบรียลคอนเนกชัน ใครล่ะ ? สุวัจน์ ลิปตพัลลภ ที่เคยเรียนเซนต์คาเบรียลด้วยกัน

ครั้งหนึ่ง เสธ. แอ๊ว มีบทบาทในการดึงตัวน้องแบม จณิสตา ลิ่วเฉลิมวงศ์ ซึ่งเป็นสาวสวย จบจุฬาฯ และจบ LSC : London School of Commerce ทำงานอยู่สภาพัฒน์ ให้เข้าสู่ภายใต้เสื้อสีการเมืองของพรรคชาติพัฒนา ของสุวัจน์ ลิปตพัลลภ


แต่อนิจจา ถูกเติ้ง เสี่ยวหาร พี่บรรหารที่ผมรู้จัก บรรหาร ศิลปอาชา ใช้กำลังภายในปาดหน้าคว้าตัวน้องแบมไปเข้าพรรคชาติไทย เป็นข่าวเกรียวกราวทางการเมืองในเวลานั้น บรรหาร จะต้องเสียเงินเสียทองไปแค่ไหน ผมไม่รู้

อีกคนหนึ่งที่ เสธ. แอ๊ว หนุนสุดตัวก็คือ เสธ. หนั่น พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ แล้ว เสธ. แอ๊ว ก็ดึงนักการเมือง กำนันเซียะ ประชา โพธิพิพิธ มาเปิดตัวสนามเลือกตั้งใหญ่ จนได้เป็น ส.ส. กาญจนบุรี พรรคประชาธิปัตย์


นอกจากนั้นแล้ว เสธ. แอ๊ว ก็ยังสนิทสนมกับเครือข่ายของเจ้าพ่อวังน้ำเย็น เสนาะ เทียนทอง ตลอดเวลาที่อยู่ในแวดวงการเมือง เสธ. แอ๊ว วางตัวอย่างฉลาดลึกซึ้ง ไม่รับตำแหน่งการเมืองใดๆ ทั้งสิ้น แม้แต่ครั้งเดียว กำหนดตัวเองว่าเป็นคนที่เดินเกมอยู่เบื้องหลัง เกษียณราชการไปแล้วก็ยังมีตำแหน่งทางการเมืองอย่างไรปัญหา แต่ เสธ. แอ๊ว ไม่เอา ชีวิตส่วนตัวนั้นธรรมดา แต่เป็นคนสุขนิยม ชอบกินเหล้า ชวนพรรคพวกเพื่อนฝูง ทหารรูปหล่อ ชาติตระกูลดี ลูกชายเองก็หล่อ ลูกชายก็คือ พันตำรวจโท (ในยุคนั้น) นรบดี ศศิประภา อดีตสามีของลลิตา ปัญโญภาส ปัจจุบันแยกกันแล้ว


แต่ เสธ. แอ๊ว มีข้อดี คือ ในวงการนักเลง เป็นคนที่ไม่หักหลังคน และไม่ปฏิเสธที่จะช่วยเหลือคนเดือดร้อน ข้อเสียคือ ไอ้คนที่เดือดร้อนที่วิ่งมาหา เสธ. แอ๊ว นั้น ส่วนใหญ่แล้วเป็นคน Here ทั้งนั้น เสธ. แอ๊ว ก้เลยรู้สึกว่า มึงเดือดร้อนมา กูช่วย แต่ไม่ได้ดูว่ามัน Here หรือดี ท่านผู้ชมเข้าใจหรือยัง

เพราะฉะนั้นแล้ว ตัวพ่อจริงๆ ของการเริ่มมาเฟียทหาร ก็คือ เสธ. แอ๊ว นั่นเอง แม้กระทั่งคนอย่างนายอ้อน ไชยา สะสมทรัพย์ นักการเมืองบ้านใหญ่นครปฐม ผู้ล่วงลับไปแล้ว ก็เป็นคนที่ถูก เสธ. แอ๊ว ดูแลมา ไปถึงภาคเหนือ อุดรพันธ์ จันทรวิโรจน์ หรือพ่อเลี้ยงอี๊ด ที่อยู่เชียงใหม่ อดีตนายก อบจ. เชียงใหม่ ผู้ร่วมก่อตั้งสโมสรฟุตบอลเชียงใหม่ ก็เป็นคนของ เสธ. แอ๊ว แต่เพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อ 2563

อุดรพันธ์ จันทรวิโรจน์
เมื่อมองย้อนกลับไปแล้ว เขาเป็นเจ้าพ่อ แล้วไม่เคยต้องคดีอาชญากรรมใดๆ ทั้งสิ้น ไม่แม้แต่ตกเป็นข่าวลือ หรือสงสัยการก่อคดีอุกฉกรรจ์ในแบบเจ้าพ่อรายอื่นๆ ไม่เคยถูกล่าสังหาร ไม่เคยเลือดตกยางออก จนวาระสุดท้าย ก็หลับไปอย่างสงบในที่นอน ในบ้านพักของตัวเอง สรุปแล้ว เสธ. แอ๊ว เป็นคนที่โชกโชนแต่ไม่โชกเลือด เขาเป็นเจ้าพ่อเหนือเจ้าพ่อ จบชีวิตด้วยมะเร็งต่อมลูกหมาก

รุ่นหลังๆ หลังจาก เสธ. แอ๊ว เกษียณแล้ว ก็มีทหารที่มีบทบาท ก็คือ พล.ท.สมชาติ หรุ่นศิริ เดินบนยุทธจักรเหมือนกัน อยู่ในวงการมวยและสนามม้า ท่านผู้ชมครับ วงการมวย และสนามม้า ถ้าไม่มีมาเฟียทหาร หรือว่าคนที่มีอำนาจบารมีในยุทธจักรแล้ว คุมไม่ได้หรอก


พอมาถึงยุคตอนที่สอง เป็นยุคหลังจากที่ เสธ. แอ๊ว สิ้นชีวิตไปแล้ว ก็คือ เสธ. ไอซ์ พล.อ.ไตรรงค์ อินทรทัต เจ้าพ่อมาเฟียม้า เจ้าพ่อรัชดา

เสธ.ไอซ์ เสียชีวิตไปเมื่อ 2559 อายุ 67 ปี เป็นมาเฟียทหารรุ่นหลัง เสธ. แอ๊ว มีวิถีทางที่คล้ายกัน มีอิทธิพลสายทหารในยุทธจักรนักเลงเหมือนกัน ระดับความกว้างขวางก็ไม่น้อยกว่ากัน ยังเข้าไปมีบทบาททางการเมืองด้วย


เสธ. ไอซ์ ตอนที่มีบทบาทสูงมาก ไปเป็นมือเป็นไม้ให้กับทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่นเดียวกัน รุ่น 10 เดินทางเข้า-ออกทำเนีนยบฯ เป็นว่าเล่น


เสธ. ไอซ์ แสดงตัวชัดเจน ต่างจาก เสธ. แอ๊ว เป็นนักการพนัน นักเสี่ยงโชค เข้าบ่อนการพนัน เล่นม้า ยอมรับออกสื่ออย่างไม่มีปิดบัง มีคนกว้างขวางในวงการม้าแข่ง เป็นเจ้าของคอกม้าชื่อ อัศวโยธิน

เสธ. แอ๊ว ถึงจะมีลูกน้องอยู่ในสนามมวย สนามม้า แต่ เสธ. แอ๊ว ไม่เคยย่างกรายเข้าไปในสนามมวย สนามม้า เลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่ เสธ. ไอซ์ นี่ตรงกันข้าม

ยุคทองของ เสธ. ไอซ์ คือช่วงที่ผงาดขึ้นมา แล้วเป็นเจ้าพ่อถนนรัชดา มีอิทธิพลเก็บค่าคุ้มครองจากผับ ดิสโก้เธค คอกเทลเลานจ์ คาราโอเกะ ตลอดถนนรัชดาทั้งสาย ในยุคนั้นคลับต่างๆ ที่อยู่ถนนรัชดา จะมี รปภ. ชุดซาฟารี คอยดูแลความปลอดภัย ล้วนแล้วแต่เป็นทีมทหารมาเฟีย

เครือข่ายของ เสธ. ไอซ์ อีกประการหนึ่ง คือ รับจ้างทวงหนี้ ชอบเข้าไปไกล่เกลี่ยปัญหาและความขัดแย้ง ซึ่งทุกคนก็จะเกรงใจ ยอม

ถ้าเปรียบมวยระหว่าง เสธ. แอ๊ว กับ เสธ. ไอซ์ เสธ. แอ๊ว วางตัวโลว์โปรไฟล์ เสธ. ไอซ์ มีภาพมาเฟียทหารลอยเด่นชัด

ก่อนเสียชีวิต เสธ. ไอซ์ ได้เสพยาปลุกประสาทจนติด ผมไม่ทราบว่ายาที่ปลุกประสาทนั้นคือยาอะไร มีข่าวลือตลอดเวลาว่า เสธ. ไอซ์ อยู่เบื้องหลังคดีอาชญากรรมหลายคดี ไม่ว่าจะเป็นคดีชิงความเป็นใหญ่ในสนามม้า คดีทางการเมือง เสธ. ไอซ์ ห่างจาก เสธ. แอ๊ว 10 ปี น่าเกรงขาม ดุดัน แต่เขาเป็นคนที่มีชาติตระกูลดี มีเชื้อเจ้า


แม่ชื่อ หม่อมหลวง กันยกา สุทัศน์ ณ อยุธยา พ่อชื่อ พ.ต.โผน อินทรทัต เป็นเสรีไทยยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 คุณปู่ของ เสธ. ไอซ์ ก็คือ พันเอกพระยาพิชัยภูเบนทร์ เป็นข้าราชบริพารของรัชกาลที่ 6 คุณตาคือ พลโท หม่อมราชวงศ์ สิทธิ์ สุทัศน์ ซึ่งเป็นสมุหราชองครักษ์ในรัชกาลที่ 7 ปู่และพ่อเป็นคนที่มีชื่อเสียง เป็นศักดินาเต็มตัว แต่ เสธ. ไอซ์ เลือกมาเดินทางสายบู๊ลิ้ม

ในช่วง เสธ. ไอซ์ ยิ่งใหญ่นั้น บางครั้งเขาก็ถูกทาบบารมีในความเป็นใหญ่ เจ้าพ่อม้าแข่งที่มาแรงในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ชื่อ ไฝ ประตูน้ำ หรือชื่อจริงคือ จิระ กวินวัฒน์ เจ้าของคอกม้ากวินวัฒน์ นักพนันขาใหญ่ในวงการ ที่สำคัญคือ เป็นมือขวาของ ป. ประตูน้ำ หรือ ไพรจิตร ธรรมโรจน์พินิจ เจ้าพ่อบ่อนเมืองกรุงคนดัง


ไฝ ประตูน้ำ เป็นคนที่อยู่เบื้องหลังคดีสะท้านเมือง 2527 สามสิบกว่าปีแล้ว เขารับงานจ้างมือปืนฆ่านายพิชัย กิจพานิช โด่งดังในวงการหนังไทย วงการนักท่องราตรี ในนามของใครรู้ไหมท่านผู้ชม ถ้าท่านผู้ชมอายุมากพอ จะจำได้ เสกสรร สัตยา เป็นพระเอกหนักเพลย์บอย เป็นเซียนสนุ้กเกอร์มือดี นักพนันมือหนัก เป็นเจ้าของคาร์เทียร์ มิลเลี่ยนแนร์คลับ ย่านชิดลม มือปืนใช้ 11 มม. ยิงเสกสรร สัตยา 4 นัดซ้อน กำลังจะก้าวขึ้นรถโรลส์รอยซ์ ท่านผู้ชม สมัยนั้นเสกสรร ใช้รถโรลส์รอยซ์ เสียชีวิตที่ลานจอดรถใต้ตึก


2527-2536 ไฝ ประตูน้ำ ก่อปมขัดแย้งกับเจ้าพ่อม้าแข่งรายหนึ่ง ในฐานะที่เป็นโต๊ะเถื่อนคู่ขากัน ไฝ ประตูน้ำ ไปหักเจ้าพ่อม้าแข่งรายหนึ่ง ซึ่งเจ้าพ่อม้าแข่งคนนั้นเป็นเด็กของ เสธ. ไอซ์ หลังจากการแข่งม้าจบ 1 วัน ไฝ ประตูน้ำ ถูกมือปืนดักยิงที่สนามม้าราชกรีฑาสโมสร ขณะเดินออกจากสนามม้าพร้อมมือปืนคุ้มกัน ไฝ ประตูน้ำ ถูก 11 มม. เจาะก้านคอตาย

นับตั้งแต่นั้นมา สายนักเลงทุกสายสดุดีและซูฮกให้กับ เสธ. ไอซ์ ให้เป็นผู้ยิ่งใหญ่ในสนามม้าแบบไร้คู่แข่ง

ในทางสืบสวน คนจัดหามือปืนมาสังหาร ไฝ ประตูน้ำ คือ หมึกเพชร สังวาล บุญพรหม ซึ่งถือว่าเป็นมือปืนพระกาฬที่เคยติดตามคุ้มกันแคล้ว ธนิกุล พอสิ้นนายเก่าที่ถูกฆ่าตาย หมึกเพชร ก็ย้ายค่าย มาทำงานรับใช้มาเฟียที่มีสีแทน คือสีเขียว

ต่อมา ตำรวจนครบาลวิสามัญฆาตกรรม 2 มือปืนเมืองเพชร ชื่อ บุญยัง กลัดเข็มทอง หรือ ไอ้เพชร และสะอาด จิตบันเทิง ที่มีหมายจับติดตัว ร่วมกันสังหาร ไฝ ประตูน้ำ

ไฝ ประตูน้ำ ถูกลบชื่อออกจากสารบบคนเป็นในปี 2536 ยังไม่จบแค่นั้นนะท่านผู้ชม ยังมีคดีสะเทือนขวัญในปีรุ่งขึ้น ปี2537 เรียกว่าคดี อุ้ม เสธ. เฟ่ย

ท่านผู้ชมครับ คนโบราณพูดว่า เหนือฟ้ายังมีฟ้า เสธ. เฟ่ย คือ พ.ต.เฟื่องเฉลย จารุวัสตร์ เสนาธิการกองทัพน้อย 1 กองบัญชาการทหารบก เป็นดาวรุ่งในเส้นทางมาเฟียทหาร พร้อมลูกทีม ประกอบด้วย ร.ท.ชวลิต เดชณรงค์ ร.ท.ชรัส รู้แผน ส.อ.วิชัย ชมภูนาค ทั้งสามคนนี้สังกัดกรมสารวัตรทหารบก พฤษภาคม 2537 ทหารทั้งสี่นายถูกอุ้มหายสาบสูญอย่างไร้ร่องรอย พร้อมรถเก๋งพาหนะ 1 คัน รับจ๊อบไปทวงหนี้พนัน 10 ล้านบาท จากไฮโซหนุ่มในแวดวงบันเทิง ที่บ้านพักย่านสุขุมวิท ซอย 30 แหล่งข่าวว่า เดินเข้าไปทวงหนี้ แต่ไปติดกับดักซึ่งเขาวางเอาไว้ ก็เป็นที่เข้าใจว่า คนที่วางเอาไว้ก็คือสายของ เสธ. ไอซ์ นั่นเอง ตำรวจจับใครไม่ได้ เพราะว่าศพยังหาไม่เจอเลย เป็นคดีที่ตำรวจกระซิบกันว่า งานนี้ทหารเก็บทหาร

ท่านผู้ชมครับ เราพูดถึงมาเฟียทหารที่มียศนายพล แต่ท่านผู้ชมครับ ยศนายร้อยก็มี ฉายา "ตู่ ติงลี่" หรือ ร.อ.เมตตา เต็มชำนาญ มีฐานที่มั่นแถวบ่อนประตูน้ำ ซึ่ง ตู่ ติงลี่ นั้นเป็นเด็กของ เสธ. แอ๊ว


ตู่ ติงลี่ รับใช้เสี่ยคนหนึ่งชื่อ โหงว เอ็กซ์โอ ผู้ประกอบการจิบเหล้าหรูเอ็กซ์โอทั้งวัน โหงว เอ็กซ์โอ ทำธุรกิจบ่อนและปล่อยเงินกู้ ตู่ ติงลี่ ได้รับจ๊อบงานอารักขาคุ้มครองความปลอดภัยให้คนที่มาว่าจ้าง แต่ตู่ ติงลี่ ค่อนข้างจะซอฟต์ และอยากเล่นการเมืองมากกว่า

ย้อนกลับไปชีวิตของ เสธ. ไอซ์ คนโตย่านรัชดา-สนามม้า ตายด้วยโรคติดเชื้อในกระแสเลือดเมื่ออายุได้ 67 ปี แต่ เสธ. ไอซ์ ไม่ได้จากไปเฉยๆ ทิ้งมรดกชิ้นสำคัญไว้เป็นขาใหญ่วงการเมืองไทยในเวลานี้ ชื่อ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ลูกน้องคนสนิทของ เสธ.ไอซ์ นั่นเอง


ท่านผู้ชมครับ ยังมีมาเฟียทหาร อย่างเช่น ผู้พันตึ๋ง เสธ. ยอด พล.ต.อินทรัตน์ ยอดบางเตย ซึ่งรายละเอียดเยอะมาก ผมไม่เล่าก็แล้วกัน ผมกระโดดข้ามมาที่ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า แมวเก้าชีวิต

มาเฟียทหารที่ก้าวเข้าสู่สนามทางการเมือง มรดกที่ เสธ. ไอซ์ ทิ้งเอาไว้ พล.อ.ไตรรงค์ อินทรทัต ทิ้งไว้เป็นขาใหญ่ทางการเมือง คือลูกน้องคนสนิท ชื่อ เสธ. นัส ร.อ.ธรรมนัส สมัยก่อนชื่อ ร.อ.มนัส กลายเป็น ธรรมนัส พรหมเผ่า อดีตเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ และอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กำลังเป็นประเด็นงัดข้อกับบิ๊กตู่ นายกรัฐมนตรี ถึงขั้นเหิมเกริมยกพวก 22 คน ออกจากพรรคพลังประชารัฐ สู่พรรคใหม่


ร.อ.ธรรมนัส ปีนี้อายุ 56 ปี เป็นคนพะเยา พ่อชื่อ อินจันทร์ พรหมเผ่า อายุ 77 ปี แม่ชื่อ นางปิ๋ว พรหมเผ่า เสียชีวิตไปแล้ว จบโรงเรียนเตรียมทหารรุ่น 25 และจบโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า รุ่น 36 รุ่นเดียวกับ พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม จบปริญญาโททางพุทธศาสนา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย จบศิลปศาสตรบัณฑิต รัฐศาสตร์ รามคำแหง ปริญญาเอกดุษฎีบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยในประเทศสหรัฐอเมริกา

เมื่อเทียบกัน น้ำหนักต่อน้ำหนัก กิโลฯ ต่อกิโลฯ ไม่ว่าจะ เสธ. ไหนๆ ก็ไม่มีใครมีประวัติที่เปรอะเปื้อนโชกโชนเท่า เสธ. นัส ร.อ.ธรรมนัส เขาผ่านมาหมดแล้ว ทั้งคุกตะรางในไทยและต่างประเทศ เคยต้องคดีฆาตกรรม คดีค้ายาเสพติดข้ามชาติ ในช่วงเวลาของการไต่เต้าบนถนนมาเฟีย โดนปลด โดนถอดยศจากคดีร้ายแรง แต่ก็สามารถกลับเข้ารับราชการทหารใหม่ ตายยากตายเย็น ราวกับแมวเก้าชีวิต

เรื่องที่เขากำลังโด่งดังอยู่ในขณะนี้ คือเรื่องของการที่เขาถูกขุดค้นประวัติต่างๆ ตั้งแต่สมัยที่เขาเป็นทหาร และมีชีวิตที่โชกโชนมาก

ร.อ.ธรรมนัส ซึ่งตอนนั้นใช้ชื่อว่า พชร พรหมเผ่า ถูกกล่าวหาในคดีฆาตกรรมนายพูลสวัสดิ์ จิราภรณ์ ที่อ้างตัวว่าเป็นด็อกเตอร์ไฮโซ เป็นนักวิชาการประจำ TDRI


จบการศึกษาระดับปริญญาเอกจากเมืองนอกในวัยยี่สิบต้นๆ ด็อกเตอร์ไฮโซชะตาขาดเมื่อถูกแก๊งมาเฟียทหารจับได้ว่าเป็นแค่ด็อกเตอร์กำมะลอ พยายามมาเดินร่วมกับแก๊ง มาหยิบยืมเงินจากขาใหญ่สีเขียว แล้ววันหนึ่งในผับใหญ่บนถนนรัชดา นายพูลสวัสดิ์ ถูกกลุ่มทหารเกเรกักขังหน่วงเหนี่ยวไว้ที่โต๊ะกินเหล้า มีการตบต่อยนายพูลสวัสดิ์ อยู่พักใหญ่ ไม่มีใครสามารถทราบ ในที่สุดนายทหารเกเรนั้นก็เลยหิ้วนายพูลสวัสดิ์ ออกจากผับ แล้วกลายเป็นศพถ่วงแม่น้ำกับรถเก๋งที่ภาคอีสาน แต่ว่าตำรวจในขณะนั้นก็สืบคดีแล้วออกหมายจับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ในวันนั้นนั่นเอง


แต่ในที่สุดแล้ว ปี 2541 หลังจากที่ไปอยู่ในคุกพักหนึ่ง 2547 คดีจึงสิ้นสุดลง โดยศาลยกฟ้อง เขาไร้มลทินทางคดีตั้งแต่นั้นมา อันนี้ต้องยอมรับว่าความแข็งแกร่งขององค์กรมาเฟียทหารเป็นการถอดยศ ร.ท.พชร พรหมเผ่า (ชื่อและยศขณะนั้น) ในที่สุดแล้ว เมื่อพ้นคดีแล้ว กระทรวงกลาโหมก็เลื่อนยศจากร้อยโท เป็นร้อยเอกแล้ว นอกจากไม่ถูกถอดยศแล้ว ยังได้เลื่อนยศ

2534 เขาถูกปลดออกจากราชการครั้งแรก ขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชา 2536 ถูกปลดจากราชการอีกหน หนีราชการในเวลาประจำการ แต่ว่า ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เป็นคนที่มีกำลังภายในสุดยอด สามารถทำเรื่องขอกลับเข้ารับราชการได้ทั้งสองครั้ง หลังจากที่เขาชนะคดีสังหารด็อกเตอร์กำมะลอแล้ว ในปี 2547 ร.อ.ธรรมนัส ไม่เอาแล้วชีวิตทหาร ไปศึกษาเรียนจบด็อกเตอร์จากประเทศอเมริกา ซึ่งก็เป็นด็อกเตอร์ที่ทุกคนกังขา เพราะสถาบันที่ได้นั้นถูกขุดคุ้ยว่ามีปัญหาในเรื่องมาตรฐาน


ร.อ.ธรรมนัส เป็นคนที่มีวิสัยทัศน์ยาว รู้ว่าตัวเองถ้าอยู่ในวงการทหารแบบเดิมๆ นั้น ก็คงจะมีจุดจบที่ไม่ดี ก็เลยก้าวเข้ามาสู่การทำธุรกิจ มีฐานะร่ำรวยแล้วก็ทำให้เกิดสะพานทอดไปสู่การเมือง จากการเมืองท้องถิ่น จ.พะเยา สู่การเมืองระดับชาติ ทะยานขึ้นไปสู่ระดับรัฐมนตรี ร.อ.ธรรมนัส เป็นรุ่นเดียวกับ พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม มีเพื่อนร่วมรุ่นคนหนึ่งชื่อ พ.ท.หิมาลัย ผิวพรรณ หรือที่เขาเรียกว่า เสธ. หิ ซึ่งเพื่อนสนิทสองคนนี้ วันนี้ไม่ถูกกันแล้ว เพราะ เสธ. หิมาลัย นั้นเป็นคนที่ยืนอยู่ข้างบิ๊กตู่ บิ๊กตู่เรียกมาใช้งานเพื่อคานกับธรรมนัส พรหมเผ่า เสธ. หิ เคยโดนติดคุกยาวคดีรับจ๊อบ หรือบาร์เบียร์ย่านสุขุมวิท ให้กับ ... ไม่ใช่ใครที่ไหน คือ ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ พอ เสธ.หิ ออกจากคุกปั๊บ ร.อ.ธรรมนัส ก็เอามาใช้งาน

พ.ท.หิมาลัย ผิวพรรณ
ร.อ.ธรรมนัส เคยเปิดบริษัทรักษาความปลอดภัย ร่วมหุ้นกับลูกพี่ คือ เสธ. ไอซ์ พล.อ.ไตรรงค์ อินทรทัต

ท่านผู้ชมครับ ยังมีเรื่องราวอีกมากมาย แต่เวลามันหมดแล้ว เรื่องราวที่ผมเล่าให้ฟังทั้งหมดเกี่ยวกับเรื่อง "ทหารสีเทา มาเฟียสีเขียว" มีข้อคิดที่น่าสนใจ หลายสิบปีที่ผ่านมา หลายคนอาจจะเรียกตัวเองว่าเป็นมาเฟีย แต่ท่านผู้ชมสังเกตไหมว่า มาเฟียที่อยู่ยงคงกระพันที่สุด มีการสืบทอดทายาทอสูรจากรุ่นสู่รุ่น คงไม่พ้นมาเฟียที่เกี่ยวพันกับทหาร เกี่ยวพันกับอำนาจกองทัพ พวกมาเฟียทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ ที่ไปกินเหล้าแล้วกร่าง กินฟรี ทะเลาะเบาะแว้ง อ้างคนโน้นคนนี้ พวกนี้เขาเรียกว่า อันธพาลชั้นปลายแถว มาเฟียทหารจะรุ่งเรือง จะยิ่งใหญ่ได้ หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องมีอำนาจรัฐคอยหนุนหลัง

แคล้ว เสธ. แอ๊ว ก็มี พล.อ.อาทิตย์ กำลังเอก กำนันเป๊าะ ก็มี จปร. รุ่น 5 คือ บิ๊กจ๊อด พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ พอแคล้ว ตายไป ภายใต้ปีก เสธ. แอ๊ว ก็มี เสธ. ไอซ์ เกาะอยู่ใต้ปีกของนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 10 ที่ชื่อ ทักษิณ ชินวัตร ต่อมาภายใต้ปีกของ เสธ. ไอซ์ ก็เกิดผู้กองนัส


สำหรับ ร.อ.ธรรมนัส นั้น เนื่องจากยศยังน้อย วัยวุฒิยังต่ำ ถูกให้ออกจากราชการตั้งแต่ยังเด็ก ผู้ใหญ่ในกองทัพส่วนใหญ่ไม่เอา เมื่อซมซานกลับมาจากออสเตรเลียก็มาซุกภายใต้ปีก เสธ. ไอซ์ โดยผู้กองนัส เป็นคนใจถึง พร้อมทำทุกเรื่อง ในเรื่องธรรมดาๆ ที่ระดับนั้นไม่ทำกัน ผู้กองธรรมนัส ถือเป็นมาเฟียทหารคนแรกๆ เลย ในประวัติศาสตร์ ที่ก้าวออกจากมุมมืด คนอื่นๆ มักจะเป็นกองกำลังหรือกองหนุนของกลุ่มการเมืองมากกว่า ผู้กองธรรมนัส กระโจนเข้าสู่สนามการเมืองอย่างเต็มตัว ยังกล้าท้าทายอำนาจรัฐ ซึ่งกล้างัดข้อกับบุคคลระดับนายกรัฐมนตรีในปัจจุบัน และกำลังสร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วประเทศ และสังคมการเมืองเมืองไทย

ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า คือคนที่โตมาจากสายมาเฟียทหาร แต่ก้าวมาสู่ทางการเมือง และมีศักยภาพทางการเมืองที่สูงมาก เป็นคนที่ต้องจับตาดูอยู่อย่างใกล้ชิด

วันนี้ผมเพียงแต่เอาน้ำจิ้มมาเล่าให้ฟัง จริงๆ แล้วมีรายละเอียดอีกเยอะมาก แต่เวลาไม่ให้ รอให้ผมพิมพ์หนังสือเล่มนี้ออกมา ก็จะเป็นครั้งแรกที่ท่านผู้ชมและสังคมจะได้รับรู้ ว่าใครเป็นใคร ที่ไหน มีแม้กระทั่ง ผมเคยถูกแคล้ว ธนิกุล ขู่ฆ่า แต่ในที่สุดแล้ว แคล้ว ธนิกุล ก็ถูกฆ่าไปก่อนที่เขาจะมาฆ่าผม นี่คือตำนานอีกส่วนหนึ่งในชีวิตผมที่ไม่เคยเล่าให้ใครฟัง ท่านผู้ชมครับ วันนี้พอเพียงแค่นี้ก่อน หวังว่าคงจะสนุกสนานกับการเล่าเรื่องของผมในอาทิตย์นี้ สวัสดีครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น