xs
xsm
sm
md
lg

[คำต่อคำ] SONDHI TALK : END GAME มันจบแล้วนาย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



วันนี้ที่ 21 ม.ค.65 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ไลฟ์สด “SONDHI TALK” ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ คุยทุกเรื่องกับสนธิ ช่องยูทูป Sondhitalk และแอปพลิเคชัน Sondhi App โดยประเด็นที่จะเล่าในวันนี้เป็นเรื่อง END GAME มันจบแล้วครับนาย เมื่อ “น้องตู่” ขอมา “พี่ป้อม” เลยจัดให้ ขับ “ธรรมนัส” ออกจากพรรค ทางลงหลังเสือของ “ลุงตู่” ต่อไปจะเป็นอย่างไร

เรื่อง “กัญชา” สมุนไพรหรือยาเสพติด วันนี้ประชาชน “ปลูกกัญชา” ได้หรือยัง? และเบื้องหลังใครขวางกัญชา

เรื่อง เงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่กองเชียร์ "ลุงตู่" พากันอวดว่าประเทสไทยมีมากเป็นอันดับ 13 ของโลก สะท้อนถึงฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง แต่ในความเป็นแล้วเป็นเช่นนั้นหรือไม่

และเรื่องประกันโควิด “เจอ จ่าย จบ” กลายเป็น “เจอ จ่าย เจ๊ง” การเอาเปรียบของพ่อค้าหน้าเลือด ที่ประชาชนต้องรับกรรมติดตามได้ใน SONDHI TALK : ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง Ep.121



คำต่อคำ SONDHI TALK [21 ม.ค. 65] : END GAME มันจบแล้วนาย

ช่องทางการรับชมรับฟัง "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" หรือ SONDHI TALK
แอปพลิเคชัน : SONDHI APP (ทั้งระบบ iOS และ Android)
เฟซบุ๊กแฟนเพจ : คุยทุกเรื่องกับสนธิ
YouTube : Sondhitalk
เว็บไซต์ : www.sondhitalk.com
Podcast หรือ podbean : SONDHI TALK

สวัสดีครับท่านผู้ชม วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2565 อีกไม่เกิน 10 วัน ก็จะหมดเดือนมกราคมแล้ว เวลาผ่านไปเร็วมาก

วันนี้จะมีหลายเรื่องพูดให้ท่านผู้ชมฟัง แล้วก็เรื่องที่ฮอตที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องการเมือง แต่ขออัปเดตเรื่อง Sondhi App นิดหนึ่งครับ ท่านผู้ชมดาวน์โหลดแอปฯ กันไปหรือยัง หลายท่านก็ดาวน์โหลดไปแล้ว สำหรับท่านที่ยังไม่ได้ดาวน์โหลด และถ้าไม่สนใจที่จะเป็นสมาชิก ก็ไม่เป็นไร ไม่จำเป็นต้องดาวน์โหลด แต่ตอนนี้เราเริ่มเอาเรื่องต่างประเทศ World Talk ซึ่งมีคุณแอ้ม สโรชา พรอุดมศักดิ์ อาจารย์สุดาทิพย์ จารุจินดา อินทร คุณนงวดี ถนิมมาลย์ คุณอุษณีย์ เอกอุษณีย์ มาดำเนินรายการ และลงในแอปฯ แล้ว และไลฟ์

นอกจากนี้ ยังมีรายการของคุณนพรัฐ พรวนสุข "ข่าวลึกปมลับ" "ถอนหมุดข่าว" ซึ่งครบทั้งมิติทางการเมืองและสังคม ทั้งหมดนี้ ในช่วงนี้เราจะลงทั้งในเฟซบุ๊ก และใน "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" และใน Sondhi App แต่ต่อไป หลังวันที่ 1 มีนาคม ไปแล้ว เราจะลงเฉพาะในแอปพลิเคชันเท่านั้น เราจะไม่เอามาลงในเฟซบุ๊ก รวมทั้งหลายรายการ ซึ่งกำลังเตรียมตัวอยู่ จะเป็นการเปิดชีวิตของผม สนธิ ลิ้มทองกุล ตั้งแต่เด็ก เรียนหนังสือมา เป็นช่วงๆ เรียนหนังสือมาจนกระทั่งไปจบปริญญาตรี ปริญญาโท ที่ต่างประเทศ แล้วอีกช่วงหนึ่งกลับมาถึงเมืองไทยแล้วทำงานอะไรบ้าง แล้วก็ต่อไปอีกช่วงหนึ่ง ทั้งหมดมี 4-5 ช่วง ซึ่งจะค่อยๆ ทยอยลงไป ซึ่งจะลงเฉพาะใน Sondhi App เท่านั้น จะไม่ลงในเฟซบุ๊ก ถ้าท่านผู้ชมสนใจประวัติ และสนใจประสบการณ์การทำงานและปรัชญาการใช้ชีวิต ก็เข้ามาดูใน Sondhi App ได้


ท่านผู้ชมครับ อย่างที่ผมบอกว่ารายการวันนี้ ทีเด็ดของผมก็คือเรื่องการเมือง จริงๆ ก็คือการก่อกบฏของ "คนแบกเสลี่ยง" ท่านผู้ชมเข้าใจคำว่า "เสลี่ยง" ไหมครับ หลายท่านอาจจะไม่เข้าใจ เสลี่ยง คือ แคร่หามที่มีคนนั่งอยู่บนเสลี่ยง คือจะเก็บเอาไว้สำหรับผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ หรือหลักๆ ยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือการแบกพระเจ้าแผ่นดินในพิธีกรรมต่างๆ

คนแบกเสลี่ยง ของพรรคพลังประชารัฐ ขับก๊วนธรรมนัส พ้นพรรค ก็คือพูดง่ายๆ ว่าเป็นความประสงค์ของลุงตู่เขา แต่ในที่สุดแล้ว ลุงป้อมก็จัดให้จริงๆ จัดให้อย่างไร ? รับรองท่านผู้ชมคงอึ้งเมื่อฟังแล้ว เรื่องนี้ผมเคยพูดไปหลายครั้งแล้ว แล้วจะทบทวนให้ฟังว่าสิ่งที่ผมพูดนั้น ไม่ได้ผิดเพี้ยนไปเลย

เรื่องที่สอง คือเรื่องโควิด "เจอ จ่าย จบ" ของบริษัทประกันภัย แล้วก็สันดานเอาเปรียบของเจ้าของบริษัทประกันภัย เพราะว่ากลายเป็น "เจอ จ่าย ไม่จบ" แต่เจ๊งแทน แต่ปัญหาก็คือว่า เคราะห์กลับมาตกที่ประชาชนผู้ซื้อประกัน เป็นอย่างไร มิติความคิดเป็นอย่างไรในเรื่องนี้ ติดตามผมมาก็แล้วกัน

เรื่องที่สาม คนพูดกันมามากในเรื่องของทุนสำรอง ตัวเลขทุนสำรอง หลายคนก็บอกว่าเมืองไทยไม่มีปัญหาอะไร เพราะทุนสำรองนั้นแข็งแกร่งมาก เรามีทุนสำรองอยู่มากมาย 8.2 ล้านล้านบาท แต่ผมจะเอาอีกด้านหนึ่งของทุนสำรองมาให้ดูว่าจริงๆ แล้วคนที่พูดแบบนั้นยังมองปัญหาไม่ครบวงจร มองแค่ด้านเดียวเท่านั้นเอง ยังมีอีกด้านหนึ่งของทุนสำรองที่ชี้แจงว่า ทุกวันนี้ยิ่งมีทุนสำรองมากขึ้น ยิ่งแสดงถึงความบริหารงานไม่เป็นของประเทศชาติ แล้วเป็นอย่างไร ? ตามมา

อีกอันหนึ่งก็คือเรื่องวิกฤตโควิด มันมีผลต่อการทำให้คนลาออกจากงานเยอะมาก นอกจากนั้นแล้ว ยังลามปามไปจนถึงเด็กที่ไม่เรียนต่อระดับอุดมศึกษา ไม่ใช่เฉพาะในประเทศไทย ในต่างประเทศเยอะมากมาย และจะต้องลามมาถึงประเทศไทยอย่างแน่นอนที่สุด

อีกเรื่องหนึ่ง คือเรื่องกัญชา ซึ่งเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อ มันกลายเป็นเรื่องขุมทรัพย์ของปวงชน กับ ยาเสพติดทางการเมือง ว่ามันเป็นอย่างไร ทำไมถึงคัดค้านกัญชากันเหลือเกิน ผมเอาเบื้องหน้าเบื้องหลังมาเล่าให้ท่านผู้ชมฟัง แล้วก็มีข้อเสนอแนะหลายอย่าง

เรื่องสุดท้าย คือคนแบกเสลี่ยง กบฏ คนนั่งเสลี่ยง ไม่ยอมแบกให้คนนั่งเสลี่ยงอีกต่อไป เพราะเจ็บใจ เจ็บแค้น เจ็บใจอย่างไร เจ็บแค้นอย่างไร ตามผมไปชมครับ
.


ท่านผู้ชมครับ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีข่าวออกมาในหน้าโซเชียลมีเดีย แล้วก็ตามหน้าข่าวสำนักข่าวต่างๆ มาพักหนึ่งแล้ว แต่ผมคิดว่าเรื่องนี้ผมไม่พูดไม่ได้หรอก เพราะว่าผมทนไม่ได้ เรื่องอะไร ? "โควิด เจอ จ่าย จบ" ท่านผู้ชมคงจำได้ใช่ไหมว่าตอนที่โควิดเริ่มระบาด บริษัทประกันทั้งหลายเห็นขุมทองอยู่ข้างหน้า เก็งว่าโควิดคงจะอยู่ได้ไม่นาน ก็เลยออกนโยบาย กรมธรรม์ที่เรียกว่า "เจอ จ่าย จบ" ประมาณต้นปี 2563 สถานการณ์ในเมืองไทยมีผู้ติดเชื้อแค่ไม่ถึง 2 คน ต่อประชากร 1 ล้านคน ประกัน "เจอ จ่าย จบ" ก็เลยประสบผลสำเร็จ เพราะว่าเป็นประกันที่ตอบโจทย์ความกลัวของคน บริษัทประกันแห่ขายกัน บริษัทขายประกัน 16 แห่ง ทั้งหมด 40 ล้านกรมธรรม์ ในจำนวนนี้ประกันแบบ "เจอ จ่าย จบ" มีอยู่ 10 ล้านกรมธรรม์ เบี้ยประกันที่ต้องจ่ายต่อปี มีราคาย่อมเยา ตั้งแต่ 99 บาท 199 บาท 299 บาท ไปจนถึงหลักพันต้นๆ เงื่อนไขไม่ยุ่งยากอะไร ติดโควิด-19 จะได้รับสินไหมตั้งแต่หลักหมื่น ถึงหลักแสน ต่อราย


ผมเอาตัวอย่างให้ดูนะครับ "เจอ จ่าย จบ" คุ้มครองสูงสุด 2 แสนบาท ของอาคเนย์ ประกันโควิด-19 เจอ จ่าย จบ เบี้ยประกัน 260 บาท เท่านั้น ประกันไวรัสโคโรนา สินมั่นคงประกันภัย คุ้มครองสูงสุด 1 แสนบาท เจพี ประกันภัย คุ้มครองสูงสุด 1 แสนบาท เบี้ยประกัน 270 บาท ศรีสวัสดิ์ "เจอ จ่าย จบ" ประกันโควิด 1 แสนบาท กรุงเทพประกันภัย "เจอ จ่าย จบ" เบี้ย 699 บาท เจอโควิด 5 หมื่น ค่ารักษาพยาบาลอีก 5 หมื่น ถ้าโคม่า 5 แสนบาท

แต่พอมาปี 2564 เดือนเมษายน มันเกิดการระบาดของสายพันธุ์เดลตา ระบาดหนัก ระดับเกิน 2 หมื่นคนต่อวัน สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว แถมยังแถมด้วยมีของแถมจากสายพันธุ์ที่กลายพันธุ์ คือ โอมิครอน เมื่อ "เจอ จ่าย จบ" เลยต้องจ่ายเยอะหน่อย มีกรรมธรม์ทั้งหมด 41.63 ล้านฉบับ เบี้ยประกันรับไปแล้ว 1 หมื่นกว่าล้านบาท ยอดจ่ายค่าสินไหมทดแทน จ่ายไปแล้ว 37,800 ล้านบาท มากกว่าเบี้ยประกันประมาณ 3 เท่า

บริษัทประกันในตอนแรกไม่ได้คิดว่าจะมีการระบาดเร็วขนาดนี้ ก็เลยเจอลักษณะ "เจอ จ่าย จบ" กลายเป็น "เจอ จ่าย เจ๊ง" ไม่จบแล้วครับ เจ๊งเลย ลูกค้าที่ "เจอ จ่าย จบ" ก็เจอปัญหาบริษัทจ่ายเงินชดเชยล่าช้า ติดต่อบริษัทยาก โน่นนี่นั่น


ปรากฏว่าบริษัทประกันภัยสินมั่นคง เป็นบริษัทแรก ลุกขึ้นมาใช้สิทธิยกเลิกกรมธรรม์ดื้อๆ คนก็ด่ากัน วิพากษ์วิจารณ์กัน กรมธรรม์โควิดของสินมั่นคง 99 เปอร์เซ็นต์ เป็นกรมธรรม์ที่จะครบกำหนดในปี 2565 เดือนเมษายน ปีนี้ จะครบกำหนดและต้องจ่าย มันก็เลยทำให้ ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ ในฐานะเลขาธิการ คปภ. คือ คณะกรรมการกำกับส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย ก็เลยออกคำสั่งในวันที่ 16 กรกฎาคม เรื่อง ให้ยกเลิกเงื่อนไขการใช้สิทธิ์บอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยโควิด-19 สำหรับบริษัทประกันวินาศภัย สรุปง่ายๆ คือ คำสั่งฉบับนี้ไม่อนุมัติให้บริษัทประกันยกเลิกกรมธรรม์ ถ้าใครเคยมีสัญญากรมธรรม์กับลูกค้า จะต้องเป็นไปตามนั้น จนกว่าจะหมดสัญญา

ท่านผู้ชมครับ ในคำสั่งนี้ สำหรับบริษัทประกันแล้วก็คือใบมรณบัตร บริษัทหลายบริษัทเผชิญการขาดทุน ปัญหาสภาพคล่อง เพราะต้องการหาจำนวนเงินจำนวนมากมาจ่ายค่าสินไหม ในที่สุด บางบริษัทไปต่อไม่ไหว บางบริษัทยกธงขาว ปิดบริษัท บริษัทประกันที่ขาดทุนจนต้องปิดกิจการ มีสองรายแล้วตอนนี้ เอเชียประกันภัย 1950 และ บริษัท เดอะ วัน ประกันภัย บริษัทที่ขอมาตรการเสริมสภาพคล่องจากคณะกรรมการประกันภัย มี 2 บริษัท คือ สินมั่นคงประกันภัย และ ไทยประกันภัย

ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ
ตอนนี้มีอีกหลายบริษัทประสบปัญหาสภาพคล่องรุนแรง รวมไปถึงบริษัท อาคเนย์ประกันภัย และ ไทยประกันภัย ซึ่งสองบริษัทนี้ ช่วงหลังยื่นฟ้องศาลปกครอง คล้ายๆ ว่าขอให้ระงับ ยื่นฟ้องคุณสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย ว่า มีคำสั่งไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ศาลพิพากษาสองประเด็น ขอให้เพิกถอนคำสั่งนายทะเบียน ที่ 38/64 และข้อที่สอง ขอคุ้มครองชั่วคราว ไม่ให้คำสั่งนายทะเบียนที่ 38/2564 มีผลบังคับใช้เป็นการชั่วคราว ก่อนจะพิพากษาคดี หรือศาลจะมีคำสั่งพิพากษาเป็นอย่างอื่น ศาลปกครองกลางก็เลยเริ่มไต่สวนคดี

ประเด็นมันอยู่ตรงไหน ท่านผู้ชม ? ประเด็นคืออย่างนี้ ท่านผู้ชม ผมไม่พูดเรื่องกฎหมายล่ะ ผมพูดเรื่องความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ได้ของบริษัทประกันภัย

ท่านผู้ชมครับ เวลาท่านซื้อประกันอะไร สิ่งแรกที่ท่านจะต้องทำก็คือการจ่ายเบี้ยปะรกัน ใช่ไหม ผมเชื่อว่าใครซื้อประกันแล้วไม่จ่ายเบี้ยประกัน ไม่มี เพราะถ้าไม่จ่ายเบี้ยประกัน มันก็เป็นไปไม่ได้ที่บริษัทประกันจะรับผิดชอบในเรื่องราวที่ท่านเข้าไปประกัน แน่นอนที่สุด ทีนี้ พอท่านจ่ายเบี้ยประกันไปแล้ว สามัญสำนึก ด้วยเหตุด้วยผล และด้วยเจตนา นี่ไม่ต้องเอาข้อกฎหมายมาคิดเลย บริษัทประกันภัยต้องรับผิดชอบตามเงื่อนไขที่ท่านผู้ชมได้ไปประกัน ใช่ไหม เอ้า! ก็คุณขายประกัน ตอนนั้นพวกคุณไม่ได้คิดว่าโควิด-19 มันจะระบาดรุนแรงขนาดนี้ แล้วคุณขายไปทำไม ? คุณขายเพราะคุณจะตีหัวเข้าบ้านไง เพราะคุณเชื่อว่ามีคนติดเชื้อน้อย พอมีคนติดเชื้อน้อย คุณกำไรเหนาะๆ เท่าไร นี่คุณต้องคำนวณมาแล้ว ถ้าคุณไม่คำนวณออกมา พวกคุณไม่มีทางที่จะออก "เจอ จ่าย จบ" เพราะว่าการประกันภัยนั้น เมื่อประกันแล้ว ภาษาประกันเขาเรียกว่า สถิติที่จะบอกว่าถ้าประกันเท่านี้แล้ว จ่ายเบี้ยประกันไปเท่านี้ ยังจะเหลือกำไรเท่านี้


ท่านผู้ชม คดีนี้ไม่ซับซ้อนเลย เพราะว่าถ้าคุณสัญญาอะไรไว้อย่างไร ก็ต้องเป็นไปตามนั้นสิ คุณมีสิทธิ์ที่จะไม่รับลูกค้าใหม่ได้ บอกเลย จากนี้ไป "เจอ จ่าย จบ" ไม่มีแล้ว แต่คนที่เขาจ่ายเบี้ยประกันไป กรมธรรม์ของเขามีผล บอกเลิกกรมธรรม์ในช่วงวิกฤตนี้ เคยสัญญาว่าจะคุ้มครอง นี่ผมไม่เรียกว่าการเอาเปรียบประชาชนนะ ท่านผู้ชม นี่คือการ "ฉ้อโกงประชาชน"

บริษัทประกันไปยื่นฟ้องศาลปกครองให้ระงับคำสั่ง ประชาชนควรจะรวมตัวกัน ตั้งทนายมาแล้วไปยื่นฟ้องศาลอาญา ข้อหา บริษัทประกันฉ้อโกงประชาชน

คุณคาดการณ์ผิด คุณกะรวย แต่พอมันระบาดมากขึ้น คุณมองว่าคุณเจ๊งแน่ๆ เฮ้ย คุณโลภฉิบหายเลย คุณทำมาหากินกับความกลัวของประชาชน แล้วคุณไปจับประเด็นความกลัวของประชาชนเพื่อขายประกัน แล้วพอถึงเวลาที่คุณต้องรับผิดชอบ คุณดันไม่รับผิดชอบ แล้วคุณก็ไปอ้างว่าการยกเลิกสัญญาสามารถทำได้ด้วยข้อกฎหมายซึ่งเขียนไว้ในกรมธรรม์นี้ แต่ผมเชื่อว่าถ้าศาลอาญารับเรื่องนี้ไปแล้ว พิจารณาเหตุผลและพิจารณาเจตนาที่บริษัทประกันออกกรมธรรม์นี้ ก็เพราะว่าบริษัทประกันมั่นใจว่ามันจะไม่ระบาด แต่พอมันระบาดขึ้นมา มันไม่ใช่ความผิดของประชาชนใช่ไหมที่ซื้อเบี้ยประกัน มันเป็นความผิดของพวกคุณที่กะจะจับเสือมือเปล่า

เพราะฉะนั้นแล้ว การยกเลิกสัญญาโดยอาศัยข้อสัญญา คู่สัญญาอีกฝ่ายต้องผิดสัญญาในสาระสำคัญ ประชาชนไม่ได้ผิดสัญญานะท่านผู้ชม ผู้เอาประกันปิดบังข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการเจ็บป่วย หรือผู้เอาประกันไม่ส่งเบี้ยประกันภัย หรือจงใจทำให้ตัวเองเจ็บป่วย ก็เลยมีสิทธิ์เลิกสัญญา แต่มันไม่ใช่นี่ คอนเซปต์ง่ายๆ "เจอ จ่าย จบ" แต่พอ "เจอ จ่าย แล้วเจ๊ง" พวกคุณใส่ตีนหมาวิ่งหนีกันเลย แล้วตั้งมาทำไมบริษัทประกันแบบนี้ ผมรับไม่ได้จริงๆ ท่านผู้ชม

ถ้ามีคนประกันรถยนต์ แต่ปีหนึ่งเอารถยนต์ไปชน 10 ครั้ง อันนี้เจตนาไม่บริสุทธิ์ การเลิกสินไหมทดแทนสามารถจะยกเลิกประกันได้ พิจารณาเป็นรายบุคคล แต่ไม่ใช่บริษัทประกันเห็นท่าไม่ดี จ่ายค่าสินไหมเยอะจนขาดทุนก็จะยกเลิกหมด ท่านผู้ชมเห็นหรือยัง บริษัทประกันมันควรเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงเป็นที่น่าไว้ใจได้ แต่มาทำแบบนี้ท่านผู้ชมรับไหวไหม เลวไหมแบบนี้ โคตรเลวเลย ก็ออกมาทำไมกรมธรรม์แบบนี้ ถ้าออกมาแล้วไม่รับผิดชอบ นี่เจ๊งปิดบริษัทไปยังไม่พอนะท่านผู้ชม ต้องรวมตัวกันแล้วฟ้องล้มละลาย ฟ้องผู้ถือหุ้นด้วย ผมยุยงส่งเสริมให้ท่านผู้ชมปรึกษาทนายดู รวบรวมคนสัก 100 คน เซ็นมอบอำนาจให้ทนาย แล้วฟ้องศาลอาญาข้อหาฉ้อโกงประชาชน
.
ท่านผู้ชมครับ ท่านผู้ชมที่ติดตามข่าวสารบ้านเมืองมาตลอด ท่านผู้ชมเคยได้ยินคำนี้ไหม คำว่า ประเทศไทยไม่น่ากลัว เพราะเรามีเงินทุนสำรองอยู่เยอะมาก คิดตามอัตรา คิดตามอันดับที่จัดแล้ว เงินทุนสำรองของเราอยู่อันดับที่ 13 ของโลก ก็เลยพากันภูมิอกภูมิใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เชียร์รัฐบาลจนสุดลิ่มทิ่มประตู โดยที่ไม่ได้ดูข้อเท็จจริง ก็จะบอกว่า ไม่เป็นไร เรายังมีทุนสำรองอยู่ตั้ง 8.2 ล้านกว่าล้านบาท สบายมาก เงินบาทมันแข็งแกร่งมาก ถ้าไม่แน่จริงเงินบาทจะแข็งได้อย่างไร

ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล
ผมนี่มีข้อสงสัยเรื่องนี้มานานแล้ว และผมก็ดู ศึกษาของผมมา จนกระทั่งเมื่อวันอาทิตย์ที่ 16 มกราคม 2565 ผมได้อ่านเฟซบุ๊กของคุณธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ท่านเป็นอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง อดีตเลขาธิการสำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) รวมทั้งท่านเคยเป็นอดีตรองผู้ว่าฯ ธนาคารแห่งประเทศไทย ท่านได้โพสต์เฟซบุ๊กของท่านออกมา ผมจะสรุปคำพูดของท่านมาให้ฟังก็แล้วกัน คนที่รู้ข้อมูลที่แท้จริง ท่านตั้งคำถามอย่างนี้ ไม่ใช่ท่านตั้งหรอก ผมตั้งเองเมื่ออ่านข้อมูลแล้ว การที่ประเทศๆ หนึ่้งมีทุนสำรองเยอะ แสดงว่าเศรษฐกิจประเทศนั้นแข็งแกร่งจริงหรือเปล่า ท่านผู้ชมดูรูปที่ 1 มีคนโปรโมตว่าทุนสำรองทางการไทย ซึ่งปี 2564 เพิ่มเป็น 8.21 ล้านล้านบาท สะท้อนฐานะทางการเงินประเทศแข็งแกร่ง ท่านผู้ชมครับ นี่คือการมองปัญหาด้านเดียว มองเรื่องราวด้านเดียว


รูปที่ 2 จากวิกิพีเดีย ประเทศที่มีทุนสำรอง 13 อันดับแรก คือ จีน ญี่ปุ่น สวิส อินเดีย รัสเซีย ไต้หวัน ฮ่องกง เกาหลีใต้ ซาอุดีอาระเบีย สิงคโปร์ บราซิล เยอรมนี และประเทศไทย ท่านผู้ชมครับ อเมริกาเป็นเศรษฐกิจอันดับ 1 ของโลก และเป็นมหาอำนาจทางการทหารอันดับ 1 ยังอยู่ต่ำกว่าไทยเสียอีก มีทุนสำรองแค่อันดับ 14


รูปที่ 3 ท่านผู้ชมดูรูปที่ 3 จะเห็นว่าประเทศที่ร่ำรวย ก้าวหน้าทางการค้า เทคโนโลยีอื่นๆ เช่น ฝรั่งเศส อังกฤษ อิตาลี อิสราเอล เขามีความร่ำรวย ก้าวหน้าทางการค้า เทคโนโลยีอื่นๆ อันดับในเรื่องทุนสำรองของเขาต่ำกว่าไทยเสียอีก แม้กระทั่งธนาคารกลางยุโรป ที่มีทุนสำรอง ก็อยู่แค่อันดับที่ 32 อันนี้แปลว่าอะไร ? อันนี้แปลว่าปริมาณทุนสำรองที่คุยโม้โวโอ้อวดกัน มิได้สะท้อนให้เห็นพลังอำนาจทางเศรษฐกิจการค้า การเมือง และการทหารของโลก หรือสะท้อนฐานะการเงินของประเทศว่าแข็งแกร่งจริงหรือไม่ เพราะอะไร ? เพราะว่าเราต้องดูปัจจัยประกอบกัน


หนึ่ง ประเทศที่ปล่อยให้ค่าเงินของตัวเคลื่อนไหวเสรีตามสภาพตลาด ตลาดว่าอย่างนี้ ก็ต้องเป็นไปอย่างนี้ ไม่จำเป็นต้องมีเงินทุนสำรองมาก กรณีของไทย มันมีเล็กๆ น้อยๆ เป็นความลับ ทำไมทุนสำรองของเราสูงขึ้นจากอดีต ? เพราะว่ามันมี Capital Inflow คือเงินทุนไหลเข้ามาเยอะมากเลย กดดันให้เงินบาทแข็งขึ้น พอเงินดอลลาร์ไหลเข้ามาเยอะปั๊บ เงินบาทก็จะแข็งขึ้นทันที จากสมัยก่อน 33 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์ กลายเป็นลดมาเรื่อยๆ จนกระทั่งเหลือ 30 บาท หรือบางครั้ง 29 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์ การส่งออกลำบาก คนแก้เกมนี้คือแบงก์ชาติ เพราะฉะนั้นแล้ว ยิ่งเงินไหลเข้ามาเยอะ ทุนสำรองยิ่งเพิ่มขึ้น เพราะอะไร ? เพราะแบงก์ชาติจะไล่กว้านซื้อดอลลาร์เพื่อเอามาเก็บเอาไว้ เพื่อให้เงินบาทไม่แข็ง

ทีนี้ ถ้ามองในมุมกลับกัน ถ้าเงินทุนสำรองเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้นจากไหน ? จากการที่เราค้าขายเก่งมาก ส่งสินค้าออกเอง บูมสินค้ายี่ห้อของไทยเอง ใช้ไฮเทคไทยเอง แบบนี้มันสะท้อนฐานะทางเศรษฐกิจของประเทศไทยว่าแข็งแกร่ง ก็เลยทำให้เงินบาทแข็ง แต่เงินบาทประเทศไทยที่คุยโม้โอ้อวดกันว่ามีทุนสำรองตั้ง 8.2 ล้านล้าน นั้น ไม่ใช่มาจากการส่งออก ไม่ใช่มาจากความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ แต่มาจากธนาคารแห่งประเทศไทย ไล่กว้านซื้อเงินดอลลาร์ ซึ่งมันไหลเข้ามาในประเทศ ไหลเข้ามาหลายแบบ ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Hot Money เงินร้อน ไหลเข้ามาปั๊บแล้วถอนออกไป เข้ามาเล่นหุ้นแล้วถอนออกไป แบงก์ชาติก็เลยต้องซื้อดอลลาร์เพื่อกดดันค่าเงินบาทเอาไว้


ทีนี้ เมื่อธนาคารชาติซื้อดอลลาร์เป็นทุนสำรอง ธนาคารชาติก็เลยต้องออกพันธบัตรเงินบาทเป็นจำนวนเงินเท่ากัน คือ ถ้าซื้อดอลลาร์เข้ามา 1 แสนล้านบาท ก็ต้องออกพันธบัตร 1 แสนล้านบาท เพื่อควบคุมปริมาณเงินไม่ให้เกินเป้า มันจะเกิดต้นทุนค่าใช้จ่ายโดยอัตโนมัติ ตามหลัก เวลามีเงินดอลลาร์เข้ามาเก็บเอาไว้ 8.2 ล้านล้านบาท ธนาคารชาติจะเก็บเงินดอลลาร์ไว้ทำไม ธนาคารชาติก็ต้องเอาเงินดอลลาร์นั้นไปซื้อ T-Bond (Treasury Bond) พันธบัตรอเมริกา อายุ 10 ปี จะได้ดอกเบี้ย 1.77 เปอร์เซ็นต์ ต่อปี แต่ว่าแบงก์ชาติก็ต้องออกพันธบัตรในจำนวน 1 แสนล้าน อายุ 10 ปีเช่นกัน แต่เผอิญดอกเบี้ยที่แบงก์ชาติให้ก็คือ 2.07 เปอร์เซ็นต์ ต่อปี ท่านผู้ชมเอา 2.07 เปอร์เซ็นต์ เป็นดอกเบี้ยที่เราออกพันธบัตรเอามาทดแทนเงินดอลลาร์ที่เราซื้อเข้ามา ลบออกจาก 1.77 เปอร์เซ็นต์ ที่เราได้อัตราดอกเบี้ยจากการซื้อพันธบัตรอเมริกา จะเห็นว่าทุกๆ บาทเราจะขาดทุน 0.3 เปอร์เซ็นต์ ออกพันธบัตรทุกครั้งที่ออกเพื่อมา matching กับเงินดอลลาร์ที่เราซื้อเข้ามา จะขาดทุน 0.3 เปอร์เซ็นต์


เพราะฉะนั้นแล้ว ยกตัวอย่างให้ฟังง่ายๆ เรามีทุนสำรอง 1 แสนล้านสหรัฐ 3.3 ล้านล้านบาท ธนาคารชาติจะได้ดอกเบี้ย 58,400 ล้านบาท แต่ธนาคารชาติต้องจ่ายดอกเบี้ยต่อปีในการออกพันธบัตรไทย 68,300 ล้านบาท เพราะฉะนั้นแล้ว เมื่อท่านผู้ชมเห็นอย่างนี้แล้ว ท่านผู้ชมต้องเข้าใจว่า ทุนสำรองสูงมันกลับไม่ได้สะท้อนความแข็งแกร่งอะไรเลย แต่ว่าทุนสำรองสูงมันทำให้เจ้าหน้าที่ต่างชาติ ประเทศต่างๆ รัฐบาลต่างๆ ที่กู้เงินจากต่างชาติ กู้เป็นเงินสกุลแข็ง เช่น ดอลลาร์ ยูโร นักลงทุนต่างชาติจะไม่มั่นใจที่จะให้เงินกู้กับประเทศเหล่านี้ในสกุลของประเทศลูกหนี้ อย่างเช่นกู้ในสกุลเงินรูปี กรณีนี้เงินทุนสำรองสูงก็เลยกลายเป็นจุดแข็งแกร่งว่าในการกู้เงินมา ต่างชาติยินดีให้กู้ เพราะเรามีทุนสำรองสูง มีอยู่แค่นั้น


อธิบายอย่างชาวบ้านๆ ก็แล้วกันท่านผู้ชม ยิ่งมีทุนสำรองสูงมากเท่าไร เจ้าหนี้ต่างชาติยิ่งสบายใจ เพราะถ้าหากรัฐบาลของลูกหนี้จนมุม ก็ยังสามารถเอาทุนสำรองมาชำระหนี้ได้ แต่รัฐบาลไทยโชคดี กู้เงินโดยออกพันธบัตรเป็นสกุลบาทเพื่อขายในประเทศ ถ้านักลงทุนต่างชาติคนไหนต้องการจะให้กู้กับประเทศไทย ก็เอาเงินดอลลาร์เข้ามา แลกเป็นเงินบาท แล้วเอาเงินบาทไปลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทย เพราะฉะนั้นแล้ว คนที่ยอมรับความเสี่ยงในค่าเงินบาทที่ผันผวน ก็ไม่ใช่รัฐบาลไทย แต่เป็นนักลงทุนต่างชาติ งานนี้ต้องให้เครดิตกับ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล และคุณธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ที่เป็นคนเขียนเฟซบุ๊กนี้


ซึ่งทางธนาคารแห่งประเทศไทย และ ก.ล.ต. ร่วมกันพัฒนาตลาดพันธบัตรสกุลเงินบาทไว้จนเป็นที่น่าเชื่อถือของโลก รัฐบาลต่อๆ มาจึงได้อานิสงส์ ไม่ต้องกู้เป็นสกุลดอลลาร์ ผิดกับประเทศอื่นๆ แต่ว่า บทสรุปคือ ทุนสำรองสูงไม่ได้สะท้อนความแข็งแกร่งอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว

ท่านผู้ชมครับ มองอีกด้านหนึ่ง เศรษฐกิจไทยมีปัญหาหนี้ท่วม รัฐบาลนี้เอาแต่กู้ แต่หารายได้ไม่เป็น ไม่ได้ใช้เงินกู้ในการเพิ่มความสามารถการแข่งขันของคนไทย เอาไปแจกเพื่อกระตุ้นการกินการใช้ 99 เปอร์เซ็นต์ เป็นอย่างนั้นจริงๆ ปัญหาใหญ่คือปัญหาภายในประเทศเอง ไม่ได้เกี่ยวกับทุนสำรองเลย เพราะฉะนั้นใครก็ตามที่ทะลึ่งโปรโมตว่าทุนสำรองสูง เป็นการสะท้อนฐานะทางการเงินระหว่างประเทศแข็งแกร่งนั้น เป็นคนที่กวาดขยะเข้าไปสู่ใต้พรม แล้วทำให้คนไทยตาบอดไปพร้อมกับทีมที่เชียร์ลุงตู่ ท่านผู้ชมครับ เราเข้าใจตรงกันนะครับ คนที่เชียร์ลุงตู่บอกว่าสมัยลุงตู่อยู่ ตอนนี้เงินทุนสำรองสูงเป็นประวัติการณ์ ไม่ใช่ คุณรู้แค่ครึ่งเดียว อีกครึ่งหนึ่งคุณไม่รู้ หรือคุณรู้แต่คุณไม่กล้าพูด

สรุป ทุนสำรองแข็งแกร่งไม่ได้แปลว่าเศรษฐกิจไทยแข็งแกร่ง เศรษฐกิจไทยวันนี้อ่อนปวกเปียก แต่ที่ทุนสำรองแข็งแกร่ง ก็เพราะว่าต่างชาติเอาเงินเข้ามาเยอะ แบงก์ชาติก็เลยต้องกว้านซื้อเงินดอลลาร์ แล้วเอามาออกเป็นพันธบัตรไทยเพื่อให้ต่างชาติมาซื้อพันธบัตรไทยแทน มันก็เลยทำให้ทุนสำรองบ้านเราสูง เข้าใจตรงกันนะครับ เข้าใจตรงกันนะครับติ่งลุงตู่ทั้งหลายที่เชียร์อย่างไม่ลืมหูลืมตา เลิกตาบอดเสียทีเถอะครับ
.
.
.ท่านผู้ชมครับ เมื่อเร็วๆ นี้มีข่าวว่าเจ้าหน้าที่ทางรัฐกังวลว่าโอมิครอนอาจจะทำให้นักเรียนที่เพิ่งเรียนจบประมาณ 5 แสนคน อาจจะไม่มีงานทำ ตกงาน ก็เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงนะท่านผู้ชม แต่ว่าในขณะเดียวกัน ทางโลกตะวันตกมันเป็นกระแสใหญ่ที่เป็นปัญหาใหญ่มาก โดยเฉพาะในอเมริกา หลายๆ ประเทศทั่วโลกด้วย และมีสิ่งที่เกิดขึ้น ปรากฏการณ์ที่เขาเรียกว่า The Great Sesignation แปลว่า การลาออกครั้งใหญ่ของมนุษย์เงินเดือน


2564 ที่อเมริกามีพนักงานลาออกจากงานประจำมาก แล้วเขาบอกว่าแนวโน้มจะสูงมากขึ้น เมษายน 2564 ปีที่แล้ว เป็นช่วงที่อเมริกาฉีดวัคซีนได้จำนวนมาก แต่กลับมีสถิติพนักงานในอเมริกาลาออกถึงเกือบ 4 ล้านคน คิดเป็น 2.8 เปอร์เซ็นต์ ของตลาดแรงงาน เป็นตัวเลขที่สูงที่สุดในรอบ 21 ปี ตั้งแต่เขาเก็บข้อมูลมาตั้งแต่ปี 2000 ปรากฏการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะอเมริกา ยังพบขึ้นในประเทศแถวยุโรปที่เริ่มควบคุมสถานการณ์การระบาดของโรคได้

เยอรมนี มีอัตราการลาออกในช่วงโควิดจำนวน 6 เปอร์เซ็นต์ เป็นอัตราสูงสุดในยุโรป ในเดือนกรกฎาคม ปีที่แล้ว ต้องประสบภาวะขาดแคลนแรงงานหนักที่สุดในรอบ 3 ปี รองลงมา คือ อังกฤษ มีคนลาออกจากงาน 4.7 เปอร์เซ็นต์ ทำให้เดือนกรกฎาคม ปีที่แล้ว มีตำแหน่งงานว่างในระบบสูงถึง 1 ล้านตำแหน่ง หลังจากรัฐบาลเริ่มคลายล็อกดาวน์ในเดือนพฤษภาคม

ท่านผู้ชมครับ ปัญหาขาดแคลนแรงงานดังกล่าว มีวิกฤตโควิดเป็นตัวเร่ง ผมได้พูดเตือนไปแล้ว ท่านผู้ชม ในรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ในตอนที่ 106 วันศุกร์ที่ 8 ตุลาคม ว่าจะเกิดวิกฤตห่วงโซ่อุปทาน หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Supply Chain Crisis ที่ผมยกตัวอย่างให้ฟัง การขาดแคลนเรือขนส่งสินค้า การขาดแคลนคนขับรถบรรทุกน้ำมัน ราคาน้ำมันพลังงานที่สูงขึ้น แล้วก็มีการคาดคะเนแล้วจากโกลด์แมน แซคส์ เมื่อเร็วๆ นี้ ไม่กี่วันมานี้เองว่า ราคาน้ำมันในตลาดโลกอาจจะขึ้นถึง 100 เหรียญต่อ 1 บาร์เรล สูงมากท่านผู้ชม

การขาดแคลนไมโครชิปเอามาผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหลาย รวมทั้งรถยนต์ ราคาวัตถุดิบ เหล็ก ไม้ สินค้าอาหาร ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ สูงขึ้น เป็นต้น เมืองไทยก็เป็นตัวอย่างให้เห็นถึงเงินเฟ้อ ข้าวของแพงขึ้น สูงขึ้น สูงมากตอนนี้เมืองไทย หลายอย่างขึ้น 10 เปอร์เซ็นต์ บางอย่างขึ้นบ้าเลือดถึง 20 เปอร์เซ็นต์

ปรากฏการณ์ราคาน้ำมัน แก๊ส พลังงาน ที่สูงในตลาดโลกและในประเทศไทย มันส่วนหนึ่งของวิกฤตด้านอุปทาน และจะนำภาวะเงินเฟ้ออย่างรุนแรงในปี 2565 ซึ่งเมืองไทยมีอยู่แล้ว แต่ว่าเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องก็พยายามพูดปลอบใจว่า ไม่มีปัญหา เงินเฟ้อไม่สูง ผมไม่รู้ว่าใครโกหกตอแหลกันแน่ หรือผมได้ข้อมูลมาผิด ไม่เป็นไรครับ ค่อยดูกันต่อไป แต่ผมมั่นใจว่าข้อมูลและการวิเคราะห์ของผมไม่เคยผิด

เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว ศุกร์ที่ 14 มกราคม ใครที่คิดว่าเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัว ก็ให้ระวังให้ดี เพราะว่าผมอธิบายเรื่องธนาคารโลกมาบอกแล้ว ว่าธนาคารโลกเองพูดชัดเจนว่า ราคาสินค้า อาหาร พลังงาน จะดึงให้เศรษฐกิจตก เงินเฟ้อจะเพิ่มสูงขึ้นที่สุดตั้งแต่ปี 2551 เป็นต้นมา ก็ประมาณ 13 ปีที่แล้ว ปัญหาเศรษฐกิจยังคาราคาซังไปต่อจนถึงปีหน้า (2566) ปัญหาส่วนหนึ่งของวิกฤตจะปฏิเสธไม่ได้ว่าเกิดจากกระแส The Great Resignation หรือการลาออกครั้งใหญ่ของมนุษย์เงินเดือนนี่เอง

ท่านผู้ชมครับ ทำไมมนุษย์เงินเดือนถึงลาออกในระหว่างและหลังวิกฤตโควิด ? พอเกิดโรคระบาด คนทำงาน/มนุษย์เงินเดือน ต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับกฎระเบียบของประเทศ ข้อปฏิบัติทางสังคม ตลอดจนนโยบายองค์กร หรือนายจ้าง ชีวิตต้องอยู่แบบคู่ขนานทั้งในโลกจริงและโลกเสมือน บางองค์กรจะจัดเตรียมอุปกรณ์ โปรแกรมเอื้อต่อการทำงานแบบ Work from Home ซึ่งพนักงานจะเลี่ยงปฏิบัติก็ไม่ได้


พอเกิดโรคระบาดปั๊บ อะไรเกิดขึ้น ? ทำให้คนค้นพบว่าการทำงานที่แท้จริงไม่จำเป็นต้องอยู่ในกรอบเดิมๆ แล้วเกิดแนวความคิดว่า The Great Reset หรือมุมมองชีวิตการทำงานที่เปลี่ยนไปหลังโควิด ท่านผู้ชมครับ แล้วมุมมองของคนทำงานและมนุษย์เงินเดือนเปลี่ยนไปอย่างไร ? หนึ่ง โควิดทำให้พนักงานต้องการความยืดหยุ่นในการทำงาน ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Work from anywhere ทำงานที่ไหนก็ได้ จากที่ไหนก็ได้

การ Work from Home เป็นเวลานาน ทำให้คนทำงานได้เรียนรู้ว่าเราสามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้ ยังเพิ่มสมดุลการใช้ชีวิตจากการทำงางนที่ยืดหยุ่น พอโควิดซาลง องค์กรจำนวนไม่น้อยกลับคาดหวังให้พนักงานกลับมาทำงานที่ออฟฟิศ มันเป็นเรื่องที่ขัดแย้งกับความคิดพนักงาน ทำให้พนักงานส่วนใหญ่แสวงหาชีวิตการทำงานที่ยืดหยุ่น โดยผลสำรวจจากการสำรวจของบริษัทอเด็คโก้ (Adecco) สำรวจว่าพนักงานกว่า 1 หมื่นคนทั่วโลก มีตั้ง 41 เปอร์เซ็นต์ 5,000 คน พร้อมจะเปลี่ยนงาน ถ้าองค์กรใหม่สามารถมอบชีวิตการทำงานที่ยืดหยุ่นให้พวกเขาได้


สอง โควิดทำให้พนักงานมีความต้องการชีวิตที่เป็นอยู่ดีขึ้น ในช่วงโควิดที่ผ่านมา พนักงานจำนวนมากมองว่าองค์กรไม่ได้ช่วยเหลือพนักงานในการป้องกันพนักงานจากการติดเชื้อได้ดีเท่าที่ควร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พนักงานภาคบริการที่ยังต้องเดินทางมาสำนักงาน ทำงานที่ออฟฟิศ ทำงานพบปะผู้คน สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกว่าเขาเสี่ยง ภาระค่าใช้จ่ายในการป้องกันโควิด การทำงานที่พนักงานต้องรับผิดชอบเอง หน้ากากอนามัยซื้อเอง ค่าเจลแอลกอฮอล์ ซื้อเอง ค่าตรวจโควิดจ่ายเอง วิ่งเต้นหาวัคซีน หรือการไม่ให้ค่าจ้างพนักงานในช่วงที่พนักงานไม่มาทำงานเพราะป่วยเป็นโควิด หรือต้องกักตัวเพื่อในนามความมั่นคง เงินที่สูญเสียไปเพราะถูกลดค่าจ้าง หรือถูกเพิ่มชั่วโมงการทำงาน แต่ได้รับเงินเท่าเดิม ทั้งหมดนี้ ท่านผู้ชม และยังมีอีกเยอะ ทำให้คุณภาพชีวิตของพนักงานแย่ลง เพราะฉะนั้นการที่องค์กรไม่มาช่วยบรรเทาความเดือดร้อนพนักงานในจุดนี้ หรือว่าทำได้ต่ำกว่าที่เขาคาดหวัง ก็เป็นสาเหตุทำให้พนักงานเอาใจออกห่าง และอยากจะลาออกจากองค์กร

ข้อที่สาม โควิดทำให้พนักงานหมดไฟในการทำงาน ในช่วงล็อกดาวน์ พนักงานออฟฟิศต้องปรับมาทำงานที่บ้านแบบเต็มรูปแบบ มีองค์กรจำนวนไม่น้อย ต้องให้พนักงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ระหว่างทำงาน เจาะลงลึกไปในรายละเอียดว่าต้องมีการเข้างานแปดโมงครึ่ง พอเปิดคอมพิวเตอร์ปั๊บ ต้องทักทายกัน ขยับไม่ได้ คือมันไม่ใช่ Work from Home แล้ว มันคือ Work from Office เหมือนเดิมไม่มีผิดเลย ถูกการควบคุมเหมือนเดิม


ข้อที่สี่ โควิดทำให้คนเริ่มไม่มีความมั่นคงในชีวิต มีพนักงานหลายคนกังวลเรื่องความมั่นคงในอาชีพ ช่วยไม่ได้ พนักงานเลยต้องกลับมาประเมินองค์กรของตัวเองว่าได้มอบโอกาสในการพัฒนาความรู้ ทักษะ หรือไม่มีโอกาสที่จะเติบโตในที่ทำงานเดิม หรือไม่ รวมทั้งความมั่นคงทางการเงินองค์กร อนาคตทางอุตสาหกรรม ถ้าองค์กรไม่มีความชัดเจนตรงนี้ พนักงานจะไม่มั่นใจในอนาคต และมองหาลู่ทางการย้ายงาน

ท่านผู้ชมครับ ท่านผู้ชมไม่สังเกตหรือว่าสาเหตุที่ทุกวันนี้ธุรกิจเกี่ยวกับการขนส่ง พวก Delivery ถึงโตเอาๆ เพราะคนจบมา หางานทำไม่ได้ ตกงาน ลาออกจากงาน เพราะการไปเป็น Biker มันเป็นอาชีพอิสระ ไม่จำกัดวุฒิการศึกษา ไม่มีกฎระเบียบหยุมหยิม แค่รับออร์เดอร์มา ขี่มอเตอร์ไซค์ไป ไปรับของ รับของเสร็จก็ไปส่งตามเป้าหมาย มีแค่รถจักรยานยนต์ โทรศัพท์มือถือ ก็ทำงานได้แล้ว ถ้าขยันรับงาน สร้างรายได้ค่อนข้างดี ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าบางเจ้าเขารับประกันรายได้ LINEMAN การันตีรายได้ Rider 26,000 บาทต่อเดือน ถ้าทำตามเงื่อนไขของเขา Robinhood ประกัน 25,000-30,000 ทำตามเงื่อนไข เจ้าอื่นๆ ก็ทำเพิ่มวิธีจูงใจ ทำรอบได้ถึงเป้า ได้โบนัสเพิ่ม 250 บาท วิ่งช่วงเวลาพิเศษ ช่วงกลางคืน ช่วงกลางดึก ช่วงรถติด ได้ค่าส่งเพิ่ม


ท่านผู้ชมครับ เปรียบเทียบกับคนที่จบปริญญาตรีมา ทุกวันนี้ได้เงินเดือนเริ่มต้นที่ 15,000 บาท หลายคนที่ผมรู้จัก เคยเป็นแอร์การบินไทย ถึงถูกเลือกให้กลับเข้าไปทำอีก ก็ไม่อยากทำแล้ว มาผลิตสินค้าขายออนไลน์ รายได้ที่เข้ามา 40,000-60,000 บาท ก็เท่าเทียมกับรายได้ที่เคยอยู่กับการบินไทย แต่ได้อยู่กับลูกมากขึ้น มีความสุขมากขึ้น บางคนเป็นกัปตันสายการบิน ตัดสินใจ ไม่เอาแล้ว เปิดร้านครัวซองต์ อยู่แถวๆ ถนนสามเสนนี่เอง คนเข้าคิวซื้อกันเป็นแถวเลย รายได้น่าจะกำไรหลักแสน ยังมีอย่างนี้อีกเยอะท่านผู้ชม ไม่ใช่น้อย

ทีนี้ เรื่องนี้มันก็เลยสะท้อนไปถึงวิกฤตการศึกษาที่ซึมลึก เด็กไม่เรียนต่อในมหาวิทยาลัย ไม่ใช่แค่ภาคธุรกิจที่พบกับความท้าทายอย่างใหญ่หลวง ตัวเร่งสำคัญคือเทคโนโลยีและการแพร่ระบาดโควิด ท่านผู้ชมรู้ไหม เมื่อมกราคม มันมีรายงานข่าวจากเครือข่ายวิทยุสาธารณะแห่งอเมริกา ที่เขาเรียกว่า NPR : National Public Radio เขาบอกว่าตอนนี้มหาวิทยาลัยในอเมริกาเผชิญอุปสรรคอย่างใหญ่เลย มีคนเรียนหนังสือน้อยลงในช่วงโควิด 1 ล้านคน เขาพูดเลยว่า เปรียบเทียบกับฤดูใบไม้ร่วง เปิดเทอมปี 2562 (2019) ก่อนโควิด อัตราการสมัครเข้าเรียนต่อในระดับปริญญาตรีของนักเรียนอเมริกา ลดลงถึง 6.6 เปอร์เซ็นต์ เขาบอกว่าต่ำสุดในรอบ 50 ปี เลยทีเดียว


ที่น่าเป็นห่วง คนที่ไปทำงานวิจัยในอเมริกาบอกว่า ความเปลี่ยนแปลงนักเรียน/นักศึกษาที่ตัดสินใจไม่เรียนต่อนั้น จากปี 63 ส่วนใหญ่เป็นคนที่ตัดสินใจไม่เรียนต่อในระดับอนุปริญญา มาปี 64 ปีที่แล้ว ครึ่งหนึ่งเป็นผู้ตัดสินใจไม่เรียนต่อในระดับปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยที่ต้องใช้เวลาเรียนถึง 4 ปี การเรียนต่อระดับปริญญาโท-เอก ก็ลดลงหลายหมื่นคน ความนิยมการสมัครเรียนมหาวิทยาลัย ทั้งระดับปริญญาตรี และเอก ในมหาวิทยาลัยในอเมริกา อยู่ในช่วงขาลง สถานการณ์แพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 ได้เร่งความเร็วของความเสื่อมความนิยมในมหาวิทยาลัยลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับปริญญาตรี

ท่านผู้ชมครับ หลายคนไม่เรียนต่อ แต่เลือกจะไปทำงานที่ต้องการแรงงานไร้ฝีมือ ตลาดตอนนี้ขาดแคลนแรงงานไร้ฝีมืออย่างมาก จ่ายเงินอย่างดี คนรุ่นใหม่ที่มีวุฒิ จบมัธยมศึกษา จะไปเรียนต่อ หลายคนก็เลยเลือกทำงานหาเงินดีกว่า จากสถิติของแรงงานของอเมริกา ค่าแรงในอุตสาหกรรมโรงแรมพักผ่อนหย่อนใจนั้น เพิ่มขึ้นถึง 15 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับก่อนปีหน้า รายได้อันนี้ทำให้เกิดผลระยะสั้นของค่าแรงที่สูงขึ้น กับผลดีในระยะยาวของการเรียนในระดับมหาวิทยาลัย


มหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ ได้ทำการศึกษาว่า ผู้ที่มีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรีในอเมริกา โดยเฉลี่ยในชีวิตเขาจะทำรายได้ประมาณ 2.8 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 92 ล้านบาท ก็คือว่า ถ้าจบปริญญาตรีที่อเมริกาแล้วทำงานตลอดชีวิต ก็จะได้เงิน จนเกษียณได้เงินประมาณ 92.57 ล้านบาท โดยที่ยังไม่ได้นับว่าจะต้องใช้จ่ายอะไรบ้าง นี่คือรายได้รวม

ปัญหาคือเงินค่าจ้างรายชั่วโมงที่แรงงานไร้ฝีมือปัจจุบันที่อเมริกา เมื่อผ่านไปสิบปี ค่าจ้างแรงงานเพิ่มขึ้นเล็กน้อย หรือไม่เพิ่มเลย แตกต่างจากการที่คนที่มีทักษะในการทำงานได้ค่าแรงสูง แต่ประเด็นที่สำคัญที่อเมริกา คือ สถานการณ์เศรษฐกิจที่ย่ำแย่ ครอบครัวคนจน ชนชั้นล่าง มีทางเลือกมาก นอกจากจะผลักดันให้ลูกไปเรียนศึกษาภาคบังคับ ออกมาจากที่ทำงาน มาทำงานเลี้ยงตัวเอง เป็นอีกแรงในการจุนเจือรายได้ให้ครอบครัวตัวเอง และนี่เป็นระเบิดเวลาอีกลูกหนึ่งสำหรับความเหลื่อมบ้ำที่ถ่างกว้างไปเรื่อยๆ

ระบบเศรษฐกิจจะกระทบกระเทือนไหม ? เมื่อคนรุ่นใหม่เรียนมหาวิทยาลัยน้อยลง ในอนาคตตลาดแรงงานจะประสบภาวะการขาดแรงงานที่มีฝีมือ เมื่อขาดแรงงานที่มีฝืมือซึ่งได้เงินเดือนมากกว่าแรงงานไร้ฝีมือในระบบเศรษฐกิจ ก็จะสร้างผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศได้น้อยลง คือ GDP น้อยลง เมื่อขาดแรงงานรายได้สูง ขาดธุรกิจรายได้ภาษีต่างๆ ก็จะลดลง เกิดปัญหาสินค้า-บริการที่สูงขึ้น วิกฤตด้านห่วงโซ่อุปทานที่เราเผชิญอยู่ทุกวันนี้ ก็จะมีอีก ธุรกิจที่ใช้แรงงานฝีมือ ต้องหาฐานการผลิต แหล่งผลิตใหม่ นี่ก็คือเหตุผลว่าทำไม ในที่สุดแล้วประเทศจีนก็ยังคงเป็นแหล่งที่ผลิตสินค้าต่างๆ ให้กับบริษัทต่างชาติ อย่างอเมริกา

ท่านผู้ชมครับ ผมเป็นคนที่สนใจในเรื่องการศึกษามาก โดยเฉพาะในประเทศไทย ผมเคยเสนอวิสัยทัศน์ในเรื่องการศึกษา ไม่ว่าจะเป็น ผมเสนอให้ดึงอำนาจจากการควบคุมการศึกษาออกจากส่วนกลาง ออกจากกระทรวง กระจายสู่ท้องถิ่น เพื่อแก้ปัญหาคุณภาพการศึกษาในระดับพื้นฐาน ผมเปิดโปงความไม่ชอบมาพากลของระบบอุดมศึกษา มหาวิทยาลัยไทย รวมทั้งผมได้เสนอทางออกปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์มหาวิทยาลัยต่างๆ ทั้งรัฐและเอกชน ให้อยู่รอดให้ได้ทั้งปัจจุบันและอนาคต


ท่านผู้ชมครับ ตอนนี้โลกไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว ต่อให้ไม่มีโควิด-19 โลกก็ไม่เหมือนเดิม บทบาทของสถาบันการศึกษาจะเหมือนเดิมไม่ได้ เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว มหาวิทยาลัยในอเมริกาไม่ใช่ไม่เผชิญชะตากรรมนี้ ในเมืองไทยก็เผชิญ ในห้วงระยะเวลาไม่ถึง 20 ปีจากนี้ไป มีคนประเมินมาแล้วว่าสถาบันอุดมศึกษาไทยจะถูกปิดมากกว่า 80 แห่ง อันเนื่องมาจากการลดลงของจำนวนประชากรไทยวัยเรียน ความไม่คุ้มค่าในการดำเนินธุรกิจ โดยในจำนวน 80 แห่งนี้ จะมีราว 20 สถาบัน หรือคิดเป็นราว 25 เปอร์เซ็นต์ เป็นสถาบันอุดมศึกษาของรัฐเสียด้วยซ้ำ มีความเสี่ยงสูงมากกว่าอาจจะถูกปิด เพราะไม่มีคนเรียน เสื่อมความนิยมด้วยชื่อเสียง คุณภาพการศึกษา คุณภาพอาจารย์ และคุณภาพบัณฑิตที่ตกต่ำไปเรื่อยๆ

ท่านผู้ชมครับ ท่าน ดร.สมบัติ นพรัก คณบดีวิทยาลัยการศึกษา มหาวิทยาลัยพะเยา ประธานที่ประชุมคณบดีคณะครุศาสตร์ศึกษาศาสตร์แห่งประเทศไทย พูดว่า มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งภายใน 8 ปีข้างหน้า ประเทศไทยอาจจะไม่เหลือคำว่า "มหาวิทยาลัยเอกชน" อยู่เลย ระบบการศึกษาในปัจจุบันไม่ตอบโจทย์ความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม ไลฟ์สไตล์คนในปัจจุบันและอนาคต

ดร.สมบัติ นพรัก
ท่านผู้ชมครับ อเมริกาก็มีปัญหาในเรื่องคนไม่เรียน เมืองไทยก็มีระเบิดเวลาในแวดวงการศึกษาที่กำลังกระทบสู่ประเทศชาติ ระบบเศรษฐกิจ สังคม การเมือง วิถีชีวิตของผู้คนที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วในระยะเวลาอันสั้น โดยมีการแพร่ระบาดของเชื้อโควิดเป็นตัวเร่ง เป็นปฏิกิริยาสำคัญที่สุด

ท่านผู้ชมครับ ผมเตือนมาแล้วนะครับ เอาตัวอย่างต่างประเทศมาดู แล้วสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในประเทศไทย อีกไม่เกิน 8 ปี เราอาจจะไม่เห็นมหาวิทยาลัยเอกชนอยู่อีกต่อไป และแม้กระทั่งมหาวิทยาลรัฐ คุณภาพก็จะตกต่ำไปเรื่อยๆ

ท่านผู้ชมครับ ผมลืมสนิทเลย ลืมจริงๆ ผมเคยเล่าให้ท่านผู้ชมฟังแล้วว่าเรามียาสมุนไพร ซึ่งเป็นอาหารเสริม ช่วยในเรื่องการเสริมภูมิคุ้มกัน ผมเคยเล่าให้ท่านผู้ชมฟังแล้วว่าวิธีการสร้างภูมิคุ้มกันนั้น ต้องสร้างอย่างไร ปรากฏว่าเราได้มีการทำยาที่เสริมภูมิคุ้มกัน ตอนนี้ยาเสริมภูมิคุ้มกันเขาก็มีอยู่ 3 ประเภท คือ สังกะสี (Zinc) วิตามินซี และอีกตัวหนึ่งเขาเรียกว่า สารสกัดหอมแดง ที่เขาเรียกว่า QUERCETIN


ท่านผู้ชม แต่ก่อนถ้าจะเสริมภูมิคุ้มกัน เขาจะให้ทานยาเสริมอาหาร 3 ตัวนี้ แต่วันนี้เรามีสารอาหาร 3 ตัวนี้ ที่สำคัญ ในการเสริมภูมิคุ้มกันเข้ามาอยู่ในขวดเดียวกัน เราเรียกมันว่า QUERCETIN PLUS ZINC ก็คือว่า มี QUERCETIN ก็คือสารสกัดหอมแดง และมีสังกะสี ที่สำคัญคือมีวิตามินซีด้วย 3 ตัวอยู่ในตัวเดียว ซึ่งไม่มีใครทำ เรามีอยู่แล้วครับ มี 60 เม็ด ผมทานทุกเช้า วันละ 2 เม็ด ทุกเดือน เป็นการเสริมภูมิคุ้มกันตลอดเวลา แล้ว QUERCETIN มีวางขายที่ Shopee กับ Lazada ขวดละ 800 บาท ของต่างประเทศวางขาย แล้วไม่มีวิตามินซีด้วย ราคาขึ้นหลักพัน ของเรา 800 บาท

อีกอันหนึ่ง ทุกวันนี้เวลาท่านผู้ชมดูรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" หรือว่าใช้ iPad ใช้โทรศัพท์มือถือ จะสังเกตว่าช่วงหลังตาเริ่มมัว ต้องหยุดพักสายตาตั้งนาน


LUTEIN คือยาเสริมบำรุงสายตาทำให้มองเห็นในที่สว่างและในที่มืด เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับสายตา ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต้อกระจก และโรคจุดรับภาพเสื่อม LUTEIN เป็นสารสกัดจากดอกดาวเรือง ช่วยเรื่องสายตา มีน้ำมันตับปลา มีสารอีกตัวหนึ่งที่เขาเรียกว่า ZEAXANTHIN รวม 3 ตัวนี้เข้ามา ทั้งหมด 60 เม็ด เหมือนกัน ทานวันละ 2 เม็ด จะช่วยเรื่องสายตา ท่านผู้ชมทานไปสัก 3-4-5 วัน แล้วท่านผู้ชมจะเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน ผมตาซ้ายบอดไปแล้ว ตาขวาเป็นต้อกระจก แต่ผ่าไปเรียบร้อยแล้ว ผมทานอยู่แล้วผมเห็นการเปลี่ยนแปลงมากเลย ทำให้เห็นสว่างขึ้นทั้งกลางวันและกลางคืน อันนี้กระปุกละ 690 บาท

สุดท้ายแล้ว ท่านผู้ชมครับ ผมไม่เคยคิดเลยว่าผมจะมาขายยาสีฟัน เพราะว่าผมไม่บังอาจไปเปรียบเทียบกับ ลิซ่า BLACKPINK ซึ่งขายเดนทิสเต้ (Dentiste') แต่เผอิญยาสีฟันสมุนไพรบ้านพระอาทิตย์ เป็นยาสีฟันที่สุดยอด ผมเองตอนแรกเขาเอามาทำให้ผมดู ผมยังนึกไม่ถึงเลยว่ามันจะไปได้ดีขนาดไหน เป็นยาสีฟันที่มีสมุนไพรทั้งสิ้น มีการบูร มีพิมเสน มีน้ำมันจากดอกกานพลู มีว่านหางจระเข้ มีสารสกัดฝาง มีน้ำมันจากเปปเปอร์มินต์ มีเมนทอล มีสารสกัดใบฝรั่ง


ท่านผู้ชมเชื่อไหม หลอดแค่นี้ท่านผู้ชมใช้ได้เป็นเดือน เพราะว่าเวลาท่านผู้ชมบีบเท่ากับเม็ดข้าวโพดเม็ดเดียวก็พอ ผมใช้ทุกเช้า ก่อนนอน ปากไม่เคยเหม็น แล้วก็สดชื่นมาก ผมเกิดมาไม่เคยเจอยาสีฟันไหนที่สุดยอดเท่านี้ ผมยินดีครับ ผมคิดว่าท่านผู้ชมควรจะทดลอง ถ้าไม่ชอบ ส่งของคืนมา แล้วแจ้งมา เดี๋ยวจะคืนเงินให้เลย อันนี้หลอดละ 149 บาท ท่านผู้ชมครับ สามอันนี้ ยาสีฟันสมุนไพรบ้านพระอาทิตย์ แล้วก็ LUTEIN ทำให้ตาสว่าง จากการที่ต้องใช้สายตาหนัก แล้วก็ QUERCETIN C PLUS ZINC ท่านผู้ชมไม่ต้องปวดหัว เข้า Shopee หรือ Lazada ซื้อได้ทันที ทุกอย่างจะเป็นระบบมาแล้วในที่สุดของก็จะส่งถึงท่านผู้ชม ถูกต้องทุกประการ อย่าลืมนะครับท่านผู้ชม ยาสีฟันนี้ถ้าใช้แล้วไม่ชอบ แจ้งมาเลย ส่งของคืนมา จะคืนเงินให้ทันที ผมรับประกันนะครับ ผมให้คนตั้ง 40-50 คน ใช้ ทุกคนถามผมว่ามีอีกไหม สุดยอดครับ ที่บ้านก็ใช้แบบนี้ตลอดเวลา ผมลืมเล่าให้ฟัง ผมบอกท่านผู้ชมแล้วว่าอะไรถ้าดีกับสุขภาพ อะไรถ้าดีกับท่านผู้ชม ผมจำเป็นจะต้องเอามาเล่าให้ท่านผู้ชมฟัง แล้วของเรานี่ base จากสมุนไพรทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นแล้ว รับรองไม่ผิดหวังแน่นอนครับ


ท่านผู้ชมครับ เวลาท่านผู้ชมเข้า Shopee กับ Lazada ให้ค้นหาคำว่า "สมุนไพรบ้านพระอาทิตย์" ท่านผู้ชมรู้จักบ้านพระอาทิตย์อยู่แล้วใช่ไหม เพิ่มคำว่าสมุนไพรบ้านพระอาทิตย์ ก็จะมีของพวกนี้ขึ้นมาให้ท่านผู้ชมดู แล้วก็สั่งได้ทันทีเลย

ท่านผู้ชมครับ เมื่อวันศุกร์ที่ 14 ธันวาคม หรือประมาณเดือนกว่าๆ ที่แล้ว ผมได้ออกรายการแนะนำ "ยาลม 300 จำพวก" แล้วปรากฏว่าท่านผู้ชมสั่งกันเข้ามาเยอะเหลือเกิน เหมาะให้กับผู้สูงอายุ หลายคนสั่งซื้อให้กับคุณพ่อคุณแม่ตัวเอง ปรากฏว่าของขาดตลาด วันนี้ของมาครบแล้ว ที่เป็นพรีออร์เดอร์คั่งค้างอยู่ เราส่งไปหมดแล้ว เหลืออยู่อีกจำนวนไม่มากนัก หลายท่านสงสัย ผมจะทานให้ท่านผู้ชมดู ง่ายนิดเดียว เราเอายาลมนี้แกะซอง น้ำร้อนใส่แก้วกาแฟสักครึ่งหนึ่ง แล้วก็ใส่เข้าไป เสร็จแล้วก็คน แค่นี้เอง คนให้ละลาย พอละลายเสร็จเรียบร้อย สักพักหนึ่ง ทานทีเดียวหมด กัดฟันทาน มันเผ็ด มันเผ็ดจริงๆ และมันขมจริงๆ แต่ "หวานเป็นลม ขมเป็นยา" ท่านผู้ชมครับ

แก้ลม มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระ เสริมธาตุไฟของคนอายุมาก มีคุณพ่อคุณแม่ที่อายุมากแล้ว อายุตั้งแต่ 50 ขึ้นไป ควรจะทานยาพวกนี้ หลายคนทาน คุณชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย ก็ทาน ก็ปรากฏว่ามันมีการเปลี่ยนแปลงมาก คุณไพศาล พืชมงคล ซึ่งท่านผู้ชมคงรู้จัก ก็ทานยานี้ ปรากฏว่ามีโรคหลายโรคก็หาย


ทีนี้ มีข้อมูลเล็กน้อยที่ต้องมาเล่าเรื่องยาลมให้ฟัง เป็นยาขม ถึงไม่ป่วยก็ทานได้ เป็นตำรับยาสุดท้ายในพระคัมภีร์กระษัย รวบรวมในตำราแพทยศาสตร์สงเคราะห์ ในสมัยรัชกาลที่ 5 ยานี้ โดยหลักการแล้วสมัยโบราณเขาเรียกว่า ยาอายุวัฒนะ ข้อที่สอง ยาลมนี้คนที่คิดคือ หลวงพ่อฉิม เจ้าอาวาสรูปแรกของวัดชัยชนะสงคราม สร้างขึ้นสมัยรัชกาลที่ 3 ข้อที่สาม หลวงพ่อฉิม เป็นพระที่เป็นหมอยา อยู่มาถึง 3 รัชกาล (3-4-5) รัชกาลที่ 5 นิมนต์มารักษาฝีในท้องมหาดเล็กหลวงให้หายได้ใน 7 วัน พระองค์ท่านก็เลยตั้งฉายาของขรัวฉิม (หลวงพ่อฉิม) ว่า "ขรัวฉิมเทวดา" ได้รับการยอมรับจนกระทั่งยานี้ของขรัวฉิม เป็นตำรับยาปิดท้ายของพระคัมภีร์กระษัย ในตำรายาหลวงในรัชกาลที่ 5

ข้อที่สี่ 6 พฤศจิกายน 2560 ได้มีการลงในราชกิจจานุเบกษาประกาศให้ตำรับ "ยาลม 300 จำพวก" นี้ อยู่ในตำรายาหลวง เป็นตำรายาแผนไทยของชาติ มีความหมายทางกฎหมายว่า มีการใช้ประโยชน์หรือมีคุณค่าทางการแพทย์หรือการสาธารณสุขเป็นพิเศษ

ข้อห้า อาจารย์ปานเทพ ได้เอายานี้ไปตรวจสอบเพื่อทดสอบฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ อนุมูลอิสระ หมายถึงฤทธิ์ต้านกลไกที่ทำให้ร่างกายเสื่อมหรือแก่ ไปทดสอบที่ห้องปฏิบัติการสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ค้นพบว่า "ยาลม 300 จำพวก" นี้ ต้านอนุมูลอิสระได้มากที่สุดลำดับต้นๆ ของโลกเลย คือติดอันดับ 1-3 หรือ 1 ใน 5 ของพืชสมุนไพรทั่วโลก เพราะฉะนั้นแล้ว เป็นยาที่ต้านอนุมูลอิสระ

เรื่องที่หก อาจารย์ปานเทพ ได้เดินทางไปเป็นตัวแทนพวกเราไปไหว้ กราบไหว้ครูที่วัดชัยชนะสงคราม พบรูปหล่อโลหะของขรัวพ่อฉิมเทวดา อยู่ในท่าปั้นยาลูกกลอน แล้วเขียนว่า หลวงพ่อฉิม แสดงว่าเรื่องตำนานหมอยาของขรัวฉิมเทวนานั้น เป็นเรื่องจริงและมีตัวตนในประวัติศาสตร์


ประการที่เจ็ด อาจารย์ปานเทพ ได้สัมภาษณ์ ศ.ดร.สมศักดิ์ นวลแก้ว คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เป็นแพทย์แผนไทยประยุกต์ ท่านเป็นลูกศิษย์ของ ศ.ดร.นพ.อวย เกตุสิงห์ ผู้ริเริ่มก่อตั้งแพทย์แผนไทยประยุกต์ ดร.สมศักดิ์ ท่านบอกว่าท่านวิเคราะห์เครื่องยาในตำรับ "ยาลม 300 จำพวก" นอกเหนือจากต้านอนุมูลอิสระแล้ว ยังมีคุณสมบัติดังนี้ 1) เป็นกลุ่มยารสร้อน มีสรรพคุณในการขับลมทางเดินอาหาร ขับลมในเส้น แก้กระษัยเส้น มีสรรพคุณในการระบาย ขับถ่ายพิษในระบบทางเดินอาหาร และขับถ่ายระบายเสมหะ กลุ่มยารสขม มีสรรพคุณบำรุงธาตุ บำรุงน้ำดี ดับพิษโลหิต ช่วยย่อยอาหารพวกไขมัน

ยานี้ผมทานเมื่อ 9 เดือนที่แล้ว เจ็ดวันแรกผมถ่ายท้องตลอด ปรากฏว่านั่นคือการล้างพิษ หลังจากนั้นก็กลับเข้ามาสู่เป็นปกติ วันละประมาณ 2 ครั้ง บางวัน 3 ครั้ง แล้วแต่ผมทานอาหารมากหรือน้อยแค่ไหน แต่พอถ่ายแล้วสบาย

ข้อที่แปด อาจารย์ปานเทพ เขียนบทความทบทวนงานวิจัยในต่างประเทศ พบผลการวิจัยยุคใหม่ พบว่าภูมิคุ้มกันที่บกพร่อง หรือภูมิคุ้มกันทำลายตัวเองนั้น จะสามารถทำนายได้ว่าติดเชื้อไวรัสโรคระบาด จะทำให้ป่วยรุนแรง แต่กลุ่มที่เสี่ยงในโรคภูมิคุ้มกันที่ปกตินั้น งานวิจัยในผู้ป่วยหลายหมื่นคน พบว่ามีความสัมพันธ์กับระบบทางเดินอาหารอย่างมีนัยสำคัญ อย่างเช่น ท้องผูก ซึ่งตรงกับตำราแพทย์แผนไทยที่ระบุว่าเป็นโรคเกี่ยวกับเสมหะในลำคอ เสมหะในอก และเสมหะในอุจจาระ มีความสัมพันธ์กัน เพราะฉะนั้นแล้ว ท่านผู้ชมครับ ตำรับ "ยาลม 300 จำพวก" ซึ่งเป็นยาระบายพิษเสมหะ และขับลมในระบบทางเดินอาหาร จึงย่อมสัมพันธ์ในการฟื้นฟูระบบภูมิคุ้มกันเช่นกัน โดยเฉพาะผู้สูงวัยที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารทุกคน ท่านผู้ชมครับ ท่านผู้ชมที่มีคุณพ่อคุณแม่อายุมากแล้ว เหมาะที่สุดที่จะซื้อไปเพื่อให้คุณพ่อคุณแม่ทาน

ประการที่เก้า ยาลมนี้มีสมุนไพร 21 ชนิด ผมมีตัวอย่างสมุนไพร 4 ชนิด มีน้ำหนักรวมกันครึ่งหนึ่งของตำรายาทั้งหมด มีใบสะเดา ลูกกระดอม พริกไทย ดีปลี


ท่านผู้ชมครับ ทั้งหมดนี้ รวมงานวิจัยข้างต้น จะเห็นว่ารสขมตามตำราแพทย์แผนไทย ซึ่งระบุว่าแก้พิษในโลหิต บำรุงน้ำดี ก็คือช่วยย่อยอาหาร สอดคล้องกับงานวิจัยยุคใหม่จริงๆ ตำรับยานี้บอกเลย ถ้ารับประทานติดต่อกัน 1 เดือน ไม่ถึง 6 เดือนขึ้นไป จะทำให้ความจำดีขึ้น 6-8 เดือน การทำงานของสมองจะดีขึ้น เขามีการทดลองในหนู สารสำคัญซึ่งมีอยู่ในพริกไทย ที่มีอยู่ 9 เปอร์เซ็นต์ ในนี้ จะช่วยขับลม เสมหะ กระตุ้นระบบประสาท ทำให้หนูทดลองมีความทรงจำและพัฒนาความสามารถได้เรียนรู้จริง

ท่านผู้ชมครับ ผมทานมา 9 เดือน ไม่เว้นเลยแม้แต่วันเดียว เพราะว่าตามหลักการแล้ว ถ้าเว้นวันหนึ่งก็จะต้องเริ่มใหม่ ตำรับยานี้เขาบอกว่าถ้าทานติดต่อกัน 9 เดือน กลายเป็นยาอายุวัฒนะ เป็นยาทำให้อายุยืน ผลการทดสอบยืนยันว่า ตำรับ "ยาลม 300 จำพวก" มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงสุดติดระดับโลก ยานี้ผมได้ทานให้ดูแล้ว ใช้น้ำร้อน น้ำส้ม น้ำส้มซ่า น้ำผึ้ง ได้หมด แต่ผมจะแนะนำให้ใช้น้ำร้อน จะได้ละลายยา แล้วพอน้ำเริ่มอุ่นลง ยาละลายแล้ว ท่านผู้ชมกัดฟัน ไม่ต้องผสมอะไรหรอก ซดเข้าไปเลย

ผมมีตัวอย่างให้ฟัง คุณไพศาล พืชมงคล ที่เล่าให้ฟังเมื่อกี้ เขารับประทานยานี้มา 18 วัน คุณไพศาล บอกว่า เอ็นร้อยหวายอักเสบเรื้อรังมานาน หายเจ็บใน 3 วันแรก วันที่ 4-6 คุณไพศาล บอกว่ามีการผายลมขนานใหญ่ คือพูดง่ายๆ ว่าตดทั้งวันเลย วันที่ 6-7 บ้านหมุน เพราะว่าปรับธาตุ หลังจากนั้นก็เริ่มโปร่ง สบาย วันที่ 10-12 ขับถ่ายลึก ขับถ่ายมาก ไขมันถูกขับถ่ายออกมา พุงยุบ เดินเหินคล่องขึ้น กินครบ 15 วัน ลุกนั่งสบายขึ้น คล่องตัว

คุณชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย ท่านผู้ชมที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ของ NEWS1 ก็คงรู้จักดี มีลักษณะใกล้เคียง คือ ขับถ่ายดี ขับลมดี โปร่ง โล่งสบายเช่นกัน

สำหรับผม ผมเล่าให้ท่านผู้ชมฟังแล้วว่าเป็นอย่างไรบ้าง ยานี้รสขมมาก เผ็ดมาก แต่เป็นยาที่มีคุณภาพจริงๆ ยานี้ผลิตยากมาก ที่เสียเวลาไปนิดก็เพราะว่ามัวแต่สรรหาสมุนไพร แล้วผลิตในระบบที่เน้นคุณภาพและความถูกต้อง ตอนนี้ผลิตได้แล้ว พร้อมที่จะจัดส่งให้ได้ทุกเดือน เพราะฉะนั้นท่านผู้ชมสามารถที่จะสั่งเข้ามาได้เลย สั่้งให้คุณพ่อคุณแม่ ถ้าขี้เกียจสั่งทีเดียว ถ้าทานแล้วได้ผล ก็สั่งทีละ 2 กล่อง 2 เดือน แล้วค่อยสั่งอีกที สั่งมาที่ inbox ของรายการนี้ หรือในคอมเมนต์แจ้งมา เดี๋ยวเราจะจัดส่งให้ทันที รับรองว่าไม่ต้องรอนานแล้ว
.

ท่านผู้ชมครับ ผมเคยพูดเรื่องกัญชามาหลายต่อหลายครั้ง ตอนนี้กำลังขมวดเข้าไปสู่จุดจบแล้ว ส่วนจะจบอย่างไรนั้น เราต้องมาดูกันต่อไป ล่าสุด องค์การอาหารและยาได้มีมติออกมาแล้วว่า ให้ตัดกัญชาออกจากบัญชีที่ 5 เรื่องยาเสพติด ก็คือว่าจากนี้ไปแล้ว ในสายตาของ อย. กัญชา ไม่ใช่ยาเสพติดอีกต่อไป แล้วมตินี้ก็จะถูกส่งเข้าไปยังที่ประชุมใหญ่ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด หรือที่เรียกชื่อว่า ป.ป.ส.

แต่ขณะนี้มีการถกเถียงวิพากษ์วิจารณ์กันมากมาย หลักๆ ก็คือว่า ประชาชนสามารถจะปลูกกัญชาโดยไม่ต้องขออนุญาตได้หรือเปล่า คุณศุภชัย ใจสมุทร ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย วันที่ 10 มกราคม รองประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญร่างประมวลกฎหมายยาเสพติด รัฐสภา ได้ประกาศออกมาว่า ใครจะปลูกก็ได้ ถ้าถูกจับก็จะจัดทนายความไปต่อสู้ให้

ศุภชัย ใจสมุทร
ทีนี้ ก็เลยเกิดมีการตอบโต้มาจากคุณปิยะศิริ วัฒนวรางกูร รองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (รองเลขาธิการ ป.ป.ส.) ซึ่งออกมาสวนกลับนายศุภชัย ทันทีเลย ซึ่งจริงๆ หลักๆ แล้ว เท่าที่ผมรู้ คุณปิยะศิริ วัฒนวรางกูร ไม่ได้เป็นตัวโต้โผใหญ่ในการคัดค้าน คนที่คัดค้านก็คือเลขาธิการ ป.ป.ส. คุณปิยะศิริ บอกว่า ประมวลกฎหมายยาเสพติดใหม่จะไม่มีชื่อกัญชา แต่ประมวลกฎหมายยาเสพติดใหม่ได้ประกาศไว้ถึงการระบุชื่อยาเสพติดให้โทษว่า ยาเสพติดให้โทษชื่อใด อยู่ในประเภทใด ให้เป็นไปตามกระทรวงสาธารณสุข โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ ป.ป.ส. คุณปิยะศิริ ก็บอกว่า ตอนนี้กัญชาอยู่ในบัญชียาเสพติดประเภท 5 ยังมีผลบังคับใช้อยู่ ต้องแก้ตรงนี้ก่อน เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้าใครปลูก ตามกฎหมายแล้วก็ต้องโดนจับอย่างแน่นอนที่สุด


มีผู้รู้บอกว่า คนใน ป.ป.ส. หรือคณะกรรมการบางคน หรือแม้กระทั่งท่านเลขาธิการ ป.ป.ส. ก็เป็นห่วงเป็นใย จุดยืนของท่านไม่อยากจะปลดกัญชาออกมา ท่านอาจจะคัดค้าน แต่ว่ามีคนที่รู้เรื่องนี้ก็บอกว่า ป.ป.ส. ได้งบประมาณก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งในการปราบปรามยาเสพติดทั้งหลาย และกัญชา และกระท่อม ก็อยู่ในพืชที่ถูกปราบปรามด้วย ก็เลยมีส่วนที่ได้แบ่งงบประมาณด้วย ทีนี้กระท่อมถูกกฎหมายแล้ว ก็เหลือแค่กัญชา ทีนี้ถ้ากัญชาถูกกฎหมายอีก เงินก้อนนี้ก็หายไป ท่านผู้ชมอย่าทำเป็นเล่นไปนะครับ เพราะว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์รายได้ของคนที่ใช้งบประมาณปราบปรามยาเสพติด ถ้ามันหายไปสัก 100 บาท จากมูลค่าทั้งหมด 1,000 บาท มันก็หายไปพอสมควรนะ คนที่เคยทำมาหากินกับการปราบปรามกัญชาและกระท่อม ตอนนี้กระท่อมทำอะไรมากไม่ได้แล้ว ก็เหลือกัญชาอย่างเดียว ก็คงจะมีขบวนการยื้อกันสุดฤทธิ์สุดเดช


ท่านผู้ชมครับ ตอนนี้คณะอนุกรรมการกลั่นกรองการระบุชื่อยาเสพติดให้โทษ ประเภท 5 คือท่านเลขาฯ อย. คือคุณหมอไพศาล ดั่นคุ้ม เตรียมเสนอร่างประกาศ สธ. เรื่องระบุชื่อยาเสพติดให้โทษประเภท 5 โดยจะไม่มีคำว่ากัญชาเป็นยาเสพติด ก็นับจากวันนี้ไป วันที่ 21 มกราคม เรื่องกัญชาของกระทรวงสาธารณสุขก็จะครบถ้วนแล้ว

หมอไพศาล ดั่นคุ้ม
ที่เหลือเป็นเรื่องของคณะกรรมการ ป.ป.ส. ถ้า ป.ป.ส. เห็นชอบ ก็ส่งมาที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขลงนาม ก็จะสอดคล้องกับประมวลกฎหมายยาเสพติด 2564 ที่มีผลบังคับใช้ไปแล้วตั้งแต่วันที่ 9 ธันวาคม 2564 ก็คือพูดง่ายๆ ว่า 9 ธันวาคม - 9 มกราคม เดือนกว่าๆ พอประกาศใช้ไปแล้วมันมีขั้นตอนที่ต้องปลดล็อกทั้งหมด 10 ขั้นตอน เขาใช้เวลา 1 เดือน ในขั้นตอนการปลดล็อก ซึ่งในที่สุดแล้วก้าวเข้าสู่ขั้นตอนสุดท้ายแล้ว ก็คือวันที่ 21 นี้ จะเป็นหมู่หรือจ่า แต่ผมคิดว่าถ้าคนที่มีสติปัญญาและมีเหตุมีผล เข้าใจ ก็ไม่น่าจะคัดค้าน นอกจากคนที่สายเหยี่ยว หัวชนฝา ที่อ้างว่ากัญชานั้นคือยาเสพติด เพราะว่ามีสารทำให้มึนเมา โน่นนี่นั่น ซึ่งเดี๋ยวผมจะอธิบายให้ฟัง

ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของกัญชานี้ ผมจะสรุปจุดยืนของผมเองให้ฟัง ประการแรก ท่านผู้ชมครับ ประมวลกฎหมายยาเสพติด ระบุว่ากัญชาเป็นยาเสพติดประเภท 5 เป็นยาเสพติดที่นอกเหนือจากยาเสพติดประเภทที่ 1-4 เฮโรอีน ยาบ้า โน่นนี่นั่น ประเภทที่ 5 ก็คือ กัญชา และกระท่อม

กระท่อม ปี 2564 ถูกถอดออกจากบัญชียาเสพติดประเภทที่ 5 ก็เหลือเฉพาะคำว่า "กัญชา"

ประการที่สอง ประมวลกฎหมายยาเสพติดให้โทษฉบับใหม่ มาตรา 29 ระบุชัดให้ตัดคำว่า "กัญชา" ออกจากบัญชียาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 ซึ่งเป็นกฎหมายแล้ว ไม่มีใครขวางได้ เป็นครั้งแรกที่กฎหมายยาเสพติดตัดคำว่า "กัญชา" ออกจากกฎหมายยาเสพติดเดิม ย่อมเท่ากับว่าฝ่ายนิติบัญญัติได้เพิกถอนกัญชาออกจากบัญชียาเสพติดในระดับประมวลกฎหมายยาเสพติดแล้ว ก็คือกฎหมายหลัก


ส่วนมติของ ป.ป.ส. นั้น ก็ อย่างไรก็ตาม ป.ป.ส. ก็คงจะไม่สามารถที่จะร่างมติหรือมีมติอะไรที่มันขัดแย้งกับกฎหมายหลักได้ จุดนี้ผมก็เลยเห็นด้วยว่า ทั้งคุณศุภชัย ใจสมุทร ของพรรคภูมิใจไทย และอาจารย์วิชา มหาคุณ คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต บอกว่า กัญชาได้หลุดจากบัญชียาเสพติดในประมวลกฎหมายยาเสพติด อย่างสิ้นเชิง หลุดออกไปเลยนะ ซึ่งประมวลกฎหมายยาเสพติด เป็นกฎหมายแม่ เพราะฉะนั้นกฎหมายลูกเดิมทีขัดแย้งต่อกฎหมายแม่ แม้ในอดีตก่อนหน้านั้นย่อมทำได้ ก็ย่อมสิ้นผลไป

ข้อที่สี่ ขั้นตอนตามกฎหมายต่อไปคือ คณะกรรมการควบคุมยาเสพติด ป.ป.ส. ต้องมีมติเสนอแนะให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข แก้ไขประกาศประเภทยาเสพติดใหม่ ซึ่งจะลงมติในวันที่ 21 มกราคมนี้ พรรคภูมิใจไทย ซึ่งเป็นคนคิดริเริ่มในเรื่องกัญชา ต้องการให้ต้นกัญชา รวมทั้งดอกกัญชา ไม่ใช่ยาเสพติด แต่ต้องจดแจ้งให้รัฐได้ทราบ แต่เฉพาะสารสกัดที่มีสาร THC คือสารที่ทำให้เมา เกินกว่า 0.2 เปอร์เซ็นต์ เป็นยาเสพติด ก็คือว่า สารสกัด THC ห้ามเกิน 0.2 แต่ก็สามารถเอามาใช้ในทางการแพทย์ การวิจัย แต่ยังไม่จบ เพราะว่าประมวลกฎหมายยาเสพติด ระบุว่า ถ้าจะเพิกถอน เปลี่ยนแปลงประเภทยาเสพติด รัฐมนตรีฯ สาธารณสุขจะต้องลงนามประกาศ โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ ป.ป.ส. เสียก่อน

เท่าที่ผมทราบมานะท่านผู้ชม ป.ป.ส. ยังไม่ต้องการปลดล็อก มีแนวโน้มจะขวาง หรือแท้ที่จริง ผมอยากจะเปลี่ยน ตั้งคำถามใหม่ว่า มีฝ่ายการเมืองในรัฐบาลแอบหนุนหรือขยิบตาให้ขวางพรรคภูมิใจไทยอยู่หรือเปล่า


บางคนถึงกับกล้าพอที่จะบอกว่า จริงๆ แล้วท่านนายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ ท่านไม่ต้องการให้ปลดล็อกกัญชา ท่านเลยกระซิบไปทางเลขาฯ ป.ป.ส. ก็เลยเกิดขบวนการขัดขวางกัญชาเยอะแยะไปหมดเลย ซึ่งจริงหรือไม่จริง ผมไม่รู้

ประการที่ห้า ข้อเท็จจริงจากงานวิจัยในระบาดวิทยา วารสารด้านการเสพติด ชื่อ Drug and Alcohol Dependence ซึ่งตีพิมพ์ในสิบปีที่แล้ว (2554)


เขาค้นพบ วิจัย และเจอความจริงซึ่งเป็นความจริงที่เจ็บปวดมาก เขาบอกว่ากัญชาเสพติดได้ยากกว่าเหล้าและบุหรี่ เพราะงานวิจัยชิ้นนี้พบว่า คนที่สูบบุหรี่ครั้งแรกจะมีโอกาสติดบุหรี่ถึง 67.5 เปอร์เซ็นต์ คนที่ดื่มเหล้าครั้งแรกมีโอกาสติดเหล้า 22.7 เปอร์เซ็นต์ แต่คนที่สูบกัญชาครั้งแรก มีโอกาสจะติดกัญชาเพียง 8.9 เปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นแล้วแปลว่าอะไร ? แปลว่ากัญชานั้น เสพติดยากกว่าเหล้าและบุหรี่ชัดเจน แต่ตลกไหมท่านผู้ชม เหล้ากับบุหรี่กลับสามารถขายได้ตามร้านสะดวกซื้อ ร้านอาหาร โรงแรม แต่ใครแม้แค่ปลูกกัญชาก็ต้องถูกจับและติดคุก ท่านผู้ชมครับ มันเป็นตรรกะที่เฮงซวยมากเลย ฟังไม่ขึ้น เพี้ยนจริงๆ

ประการที่หก ก็เลยมีข้อถกเถียงว่า แม้กัญชาเสพติดยากกว่าเหล้าและบุหรี่ แต่ออกฤทธิ์ทางจิตประสาทได้ ทำให้เมาได้ ประกอบกับเหล้าและบุหรี่เสพติดมากอยู่แล้ว เหตุใดจะเพิ่มสิ่งเสพติดเข้ามาอีก ก็คือพูดง่ายๆ ว่า เรามีเหล้าและบุหรี่ที่เสพติดมากอยู่แล้ว ไปเพิ่มกัญชามาอีกทำไม ท่านผู้ชม ผมก็เลยอยากตั้งคำถามว่า คุณบอกว่ากัญชามีฤทธิ์ทำให้เมาได้ ผมถามว่า เหล้าออกฤทธิ์ทางจิตประสาท เมาอาละวาด วิวาท ฮึกเหิม ท่านผู้ชมครับ กัญชาเมาแล้วหลับ ท่านผู้ชมครับ กัญชาถ้าเมาแล้วหลับ แต่เหล้าถ้าเมาแล้วกลายเป็นขุนศึกเลย ลุกขึ้นมาอาละวาด มีเรื่องมีราว แต่กัญชาเมาแล้วหลับ แล้วคนที่สูบกัญชานั้น ขี้กลัว ไม่กล้ามีเรื่องกับใคร ท่านผู้ชม ใช้ตรรกะ สามัญสำนึกคิด ถ้าอย่างนั้นระหว่างเหล้า กับกัญชา อะไรอันตรายกว่ากัน ถ้าเหล้ายังขายได้ เราควบคุมอย่างไร กัญชาก็ต้องควบคุมเหมือนเหล้าเช่นกัน ถ้าเราไม่เห็นด้วยกับกัญชา ประเทศไทยก็ไม่ควรจะให้เหล้าและบุหรี่ขายในประเทศด้วย มันจะเกิดสองมาตรฐาน จริงหรือเปล่าท่านผู้ชม


ข้อที่เจ็ด ผลการศึกษาทั่วโลกพบว่ากัญชาไม่เพียงแต่ติดยากกว่าเหล้าและบุหรี่ แต่กัญชายังมีสมุนไพรที่มีสรรพคุณมากมาย เหล้าและบุหรี่ไม่มีเลย มีแต่โทษและสุขภาพ คือพูดง่ายๆ ว่า เรายอมรับยาพิษ คือเหล้า และบุหรี่ อยู่ในตลาด แต่เราไม่ยอมรับกัญชา ซึ่ง หนึ่ง ติดยากกว่า สอง เมื่อติดแล้ว หรือสูบกัญชา หรือติดกัญชาแล้ว จะเกิดอาการง่วงนอน ขี้กลัว ไม่กล้ามีเรื่องมีราว คนสูบกัญชาไม่เคยทะเลาะเบาะแว้งกับใคร แต่คนที่วิวาทและทะเลาะเบาะแว้ง คือคนที่กินเหล้า แล้วเหล้ากับบุหรี่ก็ไม่ได้ให้ประโยชน์อะไรกับสุขภาพ แต่กัญชากลับมีข้อดีในการรักษาสุขภาพในหลายๆ ด้าน ตลกไหมท่านผู้ชม ใครก็ตามที่ยังคิดขวางกัญชา ผมคิดว่าสติไม่สมบูรณ์ มีอคติเป็นส่วนตัว เป็นคนที่ใช้ไม่ได้ เพราะตรรกะแบบนี้คุณยังไม่สามารถทำความเข้าใจได้

ท่านผู้ชมครับ สรรพคุณสมุนไพรกัญชาช่วยให้หลับ ลดความเครียด ลดการอักเสบ ลดอาการเกร็งชัก ลดอาการปวด ลดอาการพาร์กินสัน ลดอาการข้างเคียงจากการรักษาโรคมะเร็ง และอีกเยอะ สิ่งที่พิสูจน์เห็นได้ชัดก็คือ กระทรวงสาธารณสุขประกาศให้หลายตำรับยาหลายสิบตำรับที่มีกัญชาเป็นส่วนผสมนั้น เป็นบัญชียาหลักแห่งชาติ นั่นคือ ได้รับยาฟรีจากภาครัฐ กระทรวงสาธารณสุขยังอยมรับ แล้วพวกคุณที่มานั่งขวางเป็นจระเข้ขวางคลอง เป็นเพียงเพราะว่า หนึ่ง งบประมาณการปราบปรามยาเสพติดของคุณส่วนของกัญชาต้องหายไป คุณไม่ยอม และก็บางคนเป็นถึงหมอ บางคนเป็นถึงผู้พิพากษา บางคนออกมาคัดค้านว่าเป็นยาเสพติด คนเมากัญชาแล้วจะก่อให้เกิดการวิวาท ซึ่งโกหกทั้งเพ เพราะผมพูดไปแล้ว คนเมากัญชาคือคนขี้กลัว

ท่านผู้ชมครับ สมัยผมหนุ่มๆ นะ ผมจำได้ ผมไปทำงานซัมเมอร์ที่เลคทาโฮ (Lake Tahoe) รัฐเนวาดา เขาไปเช่าบ้านกันอยู่ ใหญ่เลย มีฝรั่ง พวกนั้นมาจากรัฐต่างๆ มาทำงาน ทำงานในบ่อนการพนัน ซาฮารา ทาโฮ หลายแห่ง ผมจำได้เลยวันนั้นวันหยุดของผม ผมก็มาอยู่ตรงเทอร์เรซ ก็มีการส่งกัญชามาให้สูบกัน ผมก็สูบกัญชา ตอนนั้นผมเพิ่งจะ 19-20 ผมไม่เคยสูบมาก่อนเลย ผมเวียนหัว โลกมันหมุน แล้วผมก็ยิ้มตลอดเวลา เหมือนกับเห็นอะไรก็ตลก ยิ้ม หัวเราะ พอมีเสียงอะไรปัง ผมตกใจกลัว นี่คืออาการของคนเมากัญชา ท่านผู้ชมครับ แล้วคนเมากัญชาแบบนี้มันจะไปทะเลาะกับใคร ผมอยากจะเปิดเบิกเนตรคนที่ขวางในเรื่องนี้ว่า สูบกัญชาแล้วทำให้เสพติด ทำให้ทะเลาะวิวาทกัน ไม่ใช่


นอกจากนั้นแล้ว กัญชายังช่วยลดการนำเข้ายาจากต่างประเทศ ท่านผู้ชมครับ ทุกวันนี้หลายคนนอนไม่หลับ ขอ CBD มาจากผม ผมก็ไปหาซื้อมาจากตลาดมืด เขาขายกันทั่วไปหมดเลยตอนนี้ มีเจ้าหน้าที่รัฐที่งี่เง่าเท่านั้นเอง หลับตาสองข้าง ไม่ยอมรับตรงนี้ ผมก็ซื้อส่งไปให้บางคนที่อุดรฯ 2 ขวดเล็กๆ ผมถาม ซ้อ ชอบเหรอ - ฉันนอนไม่หลับมา แล้วฉันไม่อยากกินยานอนหลับ ฉันก็เลยเอากัญชา 2 หยด หยดใต้ลิ้น ฉันหลับสบาย ไม่มีผลอะไรต่อร่างกาย เพราะฉะนั้นถ้าคนเริ่มใช้กัญชาเป็น มียา CBD สารสกัดกัญชา แน่นอนต้องไม่เกินเปอร์เซ็นต์ที่กระทรวงสาธารณสุขตั้งเอาไว้ ยานอนหลับขายไม่ออก เห็นไหม นี่ชัดๆ

นอกจากนั้น กัญชายังเป็นพืชสมุนไพรที่สามารถส่งออก หารายได้เข้าประเทศได้อีกด้วย ท่านผู้ชมครับ ยังมีอีกเยอะแยะไปหมด หลายคนเป็นมะเร็งแล้วรักษาด้วยกัญชา โรงพยาบาลบางแห่งไม่ยอมจ่าย บางแห่งใจกว้างพอที่จะให้ลูกหลานใช้กัญชาเข้าไปช่วย หมอเดชา ใช้กัญชารักษาคนหายไปเยอะแยะไปหมด ทุกวันนี้หลายคนที่เป็นมะเร็ง แล้วหายเพราะกัญชาก็มีจำนวนไม่น้อย แต่เราขาดการวิจัย ในขณะซึ่งฝรั่งต่างชาติเขาวิจัยไปไกลแล้ว ไกลกว่าเราเยอะเลย แต่เรายังมัวงี่เง่าอยู่ด้วยคนเพียงไม่กี่คน ที่นอกจากโง่แล้ว ยังไม่ยอมรับตรรกะเหตุผลต่างๆ ว่ากัญชาไม่อันตราย และกัญชาช่วยชีวิตคน ช่วยปัญหาเรื่องสุขภาพ

ข้อทีแปด ท่านไปดูอเมริกา หมอเอย ตำรวจ ทหาร ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. หลายคน เทิดทูนอเมริกามาตั้งแต่ต้น ผมเอาแผนที่ให้ดู


อัปเดตล่าสุดเดือนนี้ มกราคม 2565 ตอนนี้รัฐในอเมริกากำหนดให้กัญชาผิดกฎหมาย เป็นรัฐสีส้มในแผนที่ มี 4 แห่งเอง ในแผนที่ ที่เหลือ 6 รัฐ จากทั้งหมด 50 รัฐ มีโอไฮโอ ไวโอมิง แคนซัส นอร์ธแคโรไลนา เซาท์แคโรไลนา เนบรัสกา เปรียบกับรัฐที่กำหนดให้กัญชาถูกกฎหมาย ก็คือถูกกฎหมาย 100 เปอร์เซ็นต์ เป็นสีดำในแผนที่ เยอะแยะไปหมด รัฐอะแลสกา แอริโซนา แคลิฟอร์เนีย โคโลราโด คอนเนตทิคัต อิลลินอยส์ เมน แมสซาชูเซตส์ มิชิแกน มอนทานา เนวาดา นิวเจอร์ซีย์ นิวเม็กซิโก นิวยอร์ก ออริกอน เวอร์มอนต์ เวอร์จิเนีย วอชิงตัน รวมไปจนถึงเมืองหลวงของอเมริกา คือ วอชิงตัน ดี.ซี. ส่วนรัฐที่อยู่ในการปรับเปลี่ยนนั้น จากรัฐสีเขียวและสีเทานั้น มีอยู่ 26 รัฐ ผมก็เลยถามอย่างนี้ ท่านผู้ชม ผมถามคนไทยหัวใจฝรั่งที่ชอบยึดถือกฎระเบียบยารักษาโรค อุปกรณ์ทางการแพทย์ อ้างยาฝรั่ง ปฏิเสธสมุนไพรไทย ปฏิเสธฟ้าทะลายโจร คุณอ้างอิงฝรั่งฉิบหายเลย อ้างอิงอเมริกา อ้างอิงตะวันตก เพื่อกีดกันแพทย์แผนไทย ยาไทย ภูมิปัญญาไทย แล้วทำไมเรื่องกัญชาที่ฝรั่งยอมรับแล้ว หลายรัฐ บางประเทศเขาคลายกฎระเบียบ ถือว่าเป็นของถูกกฎหมาย เขาคลายมาตั้งสิบปีแล้ว เขาบอกว่ามันมีประโยชน์มากกว่าโทษ ถ้ามันเป็นอย่างนี้แล้วทำไมคุณทะลึ่งไม่ใช้มติของฝรั่งเขาบ้าง ทั้งๆ ที่คุณเคารพฝรั่งอย่างกับพ่อ ในเรื่องของการเอาประเด็น ยาไทยไม่ได้ ต้องยาฝรั่ง โน่นนี่นั่น เพราะเขามีการวิจัย เอ้า! แล้วทีฝรั่งยกเลิกกัญชาว่าไม่ผิดกฎหมาย เพราะมันมีประโยชน์ เอามารักษาโรคได้ แล้วทำไมพวกคุณถึงไม่ยึดถือตรงนี้บ้าง

ประการที่เก้า พรรคภูมิใจไทยเป็นพรรคการเมืองพรรคเดียวที่มีจำนวน ส.ส. ก้าวกระโดดในการเลือกตั้งที่ผ่านมา ทุกคนรู้หมดเลยว่าพรรคภูมิใจไทยได้รับความไว้วางใจจากประชาชนมากเช่นนี้ก็เพราะชูนโยบายกัญชาเสรี 6 ต้น ทุกครัวเรือน


ผมก็เลยไม่ประหลาดใจว่าทำไมคุณศุภชัย ใจสมุทร ถึงเดินหน้าชน ตายเป็นตายเลยงานนี้ เขาต้องทำภารกิจในการปลดล็อกให้สำเร็จ ถ้าคณะกรรมการ ป.ป.ส. ไม่เห็นชอบ ถ้าสมมุติว่าไม่เห็นชอบ ผมเชื่อว่าจะมีเบื้องหลังที่ใหญ่กว่าหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย อย่าให้ผมเอ่ยชื่อเลย ท่านก็คงจะรู้ เดาออก อาจจะกระซิบบอกยังไม่ให้ปลดล็อกกัญชา

ผมเสนออย่างนี้ ถ้าคณะกรรมการ ป.ป.ส. ถือหางอยู่โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ทำตามในการปลดล็อกกัญชา ผมว่าพรรคภูมิใจไทยควรจะถอนตัวออกจากรัฐบาล อย่าไปอยู่ ระหว่างที่กลุ่มธรรมนัส พรหมเผ่า ถูกขับไล่ออกจากรัฐบาล ออกจากพรรคพลังประชารัฐ กับคุณถอนตัวออกจากรัฐบาล เพราะว่าคุณค้นพบแล้วว่าผู้มีอำนาจสูงสุดในรัฐบาลไม่สนับสนุนนโยบายที่คุณทำ ทั้งๆ ที่เป็นนโยบายที่ดี ผ่านขั้นตอนไปหมดแล้ว ไม่มีประโยชน์ที่จะไปค้ำจุนรัฐบาลชุดนี้ ออกไปเลย ให้มันยุบสภาไปเลย แล้วเลือกตั้งใหม่ แล้วคุณขายไอเดียให้ประชาชนได้ว่าคุณทำทุกอย่าง อย่างสุดความสามารถแล้ว แต่มันติดที่ข้าราชการและติดที่ผู้มีอำนาจเหนือข้าราชการ

ท่านผู้ชมครับ ข้อที่สิบ มันเป็นเรื่องตลกร้ายที่สุดในสังคม ฝ่ายที่ระมัดระวังเรื่องสุขภาพของประชาชน คือกระทรวงสาธารณสุข เป็นฝ่ายผลักดันให้เห็นประโยชน์ของกัญชาต่อสุขภาพ และเห็นโทษในเรื่องกัญชาที่น้อยกว่าเหล้าและบุหรี่ ถามจริงๆ ถ้าฝ่ายสาธารณสุข ซึ่งคุมในเรื่องสุขภาพประชาชนเห็นอย่างนั้น แล้ว ป.ป.ส. มีความชอบธรรมอะไรที่ยังต้องการคงอำนาจในการจับกุมอีก ระวังสังคมเขาสงสัยว่าเจ้าหน้าที่รัฐที่เคยทำหน้าที่ในการจับกุมจะสูญเสียรายได้จากส่วยหรือสินบนเรื่องกัญชาหรือเปล่า


ประการที่สิบเอ็ด ประการสุดท้าย กัญชา กระท่อม ฟ้าทะลายโจร เป็นกรณีศึกษาที่ทำให้เห็นว่ามีขบวนการขัดขวางประชาชนในการพึ่งตัวเองในเรื่องสุขภาพ ขบวนการขัดขวางนั้น ล้วนแล้วแต่สูญเสียผลประโยชน์ทางธุรกิจยา ธุรกิจทางการแพทย์ รวมทั้งสูญเสียเงินที่เป็นส่วยและสินบน ผมก็เลยเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยจำเป็นต้องมีทิศทางในการทำให้กัญชา กระท่อม ฟ้าทะลายโจร และตำรับยาไทย สมุนไพรไทยจำนวนมากเข้าสู่งานวิจัย เพื่อไม่เพียงทำให้ประเทศไทยอยู่กับโควิด ไม่ปิดกิจการเท่านั้น แต่ยังเป็นตัวกอบกู้ ฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยต่อไปอีกด้วย

ท่านผู้ชมครับ ขอต่อท้ายเรื่องกัญชานิดหนึ่ง ในวันอังคารที่ 18 มกราคม อาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ได้ออกมาให้ข้อมูลเรื่อง กัญชา เป็นสมุนไพรหรือยาเสพติด กันแน่ จับตาความไม่ลงรอยระหว่างฝ่ายการเมืองและฝ่ายปราบปราม ที่มีประชาชนเป็นผู้รับกรรม ปัญหาแท้จริงอยู่ที่ไหน ใครจริงใจ ใครขัดขวางกัญชา เพื่ออะไร ท่านผู้ชมครับ มีท่านผู้ชมรายการนี้คอมเมนต์เข้ามา ผมจะเอาบางคอมเมนต์มาอ่านให้ท่านผู้ชมฟัง


คนแรก คุณ Yui Rayon คอมเมนต์ว่า "ไม่เคยได้ยิน เมากัญชาอาละวาด ได้ยินบ่อยคือเมายาบ้าอาละวาดกับเมาสุรา แล้วที่คนป่วยหายโรคจากการใช้กัญชาก็ผิดด้วยหรือ ใช้สมองคิดกันด้วย อย่ามัวแต่มาบ้าจับจำพวกพืชเลย ยาบ้า ทำไมไม่จับไล่บี้ถึงต้นตอ ดีแต่ให้สายยามาต่อล่อซื้อ จับได้เข้าเซฟเฮ้าส์ แล้วว่ากันอีกที สรุปคือจับยาบ้าดีกว่าไปจับกัญชา"

อีกความเห็นหนึ่ง นี่ผมดึงออกมาบางส่วนนะครับ จริงๆ มีเยอะมาก คุณ เอื้อง ชิณพงษ์ "(กระผมไม่ใช่คนสูบหรือไม่เคยเสพกัญชา) ผมขอเป็นกลางครับ คือที่บอกว่ากัญชาคือยาเสพติด กระผมขอถามว่า คนที่สูบกัญชา เคยไปทำมิดีมิร้ายกับใครหรือไม่ เคยได้เข่นฆ่าใครไหม เขาสูบเสพแล้วมีความสุข หัวเราะบ้าบออยู่กับที่ บุคคลพวกนี้ไม่เคยมีเงินส่งรายได้ให้กับรัฐ ไม่เคยสร้างความเดือดร้อนให้กับใคร ส่วนสุรายาเมาเหล้าห่าเหวอะไรทั้งหลายแหล่ (กระผมก็ดื่มเหล้าครับ) ที่มันถูกต้องตามกฎหมาย และมีรายได้ให้กับรัฐมากมายก่ายกอง แดกดื่มได้อย่างเสรี แต่สร้างความฉิบลหายวายป่วงให้กับประเทศชาติมิอาจประเมินได้ คงไม่ต้องสาธยายมากนะครับ ว่าบุคคลที่ดื่มแดกเหล้าเมาแล้ว สร้างความเสียหายและตายห่าตั้งมากมาย คิดชั่งตวงดูบ้าง ได้เงินดีแต่มีความฉิบหาย ถามจริงคนสูบกัญชาเคยสร้างความเสียหายให้ประเทศชาติหรือเปล่าครับ แล้วพวกที่แดกเหล้าสร้างความเสียหายให้ประเทศชาติมากเท่าไร แทบจะประเมินไม่ได้ ใช่ครับ ภาษีบาปได้เงินดี แต่โคตรฉิบหายเยอะกว่า"

คุณ Sak Mangprasit "เสียผลประโยชน์ของคนกลุ่มๆ หนึ่งที่ไม่ให้ผ่านกฎหมายกระมัง"

คุณ ธีระพงษ์ พุ่มพฤกษา "สำหรับผมคือ สมุนไพร ถ้าไม่ดี ร.5 ไม่เขียนไว้ให้ลูกหลานเอามารักษาโรคหรอกครับ"

คุณ Phanom Phetrak "เสี่ยงต่อการอดตายต่อผู้ใช้กฎหมาย ถ้าหากปลดล็อกกัญชา"


คุณ Surasit Vichakenayn "กระท่อม มันก็ยาสมุนไพร กัญชามันก็ยาสมุนไพร ยาสูบมันก็ยาสมุนไพร อะไรที่มาจากธรรมชาติคือยาสมุนไพร ถ้าเป็นยาปรุงแต่งนั้นคือยาเสพติดครับ เช่น ยาบ้า ยาม้า ผงขาว เฮโรอีน นั่นยาเสพติด"

เพียงพอแล้วนะครับ ความเห็นประชาชนเล็กๆ น้อยๆ ยังมีอีกเยอะ ผมคัดกรองมาบางส่วนเท่านั้นเอง
.

ท่านผู้ชมครับ ก่อนที่ผมจะมาพูดเรื่องที่กำลังร้อนแรงอยู่วันนี้ หรืออย่างที่โปสเตอร์ของรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" บอกว่า "มันจบแล้วนาย" หรือว่า "น้องตู่ขอมา พี่ป้อมจัดให้" เรื่องนี้มีเบื้องหน้าเบื้องหลังที่จะว่าลึกซึ้งก็ไม่ลึกซึ้ง เอาเป็นว่าสนุกสนานก็แล้วกัน แต่ว่าผมขอพูดเรื่องอื่นก่อนแล้วกัน

ในช่วงบ่ายของวันพุธที่ 19 มกราคม สองวันที่ผ่านมา มีการเปิดตัวพรรคการเมืองใหม่ของ ดร.อุตตม สาวนายน และคุณสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เขาตั้งพรรคชื่อว่า พรรคสร้างอนาคตไทย โดย ดร.อุตตม เป็นหัวหน้าพรรค และคุณสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เป็นเลขาธิการพรรค


ก็เป็นเรื่องราวที่ปกติธรรมดาของการทำอีเวนต์ แนะนำตัวผู้สมัคร แนะนำตัวหัวหน้าพรรค แต่ที่น่าสนใจที่สุด มันมีนัยสูงมาก เลขาธิการพรรคสร้างอนาคตไทย ชื่อ สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ประกาศ ลั่นวาจาชัดเจนว่าพรรคสร้างอนาคตไทย ไม่ได้เป็นนอมินีของใคร และในการเลือกตั้งครั้งหน้าก็จะไม่เสนอรายชื่อของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็น 1 ใน 3 แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีแต่อย่างใด นี่ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก ตอนที่มีข่าวว่า สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ และอุตตม จะตั้งพรรคการเมืองนั้น หลายคนก็ตีความกันว่าเป็นพรรคอะไหล่ของ พล.อ.ประยุทธ์ หรือเปล่า


วันนี้ สนธิรัตน์ ประกาศชัดเจนแล้วว่าไม่ใช่ ก็เท่ากับว่าปิดประตูอีกบานหนึ่งแล้วที่คุณประยุทธ์ จะใช้พรรคสร้างอนาคตไทย ผมเข้าใจว่าก็จะมี ส.ส. หลายคน ที่น่าสนใจที่สุดคือ ส.ส. จากพรรคพลังประชารัฐ หลายคน ก็คงจะมาอยู่ที่นี่ด้วย เหตุการณ์จะเป็นอย่างไร แล้วผมจะวิเคราะห์ต่อให้

ถ้าท่านผู้ชมดูรายการของผมเมื่อประมาณสองอาทิตย์ที่แล้ว ที่ผมพูดเรื่องการเมือง ผมได้พยายามที่จะอธิบายความให้ฟังถึงความขัดแย้งกันภายใน ใครมีโอกาสร่วมกับใคร แล้วทางเดินของ พล.อ.ประยุทธ์ จะเป็นอย่างไร พล.อ.ประวิตร เป็นอย่างไร ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เป็นอย่างไร แล้วผมก็พูดชัดเจนว่าพรรคพลังประชารัฐแตกแน่นอน วันนี้ก็ชัดเจนแล้วว่าแตก


จริงๆ แล้วผมอยากจะพูดถึงเรื่องการเลือกตั้ง ส.ส. เขต 6 ที่ จ.สงขลา และเขต 1 ที่ จ.ชุมพร เพราะว่ามันมีนัยทางการเมืองเยอะมาก เอาเป็นว่าผมเล่าเรื่องนัยทางการเมือง การเลือกตั้งนี้ ประกอบกับเรื่องหลักที่ผมจะพูดก็แล้วกัน

เรื่องหลักที่ผมจะพูดวันนี้ คือการที่พรรคพลังประชารัฐมีมติขับไล่ธรรมนัส พรหมเผ่า และ ส.ส. 21 คน ออกจากพรรค ข้อหาผิดจรรยาบรรณเอย โน่นนี่นั่น รวมไปจนถึงเรียกร้องขอตำแหน่ง ซึ่งผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ไร้สาระ แต่ประเด็นหลักก็คือว่า ฟังดูแล้วเหมือนกับว่ามีเรื่องกัน ไม่เผาผีกัน แต่ไม่ใช่ หมากนี้เป็นหมากที่แยบยลมาก แล้วผมคิดว่าเป็นหมากที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ได้วางเอาไว้

เบื้องหลังของมัน ก็อธิบายให้ท่านผู้ชมฟังนิดหนึ่ง หลังจากการเลือกตั้งเสร็จแล้ว พรรคประชาธิปัตย์ได้ ส.ส. ทั้งสองเขต ทั้ง จ.สงขลา และชุมพร พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ไปพูดคุยกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ โดยที่ไปพูดกันแบบเปิดอกว่า ธรรมนัส ทำให้พรรคพลังประชารัฐเสียชื่อมาก แล้วไปทำให้พรรคร่วมรัฐบาลไม่พอใจอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ ท่านค่อนข้างจะ favor อย่างมากมาย ก็เลยขอร้องให้ พล.อ.ประวิตร ช่วยไล่ธรรมนัส พรหมเผ่า ออกจากพรรคพลังประชารัฐทีได้ไหม พล.อ.ประวิตร ท่านก็ในกระบวนทัศน์ที่คิดว่าถ้าน้องขอมา เดี๋ยวพี่จัดให้ พล.อ.ประวิตร ก็เลยจัดให้ แต่จัดให้ก็คือว่าไล่ธรรมนัส และ ส.ส. อีก 21 คน

ท่านผู้ชมครับ ก่อนจะไปถึงเบื้องหน้าเบื้องหลังของ ทำไมต้องเป็น ส.ส. 21 คน แล้วทำไมคณะกรรมการบริหารทั้งหมด 78 คน ถึงพร้อมเพรียงกันเหลือเกิน ตัดสินใจขับไล่ออก เรามาดูย้อนหลังกันิดหนึ่ง


ตั้งแต่ พล.อ.ประยุทธ์ กับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า มีเรื่องมีราวกัน อย่างที่ผมเคยเรียนให้ท่านผู้ชมทราบ จำได้ไหมว่า คุณธรรมนัส พรหมเผ่า เป็นหัวจักรสำคัญในการเดินเรื่อง ส.ส. ที่จะล้ม พล.อ.ประยุทธ์ ในสภา ซึ่งแน่นอนที่สุด ผมยืนยันได้ว่างานนี้ถ้า พล.อ.ประวิตร ไม่ไฟเขียว ร.อ.ธรรมนัส ก็ทำไม่ได้เช่นกัน แต่เผอิญความมันแตก เมื่อความแตกเสร็จเรียบร้อยแล้ว พล.อ.ประวิตร ก็มีความรู้สึกว่า เดี๋ยวสังคมจะหาว่ารุ่นพี่รังแกรุ่นน้อง ก็เลยสั่งเบรก ร.อ.ธรรมนัส ให้ถอยออกมา ก็เลยไม่มีการคว่ำ พล.อ.ประยุทธ์

พล.อ.ประยุทธ์ ก็เลยล้างแค้นด้วยการปลด ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า และเจ๊แหม่ม หรือนางนฤมล ออกจากตำแหน่งทั้งสองตำแหน่ง คือ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน โดยทำเรื่องโดยใช้มาตรา 170 เสนอขึ้นไปขอพระบรมราชานุญาตให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระบรมราชโองการปลดทั้งสองคนออกมา รอยแตกร้าวนี้มันก็เลยสร้างให้เห็นว่าทั้งสองฝ่ายไม่สามารถตกลงกันได้ด้วยดี ส่วนหนึ่งก็อาจจะเป็นเพราะว่า ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า มีความรู้สึกว่า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่มีความจริงใจ เคยทำงานให้ แต่ถึงเวลาแล้วเอาตัวรอด ก็เลยยกทัพออกมา แล้วในที่สุดแล้ว พล.อ.ประวิตร ก็มองว่า ร.อ.ธรรมนัส จะเป็นมือทำงานให้ พล.อ.ประวิตร ก็เลยตั้ง ร.อ.ธรรมนัส ขึ้นมาเป็นเลขาธิการพรรค


ซึ่งก็ทำความเจ็บช้ำน้ำใจให้กับ อย่างน้อยที่สุดก็พรรคพวก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รวมทั้งตัว พล.อ.ประยุทธ์ ด้วย

เป็นที่รู้กันว่าทั้งสองคนนี้ผีไม่เผา เงาไม่เหยียบแน่นอน แล้วก็ไม่ใช่เป็นเรื่องของการเมืองที่ถ้าผลประโยชน์ตรงกันแล้ว ความเป็นศัตรูก็จะหายไป สองคนนี้ไม่มีวันที่จะเป็นเพื่อนกันอีกต่อไป

ทีนี้ พอการเลือกตั้งเกิดขึ้นมาแล้ว ทางใต้ ก็ปรากฏว่า ร.อ.ธรรมนัส ก็เป็นตัวเจ้ากี้เจ้าการ ส่งคนลงไป เลือกคนที่สมัครลงไปว่าจะไปแข่งกับใครบ้าง รวมทั้งพา พล.อ.ประวิตร ไปขึ้นเวที ไปให้กำลังใจ คำถามมีอยู่อย่างนี้ว่า ในการลงไปต่อสู้กับพรรคประชาธิปัตย์นั้น พล.อ.ประวิตร และ ร.อ.ธรรมนัส ถูกมัดมือ ก็คือว่าไม่สามารถที่จะพูดโจมตีบทบาทพรรคประชาธิปัตย์ในรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของถุงมือยาง คดโกงถุงมือยางขององค์การคลังสินค้า หรือเรื่องหน้ากากอนามัยที่หายไป หรือเรื่องหมูที่แพง หลายๆ เรื่องของการทำงานที่ผิดพลาดของพรรคประชาธิปัตย์ แล้วก็ในหลายกรณีมีส่อเจตนาว่า มีโอกาสที่จะมีการทุจริตกันได้


แต่ฝั่งตรงข้ามพรรคประชาธิปัตย์นั้น เหมือนกับได้งานของ พล.อ.ประยุทธ์ มา ได้ฉันทานุมัติมา ได้ไฟเขียวมา ก็ถล่ม ถล่มเลยนะท่านผู้ชม ถล่ม ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ด่าแบบเสียผู้เสียคนเลย พรรคประชาธิปัตย์ ในพื้นที่ตัวเอง ถ้าไปจัดปราศรัยใหญ่เมื่อไร ฝั่งตรงข้ามต้องฉิบหายทันที เพราะว่าสู้แรงด่าของพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ เพราะพรรคประชาธิปัตย์เก่งมากๆ ในเรื่องการด่า จริงหรือไม่จริงไม่รู้ แต่ขอด่าไว้ก่อน และคนฝีปากจัดปากหมาของพรรคประชาธิปัตย์นั้น มีอยู่เยอะ เข้าคิวเรียงกันเลย จากสงขลา ไปสุราษฎร์ฯ ก็ยังไม่หมด มิหนำซ้ำคราวที่แล้วยังขุดเอาคนอย่างเช่นไตรรงค์ สุวรรณคีรี ออกมาจากบ้านพักคนชรา ขึ้นมาเวที มาสั่งสอนธรรมนัส พรหมเผ่า อีกต่างหาก

ไตรรงค์ สุวรรณคีรี
ท่านผู้ชมครับ ตรงนี้เป็นเรื่องที่ พล.อ.ประวิตร ไม่พอใจอย่างมาก เพราะว่าพรรคประชาธิปัตย์ต้องได้รับไฟเขียวมาจาก พล.อ.ประยุทธ์ เพราะเป็นที่รู้กันว่าพรรคประชาธิปัตย์นั้น โดยนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ ผูกขาตัวเองเอาไว้กับ พล.อ.ประยุทธ์ จะสังเกตได้อย่างว่า หลายๆ เรื่องที่พรรคประชาธิปัตย์ทำนั้น ถึงจะมีข้อบกพร่องอย่างไรก็ตาม พล.อ.ประยุทธ์ ก็จะหลับตาข้างหนึ่ง ปล่อยให้ผ่านไป เพราะฉะนั้นแล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ มันเป็นความเจ็บช้ำน้ำใจที่ พล.อ.ประวิตร มีอยู่ในใจ และอีกประการหนึ่ง ในรูปแบบของการทำงานแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ ส่งนายสันติ พร้อมพัฒน์ และนายสุชาติ ชมกลิ่น ซึ่งเป็นสาย พล.อ.ประยุทธ์ ลงไปเป็นผู้อำนวยการการเลือกตั้ง

นายสันติ พร้อมพัฒน์ และนายสุชาติ ชมกลิ่น
พวก พล.อ.ประวิตร กับ ร.อ.ธรรมนัส ก็มีความรู้สึกว่าเมื่อแพ้การเลือกตั้งแล้ว ทำไมเขาสองคนถึงถูกด่าอยู่ฝ่ายเดียว ทำไมถึงไม่ด่าสุชาติ ชมกลิ่น แล้วทำไมถึงไม่ด่านายสันติ พร้อมพัฒน์ ซึ่งมีตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการเลือกตั้งที่ พล.อ.ประยุทธ์ ส่งไป นั่นก็เป็นรอยร้าวอีกรอยหนึ่ง บวกเข้าไปอีก

ผมจะอธิบายเรื่องนี้อย่างไรให้เห็นภาพชัด เอาอย่างนี้ดีกว่าท่านผู้ชม ผมจะอุปมาอุปไมยให้ฟัง อุปมาอุปไมยเหมือนเสลี่ยง ท่านผู้ชมเคยเห็นไหมครับ เสลี่ยง ที่หามกัน แล้วก็มีผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่นั่งอยู่ข้างบนเสลี่ยง พล.อ.ประยุทธ์ เป็นผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่นั่งอยู่บนเสลี่ยง คนหามก็คือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า และอีกหลายๆ คน นี่พูดถึงตอนต้นนะ ก็คือชู พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ แล้วพวกนี้ก็แบก พล.อ.ประยุทธ์ ต่อไป พวกนี้ก็เรียกร้องหลายอย่าง สักพักหนึ่ง ส่วนหนึ่งของสี่กุมารที่จำเป็นต้องออก ก็เพราะว่าพวกนี้ กลุ่มคุณธรรมนัส พรหมเผ่า นางนฤมล และสันติ พร้อมพัฒน์ พากันเรียกร้องให้ปลดสี่กุมาร เพราะต้องการที่จะเอาตำแหน่ง 4 ตำแหน่งนี้ มาแจกให้พรรคพวกตัวเอง


พล.อ.ประยุทธ์ ถึงจุดๆ หนึ่งก็ไม่กล้าจะฝืนกระแสตรงนั้น ก็เลยต้องยอม ก็เลยเป็นเหตุที่ทำให้พวกสี่กุมารนั้น มีความรู้สึกที่ไม่ดีกับ พล.อ.ประยุทธ์ เพราะเขามีความรู้สึกว่า เวลาเขาทำงานให้รัฐบาล เขาทำทุ่มสุดชีวิต แต่พอมีวิกฤตแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ ทิ้งเขาอย่างหน้าตาเฉย ทำได้อยู่อย่างเดียวคือส่ง LINE มาบอกว่า ขอให้เข้าใจผม ผมจำเป็นต้องทำ

วันที่เขาจะต้องออกจากทำเนียบฯ ไม่มีเลยน้ำใจ แม้แต่นิดเดียว ที่จะเรียกเข้าไปพบแล้วขอบคุณเขาที่ช่วยงานมาตลอด ไม่มี เดินทางไปดูงานต่างจังหวัด นั่นคือจุดแรกที่กลุ่มที่ไม่พอใจขับไล่คนที่อยู่นอกพรรคไป อย่างเช่น อุตตม ทั้งที่อุตตม เป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ สนธิรัตน์ เป็นเลขาธิการพรรค สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ไม่ได้เป็นอะไร สุวิทย์ เมษินทรีย์ ก็ไม่ได้เป็นอะไร แต่ในที่สุดแล้วกลุ่มที่ร่วมจับมือกันเพื่อขับไล่สี่กุมารนั้น ก็แตกคอกันเอง สันติ พร้อมพัฒน์ กับกลุ่มของพวกตัวเอง รวมทั้งกลุ่มสามมิตร ก็เอาตัวเอนเเอียงเข้าไปสู่ฝั่ง พล.อ.ประยุทธ์

ธรรมนัส พรหมเผ่า เมื่อหลังจากที่ถูกปลดออกมาแล้ว ก็มีความไม่พอใจอย่างสูง เมื่อไม่พอใจอย่างสูงแล้ว พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ด้านหนึ่งก็ถูกผูกมัดด้วยคำพูดที่ว่า จะชู พล.อ.ประยุทธ์ ไปจนตาย จะไม่มีวันพรากจากกัน นอกเสียจาก พล.อ.ประยุทธ์ เป็นอะไรไป พล.อ.ประวิตร ก็อาจจะเข้ามาฉกฉวยโอกาสนั้น แต่ต้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นอะไรไปก่อน ก็เลยจะมีวาทกรรมในทางสาธารณะให้เห็นชัดเจนว่า ผมจะไม่มีวันที่จะทิ้งประยุทธ์ เราอยู่กันมาตั้ง 40 ปี เรารักกันเหมือนพี่ เหมือนน้อง โตมาด้วยกัน ไม่มีวันที่เราจะแยกจากกัน แต่นั่นเป็นเพียงวาทกรรมที่สวยหรูเท่านั้นเอง แต่ในข้อเท็จจริงไม่ใช่ เพราะเมื่อธรรมนัส พรหมเผ่า ถูก พล.อ.ประวิตร ตั้งมาเป็นเลขาธิการพรรค แน่นอนที่สุด พล.อ.ประยุทธ์ ไม่พอใจอย่างมาก


เพราะฉะนั้นขบวนการที่จะลงมาเหยียบย่ำซ้ำเติม ร.อ.ธรรมนัส นั้น ก็มีมาตลอด พล.อ.ประยุทธ์ ท่านจะมีองครักษ์เสื้อแพร ในสมัยราชวงศ์หมิง จักรพรรดิ์จะมีองครักษ์ใส่เสื้อแพร แล้วก็มีอำนาจ ฆ่าใครก็ได้ องครักษ์เสื้อแพรนี้ก็มีอยู่ประมาณ 10 คน พวกนี้ก็จะมีหลายคนที่พวกเรารู้จักกัน ไม่มีความอะไรที่ต้องปิดเป็นความลับ

วันนี้ผมจะวิเคราะห์เรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมา และไม่เข้าข้างใครเลย ผมเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง มีคุณเปลว สีเงิน นักหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ มีเสรี วงษ์มณฑา มี พล.ท.นันทเดช แล้วก็มีท่านชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษา คือทั้งหมดจะมีประมาณสิบ หรือสิบกว่าคน ทิศทางจะไปในทางเดียวกันหมดเลย ทิศทางในช่วงนั้นคือทิศทางการเหยียบย่ำ ขับไล่ธรรมนัส พรหมเผ่า ให้ออกจากพรรคพลังประชารัฐ แล้วก็ฟาดงวงฟาดงาไปถึง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ไม่หยุดเลย โปสเตอร์ IO พวกนี้จะออกมาตลอด รวมทั้งสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม ก็เช่นกัน เหมือนกับต้องการให้ธรรมนัส เป็นหมาจรจัด ไร้เจ้าของ ต้องขับออกให้ได้ แต่ พล.อ.ประวิตร รู้ว่าธรรมนัส ก็คือหมากตัวหนึ่งที่ตัวเองจะใช้คาน พล.อ.ประยุทธ์ เพราะว่าในทางเปิด พล.อ.ประวิตร จะไปขวาง พล.อ.ประยุทธ์ อย่างเปิดเผยไม่ได้ เพราะตัวเองลั่นปากไว้แล้วว่าจะดูแล พล.อ.ประยุทธ์ ให้เป็นนายกฯ ตลอดไป

แต่ว่าในทางลับแล้ว ตัวเองก็ไม่พอใจ ที่ พล.อ.ประยุทธ์ ใช้ IO ของตัวเอง ที่ผมเอ่ยชื่อมีอยู่สิบกว่าคน (ยังมีอีกหลายคนนะครับ แต่รู้กันแค่นี้ก็แล้วกัน) ออกโซเชียลมีเดีย ด่า พล.อ.ประวิตร ด่าธรรมนัส พรหมเผ่า ด่าโน่นด่านี่ พอการเลือกตั้งแพ้ที่ชุมพร และสงขลา ปั๊บ ก็เป็นจังหวะของการขยับของกลุ่มสายของ พล.อ.ประยุทธ์ ตั้งแต่เสี่ยเฮ้ง สุชาติ ชมกลิ่น สันติ พร้อมพัฒน์ ก็เลยเกิดอาการที่เรียกว่า อาการ "แชตหลุด"

แชตหลุด จริงๆ ไม่ได้หลุดหรอก ตั้งใจให้หลุด ท่านผู้ชมครับ วันที่ประกาศผลการเลือกตั้งแล้ว แล้ววันที่พลพรรคของฝ่ายตรงข้าม ร.อ.ธรรมนัส ดุด่า ว่า หยามเหยียด การทำงานว่าไม่เหมาะที่จะอยู่ ไปได้แล้ว ไล่เป็นหมูเป็นหมา ห่างจากวันนั้นเพียงแค่ไม่เกิน 48 ชั่วโมง พล.อ.ประยุทธ์ ไปคุยกับ พล.อ.ประวิตร ขอให้ไล่ธรรมนัส ออก เหตุผลก็เพราะว่า ธรรมนัส สร้างความแตกแยกมากกับพรรคร่วมรัฐบาล ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ต้องออกมาด่าพรรคพลังประชารัฐ และไม่พอใจ ก็เข้าใจว่าคงมีการไปฟ้องร้องกันตั้งแต่เริ่ม ตั้งแต่การที่พรรคพลังประชารัฐจะส่งตัวแทนเข้าไปแข่ง ส.ส. สงขลา ตำแหน่งที่แทนคุณถาวร เสนเนียม ก็คงจะมีระดับสูงของพรรคไปคุยกับ พล.อ.ประยุทธ์ ว่าทำไมพลังประชารัฐมาทำแบบนี้ เราเป็นพรรคร่วมรัฐบาลกัน ควรจะเห็นแก่น้ำใจกัน ก็ไม่ฟังเสียง นั่นคือที่มาของการที่ พล.อ.ประยุทธ์ เฉยๆ เมื่อคุณจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ และบรรดาพรรคพวกในพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาเรียงหน้าด่า


ขาดอยู่อย่างเดียวคือไม่ได้ด่าโคตรพ่อโคตรแม่ เท่านั้นเอง นอกนั้นด่าครบชุดเป็นแพ็กเกจเลย มีทั้่งออเดิร์ฟ มีทั้งเมนคอร์ส มีทั้งของหวานตบท้าย ตามด้วยบรั่นดี ด่ากันเป็นชุด ตรงนี้ก็เลยทำให้ พล.อ.ประวิตร เตรียมตัววางแผนเอาไว้

ท่านผู้ชมจำได้ไหมผมเคยพูดว่า พล.อ.ประวิตร เคยเอา พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา มาเป็นประธานยุทธศาสตร์แห่งชาติ ผมเคยเล่าให้ฟังว่า พล.อ.วิชญ์ โดยพื้นฐานแล้ว เป็นนายทหารที่ชิงตำแหน่งรุ่นเดียวกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือรุ่นใกล้ๆ กัน แต่ว่า พล.อ.ประยุทธ์ เส้นสายดีกว่าก็เลยได้เป็น ผบ.ทบ. พล.อ.วิชญ์ ไม่พอใจมากที่โดนข้ามหัว เพราะว่า พล.อ.ประยุทธ์ ใช้เส้น พล.อ.วิชญ์ ก็เลยเหมือนกับผีไม่เผา เงาไม่เหยียบ กับ พล.อ.ประยุทธ์


เช่นกัน การที่ พล.อ.ประวิตร เอา พล.อ.วิชญ์ มาเป็นประธานยุทธศาสตร์ฯ นั้น ภาพก็ชัดเจน ตอนนั้นผมอธิบายไปแล้วว่าสงครามเริ่มเกิดขึ้นแล้ว เป็นเพียงแต่ว่าผู้ใหญ่-ผู้ใหญ่ เวลาเขารบกัน เขาจะใช้นอมินีรบกัน แต่ฉากหน้า ต่อหน้ากล้องโทรทัศน์ ต่อหน้าผู้สื่อข่าว ก็จะบอกว่ารักกันดี มีการไปส่ง พล.อ.ประวิตร ขึ้นรถ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้าส่งขึ้นรถแค่วันเดียวเท่านั้นเอง ตอนที่ทะเลาะกันในเรื่องของการปลดธรรมนัส พรหมเผ่า กับนฤมล นั้น ผู้สื่อข่าวของเราที่อยู่ที่ทำเนียบฯ ได้ยินเลย พูดออกมาว่า พล.อ.ประวิตร ท่านพูดอย่างมีอารมณ์ว่า ทำไมไม่พูดกับท่านสักคำก่อน ทะเลาะกันหนัก แล้วพอลงมาปั๊บ จากทำเนียบฯ ต่างคนต่างแยกย้ายขึ้นรถ ซึ่งผิดปกติสมัยนั้น ผมวิเคราะห์ให้ฟังแล้วว่าสมัยนั้นธรรดาพอลงจากรถปั๊บ พอลงมาจากทำเนียบฯ ปั๊บ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องไปส่ง พล.อ.ประวิตร ขึ้นรถก่อน แต่วันนั้นแยกเลย

หลังจากนั้นอีกวันหนึ่ง คงจะรู้แล้วว่าสังคมจับได้ พล.อ.ประยุทธ์ ก็เลยกลับมาอี๋อ๋อกับ พล.อ.ประวิตร ต่อ แต่นั่นคือละครอีกฉากหนึ่ง

วันนี้พอ พล.อ.ประยุทธ์ มาขอ พล.อ.ประวิตร พล.อ.ประวิตร ซึ่งผมต้องยอมรับในความลึกซึ้งของการเมือง พล.อ.ประวิตร เป็นคนที่ประมาทไม่ได้เลย พล.อ.ประวิตร ได้เตรียมตัวมานานแล้ว จากการเอา พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดินฯ มา แล้วส่ง พล.อ.วิชญ์ ไปตั้งพรรคใหม่ พรรคเศรษฐกิจไทย

พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา
แท้ที่จริงก็คือว่า พล.อ.ประวิตร รู้อยู่แล้วว่าวันนี้จะต้องมาแบบนี้ เพราะฉะนั้นแล้ว เมื่อน้องตู่ขอมา ขอมาก็คือขอเพื่อที่จะให้ พล.อ.ประวิตร ปลดหรือขับไล่ ธรรมนัส พรหมเผ่า ออกไปเลยจากพรรค พี่ป้อม ก็เลยจัดให้น้องตู่ จัดให้แบบชุดใหญ่ไม่ใช่ไฟกะพริบนะท่านผู้ชม ชุดใหญ่ไฟไหม้บ้านเลย ไม่ใช่ชุดใหญ่ไฟกะพริบ ชุดใหญ่ไฟไหม้บ้าน คือเอา ส.ส.อีก 21 คน ออกมา ท่านผู้ชมครับ ภายในเวลาไม่เกิน 24 ชั่วโมง เขาเรียกประชุมกรรมการพรรคทั่วประเทศ กรรมการภาค กรรมการบริหารทุกคน 78 คน เรียกประชุมได้อย่างไรภายใน 24 ชั่วโมง ถ้าไม่รู้ล่วงหน้าก่อนสักหนึ่งวัน แสดงว่าเกมนี้เขารู้อยู่แล้วว่าเขาต้องเล่นเกมนี้

เมื่อออกมาแล้ว เสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกนี้ก็ตั้งพรรคใหม่ แม้กระทั่ง ร.อ.ธรรมนัส ออกทวิตเตอร์ แฮชแท็กก็บอกว่า ไปอยู่พรรคไหนดี ตัวเองรู้อยู่แล้วว่าจะไปอยู่พรรคไหน แล้วพรรคเศรษฐกิจไทย ก็มีน้องชาย พล.อ.ประวิตร ก็คือ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ก็อยู่ในพรรคนั้นด้วย จะพูดได้ไหมว่าเป็นพรรคอะไหล่ หรือพรรคสาขาของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ? พูดได้

พรรคนี้มีหน้าที่อยู่อย่างหนึ่ง ก็คือ สนับสนุน หรือล้มล้าง 21 คน ถ้าอยู่ในสภา ถ้าไม่ยกมือให้ พล.อ.ประยุทธ์ ในเรื่องของพระราชบัญญัติต่างๆ กฎหมายที่เข้าสภา พล.อ.ประยุทธ์ วันนี้ตัด 21 คนนี้ออกแล้ว ตัวเองมีเสียงเกินอยู่ประมาณแค่ 5 เสียงเอง ในพรรคพลังประชารัฐก็มีหลายคนที่ไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์ แล้วยังมีพวกพรรคเล็กพรรคน้อยกระจ้อยร่อย คุณดำรงค์ พิเดช หลายๆ คนที่พรรค 1 คน 2 คน มี 8-9 คน ยังอยู่ในมือของ พล.อ.ประวิตร หมด หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า จากนี้ไปแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ เปิดสภา เปิดเมื่อไร ถ้ามีการยื่น พ.ร.บ. เข้าไป กฎหมายต่างๆ ก็จะถูกล้ม


กฎหมายถูกล้มทันทีในสภา มี พ.ร.บ. การกู้เงิน ที่ตอนนี้ใช้เงินอยู่โดยไม่มี พ.ร.บ. มารับรอง ก็รอเข้าสภาตั้งนาน ก็ไม่กล้าเข้า นี่ขนาด พล.อ.ประยุทธ์ มีท่านประธานสภาฯ คุณชวน หลีกภัย คอยแอบช่วยอยู่หลายครั้ง ครั้งแรกที่ช่วย ท่านผู้ชมจำได้ไหม คือเรื่องที่เขากำลังกล่าวหาว่ามีการเอาเงินใส่กระเป๋าลากแล้วแจก ส.ส. เพื่อให้ลงคะแนนเสียงให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ ขนาดแจกเสร็จเรียบร้อยแล้ว เสียงในการไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ยังรองบ๊วย เหนือกว่าสุชาติ ชมกลิ่น นิดเดียวเอง ธรรมดา พล.อ.ประยุทธ์ ต้องมาอันดับ 1 เลย ไว้วางใจ แต่วันนั้นมาโหล่สุด นี่ขนาดแจกแล้วนะ ถ้าไม่แจกจะเป็นอย่างไร ก็มีคนโวยวาย เพราะมีคนเห็น มีรูปถ่าย มีคนลากกระเป๋าขึ้นมา เป็นลักษณะทหาร หรือเป็นคนสนิทของ พล.อ.ประยุทธ์ ลากกระเป๋ามา ตอนหลังก็มีเรื่องร้องเรียนมา คุณชวน หลีกภัย ก็สั่งให้สอบ

พอสั่งให้สอบแล้ว เอ้า! ตาย ! มีมือดีที่มีอำนาจเหลือเกินในสภา สั่งให้ถอดกล้องวงจรปิดออกให้หมด พอถอดกล้องวงจรปิด ผลสอบก็ออกมาในแบบนี้ครับ ท่านผู้ชม "พิจารณาแล้วไม่มีประจักษ์พยาน ประจักษ์หลักฐานที่จะมาพิสูจน์ว่ามีการแจกเงิน

เวลาตำรวจไปทำคดี เข้าไปสอบ ตำรวจจะมีข้อสรุปอย่างนี้ ตรวจสอบแล้วไม่ปรากฏว่าได้พบผู้กระทำผิด แต่ว่าการแถลงของสภา ซึ่งคุณชวน เป็นประธานสภา กลับแถลงบอกว่า ตรวจสอบแล้วไม่มีประจักษ์พยาน ไม่ได้พูดว่า ตรวจสอบแล้วพบว่ามีการกระทำผิด แต่ขาดประจักษ์พยาน ก็แสดงว่าท่านประธานสภาฯ ท่านช่วย พล.อ.ประยุทธ์ ไปแล้วข้อหนึ่ง

เรื่องที่สองที่ช่วย คือเรื่องอะไรรู้ไหม ? ท่านผู้ชมจำได้ไหมว่าจู่ๆ ฝ่ายกฎหมายของรัฐสภาออกมาให้ความเห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ สามารถจะเป็นนายกฯ ต่อไปได้อีก 4 ปี แปดปีที่ครบเดือนสิงหาคมนี้ ไม่นับ สามารถเป็นต่อได้อีก 4 ปี แล้วคนออกมาด่ากันทั่วบ้านทั่วเมืองว่า เรื่องอะไรของมึง ต้องมาเสือก เป็นฝ่ายกฎหมายสภา ปรากฏว่าพอคนเข้าไปถามคุณชวน หลีกภัย คุณชวน ท่านก็กระโดดตัวยาวหลบเลย ท่านบอก ท่านไม่รู้เรื่อง ท่านไม่ได้สั่้ง แต่คนวงในเขาบอกว่า ฝ่ายกฎหมายนี่ถ้าไม่มีผู้ใหญ่ใหญ่จริงๆ ในสภาสั่ง มันไม่ทำหรอก ก็ถือว่าช่วย พล.อ.ประยุทธ์ ไปแล้ว 2 ครั้ง

ครั้งที่สาม มีรายการขอมา เมื่อ 1-2 วันที่ผ่านมานี้เอง ในการประชุมสภา ปรากฏว่ามี ส.ส. พรรคเล็กคนหนึ่ง ยื่นมือขอให้นับคะแนนเสียง นับองค์ประชุม ปรากฏว่าองค์ประชุมไม่ครบ ก็เลยต้องปิดสภาไป แต่วันนั้นมีคำขอมาอย่างนี้ "ขอให้ท่านประธานสภาฯ คุณชวน หลีกภัย ช่วยเคาะระฆังแล้วบอกว่าเนื่องจากภาวการณ์โควิดยังไม่หาย ก็ขอปิดสภาต่อไปอีก 15 วัน คือซื้อเวลา แต่ผมเชื่อว่าคุณชวน หลีกภัย ไม่กล้าทำ เพราะถ้าทำออไปแล้ว ท่านจะเสียชื่อเสียเสียงมาก เพราะสองเรื่องที่เกิดขึ้น คนวงในและหลายคนตำหนิประธานสภาฯ ว่าคุณชวน ได้มีส่วนรู้เห็นและแอบช่วย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา


มาครั้งที่สาม คือให้เคาะระฆังแล้วบอกว่าให้ปิดสภาฯ ไปอีก 15 วัน คุณชวน ไม่ทำ เพราะรู้ว่าทำแล้วพังทลายหมดงานนี้ ชื่อเสียงที่ตัวเองสั่งสมมา

ฉะนั้นท่านผู้ชมจะเห็นได้ชัดว่าวันนี้เป็นการต่อสู้กันระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ กับ พล.อ.ประวิตร แล้วท่านผู้ชมไม่ต้องไปสนใจนะ เผื่อมีการกลบข่าวกันอีก อาทิตย์หน้า ทั้ง พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.ประยุทธ์ นั่งจับมือกัน บอกว่าไม่มีวันพรากจากกัน ละครทั้งนั้นท่านผู้ชม เพราะฉะนั้นแล้ว ข้อแรก ถ้า พล.อ.ประวิตร ไม่ได้เตรียมตัวไว้ จะประชุมกันได้อย่างไร 78 คน ทันที แล้วทันทีเลยประกาศไล่ออก 21 คนทันที ทำไมไม่ไล่ธรรมนัส ออกคนเดียวล่ะ ก็ พล.อ.ประยุทธ์ ขอมาแค่คนเดียว แต่ว่าพี่จัดให้ พี่ป้อมจัดให้ ก็คือเอาไปเลยทั้ง 21 คน

ฉะนั้น 21 คนนี้ อุปมาอุปไมยเหมือนเป็นกองทัพๆ หนึ่ง ซึ่งแตกออกจากเมืองๆ หนึ่งแล้วมาตั้งแคว้นอิสระ แต่อยู่ภายใต้คำสั่งของเจ้าครองแคว้นว่า จะให้โจมตี หรือจะให้เป็นเพื่อน

ตัวนี้เป็นตัวที่มาจ่อคอหอย พล.อ.ประยุทธ์ ในการทำงาน เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ จะทำงานไม่ได้เลยถ้าสภาไม่ใช่ของเขา วันนี้สภาตอนนี้พรรคพลังประชารัฐแตกหักกันหมดแล้ว ไม่มีเหลือเลย พล.อ.ประยุทธ์ ก็เหลืออยู่สองทาง ก็คือ ลาออก หรือ ยุบสภา

การวางหมากแล้วขับไล่ธรรมนัส พรหมเผ่า กับพรรคพวก รวม 21 คนนั้น เป็นการวางหมากที่แยบยล และเป็นการหักหน้า พล.อ.ประยุทธ์ เพื่อพิสูจน์ว่ารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ นั้น อยู่ไม่ได้อย่างแน่นอน หากไม่มี ส.ส. พรรคพลังประชารัฐ ในฝั่งของ ธรรมนัส พรหมเผ่า คอยสนับสนุน ก่อนที่ฝั่งธรรมนัส และลุงป้อม จะดำเนินการเผด็จศึกต่อในการประชุมกรรมการบริหารพรรค และ ส.ส.ที่มูลนิธิป่ารอยต่อ ในตอนเย็น พิสูจน์ชัดเจนท่านผู้ชม ชัดเจนเลย งานนี้ เพราะว่าการขับไล่ออก ส.ส. 21 คน รวมทั้งธรรมนัส พหรมเผ่า ยังมีสิทธิเป็น ส.ส. ต่อได้ แต่ถ้าลาออกแล้วจะขาดสถานภาพของการเป็น ส.ส. และที่สำคัญท่านผู้ชม นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรค ยังอยู่ต่อ เกมนี้คือเกมวางหมากไว้ให้ทำงานให้ลุงป้อม อยู่ข้างๆ ลุงป้อม เกาะติดลุงป้อมเอาไว้


ท่านผู้ชมอย่าหลงว่าการลงมติแบบนี้เป็นการสื่อมเสียชื่อเสียง ไม่มใช่ เป็นการที่เปิดต่อท่อหายใจให้ธรรมนัส และพรรคพวก ยังเป็น ส.ส. ได้อยู่ แล้วนางนฤมล นั้นไม่ได้ลงชื่อออกพร้อมธรรมนัส ก็แสดงว่ามีการพูดคุยกันอยู่แล้วว่าให้อยู่ต่อ เป็นชิปส์ที่ฝังเอาไว้ข้างๆ ลุงป้อม

ท่านผู้ชมครับ ข่าวค่อนข้างชัดเจนแล้วว่า ส.ส. 22 คน ย้ายไปอยู่พรรคเศรษฐกิจไทย ซึ่งผมยืนยันได้ว่าเป็นพรรคอะไหล่ของ พล.อ.ประวิตร

พอเราดูให้ดีๆ แล้ว ลุงตู่ถึงทางตันแล้ว ตอนนี้นับ ส.ส. ได้ไม่ถึง 100 กลุ่มหลายกลุ่มที่รวมตัวออกไปกับธรรมนัส มีกลุ่มของวิรัช รัตนเศรษฐ กลุ่มธรรมนัส กับกลุ่มวิรัช รวมกันได้ 22 คน ส่วนกลุ่มที่ไม่ค่อยมีอำนาจอะไรต่อรองอะไรมาก คือกลุ่มสุชาติ ชมกลิ่น เพราะมีกลุ่มชลบุรี 4 คน สันติ พร้อมพัฒน์ ยังเหลืออยู่ 6 คน กลุ่มสามมิตรของสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ และสมศักดิ์ เทพสุทิน มี ส.ส. ในมุ้ง ว่ากันว่ามีประมาณ 20-30 คน และ ... ท่านผู้ชมจำคำพูดของผมเอาไว้นะ


ผมยังเชื่อว่ากลุ่มสามมิตรจะไปอยู่พรรคเพื่อไทย ผมเชื่ออย่างนั้น เพราะคุณสุริยะ และคุณสมศักดิ์ จะเป็นประเภท จอมยุทธ์อัฒจันทร์ ชอบนั่งดูอยู่ข้างๆ เวที รบก็รบกันให้ตาย แล้วคำนวณให้ดีว่าใครจะชนะ ใครจะแพ้ ถ้าเห็นว่าพลังประชารัฐมันเละแล้ว เพื่อไทยอ้าแขนรับ ก็ยกทั้งยวง อยู่ที่เพื่อไทย

เพราะฉะนั้นแล้ว พลังประชารัฐ ถึงเวลาแตกแล้ว แล้วลุงตู่ก็ถึงทางตัน ผมพูดมาตั้งแต่วันที่ 10 ธันวาคม ตอนที่ 115 แล้วผมพูดอีกทีในวันที่ 7 มกราคม ตอนที่ 119 ผมพูดมาเหมือนอย่างที่ผมพูดวันนี้ แต่วันนั้นผมทำนายไว้ล่วงหน้า

เพราะฉะนั้นแล้ว พล.อ.ประวิตร ร.อ.ธรรมนัส หลายๆ คน แบกเสลี่ยงให้ พล.อ.ประยุทธ์ นั่งอยู่ เหมือนคนนั่งอยู่บนเสลี่ยง นั่งไปนั่งมา เชิดหน้า รำคาญก็เอาเท้าลูบหัวคนแบกเสลี่ยง หรือจะขากถุยก็ถุยลงโดนกบาลของคนแบกเสลี่ยง ก็คือว่า กูไม่แคร์มึง มึงมีหน้าที่เชิดชูกูเป็นนายกฯ มึงขออะไรมา กูจะให้หรือไม่ให้ เรื่องของกู จนในที่สุดแล้ว คนที่นั่งบนเสลี่ยงก็บอกว่า คนที่แบกเสลี่ยงไปโดนหน้าที่อยู่ข้างๆ บอก พี่ๆ คนแบกข้างซ้าย ผู้กองธรรมนัส มันเฮงซวย ไล่มันออกไปได้ไหม คนแบกเสลี่ยงคือพี่ป้อม หรือลุงป้อม ก็หันมามองหน้า น้องตู่ขอมาใช่ไหม งั้นพี่จัดให้ ก็เอาขบวนเสลี่ยงที่มันแบกอยู่อีก 21 คน ออกไปหมดเลย เสลี่ยงก็เลยเอนทันที ท่านผู้ชมนึกออกไหม และจะไม่กลับมาอีกแล้ว


สถานการณ์อย่างนี้ ลุงตู่ ยังจะบอกให้ พล.อ.ประวิตร หรือทีมธรรมนัส หรือหลายๆ ทีม ให้แบกลุงตู่ต่ออีก 4 ปี ได้อย่างไร ไม่มีใครแบกให้ ประเด็นหลักคือ พล.อ.ประวิตร ท่านพลาด ท่านไม่ยอมลงมาทำตีนติดดินเสียที อยากเป็นนายกฯ อย่างเดียว แต่ไม่กลัาลงมารับผิดชอบในฐานะทำพรรคการเมือง ชอบทำตัวไม่เกลือกกลั้วกับนักการเมือง ส.ส. แต่จริงๆ ก็คบหาสมาคมกับนักการเมืองเขี้ยวลากดินหลายๆ แกํงที่ยืนอยู่ข้างๆ พล.อ.ประยุทธ์

เพราะฉะนั้นแล้ว ท่านผู้ชมครับ วันพุธที่ 19 มกราคม ต้องถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนทางการเมืองที่สำคัญ กล่าวคือ ด้านหนึ่ง คนที่เคยก่อตั้งพรรคพลังประชารัฐ ก็ออกมาตั้งพรรคใหม่กันหมด อย่างเช่น อุตตม สนธิรัตน์ มิหนำซ้ำยังบอกว่าไม่ชูหรอก ลุงตู่ ขณะที่พรรคเก่าทำสภาล่ม เป็นภาพประวัติศาสตร์ มองเหตุการณ์อย่างนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ยากที่จะได้รับเลือกเป็นนายกฯ ต่อ ขนาดพรรคใหม่ยังไม่ชูเลย พรรคของสนธิรัตน์ กับอุตตม ไม่ชูบิ๊กตู่เป็นนายกฯ สภาก็ล่มเพราะพรรคร่วมรัฐบาลต้องนับองค์ประชุม เวลาเดียวกัน ส.ส. ทุกคนมาทั้งพรรคเพียงเพราะ พล.อ.ประวิตร เรียกประชุมคำเดียวที่มูลนิธิรอยต่อฯ มาพรึ่บเดียว 78 คน แปลว่าอะไร

ถ้ามองภาพตามเกม ลุงป้อมก็บอกว่า น้องอยากให้ธรรมนัสออกใช่ไหม เอ้า พี่จัดให้ แล้วเหล่านี้เกิดขึ้นใน 24 ชั่วโมง แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญ มีการเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้า เพราะว่ามีพรรครอไว้แล้ว พล.อ.ประยุทธ์ มีทางเลือกกี่ทาง เปิดสภามา เสียงพลังประชารัฐมีไม่ถึง 100 เสียง สภาล่มได้ตลอดเวลา นอกจากนี้ ฝ่ายลุงป้อมก็ยังต้องถือว่าได้เปรียบ เพราะกุม ส.ส.-ส.ว. ไว้มากกว่าฝ่ายลุงตู่


ท่านผู้ชมครับ ทางออกของลุงตู่ไม่มีอะไรมากแล้ว ลาออก กับยุบสภา ถ้าลาออก ลุงป้อมก็มีสิทธิ์เป็นนายกฯ เพราะผมเชื่อว่าพรรคเพื่อไทยพร้อมจะเทเสียง แล้ว ส.ว.ฝ่ายของลุงป้อม ก็สามารถเทเสียงเลือกลุงป้อม คือต้องเลือก 2 ใน 3 จำนวน ส.ส. ที่สนับสนุนลุงป้อมเป็นนายกฯ ต้องมี 2 ใน 3 ของ ส.ส. ทั้งหมด ลุงป้อมได้เป็นนายกฯ แน่

นั่นคือการลาออก ซึ่งผมเชื่อว่าลุงตู่ไม่ลาออก แต่ตัดสินใจยุบสภา แต่มันฝืนความรู้สึก ความต้องการส่วนตัวที่อยากเป็นประธานเอเปก ในการประชุมเดือนพฤศจิกายนนี้ ถ้าลุงตู่ยุบสภา ก็เป็นอันสิ้นสุดยุคของลุงตู่ หลังจากนั้นก็จะเป็นการขุดคุ้ยว่าลุงตู่ทำอะไรไว้บ้าง ตอนนี้ไม่ได้เป็นนายกฯ แล้ว

ท่านผู้ชมครับ นี่คือการวิเคราะห์ที่ตรงไปตรงมาของผม ไม่เข้าข้างใครเลย และวิเคราะห์ด้วยข้อมูลลับ วิเคราะห์ด้วยเหตุด้วยผล วิเคราะห์ด้วยความเป็นไปได้ ท่านผู้ชมครับ หวังว่าคงจะได้ความรู้ทางการเมืองมากพอสมควรในวันนี้ วันนี้ผมขอลาไปก่อน สวัสดีครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น