xs
xsm
sm
md
lg

ป่าไม้ย้ำชัดตรวจสอบ "ม่อนแจ่ม" สร้างบ้านพักใหญ่ 5 หลังทำตาม กม. หากพบผิดต้องดำเนินคดี-ชาวบ้านอ้างถูกคุกคาม

เผยแพร่:   ปรับปรุง:


แฟ้มภาพ
เชียงใหม่ - ผอ.สํานักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 1 (เชียงใหม่) ยืนยัน จนท.ปฏิบัติงานตามอำนาจหน้าที่ ตรวสอบการก่อสร้างอาคารที่พักขนาดใหญ่ 5 หลัง บน “ม่อนแจ่ม” จนถูกชาวบ้านรุกฮือปิดล้อม หลังพบมีการเดินหน้าก่อสร้างจนเสร็จทั้งที่ถูกสั่งให้ระงับระหว่างจัดทำแผนแม่บทการจัดการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน พร้อมตั้งข้อสังเกตลักษณะการก่อสร้างขัดวิถีชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิม ย้ำชัดพื้นที่ป่าสงวนห้ามบุกรุก ระบุหากพบทำผิดกฎหมายต้องดำเนินคดีไม่มีข้อยกเว้น


จากกรณีเหตุการณ์ความวุ่นวายเมื่อวันที่ 12 ม.ค. 65 ที่กลุ่มชาวบ้านม่อนแจ่ม แหล่งท่องเที่ยวชื่อดังในอำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ มีการปลุกระดมกันและทำการปิดล้อมเจ้าหน้าที่สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ ที่ 1 (เชียงใหม่) ไม่ยอมให้ออกจากพื้นที่ เนื่องจากไม่พอใจที่เจ้าหน้าที่เข้าสังเกตการณ์ตรวจสอบเก็บข้อมูลการก่อสร้างอาคารที่พักขนาดใหญ่จำนวน 5 หลัง บริเวณบ้านหนองหอยใหม่ หมู่ 11 ตำบลแม่แรม อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ (ม่อนแจ่มและพื้นที่ใกล้เคียง) ซึ่งมีการก่อสร้างจนเกือบแล้วเสร็จ ทั้งที่ก่อนหน้าให้ระงับการก่อสร้างไว้ก่อนตามข้อตกลงระหว่างการจัดทำแผนแม่บท เพื่อแก้ไขปัญหาการครอบครองใช้ประโยชน์และการบุกรุกป่าสงวน โดยแกนนำพร้อมชาวบ้านนับร้อยคนได้ทำการปิดล้อมตั้งแต่ช่วงกลางวัน จนต้องมีการนำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าควบคุมสถานการณ์และนายอำเภอแม่ริมเข้าเจรจา กระทั่งชาวบ้านยอมสลายตัวในเวลา 22.00 น.


วันนี้ (14 ม.ค. 65) นายกมล นวลใย ผู้อำนวยการสํานักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 1 (เชียงใหม่) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 12 ม.ค. 65 ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ลงพื้นที่เพื่อสังเกตการณ์ เนื่องจากมีการก่อสร้างอาคารที่พักขนาดใหญ่ จำนวน 5 หลัง จนเกือบเสร็จสมบูรณ์แล้ว ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้มีการให้ระงับการก่อสร้างไว้จนกว่าการจัดทำแผนแม่บทการบริหารจัดการบนพื้นที่ม่อนแจ่มและพื้นที่ใกล้เคียงเพื่อแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน ตามข้อสั่งการของผู้ตรวจการแผ่นดินจะแล้วเสร็จ ซึ่งช่วงก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่มีการเข้าลาดตระเวนในพื้นที่ตลอด แต่ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ต้องยุติไปหลายเดือนตามความต้องการของทางชุมชน เนื่องจากกลัวการแพร่ระบาดของเชื้อ กระทั่งมาพบว่ามีการดำเนินการก่อสร้างอาคารที่พักขนาดใหญ่ดังกล่าวจนเกือบเสร็จ


ในการลงพื้นที่ครั้งนี้ของเจ้าหน้าที่นั้น เพื่อเก็บข้อมูลว่าอาคารที่ก่อสร้างดังกล่าวเป็นของผู้ใดที่ถือครองใช้ประโยชน์และมีลักษณะเป็นนอมินีหรือไม่อย่างไร ซึ่งไม่ใช่เป็นการเข้าไปจับกุมดำเนินคดีแต่อย่างใด เพียงแต่จะเข้าไปสอบถามข้อมูลในพื้นที่ตามอำนาจหน้าที่ เพราะพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในเขตป่าสงวน และยืนยันว่าไม่ได้บุกรุกเข้าไปในบ้านของชาวบ้าน เพียงแต่พยายามจะเข้าไปสอบถามว่ามีคนอยู่หรือไม่เพื่อสอบถามข้อมูล อย่างไรก็ตามปรากฏว่าทางกลุ่มชาวบ้านเกิดความไม่พอใจและมีการรวมตัวกันปิดล้อมไม่ให้เจ้าหน้าที่ออกจากพื้นที่ ทำให้ต้องมีการประสานขอกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจช่วยควบคุมสถานการณ์ และทางนายอำเภอแม่ริมลงพื้นที่เจรจากับผู้นำท้องถิ่นและชาวบ้านที่ร่วมกันปิดล้อมเจ้าหน้าที่ จนกระทั่งยอมสลายตัวไปในช่วงเวลาประมาณ 22.00 น.ของวันที่ 12 ม.ค. 65 โดยมีข้อตกลงว่าจะไม่มีการดำเนินคดีต่อชาวบ้านที่ปิดล้อมขัดขวางเจ้าหน้าที่


ทั้งนี้ นายกมลบอกว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้มีการลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานที่สถานีตำรวจแล้ว โดยในส่วนของชาวบ้านนั้น ยืนยันว่าจะไม่มีการแจ้งความดำเนินคดีต่อชาวบ้าน อย่างไรก็ตาม ในส่วนของผู้นำท้องถิ่นที่ถือเป็นเจ้าหน้าที่รัฐและควรมีบทบาทในการประสานหาทางออกร่วมกัน แต่กลับเป็นแกนนำปลุกปั่นยุยงชาวบ้านเสียเอง จะมีการพิจารณาดำเนินการต่อไป นอกจากนี้ ในส่วนข้อเรียกร้องของชาวบ้านที่จะไม่ให้ดำเนินคดีต่อการก่อสร้างอาคารที่พักทั้ง 5 หลังนั้น ในเวลานี้กำลังอยู่ระหว่างการรวบรวมและตรวจสอบข้อมูลข้อเท็จริงอย่างละเอียด ซึ่งหากมีการทำทุกอย่างถูกต้องตามกฎหมายก็ไม่ต้องกังวลใดๆ แต่หากมีการทำผิดกฎหมายก็จะดำเนินการตามกฎหมายไม่มีข้อยกเว้น โดยกรณีทั้ง 5 หลังดังกล่าวนี้ ตั้งข้อสงสัยว่าเป็นการก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่ที่ไม่เป็นไปตามวิถีชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิม พร้อมยืนยันว่าการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่กรณีม่อนแจ่มตลอดช่วงที่ผ่านมานั้น ดำเนินทุกอย่างตามอำนาจและหน้าที่ตามกฎหมาย


นอกจากนี้ ผู้อำนวยการสํานักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 1 (เชียงใหม่) เปิดเผยด้วยว่า การแก้ไขปัญหาการบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าแม่ริม (ม่อนแจ่ม และพื้นที่ใกล้เคียง) ที่ผ่านมา การดำเนินการตรวจสอบการถือครองใช้ประโยชน์และมีการขยายพื้นที่เพิ่มหรือไม่ ยึดหลักตามมติคณะรัฐมนตรี 30 มิ.ย. 41 ที่ไม่ให้ขยายพื้นที่เพิ่ม, ไม่ให้ซื้อขายเปลี่ยนมือและอยู่อาศัยตามวิถีชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิม พร้อมใช้ภาพถ่ายทางอากาศ พ.ศ. 2545 ในการอ้างอิง เพื่อดูว่ามีการซื้อขายเปลี่ยนมือและมีการถือครองในลักษณะนอมินีหรือไม่ รวมทั้งมีการบุกรุกใหม่บุกรุกเพิ่มหรือไม่ โดยจากการตรวจสอบพบว่าในพื้นที่มีการสร้างที่พักรีสอร์ต 116 ราย และอยู่ในเขตป่าสงวน 113 ราย ซึ่งมี 33 รายที่อยู่ในเงื่อนไขที่จะต้องถูกดำเนินคดี โดยเวลานี้ 19 คดีอยู่ในชั้นอัยการสูงสุดกำลังวินิจฉัย ส่วนที่เหลืออยู่ในชั้นอัยการจังหวัดเชียงใหม่และพนักงานสอบสวน ซึ่งมี 9 รายจากทั้งหมดที่ถูกดำเนินคดียอมรื้อถอนไปแล้ว


ด้านนายวิชิต เมธาอนันต์กุล นายกเทศมนตรีตำบลแม่แรม อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ที่ชาวบ้านม่อนแจ่มปิดล้อมเจ้าหน้าที่ป่าไม้ด้วย เปิดเผยว่า จุดเริ่มของเหตุการณ์ในวันนั้นเริ่มจากชาวบ้านพบว่าเจ้าหน้าที่ป่าไม้ได้เข้าไปในบริเวณบ้านของชาวบ้าน โดยที่ไม่มีการแจ้งให้ทราบล่วงหน้าและไม่มีเอกสารคำสั่งใดๆ มาแสดงแต่อย่างใด ทำให้ชาวบ้านรู้สึกหวาดกลัวและมองว่าถูกเจ้าหน้าที่บุกรุกข่มขู่คุกคามถึงบ้าน จนทำให้กลุ่มชาวบ้านเกิดความไม่พอใจและเกิดการรวมตัวกัน เพื่อขอคำอธิบายชี้แจงจากเจ้าหน้าที่ป่าไม้ระดับผู้บังคับบัญชา และสถานการณ์ยิ่งตึงเครียดขึ้นจากการที่มีการจัดเจ้าหน้าที่หน่วย SWAT ของตำรวจเข้ามาในพื้นที่ ซึ่งตัวเองได้เข้าช่วยพูดคุยคลี่คลายสถานการณ์จนกระทั่งชาวบ้านยอมสลายตัว พร้อมกับข้อตกลงเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่หยุดข่มขู่คุกคามชาวบ้าน ยืนยันว่าชาวบ้านไม่มีเจตนาใช้ความรุนแรงใดๆ ทั้งสิ้น เพียงแต่รู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม



แฟ้มภาพ

แฟ้มภาพ
กำลังโหลดความคิดเห็น