วันที่ 26 พ.ย.64 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ไลฟ์สด “SONDHI TALK” ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ คุยทุกเรื่องกับสนธิ และช่องยูทูป Sondhitalk ประเด็นที่จะเล่าในวันนี้ เริ่มจากเรื่องราวของยาฟาวิพิราเวียร์ที่รับบาลไทยสั่งซื้อไว้จำนวนมหาศาลเพื่อใช้เป็นยาหลักในการรักษาโควิด-19 แต่ล่าสุดมีข่าวว่าจะไม่ผ่านการอนุมัติขององค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ กรณีการควบคุมกิจการระหว่างทรูกับดีแทคจะทำให้เกิดการผูกขาดในการให้บริการดทรศัพท์มือถือจริงหรือไม่ เหตุการณ์ที่รอง ผอ.CIA เข้าพบรัฐบาลไทย มีเรื่องอะไรกัน? ต่อด้วยเรื่องของราคาน้ำมัน ที่หลายๆ คนต่างบ่นกัน โดยเฉพาะน้ำมันดีเซลที่ใช้ในภาคการขนส่งสินค้าอุปโภค บริโภค ราคาน้ำมันทึ่แท้จริงแล้ว อยู่ที่แท้จริงควรอยู่ที่เท่าไหร่ และเรื่องรี้ควรแก้ไขอย่างไร? และอีกเรื่องคดีเสี่ยโจ้ สหชัย เจียรเสริมสิน หลายๆ คนมองข้าม เเต่จริงๆ เเล้วมันคือความจริงที่ปวดร้าว เพราะเป็นการล่มสลายของทุกระบบในประเทศไทย "ใครอยู่เบื้องหลัง ปล่อยผี “เสี่ยโจ้ น้ำมันเถื่อน”? ติดตามได้ใน SONDHI TALK : ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง Ep.113
คำต่อคำ SONDHI TALK [26 พ.ย. 64] : น้ำมันแพง แจกแล้วปล้น
ช่องทางการรับชมรับฟัง "คุยทุกเรื่องกับสนธิ"หรือ SONDHI TALK
เฟซบุ๊กแฟนเพจ : คุยทุกเรื่องกับสนธิ
YouTube : Sondhitalk
เว็บไซต์ : www.sondhitalk.com
Podcast หรือ podbean : SONDHI TALK
สวัสดีครับท่านผู้ชม วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน 2564 เหลืออีกไม่กี่วันก็จะขึ้นเดือนธันวาคมแล้ว เป็นเดือนสุดท้ายของปีนี้ วันนี้รายการของเราก็มีตามปกติ มีเรื่องราวที่น่าสนใจหลายเรื่อง แต่ก่อนที่จะเข้าสู่เรื่องต่างๆ นั้น มีข่าวคราวบางอย่างที่อยากจะให้ท่านผู้ชมได้รับทราบ คืออีกไม่นาน ประมาณสักวันที่ 2-5 ธันวาคมนี้ ก็จะมีงาน SMART SME EXPO 2021 จัดที่ฮอลล์ 5 อิมแพ็ค เมืองทองธานี งานนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 7 ช่วงนี้เป็นช่วงที่เอสเอ็มอีไทยกำลังลำบาก จุดประสงค์ที่เขาจัดงานนี้ขึ้นมาก็เพื่อจะกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อช่วยเหลือเอสเอ็มอีไทย
ในงานนี้จะมีร้าน ธุรกิจแฟรนไชส์ สำหรับท่านผู้ชมที่อยากจะไปดูว่าแฟรนไชส์ไหนบ้างที่มันขายได้ จ่ายเงินซื้อแฟรนไชส์มา แล้วก็เปิดเป็นธุรกิจของตัวเอง ประมาณ 200 บูธ จัดโปรโมชันพิเศษส่งท้ายปี มีการสัมมนาในเรื่องคนที่ทำธุรกิจอาหารว่าทำอย่างไรให้ยอดทะลักโดยไม่เกรงใจโควิด หรือโตแบบก้าวกระโดด สร้างตัวตนบนโลกออนไลน์ เป็นต้น นอกจากนั้น จะมีการอบรมอาชีพ ฟรี ตลอด 4 วัน อะไรบ้างล่ะ ? สูตรทำน้ำสลัด สูตรกาแฟสร้างธุรกิจ เป็นต้น มีสินเชื่อจากสถาบันเอสเอ็มอี สถาบันการเงินอย่างเช่น ออมสิน KBANK (ธนาคารกสิกรไทย) เอ็กซิมแบงก์ บสย. ธ.ก.ส. ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และยังมีโอกาสที่จะได้จับคู่ค้าธุรกิจ พวกลาว พม่า จีน ที่แวะเข้ามาดูว่ามีอะไรบ้างที่จะร่วมมือหรือจะซื้อของจากเมืองไทยกลับไป
งานนี้เริ่มวันที่ 2 ถึงวันที่ 5 ธันวาคม ที่ฮอลล์ 6 อิมแพ็ค เมืองทองธานี ถ้าท่านต้องการไป ท่านลงทะเบียนได้ที่เฟซบุ๊ก SMART SME EXPO เดี๋ยวผมจะขึ้นชื่อให้ดู หรือสอบรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โทรศัพท์ 086-314-1482 , 094-915-4624 เป็นงานที่ให้สาระ เสริมอาชีพ ทำอย่างไรให้แก้ปัญหาซบเซาในเรื่องโควิดได้ สำหรับธุรกิจเอสเอ็มอี ธุรกิจรายเล็กรายย่อย
ขออัปเดตความคืบหน้าการแจก ฟทจ. อีกครั้งหนึ่ง ในช่วงหลังนี้เป็นข่าวที่ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก ทางต่างจังหวัดจะเริ่มขอ ฟทจ. เพิ่มเติมกลับเข้ามาอีกแล้ว หลังจากเงียบหายไปพักหนึ่ง แสดงว่าเริ่มมีคนติดเชื้อที่ต่างจังหวัดมากขึ้น สัปดาห์นี้เราแจกไปแล้ว 8 พันกระปุก รวมเบ็ดเสร็จแล้วก็ประมาณ 5 แสนกระปุก ประมาณ 40 ล้านเม็ด เราแจกให้ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ 2 พันกระปุก ชุมชนต่างๆ ทั่วประเทศไทย 3,400 กระปุก มีตั้งแต่นราธิวาส เชียงใหม่ ปัตตานี สตูล สุราษฎร์ธานี และส่งไปที่จังหวัดระยอง อีก 2,500 กระปุก บุคคลทั่้วไปอีกจำนวนหนึ่ง ท่านผู้ชมครับ ตอนนี้ยอดของ ฟทจ. ที่เรายังคงเหลืออยู่นั้น ก็เหลืออยู่ไม่กี่หมื่นกระปุกแล้ว ส่วนเงินบริจาคก็ใช้ไปเกือบหมดแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าหมดยอดนี้ก็คงจะหมดกันไป นอกจากว่ายังมีคนสนใจที่จะทำบุญในเรื่องนี้อีก
ท่านผู้ชมครับ อาทิตย์นี้มันมีหลายประเด็นที่ผมจะพูด แต่ละประเด็นก็สำคัญหมดทุกประเด็น ประเด็นแรก ผมเคยพูดในเรื่องของยาฟาวิพิราเวียร์ไปแล้วหลายครั้ง ปรากฏว่ามีข้อมูลใหม่เข้ามา ล่าสุด ไปฟังดูว่าเป็นอย่างไรบ้าง ที่สำคัญที่ล่าสุดนี้ เอาสั้นๆ แล้วกัน ที่อเมริกาไม่ให้ใช้ ส่งเรื่องสมัครไปแล้ว เขาตรวจสอบแล้ว เขาบอกว่าไม่ได้ผล แคนาดาก็บอกว่าไม่ได้ผล แต่หมอที่เมืองไทย หมอไทย ก็ยังคงเชียร์ใช้อยู่อย่างไม่ลืมหูลืมตา
กรณีที่สอง เป็นข่าวทางธุรกิจที่หลายท่านติดต่อมาให้ผมพูดเรื่องนี้ คือการรวมกิจการของบริษัทดีแทค กับบริษัททรู ซึ่งหลายๆ ท่าน บางท่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านประธาน TDRI ดร.สมเกียรติ ท่านบอกว่า การทำเช่นนี้เป็นการส่งเสริมการผูกขาด แต่ผมเห็นต่างกัน ผมกลับว่านี่เป็นเรื่องที่จำเป็นต้องเกิดขึ้น หลีกเลี่ยงไม่ได้ ลองมาฟังความเห็นของผมดู
เรื่องที่สาม ท่านผู้ชมคงได้ข่าวมาแล้วว่า ท่านรองผู้อำนวยการ CIA ดอดพบ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ ตลอดจนท่านเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ เขาคุยเรื่องอะไรกัน ? แล้วทำไมระดับรองผู้อำนวยการ CIA จะต้องมาพบ ? ถ้าเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ เขาไม่จำเป็นต้องมาเลยแม้แต่นิดเดียว แสดงว่าจะมีปฏิบัติการอะไรหรือเปล่าในเร็วๆ นี้ ? ผมก็คาดคะเนและวิเคราะห์ให้ฟัง
อีกเรื่องหนึ่งคือเรื่องของท่านนายกรัฐมนตรี ช่วงหลังๆ นี้รู้สึกท่านจะพูดไปทุกเรื่อง แล้วพูดแต่ละเรื่องก็เข้าเนื้อทั้งหมด ผมก็จะบอกว่าท่านพูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง แล้วผมจะยกตัวอย่างการพูดของท่านว่าพูดออกมาอาจจะถูกกาลเทศะ แต่เนื้อหาไม่ถูกกาลเทศะเลยแม้แต่นิดเดียว
เรื่องที่ห้า ท่านผู้ชมคงอยากฟัง คือเรื่องที่ว่า ทำไมน้ำมันดีเซลถึงแพง แล้วเราจะแก้ได้อย่างไร ? มันอยู่ที่ไหนบ้างที่เราควรจะทำ ?
เรื่องที่หก เป็นเรื่องสุดท้าย เป็นเรื่องที่ใหญ่มาก แต่ว่าไม่มีใครให้ความสนใจเลยแม้แต่นิดเดียว คือเป็นเรื่องของการที่เมื่อเร็วๆ นี้ กองบัญชาการสอบสวนกลาง โดยท่าน พลตำรวจโท จิรภพ ผู้บัญชาการสอบสวนกลาง ได้สั่งให้กองปราบไปจับกุมเสี่ยโจ้ ที่ห้วยขวาง นั่งกินก๋วยเตี๋ยวอยู่ แล้วปรากฏว่าอัยการสั่งไม่ฟ้อง ก็เลยต้องปล่อยตัวไป แล้วปรากฏว่าเสี่ยโจ้ หนีเข้าไปอยู่ที่กัมพูชาแล้ว ทำไมต้องเอาเรื่องนี้มาพูด ? ตามผมมาดีกว่า เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่เทียมฟ้า แต่ไม่มีใครให้ความสนใจเลยแม้แต่นิดเดียว เสี่ยโจ้ เป็นสัญญาณความล้มเหลวในทุกๆ เรื่อง ทุกสาขา ตั้งแต่นักการเมืองท้องถิ่น นักการเมืองระดับชาติ กระบวนการยุติธรรมตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ ตำรวจ อัยการ และศาล พังทลายไปหมด ไม่มีเหลือเลยแม้แต่นิดเดียว
ท่านผู้ชมครับ เรื่องที่ผมจะพูดเรื่องนี้ มันมีที่มาที่ไป และผมจำเป็นต้องพูด และท่านผู้ชมจำเป็นต้องรู้ เพราะว่าเรื่องที่ผมพูดนี้มันสะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวและความใช้การไม่ได้ การทำงานที่ไร้ซึ่งองค์ความรู้ ตลอดจนความยะโสโอหังมมังการของทางการเมือง ตลอดจนของพวกหมอต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหมอที่แวดล้อม พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ผมเรียกว่าหมอแก่ๆ รวมไปจนถึงท่านปลัดกระทรวงสาธารณสุข ด้วย
เป็นเรื่องที่น่าเศร้ามาก เรื่องที่ผมจะพูดนี้ เพราะว่าเป็นเรื่องที่ผมพูดมาแล้วหลายครั้ง ผมเตือนมาแล้วหลายครั้ง ไม่ฟังกัน ยังดื้อดึงดัน ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ใช่ครับท่านผู้ชม ผมจะพูดถึงเรื่อง "ยาฟาวิพิราเวียร์"
ท่านผู้ชมคงจำได้ว่าผมเคยอธิบายให้ฟังแล้วว่า ยาฟาวิพิราเวียร์ มีผลงานวิจัยหลายๆ แห่งที่พิสูจน์ชัดเจนว่ายานี้ใช้การกับการรักษาโรคระบาดไม่ได้ รวมไปจนถึงหน่วยงานวิจัยที่เป็นอิสระสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ก็ยังยืนยันในสิ่งที่ผมพูด แต่อะไรเกิดขึ้น ? สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือว่า ไม่มีประโยชน์เลยแม้แต่นิดเดียว เพราะว่าไม่มีใครฟัง เขาบอกคุณสนธิ ไม่ใช่หมอ แล้วก็ยังมีข้อความออกมาแดกดันว่า ถ้าไม่เชื่อหมอ จะเชื่อหมาหรืออย่างไร วันนั้นผมก็เลยบอกว่า ใช่ ผมเป็นหมา แต่เป็นหมาที่กัดเจ็บ ท่านผู้ชมครับ เรามาดูกัน
14 พฤศจิกายน ที่ผ่านมาประมาณอาทิตย์กว่าๆ สำนักข่าวนิกเกอิของญี่ปุ่น ได้เผยแพร่รายงานระบุหัวข้อว่า ยาอาวิแกน (Avigan) ซึ่ง อาวิแกน ก็คือยาฟาวิพิราเวียร์ ล้มเหลวในการทดสอบประสิทธิภาพในการรักษาโรคระบาดในการทดลองที่สหรัฐฯ
ที่อเมริกาเลยนะคราวนี้ แต่ก่อนในเมืองไทย แต่ก่อนมีการวิจัยที่โน่นที่นี่ ตอนนี้ที่อเมริกาแล้ว ล้มเหลวหมด ระบุว่า ในการพิสูจน์ว่าได้ผลดีในการรักษาทางคลินิกกับผู้ป่วยโรคระบาดสายพันธุ์ใหม่ โดยการทดสอบที่ดำเนินการโดยพาร์ตเนอร์ของบริษัท ฟูจิฟิล์ม ซึ่งเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ เขาทดสอบใน 3 ประเทศ อเมริกา เม็กซิโก และบราซิล ปรากฏว่าล้มเหลวหมด
บริษัทยาที่มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในประเทศแคนาดา คือ APPILI THERAPEUTICS ระบุว่า จากการทดลองทางคลินิกในเฟสที่ 3 เพื่อทดสอบประสิทธิภาพของอาวิแกน (Avigan) หรือที่เขาเรียกกันว่า ฟาวิพิราเวียร์ ในประเทศไทย ในการรักษาผู้ป่วยโรคระบาดที่มีอาการเล็กน้อย ถึง ปานกลาง ผลออกมาว่า ไม่ได้แสดงผลสำเร็จเชิงสถิติที่มีนัยสำคัญต่อระยะเวลาในการฟื้นตัวของผู้ป่วยในการทดลองทางคลินิก แปลว่าอะไร ? แปลว่า ฟาวิพิราเวียร์ ไม่สามารถเอามาใช้ในสหรัฐอเมริกา ในแคนาดา หรือในบราซิลได้
22 พฤศจิกายน ไม่กี่วันมานี้เอง คุณหมอมนูญ ลีเชวงวงศ์ หัวหน้าห้องไอซียูเฉพาะทางด้านโรคระบบการหายใจ ผู้ป่วยหนักและโรคผู้สูงอายุ ประจำโรงพยาบาลวิชัยยุทธ ได้โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊กส่วนตัว "หมอมนูญ ลีเชวงวงศ์ fc" ระบุถึงข่าวชิ้นนี้เหมือนกัน คุณหมอมนูญ พูดว่าอย่างไร ? "ถ้าผลการทดลองเป็นแบบนี้ เชื่อว่ายาตัวนี้คงจะไม่ผ่านการรับรองของสหรัฐอเมริกา ซึ่งคงต้องรอผลงานวิจัยตีพิมพ์ออกมา ถ้าข่าวนี้เป็นจริง ถึงเวลาที่ประเทศไทยควรจะหยุดใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ เป็นยาหลักในการรักษาโรคโควิด-19 ต่อไป"
ท่านผู้ชมครับ ประเด็นมันอยู่ที่ไหน ? ประเด็นนี่ไง ที่ผมเคยบอก ฟาวิพิราเวียร์ ยังอยู่ในขั้นตอนการวิจัยและทดลองรักษาโรคระบาดอยู่ปัจจุบันนี้ องค์การเภสัชกรรมไม่ได้ดูผลการทดลอง งานวิจัย และประสิทธิภาพแม้แต่นิดเดียว เอามาใช้ในเมืองไทยเป็นจำนวนมหาศาล นำเข้าเอง และเร่งผลิตเอง ซึ่งตอนนี้ผลออกมาแล้วว่ามันใช้ไม่ได้ ผมเคยเอาเรื่องนี้มาพูดตั้งแต่ช่วงกลางปีที่แล้ว และพูดอีกหลายครั้ง เอาหลักฐานมาให้ดูหลายชิ้น แต่ก็ยังดื้อ ดึงดัน ลองไปเปิดอ่าน ฟังย้อนหลัง คลิปของผมดู คลิปหลายอันของผมถูกเฟซบุ๊ก กับยูทูปถอดออก เพราะว่าไปเกี่ยวข้องกับการรักษาโรคระบาด
ท่านผู้ชมครับ เริ่มตั้งแต่รายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" เมื่อวันศุกร์ที่ 6 สิงหาคม 2564 (สิงหาคม-พฤศจิกายน) 4 เดือนที่แล้ว ผมเอาผลงานวิจัยยาฟาวิพิราเวียร์ให้เห็นกันชัดๆ ว่า การทดลองในญี่ปุ่น และในระดับนานาชาติ หลายต่อหลายชิ้น มันบ่งชี้ว่าใช้ไม่ได้ผลในการรักษาโรคระบาด จำได้ไหมท่านผู้ชม ผมตั้งชื่อยานี้ว่า "ยากาฝาก" เพราะผู้ป่วยที่หายด้วยตัวยาชนิดนั้นต้องมียาและอุปกรณ์ทางการแพทย์อื่นๆ ร่วมรักษาอยู่หลายอย่าง จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปั่นราคายาว่ายากำลังขาดแคลนและประเทศไทยจำเป็นต้องใช้ยานี้ โดยควรกักตุนไว้ถึง 15-55 ล้านเม็ด ท่านผู้ชมจำได้ไหมข่าวนี้ เพราะมีการประเมินว่าต้องใช้ยานี้รักษาผู้ติดเชื้อมากถึงวันละ 1 ล้านเม็ด
ผมเคยคำนวณให้ท่านผู้ชมฟังแล้วว่า ยานี้เม็ดละ 70-100 บาท ถ้าทำตามที่เขาบอกมา จะต้องใช้งบประมาณเดือนละ 2,100-3,000 ล้านบาท
ท่านผู้ชมครับ วันที่ 21 เมษายน 2564 ประมาณ 6 เดือนที่แล้ว ผลงานตีพิมพ์ในวารสารสมาคมเภสัชวิทยาคลินิกและการรักษาโรคที่อเมริกา เผยแพร่งานวิจัยในหัวข้อว่า "การควบคุมดูแลยาของญี่ปุ่นในช่วงโรคระบาดนี้ บทเรียนจากการศึกษากรณีศึกษายาฟาวิพิราเวียร์" (Japan's Drug Regulation During the COVID-19 Pandemic : Lessons From a Case Study of Favipiravir) บทสรุปชี้ชัดเจนว่า ยานี้รักษาโรคระบาดไม่ได้ ในรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" เมื่อวันศุกร์ที่ 13 สิงหาคม ผมเอาผลงานวิจัยอภิมานที่เขาเรียกว่า Meta-analysis มากางให้เห็นแบบชี้ชัดๆ เลยว่ายานี้ใช้ไม่ได้ผล ผลงานวิจัยนี้เป็นกลุ่มนักวิทยาศาสตร์จากประเทศอิหร่าน และโคลัมเบีย ตีพิมพ์เมื่อ 26 พฤษภาคม 2564 ผลงานวิจัยนี้ยืนยันชัดเจนว่าในการใช้ยานี้ในมนุษย์ เขาระบุเลยว่า ไม่มีนัยสำคัญในการพึ่งพาใช้เครื่องช่วยหายใจ อัตราการเสียชีวิต
หลังจากนั้น วันศุกร์ที่ 20 สิงหาคม ผมก็เอาผลประเมินการวิจัยของ HiTAP ซึ่งก็คือโครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ ของกระทรวงสาธารณสุข ได้เปิดเผยเอกสาร "การทบทวนวรรณกรรมอย่างรวดเร็วเพื่อประเมินประสิทธิผลของยา Favipirivir ในการรักษาโควิด" ที่มีการวิจัยทั้งหมด แล้วก็ระบุเลยว่า ใช้ไม่ได้ 5-6 ข้อ ใช้ไม่ได้สักข้อหนึ่งเลย
ผลการศึกษาล่าสุด จากบริษัทยาที่แคนาดา และอเมริกา ไม่ได้แตกต่างอะไรจากที่ผมเคยเอามาพูดเมื่อ 3-4 เดือนที่แล้ว มันน่าเจ็บใจไหมท่านผู้ชม ผมเตือนแล้วเตือนอีก เปิดหลักฐานให้ดูตั้งไม่รู้กี่ชิ้น แล้ววันนี้ถามว่าใครต้องรับผิดชอบ ? หน้าไหน กล้าโผล่มารับผิดชอบหน่อยได้ไหม ?
ตอนนั้น ศบค. กำหนดให้บุคลากรทางการแพทย์ใช้ยาที่ไม่มีประสิทธิภาพในการรักษากับประชาชน พวกคุณบ้ากันไปแล้ว ทำประเทศชาติเสียงบประมาณเป็นหลายพันล้านบาท อาจจะถึงหมื่นล้านบาท ยังไม่นับกับที่องค์การเภสัชกรรม และสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ต้องผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ขึ้นมาทดแทนใช้อีก ปรากฏว่าใช้ไม่ได้ สูญเปล่า ท่านผู้ชมครับ อย่างที่ผมเคยบอกไป ผู้ที่มิอาจปฏิเสธความรับผิดชอบจากกรณีนี้ได้เลย คือบรรดาหมอแก่ๆ รอบตัวท่านนายกฯ ผมเคยพูดชื่อไปแล้ว ใครก็ไม่รู้ล่ะ หนึ่ง ศาสตราจารย์นายแพทย์ ปิยะสกล สกลสัตยาทร เป็นประธาน ศาสตราจารย์นายแพทย์ อุดม คชินทร รองประธาน ศาสตราจารย์นายแพทย์ ประสิทธิ์ วัฒนาภา กรรมการ ศาสตราจารย์นายแพทย์ สุทธิพงศ์ วัชรสินธุ กรรมการ ศาสตราจารย์นายแพทย์ ปิยะมิตร ศรีธรา กรรมการ ศาสตราจารย์นายแพทย์ อนันต์ ศรีเกียรติขจร กรรมการ ศาสตราจารย์ ดร. แพทย์หญิง จิรายุ เอื้อวรากุล กรรมการ รองศาสตราจารย์นายแพทย์ ไพโรจน์ จงบัญญัติเจริญ กรรมการ รองศาสตราจารย์ นายแพทย์ ดิลก ภิยโยทัย กรรมการ ผู้ช่วยศาสตราจารย์นายแพทย์ จักราวุธ มณีฤทธิ์ กรรมการ ศาสตราจารย์คลินิก นายแพทย์ สุรวิทย์ เตชธุวานันท์ กรรมการ ศาสตราจารย์นายแพทย์ สุวัฒน์ เบญจพลพิทักษ์ กรรมการ พลตรี สุรศักดิ์ ถนัดศีลธรรม กรรมการ พันเอก นายแพทย์ ภูษิต เฟื่องฟู กรรมการและเลขานุการ
ท่านผู้ชมครับ 14 คนนี้ ต้องรับผิดชอบ เพราะ 14 คนนี้ มีส่วนเกี่ยวข้องในการกำหนดให้ใช้ยานี้ในการรักษา ถึงขั้นสั่งไปยังกระทรวงสาธารณสุข แล้วท่านปลัดกระทรวงสาธารณสุข ก็เด้งรับทันที นอกจากจะสั่งเพิ่มแล้ว ยังสั่งห้ามไม่ให้ใช้ยาอื่น ยาสมุนไพรไทยที่รักษาได้ผล ห้าม ไม่ให้ใช้ คุณหมอครับ! ฮัลโหล คุณหมอทั่วประเทศไทยครับ! ที่คุณทำตามที่เขาบอก ใครก็ตามที่ติดเชื้อแล้วเข้าไปรักษา ถ้าพกยาสมุนไพรไทยไป เขาไม่ให้ใช้ เขาให้เอาออก ให้ใช้เฉพาะยานี้ คุณหมอครับ! พวกคุณหมออายกันบ้างหรือเปล่า ผมไม่ใช่หมอ ผมยังอายฉิบหายเลยงานนี้ ทำไม คุณต้องรอให้ฝรั่งพูดก่อนหรืออย่างไร คุณถึงจะเชื่อ
หมอมนูญ ชี้ว่า ฟาวิพิราเวียร์ ไม่ผ่านการรับรองจากอเมริกา ประเทศไทยควรเลิกใช้เป็นยาหลักได้แล้ว ควรเลิกใช้ไปนานแล้ว ตั้งหลายเดือน ถ้าดูงานวิจัยในญี่ปุ่น ถ้าดูงานวิจัยที่โน่นที่นี่ ท่านผู้ชมจำไม่ได้หรือ ผมถาม ตรรกะง่ายๆ ถ้าญี่ปุ่น เป็นประเทศที่บริษัทฟูจิฟิล์ม ผลิต มีลิขสิทธิ์ แล้วญี่ปุ่นไม่ใช้ คุณหมอที่สติปัญญาเลอเลิศประเสริฐศรี ทั้งแก่ทั้งหนุ่ม เคยคิดเรื่องนี้ไหม แล้วญี่ปุ่นวันนี้เขามีคนติดเชื้อน้อยมากตอนนี้ ปรากฏว่าเขาไม่ได้ใช้ยานี้เลยแม้แต่นิดเดียว ทั้งๆ ที่บริษัทในประเทศเขา คือ บริษัท ฟูจิฟิล์ม เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ เจ้าของสิทธิบัตร เขายังไม่ใช้
บริษัทยาที่แคนาดาเขาพูดชัดเจนว่า ยาชนิดนี้ไม่ได้แสดงผลสำเร็จเชิงสถิติอย่างมีนัยสำคัญต่อระยะเวลาในการฟื้นตัวของผู้ป่วยในการทดลองทางคลินิก ท่านผู้ชมครับ บริษัทยาที่พูดนี้ มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในประเทศแคนาดา ยืนยันชัดเจนว่าใช้ไม่เป็นผล
14 พฤศจิกายน สำนักข่าวนิกเกอิของญี่ปุ่น รายงานว่า ยาอาวิแกน (Avigan) หรือ ยาฟาวิพิราเวียร์ ล้มเหลวในการทดสอบประสิทธิภาพในการรักษาโรคระบาด จากการทดลองที่สหรัฐฯ นี่เป็นข่าวร้ายสำหรับบริษัท ฟูจิฟิล์ม แต่เป็นข่าวที่อัปยศอดสูสำหรับหมอไทย ที่หลับหูหลับตา มะงุมมะงาหราใช้ยานี้
ผมบอกท่านผู้ชมแล้วไง ว่า ฟทจ. เป็นยาชาวบ้าน สมุนไพร ไม่มีค่าคอมมิชชัน แต่ฟาวิฯ มันมีค่าคอมมิชชัน ท่านผู้ชมเห็นหรือยัง ที่ดึงดัน ดื้อด้านใช้ยานี้ก็เพราะว่า มันมีคอมมิชชันโผล่มา ส่วนจะเข้ากระเป๋าสุนัขตัวไหน ผมไม่พูด เอาเป็นว่า ถ้าไม่มีผลประโยชน์ มันไม่เรียกยานี้ใช้หรอก นี่มันฉิบหายมากี่เดือนแล้ว ท่านผู้ชมเห็นหรือยัง จนทุกวันนี้ก็ยังบอกว่า เข้าไป หมอจะบอกว่าให้ใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ เฮ้ย ไอ้มังคุด! เขาระบุชัดเจนมาแล้ว ผลการวิจัย จนกระทั่งล่าสุดเมื่อ 14 พฤศจิกายน ไม่กี่วันมานี้เอง เขาพูดชัดเจนในอเมริกา ในแคนาดา ว่าใช้ไม่ได้ผล และไม่มีทางเข้าอเมริกาได้ แล้วพวกคุณล่ะ อายบ้างหรือเปล่า พวกที่แนะนำ พวกหมอแก่ พวกหมอกลางคน พวกเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุข ที่มีส่วนเกี่ยวพันกับยามังคุดนี้ คุณอายกันบ้างหรือเปล่า
ท่านผู้ชมเห็นหรือยัง นี่คือประเทศไทย เราฉิบหาย เราสูญเสียงบประมาณไปไม่น้อยเลยกับการที่อัตตา โอหังมมังการของหมอที่ควรที่จะฉลาด แต่ดันใช้ความโง่เขลาเบาปัญญา หรือผลประโยชน์ มาเสียเงินเสียทองไป ในขณะที่น้ำมันดีเซลลิตรละ 30 บาท แทนที่เราจะเอาเงินพวกนี้ไปลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล กลับเอามาทุ่มกับยามังคุดที่มันพิสูจน์ทางวิจัยแล้วว่าใช้ไม่ได้ผล แล้วไม่ได้พิสูจน์จากเจ้าเดียว ประเทศไทยก็พิสูจน์แล้ว ญี่ปุ่นก็พิสูจน์แล้ว อิหร่าน โคลัมเบีย ก็พิสูจน์แล้ว อ๋อ พวกนี้มันบ้าฝรั่ง ต้องให้แคนาดา อเมริกา บอกว่าใช้ไม่ได้ มันถึงจะไม่ใช้ ท่านผู้ชมเห็นหรือยังว่า อิทธิพลของตะวันตกมันมีผลต่อสมองของหมอบ้าๆ พวกนี้ ท่านผู้ชมอย่าลืมเรื่องนี้เป็นอันขาดนะ เรื่องนี้เจ็บปวดมาก แล้วยังมีอีกเยอะนะที่มันทำกันพินาศฉิบหายด้วยการซี้ซั้วสั่งยามา ท่านผู้ชมครับ ถ้ามีการตรวจสอบอย่างละเอียด ยอดเงินสั่งยาที่กระทรวงสาธารณสุขสั่งเข้ามาตามคำสั่งของ ศบค. จะเห็นได้ชัดว่าเงินเป็นหลายหมื่นล้าน อาจจะถึงแสนล้านเสียด้วยซ้ำ ที่ไม่มีประโยชน์ เจ็บปวดไหมท่านผู้ชม เจ็บปวดไหมท่านนายกฯ ครับ ท่านนายกฯ เป็นหัวโต๊ะที่ระบุให้การสนับสนุนฟาวิพิราเวียร์ ท่านนายกฯ จะรับผิดชอบไหมเรื่องนี้ ?
ท่านผู้ชมครับ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา มันมีข่าวใหญ่ในแวดวงธุรกิจและวงการโทรคมนาคม เมื่อค่ายผู้ให้บริการเครือข่ายสื่อสารเจ้าใหญ่เบอร์ 2 และเบอร์ 3 ของประเทศ คือ ทรู (true) กับดีแทค (dtac) จะควบรวมกิจการ ท่านผู้ชม ผมจะไม่ลงรายละเอียดเกี่ยวกับการแลกหุ้น Joint Venture ทำการสวอป (swap) หรือเชิงเทคนิคการเงินอะไรให้ซับซ้อน เพราะสิ่งที่ผู้คนสนใจและตั้งคำถามกันมาก คือการควบรวมกิจการระหว่างบริษัทยักษ์ใหญ่สองแห่งนี้จะก่อให้เกิดการผูกขาดหรือเปล่า ? ท่านผู้ชมครับ ก่อนที่ผมจะออกความเห็น ผมเอาข้อมูลพื้นฐานมาให้ฟังกันก่อน
ผมจะเปรียบเทียบกิจการ 3 ค่ายมือถือ เอไอเอส (AIS) จำนวนผู้ใข้ 42.76 ล้านราย มีลูกค้าบรอดแบนด์ 1.43 ล้านราย true มีจำนวนผู้ใช้ 31.2 ล้านราย มีลูกค้าบรอดแบนด์ 4.3 ล้านราย dtac จำนวนผู้ใช้ 19.08 ล้านราย ไม่มีลูกค้าบรอดแบนด์ ท่านผู้ชมครับ หากมีการรวมกิจการกัน จำนวนลูกค้า true+dtac ก็จะก้าวขึ้นไปทัดเทียม หรือชนะอันดับ 1 ของ AIS เลย เพราะว่าอันดับ 2 (true) มีผู้ใช้อยู่ 31.2 ล้านราย dtac 19.08 ล้านราย ก็คือ 51 ล้านราย ชนะ AIS ไป 8 ล้านราย
ทีนี้ พอรวมกิจการ คุณสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันเพื่อการวิจัยประเทศไทย ที่เขาเรียกว่า ทีดีอาร์ไอ (TDRI) ท่านเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญในเรื่องของโทรคมนาคม ท่านบอกว่า ถ้าหากปล่อยให้มีการควบรวมธุรกิจระหว่าง true กับ dtac จะทำให้ธุรกิจโทรศัพท์มือถือและโทรคมนาคมมีการผูกขาดในระดับที่เป็นอันตราย คุณสมเกียรติ พูดว่า ตลาดโทรศัพท์มือถือของไทยที่มีลักษณะกึ่งผูกขาดอยู่แล้ว จะยิ่งมีการผูกขาดมากขึ้นจนถึงระดับอันตรายและน่าเป็นห่วงมาก หากมีการควบรวมกันจริง โดยผู้ที่ได้รับผลกระทบด้านบวก คือ ผู้ถือหุ้นของบริษัทโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั้ง 3 ราย ไม่ใช่เฉพาะ tre และ dtac เท่านั้น แต่ AIS จะได้รับอานิสงส์ด้านบวกไปด้วย ส่วนผู้ที่จะได้รับผลกระทบด้านลบจะมีหลายฝ่าย ได้แก่ ผู้บริโภค ประชาชนทั่วไป ธุรกิจต่างๆ ที่ต้องโมบายและอินเทอร์เน็ตทั้งสิ้น คู่ค้าของบริษัทธุรกิจโทรคมนาคม เช่น ชอปต่างๆ ที่ติดต่อขายโทรศัพท์มือถือให้ค่ายมือถือ ที่จะมีอำนาจต่อรองลดลง และสตาร์ทอัพที่หวังจะได้เงินจาก Venture Capital แต่เดิมที่มีทั้งค่าย true ค่าย AIS และ dtac ถ้าเกิดควบรวมกันก็แปลว่าคนที่สนับสนุนสตาร์ทอัพจะหายไป 1 ราย ขณะที่รัฐบาลจะได้รับผลกระทบด้านลบที่เป็นรูปธรรม คือ ในการประมูลคลื่นความถี่ครั้งใหม่ เช่น การประมูลคลื่น 6G ในอนาคต คนที่จะเข้ามาแข่งขันในอนาคตจะลดลง ทำให้มีรายได้ลดลง เมื่อรัฐมีรายได้ลดลง แปลว่าผู้เสียภาษีมีโอกาสถูกเก็บภาษีเพิ่มขึ้นเพื่อไปโปะการขาดดุลงบประมาณภาครัฐ"
ท่านผู้ชมครับ อาจารย์สมเกียรติ พูดอีกก็ถูกอีก บอกว่า "ระบบเศรษฐกิจไทยโดยรวม ซึ่งจะเป็นระบบเศรษฐกิจสารสนเทศ เศรษฐกิจดิจิทัล ถ้าเกิดมีการควบรวมในธุรกิจโทรศัพท์มือถือและโทรคมนาคมแล้ว ด้วยโครงสร้างพื้นฐานที่มีการผูกขาดมากขึ้น จะทำให้เศรษฐกิจไทย เวลาจะมีการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัล จะมีต้นทุนสูงขึ้น และอาจทำให้ประเทศไทยตกขบวนในการก้าวกระโดดไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัล"
ท่านผู้ชมครับ สิ่งที่อาจารย์สมเกียรติ พูดนั้น ถ้ามองตามภาพอย่างนั้นก็ไม่ได้ผิดอะไรทั้งสิ้น ผมก็ถามคำหนึ่งว่า ถ้าเรามามองดูธุรกิจโทรศัพท์มือถือแล้ว ในโลกนี้ ยกเว้นอเมริกา ในจีนนั้นก็มีอยู่ 2-3 เจ้า แต่ 2-3 เจ้า ก็เป็นของรัฐบาลทั้งหมด อเมริกาก็มีอยู่หลายเจ้า แต่หลายเจ้าก็เริ่มมีการควบรวมกิจการกัน การควบรวมครั้งนี้เป็นการตัดสินใจทางธุรกิจอย่างเนื้อแท้ 100 เปอร์เซ็นต์ ทำไมผมถึงพูดเช่นนั้น ? เพราะ dtac รั้งอยู่อันดับ 3 และอยู่อันดับ 3 ประเภทห่างไกลอันดับ 2 มาก ห่างไกลอย่างไร ? คือในจำนวนผู้ใช้บริการมีอยู่แค่ 18-19 ล้านราย ขณะซึ่งอันดับ 2 มีอยู่ 31 ล้านราย มีคนใช้บรอดแบนด์ของ true ประมาณ 4 ล้านกว่าราย แต่ dtac ไม่มีคสใช้บรอดแบนด์ เพราะฉะนั้นแล้ว ธุรกิจของ dtac เป็นธุรกิจที่ผมเรียกว่าเป็น ธุรกิจตะวันตกดิน ไม่มีอนาคตเลย และ dtac ก็รู้อย่างนี้มานานแล้ว เมื่อ dtac รู้อย่างนี้มานานแล้ว คำถามคือ dtac จะทำอย่างไร
ในขณะเดียวกัน true ก็ต้องการขึ้นสู่อันดับ 1 เพราะเป็นการแข่งขันในเชิงธุรกิจ true ก็จ้อง dtac มานานแล้วเช่นกัน เข้าใจว่ามีการคุยกันระหว่าง true กับ dtac มานานพอสมควร คนหนึ่งอยากซื้อ คนหนึ่งก็อยากขาย แต่คนซื้ออยากซื้อถูก คนขายก็อยากขายแพง เลยตกลงกันไม่ได้ dtac นั้นเป็นของเทเลนอร์ (Telenor) ซึ่งอยู่ที่ประเทศทางยุโรป dtac นั้น เมื่อเป็นของประเทศทางตะวันตก เทเลนอร์ ซึ่งอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ การที่จะขายไปในราคาที่ถูก ก็อาจจะประสบผลขาดทุน ก็เลยเจรจาไม่ตกลงกัน และนี่คือที่มาของการร่วมทุน เพราะ dtac บอกว่า ถ้าร่วมทุนกับ true ไป อย่างน้อยที่สุด มูลค่าหุ้นมันจะสูงขึ้น และจะทำให้มูลค่า dtac ก็สูงตามไปด้วย เพราะว่าจู่ๆ จากการที่มีผู้ใช้บริการประมาณ 31 ล้านราย บวก dtac เข้าไปอีก 19 ล้านราย 50 ล้านราย ขึ้นสู่อันดับ 1 แล้วลูกค้า dtac ที่ไม่เคยใช้บรอดแบนด์ ก็สามารถมาใช้บรอดแบนด์ของ true เมื่อใช้บรอดแบนด์ของ true แล้ว จาก 4.3 ล้านราย ที่ใช้บรอดแบนด์ของ true ก็อาจจะเพิ่มเป็น 5-6 ล้านราย ซึ่งมากกว่า AIS เยอะ
ผมมองว่านี่คือการแข่งขัน เพราะในนัยของโทรศัพท์วันนี้ พูดได้ไหมว่า 99 เปอร์เซ็นต์ ของคนใช้โทรศัพท์เดี๋ยวนี้ไม่ได้โทรเบอร์ตรงแล้ว ใช้โทรโดยใช้ Wi-Fi แล้วใช้มากที่สุดคือการใช้ data คนที่เล่นไลน์ (LINE) มีเยอะแยะไปหมด คนที่เล่นไลน์เป็นสิบๆ ล้านคน ถ้าไม่ใช้โทรศัพท์มือถือจะเล่นไลน์ได้อย่างไร ไม่มีใครเขาเล่นไลน์กันในคอมพิวเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นโน้ตบุ๊ก หรือไอแพด หรอก มือถือทั้งนั้น ตลอดจนการดู Streaming ทุกอย่างมันเกี่ยวข้องกับ Wi-Fi หมด เพราะฉะนั้นแล้ว สิ่งที่ AIS จะต้องทำคือ AIS รู้ว่าตัวเองตกเป็นอันดับ 2 แล้ว แล้ว true+dtac มีผู้ใช้บริการถึง 50 ล้านราย และที่สำคัญที่สุด true มีโอกาสที่จะเพิ่มจำนวนคนที่ใช้บรอดแบนด์ที่มีอยู่ 4.3 ล้านราย ให้เป็น 5-6 ล้านราย ตรงนี้ AIS ไม่นิ่งเฉย การไม่นิ่งเฉยคืออะไร ? คือการต้องต่อสู้ในเชิงการตลาด สู้ในเรื่องคุณภาพ สู้ในเรื่องราคา สู้ในเรื่องการบริการ ตรงนี้ต่างหากท่านผู้ชม ผมเห็นว่าไม่ได้มีการผูกขาดแล้ว ถ้าผูกขาดคือการฮั้วราคา อย่างเช่น บริษัทน้ำมัน ถ้า ปตท. ตั้งว่าราคาน้ำมันเบนซินต้องเท่านี้ แล้วเจ้าอื่นก็มาตั้งว่าราคาน้ำมันเบนซินต้องเท่า ปตท. นั่นเป็นการฮั้วแล้ว
ถามว่า AIS กับ true จะฮั้วกันได้ไหม ? ฮั้วกันไม่ได้ ท่านผู้ชม เพราะโดยพื้นฐานธุรกิจแล้ว แข่งกันอย่างเลือดซิบๆ ท่านผู้ชมจำได้ไหม สมัยก่อน ก่อนที่ระบบ data เข้ามาเกี่ยวข้องกับโทรศัพท์มือถือ อย่างเช่น ไลน์ Streaming pre-paid ก็คือจ่ายล่วงหน้า 1 เดือน ซื้อไป เป็นตัวทำกำไรให้กับบริษัทโทรศัพท์มือถือ AIS เอย true เอย หลายๆ เจ้ากำไรจากตรงนี้ แต่วันนี้พอมาเน้นทาง data มาเน้นทางด้าน Wi-Fi มาเน้นทางด้าน Streaming ตอนนี้ pre-paid ก็แทบจะตายไปหมดแล้ว ไม่มีใครซื้อ pre-paid แล้วโทรศัพท์มือถือก็ไม่ขาย pre-paid ด้วย วันนี้ทุกเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศไทย ถ้ามีการแข่งกัน 2 เจ้า ในภาวะประชากรไทยมี 70 ล้านคน มีบริษัทโทรคมนาคมระดับใหญ่ 2 เจ้า ถือว่าเพียงพอแล้ว เจ้าที่ 3 มันเกิดขึ้นไม่ได้อยู่แล้ว เพราะว่าการประมูลคลื่นความถี่ เมื่อคุณประมูลได้มาแล้ว คุณไม่มีโครงสร้างพื้นฐานที่จะมารองรับ คุณต้องสร้างใหม่หมดเลย เมื่อคุณสร้างใหม่หมดแล้ว ต้นทุนคุณสูงจนคุณสู้ไม่ได้ มันก็เลยจำเป็นต้องมีแค่ 2 เจ้า คำถามคือ จะทำอย่างไรให้ 2 เจ้านี้แข่งขันกัน ? ท่านผู้ชม ไม่ต้องทำหรอก เขาแข่งกันอยู่แล้ว เพราะยิ่งมีลูกค้ามากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งต้องแข่งมากขึ้นเท่านั้น
AIS กำลังเจรจากับ SpaceX ในอนาคตเมื่อหมด 5G แล้ว ขึ้นไปสู่ 6G ก็ต้องใช้ดาวเทียมแล้ว SpaceX ของนายอีลอน มัสก์ คือการยิงดาวเทียมวงโคจรต่ำเป็นร้อยๆ ลูก แล้วให้บริษัทโทรศัพท์มือถือนั้น join ดาวเทียมของพวกเขา ถ้า AIS เจรจา SpaceX ผมเชื่อว่า true และ dtac ก็จะเจรจากับ SpaceX เหมือนกัน แล้ว SpaceX เขาก็ไม่ให้ AIS ผูกขาดช่องสัญญาณของเขา เขาก็บอกว่าใครก็ได้อยากเช่าช่องสัญญาณของเขา ก็เข้ามา เพราะฉะนั้นแล้ว ก็จะเป็นการแข่งขันกันอย่างเข้มข้นในระดับ 6G เช่นกัน ผมไม่เห็นจะผูกขาดตรงไหน กลับกลายเป็นว่า AIS ตอนนี้ก็พยายามเน้นเรื่องคอนเทนต์ มี AIS Play true ก็เน้นคอนเทนต์ ทุกคนเน้นคอนเทนต์ แล้วในที่สุดก็จะก้าวไปสู่ระบบสมาชิก ใครเป็นสมาชิกของ true ใครเป็นสมาชิก AIS ก็จะได้คอนเทนต์ 1..2..3..4..5.. ฟรี เพราะฉะนั้นแล้วการแข่งขันจะไม่หยุดแค่นี้ จะต้องแข่งขันกันตลอดเวลา ผมกลับมองว่าคนที่ได้ประโยชน์ก็คือผู้บริโภค
ถ้าสมมุติว่าการดูคอนเทนต์ แล้วเป็นสมาชิกคอนเทนต์ แล้วคอนเทนต์ของ AIS ดีกว่า true หรือว่าของ true ดีกว่า AIS ทำให้คนมาสมัครเป็นสมาชิก true มากขึ้น ท่านผู้ชมครับ AIS จะสู้ไหม ? เขาก็ต้องสู้ครับ เขาก็ต้องพัฒนาคุณภาพ ผมกลับมองว่าการมี 2 เจ้า การแข่งขันทางด้านคุณภาพจะเข้มข้นมากขึ้น การแข่งขันทางประสิทธิภาพของบรอดแบนด์ก็จะเข้มข้นกันมากขึ้น การแข่งขันทางด้านบริการก็จะเข้มข้นกันมากขึ้น และการแข่งขันกันในเรื่องราคาก็จะเข้มข้นกันมากขึ้น เพราะถ้าแพ็กเกจการใช้ Wi-Fi ของ AIS ถูกกว่า true เยอะ แล้วคุณภาพการใช้ Wi-Fi ของ AIS ดีกว่า true คนของ true ก็จะเทไปที่ AIS ฉันใดฉันนั้น มองในมุมกลับ ถ้า true ดีกว่า AIS ก็ต้องเทมาที่ true
เพราะฉะนั้นแล้ว หลักการที่อาจารย์สมเกียรติ พูดนั้น เป็นหลักการทฤษฎี พูดอีกก็ถูกอีก เหมือนยุทธศาสตร์ 20 ปี ที่ผมเคยพูดไป พูดอีกก็ถูกอีก เราต้องเน้นความมั่นคง เราต้องเน้นความเสมอภาค เราต้องเน้นการแข่งขันที่ไม่เอาเปรียบกัน เราต้องเน้นโน่นนี่นั่น พูดร้อยครั้งก็ถูกร้อยครั้ง เช่นกัน อาจารย์สมเกียรติ พูดร้อยครั้งก็ถูกร้อยครั้ง แต่ในข้อเท็จจริงมันไม่ใช่เช่นนั้น ท่านผู้ชม เพราะฉะนั้นผมไม่ได้ตื่นเต้นอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว
การที่อาจารย์สมเกียรติ บอกว่า ถ้ารวมธุรกิจ true กับ dtac จะทำให้ธุรกิจมือถือนับถอยหลัง ย้อนกลับไปก่อนปี 2547 (สิบห้าปีก่อน) อาจารย์สมเกียรติ ครับ ถ้าอย่างนั้นแล้ว อาจารย์สมเกียรติ บอกว่ามีการแข่งขันกัน 2 เจ้าไม่พอ ต้อง 3 เจ้า ถ้าอย่างนั้นผมถามกลับ ถ้า 3 เจ้า พอหรือ ถ้าใช้ทฤษฎีของอาจารย์สมเกียรติ ก็ต้องเป็น 4 เจ้า 5 เจ้าสิ เอาให้มันเยอะๆ ไปเลย ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เพราะว่าเจ้าใหม่เข้ามามันเข้าไม่ได้ Entry Barriers มันสูง
สมมุติคุณมีเงิน ผมจำได้ตอนประมูล 4G หรือ 5G นี่ล่ะ บริษัทในเครือของคุณอดิศัย โพธารามิก บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS เข้ามาประมูลเหมือนกัน แล้วพอประมูลราคาตั้งไว้สูง แต่คิดสะระตะแล้ว ประมูลได้ก็เรื่องหนึ่ง พอประมูลได้แล้วจะปฏิบัติการต่อไปอย่างไร ตรงนี้ปวดหัวทันที เพราะว่าเครือข่ายเสาที่เขาตั้งกันทั่วประเทศไทย เป็นแสนๆ เสา เป็นแสนๆ เซลล์ (Cell site) ใครจะเอาเงินมาลงทุนเป็นแสนๆ Cell site ถึงแม้จะประมูลคลื่นได้ ก็เลยไม่มีใครเข้า พอไม่มีใครเข้าแล้ว ทำอย่างไรที่ กสทช. จะส่งเสริมให้ทั้ง true+dtac กับ AIS แข่งขันกันจริงๆ จังๆ เพื่อประโยชน์ของผู้บริโภค ผมมองว่านี่คือการตัดสินใจทางธุรกิจ เพราะ dtac ไม่มีทางปิดตัวเองลงไป คนใช้ dtac แต่ก่อนมีเยอะ วันนี้ลดลงไปแล้ว เหลือ 19 ล้านคน ถ้าอยู่อย่างนี้ต่อไปก็อาจจะเหลือ 15 ล้านคน ผมกลับมองว่า ถ้าไม่มีการบวก dtac เข้ามา AIS ยังทิ้ง true ไปห่างพอสมควร AIS มีอยู่ 42 ล้านราย true มี 31 ล้านราย ถ้าเขาไม่บวก dtac เข้าไป AIS ก็จะไปถึง 50 ล้านราย true ก็ยังคง 30 กว่า 35-36 แล้วในที่สุดคนที่ผูกขาดกลับกลายเป็น AIS ภายใน 3 เจ้า กลายเป็นคนผูกขาดไป เพราะ dtac มีแต่เน่า ตายลงไปทุกวันๆ การที่ true บวก dtac เข้ามา ทำให้ศักยภาพการแข่งขันของเขาไล่เลี่ยกับ AIS
คือพูดง่ายๆ ว่าตอนนี้ทุกคนวิ่งแข่งกัน บวก dtac แล้ว true อาจจะนำนิดหนึ่ง แต่ว่า AIS ก็หายใจรดต้นคอ true เช่นกัน ถามว่า true จะวิ่งหนีไหม ? ต้องวิ่งหนี แล้ว AIS วิ่งไล่ไหม ? ก็ต้องวิ่งไล่ แล้วเขาจะวิ่งหนีและวิ่งไล่โดยพื้นฐานอะไร ? ก็โดยพื้นฐานของบริการที่ดีกว่า ราคาที่คุ้มค่า คุณภาพบริการที่สูง ท่านผู้ชมเห็นด้วยกับผมไหม เพราะฉะนั้นการที่มาดรามากันว่าจะมีการผูกขาด โน่นนี่นั่น ผมว่าไม่ใช่ ไม่ใช่เลยแม้แต่นิดเดียว เพราะฉะนั้นแล้ว ผมคิดว่าเราจะได้เห็นการต่อสู้อย่างเข้มข้นเมื่อ 6G มา เพราะเมื่อ 6G มาแล้ว ทั้ง AIS ทั้ง true+dtac กลายเป็นเบี้ยรองบ่อนของอีลอน มัสก์ ไปแล้ว คือทั้งคู่ต้องไปใช้บริการของ SpaceX
ปัจจุบันค่ายมือถือไม่ได้กำไรจากค่าโทรศัพท์ หรือ SMS หรือบริการเสริมต่างๆ เพราะทำไม่ได้ แต่เขาพึ่งค่าบริการทาง data อินเทอร์เน็ต รวมไปถึงอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง เขาไปแข่งขันกันตรงนั้น ในที่สุดแล้วค่ายมือถือจะเป็นค่ายที่ทำคอนเทนต์มาก เพื่อทำมาหากินจากตรงนั้น เพราะฉะนั้นแล้ว การผูกขาดคือการโดนกฎกติกาล็อก แต่อันนี้รายใหม่ไม่กล้าเข้า เพราะต้นทุนสูง เป็นปกติธรรมดา เข้าไปแล้วมันเจ๊ง เพราะต้นทุนการลงทุนครั้งแรกมันสูงมาก ไม่มีใครเข้า เพราะฉะนั้นแล้ว การผูกขาดธุรกิจออนไลน์ที่หากินกับเครือข่ายโทรคมนาคม อาจารย์สมเกียรติ ครับ กลายเป็นแพลตฟอร์มต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นกูเกิล เฟซบุ๊ก ไลน์ รวมทั้่งแพลตฟอร์มซื้อขายออนไลน์ต่างๆ ที่แตกแขนงจากบริษัทแม่จากประเทศจีน สิงคโปร์ ไม่ว่าจะเป็น Shopee หรือ Lazada มากกว่า เลยทำให้กิจการในประเทศไทยหลีกหนีไม่พ้น ต้องยกระดับตัวเองให้แข่งขันได้ทัดเทียมบริษัทต่างชาติที่เข้าออกไทยอย่างเสรี
ท่านผู้ชมครับ ถ้าโลกไม่สวย ถ้าไม่มองโลกสวยจนเกินไป เราต้องทราบว่าเดี๋ยวนี้บริษัทระดับโลกอย่างของอีลอน มัสก์ SpaceX เจ้าของเทสล่า
แล้วก็บริษัทเฟซบุ๊ก กูเกิล กำลังทดสอบระบบบริการอินเทอร์เน็ตที่ครอบคลุมทั่วโลกอยู่ ไม่ว่าจะผ่านเทคโนโลยีดาวเทียม หรือใช้บอลลูนค้างฟ้า ถ้าเทคโนโลยีนี้ออกใหม่ก็จะฆ่าผู้ให้บริการรายเก่าได้
ท่านผู้ชมครับ จีนยังเล่นงานแพลตฟอร์มอะลีบาบา (Alibaba) เทนเซ็นต์ (Tencent) เพราะเจ้าใหญ่บล็อกไม่ให้เจ้าเล็กเกิด แต่โทรศัพท์มือถือ การควบรวมระหว่าง dtac กับ true แล้วแข่งกับ AIS นั้น ในทางตรงกันข้ามสำหรับผม จะทำให้การแข่งขันจากนี้ไปมีสีสันมากขึ้น เพราะจะเป็นครั้งแรกที่ true+dtac มีผู้ใช้บริการมากกว่า AIS ส่วน AIS จะสู้หรือไม่สู้ ? ท่านผู้ชมครับ เลือดซิบเลยคราวนี้ เราจะเริ่มเห็นบริการต่างๆ ออกมา ที่ให้ประโยชน์กับผู้บริโภค แล้วให้คุณค่าในทางราคาอย่างสมน้ำสมเนื้อเลยครับ ผมไม่ได้ถือว่าเป็นการผูกขาดเลยแม้แต่นิดเดียว
ผมไม่ได้พูดถึงท่านนายกฯ มานานแล้ว ท่านผู้ชมที่เป็นติ่งท่านนายกฯ ก็คงจะดีใจ แต่วันนี้ผมจะพูดถึงอีกครั้งหนึ่ง แต่ผมอยากจะพูดในเชิงให้คำแนะนำมากกว่า ผมไม่ได้พูดเพื่อมากัดท่านนายกฯ ไม่มีประโยชน์ คือผมเห็นความตั้งใจ ปรารถนาดีของท่านนายกฯ หลายๆ เรื่อง แต่วันนี้ผมจะเตือนท่านนายกฯ นิดหนึ่ง ท่านนายกฯ พูดมากจนเกินไปแล้ว
พูดในหลายๆ เรื่อง เจตนาดี แต่คนแปลเจตนาไปในทางที่ไม่ดี คำถามก็มีอยู่ว่า แล้วท่านพูดไปทำไมล่ะ ? ผมคิดว่าหลายๆ เรื่องถ้าท่านเก็บอารมณ์ไว้สักนิดแล้วท่านไม่ต้องไปออกความเห็น เพราะท่านทุกวันนี้ท่านออกความเห็นเหมือนกับว่าในประเทศไทยไม่มีใครรู้เรื่องประเทศเท่าท่าน เหมือนอย่างเรื่องผักชี ท่านนายกฯ พูดออกมา ท่านนายกฯ ก็มาแก้ตัวว่า ที่ท่านให้ทหารปลูกผักชีนั้น เหตุผลก็เพราะว่าเขาก็ปลูกของเขาอยู่แล้ว ถ้าใครอยากซื้อผักชีก็ไปซื้อที่ค่ายทหาร แต่ที่ท่านพูดตอนแรกท่านไม่ได้พูดอย่างนั้น ท่านพูดว่า ให้ทหารปลูกผักชี คือช่วงหลังๆ นี่เอะอะอะไรท่านก็บอกว่าให้ทหารทำ
ท่านนายกฯ ครับ ภาพของทหารในสายตาของสังคมมันไม่ค่อยดี บางครั้งพวกทหารเองเขาก็ไม่สบายใจนะที่เอะอะอะไรท่านก็โยนไปให้ทหารหมด แม้กระทั่งการขนส่งสินค้า ท่านบอกเอารถทหารมาเตรียมตัวขนส่ง ก็เป็นที่ครื้นเครงกันในบรรดาผู้ที่รู้ข้อเท็จจริงว่าการขนส่งสินค้านั้น ไม่ใช่จะให้ใครมาทำก็ทำได้ ต้องรู้เป้าหมาย ต้องมีคนขนของขึ้น ต้องรู้เส้นทาง ต้องรู้ว่าต้องไปส่งที่ไหน อะไรต่ออะไรหลายอย่าง หลายๆ เรื่อง เรื่องมาตรการแก้ไขเศรษฐกิจที่ล่าช้า ทำไม่ทัน ท่านก็บอกว่าท่านไม่ได้เป็นเจ้าของธนาคาร ถ้าท่านเป็นเจ้าของธนาคารท่านก็สั่งได้ สั่งโน่นสั่งนี่ ประเด็นมันไม่ได้อยู่ตรงนั้นท่านนายกฯ
ท่านนายกฯ ครับ ท่านต้องยอมรับว่าท่านถูกล้อมรอบด้วยข้าราชการประจำทั้งสิ้น กระทรวงการคลังนี่แน่นอนที่สุด ก็เป็นคนหวงแหนเรื่องรายได้ พอบอกว่าจะต้องลดภาษีน้ำมันดีเซล 5 บาท ให้ยกเลิกไปเลย ก็จะทำให้น้ำมันดีเซลราคาประมาณ 25 บาท ก็ปรากฏว่ากระทรวงการคลังก็ออกมาคัดค้าน อ้างว่าเงินที่ได้มานั้น จริงๆ แล้วเอามาพัฒนาประเทศ เอามาทำระบบโทรคมนาคม ระบบขนส่ง จริงๆ ในข้อเท็จจริง ท่านนายกฯ ครับ ทุกคนเขารู้ว่ารัฐบาลไทยไม่มีตังค์ วันนี้เงินประกันราคาข้าวที่คุณจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ กำลังทุบโต๊ะอยู่ ทุบทุกวัน เมื่อไรจะเอามาให้ผม 8 หมื่นกว่าล้าน 9 หมื่นกว่าล้าน ท่านนายกฯ ครับ ทั้งๆ ที่ท่านนายกฯ ก็รู้ว่าการประกันราคาข้าวนั้น มันไม่ได้ผล มันไม่มีประโยชน์ แต่จำนำข้าวกลับดีกว่า เพียงแต่ว่าราคาการจำนำข้าวนั้นต้องอยู่ในราคาที่เหมาะสม ไม่ใช่จำนำข้าวในราคาของคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่มีส่วนต่างมหาศาลเหลือเกิน ที่ราคาข้าว 11,000 บาท แต่จำนำที่ 15,000 บาท ส่วนต่าง 4,000 นั้น เอาไปแบ่งกันกิน และเป็นที่มาของการดำเนินคดี เป็นที่มาของโรงสีต่างๆ ที่อยู่ในเครือข่ายการฉ้อฉลและฉ้อราษฎร์บังหลวง ต้องถูกดำเนินคดี ส่งฟ้องร้องศาล ติดคุกกันไปก็หลายคน แต่เผอิญมันเป็นชื่อ จำนำข้าว มันไปสะท้อนถึงระบบของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เลยทำให้ท่านนายกฯ ไม่กล้าพูด ทั้งๆ ที่ระหว่างการจำนำข้าว กับ การประกันราคาข้าว การจำนำข้าวในราคาที่มีเหตุมีผล จะดีกว่าการประกันราคาข้าวเยอะแยะไปหมดเลย
ท่านนายกฯ ครับ ผมเป็นห่วงหลายเรื่อง ล่าสุดก็กลายเป็นว่า ก็มีข่าวออกมาแล้วว่าการที่ท่านนายกฯ ไม่สนใจ หรือคิดจะช่วยรถขนส่งสินค้าอย่างเป็นจริงเป็นจัง ก็เพราะว่าท่านนายกฯ เชื่อว่าเบื้องหลังของสมาคมการขนส่ง สหพันธ์การขนส่งฯ หรือชื่ออะไร ผมไม่รู้ล่ะ มีพวกพรรคการเมืองฝ่ายค้าน มีคนที่จ้องล้มรัฐบาลอยู่ ท่านนายกฯ ครับ ผมเรียนท่านนิดหนึ่ง เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ในสังคมไทย เมื่อท่านเข้ามา หรือใครก็ตามเข้ามาบริหารชาติบ้านเมืองแล้ว พอเกิดวิกฤตในเรื่องไหนก็ตาม ฝ่ายตรงกันข้าม ถ้าเขามีเส้นสายอยู่ในส่วนที่จะต้องมีการเกี่ยวข้อง หรือเดือดร้อนจากวิกฤตนั้น เขาก็จะแทรกตัวเข้ามา มันเป็นอย่างนี้ในอดีต ปัจจุบันเป็นอย่างนี้ อนาคตก็ต้องเป็นอย่างนี้ อีกหน่อยใครก็ตามที่เป็นรัฐบาลขึ้นมา เกิดน้ำมันแพงขึ้นมาปั๊บ แล้วปรากฏว่ามีประชาชนเดือดร้อนขึ้นมา มีชมรมต่างๆ สมาคมต่างๆ เรียกร้องให้รัฐบาลแก้ แล้วคนที่ตรงกันข้ามกับรัฐบาลก็จะแทรกเข้าไปในนั้น ประเด็นไม่ได้อยู่ตรงนั้นท่านนายกฯ ไม่ต้องไปกลัวเรื่องนี้
ประเด็นคือ ท่านนายกฯ แก้ได้หรือเปล่า ? ถ้าแก้ได้ ท่านนายกฯ ต้องตัดสินใจที่จะต้องแก้ แล้วคนที่จะแทรกอยู่ เมื่อท่านนายกฯ แก้ปัญหาได้แล้ว เรื่องมันก็จะหมดไป ตรงนี้ต่างหากที่ผมเป็นห่วง แล้วผมไม่อยากให้ท่านนายกฯ น่ะ อะไรก็ขอพูด แม้กระทั่งโทรศัพท์ iPhone 111 เครื่อง ใครเป็นคนคิด
ท่านนายกฯ ผมอยากรู้เหมือนกัน ใครหัวใส สมองใส ทะลึ่งไม่เข้าเรื่อง ทำไมท่านต้องซื้อให้ข้าราชการประจำสำนักนายกฯ ประชาชนทั่วๆ ไป ลูกหลานเขาเรียนออนไลน์ เขาไม่มีโทรศัพท์ใช้ ข้าราชการประจำ ข้าราชการสำนักนายกฯ เขามีเงินเดือนกันทุกคน ประชาชนตกงานกันเป็นแถว เป็นล้านๆ คน รายได้ไม่พอรายจ่าย หลายคนถูกลดเงินเดือนไป 30-40 เปอร์เซ็นต์ 50 เปอร์เซ็นต์ บางคนถูกจ่ายเงินเดือน เดือนเว้นเดือน ทุกข์ยากแสนสาหัส แล้วใครมันระยำมากพอที่จะคิดว่าต้องให้ท่านนายกฯ ซื้อโทรศัพท์มือถือ 111 เครื่อง และผมดูสเปกโทรศัพท์มือถือแล้วก็ทุเรศ 64G 128G โทรศัพท์มือถือวันนี้ถ้าใช้กันจริงๆ มันใช้กันประมาณ 256G คือเหมือนสักจะซื้อว่า 64G ราคาเท่านี้ 128G ราคาเท่านี้ แล้วก็มีคนถามต่อว่า ทำไมต้องเป็น iPhone ทำไมไม่เป็น SAMSUNG ทำไมไม่เป็น Xiaomi ทั้งๆ ที่คุณภาพก็เหมือนกัน เป็นเพียงแต่ว่ามันคนละยี่ห้อ ท่านนายกฯ ครับ ใครคิดความคิดนี้ ท่านเขกกบาลมันหน่อย ไม่ถูกต้อง ท่านซื้อของแจกพรรคพวก ต้องถือว่าเป็นพรรคพวกของท่านล่ะ เพราะว่าท่านอยู่ทำเนียบรัฐบาล ท่านเป็นหัวหน้ารัฐบาล ท่านจะเอาใจพวกคนทำงานทำเนียบรัฐบาลหรืออย่างไร และท่านไม่เห็นหัวประชาชนหรืออย่างไร ไม่ควรคิดเลยแม้แต่นิดเดียวเรื่องนี้
แล้วพนันกันไหม พวกข้าราชการทั้งหมดที่อยู่ทำเนียบฯ อยู่สำนักนายกฯ มีใครบ้างไม่มีโทรศัพท์มือถือ คนที่ไม่มีโทรศัพท์มือถือก็คือเด็กไง ลูกคนจนต้องเรียนออนไลน์และต้องใช้โทรศัพท์มือถือ จำไม่ได้หรือท่านนายกฯ เด็กที่ฆ่าตัวตายเพราะโดนหลอกซื้อโทรศัพท์มือถือมือสอง แค่ 5,000 บาทเอง จะซื้อมาเพื่อมาเรียนออนไลน์ พวกนี้ต่างหาก ท่านซื้อโทรศัพท์ 111 เครื่อง ให้ข้าราชการซึ่งมีเงินเดือนประจำอยู่แล้ว ไม่ได้เดือดร้อนเรื่องอะไร สวัสดิการที่เพียบ เจ็บป่วยรักษาพยาบาลฟรี แล้วก็มีโทรศัพท์มือถือใช้กันทุกคน ไปซื้อให้เขาทำไป ไปพูดทำไมท่านนายกฯ นี่คือสิ่งที่ผมอยากจะแนะนำท่านนายกฯ ท่านนายกฯ ครับ เรื่องนี้จะว่าเรื่องเล็กก็เล็ก จะว่าเรื่องใหญ่ก็ใหญ่
เหมือนกับรถขนส่ง ถ้ามันเดือดร้อนขึ้นจริงๆ มันก็เป็นปัญหาการขาดแคลนสินค้า ก็จำเป็นที่จะต้องหาทางแก้ แต่ถ้าท่านนายกฯ ไปคิดว่าเพราะมีพรรคฝ่ายค้าน หรือสมาพันธ์การขนส่งแห่งประเทศไทย นั้น อยู่กับพรรคเพื่อไทย มีตัวบุคลากรพรรคเพื่อไทยบางคนอยู่เบื้องหลัง ท่านพูดอีกก็ถูกอีก ทุกเรื่องมันมีเบื้องหลังหมด แต่เบื้องหลังมันจะมีประโยชน์ มีอิทธิพลอะไร ถ้าท่านนายกฯ แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้ถูกวิธี
ผมขอกลับมาที่ iPhone 12 อีกที รายงานข่าวบอก ท่านสั่งซื้อมีขนาดบรรจุ 128G 23 เครื่อง แล้วยังมี 64G อีก 88 เครื่อง ท่านนายกฯ ครับ สมัยนี้โทรศัพท์มือถือเขาไม่ใช้ 64G กันแล้วนะครับ อารมณ์ของสังคมขณะนี้กำลังเผชิญปัญหาเศรษฐกิจ ชักหน้าไม่ถึงหลัง ทำมาหากินฝืดเคือง น้ำมันแพง สินค้าอุปโภคแพง บริโภคแพง ทุกอย่าง พอประชาชนมาเจอเรื่องการที่ท่านนายกฯ ใช้เงินหลวงซื้อ iPhone ให้ข้าราชการ ก็เลยเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมา ทั้งๆ ที่ไม่ได้เยอะเลย แค่ 2 ล้านกว่าบาท อย่างที่ผมเรียนให้ทราบไงว่ามีความจำเป็นแค่ไหนต้องซื้อ iPhone 12 ยี่ห้ออื่นในตลาดถูกกว่ากันเยอะ คุณสมบัติในการใช้ไม่ด้อยกว่ากัน อย่างที่ผมพูดไง ทุกคนก็มีโทรศัพท์ใช้กันอยู่แล้ว ทำไปทำไมท่านนายกฯ ใครเสนอท่านนายกฯ มาต้องเขกกบาลไปที ทะลึ่งไม่เข้าเรื่อง อะไรที่เป็นประโยชน์ อะไรที่เป็นความคิดที่สร้างสรรค์ แล้วจะทำให้ประชาชนเขาเห็นใจว่าท่านนายกฯ ทำงานเพื่อประชาชนจริงๆ ทำไมไม่คิด คิดแต่เรื่องที่ทำให้โดนด่าตลอดเวลา
ถึงแม้ที่ปรึกษาท่านนายกฯ จะออกมาแก้ตัวว่าเป็นวงรอบการจัดซื้อปกติ แล้วตัวท่านนายกฯ ก็ไม่ได้ใช้โทรศัพท์ iPhone ล็อตนี้ไปใช้ แต่ท่ามกลางปัญหาข้าวยากหมากแพง ราคาน้ำมันสูงปรี๊ด เดือดร้อนไปทั่วหย่อมหญ้า กลับมีข่าวว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ใช้งบ 2.68 ล้าน ซื้อ iPhone แจกข้าราชการทำเนียบฯ มันถูกที่ถูกเวลาหรือเปล่า ? และท่านนายกฯ ครับ อย่าไปคิดว่าปัญหาของชาติบ้านเมือง เอะอะอะไรก็โยนให้ทหาร ผักชีแพง ให้ทหารปลูกผักชี น้ำมันดีเซลแพง รถขนส่งจะไม่ขนสินค้าให้ถ้าดีเซลไม่ต่ำกว่า 30 บาท หรือตกไปที่ 25 บาท ท่านก็บอกว่าเอาทหารมาขน
ท่านนายกฯ ครับ ท่านนายกฯ โชคดีนะที่เรือประมงไม่ประท้วงท่าน ถ้าเรือประมงประท้วงท่านนะ เดี๋ยวท่านก็หลุดออกมาอีกว่าให้ทหารเรือจับปลา เอาเรือรบออกไปจับปลามาส่งให้ประชาชน ท่านนายกฯ ครับ ผมว่าท่านพูดให้น้อยลง ดีที่สุด สงวนปากสงวนคำเอาไว้ เพราะว่าท่านคุมอารมณ์ไม่ค่อยอยู่ แล้วความคิดท่านไว ไวมากจริงๆ ไวชนิดที่เรียกว่า โดยหลักการ ฟังแล้วมันเข้าท่า แต่พอคิดสักนิด หายใจเข้าไปลึกๆ แล้วค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกมา ความคิดนี้มันโหลยโท่ยเหลือเกิน
ท่านนายกฯ ครับ วันนี้เป็นคำแนะนำ ผมเชื่อว่าท่านนายกฯ มีความปรารถนาดีในการที่จะออกความเห็น แต่ดีที่สุด ออกความเห็นให้น้อยที่สุดดีกว่า ท่านนายกฯ ครับ
ท่านผู้ชมครับ ก่อนผมจะมาพูดเรื่องนี้ เมื่อวานนี้ ตอนกลางคืนผมไปดูหนังเก่าเรื่องหนึ่ง ชื่อ The Bourne Supremacy ในเรื่องนั้นมันมีรองผู้อำนวยการ CIA ผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ พาเมลา แลนดี้ (Pamela Landy) แล้วใน CIA ก็มีรองผู้อำนวยการหลายคนที่อยู่ในนั้น พอดี๊...พอดี ก็เลยทำให้ผมอดนึกไม่ได้ว่า เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา 19 พฤศจิกายน ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเดวิด เอส. โคเฮน (David S. Cohen) รองผู้อำนวยการสำนักงานข่าวกรองของสหรัฐฯ หรือรองผู้อำนวยการ CIA เข้าพบ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ทำเนียบรัฐบาล คุยกันประมาณ 45 นาที หลังจากนั้นแล้ว นายเดวิด รอง ผอ. CIA ก็พบ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ แล้วก็มีผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ นายธนากร บัวรัษฎ์ เข้าร่วมหารือด้วย
หลังจากนั้นแล้ว นายโคเฮน ยังเข้าพบหารือกับ พลเอก สุพจน์ มาลานิยม เลขาฯ สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) หรือถ้าเป็นภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า National Security Council ก็เลยมีการตั้งข้อสงสัยในการหารือกัน รัฐบาลก็เลยแจกแจงว่ามีการหารือกันเรื่องประเด็นเสถียรภาพในภูมิภาค การเชื่อมโยงกันทางด้านเศรษฐกิจ ความร่วมมือทางการทหาร ความมั่นคงในสถานการณ์พม่า และความเข้าใจในสถานการณ์บ้านเมืองของไทย ซึ่งทั้งหมดเป็นการหารือและพูดคุยกันในภาพกว้าง ไม่ได้ลงรายละเอียด ไม่ได้กล่าวย้ำถึงโครงการใดโครงการหนึ่ง พลเอก ประวิตร ให้สัมภาษณ์หลังจากพบกับนายเดวิด ว่า ไม่มีอะไร เขามาคุยกันส่วนตัว เพราะรู้จักกันมาก่อน เมื่อถามว่า ที่พูดคุยกันสหรัฐฯ ได้แสดงความห่วงเรื่องอะไรบ้าง พลเอก ประวิตร บอกว่า ไม่มีแล้ว คุยกันเรื่องส่วนตัว
ส่วน พลเอก สุพจน์ มาลานิยม เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ก็กล่าวว่า มีการพูดคุยกันเรื่องความร่วมมือ ในเรื่องที่ต้องพูดคุยกันในสิ่งที่ก่อให้เกิดความมั่นคงในประเทศไทย สิ่งที่จะก่อให้เกิดความมั่นคงในระดับภูมิภาค ในกรอบของอาเซียน รวมทั้งภูมิภาคในภาพรวม ซึ่งประเทศไทยมีจุดยืนที่กระทรวงการต่างประเทศได้กำหนดชัดเจนแล้ว
ท่านผู้ชมครับ เมื่อฟังสิ่งที่ พลเอก ประวิตร พูด กับฟังที่เลขาฯ สมช. พูด ผมเชื่อในคำพูดของเลขาฯ สมช. มากกว่า ที่ พลเอก ประวิตร บอกว่า ไม่มีอะไร คุยกันเป็นเรื่องส่วนตัว รู้จักกันมานานแล้ว ไม่จริงหรอกครับท่านผู้ชม
ท่านผู้ชมครับ ก่อนที่ผมจะวิเคราะห์ต่อไป ผมจำเป็นต้องเอาโครงสร้างของ CIA มาเล่าให้ท่านผู้ชมฟังนิดหนึ่ง ผู้อำนวยการ CIA นั้น เป็นคนที่ทางรัฐบาลตั้งขึ้นมา นายบารัก โอบามา ก็ตั้งคนของตัวเองขึ้นมาเป็นผู้อำนวยการ CIA หรือ FBI โดนัลด์ ทรัมป์ ก็ตั้งคนของตัวเองขึ้นมา มาถึงโจ ไบเดน ก็ตั้งคนของตัวเองขึ้นมา เพราะฉะนั้นแล้ว ระดับรองผู้อำนวยการ คือผู้ทำหน้าที่ปฏิบัติการ เขาเรียกว่า Operation Chief จะฆ่าใคร จะวางระเบิดใคร จะไปป่วนประเทศไหน จะไปใช้การโฆษณาชวนเชื่อ จะไปทำให้ประเทศนั้นวุ่นวาย หรือจะไปตรวจสอบว่าข้อมูลนี้เป็นอย่างไรบ้าง จะไปตรวจสอบว่า โจชัว หว่อง ที่ฮ่องกงนั้น ทำงานสำเร็จไหม แล้วทำได้กี่องศาแล้ว แล้วจะทำอย่างไรดีตอนนี้จีนมายึดฮ่องกงคืนแล้ว เราจะทำอย่างไรดี จะมาตั้ง Operation ในประเทศไทยได้อย่างไร จะส่งอาวุธผ่านประเทศไทยไปให้ชนกลุ่มน้อยเพื่อต่อต้านรัฐบาลพม่า จะทำอย่างไรดี เป็นหน้าที่ของรองผู้อำนวยการ CIA ครับ ท่านผู้ชม เพราะว่านโยบายมาแล้วจากผู้อำนวยการ CIA รับนโยบายจากรัฐบาล พวกนี้ก็เลยกลายเป็น Operator - ผู้ปฏิบัติการ
เพราะฉะนั้นแล้ว สิ่งที่ พลเอก สุพจน์ มาลานิยม พูด ก็มีน้ำหนักมากพอสมควร มีการคุยกันเรื่องความร่วมมือ นี่ไง แต่พูดกลางๆ ร่วมมืออย่างไร ? ผมขอใช้เมืองไทย จะส่งอาวุธผ่าน ช่วยให้ความร่วมมือหน่อย พลเอก สุพจน์ ไม่ได้พูดอย่างนี้ แต่พูดกว้างๆ ว่าเรื่องความร่วมมือในเรื่องที่พูดคุยกัน ในสิ่งที่จะก่อให้เกิดความมั่นคงในประเทศไทย อะไรล่ะ ความมั่นคงในประเทศไทย ? ขอติดตั้งเครื่องมือต่างๆ ในการดักฟังประเทศจีน ที่สถานกงสุลอเมริกาที่จังหวัดเชียงใหม่ เป็นการสร้างความมั่นคงให้ประเทศไทย
พลเอก สุพจน์ พูดต่อ สิ่งที่จะก่อให้เกิดความมั่นคงระดับภูมิภาค รองผู้อำนวยการ CIA ก็อาจจะพูดต่อว่า การทำเช่นนี้จะทำให้ความมั่นคงในภูมิภาคเกิดขึ้น เพราะว่าประเทศจีนเป็นประเทศที่เป็นภัยอันตรายต่อภูมิภาคนี้ ภัยอันตรายต่ออาเซียน ผมคิดว่า พลเอก สุพจน์ มาลานิยม ท่านพูดเนื้อหาแบบกว้างๆ ผมเชื่อว่าพูดกันในลักษณะนี้ แต่ไม่กล้าพูดในรายละเอียดว่าเรื่องอะไร
เพราะว่าถ้าตามคำพูดของ พลเอก สุพจน์ ว่ามาพูดกันกว้างๆ รองผู้อำนวยการ CIA มาทำไม ไม่มีความจำเป็นต้องมา เพราะนี่คือตัว Operator ที่อยู่ในมุมมืด การมาแสดงว่ามันกำลังจะมีเรื่องบางอย่างที่อเมริกาจำเป็นต้องทำ แล้วจะมาขอไฟเขียวกับรัฐบาลไทย โดยที่มาคุยกับนายกฯ ก่อน คุยกับ พลเอก ประวิตร และคุยกับผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ และคุยกับเลขาธิการ สมช. เพราะฉะนั้นแล้ว ที่บอกว่ามาพูดคุยกันโดยไม่มีอะไรนั้น ผมฟันธงไปได้เลยว่า โกหก
ท่านผู้ชมครับ เรากลับมาที่ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งอเมริกา คือผู้อำนวยการ CIA ปัจจุบันคือนายวิลเลียม เบิร์นส (William J. Burns) อดีตเป็นนักการทูตสหรัฐฯ เข้ามารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2564
นายเบิร์นส เคยเป็นเอกอัครราชทูตหลายประเทศ เช่น จอร์แดน รัสเซีย เคยดำรงตำแหน่งผู้บริหารที่มีระดับความสำคัญอันดับ 3 ของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ด้วย เพราะฉะนั้น นายเบิร์นส ก็เลยเป็นมือวางที่รัฐบาลชุดนายโจ ไบเดน วางเอาไว้ เพราะว่าเข้ามารับตำแหน่ง 19 มีนาคม 2564 นายโจ ไบเดน เข้ามารับตำแหน่งตอนปลายปีที่แล้ว เดือนพฤศจิกายน
ถ้าเป็นข่าวด้านความมั่นคงทั่วๆ ไป อย่างเช่น มีการลือว่าอาจจะเกี่ยวโยงกับข่าวการก่อการร้ายที่กระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่นเคยออกมาเตือนก่อนล่วงหน้า เมื่อเดือนกันยายน (2 เดือนที่แล้ว) ว่าให้ระมัดระวังเหตุการณ์ก่อการร้ายใน 6 ประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทย
ถ้ามาเตือนเรื่องนี้ ไม่มีเหตุผล เพราะว่าข่าวแบบนี้ เจ้าหน้าที่ข่าวกรอง ผู้อำนวยการข่าวกรองแห่งชาติของประเทศไทย หรือเลขาธิการ สมช. พลเอก สุพจน์ ก็รับทราบอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเอาระดับรอง ผอ. CIA นายเดวิด เคยดำรงตำแหน่งรักษาการผู้อำนวยการ CIA มาแล้ว
ผมมีคำถามขึ้นมาลอยๆ ครับท่านผู้ชม เป็นไปได้ไหม ขอใช้ประเทศไทยเพื่อใช้เป็นฐานในการปฏิบัติการเรื่องพม่า ภารกิจการเดินหน้าปฏิบัติการปิดล้อมจีน เชื่อว่าปฏิบัติการ CIA บริเวณชายแดนไทยนั้นมีมาตลอดอยู่แล้ว อย่างที่ผมเคยรายงานไป รวมถึงสถานกงสุลสหรัฐฯ ที่เชียงใหม่ กำลังก่อสร้างอยู่ด้วย
เรื่องนี้ ประกอบกับหลายๆ ประเด็นก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นการตั้งนายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย ให้เป็นรองนายกรัฐมนตรีตำแหน่งหนึ่ง และมีการเยือนประเทศไทยแบบถี่ผิดปกติของนักการทูตและผู้บริหารระดับสูงของรัฐบาลสหรัฐฯ เยือนอย่างไร ?
ในปี 2564 ตั้งแต่นายโจ ไบเดน ขึ้นมาดำรงตำแหน่ง ผู้หลักผู้ใหญ่ในด้านต่างประเทศของอเมริกานั้น มาเยือนไทยเยอะจัง 7-11 พฤศจิกายน 2564 (1-2 อาทิตย์กว่าๆ ที่ผ่านมา) คณะสมาชิกรัฐสภาสหรัฐฯ นำโดย Amerish Bera กรรมาธิการการต่างประเทศของคองเกรส ของอเมริกา และประธานอนุกรรมการด้านกิจการเอเชียแปซิฟิก เอเชียกลาง ได้เดินทางมาเยือนกรุงเทพฯ พร้อมพบปะหารือกับ พลเอก ประยุทธ์ นายดอน ปรมัตถ์วินัย และนายชวน หลีกภัย
ย้อนกลับไปเดือนกว่าๆ ที่ผ่านมา 18-19 ตุลาคม นาย Derek Chollet ที่ปรึกษากระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ นาย Kin Moy หัวหน้าคณะรองผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ฝ่ายกิจการเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก พร้อมคณะผู้แทนในหน่วยงานต่างๆ มาเยือน พบนายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และเข้ามาพบ พลเอก สุพจน์ มาลานิยม เลขาฯ สมช.
ก่อนที่จะเกิดเหตุ พอมาพบปั๊บ หลังจากนั้น ชาติอาเซียนมีมติตัดสินใจไม่ให้ พลเอก มิน อ่อง หล่าย เข้าร่วมประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนด้วย ก็คงจะมาล็อบบี้กันล่ะ
11 ตุลาคม 2564 พลเอก John C. Aquilino ผู้บัญชาการภาคพื้นอินโดแปซิฟิกของอเมริกา เข้าพบ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ทำเนียบรัฐบาล หารือกันในการทำงานอย่างใกล้ชิดระหว่างอเมริกากับไทย
ก่อนหน้านั้นอีกหนึ่งเดือน 21 กันยายน นาย Antony Blinken รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ พบปะนายดอน ปรมัตถ์วินัย ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. คงจะมีอะไรพูดคุยกันอย่างเป็นความลับ
ก่อนกันยายน คือ 9-11 สิงหาคม เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำสหประชาชาติ นาง Linda Thomas-Greenfield มาเยือนไทย หารือเรื่องยุทธศาสตร์กับนายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา และดอน ปรมัตถ์วินัย ตัวแทนจากองค์กรระหว่างประเทศ และองค์กรนอกภาครัฐต่างๆ ก็คือพูดในเรื่องของ NGO ในทำนองที่ว่า น่าจะมี NGO นะ NGO น่าจะมีบทบาทมากขึ้น ในทำนองนี้
ก่อนหน้านั้นอีกเดือนหนึ่ง มิถุนายน นาง Wendy R. Sherman รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศอเมริกา มาเยือนประเทศไทย ก่อนวันที่ 2 มิถุนายน จะเข้าเยี่ยมคารวะ พลเอก ประยุทธ์ ก็มาพูดคำหวาน พูดว่าประเทศไทยเป็นเพื่อนเก่าแก่ หารือเรื่องความเข้าใจ สร้างสรรค์คุณค่าประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้้นพื้นฐาน รวมทั้งเสรีภาพต่างๆ
รัฐมนตรีช่วยฯ Sherman ได้พบปะกับบรรดาตัวแทนจากองค์กรระหว่างประเทศ องค์กรนอกภาครัฐ NGO เพื่อหารือถึงความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม นั่นก็คือว่า ไปพูดคุยกับบรรดาองคาพยพของกระทรวงการต่างประเทศของอเมริกาที่ผมเคยตั้งชื่อไว้และคนในกระทรวงการต่างประเทศยอมรับว่า NED ยกตัวอย่าง NED คือ CIA ภาคพลเมืองที่ไม่ได้ถืออาวุธ แต่เข้ามาติดอาวุธทางปัญญษ แล้วใช้การโฆษณาประชาสัมพันธ์ในการทำให้ประเทศไทยนั้นต้องปั่นป่วนหลายอย่าง
หลายท่านก็บอกว่า เข้ามาครั้งนี้เพื่อบอกว่า ตอนนี้ม็อบสามนิ้วไม่มีอิทธิพลอะไรแล้ว เพราะฉะนั้นพวกนี้ก็จะเข้ามาเจรจาตรงในทำนองว่า ไม่ต้องกังวลนะ เราไม่ได้สนับสนุนม็อบสามนิ้ว แต่คำถามที่ผมอยากจะถามท่านนายกฯ ถาม พลเอก ประวิตร ถามคุณดอน ปรมัตถ์วินัย ถาม พลเอก สุพจน์ เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่าองค์กรภาคเอกชน NGO ไม่ว่าจะเป็น Amnesty International หรือไม่ว่าจะเป็น NED ล้วนแล้วแต่เป็นเครื่องมือ เป็นองคาพยพของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ที่มาดำเนินการกิจกรรมทางการเมืองภาคพลเมืองในทุกประเทศ รวมทั้งในประเทศไทยด้วย แล้วคนพวกนี้สนับสนุนพวกที่ต้องการจะล้มล้างสถาบันกษัตริย์อยู่แล้ว ภาคองค์กรเอกชนที่ไม่ได้อยู่กับรัฐบาล เพราะฉะนั้นแล้วพูดได้ไหมท่านผู้ชม ว่าอเมริกามีส่วนรู้เห็นเป็นใจ ฉะนั้นอเมริกาก็เลยเล่นหลายหน้า ถ้าสมมุติล้มล้างสถาบันกษัตริย์ได้สำเร็จ ก็จะเล่นอีกหน้าหนึ่ง แต่ถ้าเห็นว่าตอนนี้กำลังเสียเปรียบ เพลี่ยงพล้ำ ก็มาเล่นอีกหน้าหนึ่ง
แต่ที่สำคัญ ประเด็นหลักก่อนที่ผมจะจบเรื่องนี้ รองผู้อำนวยการ CIA นั้น เป็นผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ Chief Operating Officer ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมาพบนายกฯ พบ พลเอก ประวิตร พบเลขาธิการ สมช. ถ้าไม่มีเรื่องมาขอร้อง ผมก็เลยอยากจะเตือนสตินิดหนึ่ง ว่าจะทำอะไรก็ตาม พวกเราไม่รู้หรอก แต่ทำอะไรก็ตามอย่าให้เรากลายเป็นศัตรูกับจีน เพียงเพราะว่าเราต้องทำตามคำขอของอเมริกา ท่านนายกฯ ครับ พลเอก ประวิตร ครับ ท่านเลขาธิการ สมช. ครับ มันไม่คุ้มหรอก วันนี้ข้าวไทยขายไม่ออก ไหนๆ ถ้าคุณจะเล่นกับอเมริกาแล้ว คุณขอให้อเมริกามาซื้อข้าวไทยหน่อยได้ไหม ตั้งแต่ผมเห็นมา อเมริกาไม่เคยช่วยประเทศไทยยามประเทศไทยมีปัญหาขึ้นมาในเรื่องเศรษฐกิจ ไม่เคยช่วยเลย มีแต่กระทืบซ้ำ ยกตัวอย่างในเรื่องของต้มยำกุ้ง ปี 2540 ที่อเมริกาเอาพวกอิแร้ง วาณิชธนกิจ โกลด์แมนแซคส์ (Goldman Sachs) มอร์แกนสแตนลีย์ (Morgan Stanley) เลห์แมน บราเธอร์ส (Lehman Brothers) สมัยนั้น เข้ามาเพื่อดูดทรัพย์จากประเทศไทยออกไป มีอยู่แค่นั้น แต่เวลาไทยต้องการขายข้าว ขายยาง ไม่มีใครซื้อ ท่านผู้ชมครับ ท่านผู้ชมที่ว่าผมอวยจีน ให้รู้เสียด้วยว่า มีแต่ประเทศจีนที่ซื้อให้ แล้ววันนี้จีนก็ไม่ซื้อเราแล้ว เพราะนิสัยใจคอของผู้บริหารประเทศเรามันเป็นของมันอย่างนี้ล่ะ ท่านผู้ชม
ท่านผู้ชมครับ ช่วงนี้เป็นช่วงที่อะไรๆ ก็แพงไปหมด แต่รายได้ไม่เคยเพิ่มขึ้นเลย ตามสินค้าหรือค่าพลังงงานที่แพงขึ้น แก๊สหุงต้มก็แพงขึ้น น้ำมันก็แพงขึ้น ล่าสุดท่านผู้ชมคงรู้แล้วว่า เรื่องราวที่ใหญ่โตมโหฬารก็คือเรื่องการที่สหพันธ์สมาคมรถบรรทุกขนส่งแห่งประเทศไทย ได้ยื่นคำขาดให้กับรัฐบาลว่า ถ้าภายใน 1 ธันวาคมนี้ ไม่ลดราคาน้ำมันลง 5 บาท เป็นลิตรละ 25 บาท เขาก็จะหยุดการขนส่ง ก็เลยมีวาทกรรมอันลือลั่น คือการที่นายกรัฐมนตรีได้บอกว่าจะเอารถทหารมาขนส่งสินค้าแทน
ก็ปรากฏว่าเมื่อวันพุธที่ 24 พฤศจิกายน เมื่อวานซืนนี้เอง ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน ออกมาแถลงว่า ได้มีการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ที่มีคุณสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธาน
ผลการประชุมมีมติว่า เห็นชอบให้ปรับลดสัดส่วนการผสมไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว จากปัจจุบันซึ่งมี 3 ชนิด คือ B7, B10 และ B20 ให้เหลือเพียง 1 ชนิด คือ B7 เป็นเวลา 4 เดือน โดยคาดว่าจะให้เริ่มบังคับใช้ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2564 ถึง 31 มีนาคม 2565 ซึ่งหลังจากนี้จะมีการประกาศในราชกิจจานุเบกษา
เขาบอกว่าการปรับสูตรผสมน้ำมันดีเซลดังกล่าว จะส่งผลให้ราคาขายปลีกลดลงมาอยู่ที่ไม่เกินลิตรละ 28 บาท เพื่อเป็นการบรรเทาผลกระทบจากปัญหาค่าครองชีพของประชาชนที่สูงขึ้นในปัจจุบัน นอกจากนี้ ที่ประชุมยังขอความร่วมมือไปยังผู้ค้าน้ำมันให้กำหนดค่าการตลาดน้ำมันดีเซลไม่ให้เกินลิตรละ 1.40 บาท สำหรับการปรับสูตรครั้งนี้ทำให้ราคาน้ำมันดีเซลเหลือลิตรละ 28 บาท กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมีภาระชดเชย 3,886 ล้านบาทต่อเดือน ก็ลดภาระลงประมาณ 100 ล้านบาทต่อเดือน ปริมาณการใช้ B100 เหลือประมาณ 4.16 ล้านลิตรต่อเดือน ลดลง 0.34 ล้านลิตรต่อเดือน อย่างไรก็ตาม ก็ยังทำให้รายได้ภาษีสรรพสามิตเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 77 ล้านบาทต่อเดือน นี่เป็นเรื่องที่ย้อนแย้งกันมาก ท่านผู้ชม
ท่านผู้ชมครับ เรื่องนี้มันต้องพูดกันถึงเรื่องการที่น้ำมันทำไมมันแพงขึ้นมา ? ถ้าจะให้ผมสรุปในเรื่องนี้ ผมสรุปเรื่องนี้วิธีนี้ดีกว่า ภาษีสรรพสามิต สมัยก่อนที่ คสช. จะเข้ามายึดอำนาจ ตก 1 สตางค์ต่อ 1 ลิตร สำหรับน้ำมันดีเซล ปีแรกที่ พลเอก ประยุทธ์ พลเอก ประวิตร และ พลเอก อนุพงษ์ ยึดอำนาจทำรัฐประหาร ล้มล้างรัฐธรรมนูญ และตั้งรัฏฐาธิปัตย์ขึ้นมาเองนั้น ภาษีน้ำมันดีเซลก็ยังคงอยู่ในระดับช่วงคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี และคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ก็คือประมาณ 1 สตางค์ แต่จากปี 2558 ขึ้นมา จนถึงปัจจุบัน ภาษีน้ำมันดีเซล ภาษีสรรพสามิตขึ้นมาตลอด จนกระทั่งล่าสุดที่มีปัญหา ก็คือว่า จาก 1 สตางค์ต่อ 1 ลิตร กลายเป็น 5.99 บาท หรือสรุปง่ายๆ ว่า 6 บาท ขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์ท่านผู้ชม นี่คือปัญหาใหญ่ คำถามว่า ทำไมสมัยก่อนเขาไม่ขึ้นเยอะขนาดนี้ ทั้งๆ ที่สมัยก่อนราคาน้ำมันบางช่วงก็แพง แต่ก็ไม่ได้ขึ้นแพงสูงขนาดนี้ แต่ที่ขึ้นขณะนี้ก็เพราะว่า ... ท่านผู้ชมครับ ผมฟันธงไปเลยว่า "รัฐบาลถังแตก" ไม่มีตังค์ ซึ่งรัฐบาลก็ปฏิเสธตลอดเวลา รักษาผ้าเอาหน้ารอด ยังมีเงินอยู่ๆ ไม่มี! ท่านผู้ชม รัฐบาลชุดนี้ไม่มีตังค์แล้ว เพราะว่ารัฐบาลชุดนี้เสพติดในนโยบายประชานิยม เสพติดไปแล้ว ก็คือว่า เอะอะอะไรก็แจก เอะอะอะไรก็แถม เอะอะอะไรก็แถมๆๆ ไปตลอด
ท่านผู้ชมครับ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ถ้าท่านผู้ชมพิจารณาตามที่ผมพูดแล้ว คิดตามไปให้ดีๆ ทุกวันนี้เขาแจกเงินประชาชน เสร็จแล้วในมุมกลับเขาก็มาปล้นประชาชนด้วยราคาค่าน้ำมันที่แพงขึ้น ด้วยภาษีสรรพสามิตที่แต่ก่อนเคยเสียลิตรละ 1 สตางค์ กลายเป็นลิตรละ 5.99 บาท ผมตีว่า 6 บาท ก็แล้วกัน
1 สตางค์ ขึ้นเป็น 100 สตางค์ (1 บาท) ก็เท่ากับ 100 เท่า
จาก 1 บาท ขึ้นเป็น 6 บาท ก็เท่ากับ 600 เท่า
เพราะฉะนั้นแล้ว รัฐบาลชุดนี้เวลาแก้ปัญหาเศรษฐกิจ คิดอะไรไม่ออก ก็เลยต้องใช้วิธีแจกเงิน เพราะว่าเรื่องโควิดก็เป็นเรื่องใหญ่สำหรับรัฐบาล ความจริงก็น่าเห็นใจรัฐบาล แต่ปัญหาใหญ่คือ รัฐบาลชุดนี้ใช้เป็นแต่เงิน แต่หาเงินไม่เป็น แล้วต้องการเอาใจประชาชนหมด เอาใจประชาชนคิดอะไรไม่ออกก็เลยแจก ทั้งชิมช้อปใช้ โน่นนี่นั่น คนละครึ่ง เอะอะอะไรก็แจกๆ มิหนำซ้ำแล้วยังใช้เงินแบบอิลุ่ยยฉุยแฉกในการสั่งซื้อยา อย่างที่ผมพูดเรื่องเกี่ยวกับยาฟาวิพิราเวียร์ ยาที่ไม่มีประสิทธิภาพประสิทธิผล แล้วพิสูจน์กันมาแล้ว แต่รัฐบาลก็ยังสั่งซื้ออยู่จำนวนมาก รัฐบาลชุดนี้ไม่มีความรับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้นเลยในการใช้เงิน ทั้งๆ ที่ท่านนายกฯ พูดมาตลอดเวลาว่าจะใช้เงินด้วยความซื่อสัตย์สุจริต
ความซื่อสัตย์สุจริต เป็นเรื่องหนึ่งที่จำเป็นต้องมี แต่ที่สำคัญพอๆ กับความซื่อสัตย์สุจริต คืออะไร ? คือ มีสติปัญญาและรู้จักวิธีใช้เงิน ปรากฏว่ารัฐบาลชุดนี้ไม่รู้จักวิธีใช้เงิน
ท่านผู้ชมครับ ถ้าสมมุติว่าจู่ๆ เราลดลงเหลือประมาณไม่เกิน 28 บาทต่อลิตร แล้วเรายังบอกว่ากรมสรรพสามิต ภาษีสรรพสามิต ยังกำไรเพิ่มเติมอีก 77 ล้านบาท มันแปลว่าอะไร ? มันแปลว่าคุณจะลดอย่างไร กรมสรรพสามิตก็ยังกำไรอยู่ ก็คือรัฐบาลชุดนี้อ้างวาทกรรมว่า ภาษีสรรพสามิตมันไม่มีทางที่จะลดกว่านี้ได้อีกแล้ว เพราะว่าเงินที่จำเป็นนั้นต้องเอาไปพัฒนาประเทศตรงโน้นตรงนี้ตรงนั้น ท่านผู้ชมครับ มันเป็นวาทกรรมอย่างเดียวจริงๆ เงินที่ได้ทุกวันนี้เอามาอุดกระเป๋าของรัฐบาลที่มันรั่ว สิ่งหนึ่งซึ่งรัฐบาล ... ผมไม่อยากจะก้าวเข้าไปสู่ในโครงสร้างน้ำมัน ซึ่งโครงสร้างน้ำมันเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ไม่ค่อยมีใครพูดเท่าไรนัก และเดี๋ยวผมจะเอาข้อเสนอของคุณรสนา โตสิตระกูล ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญและศึกษาในเรื่องของน้ำมัน โครงสร้างภาษี และโครงสร้างรายได้น้ำมันในประเทศไทย มาอธิบายให้ฟัง ท่านผู้ชมจะได้เข้าใจ แต่หลักๆ ผมกำลังจะชี้ให้เห็น
ถามว่าน้ำมันดีเซลสำคัญไหม ? สำคัญมาก สำคัญจริงๆ เพราะว่าน้ำมันดีเซลเป็นพลังงานที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ รถยนต์ รถบรรทุก หลายๆ อย่างในการใช้ ในการผลิต ต้องใช้น้ำมันดีเซลทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้าราคาน้ำมันยังสูงอยู่ แม้กระทั่ง 28 บาท ก็หมายถึงว่า ราคาขนส่งสินค้าที่จะมาถึงมือพ่อค้าคนกลาง พ่อค้าคนกลางมาถึงพ่อค้ารายย่อย แล้วค่อยมาถึงมือพวกเรานั้น ราคามันต้องเพิ่มขึ้นแน่นอน ในสภาวการณ์ที่รายได้ไม่มีเพิ่มขึ้นเลย ท่านผู้ชมครับ พวกเราไม่ใช่ข้าราชการที่มีเงินเดือนประจำ สิ้นเดือนมา ข้าราชการ รัฐบาลก็จ่าย เอาภาษีอากรมาจ่าย ภาษีอากรไม่พอจ่าย ก็ไปกู้เงินมาอีกทีเพื่อเอามาจ่าย พวกเรามันเหมือนคนหาเช้ากินค่ำ ทำงานเอกชน เป็นจักรกลอันหนึ่งที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุด คือภาคเอกชน แต่จะมีสักกี่คนที่โชคดี ที่สามารถทำงานได้อย่างเช่นบริษัท SCG ปูนซิเมนต์ไทย ทำงานธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกสิกรไทย หรือว่าทำงานซีพี หรือทำงานไทยเบฟ พวกที่ยืนอยู่บนลำแข้งตัวเองนั้น ตายทั้งเป็นทุกคน เมื่อตายทั้งเป็นแล้ว บ้านถูกยึด รถถูกยึด เงินไม่มีจ่ายค่าเทอมให้กับลูกหลาน แล้วยังมาเจอสินค้าอุปโภคบริโภคซึ่งต้องขึ้นไปตามค่าขนส่ง มันคือนรกของคนไทยในขณะนี้ นรกจริงๆ ท่านผู้ชมครับ
เพราะฉะนั้นแล้ว ผมมีความเห็นว่า เรามีความจำเป็นมากที่จะฟื้นฟูเศรษฐกิจ การค้าการขาย ต้นทุนสินค้า เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ถ้ารัฐบาลจำเป็นที่จะต้องมีรายได้จากภาษีสรรพสามิตเรื่องน้ำมันดีเซลปีละประมาณ 2 แสนล้าน รัฐบาลสามารถที่จะกู้ได้ เพื่อเอาเงินก้อนนี้มาอุดภาษีสรรพสามิตตรงนี้เพื่อให้ราคาน้ำมันตกไปที่ 25 บาท เมื่อตกไปที่ 25 บาท แล้ว ศักยภาพในการกระจายสินค้า ศักยภาพในการทำให้ต้นทุนต่ำ และศักยภาพในการขายสินค้าและการส่งออก ก็จะยังคงดีอยู่ และจะดีมากกว่าเดิม แล้วเราค่อยได้ภาษีคืนหมุนเวียนกลับมา
ผมคิดว่า 6 เดือน หรือ 1 ปี ใช้ได้เลย ทีรัฐบาลเสียเงินเสียทองไปกับอะไรที่มันไร้สาระไปมากมายจากรัฐบาล ไปไล่ดูสิครับ รัฐบาลมีงบประมาณที่ตัวเองฟุ่มเฟือยอยู่มากๆ สิ่งแรก การสร้างตึก สร้างอาคาร พวกนี้ควรยุติได้ ของพวกนี้ไม่จำเป็น เพราะว่าทุกวันนี้ยังพออยู่กันได้ เอาเงินก้อนพวกนี้มาช่วยลดต้นทุนลงมา และโครงสร้างของน้ำมันของบ้านเรา และโครงสร้างของแก๊สหุงต้มบ้านเรา เป็นโครงสร้างที่ผิดเพี้ยน ผมไม่รู้ว่าเขาประชุมกันอย่างไร แต่ผมรู้ว่าในขณะนี้ประชาชนเริ่มทนไม่ได้แล้วจากหลายๆ ประการ จากราคาน้ำมันที่มันสูงขึ้น ทุกแห่งก็สูงขึ้นเหมือนกันหมด ทั่วโลกสูงขึ้นเหมือนกันหมด แต่เมืองไทยมันสูงขึ้นเป็นพิเศษ ต่างกว่าชาวบ้านเขา เพราะว่าภาษีน้ำมันของต่างชาติ กับภาษีน้ำมันของประเทศไทยมันไม่เหมือนกัน ของประเทศไทยก็คือว่า ถ้าอยากได้เงินมาใช้ คือรัฐบาลอยากได้เงินมาใช้ ก็ขึ้นภาษีน้ำมันทันที ภาษีสรรพสามิต มันง่าย มันง่ายเหลือเกิน พอขึ้นมาอย่างมากชาวบ้านก็โวยวาย แต่งวดนี้มาขึ้นผิด เพราะว่ามาขึ้นภาษีน้ำมันดีเซล ก็เลยทำให้ผู้ประกอบการขนส่งทนไม่ได้ แน่นอนที่สุด ก็มีคนที่ไม่พอใจรัฐบาล ก็อาจจะอยู่เบื้องหลังผู้ประกอบการขนส่ง ก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาในการเมือง ในการเมืองเป็นอย่างนี้มานานแล้ว ไม่มีอะไรใหม่เลยแม้แต่นิดเดียว ปัญหาคือ รัฐบาลต้องใช้ปัญญาในาการแก้ปัญหา ไม่ใช่จับเสือมือเปล่า จับโน่นจับนี่มาชนกันไปชนกันมา แล้วก็บอกว่าลดได้เหลือแค่ลิตรละ 28 บาท
ท่านผู้ชมครับ น้ำมันหลายประเภทในประเทศไทยมันเป็นน้ำมันผสม มีผสมไบโอดีเซล ฯลฯ เหมือนเหล้าค็อกเทล ผสมสารต่างๆ เอทานอล ฯลฯ จริงๆ แล้วน้ำมันผสมนี่ควรจะยกเลิกไปได้แล้ว ที่ไม่ยกเลิกก็เพราะว่ามีนายทุนที่ผลิตเอทานอลขึ้นมา มีส่วนผูกพันกับผู้ผลิตน้ำมันพวกนี้ ก็เลยทำให้ยกเลิกไม่ได้
ท่านผู้ชมครับ ประเทศไทยมีอยู่ 2 ตัว ซึ่งเป็นตัวสำคัญที่สุด คือ น้ำมัน และไฟฟ้า ท่านผู้ชมลองไปดูงบประมาณของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค มีงบกำไรสะสมอยู่มากมายมหาศาล
และงบประมาณของบริษัท ปตท. ก็มีกำไรสะสมอยู่เยอะ กำไร ปตท. เยอะมากทุกๆ วันนี้ ยิ่งน้ำมันแพง ยิ่งกำไรมากขึ้น คำถามมีอย่างนี้ครับท่านผู้ชม ถึงเวลาแล้วหรือยังที่รัฐบาลต้องล้วงเข้าไป การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ การไฟฟ้านครหลวง และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค แล้วก็ต้องกำหนดทีท่าที่ชัดเจนกับ ปตท. ว่า ปตท. จากนี้ไปคุณน่าจะกำไรจาก Operation ของคุณไม่ควรเกินเท่านี้่เปอร์เซ็นต์ กำไรมากกว่านี้ ผมคิดว่าค้ากำไรเกินควร เพราะว่าคุณอยู่ในลักษณะผูกขาดอยู่แล้วในการขายน้ำมันและขายแก๊ส แต่เราไม่เคยทำ ไม่เคยจริงๆ ท่านผู้ชม แล้วก็ปรากฏว่ามีอยู่ 4 เจ้า เป็นตัวการที่ทำให้ต้นทุนในประเทศมันสูง โดยทุกคนใช้คำพูดที่เป็นวาทกรรมอ้างอิงว่า นี่คือกฎแห่งการตลาด ของแพง สิ่งต่างๆ ก็ต้องแพงขึ้นตาม ประเด็นมันไม่ใช่อย่างนั้น ประเด็นมันอยู่ที่ว่า พวกคุณมีกำไรสะสมกันเยอะเลย ไม่เชื่อลองไปขุดดูว่าการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ มีกำไรสะสมอยู่เท่าไร นครหลวง มีกำไรสะสมอยู่เท่าไร และส่วนภูมิภาค มีสะสมอยู่เท่าไร เอาเฉพาะหน่วยงานของรัฐบาลที่รัฐบาลเป็นเจ้าของ แต่เราไม่เคยสนใจ และทุกคนที่อยู่ในองค์กร ไม่ว่าจะเป็นการไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พนักงานทุกคนอู้ฟู่ มีสิทธิประโยชน์เต็มที่ เงินดาวน์เงินเดือน สวัสดิการ ประชาชนอย่างเรานี่เป็นคนหาเช้ากินค่ำ ลูกจ้าง ผู้ประกอบการรายเล็ก รอวันพินาศฉิบหายกันท่ามกลางความสุขขององค์กรของรัฐที่ผูกขาดในเรื่องของพลังงาน ท่านผู้ชมเห็นหรือยังครับ
ผมจะลองเอาคำพูดของคุณรสนา มาให้ดู คุณรสนา เป็นคนที่เสนอ 5 ข้อ คุณรสนา เสนอเลยว่าให้ทำแบบนี้แล้วน้ำมันจะเหลือแค่ 20 บาทต่อลิตร คุณรสนา เสนออย่างนี้ครับ
หนึ่ง ลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันลงลิตรละ 5 บาท ก็คือว่าตอนนี้ 5.99 บาท ลดไป 5 บาทเลย
สอง คุณรสนา บอให้ยกเลิกผลิตน้ำมัน E20 และ E85 เพื่อลดเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมัน น้ำมัน E20 ได้รับการชดเชยอยู่ลิตรละ 2.28 บาท E85 ได้รับการชดเชยลิตรละ 7.13 บาท นอกจากนี้ หากน้ำมันผสมเอทานอลมีราคาแพงกว่าน้ำมันเบนซินเกินกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ ก็ควรจะยกเลิกน้ำมันสูตรผสม
ข้อสาม ยกเลิกดีเซล B7 ลดการชดเชยลงลิตรละ 1 บาท และ B20 ลดการชดเชยลิตรละ 4.16 บาท และถ้าน้ำมัน B100 แพงกว่าดีเซลเกิน 20 เปอร์เซ็นต์ ก็ควรจะยกเลิกน้ำมันสูตรผสม
ข้อสี่ ปรับนโยบายให้การขึ้น-ลงราคาน้ำมันไม่เกินเดือนละครั้ง ไม่ใช่ทุกอาทิตย์ก็ขึ้น 20-30 สตางค์ มะรืน อีก 3 วัน ก็ขึ้นอีก 20-30 สตางค์ ให้ใช้กองทุนน้ำมันชดเชย
ห้า ยกเลิกสูตรอ้างอิงราคานำเข้าแก๊สหุงต้มจากซาอุดีอาระเบีย นี่ก็เป็นที่พูดกันมากเลย แก๊สหุงต้มทุกวันนี้แพง แพงเพราะว่าไปอิงราคานำเข้าแก๊สหุงต้มจากซาอุดีอาระเบีย ปรับปรุงราคาให้เหมาะสม ในฐานะที่แก๊สหุงต้มเป็นแก๊สผลิตได้ในประเทศ
คุณรสนา บอกว่า ถ้าทำได้ตามข้อเสนอ 5 ข้อข้างต้น ราคาน้ำมันจะลดลงได้อย่างน้อย 8 หรือ 9 บาทต่อลิตร โดยมาจากการลดภาษี 5 บาท ลดกองทุนน้ำมันลง 3-4 บาท เหล่านี้จะทำให้น้ำมันเหลือลิตรละ 20 บาท ท่านผู้ชมครับ เป็นเรื่องที่ทำได้อยู่แล้ว แต่ทำไมรัฐบาลไม่ทำ นี่คือเรื่องที่ต้องมาปุจฉาและวิสัชนากัน ว่าทำได้แบบนี้แต่ทำไมไม่ทำ ที่ไม่ทำเพราะจะมีใครเสียประโยชน์บ้าง ? ต้องลงมาดูกันตรงนี้
ท่านผู้ชมครับ วันนี้ประชาชนคนไทยหลังชนกำแพงแล้ว นี่คือการวัดกึ๋น วัดความสามารถของ พลเอก ประยุทธ์ ในการทำงาน แล้วผมก็เชื่อว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น 28 บาท ก็เป็นหนี้บุญคุณกันใหญ่แล้ว ยกมือท่วมหัวเลย ผมอุตส่าห์ลดให้คุณตั้ง 2 บาท แต่อย่างที่คุณรสนา พูด ว่าถ้าคุณทำ 5 ข้อข้างต้น ราคาน้ำมันลดได้อย่างน้อย 8-9 บาทต่อลิตร คุณรสนา เป็นคนมีสติปัญญา มีข้อมูลข่าวสาร หม่อมหลวงกร ก็มี คุณธีรชัย ก็มี แต่ละคนเรียนหนังสือสูง มีความคิดเป็น คำนวณเป็น ไม่ได้กินแกลบ กินข้าว ไม่ได้โง่ แต่สิ่งที่คุณรสนา หม่อมหลวงกร และคุณธีระชัย พูดนั้น มันไปทำให้หลายๆ เจ้าสูญเสียผลประโยชน์ ซึ่งเคยได้จากภาวการณ์ผูกขาด ถึงเวลาหรือยังท่านผู้ชมครับ ที่ต้องเอาเรื่องนี้อย่างจริงจังเสียที อย่าลูบหน้าปะจมูก ยกตัวอย่างง่ายๆ เราอิงราคาน้ำมันจากหน้าโรงกลั่นประเทศสิงคโปร์ แต่ท่านผู้ชมรู้ไหม น้ำมันที่กลั่นที่ระยอง แต่ไปอิงราคาค่าโรงกลั่นที่สิงคโปร์ จะบ้ากันหรือเปล่า นี่ไง ง่ายๆ ฮัลโหล ท่านนายกฯ ท่านตื่นเสียทีได้ไหม ท่านอย่าโง่ต่อไปเลย ท่านฉลาดให้กับประชาชนคนไทยหน่อยได้ไหมครับท่านนายกฯ
ท่านผู้ชมครับ รายการสุดท้ายของวันนี้เป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นมานานแล้ว และมีผลต่อเนื่องมาจนทุกวันนี้ เป็นเรื่องของคนๆ หนึ่ง เป็นเจ้าพ่อน้ำมันเถื่อนในภาคใต้ มีคดีถึง 14 คดี เคยถูกศาลฎีกาพิพากษาตัดสินให้จำคุกไปแล้วตั้งแต่ปี 2557 กรณีปลอมแปลงเอกสารตราตรวจคนเข้าเมือง
ท่านผู้ชมครับ ทำไมผมเอาเรื่องนี้มาพูด ? เพราะว่าความน่าสะพรึงกลัวของเรื่องนี้ต่อสังคมไทยคือ คนๆ นี้คือสัญลักษณ์แห่งความล้มเหลวและความล่มสลายของประเทศชาติจริงๆ ทำไมผมจึงพูดเช่นนี้ล่ะ ? เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับประชาชน สังคมไทย และการเมือง การปกครอง และกระบวนการยุติธรรม ครบถ้วนทุกชั้้น ทุกระดับ ตั้งแต่ชาวบ้าน ชาวประมง ตำรวจ อัยการ ศาล ซึ่งเป็นบุคลากรฝ่ายกระบวนการยุติธรรม ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ ข้าราชการท้องถิ่น ข้าราชการในส่วนกลาง ในกรมศุลกากร ในกรมสรรพสามิต ตลอดจนนักการเมืองท้องถิ่น นักการเมืองระดับชาติ หลายคนเคยเป็นถึงรัฐมนตรี
คนๆ นี้ชื่ออะไร ? คนๆ นี้ชื่อ เสี่ยโจ้ ชื่อจริงคือ นายสหชัย เจียรเสริมสิน อายุ 53 ปี ตอนนี้หนีคดีไปแล้ว ไปอยู่ที่กัมพูชา เสี่ยโจ้ เป็นตัวอย่างคลาสสิกตัวอย่างหนึ่งที่ให้เห็นถึงความฉิบหายและความล่มสลายของสังคมไทย การปราบปรามเสี่ยโจ้ ตั้งแต่ปี 2557 หลังการรัฐประหาร โดยเอาเจ้าหน้าที่ กอ.รมน. ไปค้นสถานที่ประกอบการ ตั้งข้อหา จริงๆ แล้วเนื้อแท้เป็นเพียงการปราบปรามเพื่อเคาะกะลาตามประสาเจ้าหน้าที่หรือตำรวจ เคาะกะลาเพื่อเปลี่ยนเจ้ามือ เท่านั้นเอง
ท่านผู้ชมครับ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก ไม่ใช่เรื่องเล็ก มีแม้กระทั่งบัญชีรายชื่อส่วย มีชื่อคน ชื่อตำรวจ ตั้งแต่ยศนายพัน นายพล ผู้บังคับการจังหวัดก็มี
ไม่มีการดำเนินการอะไรต่อทั้งๆ ที่หลักฐานชัดเจน ตั้งคณะกรรมการวินัยเพื่อเอาผิดได้ อย่างน้อยผิดทางอาญาไม่ได้ แต่สิ่งแวดล้อมที่ปรากฏสามารถเอาผิดทางวินัยได้ ทั้งหมดนี้มันแสดงว่าเมืองไทยนี่ไม่ไหวแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เป็นเครื่องยืนยันว่า ภาคใต้คือแหล่งสีเทาที่แท้จริงในด้ามขวานของประเทศไทย มีนักการเมืองเกี่ยวข้องหมด ทั้งระดับท้องถิ่น ระดับชาติ ส่วนสื่อมวลชนก็ไม่มีสักเจ้าที่จะสนใจรายงาน รายงานก็แค่ผิวเผิน ไม่มีการติดตามข่าวแบบเกาะลึก ติดลงลึก
ท่านผู้ชมครับ ตรงกันข้ามกับเสี่ยชัช สายเปย์ นี่ผมเปรียบเทียบให้ดู ข่าวที่เสี่ยชัช กระโดดเกาะรถที่ซื้อให้สาว
สื่อมวลชนทุกช่องรายงานกันเกาะติดชีวิต เสี่ยชัช สายเปย์ หรือสายธนสิทธิ์ สุขเกตุ อายุ 59 เมื่อต้นตุลาคม ที่ผ่านมา ข่าวว่าเจ้าตัวกระโดดเกาะรถเก๋งของอดีตแฟนสาว 27 ปี หลังจากถูกแฟนเททิ้งเอาดื้อๆ ทั้งที่เปย์ทุกอย่าง ทั้งเงิน ทั้งรถยนต์ เป็นข่าวดังในชั่วข้ามคืน ขณะที่เจ้าตัวตอนนี้กลายเป็นคนดัง มีคนเชิญไปออกรายการ ไปสัมภาษณ์เจาะลึกถึงชีวิต รวมทั้่งเชิญไปแสดงหนัง แสดงละคร
กรณีเสี่ยโจ้ กับ เสี่ยชัช เห็นได้ชัดถึงความไร้สาระของเมืองไทย สังคมไทย ความหน่อมแน้มไร้สาระของสื่อมวลชนบ้านเรา ความล่มสลายของกระบวนการยุติธรรม ซึ่งไม่ได้ต่างกว่ากรณี บอส อยู่วิทยา เลย เผลอๆ จะมากกว่าเสียด้วยซ้ำ สังคมไทยยอมปิดตาข้างหนึ่ง เพราะความไร้สาระ เพื่อต่อสู้กับความเละเทะเน่าเฟะของสังคมไทย จริงๆ แล้วผมไม่ได้อยากจะโทษสื่อมวลชนเท่าไรหรอก เพราะสังคมไทยมันเป็นอย่างนี้แหล่ะ สื่อมวลชนไทยมันถึงเป็นอย่างนี้เช่นกัน
ท่านผู้ชมครับ เสี่ยโจ้ หรือนายสหชัย เจียรเสริมสิน คือใคร ? พื้นเพคนๆ นี้เป็นคนจังหวัดเพชรบุรี เริ่มต้นทำธุรกิจเป็นเจ้าของแพปลา เขารู้จักเจ้าของเรือประมงที่เข้าเทียบท่า เอาเรือขึ้นคานเข้าอู่ซ่อมมากมายเหลือเกิน ก็เริ่มมาพบกับช่องทางในการค้าไม้ เพื่อนำมาใช้กับอู่ต่อเรือและซ่อมเรือ เดิมทีไม้ส่วนใหญ่ที่นำเข้าจากประเทศมาเลเซีย คุณภาพไม่ดีพอ ก็เลยสั่งไม้จากบริษัทค้าไม้ในจังหวัดสมุทรสงคราม มาขายให้พ่อค้าไม้ในจังหวัดปัตตานี ต่อมาเสี่ยโจ้ รู้จักพ่อค้าไม้ที่กรุงเทพฯ เชื่อมโยงกับพ่อค้าไม้ที่ลาว ก็เลยร่วมลงทุนทำธุรกิจค้าไม้ เข้าไปประมูลสัมปทานไม้คุณภาพดี เช่น ไม้ตะเคียนลาว แล้วเขาฉลาด เขาแปรรูปตามขนาดที่อู่ต่อเรือทะเลต้องการ ตั้งบริษัทนำเข้าที่จังหวัดหนองคาย และจังหวัดบึงกาฬ ส่งไม้ต่อมาที่จังหวัดปัตตานี ให้จากห้างหุ้นส่วนจำกัด สหทรัพย์ทวีค้าไม้ ของตัวเอง ทำธุรกิจไม้ ค้าไม้ ต่อเรือประมงรายใหญ่ในพื้นที่ปัตตานี
การใกล้ชิดกับพวกเจ้าของเรือประมง ทำให้เสี่ยโจ้ เห็นช่องทางการทำเงินจากน้ำมันที่เรือประมงใช้ออกหาปลาเป็นประจำ เขาก็เลยเริ่มจากการเป็นนายหน้าขายน้ำมันกลางทะเลให้กับเรือประมงก่อน และต่อมามีเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหาร มีพรรคพวก รับเงินรับทองจากเสี่ยโจ้ ก็เลยชักชวนให้ซื้อเรือน้ำมันเป็นของตัวเอง ซื้อน้ำมันเถื่อนจากเรือแทงเกอร์ (Tanker) ในน่านน้ำสากล คือน่านน้ำสากลนี่พ้นเขตทะเลไมล์ของเขตพรมแดนทะเลของประเทศไทย จอดในน่านน้ำสากล เจ้าหน้าที่ไปจับผิดไม่ได้
การค้าน้ำมันเถื่อนกับต่างชาติต้องใช้เงินริงกิตมาเลเซีย หรือเงินดอลลาร์ ในการซื้อขาย เสี่ยโจ้ ก็เลยจะทำธุรกิจให้ครบวงจร เปิดร้านรับแลกเงินในจังหวัดสงขลา
อีกด้านหนึ่ง เสี่ยโจ้ เป็นเจ้ามือหวยเถื่อนรายใหญ่ของปัตตานี ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2546 (18 ปีที่แล้ว) ตำรวจภูธรปัตตานี ตรวจค้นที่บ้านนายสหชัย ตอนนั้นเขามีฉายาเรียกว่า เฮียโจ้โรงไม้ หมู่บ้านเจริญนคร เขตเทศบาลเมืองปัตตานี พบกับนายสหชัย และพวก รวม 18 คน ทำทีเป็นปิดประตูลั่นกุญแจ แต่มีคนเฝ้าประตูอยู่ 3 คน คอยรับใบโพยหวยด้วยการติดต่อทางโทรศัพท์มือถือจากคนเดินโพย
ที่ผ่านมา เสี่ยโจ้ ถูกขึ้นบัญชีดำเป็นผู้มีอิทธิพล ขายหวยเถื่อนอย่างไม่ยำเกรง ท้าทายนโยบายปราบปรามผู้มีอิทธิพลของรัฐบาลในขณะนั้น คือ ทักษิณ ชินวัตร
ประวัติของเสี่ยโจ้ เคยตกเป็นผู้ต้องหาคดีร่วมกับพวกฆ่าคนตายโดนเจตนา ด้วยการฆ่าเผานั่งยาง แต่ศาลมีคำสั่งยกฟ้อง
17 ตุลาคม 2555 ประมาณ 9 ปีที่แล้ว พันเอก จตุพร กลัมพสุต หัวหน้าชุดปฏิบัติปราบปรามภัยแทรกซ้อน คณะทำงานพิเศษ กอ.รมน.ส่วนหน้า ภาค 4
พร้อมกับเจ้าหน้าที่ DSI และทหารพราน 50 คน นำหมายจับของ DSI และใช้อำนาจกฎอัยการศึก เข้าไปตรวจค้นห้างหุ้นส่วนจำกัด สินทรัพย์ทวีค้าไม้ เขตอุตสาหกรรมปัตตานี ของเสี่ยโจ้ แต่ไม่พบเสี่ยโจ้ เจอแค่นางกัญญามาลย์ ชาวไร่อ้อย อายุ 46 ปี เป็นภรรยาคนหนึ่งของเสี่ยโจ้ แล้วยึดรถบรรทุกปลาดัดแปลงเป็นถังบรรจุน้ำมันกว่า 3 หมื่นลิตร พร้อมบัญชีรายชื่อจ่ายส่วยและไม้เถื่อน
บัญชีรายชื่อจ่ายส่วยและไม้เถื่อนนั้น มีรายชื่อเต็มไปหมด ทั้งระดับผู้การจังหวัด ทั้งระดับสารวัตร พันตำรวจตรี ทหารก็มี เจ้าหน้าที่วันนั้นเข้าไปตรวจค้นพบว่ามีการเผาเอกสารสำคัญหลายรายการ ส่วนรถบรรทุกน้ำมันเถื่อนหายไป พบอุปกรณ์การพนัน แผ่นซีดีที่เตรียมส่งขายอีก 2,500 แผ่น เจ้าหน้าที่ตรวจพบบัญชีรายชื่อจ่ายส่วย มีทั้งข้าราชการ สื่อมวลชน หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีเจ้าหน้าที่ DSI บางคนร่วมรู้เห็น เงินที่ใช้จ่ายส่วยทั้งหมด เฉลี่ยแล้วเดือนละ 25 ล้านบาท ปีละ 300 ล้านบาท คือเงินจ่ายส่วย
วันที่ 19 มิถุนายน 2557 พลตรี พรศักดิ์ พูลสวัสดิ์ ผู้บังคับหน่วยกองกำลังทหารพรานจังหวัดชายแดนภาคใต้ เข้าตรวจค้นบ้านเสี่ยโจ้ ที่เขตอุตสาหกรรมปัตตานี พบดวงตรา ตม. ปลอม (ตรวจคนเข้าเมือง) ตู้เซฟเก็บเงินสดหลายสิบล้านบาท บัญชีรายชื่อติดสินบนเจ้าพนักงาน ไม้แปรรูปนับหมื่นแผ่น
เสี่ยโจ้ ก็ถูกกฎอัยการศึกควบคุมตัวไว้ ที่กรมทหารพราน 47 ค่ายอิงคยุทธบริหาร เสี่ยโจ้ ยอมรับว่าค้าน้ำมันเถื่อนจริง แต่ทำเฉพาะในน่านน้ำสากล ก็คือไม่ผิดกฎหมาย
ต่อมาเขาก็ได้ส่งเสี่ยโจ้ ไปที่พนักงานสอบสวนที่ สภ.เมืองปัตตานี ดำเนินคดีข้อหาปลอมแปลงเอกสาร ฝากขังต่อศาลปัตตานี ศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัวเพราะมีประวัติหลบหนี แต่หลังจากนั้นไม่นาน ศาลก็อนุญาตให้ประกันตัว ปล่อยตัวชั่วคราว
9 ตุลาคม 2557 ศาลจังหวัดปัตตานี พิพากษาจำคุกเสี่ยโจ้ 1 ปี 9 เดือน คดีปลอมแปลงเอกสาร นั่นก็คือแผ่นตรวจลงตราเข้าเมืองปลอม โดยไม่รอลงอาญา ท่านผู้ชมครับ ในวันเดียวกันนั้นที่ศาลตัดสินว่าเสี่ยโจ้ ต้องติดคุก ร้อยตำรวจตรี อรุณ ศรีสุขมาก รองสารวัตรปราบปราม สภ.เมืองปัตตานี ก็ปล่อยเสี่ยโจ้ หลบหนี หัวหน้าศาลปัตตานีก็เลยสั่งจำคุก ร้อยตำรวจตรี อรุณา ข้อหาละเมิดอำนาจศาล จำคุก 6 เดือน
24 พฤศจิกายน 2557 ตำรวจควบคุมตัว ในขณะนั้น ที่มีเรื่องมีราว ควบคุมตัว พลตำรวจโท พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พลตำรวจตรี โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และ พลตำรวจตรี บุญสืบ ไพรเถื่อน ผู้บังคับการตำรวจน้ำ พร้อมพวก 8 คน ในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
ในตอนหนึ่งของคำฟ้องมีการระบุว่า พลตำรวจตรี บุญสืบ มีพฤติการณ์เรียกรับเงินจากผู้ค้าน้ำมันเถื่อนจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยแอบอ้างสถาบันเบื้องสูง แล้วก็มีการรับเงินส่งส่วยน้ำมันเดือนละ 1-2 ล้านบาท ทุกเดือน
ก่อนหน้านั้น เสี่ยโจ้ เคยเขียนจดหมายถึงนายทักษิณ ชินวัตร ที่หลบหนีคดี เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2557 เพื่อขอความเป็นธรรมและขอบารมี ระบุว่า ก่อนหน้านี้ได้รบกวนบารมีนายทักษิณ มาแล้วครั้งหนึ่ง คราวที่ถูกนายตำรวจคนสนิท และคนสนิทกับตำรวจชั้นผู้ใหญ่ในกรม และในที่สุดแล้วก็ไม่ได้รับการดูแล ตำรวจคนนี้ก็จะสั่งให้ปิดท่าเรือที่สงขลา ปัตตานี นราธิวาส ห้ามเรือเครือข่ายเสี่ยโจ้ ออกจากฝั่ง แต่อนุญาตให้คู่แข่งทำได้ โดยที่เขาเขียนจดหมายถึงคุณทักษิณ บอกว่า ทราบมาว่าตำรวจกลุ่มนี้ร่วมมือกับนักธุรกิจน้ำมันรายใหม่ ทำการค้าน้ำมันแข่งกัน ก็เลยขออนุเคราะห์ พันตำรวจโท ทักษิณ (ตอนนั้น) ให้มีที่ยืนบ้าง ที่ผ่านมาได้สนับสนุนการเมืองด้วยความเสียสละและจริงใจเสมอมา โดยจะยืนหยัดเช่นนี้ต่อไป
วันที่ 28 พฤศจิกายน 2557 ในปีที่มีการยึดอำนาจ พลตำรวจเอก สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. แถลงเปิดบัญชีจ่ายส่วยขบวนการน้ำมันเถื่อนของเสี่ยโจ้ นำเอกสารบัญชีรายชื่อกลุ่มบุคคลที่ระบุว่าเกี่ยวข้องกับส่วยน้ำมันเถื่อนในภาคใต้ มีความหนาหลายร้อยหน้า จำนวน 2 เล่ม พร้อมแผ่นซีดี เรื่อง เปิดโปงขบวนการน้ำมันเถื่อนเสี่ยโจ้ปัตตานี ที่ยึดได้จากบ้านพักของเสี่ยโจ้ มาแสดงต่อสื่อมวลชน หลังจากนั้นแล้ว เรื่องก็เงียหายสนิท ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว
ท่านผู้ชมครับ คดีความของเสี่ยโจ้ นั้น มีมายาวนาน ตั้งแต่ปี 2545 (19 ปีที่แล้ว) มีคดีอาญามากมายถึง 15 คดี เสี่ยโจ้ ได้ประกันตัวในข้อหาปลอมแปลงเอกสาร ก่อนที่ศาลปัตตานีตัดสินลงโทษเสี่ยโจ้ 1 ปี 9 เดือน แล้วก็หลบหนีไปอยู่ต่างประเทศ
ปี 2560 มีข่าวว่าเสี่ยโจ้ กลับมาอาศัยที่บ้านในจังหวัดปัตตานี จนมีการตั้งคำถาม ถามว่าทำไมเสี่ยโจ้ ถึงไม่ถูกจับกุมจากตำรวจที่ปัตตานี แล้วพฤศจิกายน 2564 ปีนี้เอง เสี่ยโจ้ หนีมากบดานห้วยขวาง กรุงเทพฯ เพราะว่าคนใกล้ชิดบอกว่า เสี่ยโจ้ เป็นคนติดการพนัน เข้ามาเล่นการพนันที่กรุงเทพฯ
วันที่ 8 พฤศจิกายน 2564 กลางดึก เสี่ยโจ้ ออกไปกินก๋วยเตี๋ยวที่ตลาดกลางคืนห้วยขวาง ถูกตำรวจกองปราบปราม นำโดย พลตำรวจโท จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการสอบสวนกลาง เข้าจับกุม ในฐานความผิดเกี่ยวกับการฟอกเงินที่เชื่อมโยงกับการค้าน้ำมันเถื่อน
ท่านผู้ชมครับ 6 พฤศจิกายน 2564 ตำรวจนำเสี่ยโจ้ ไปยังอัยการจังหวัดสงขลา อัยการมีคำสั่ง สั่งไม่ฟ้อง เสนอไปอัยการ อธิบดีภาค 9 ก็พิจารณาสั่งไม่ฟ้องเช่นกัน ตำรวจก็เลยจำเป็นต้องปล่อยเสี่ยโจ้ ไป
แต่ปัญหามีว่า เสี่ยโจ้ มีคดีค้างเก่าปลอมแปลงเอกสาร ถูกศาลฎีกาพิพากษาจำคุกไปแล้ว 1 ปี 9 เดือน ท่านผู้ชม นี่คือไคลแม็กซ์ของเรื่อง ส่วนหนึ่ง แล้วหมายจับเสี่ยโจ้ หายไปไหน ? ไม่มีใครหาหมายจับเสี่ยโจ้ เจอ ตำรวจ อัยการ ศาล โบ้ยกันไปโบ้ยกันมาว่าใครผิด ทำไมหมายคดีปลอมแปลงเอกสารที่ศาลฎีกาตัดสินวันที่ 9 ตุลาคม 2557 ทำไมถึงไม่จับกุมมาติดคุก
ท่านผู้ชมครับ เรื่องนี้มีเบื้องหน้าเบื้องหลังมายาวนานถึง 20 ปี เกี่ยวพันกับรัฐบาลตั้งแต่ พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร สมัยนั้น และรัฐบาลต่างๆ เรื่อยมา ยังเกี่ยวพันกับความไม่สงบและผู้ก่อการร้ายใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เกี่ยวพันกับข้าราชการที่เกาะเกี่ยว อ้างอิงสถาบันเบื้องสูงเพื่อทำมาหากิน
สาเหตุเรื่องนี้กลายเป็นขบวนการและมีเครือข่ายใหญ่ เนื่องจากผลประโยชน์จากน้ำมันเถื่อนนั้น มากมายมหาศาล ท่านผู้ชมรู้ไหมว่ากำไรเดือนละเท่าไร ? ประมาณ 2,000 ล้านบาท ปีหนึ่ง 24,000 ล้านบาท เสี่ยโจ้ ใช้เงินจากน้ำมันเถื่อนนี้หว่านกระจายไปทั่วทางใต้ สงขลา ปัตตานี 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ หมดทั้งตำรวจ ทั้งอัยการ ทั้งศาล เมื่อรัฐบาลชุดทักษิณ ชินวัตร ออกไปแล้ว แต่เครือข่ายผลประโยชน์ค้าน้ำมันเถื่อนยังคงอยู่ และทุกวันนี้ก็ยังคงอยู่ ท่านผู้ชม เพราะเกี่ยวพันกับข้าราชการ นักการเมืองท้องถิ่น ข้าราชการกรมศุลกากร กรมสรรพสามิต ทหาร ตำรวจ โดยเฉพาะภาค 9 และภาค 1 โดยเฉพาะจังหวัดสมุทรปราการ ที่เป็นที่ขนถ่ายน้ำมันเถื่อนเข้าสู่เขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีนักการเมืองระดับชาติ เดาเอาเองนะท่านผู้ชมว่าพรรคอะไร เรื่อยไปจนถึงคนในกระบวนการยุติธรรม ไม่ว่าจะเป็นอัยการ หรือผู้พิพากษา
พอมีการยึดอำนาจ 22 พฤษภาคม 2557 อำนาจกลับมารวมศูนย์ กระบวนการล้างบ้างเครือข่ายเก่าก็เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม แค่ช่วงต้น เพราะเริ่มมีการเคลียร์ค่าส่วย ค่าตอบแทน จนมันลงตัว คนจีนเขาบอกว่า มีเงินก็จ้างผีโม่แป้งได้ แล้วยังมีความเฟื่องฟูยิ่งกว่าเดิม
สายข่าวของผมทางศุลกากร ยืนยันว่า ปัจจุบันผลประโยชน์เกี่ยวกับน้ำมันเถื่อน โดยเฉพาะผลกำไรเครือข่ายนี้ สูงตกเดือนละ 2,000 ล้านบาท ปีละ 24,000 ล้านบาท ท่านผู้ชมครับ น่าแปลกใจไหมว่า เสี่ยโจ้ มีปัญญาในการจ่ายส่วยให้กับข้าราชการ ทหาร ตำรวจ มากถึงเดือนละ 25 ล้านบาท นี่แค่ขั้นต่ำนะ ปีละเกือบ 300 ล้านบาท นี่ยังไม่นับจ่ายเป็นสิบๆ ล้าน หรือร้อยล้าน ให้กับนักการเมืองที่มีอำนาจในรัฐบาล หรือให้กับผู้หลักผู้ใหญ่ในส่วนกลาง ทั้งตำรวจ ทั้งอัยการ และทั้งศาล
ท่านผู้ชมครับ 25 ล้านบาท ที่ผมรายงานให้ฟังนั้น เป็นการจ่ายส่วยเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว 2554 ผมอยากถามท่านผู้ชมว่า ปีนี้ 2564 การจ่ายส่วยกันมากมายมหาศาลนี้ จะเป็นจำนวนที่เพิ่มขึ้นเท่าไร
ท่านผู้ชมครับ ในช่วงที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกกำลังพุ่งสูงขึ้นเช่นนี้ ผลประโยชน์ของกลุ่มค้าน้ำมันเถื่อนก็ยิ่งเฟื่องฟูตามไปด้วย ท่านผู้ชมแปลกใจไหม ? ผมว่าไม่น่าแปลกใจ ทำไมเสี่ยโจ้ ถึงแม้จะถูกศาลฎีกาพิพากษาจำคุกเป็นเวลา 1 ปี 9 เดือน มาตั้งแต่ 2557 ผ่านมาแล้ว 7 ปี ยังไม่มีใครเอามาเข้าคุกได้ มีแต่ พลตำรวจโท จิรภพ ไปจับเสี่ยโจ้ ที่ห้วยขวาง โดยที่ไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม ไม่สนใจ แต่ในที่สุดก็ต้องปล่อยตัวไป เพราะอะไร ? เพราะคดีที่จับเป็นคดีที่อัยการสั่งไม่ฟ้อง คำถามมีอยู่ว่า แล้วหมายจับคดีที่ศาลฎีกาพิพากษาเสี่ยโจ้ นั้น ท่านผู้บัญชาการสอบสวนกลาง บอกว่าค้นตามสารบบแล้ว ไม่เจอ แสดงว่าเจ้าหน้าที่ ไม่ว่าจะเป็นศาล หรือไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ คนใดคนหนึ่ง ศาลก็บอกว่าส่งหมายจับไปตั้งแต่วันโน้นวันนี้ วัน ว. เวลา น. แล้ว ตำรวจก็บอกว่าไม่ได้รับ แล้วพอไปค้นสารบรรณตำรวจ ก็ไม่เจออีก
ศาลจังหวัดปัตตานี ระบุว่า ได้ส่งหมายจับฉบับใหม่ไปให้ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดปัตตานี และผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรบ้านแหลม แต่ทำไมผู้การภูธรจังหวัดปัตตานี ขณะนั้น บอกว่า เสี่ยโจ้ ไม่ได้หลบหนีคดี หมายจับถูกถอนหมดแล้ว ใครโกหกใคร ?
เลยต้องถามว่า แล้วเสี่ยโจ้ เข้ามามอบตัวที่ไหน มอบกับใคร ทำไมถึงไม่ปรากฏตัวต่อสาธารณชน ทั้งๆ ที่เป็นคดีสำคัญ ฟันธงได้เลยว่ามีการช่วยเหลือกันอย่างแน่นอนที่สุด ซุกซ่อน หลบ แล้วก็เก็บหมายจับเอาไว้
ในที่สุดแล้ว ศาลจังหวัดปัตตานีก็เลยเอาหลักฐานว่าได้ออกหมายจับอีกฉบับหนึ่งให้ กรณีที่หมายจับหายออกไปจากระบบนั้น ศาลยืนยันว่า ส่งหมายจับไปที่พนักงานสอบสวนที่รับผิดชอบในพื้นที่ แล้วบอกด้วยว่า ตำรวจได้รับหมายจับที่ศาลส่งไปแล้ว ก็เลยต้องสอบสวนหาผู้รับผิดชอบ ในที่สุดแล้ว ผบ.ตร. ก็เลยตัดสินใจให้ พลตำรวจเอก วิสนุ ปราสาททองโอสถ จเรตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้ดำเนินการตรวจสอบทางวินัย
ในขณะที่กำลังตรวจสอบว่ามีตำรวจกี่คนที่เกี่ยวข้อง แล้วมีการแสดงอาการหรือพฤติกรรมที่ช่วยเสี่ยโจ้ หรือเปล่า
ในที่สุดแล้ว 18 พฤศจิกายน เมื่อประมาณเกือบสิบวันที่ผ่านมา พลตำรวจโท นันทเดช ย้อยนวล ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 แถลงข่าวยอมรับว่าเรื่องหมายจับของศาลจังหวัดปัตตานี ตำรวจรับหมายจริง แต่ไม่ได้นำมาจับกุม ทะลึ่งเอามาเก็บเอาไว้
ย้อนกลับไปตอนเข้าตรวจจับกุมเสี่ยโจ้ โดย พลตำรวจตรี จตุพร กลัมพสุต ผู้บัญชาการหน่วยเฉพาะกิจปัตตานี หัวหน้าชุดปราบปรามภัยแทรกซ้อน ของ กอ.รมน. ภาค 4 ส่วนหน้า นอกจากจะเจอเอกสารลงตราประทับปลอมแล้ว ยังยึดเอกสารจ่ายส่วยให้กับเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงหลายสังกัด อย่างที่ผมเรียนให้ทราบ ไม่มีการนำมาตรวจสอบข้อเท็จจริงและดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ ทั้งที่มีเส้นทางการโอนเงินที่ชัดเจน มีชื่อ ตำแหน่ง เลขบัญชีธนาคาร บางรายการมีชื่อและบัญชีหลังบ้านของนายตำรวจระดับสูงรวมอยู่ด้วย
ท่านผู้ชมครับ ตอนนี้ที่รู้แน่นอนก็คือว่า เสี่ยโจ้ หนีไปอยู่กัมพูชาแล้ว หลังจากที่อัยการที่สงขลาสั่งไม่ฟ้อง และหาหมายจับที่ศาลฎีกาพิพากษาว่าเสี่ยโจ้ ต้องจำคุก 1 ปี 9 เดือน ไม่เจอ เพิ่งจะมาเจอตอนหลัง เมื่อประมาณวันที่ 5-6-7 พฤศจิกายนนี้ เอง โดยที่ศาลออกหมายจับให้อีกครั้งหนึ่ง แล้วก็ส่งไปให้ตำรวจเช่นกัน แต่ตอนนั้น เสี่ยโจ้ ถูกปล่อยตัวไปแล้ว และปัจจุบันนี้หนีไปอยู่กัมพูชาแล้ว
ท่านผู้ชม ที่ผมเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง ถ้าท่านผู้ชมตามเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้น ท่านผู้ชมจะอึ้ง นึกไม่ถึง พูดได้ว่าเสี่ยโจ้ แทบจะซื้อตำรวจได้ส่วนใหญ่ในจังหวัดปัตตานี เพราะฉะนั้นแล้ว เรื่องราวที่เกิดขึ้นในจังหวัดปัตตานี นั้น เสี่ยโจ้ ได้รับการปกป้อง แต่ระดับจังหวัดปัตตานีจังหวัดเดียว จะดูแลแล้วก็ปกป้องเสี่ยโจ้ ได้อย่างไร ถ้าไม่มีอัยการช่วย ถ้าไม่มีศาลบางคนช่วย และถ้าไม่มีผู้ใหญ่ในส่วนกลางที่อยู่เบื้องหลัง ก็เลยมีคนตั้งคำถามว่า เสี่ยโจ้ มีใครอยู่เบื้องหลังหรือเปล่า เพราะว่าธุรกิจที่กำไรเดือนละ 2,000 ล้าน ปีละ 24,000 ล้าน ไม่ใช่ธุรกิจเล็กๆ นะ ลำพังการจ่ายส่วยที่ปรากฏในสมุดตกปีละประมาณ 300 ล้าน จ่ายมากี่ปีแล้ว แล้วเบี้ยบ้ายรายทาง แล้วเงินเป็นก้อนเป็นถุง ที่ใส่ถุงทะเล ใส่กระเป๋าเดินทางเอาไปให้ผู้หลักผู้ใหญ่ที่ส่วนกลาง หรือผู้ใหญ่ระดับนายพล อีกเท่าไร แล้วนักการเมืองอีกล่ะ ระดับชาติ ระดับท้องถิ่น ที่มาสูบเงินเสี่ยโจ้ แล้วเสี่ยโจ้ ก็พร้อมจะหว่าน เพราะมันเป็นกำไรจากน้ำมันเถื่อนซึ่งกำไรมาก ไม่มีความหมาย
ท่านผู้ชมเห็นด้วยกับผมไหมว่า นี่คือสิ่งที่ชี้บอกชัดเจนเลยว่านี่คือการล่มสลายของทุกระบบในประเทศไทย ท่านผู้ชมยังจำคำพูดของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ไหม ที่ท่านพูดตลอดเวลาว่า ยุคที่ท่านเข้ามานี้ ไม่มีการคอร์รัปชัน ท่านเอาจริง แต่กรณีของเสี่ยโจ้ ไม่รู้ว่าท่านเอาจริงแค่ไหน ทำไมท่านปล่อยให้ลอยนวลไปขนาดนั้น อย่าบอกว่าท่านไม่รู้นะ เพราะว่าพวก กอ.รมน. ภาค 4 เขารู้กันหมด ทหารหลายคน ตั้งแต่ยศนายพัน จนถึงนายพล รับเงินทอนจากเสี่ยโจ้ทั้งสิ้น
ท่านผู้ชมครับ เรายังมีความหวังกับวาทกรรมของคนที่ชอบพูดในภาพบวกของตัวเองอยู่ต่อไปได้อีกนานแค่ไหน วันนี้กรณีเสี่ยโจ้ พิสูจน์ชัดเจน ก็ต้องขอบคุณและชม พลตำรวจตรี จิรภพ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ที่ไม่ได้กลัวอำนาจอิทธิพลใดๆ ทั้งสิ้น ไปจับเสี่ยโจ้ ที่ห้วยขวาง แต่จำเป็นต้องปล่อย ทั้งๆ ที่รู้ว่าเสี่ยโจ้ มีหมายจับของศาลฎีกา แต่หาหมายไม่เจอ ผมหวังว่า พลตำรวจเอก วิสนุ ปราสาททองโอสถ จะทำความจริงให้ปรากฏว่าใครเป็นคนอมหมายศาลไว้ และผมเชื่อว่าเป็นเจ้าหน้าที่ระดับอย่างมากก็เป็นแค่สารวัตร แต่ว่าสารวัตรคนนั้นทำเอง หรือว่าทำตามคำสั่งนาย
ท่านผู้ชมครับ นี่คือความจริงที่เจ็บปวด วันนี้ก็เลยขอจบลงด้วยเรื่องที่เจ็บปวดมากๆ แล้วเราค่อยมาเจอกันอาทิตย์หน้าต่อไป สวัสดีครับ