xs
xsm
sm
md
lg

กิน “น้ำตาล” มากเกินไป อาจส่งผลให้แก่เร็วได้

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



ปฎิเสธไม่ได้ว่า  "น้ำตาล" เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยทำให้รสชาติอาหารกลมกล่อม แต่ทว่าหากมีการบริโภคมากเกินไป ก็อาจจะสร้างผลเสียได้ เพราะนอกจากจะส่งผลต่อเรื่องต่าง ๆ แล้ว เรื่องความสูงวัย ก็ถือว่าเป็นอีกปัจจัยหนึ่ง ที่ส่งผลได้เช่นเดียวกัน

น้ำตาลเป็นส่วนผสมที่นิยมนำมาใช้ในอาหารและเครื่องดื่ม มีรสชาติหวานและถูกปาก แต่การบริโภคน้ำตาลปริมาณมาก ไม่เพียงแต่จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเรื้อรังต่าง ๆ เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด เท่านั้น แต่ยังมีความสัมพันธ์กับการเกิดริ้วรอยและภาวะแก่ก่อนวัยอีกด้วย

แล้วการที่น้ำตาลถูกบริโภคเข้าไปจะถูกย่อยเป็นหน่วยเล็ก ๆ และดูดซึมเข้ากระแสเลือดอย่างรวดเร็ว และน้ำตาลเหล่านี้ ก็สามารถจับกับโปรตีนอีลาสตินและคอลลาเจน เกิดเป็นสารประกอบที่มีชื่อว่า Advanced glycation end products หรือ AGEs ซึ่งจะส่งผลให้โปรตีนอีลาสตินและคอลลาเจนเสื่อมสภาพ ทำให้ความยืดหยุ่นของผิวหนังลดลง เกิดการหย่อนคล้อย

โดยหลักปกติทั่วไปแล้ว เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้นการสะสมของ AGEs บริเวณผิวหนังจะเพิ่มมากขึ้นด้วยอยู่แล้ว แต่การมาบริโภคอาหารที่มีปริมาณน้ำตาลสูง ก็สามารถกระตุ้นกระบวนการดังกล่าวให้เกิดได้เร็วและมากขึ้น ทำให้เกิดริ้วรอยและแก่ก่อนวัยมากกว่าเดิมดังนั้น ควรบริโภคน้ำตาลในปริมาณที่เหมาะสม โดยองค์การอนามัยโลกได้แนะนำปริมาณน้ำตาลที่ควรบริโภคคือ ไม่ควรเกิน 6 ช้อนชาต่อวัน

ประโยชน์และโทษของการบริโภค “น้ำตาล”
 มีดังนี้


1.น้ำตาลให้ความหวาน และให้พลังงานแก่ร่างกาย ทำให้ร่างกายสดชื่นกับมีกำลัง

2.การทำงานของอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกาย ต้องการพลังงานที่มาจากน้ำตาล กลูโคส คือ แหล่งอาหารที่จำเป็นต่อเนื้อเยื่อและอวัยวะต่าง ๆ

3.น้ำตาลช่วยในการถนอมอาหาร และ ใช้หมักอาหารได้

ส่วนโทษของน้ำตาลนั้น ก็แบ่งตามเป็นข้อ ๆ ดังนี้

1.ความหวานของน้ำตาล หากมีการสะสมในร่างกายมากเกินไป จะทำให้เกิดภาวะน้ำตาลสะสมในเลือด ซึ่งจะส่งผลต่อโรคต่าง ๆ เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ระบบการย่อยอาหารไม่ดี มีกรดในกระเพาะอาหารมากเกินไป ทำให้ฟันผุ เป็นต้น

2.ถ้าบริโภคน้ำตาลมากเกินไป ก็ทำให้ตับอ่อนทำหน้าที่ผลิตอินซูลิน เสื่อมสมรรถภาพ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง 

3.การกินน้ำตาลมากเกินไป จะเป็นตัวเร่งการขับแร่ธาตุโครเมียมออกจากร่างกาย ผ่านทางไต ซึ่งแร่โครเมียม เป็นแร่ธาตุเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของอินซูลิน สารที่ใช้ลดระดับน้ำตาลในเลือด

4.ภาวะน้ำตาลที่สะสมในร่างกาย จะถูกเก็บไว้ที่ที่ตับ ซึ่งหากมีปริมาณมากเกินไปตับจะส่งไปยังกระแสเลือด และ เป็นกรดไขมัน เพื่อนำไปสะสมในร่างกายตรงบริเวณส่วนที่เคลื่อนไหวน้อย เช่น สะโพก ก้น หน้าท้อง ขาอ่อน เป็นต้น

5.น้ำตาลจะทำให้เลือดมีสภาพเป็นกรดมากเกินไป ทำให้ร่างกายไม่สมดุล

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก : สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และ สสส.
กำลังโหลดความคิดเห็น