xs
xsm
sm
md
lg

[คำต่อคำ]SONDHI TALK : เนรคุณพระเกี้ยว - ระวังไม่มีที่ยืน!! - บั้งไฟพญานาค "ศรัทธา หรือ งมงาย"

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



วันที่ 29 ต.ค.นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ไลฟ์สด “SONDHI TALK” ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ คุยทุกเรื่องกับสนธิ และช่องยูทูป Sondhitalk โดยเรื่องที่พูดในวันนี้เป็นประเด็นร้อนเมื่อเนติวิทย์และผองเพื่อน กรณีจงใจป่วนพระเกี้ยวจุฬาฯ เสนอให้ยกเลิกอัญเชิญพระเกี้ยว หวังด้อยค่าสถาบันกษัตริย์ และเรื่องที่ดินของจุฬาฯ จะเป็นยังไง รวมถึงเปิดประเทศ รอด หรือ ร่วง อะไรที่ต้องห่วง? นักท่องเที่ยวจะกลับมาเยอะเหมือนเดิมไหม และการเเสดงจุดยืนเช่นนี้ของ พิธา และ ธนกร กรณีพม่าจะเป็นการชักศึกเข้าบ้าน หรือไม่ ? และเรื่องของบั้งไฟ”พญานาค ศรัทธา หรือ งมงาย" ติดตามได้ใน SONDHI TALK : ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง Ep.109



คำต่อคำ SONDHI TALK [29 ต.ค. 64] : เนรคุณพระเกี้ยว - ระวังไม่มีที่ยืน!! - บั้งไฟพญานาค "ศรัทธา หรือ งมงาย"

ช่องทางการรับชมรับฟัง "คุยทุกเรื่องกับสนธิ"หรือ SONDHI TALK
เฟซบุ๊กแฟนเพจ : คุยทุกเรื่องกับสนธิ
YouTube : Sondhitalk
เว็บไซต์ : www.sondhitalk.com
Podcast หรือ podbean : SONDHI TALK


สวัสดีครับท่านผู้ชม วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2564 ก็เหมือนทุกๆ ศุกร์ที่เรามาเจอกันในเวลาประมาณ 9 โมงเช้า ศุกร์นี้เป็นศุกร์ที่ ... อาทิตย์ที่แล้วเพิ่งกลับมาจากการทอดกฐิน ก็เหน็ดเหนื่อยพอสมควร เพราะว่าผมนั่งรถยนต์ไป แล้วก็ยังมีค้างอยู่อีก 2 วัด ผมจะเล่าให้ฟังนะครับ


เมื่อวันเสาร์ที่ 23 ตุลาคม 2564 ผมได้ไปเป็นประธานกฐินที่วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี แล้ววันอาทิตย์ที่ 24 ตุลาคม 2564 ณ วัดป่าภูแปก จ.เลย และที่จะไปในวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้ มะรืนนี้ ที่วัดป่าวังศิลา จ.เชียงราย ท่านผู้ชมอนุโมทนาบุญด้วยนะครับ สาธุ สาธุ สาธุ ผมให้ประกาศออกไปว่า เป็นกฐินที่เงินทองที่เอาเข้าไปนั้นนอกเหนือจากเป็นส่วนที่ผมติดต่อคนที่มีเงินมีทองและมีชื่อเสียงในสังคมช่วยกันบริจาคเข้ามาแล้ว ในส่วนที่ท่านผู้ชมได้บริจาคเข้ามาในมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน เรื่องกฐินนี้ ผมบอกว่าเป็นการทำบุญของท่านผู้ชมที่ชมรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" เพราะฉะนั้นแล้ว กุศลผลบุญไปถึงท่านผู้ชมทุกท่านอย่างแน่นอนที่สุด

วัดสุดท้าย คือวัดป่าดอยลับงา จ.กำแพงเพชร ซึ่งพ่อแม่ครูอาจารย์ พระอาจารย์นพดล ท่านเป็นเจ้าอาวาส ท่านเป็นลูกศิษย์ของหลวงตามหาบัวเช่นกัน ท่านกำลังสร้างเจดีย์พระธรรมวิสุทธิมงคล หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน วันที่ 14 ผมจะเอาเงินไปสมทบทุนในการสร้างเจดีย์ที่วัดป่าดอยลับงา วันอาทิตย์ที่ 14 ที่กำแพงเพชร


นอกจากนั้นแล้ว ไปแล้วก็ได้เจอญาติพี่น้อง ญาติธรรมกันเยอะ รวมทั้งท่านผู้ชมที่้เป็นแฟนพันธุ์แท้ของรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ก็ระมัดระวังตัวกันอย่างมาก แล้วท่านเจ้าอาวาส พ่อแม่ครูอาจารย์ พระอาจารย์สุธรรม ท่านก็กำชับนักกำชับหนาระหว่างนั่งอยู่ในศาลา ให้นั่งห่างกันประมาณ 1 ช่วงแขน บางทีก็ลืมตัวไปเหมือนกัน ก็เข้ามาใกล้ชิด ผมก็ระวังสุดฤทธิ์สุดเดชล่ะครับ ผู้ช่วยผมเดินตามผม ถือขวดแอลกอฮอล์ เพราะว่ามีพ่อแม่พี่น้อง ท่านผู้ชมหลายคนที่มาขอถ่ายรูปด้วย มาถูกเนื้อถูกตัว ทีถ่ายรูปเสร็จทีก็ต้องเอาแอลกอฮอล์ฉีด แล้วก็เอาผ้าเช็ด เพื่อป้องกันเอาไว้ก่อน

ท่านผู้ชมครับ เดี๋ยววันนี้มาอัปเดตเรื่องความคืบหน้าของการแจก ฟทจ. กันนิด วันที่ 22-28 ตุลาคม 2564 ยอดแจกของรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ร่วมกับมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน เราแจกไปแล้วเกือบๆ 5 แสนกระปุก ประมาณ 36-37 ล้านเม็ด ท่านผู้ชมครับ มหัศจรรย์มาก เราส่งไปทุกภูมิภาคเลย ทุกส่วนในประเทศไทย ทุกวันนี้ก็ยังเดือดร้อนอยู่เยอะ ยกตัวอย่าง วันพุธที่ผ่านมา ทางกรมราชทัณฑ์กำลังมีปัญหาในเรื่องของฟ้าทะลายโจรที่ขาดตลาด เราก็เลยยก 1 หมื่นกระปุก ให้กรมราชทัณฑ์ เพื่อเอาไปช่วยผู้ต้องขังที่มียอดติดเชื้อเพิ่มขึ้น ที่เหลือก็จะมี ต.คลองท่อมเหนือ จ.กระบี่ มูลนิธิสยามรวมใจปู่อินทร์ พังงา เชียงราย อุบลราชธานี ประจวบฯ เบตง จ.ยะลา จ.สงขลา นครศรีธรรมราช ขอนแก่น ฉะเชิงเทรา นราธิวาส ลำปาง และยังมีชุมชนต่างๆ ที่ จ.พัทลุง จ.ตรัง จ.ยะลา จ.พังงา สมุทรปราการ ยโสธร นครศรีธรรมราช ปัตตานี แม่ฮ่องสอน และบุคคลทั่วไปอีกจำนวนหนึ่ง ท่านผู้ชมลองดูรูปที่ผมส่งให้ก็แล้วกันนะครับ


ท่านผู้ชมครับ เรายังมีความจำเป็นจะต้องซื้อ ฟทจ. เพิ่มเติม เพราะขณะนี้เราสั่งล็อตสุดท้ายเข้ามาแล้ว ตอนนี้เรามีของอยู่ในสตอก ภายในเดือนพฤศจิกายน ก็ไม่น่าจะเกิน 5-6 หมื่นขวด ซึ่ง 5-6 หมื่นขวดนี่แจกประเดี๋ยวเดียวก็หมด เงินที่เรามีอยู่ ซึ่งอีกสักพักหนึ่งผมจะเอารายละเอียดของการบริจาคและการใช้จ่ายในการซื้อ ฟทจ. และอุปกรณ์การแพทย์ เอามาลงที่รายการนี้ให้ทุกคนได้รับทราบ ตลอดจนเงินที่ทำบุญตามวัดต่างๆ เอามาลงรวมทีเดียวเลย หากท่านผู้ชมยังต้องการจะทำบุญช่วยชีวิตคนในเรื่องของการหาซื้อ ฟทจ. แล้วแจกออกไป โดยที่คนที่เดือดร้อนขณะนี้ยังมีอยู่มาก เพราะฉะนั้นแล้ว ผมเชื่อว่าในช่วงฤดูหนาวนี้ พฤศจิกายน-ธันวาคมนี้ ก็อาจจะมีการแพร่ระบาดในชุมชน ด้วยความไม่ระมัดระวังตัว ถ้าท่านผู้ชมต้องการจะบริจาค เดี๋ยวผมจะขึ้นเบอร์บัญชีของมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินให้ ว่าสำหรับท่านผู้ชมที่ต้องการจะบริจาคเพื่อที่จะช่วยเหลือชีวิตคนในการใช้ ฟทจ. รักษาโรคระบาดเพื่อให้หายขาดไป

ส่วนการทำบุญนั้น จริงๆ แล้วเงินที่เหลือก็มีพอ แต่เนื่องจากว่ามีวัดสุดท้ายที่จะทำ คือวันที่ 14 พฤศจิกายน ที่จะไปบริจาคร่วมสมทบทุนในการสร้างเจดีย์ให้กับหลวงตามหาบัว ที่วัดป่าดอยลับงา จ.กำแพงเพชร หากท่านผู้ชมที่ยังไม่ได้ทำบุญแล้วอยากจะทำบุญเพื่อเป็นอานิสงส์ เป็นสิริมงคลแก่ชีวิต ก็ติดต่อบริจาคมาได้ทางที่ผมขึ้นเบอร์บัญชีไว้ให้


พระสมเด็จบางขุนพรหม หมดไปนานแล้ว และได้ส่งของไปให้ท่านผู้ชมได้รับกันหมดทุกคนแล้ว มีท่านผู้ชมบางท่านไม่พอใจสมเด็จบางขุนพรหม ผมก็ได้จัดการคืนเงินคืนทองไปให้เรียบร้อยทุกรายแล้ว โดยไม่ขาดเลยแม้แต่นิดเดียว

เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้าท่านผู้ชมยังอยากจะทำบุญ 2 บุญ บุญแรก เพื่อซื้อ ฟทจ. บุญที่สอง เป็นการทอดกฐินครั้งสุดท้าย วันที่ 14 พฤศจิกายน ก็เชิญ เพื่อที่จะได้รับบุญรับกุศลในงานบุญใหญ่ครั้งนี้

ท่านผู้ชมครับ อาทิตย์นี้มันมีเรื่องบางเรื่องที่ผมคิดว่าน่าสนใจมาก และผมก็คิดว่าไม่พูดไม่ได้ อันแรกคือเรื่อง บั้งไฟพญานาค ผมตั้งคำถามว่า ศรัทธา หรือ งมงาย ? ผมมีมิติมุมมองของผมในเรื่องบั้งไฟพญานาค และผมเชื่อว่าหลายๆ ท่านอาจจะฟังผมพูดแล้วก็อาจจะเห็นด้วยกับผม

เรื่องที่สองที่ผมจะพูด คือการเปิดประเทศวันที่ 1 พฤศจิกายน ก็คืออีกประมาณ 2-3 วันนี้ คือผมตั้งคำถามว่า มันเป็นความฝัน หรือ เป็นความจริงกันแน่ ? แล้วผมตั้งคำถาม ปุจฉาว่า แล้วที่เคยคิดว่านักท่องเที่ยวจีนจะกลับมานั้น จะกลับมาจริงหรือเปล่า ?

เรื่องที่สาม เป็นวิวาทะระหว่างคุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล พูดถึงเรื่องสถานการณ์พม่า กล่าวโจมตีนโยบายต่างประเทศของประเทศไทย แล้วก็โดนสวนโดยคุณธนกร โฆษกรัฐบาล ในเรื่องจุดยืนของไทยในสถานการณ์ความขัดแย้งของมหาอำนาจโลก ซึ่งผมก็ได้ออกมาวิเคราะห์และวิพากษ์วิจารณ์ทั้งสองคนในสไตล์มิติมุมมองของผม

เรื่องสุดท้าย เป็นเรื่องที่ฮือฮามากอาทิตย์ที่แล้ว คือเรื่องของนายเนติวิทย์ ขบถเนรคุณพระเกี้ยว กับประเด็นเรื่องที่ดินของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผมรู้ว่าเรื่องนี้มีคนพูดเยอะ หลายๆ คน ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์บวรศักดิ์ อุวรรณโณ หรือแม้กระทั่งคุณวัฒนา เมืองสุข และอีกหลายต่อหลายท่านออกมาตำหนิติเตียนนายเนติวิทย์ ผมจะสรุปบทบาทและข้อตำหนิติเตียนเอาไว้สั้นๆ ไม่ยาว แต่ผมจะมีเบื้องหน้าเบื้องหลังหลายอย่าง และจะมีข้อคิดที่ยังไม่เคยมีใครพูดออกไปในเรื่องของการกระทำของนายเนติวิทย์ และสมาชิกองค์การบริหารสโมสรนิสิตฯ อีก 28 คน ที่ผมคิดว่าเดินผิดทางและถูกนายเนติวิทย์ ครอบงำ นายเนติวิทย์ ครอบงำอย่างไร ? ผมกำลังบอกว่านายเนติวิทย์ เป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายทั้งหมดในการที่จะล้มล้างสถาบันกษัตริย์ เพียงแต่ว่าแบ่งหน้าที่กันทำ นายเนติวิทย์ มาทำงานในจุฬาฯ เพื่อให้จุฬาฯ ปั่นป่วน และผมมีข้อคิดอะไรหลายๆ อย่างให้ท่านผู้ชมได้รับทราบ


ท่านผู้ชมครับ บั้งไฟพญานาค มันเป็นศรัทธา หรือความงมงาย กันแน่ ? เพราะเราพูดถึงวันออกพรรษาแล้ว สิ่งหนึ่งซึ่งกลายเป็นสิ่งคู่บุญกับวันออกพรรษา ก็คือ บั้งไฟพญานาค ซึ่งเป็นปรากฏการณ์พิศวงกลางลำน้ำโขง ที่วันนี้ยังไม่มีการพิสูจน์อย่างชัดแจ้งว่าเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ เกิดขึ้นจากน้ำมือมนุษย์ หรือว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ ปาฏิหาริย์จากพญานาค

ท่านผู้ชมครับ วันออกพรรษาที่ผ่านมานี้ ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ซึ่งปีนี้ตรงกับวันที่ 21 ตุลาคม 2564 ก็ประมาณสักเกือบๆ สิบวันที่แล้ว ผมจะเล่าตำนานบั้งไฟพญานาคให้ฟังนิดหนึ่งก่อน เป็นการปูพื้นฐาน

บั้งไฟพญานาค แต่ก่อนคนอีสานเขาเรียกขานว่า บั้งไฟผี เป็นปรากฏการณ์ลูกไฟประหลาดพวยพุ่งขึ้นมาจากลำน้ำโขง เฉพาะในคืนวันออกพรรษา บั้งไฟพญานาค มีลักษณะเป็นลูกไฟประหลาด เหมือนไข่ไก่สีแดงอมชมพู พุ่งขึ้นมา สูงขึ้นไปในอากาศประมาณ 50-150 เมตร แล้วก็ดับหายไปแบบไร้เสียง ไร้กลิ่น และไร้ควัน จุดที่ลูกไฟประหลาดพุ่งขึ้นนั้น ไม่แน่นอน บางครั้งขึ้นกลางแม่น้ำโขง บางครั้งขึ้นใกล้ฝั่ง ถ้าขึ้นกลางแม่น้ำโขง ลูกไฟจะเอนเข้าฝั่ง แต่ถ้าขึ้นจากริมฝั่ง ลูกไฟก็จะพุ่งไปที่กลางน้ำ


ท่านผู้ชมครับ จุดชมบั้งไฟพญานาคหลักๆ ใน จ.หนองคาย และบึงกาฬ มีประมาณ 20 จุดด้วยกัน ที่โดดเด่นและดังมากก็จะเห็นเป็นลำน้ำโขงที่ อ.โพนพิสัย และ อ.รัตนวาปี จ.หนองคาย ซึ่งถือว่าเป็นจุดไฮไลต์สำคัญในการชมบั้งไฟพญานาคของนักท่องเที่ยว นอกจากนี้ ยังมีคนเคยเห็นบั้งไฟพญานาคขึ้นในลำน้ำโขง ที่ อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี อยู่บ่อยครั้งไป


แนวทาง/ความเชื่อ แนวทางแรก คือ เชื่อว่าเป็นการกระทำของพญานาค เป็นความเชื่อดั้งเดิมมาแต่ก่อนเก่าว่าบั้งไฟพญานาคเกิดจากการกระทำของพญานาค เพื่ออะไร ? เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา อันเนื่องมาจากความเชื่อพื้นฐานของคนโบราณในดินแดนอุษาคเนย์ ที่ส่วนหนึ่งเชื่อและนับถือพญานาค ต่างคุ้นเคยกับพญานาคเป็นอย่างดี ผ่านรูปร่าง รอย สัญลักษณ์ต่างๆ เรื่องราวของพญานาคในเมืองไทยและในอุษาคเนย์ ปรากฏอยู่ในเรื่องเล่า ในตำนาน นิทาน รูปปั้น ภาพวาด ภาพเขียน รูปสลัก โดยเฉพาะศาสนสถาน ตามปราสาทหิน วัดวาอารามต่างๆ ซึ่งแต่ละท้องที่ต่างก็มีตำนานเกี่ยวกับพญานาค ทั้งที่เหมือน และต่างกันออกไป

ผมเอารูปให้ดู พญานาคที่ปรากฏในปราสาทหินโบราณพนมรุ้ง


ส่วนแถวริมแม่น้ำโขง ภาคอีสานบ้านเฮานั้น ผู้แก่ผู้เฒ่าอยู่ริมโขง ไทย-ลาว จะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ใต้ลำน้ำโขงมีเมืองบาดาลอยู่ ในนั้นมีพญานาคอาศัยอยู่หลายตัว เพราะมีคนเคยเห็นงูใหญ่ หรือร่องรอยประหลาดที่เชื่อกันว่าเป็นร่องรอยของพญานาคอยู่เป็นประจำ พวกเขาเชื่อว่าในอดีตดินแดนแถบนี้ถูกสร้างและปกครองโดยพญานาค พอถึงวันออกพรรษา พญานาคเหล่านั้นซึ่งต่างก็เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ก็จะพากันออกมาจุดบั้งไฟเพื่อถวายพระพุทธเจ้าเป็นพุทธบูชา เป็นประจำทุกปี เรื่องนี้สอดรับกับเรื่องของพญานาคในทางพุทธศาสนาที่กล่าวว่า เดิมทีพญานาคที่อาศัยอยู่ในเมืองบาดาลนั้นมีนิสัยดุร้าย พอพระพุทธเจ้าเสด็จมาโปรดสัตว์ ก็เกิดความเลื่อมใส เลิกนิสัยดุร้าย หันออกมาบวช แต่ติดที่เป็นสัตว์ ไม่สามารถบวชได้ พวกพญานาคก็เลยปวารณาตนเป็นพุทธมามกะ เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นไปโปรดพระมารดาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์จนครบ 1 พรรษา คือ 3 เดือน และเสด็จกลับบนโลกมนุษย์ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ด้วยบันไดแก้ว บันไดเงิน และบันไดทอง ที่เหล่าเทวดาทำถวาย มนุษย์โลกก็จะทำบุญตักบาตร นำดอกไม้ธูปเทียนไปกราบไหว้บูชา ความนี้รู้ไปจนถึงพญานาคที่อยู่เมืองบาดาล ก็เลยจัดทำบั้งไฟพญานาค จุดเฉลิมฉลอง จนกลายเป็นประเพณีมาจนทุกวันนี้ นั่นคือแนวทางแรก


แนวที่สอง เชื่อว่าบั้งไฟพญานาคเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ บอกว่าเกิดจากภาวะก๊าซร้อนที่มีส่วนผสมของก๊าซมีเทน ก๊าซไนโตรเจน ซึ่งเกิดจากการหมักตัวของซากพืช ซากสัตว์ มูลสัตว์ และแบคทีเรีย เมื่อก๊าซเหล่านี้ ที่ฝังตัวอยู่ใต้แม่น้ำโขงโดนแรงกดดันจากน้ำและอากาศที่เหมาะสม มันจะลอยพุ่งขึ้นมาเหนือน้ำ แล้วเมื่อก๊าซนั้นกระทบกับออกซิเจน ก็จะเกิดการสันดาปอย่างรวดเร็ว กลายเป็นลูกไฟ หรือบั้งไฟพญานาคอย่างที่เราเห็นกัน

ส่วนแนวทางสุดท้าย ก็เป็นแนวทางของคนที่ไม่เชื่อ ก็บอกว่าบั้งไฟพญานาคนั้นเกิดจากน้ำมือมนุษย์ เกิดจากการยิงปืน จุดพลุ ยิงวัสดุพิเศษขั้นบนฟ้าในคืนวันออกพรรษา โดยจุดหลักๆ เขาบอกว่ายิงจากแถวหมู่บ้านริมโขงของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว


ท่านผู้ชมครับ กระแสนี้มักจะเกิดเป็นกระแสไปๆ มาๆ สักพักในช่วงวันออกพรรษาของบางปี อย่างไรก็ดี ไม่ว่าบั้งไฟพญานาคจะเกิดกจากอะไร แต่ที่ผ่านมา ปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคก็ได้สร้างกระแสการท่องเที่ยว จ.หนองคาย และบึงกาฬ ในช่วงวันออกพรรษา ได้เป็นอย่างดี ในช่วงปกติที่ยังไม่มีสถานการณ์โควิด-19 สามารถสร้างเงินสะพัดได้นับร้อยล้านบาท

ท่านผู้ชมครับ ประเด็นที่ผมจะพูดในวันนี้ คือเรื่องบั้งไฟพญานาค เป็นเรื่องของความเชื่อมากกว่าศรัทธา ใครจะบอกว่าเป็นเรื่องงมงายก็แล้วแต่ ผมมีอีกมิติหนึ่งให้ฟัง คือผมเป็นคนที่เคารพนับถือพ่อแม่ครูอาจารย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพ่อแม่ครูอาจารย์ที่อยู่สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ซึ่งผมเคยเรียนให้ฟังแล้วว่าผมคือลูกศิษย์ของหลวงตามหาบัว แต่มีลูกศิษย์เอกของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต องค์หนึ่ง ชื่อ หลวงปู่ชอบ ฐานสโม


หลวงปู่ชอบ ท่านคือใคร ? ท่านเป็นลูกศิษย์เอกของหลวงตามหาบัว ท่านมรณภาพไปนานแล้ว และท่านเป็นพ่อแม่ครูอาจารย์ของหลวงปู่จันทร์เรียน วัดถ้ำสหาย ท่านผู้ชมหลายคนคงอาจจะเคยได้ยินชื่อ หลวงปู่จันทร์เรียน ผมมีบุญวาสนาได้ไปกราบท่าน 2 ครั้ง แล้วคนๆ หนึ่งซึ่งเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่จันทร์เรียน เคยไปบวชที่วัดถ้ำหงาย ให้ทายว่าใคร ? คุณประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ครับ เจ้าของกิจการปูนซิเมนต์ไทย

หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ท่านเคยพูดมา ทำไมผมถึงบอกว่าผมเชื่อในเรื่องนี้ เหตุผลเพราะว่า พ่อแม่ครูอาจารย์ไม่เคยโกหก หลวงตามหาบัว เคยไปสนทนาธรรมกับหลวงปู่ชอบ


แล้วหลวงปู่มั่น ก็เคยพูดถึงเรื่องพญานาคกับหลวงปู่ชอบ หลวงปู่ชอบ ท่านอยู่วัดป่าสัมมานุสรณ์ บ้านโคกมน ต.ผาน้อย อ.วังสะพุง จ.เลย หลวงปู่ชอบ นอกจากเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่นแล้ว ท่านยังเป็นศิษย์อาวุโสรุ่นเดียวกับหลวงปู่หลุย ถ้ำผาบิ้ง หลวงปู่ซามา หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี วัดหินหมากเป้ง หลวงปู่ฝั้น อาจาโร วัดป่าอุดมพร จ.สกลนคร

ท่านผู้ชมครับ ผมได้ไปดูหนังสืออัตชีวประวัติของหลวงปู่ชอบ หลวงปู่เทสก์ ท่านเขียนคำนำไว้ตอนหนึ่ง มีใจความอย่างนี้ "พระอาจารย์ชอบ ฐานสโม มีอะไรๆ พิเศษในตัวท่าน ท่านระลึกชาติได้หลายชาติ บางชาติท่านก็เป็นมนุษย์ บางชาติก็เป็นสัตว์ หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี วัดหินหมากเป้ง จ.หนองคาย ลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต เช่นกัน

ครั้งหนึ่งสมัยหลวงปู่ชอบ บำเพ็ญเพียรอยู่วัดป่าแห่งหนึ่ง ท่านพบว่าตอนเช้าๆ จะมีชายหนุ่มคนหนึ่งมาถวายจังหันเสมอ แต่แปลกตรงที่ว่า ชายหนุ่มคนนี้จะแยกนั่งอยู่คนเดียว ห่างจากชาวบ้าน หลวงปู่ชอบ สงสัย ก็เลยถามชาวบ้านว่าเป็นลูกเต้าเหล่าใคร ชาวบ้านบอก ไม่ใช่คนในหมู่บ้าน ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นใคร


วันหนึ่งชายหนุ่มก็มาถวายจังหันอีก แยกนั่งห่างๆ จากญาติโยม เมื่อญาติโยมกราบลากลับแล้ว ชายหนุ่มคนนั้นก็เดินกลับ หลวงปู่ชอบ ก็สะกดรอยตามไปห่างๆ ก็ประหลาดใจ เพราะว่าชายหนุ่มคนนั้นได้เดินลงไปในสระน้ำเก่าแก่ในบริเวณวัดป่านั้นเอง เมื่อลงไปจนจมน้ำมิดหายไป ท่านก็เฝ้าดูอยู่ตั้งนาน ไม่เห็นโผล่มา ท่านก็กลับกุฏิ วันรุ่งขึ้นชายหนุ่มคนนั้นก็มาถวายจังหันอีก เมื่อมาถึงตอนกราบลากลับ หลวงปู่ชอบ เรียกไว้ถามไถ่เอาความว่า เป็นลูกเต้าเหล่าใคร บ้านอยู่ที่ไหน เมื่อวานนี้ลงไปในสระแล้วไม่โผล่ขึ้นมาเลย เป็นอะไรกันแน่ ชายหนุ่มผู้ลึกลับนั้นก็เลยตอบว่า เขาไม่ใช่มนุษย์ เขาเป็นพญานาคอยู่ในสระน้ำแห่งนั้น ความเคารพนับถือในศีลาจารวัตรของพระป่าที่เคร่งครัดในพระธรรมวินัย จึงได้แปลงกายเป็นมนุษย์มาตักบาตรทุกเช้า หลวงปู่ชอบ พอใจในศรัทธาของพญานาคมาก ได้โมทนาสาธุ ให้ศีล ให้พร ขอให้พญานาคเจริญรุ่งเรืองในพระศาสนา เกิดชาติหน้าขอให้ได้เป็นมนุษย์ ได้บรรพชาอุปสมบทบำเพ็ญเพียร บรรลุมรรค บรรลุผลนิพพาน พญานาคพอใจ ก็เลยกราบลาไป

ท่านผู้ชมครับ นี่เป็นตัวอย่างหนึ่ง เพราะหลวงปู่ชอบ ฐานสโม เคยเล่าประสบการณ์เกี่ยวข้องกับพญานาคไว้หลายครั้งหลายครา เพราะฉะนั้นแล้ว เวลาหลวงปู่ชอบ พูดว่าพญานาคมีจริง พ่อแม่ครูอาจารย์พูดอย่างนี้ แล้วผมเคารพพ่อแม่ครูอาจารย์ ผมก็เชื่อ เพราะผมไม่เชื่อว่าหลวงปู่ชอบจะโกหก ท่านเป็นพระอรหันต์ ท่านเป็นพระที่บรรลุไปหมดทุกอย่างแล้ว ท่านไม่มีหน้าที่จะโกหกใคร ส่วนใครจะว่าผมงมงาย ผมไม่เถียง ยิ่งเห็นหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ท่านพูดถึงหลวงปู่ชอบแบบนี้ แล้วในหนังสืออัตชีวประวัติของหลวงปู่ชอบ ฐานสโม ซึ่งผมเอาหนังสือขึ้นให้ท่านผู้ชมได้ดู


อยากจะให้เอาไปอ่าน มีเรื่องราวต่างๆ ที่หลวงปู่ชอบเล่าให้ฟัง และเป็นเรื่องที่มหัศจรรย์มาก ซึ่งผมก็ไม่ได้ประหลาดใจ ไม่ได้ประหลาดใจในเรื่องพวกนี้ เพราะผมเห็นปาฏิหาริย์ของพ่อแม่ครูอาจารย์มาหลายต่อหลายครั้ง หลายต่อหลายองค์ รวมถึงพ่อแม่ครูอาจารย์ของผม ก็คือองค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

ในวันที่ผมโดนยิง วันที่ 17 เมษายน 2552 คนที่อยู่วัดป่าบ้านตาด ณ วันนั้น รวมทั้งผู้กำกับ (ผู้กำกับก็คือฆราวาสที่ทำหน้าที่เหมือนเลขาฯ ส่วนตัวทางฆราวาสให้กับหลวงตามหาบัว) เช้าวันนั้นหลวงตาจะต้องลงมาฉันอาหารเช้า ตามปกติจะลงมาก่อน 8 โมงเช้า แต่วันนั้น 9 โมงกว่า ท่านถึงลงมาเกือบๆ 10 โมง ญาติโยมที่อยู่วันนั้นพากันทักทายว่า ทำไมท่านดูเหนื่อยจัง ท่านดูซูบ ซีดเซียว เหมือนกับว่าท่านทำอะไรอยู่ทั้งคืน ไม่ได้นอน ผู้กำกับก็รายงานท่านทันทีทางไมโครโฟน ว่า หลวงตาครับ คุณสนธิ โดนยิง หลวงตาท่านก็บอกว่า เรารู้แล้ว เราภาวนาช่วยเขาอยู่ทั้งคืน เขารอดแล้ว ไม่เป็นไร

ท่านผู้ชมครับ ผมชินเสียแล้วกับปาฏิหาริย์และความศักดิ์สิทธิ์ของพ่อแม่ครูอาจารย์ที่ผมเคารพนับถือ จนทุกวันนี้ พระที่ผมห้อยอยู่ ก็เป็นเหรียญหลวงตามหาบัว ที่ท่านเมตตาให้ผมโดยเฉพาะ

ถามว่าตำนานพญานาคมีไหม ? ผมเชื่อว่ามี ไม่มีไม่ได้ ท่านผู้ชมเห็นพระพุทธรูปไหมครับ พระพุทธรูปทรงนาคปรก ผมจะเอาพระพุทธรูปซึ่งเป็นพระประธานในห้องพระผม เอาขึ้นให้ดู


ทรงนาคปรก พระพุทธเจ้านั่งอยู่ แล้วมีพญานาค 9 เศียร ออกมาปรกท่านไว้ ในช่วงที่ท่านบรรลุธรรม เรื่องตำนานพวกนี้เมื่อถ่ายทอดมาจนถึงปัจจุบัน แสดงว่ามันมีจริงในอดีต มันไม่ได้เป็นเรื่องงมงาย เป็นเรื่องจริง เพียงแต่ว่าในช่วงหลังนั้นมีวิทยาศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้องเยอะมาก และมีคนตั้งข้อสงสัย บางครั้งเราไม่รู้จะตอบอย่างไรได้ เพราะว่าถ้าตอบไปมันเปรียบเสมือนเรื่องที่มันไม่เป็นจริง

ผมจบเรื่องนี้ด้วยคำถามนี้ให้ท่านผู้ชมแล้วกัน ตั้งแต่มีบั้งไฟพญานาค มันมีผลเสียอะไรบ้าง ? ทำให้คนมุ่งมั่นว่าแม้กระทั่งพญานาคก็ยังมาเฉลิมฉลอง เป็นพุทธบูชา ให้กับการออกพรรษา เราที่เป็นมนุษย์ ก็ควรที่จะทำบุญตักบาตร ทำบุญกุศล ปฏิบัติธรรม บั้งไฟพญานาคส่งเสริมการท่องเที่ยว สร้างรายได้ให้กับพี่น้องริมโขงได้อย่างมหาศาล ท่านผู้ชมครับ ในกรณีนี้ถ้ามีอะไรที่ถ้างมงายแล้วทำให้ประเทศชาติดีขึ้น ผมพร้อมจะงมงาย เพราะฉะนั้นแล้ว นี่คือมิติมุมมองของผม

ท่านผู้ชมครับ บางครั้งในชีวิตคนเรา เรื่องบางเรื่องมันดีอยู่แล้ว อย่าไปรู้เลยว่าเบื้องหน้าเบื้องหลังมีอะไร รู้แต่ว่ามันดีอยู่แล้ว แล้วมันทำให้ทุกอย่างดีขึ้น นี่้คือคำตอบของผมในเรื่องบั้งไฟพญานาคครับ

ท่านผู้ชมครับ วันนี้เป็นวันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2564 อีกสองวันก็จะถึงวันที่ 1 พฤศจิกายน ซึ่งเป็นวันที่เปิดประเทศ เปิดประเทศครั้งนี้ หลายคนกำลังฝันอยู่ และหลายคนลืมนึกถึงความจริงบางประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของนักท่องเที่ยวจีน


ท่านผู้ชมครับ เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม ท่าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกมาแถลงการณ์เปิดรับนักท่องเที่ยวบางประเทศเข้าประเทศไทยโดยที่ไม่ต้องมีการกักตัว ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 เป็นต้นไป นักท่องเที่ยวที่เข้าประเทศไทย ใช้แค่หลักฐานผลการตรวจหาเชื้อโควิด ด้วยวิธี PCR ก่อนเดินทางออกจากประเทศต้นทาง และตรวจหาเชื้อโควิด-19 อีกครั้งเมื่อถึงประเทศไทยเท่านั้น ทั้งหมดผมดูแล้วมี 46 ประเทศ รวมประเทศจีน

ความหวังของผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวของประเทศไทย ก็คือนักท่องเที่ยวจากประเทศจีน เพราะว่านักท่องเที่ยวจากประเทศจีนในช่วงยุคก่อนโควิดนั้น ปริมาณคนเข้ามาคิดแล้ว 30 กว่าเปอร์เซ็นต์ ของยอดนักท่องเที่ยวที่มาจากทั่วโลก ที่สำคัญก็คือว่า ในปี 2562 ก่อนที่โควิดจะระบาดในต้นปี 2563 มีปริมาณนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาประมาณ 11 ล้านคน ยอดรายได้เข้ามาประมาณ 6 แสนล้านบาท สถิติตัวนี้เป็นสถิติซึ่งประเทศไทย ด้วยความสัตย์จริงแล้ว ในช่วงตั้งแต่ปี 2557 เป็นต้นมา จนกระทั่งถึงปลายปี 2562 รายได้นักท่องเที่ยวเป็นรายได้หลักของประเทศ ที่ทำให้ประเทศมีชีวิตอยู่ได้ ในขณะที่รายได้ทางด้านอื่นตกต่ำไปหมด


2562 นักท่องเที่ยวเข้ามาเมืองไทย 39 ล้านกว่าคน เกือบ 40 ล้านคน ทำรายได้ถึง 1.93 ล้านล้านบาท นักท่องเที่ยวจีน รายได้เข้ามา 6 แสนล้านบาท คิดเป็น 31 เปอร์เซ็นต์ ของรายได้ ท่านผู้ชมจำได้ไหม ผมเคยพูดว่าอย่างไร ทุกอย่างที่ผมพูดวันนี้มีที่มาที่ไปมาตลอด ว่าผมเคยพูดมาแล้ว และผมก็จะเตือนความจำท่านผู้ชมอีกครั้งหนึ่งว่า ท่านผู้ชมครับ เรื่องนี้ผมเคยพูดมาแล้วนะ

วันที่ 28 พฤษภาคม 2564 ผมบอกว่า ถ้าวันหนึ่งเราเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าแล้ว แต่นักท่องเที่ยวจีนไม่กลับเข้ามาตามที่คาด แล้วฝันที่คาดเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นภูเก็ต เชียงใหม่ หรือพัทยา ที่หวังให้คนจีนเข้ามาต่อลมหายใจ จะฝันสลายนะ แล้วนี่คือความจริงที่เจ็บปวดที่สุด แล้วทำไมผมถึงฟันธงว่า ปี 2564 ถึงปีหน้า 2565 นักท่องเที่ยวจะไม่หวนมาเที่ยวเมืองไทยแบบมืดฟ้ามัวดินเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว ? ผมจะเล่าให้เหตุผลให้ฟัง

ประการแรก รัฐบาลจีนยังคงยึดมั่นกับนโยบาย Zero COVID Policy พูดง่ายๆ ก็คือว่ารัฐบาลจีนจะต่อสู้เพื่อให้ไม่มีคนติดเชื้อโควิดอีกเลย


อีกประการหนึ่ง ความสัมพันธ์ที่เคยแนบชิดกับเรานั้น ตอนนี้เริ่มห่างเหินไปมาก และความร้าวฉานระหว่างประเทศไทยกับประเทศจีนมีอยู่หลายกรณี ซึ่งผมเคยเล่าให้ฟังแล้ว ประเด็นนี้เป็นประเด็นที่สำคัญที่สุด ถ้ารัฐบาลจีนยังยึดถือนโยบาย Zero COVID Policy หรือกฎตัวเลขผู้ติดเชื้อให้เป็น 0 ซึ่งรัฐบาลจีนบังคับใช้อย่างเข้มงวดและเด็ดขาด ผมยกตัวอย่างให้ฟังง่ายๆ เมื่อวันจันทร์ที่ 25 ตุลาคม เมื่อ 4-5 วันที่ผ่านมา ปลายสัปดาห์ที่แล้ว ทางการปักกิ่งประกาศว่ามีการค้นพบผู้ติดเชื้อโควิดรายใหม่เพียง 4 คน แค่ 4 คนนะท่านผู้ชม ระดมตรวจเชื้อคนทั่วบริเวณหลายแสนคน และในเวลาต่อมา ในวันจันทร์ ปักกิ่งจะมีการแข่งขันวิ่งมาราธอนประจำปีกรุงปักกิ่ง ก็เลยมีการประกาศยกเลิกการแข่งขันมาราธอน ปกติแล้วจะมีคนเข้ามาวิ่งประมาณ 3 หมื่นคน กำหนดเดิมจะจัดวันอาทิตย์ที่ 31 ตุลาคมนี้


นอกจากนั้นแล้วยังยกเลิกกิจกรรมการแข่งขันทุกประการ เข้าใจว่าทางจีนคงเล็งเห็นว่าช่วงนี้เป็นจุดหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญ ถือเป็นการนับถอยหลัง 100 วัน สู่การเปิดสนามแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาว 2022 จีนก็เลยต้องการที่จะทุ่มเททุกอย่างสุดฤทธิ์สุดเดชในการควบคุมการติดเชื้อโควิดให้กลับไปเป็น 0 ให้ได้ เพื่อไม่ให้เกิดอุปสรรคในการเปิดมหกรรมกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาว ที่กรุงปักกิ่งของจีนจะเป็นเจ้าภาพ ซึ่งจะถูกจัดขึ้นในช่วงวันที่ 4-20 กุมภาพันธ์ 2565 และปักกิ่งจะเป็นเมืองแรกของโลกที่เป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิก ทั้งฤดูร้อนและฤดูหนาว ครั้งแรกถูกจัดขึ้นเมื่อปี 2551 (ค.ศ. 2008)


ท่านผู้ชมครับ นอกจากนี้ถ้ามองในเชิงความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีน ณ ปัจจุบัน ผมเคยชี้ให้เห็นแล้วหลายครั้งว่า ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลจีนกับไทย ณ เวลานี้ ไม่เหมือนเดิมแล้ว ยังมีความห่างเหินกันหลายประการ มันมีปัญหาปมที่ไม่ได้รับการแก้ไข ที่ยังคาราคาซังอยู่ ยกตัวอย่าง เรื่องรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ปัญหาเกี่ยวกับลุ่มแม่น้ำโขง การที่ไทยปล่อยให้อเมริกาเข้าแทรกแซง ขยายสถานกงสุลที่เชียงใหม่เสียใหญ่มโหฬาร ไม่นับรวมความพยายามที่จะด้อยค่าวัคซีนซิโนแวค ของนักการเมืองและประชาชนบางกลุ่ม ทั้งๆ ที่จีนนั้นบริจาคซิโนแวคให้เราเป็นประเทศแรกในโลกนี้ ประเทศไทยเป็นประเทศแรกที่ได้รับซิโนแวคในระยะต้นๆ

ทั้งหมดนี้ ซึ่งยังมีอีกมาก รวมๆ กันแล้วสะท้อนออกมาให้เห็นถึงการเรียกเอกอัครราชทูตจีนฯ คนเก่ากลับไป แม้จะมีการส่งเอกอัครราชทูตจีนฯ คนใหม่มาแล้ว แต่ก็ต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งเพื่อปรับความสัมพันธ์ และแก้ปัญหาคาราคาซังที่มีมาหลายปี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องนักศึกษาไทยหลายหมื่นคนที่ไม่สามารถกลับไปเรียนต่อที่จีนได้ ปมปัญหาเรื่องรถไฟความเร็วสูง เรื่องลุ่มแม่น้ำโขง


ทางไทยพยายามเรียกร้องว่าทางการจีนควรปล่อยนักท่องเที่ยวจีนกลับมาเที่ยวเมืองไทยได้แล้ว แต่ท่านผู้ชมครับ ในความเป็นจริงคงเป็นไปได้ยาก และน่าจะถูกจัดลำดับความสำคัญไว้ท้ายๆ ที่ทางการจีนจะดำเนินการตามความประสงค์ของไทย

ประการที่สอง นโยบายจำกัดผู้เดินทางขาเข้าประเทศ จีนเขาออกนโยบายมา รู้สึกว่าผมจะพูดเรื่องนี้ไปแล้ว ไม่ว่าชาวจีนหรือชาวต่างชาติจะเดินทางเข้าจีน ต้องปฏิบัติตามกฎข้อบังคับการตรวจโควิดอย่างเข้มข้น แสดงเอกสารรับรองสุขภาพล่วงหน้าก่อนขึ้นเครื่อง เพื่อเดินทางเข้าประเทศจีน ซึ่งคนจีนและคนต่างชาติที่เข้าประเทศจีนต้องใช้กฎและมาตรฐานเดียวกัน คือต้องได้รับบัตรอันหนึ่ง โค้ด ที่เรียกว่า อิเล็กทรอนิกส์ กรีนโค้ด (Electronics Green Code) จากระบบออนไลน์ของจีนก่อน


ท่านผู้ชมครับ การขอบัตร Electronics Green Code ไม่ใช่อยู่ๆ จะขอได้ ต้องมีผลการตรวจโควิด-19 แบบ PCR 2 ครั้ง ครั้งที่ 1 ตรวจก่อนขึ้นเครื่อง 7 วัน ครั้งที่ 2 ตรวจก่อนขึ้นเครื่อง 48 ชั่วโมง การตรวจสองครั้งต้องไม่ใช่สถานพยาบาลเดียวกัน และต้องเป็นสถานพยาบาลที่สถานทูตจีนรับรองเท่านั้น นอกจากนั้นยังจะต้องมีการแสดงผลเลือด แสดงภูมิคุ้มกันโควิด-19 ประเภท IGT และ IGM อัปโหลดเพิ่มเติมเข้าไปอีก สรุปแล้วก่อนจะกลับเข้าจีน หมายความว่าถ้ามาเที่ยวเมืองไทยแล้วจะกลับเข้าจีนต้องตรวจถึง 3 ครั้ง PCR 2 ครั้ง ตรวจภูมิคุ้มกัน 1 ครั้ง ถึงจะได้ Electronics Green Code และมีอายุใช้งานแค่ 48 ชั่วโมง นะท่านผู้ชม ถ้าผู้เดินทางเข้าจีน ซึ่งหมายถึงนักท่องเที่ยวจีนที่มาเที่ยวเมืองไทย และกลับประเทศ ขอ Electronics Green Code ไม่ทัน ก็ไม่สามารถเช็กอินเครื่องบินเดินทางเข้าประเทศจีนได้

ประการที่สาม มาตรการกักตัวในประเทศจีนที่เข้มข้นและยาวนานในประเทศจีน จีนใช้มาตรการ 14+7+7 อย่าเพิ่งตกใจนะครับ ไปสู่เมืองสุดท้ายที่ผู้เดินทางจะไป โดยเป้าหมายปลายทางจะรับช่วงการติดตาม (tracking) ติดตามผู้โดยสารขาเข้าคนนั้นๆ ต่อจนกว่าจะมั่นใจว่าปลอดภัยจากโรคโควิด-19 ยกตัวอย่างแล้วกัน ผู้โดยสารท่านหนึ่ง หรือนักท่องเที่ยวจีน 3-4 คน มาเที่ยวภูเก็ต ต้องการเดินทางไปยังกรุงปักกิ่ง แต่ต้องลงที่เซี่ยงไฮ้เพื่อกักตัวดูอาการก่อน 21 วัน (3 อาทิตย์) หลังจากนั้นแล้ว คนๆ นี้จะไปปักิ่ง ก็จะถูกเซี่ยงไฮ้ส่งตัวไปปักกิ่ง ติดตามกักตัวเพิ่มอีก 7 วัน รวมเบ็ดเสร็จแล้ว 28 วัน ทั้งนี้ ยังมีเงื่อนไขเพิ่มเติมอีก คือในการกักตัวที่ปักกิ่ง ซึ่งเป็นเมืองหลวง ถ้าผู้เดินทางไม่ได้พักอาศัยอยู่แต่เพียงผู้เดียว ทางการไม่อนุญาตให้ทำการกักตัวที่บ้าน ต้องไปอยู่สถานกักตัวรวม ต้นทุนค่าใช้จ่ายเบ็ดเสร็จแล้ว ทุกอย่าง ประมาณ 5 หมื่นบาท อัตรานี้ไม่ใช่อัตรามาตรฐานทั้งประเทศ โดยแต่ละเมือง แต่ละมณฑล จะมีกฎระเบียบข้อบังคับ

เพราะฉะนั้นแล้ว ท่านผู้ชมครับ ลองพิจารณาเงื่อนไขที่ประเทศจีนตั้งมา สำหรับคนที่ออกจากประเทศจีน และกำลังจะกลับเข้าประเทศจีน ถามว่าคนเขาจะมาเที่ยวภูเก็ต จะมาเที่ยวพัทยา จะมาเที่ยวเชียงใหม่ ใช้เวลาเที่ยวตีว่า 7 วัน ได้พักร้อนมา แล้วต้องกลับไปกักตัวถึง 1 เดือน (21+7 = 28 วัน) คำถามโดยตรรกะสามัญสำนึก ยังจะมีใครเข้ามาเที่ยวอีกไหม ทัวร์กรุ๊ปตัดทิ้งไปได้เลย ไม่มี นักท่องเที่ยวอิสระ ถ้าเป็นลูกจ้างเขา ทำงานบริษัท ลา 7 วัน แล้วกลับไปยังจะต้องถูกกักตัวอีก 1 เดือน บริษัทจะให้ทำงานต่อหรือเปล่า ผมมืดมนครับเรื่องนี้ ผมยังไม่เห็นทางออก

อีกประการหนึ่ง ค่าตั๋วเครื่องบิน เรื่องนี้ไม่มีใครพูด แต่ผมจะเล่าข้อเท็จจริงให้ฟัง ข้อจำกัดด้านการเดินทางเพื่อป้องกันการระบาด จีนได้ลดจำนวนเที่ยวบินขาออกและขาเข้าประเทศลงอย่างมาก อย่างเช่น ปัจจุบันเที่ยวบินจากไทยไปจีน ถูกลดจำนวนลงเหลือเพียงไม่กี่เที่ยวต่อเดือน


นอกจากนี้ สายการบินเองยังมีความเสี่ยง เสี่ยงมากนะท่านผู้ชม สมมุติว่าการบินไทยจะเริ่มบิน บินกรุงเทพฯ-ปักกิ่ง หรือกรุงเทพฯ-เซี่ยงไฮ้ แล้วมีผู้โดยสารที่ติดเครื่องบินการบินไทยไป แล้วค้นพบว่าติดเชื้อโควิด-19 สายการบินจะต้องถูกลงโทษนะ เพราะทางการจีนตั้งกฎเกณฑ์ระงับการบินกับสายการบินระหว่างประเทศ หากเที่ยวบินที่เดินทางเข้าประเทศจีนแล้วเกิดมีผู้โดยสารมีผลบวกโควิดจำนวน 5-6 คนขึ้นไป ใน 1 เที่ยว จะถูกระงับการบินเข้าจีน ระยะเวลาในการระงับก็ต้องมี 1-2 อาทิตย์

ประการที่ห้า ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าค่าใช้จ่ายในการบินนี่แพงกระฉูดเลย จากปัจจัยเงื่อนไขที่ผมเล่าให้ฟัง ทำให้ค่าตั๋วเครื่องบินเข้า-ออกจีนราคาแพงมาก แล้วไม่มีทางเลือกมากนักด้วย เอาล่ะ สมมุติว่าท่านผู้ชมจะบินจากกรุงเทพฯ ไปเซี่ยงไฮ้ หรือกว่างโจว ถ้าบินตรงขาเดียว ราคาเริ่มต้นประมาณ 6 หมื่นบาท สายการบินไชน่าเซาท์เทิร์นฯ เส้นทางกรุงเทพฯ-กว่างโจว ชั้นประหยัด ราคา 63,300 บาท เดินทางได้เร็วที่สุดคือ 7 กุมภาพันธ์ 2565

ราคาบินตรงไป-กลับ กรุงเทพฯ-เซี่ยงไฮ้ สายการบินจูนเย่าฯ ซึ่งเที่ยวบินเร็วที่สุดที่จะเปิด ก็คือ 15 มกราคม 2565 ชั้นธุรกิน 199,025 บาท เกือบ 2 แสนบาท


ส่วนเที่ยวบินขาออกของชาวจีน เนื่องจากไฟลต์บินมีน้อย อาจจะต้องไปเปลี่ยนเครื่องที่เมืองอื่นที่มีไฟลต์บินออก อย่างเช่น ไฟลต์บินจากเมืองจีนมาเมืองไทยที่มีทุกสัปดาห์ คือไฟลต์บินออกจากเมืองกว่างโจว ราคาตั๋วขาเดียว กว่างโจว-กรุงเทพฯ บินตรง เริ่มที่ 3 หมื่นบาท แต่ถ้าจำเป็นต้องแวะพักสิงคโปร์หรือฮ่องกงก่อน ราคาจะเหลือประมาณ 1 หมื่นต้นๆ

สายการบินไชน่าเซาท์เทิร์นฯ เที่ยวบินกว่างโจว-กรุงเทพฯ บินตรง ราคา 35,095 บาท จากปกติสมัยก่อนบินแค่ไม่กี่พันบาท หรือชั้นธุรกิจ 1 หมื่นต้นๆ เที่ยวบินกว่างโจว มากรุงเทพฯ ต้องแวะพักสิงคโปร์หรือฮ่องกงก่อน ใช้เวลาบิน 9-25 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับความเข้มงวด

สรุปแล้วยังไง ? สรุปแล้วนักท่องเที่ยวจีนคนหนึ่ง หากต้องการเดินทางมายังประเทศไทย โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายอย่างเดียวในการเดินทาง และการกักตัวที่ต้องไปจ่ายค่ากักตัวที่ประเทศจีน ไม่รวมค่าโรงแรม ค่าเดินทาง ค่าอาหาร ค่าท่องเที่ยวในประเทศไทย ต้องมีค่าใช้จ่ายประมาณ 150,000-200,000 บาท เพื่อมาเที่ยวเมืองไทย 5-6 วัน รวมถึงเวลาในการกักตัวตอนกลับจีน ไม่รวมวันเที่ยว อย่างน้อยๆ 28 วัน ท่านผู้ชมครับ ใช้สมองของพวกเราลองคิดดูว่าจะมีนักท่องเที่ยวจีนสักกี่คนเดินทางมาเมืองไทย

ท่านผู้ชมครับ ผมเห็นด้วยกับมาตรการการเปิดประเทศ เพื่อให้ภาคธุรกิจเดินหน้าต่อไปได้ ไม่ว่าภาคการท่องเที่ยว การส่งออก ภาคบริการ และการลงทุนจากต่างประเทศ ถ้ายังปิดประเทศอยู่ต่อไป เศรษฐกิจจะถูกกระทบหนักต่อไปอีก คนก็จะตกงาน ซึ่งทุกวันนี้ก็ตกงานอยู่แล้ว ล้มละลายไปมากกว่านี้ ขณะเดียวกัน ทำไมผมต้องเตือน เพราะผมไม่อยากให้พวกเราไปคาดหวังกับนักท่องเที่ยวจีนหรือนักท่องเที่ยวต่างชาติมากเกินไปว่าจะมาพลิกฟื้นเศรษฐกิจให้เรา เพราะในสถานการณ์ตอนนี้มันยังเป็นไปได้ยาก โดยเฉพาะประเทศจีนที่มีมาตรการจัดการกับคนเดินทางเข้า-ออกของเขาอย่างเข้มงวดมาก เพราะฉะนั้น ที่ผมเสนอคือ ในช่วงเวลานี้ควรสนับสนุนและทุ่มให้กับการท่องเที่ยวในประเทศเป็นหลัก

ส่วนหลังจากการเปิดประเทศ 1 พฤศจิกายน ชาวจีนที่เดินทางเข้ามาน่าจะเป็นพวกที่มีความจำเป็นจริงๆ พวกนักธุรกิจจีน และคนจีนที่ต้องการมาทำงาน ทำธุรกิจในประเทศไทย หรือตัวแทนจีน พนักงานจีนระดับอาวุโส ระดับสูง ระดับบริหาร อย่างเช่น ผู้จัดการแผนกของบริษัท หัวเว่ย ที่มีสาขาอยู่ประเทศไทย จะต้องบินมาเมืองไทย มาทำงาน แต่นักท่องเที่ยวแบบเดิมๆ ที่ช่วงวันหยุดมา 5 วัน 7 วัน ผมขอเตือนตรงๆ ว่ากรุณาอย่าวาดฝันแบบลมๆ แล้งๆ

แล้วปลายมกราคม-กุมภาพันธ์ ที่จีนจะมีการแข่งขันกีฬาฤดูหนาวนั้น เป็นช่วงตรุษจีนด้วย ท่านผู้ชมอย่าไปหวังว่าตรุษจีนนี้จะมีนักท่องเที่ยวจีน ที่มีคนเดินถือธงแล้วมีคนเดินตามเป็นพรวนมาขึ้นรถบัสไปที่พัทยา ไปค้างพัทยา โน่นนี่ ไม่มีอีกแล้ว ท่านผู้ชม


ท่านผู้ชมครับ ผมไม่อยากจะพูด เดี๋ยวจะเสียกำลังใจกัน แต่ท่านผู้ชมครับ อะไรถ้าเป็นความจริง เราต้องยอมรับความจริงก่อนว่าความจริงมันเป็นอย่างนี้ แล้วเราอย่าไปเพ้อฝันมากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานบริการการท่องเที่ยวที่รอรับนักท่องเที่ยว ผมรู้ว่ามีหลายท่านที่รอคอยนักท่องเที่ยวจีน ไม่ว่าจะเป็นภูเก็ต ไม่ว่าจะเป็นพัทยา ไม่ว่าจะเป็นเชียงใหม่ ท่านไม่ผิดหรอกครับ เพราะว่าท่านหิวโหยมานาน ท่านลำบากมานาน แต่ท่านอาจจะไม่ได้ศึกษาข้อมูลให้ดี ลึกซึ้ง ผมไม่อยากให้ท่านผิดหวังมากนัก จริงๆ แล้วแทบจะไม่ต้องลงทุนอะไรเพิ่มเติมเลย อะไรที่เป็นของเก่า พัฒนาปรับปรุงให้มันดีขึ้น อย่าลงทุนเพิ่มเติม อย่าไปซื้อรถเพิ่ม ไม่ใช่ รถทัวร์ หรือรถบัส รถตู้ ประเภท HIAZE รถเก่าๆ เอามาทำใหม่ รอรับ อย่าไปลงทุนเพิ่ม เพราะผมไม่เชื่อว่าวันดีๆ ที่เคยมีในอดีตในเรื่องการท่องเที่ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับนักท่องเที่ยวจีน จะกลับมาเหมือนเดิมตามที่เคยคิดเอาไว้ ไม่มีหรอกครับ แม้แต่นักท่องเที่ยวที่มาจากยุโรป เชื่อผมเถอะครับ จะไม่ได้มาเยอะเหมือนอย่างที่คาดคิดเอาไว้ เที่ยวบินหนึ่งมาได้สักครึ่งลำก็เก่งแล้ว เพราะฉะนั้นแล้ว ผมขอเตือนทุกๆ ท่านเอาไว้ที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว และคาดคะเนวาดอนาคตไว้กับการเปิดประเทศในครั้งนี้ ผมยังยืนยันว่าเราส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศไทยให้มีข้อจำกัดให้น้อยที่สุด เป็นเรื่องที่ดีที่สุด แล้วรัฐบาลอัดงบประมาณเข้าไปช่วยผู้ประกอบการการท่องเที่ยวในประเทศไทย เพื่อรองรับการท่องเที่ยวในประเทศไทยให้มากขึ้นกว่าเดิม อย่าลืมครับท่านผู้ชม อย่าไปเพ้อเจ้อและเพ้อฝันมากจนเกินไปนัก



ท่านผู้ชมครับ เมื่อประมาณ 1 อาทิตย์ที่ผ่านมา มันมีการวิวาทะผ่านทางเฟซบุ๊กของคน 2 คน ที่อยู่ฝั่งตรงกันข้ามกัน และเป็นการวิวาทะในเรื่องที่ค่อนข้างที่จะร้อนแรงพอสมควร ที่ผมพูดถึงคน 2 คนนั้น คนแรกคือ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส. และหัวหน้าพรรคก้าวไกล กับนายธนกง วังบุญคงชนะ ซึ่งเป็นโฆษกรัฐบาล ในเรื่องของยุทธศาสตร์ในเรื่องของการดำเนินนโยบายการต่างประเทศ

นายพิธา ได้อ้างอิงถึงการไปประชุมสัมมนาที่เชียงใหม่ จัดโดยมูลนิธิสุรินทร์ พิศสุวรรณ สถาบันนโยบายสาธารณะ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ไทยพีบีเอส และเอเชียนิวส์เน็ตเวิร์ก ท่านผู้ชมครับ มาลองดูซิว่าจุดยืนของคุณพิธา ที่วิพากษ์วิจารณ์นโยบายต่างประเทศของประเทศไทย และคุณธนกร ซึ่งตอบโต้ออกมาอย่างเผ็ดร้อนพอสมควร


คุณพิธา พูดถึงนโยบายต่างประเทศ บอกว่า ถ้าพรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาล คุณพิธา จะทวงคืนศักดิ์ศรีการต่างประเทศไทย คือจะทำการทูตแบบยืนหลังตรงในเวทีโลก โดยสิ่งที่สามารถจะทำได้ในวันแรกก็คือ เปลี่ยนท่าทีของไทยต่อรัฐบาลเมียนมา กดดันให้รัฐบาลเมียนมาให้ยอมเปิดแถบๆ หนึ่งที่ริมชายแดน ให้องค์กรระหว่างประเทศนำความช่วยเหลือเข้าไปในเมียนมา เพื่อช่วยผู้พลัดถิ่นในประเทศจากสงครามกว่า 7 แสนคน โดยไม่ผ่านรัฐบาลเมียนมา นั่นคือสิ่งที่จะทำในวันแรก

แล้วคุณพิธา ยังพูดต่อว่า จะรวมยกเลิกกฎหมายที่จำกัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกที่เกี่ยวข้องกับต่างประเทศ อย่างเช่น ร่าง พ.ร.บ. NGO

คุณพิธา พูดต่อไปว่า ต้องไม่มีอีกแล้วที่ประเทศไทยที่ไม่แสดงจุดยืนอะไรเลย ตอนที่อาเซียนมีมติไม่เชิญผู้นำทหารเมียนมาเข้าร่วมประชุม เพราะไม่ทำตามฉันทามติ 5 ข้อ ต้องไม่มีอีกแล้ว ประเทศไทยจะไม่ยอมให้โหวตในมติ Non-binding หรือมติที่ไม่ได้มีความผูกพันทางกฎหมายด้วยซ้ำ ของสมัชชาแห่งสหประชาชาติ เพื่อป้องกันการไหลเวียนของอาวุธเข้าเมียนมา และต้องไม่มีอีกแล้วครับประเทศไทยที่มีนายกรัฐมนตรีแอบไปพบรัฐมนตรีต่างประเทศที่เพิ่งขึ้นมาจากการรัฐประหารที่สนามบิน

ท่านผู้ชมครับ คุณธนกร เองก็เป็นเสือปืนไว "ธนกรแขวะพิธาระวังไม่มีที่ยืน ยืนยันบิ๊กตู่เป็นผู้นำที่รู้จักประนีประนอมในเวทีโลก" คุณธนกร พูดอย่างนี้ครับท่านผู้ชม คุณธนกร บอกว่า "ก่อนที่คุณพิธา จะทวงคืนศักดิ์ศรีการต่างประเทศของไทย คุณพิธา ควรทวงคืนความสงบสุขให้ชาวดินแดงก่อนจะดีกว่าไหม เพราะไม่เคยเห็นนายพิธา ออกมาห้ามปรามหรือแสดงความเป็นห่วงประชาชนที่เขาได้รับความเดือดร้อนจากการชุมนุมเลย ทั้งนี้ คนที่จะเป็นผู้นำประเทศต้องรู้จักการประนีประนอม ยิ่งในเวทีระดับโลกด้วยแล้วยิ่งต้องมีวุฒิภาวะ แสดงความเห็นด้วยความระมัดระวังเหมือนที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ดำเนินมาตลอด ไม่ใช่พูดแต่เอามัน แต่ภาพลักษณ์ของประเทศจะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน แบบนั้นเรียกว่าใช้ไม่ได้"


คุณธนกร พูดต่อ "ก่อนพูด เราเป็นนายตัวเราเอง แต่พอพูดไปแล้วคำพูดจะกลายเป็นนายเรา ดังนั้น คำพูดของเราต้องมีน้ำหนัก น่าเชื่อถือ ไม่ใช่พูดไปแล้วถูกมองว่าไม่มีราคา แค่พูดเพื่อเกาะกระแสหรือเรียกคะแนนนิยม" คุณธนกร พูดต่อว่า "ถ้าวันนี้นายพิธา อยากจะแสดงจุดยืน ผมขอเรียกร้องให้นายพิธา แสดงจุดยืนเป็นคนแรกในฐานะหัวหน้าพรรคก้าวไกล ว่า หลังจากที่เราเปิดประเทศแล้ว นักท่องเที่ยวทยอยเดินทางมาประเทศไทย ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศฟื้นกลับคืนมาอีกครั้งนั้น นายพิธา และ ส.ส.พรรคก้าวไกล จะคัดค้านการชุมนุมและการแสดงความรุนแรงทำลายทรัพย์สินราชการอย่างไร เพื่อไม่ให้ภาพลักษณ์ของประเทศต้องเสียหายไปเพราะฝีมือของคนเพียงกลุ่มเดียว ไม่อย่างนั้นคุณพิธา เองที่จะไม่มีที่ยืนในสายตาประชาชน"

ท่านผู้ชมครับ ผมมาวิเคราะห์คำพูดของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ กับนายธนกร ซึ่งเป็นโฆษกรัฐบาล แล้ว ผมคิดว่าผมจะเสนอความคิดอย่างนี้ดีกว่า คือท่านผู้ชมฟังรายการผมมาตั้งนานแล้ว ผมไม่ค่อยชอบพูดในเรื่องของบรรยากาศในทุ่งลาเวนเดอร์ ผมจะชอบพูดความจริง ผมจะเล่าความจริงทั้งหมดให้ทั้งสองท่านได้ฟัง ของคุณพิธา ผมไม่แน่ใจว่าคุณพิธา พูดไปคราวที่แล้ว ที่ผ่านมานี้ แกล้งโง่หรือเปล่า ออกมาพูดเรื่องพม่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกนะท่านผู้ชม หลายครั้งแล้วว่าไทยต้องแสดงจุดยืน ต้องเข้าแทรกแซงการเมืองในพม่า ผมอยากถามคุณพิธา ว่า คุณไปเสือกอะไรกับการเมืองภายในของเขา แค่ปัญหาในประเทศไทยยังแก้ไม่ได้เลย แค่ม็อบสามนิ้ว หรือว่าม็อบทะลุฟ้า ม็อบทะลุแก๊ส ซึ่งโยงไปโยงมา ถึงคุณพิธา จะไม่ใช่ผู้สนับสนุนโดยตรง โดยที่ไม่มีหลักฐานโยงถึง แต่ว่าทีมงานของคุณก็เป็นทีมงานที่ดำเนินการไปช่วยเหลือทางกฎหมาย ล่าสุดพรรคพวกคุณเข้าไปยื่นหนังสือต่อประธานศาลฎีกา ว่า ส.ส. พรรคก้าวไกล พร้อมจะเสนอตัวประกันตัวให้กับผู้ต้องหาในคดี 112


แค่นี้คุณยังไม่รู้เลยหรือว่า คุณนี่เป็นส่วนหนึ่งของการทำความแตกแยกอย่างมากในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณไปสนับสนุนกลุ่มคนที่จงใจบิดเบือนและต้องการโจมตี ให้ร้ายสถาบันกษัตริย์ การที่คุณแสดงตัวไปเป็นตัวประกันให้ทุกกรณี มีแต่พวกคุณทั้งนั้น เพราะฉะนั้นแล้ว จะพออนุมานได้ไหมว่า พรรคคุณก็มีความรู้สึกคล้ายๆ กับคนที่โดนคดี 112 ที่ถูกดำเนินคดีอยู่ หลายคนกำลังถูกดำเนินคดี หลายคนก็อยู่ในเรือนจำเพราะศาลไม่ให้ประกันตัว อนุมานได้ไหมครับ คุณพิธา ว่าคุณเองก็ไม่ต้องการสถาบันกษัตริย์ คุณก็ไม่กล้าพูด เชื่อผมสิ คุณไม่กล้าตอบผมหรอกเรื่องนี้

การเมืองระหว่างประเทศ ซึ่งไม่ได้มีแค่พม่า คุณพิธา ยังมีทั้งฮ่องกง ซินเจียง ไต้หวัน ที่พรรคก้าวไกลของคุณ กับคณะก้าวหน้าของคุณธนาธร พยายามทำตัวเท่ พยายามอ้างว่ายืนอยู่ข้างประชาธิปไตย

คุณพิธา ครับ คุณยอมรับความจริงเสียที ในความเป็นจริงคุณก็คือลิ่วล้อ สุนัขรับใช้ เป็นแค่เครื่องมือของการครอบงำของมหาอำนาจในระดับโลก โดยยุทธศาสตร์แทรกแซงการเมืองในภูมิภาคนี้เท่านั้น จุดประสงค์หลักๆ ของมหาอำนาจที่เขาครอบงำพื้นภูมิภาคนี้ และคุณไปทำตัวเป็นสุนัขรับใช้ ก็คือการปิดล้อมจีน ตามยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก


ตั้งแต่มีการก่อตั้งสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ อาเซียน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2510 (54 ปีที่แล้ว) หลักการเขายึด ไม่แทรกแซงกิจการภายใน อย่างเคร่งครัดมาตลอด หลักการนี้ทำให้สมาชิกอาเซียนมีความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน เนื่องจากเห็นพ้องร่วมกันที่ไม่ต้องการให้ผู้อื่นเข้ามาแทรกแซงกิจการภายในของตน รวมทั้งแนวคิดที่ว่า ปัญหาในประเทศไม่สามารถแก้ไขโดยมาตรการลงโทษจากภายนอก แต่ต้องได้รับการบริการจัดการโดยปัจจัยภายในประเทศ ซึ่งไม่สอดคล้องกับความต้องการและแนวความคิดของประเทศนอกภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาการเมืองภายในเมียนมา

ถ้าคุณติดตามข่าวมาตลอดและคุณวิเคราะห์เป็น คุณก็ต้องรู้ว่าความขัดแย้งในเมียนมาที่มีการเข้ามายึดอำนาจและทำการรัฐประหาร มันเป็นความขัดแย้งของฝ่ายทหาร กับอองซาน ซูจี ซึ่งอองซาน ซูจี ในขณะนั้นกำลังเทตัวเองไปทางตะวันตก และทหารเองก็มีความกดดันและมีความผูกพันกับอิทธิพลของจีนที่อยู่ในพม่า นี่ผมเล่าอย่างเป็นกลางนะครับ เล่าให้ฟังว่าข้อบกพร่องและข้อผิดพลาดอย่างไรก็ตามที่เกิดขึ้น มันเกิดขึ้นแบบนี้ ช่วงหลังๆ มีแรงกดดันจากภายนอก โดยเฉพาะชาติตะวันตก ที่จะให้อาเซียนยกเลิกหลักการนี้ แล้วก็ทำได้สำเร็จ ทำได้สำเร็จครับ คุณพิธา ก็คือว่า ในการประชุมอาเซียนครั้งนี้ ปรากฏว่าไม่ยอมเชิญนายพลมิน อ่อง หล่าย เข้ามาร่วมประชุมด้วย


โดยที่คุณอ้างว่าทำผิดหลักการ 4 ข้อ 5 ข้อ คือธรรมดาแล้วประเทศในอาเซียนไม่ควรไปเสือกเรื่องในเมียนมา เพราะว่าถ้าคุณเปิดโอกาสให้ฝรั่งมาครอบงำแล้วคุณบล็อกไม่ให้มิน อ่อง หล่าย มาเข้าร่วมประชุม ถึงเขามาเข้าร่วมประชุม คุณจะไม่เห็นด้วย คุณก็ต่อว่าเขาในที่ประชุมได้ แต่คุณบล็อกเขาแล้ว มันก็เป็นตัวอย่าง ในอนาคตข้างหน้าถ้าประเทศไทยมีเรื่องขึ้นมา แล้วต่างชาติ อเมริกา เข้ามาแทรกแซง ส่งกองทัพเข้ามา เพื่อช่วยประเทศไทยในนามของสนธิสัญญาที่อเมริกาทำได้ฝ่ายเดียว คือสนธิสัญญาจัสแม็ก (JUSMAG) แล้วถ้าเมืองไทยเกิดสงครามกลางเมืองขึ้นมา ต่างชาติก็จะถือโอกาสครอบงำประเทศ อย่างเช่นสิงคโปร์ หรือประเทศเวียดนาม หรืออินโดนีเซีย คงครอบงำกัมพูชา กับลาว ไม่ได้ ก็เพราะว่าอิทธิพลของทางตะวันตกไม่มีในลาวและไม่มีในกัมพูชา

แล้วถ้าวันหนึ่งข้างการประชุมกลุ่มอาเซียนไม่อัญเชิญผู้นำประเทศไทยในขณะนั้นเข้ามาร่วมประชุมด้วย คุณจะว่าอย่างไร เรื่องของแต่ละประเทศ เราและประเทศอื่นๆ ในอาเซียน ไม่ควรเข้าไปเสือกเลยแม้แต่นิดเดียว เป็นปัญหาที่มิน อ่อง หล่าย จะต้องแก้กับอองซาน ซูจี และกลุ่มประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับมิน อ่อง หล่าย เป็นเรื่องภายในของเขาทั้งนั้น เดี๋ยวผมจะเล่าเบื้องหลังให้คุณฟัง ทั้งคุณพิธา และคุณธนกร จะได้เข้าใจความจริง สิ่งที่ผมเล่าไม่มีกลิ่นหอมของทุ่งลาเวนเดอร์หรอก มีแต่ความจริงทั้งนั้น


วันนี้ในพม่ามีทหารจีนอยู่ 1 แสนคน 1 แสนคนนี้เขาส่งเข้าไปทำไม ? เขาส่งไปเพื่อปกป้องท่อส่งแก๊สที่พม่าส่งแก๊สจากพม่าเข้าไปในประเทศจีน เพราะเส้นทางแก๊สมันยาวมาก เพราะฉะนั้นแล้ว เมื่อส่งท่อแก๊สเข้าไปปั๊บ ถ้ามีการจลาจลขึ้นมา ประเทศจีนก็กลัวว่าจะมีการก่อการร้ายเพื่อไปหยุดยั้งการส่งแก๊ส เขาเลยขอทางพม่า ขอส่งคนของเขามาคุมท่อส่งแก๊ส ทหาร 1 แสนคน ไม่ได้เข้ามาเพื่อมาช่วยมิน อ่อง หล่าย แต่เข้ามาปกป้องเครื่องมือในการส่งแก๊สไป


เรื่องที่สอง ในข้อเท็จจริง อองซาน ซูจี และกลุ่มกบฏที่ต่อต้าน รัฐบาลพลัดถิ่นก็แล้วกัน พูดอย่างนี้ ที่ต่อต้านรัฐบาลมิน อ่อง หล่าย ได้รับอาวุธยุทโธปกรณ์ อาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัย และได้รับการฝึกอบรมจากทหารรับจ้าง และทหารฝ่ายตะวันตกที่เข้าไปฝึกอบรม ผมเคยเอารูปลงมาแล้วในรายการผม ให้เห็นว่าทหารต่างชาติมาฝึกอบรมพวกชนกลุ่มน้อย


แล้วตรงนี้ คุณธนกร ครับ นี่ผมต้องกลับมาที่คุณธนกร แล้ว คุณธนกร ครับ ฝรั่ง ทหารรับจ้าง รวมทั้งอาวุธยุทโธปกรณ์ทั้งหลายนี้ มันไม่ได้ตกลงมาจากฟ้าแล้วเข้าไป หรือมันไม่ได้ขึ้นมาทางฝั่งอินเดีย แล้วเดินทางข้ามทางตะวันตกของพม่าแล้วเข้ามาในตะวันออก เพื่อเอาอาวุธให้ชนกลุ่มน้อย ไม่ใช่ คุณธนกร มันไปจากประเทศไทย ทำไมถึงไปจากประเทศไทยได้ ? เพราะว่าประเทศไทยหรี่ตาข้างหนึ่ง ให้ฝรั่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอเมริกา และอังกฤษ เป็นตัวหลักๆ ส่งทหารไป ส่งคนไปฝึก แล้วก็จัดสรรอาวุธที่ทันสมัยให้ เพื่อที่จะมาต่อต้านรัฐบาลมิน อ่อง หล่าย


แล้วผมจะเตือนสติอย่างหนึ่ง เดี๋ยวผมจะพูดเรื่องพม่าอาทิตย์หน้าให้ คุณทั้งสองคน ทั้งคุณพิธา และคุณธนกร คุณไม่รู้เรื่องหรอก คุณก็พูดไปตามหลักการ มีหลายประเด็นที่ผมเห็นด้วยกับทางคุณธนกร หรือคุณพิธา ผมไม่เห็นด้วยกับกรณียกเลิกกฎหมายที่ปิดกั้นสิทธิเสรีภาพ ไปตรวจสอบองค์กรเอกชน คุณพิธา ครับ ก็บรรดาพรรคพวกเครือข่ายของคุณมันได้ผลประโยชน์จากเครือข่าย NGO ของอเมริกานี่ ผมพูดอีกครั้งหนึ่งก็ได้ NED ไงล่ะ เว็บไซต์เครือประชาไท ที่สนับสนุนพวกสามนิ้ว ที่มีบทความต่างๆ หรือสนับสนุนการที่นายมิน อ่อง หล่าย ออกมายึดอำนาจ ไม่เห็นด้วย ก็เป็นหน่วยงานที่รับเงิน NGO ของอเมริกา แล้วประเทศไทยต้องการจะร่างกฎหมายเพื่อควบคุม NGO ตรงนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกต้อง NGO ที่มาจากเมืองนอกจะต้องถูกควบคุม คุณพิธา นี่คือประเทศไทย นี่ไม่ใช่อเมริกา แล้ว NED และอีกหลายหน่วยงาน ให้การสนับสนุนคนที่ก่อการและอยู่เบื้องหลังขบวนการล้มล้างสถาบันกษัตริย์ การที่รัฐบาลออกกฎหมายเพื่อมาควบคุมนี่ไม่ผิดหรอก คุณพิธา เพราะฉะนั้นแล้ว ตรงนี้คุณอย่าโง่ หรือแกล้งโง่ เพราะพวกคุณกับ NED พวกโจชัว หว่อง พวกโน้นพวกนี้ พวกที่ถูกจีนไล่ออกไปจากฮ่องกง พวกคุณน่ะพวกเดียวกัน แล้วผมอนุมานเดี๋ยวนี้ได้เลยว่า พรรคก้าวไกล คือพรรคที่ไม่เอาสถาบันกษัตริย์ ผมพูดได้


ผมฟันธงไปได้เลย เพียงแต่คุณทำตัวเป็นอีแอบ แต่คุณต้องแสดงออกว่าคุณยืนข้างพวกเด็ก พวกวัยรุ่น พวกหนุ่มพวกสาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่โดนคดี 112 ถ้าคุณไม่ยืนข้างเขา คุณจะเอาพรรค เอา ส.ส. คุณไปประกันตัวได้อย่างไร พิสูจน์ชัดเจน

ทีนี้มาถึงคุณธนกรบ้าง คุณธนกร ต้องเข้าใจว่าสิ่งที่คุณธนกร พูดน่ะ ไม่ผิด พล.อ.ประยุทธ์ เป็นคนประนีประนอม แต่ในที่สุด พล.อ.ประยุทธ์ เอง โดยผ่านคุณดอน ปรมัตถ์วินัย ก็เปิดโอกาสให้อเมริกาเข้ามามีบทบาทในประเทศไทยมากขึ้นๆๆ


รวมทั้งการส่งอาวุธ เอาทหารผ่านไปชายแดน คุณธนกร และคุณพิธา ครับ คุณรอดูหลังฝนครั้งนี้ จะมีศึกสงครามใหญ่ ระหว่างรัฐบาลทหารพม่า นายพลมิน อ่อง หล่าย กับรัฐบาลกบฏที่ได้รับการสนับสนุนทางอาวุธและการฝึกอบรม พวกชนกลุ่มน้อยนี่ล่ะ จะรบกันหนัก แล้ววันนั้นตัวใครตัวมันนะ พวกคุณนะ ทั้งคู่เลย ธนกร รัฐบาลชุดนี้ผ่านดอน ปรมัตถ์วินัย คุณพิธา พวกคุณนี่ชักศึกเข้าบ้านทั้งคู่ ผมยังยืนอยู่ในหลักการเดิมว่า พม่า (เมียนมา) จะทะเลาะกันอย่างไร ไปเสือกทำไม ดูแลบ้านเรา ดูแลให้ดี

ทุกวันนี้ปากบอกว่าไม่มีการแทรกแซงการเมืองในพม่า แต่ในวันนี้การเคลื่อนไหวของกลุ่มต่อต้านรัฐบาลทหารพม่า อย่างที่ผมบอก ได้รับการสนับสนุนอาวุธยุทโธปกรณ์ เสบียง ส่งทหารรับจ้าง หน่วยปฏิบัติการพิเศษจากชาติตะวันตกเข้าไปในนั้น

ทีนี้ รัฐบาลทหารพม่าเขาทำอย่างไรล่ะ ? เขาก็ต้องดิ้นรนแล้วสิ เพราะอาวุธเขาสู้ไม่ได้แล้วนี่ตอนนี้ เกือบๆ 1 ปีที่ผ่านมา ทหารพม่าตายไป 2-3 พันคนแล้ว เพราะอาวุธสู้ไม่ได้ ข้อมูลนี้คุณไม่รู้หรอก แต่ผมรู้ แล้วพวกทหารพม่าก็ต้องเอาคืน วิธีเอาคืนของเขาเอาคืนอย่างไร ? เขาก็ต้องไปหาอาวุธ นั่นคือที่มาว่านายมิน อ่อง หล่าย บินไปที่รัสเซีย ผมเอารูปให้คุณดู


นายอเล็กซานเดอร์ โฟมิน รัฐมนตรีช่วยกลาโหมรัสเซีย หารือกับพลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย ที่กรุงเนปิดอว์ เมื่อเมษายนที่ผ่านมานี้เอง แล้วก็ยังได้รับตำแหน่งศาสตราจารย์เกียรติคุณด้านกลาโหม ซึ่งก็เป็นเรื่องโจ๊กนะ แต่ไม่เป็นไร ชี้ให้เห็นว่ารัสเซียเริ่มสนับสนุนอาวุธยุทโธปกรณ์เข้ามาในพม่าแล้ว ไม่มีอะไรน่าประหลาดใจเลยท่านผู้ชม

ซีเรีย รัฐบาลตะวันตก อเมริกาต้องการโค่นประธานาธิบดีอัลอะซัด ประธานาธิบดีอัลอะซัด ก็เลยต้องขอความช่วยเหลือกับรัสเซีย รัสเซียก็ส่งอาวุธ เอาฐานบินของเครื่องบิน 1 กอง เข้าไปตั้งอยู่ในซีเรีย เพื่อป้องกันการโจมตีทางอากาศ จีนก็ช่วย คุณพิธาครับ ภูมิรัฐศาสตร์ทุกวันนี้คือการปะทะกันระหว่างทางตะวันตก กับจีน และรัสเซีย ทางตะวันตก ถ้าต้องการส่งอาวุธเข้า ก็ในเมื่อมีอินเดียเป็นสมาชิกในกลุ่ม QUAD แล้ว ก็ทำไมไม่ส่งอาวุธผ่านอินเดียล่ะ ? เพราะอินเดียก็คือประเทศที่ไว้ใจไม่ได้ ไม่มีจุดยืนทางการเมือง อะไรที่ได้ประโยชน์ เอา แต่ถ้าเสียประโยชน์ ไม่เอา แล้วทำไมต้องส่งผ่านไทยล่ะ ? เพราะไทยเรามีคนที่ชื่อ ดอน ปรมัตถ์วินัย และก็กลับไปสู่จุดที่คุณธนกรพูดเช่นกัน ว่า พล.อ.ประยุทธ์ เป็นคนที่ประนีประนอม นี่ไงการประนีประนอมของ พล.อ.ประยุทธ์

บางครั้งถ้า พล.อ.ประยุทธ์ บอกว่า เฮ้ย ไม่ได้ ผมไม่ยอมให้ผ่าน ผมไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองภายในพม่า ให้เขาสู้กันเอง ผมป้องกันชายแดนผมให้ดี แล้วคุณพิธา คุณไร้เดียงสาเกินไปหรือเปล่า ที่คุณบอกว่า ถ้าคุณมีอำนาจในรัฐบาลปัจจุบันนี้ คุณจะตั้ง Humanitarian Corridor หรือแถบมนุษยธรรมขึ้นมา แล้วคุณจะตั้งที่ไหนถ้าคุณไม่ตั้งที่ชายแดน คุณบอกว่าพม่ามีผู้ลี้ภัย 7 แสนคน เฮ้ย คุณยังไม่รู้หรือ สมัยโรฮีนจาเข้ามาลี้ภัยในประเทศไทย แทบตาย แทบอ้วกแตก


แล้วคุณคิดว่าชาวพม่าที่ลี้ภัย 7 แสนคน จะลี้ภัยอยู่ชายแดนหรือ มันก็จะทะลักเข้ามาในประเทศไทย ถึงจะตั้งค่ายลี้ภัย แล้วใครจะรับประกันว่ามันจะหนุนเนื่องเข้ามาในประเทศไทย ไหนคุณเจอโควิดเอย ใครจะควักเงินไปจ่าย คุณไปดูค่ายลี้ภัยทั่วโลกสิ อเมริกาจ่ายไหมคุณพิธา มันก็ไม่จ่าย คุณอินโนเซนส์มากนะงานนี้

เรื่องการเมืองระหว่างประเทศเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน แต่ถ้าคุณเข้าใจภาพรวมแล้ว คุณจะเห็นว่าในขณะนี้ประเทศไทยคือหมาก อยู่ตรงกลาง เราจะยอมให้ใครใช้ล่ะ ปรากฏ ณ เวลานี้ อเมริกายืมประเทศไทยเพื่อให้ประเทศไทยเป็นฐาน เพื่อเข้าไปสู่กบฏของมิน อ่อง หล่าย แล้วก็เอาพวกกบฏนี้ต่อสู้กับมิน อ่อง หล่าย แล้วผมจะบอกอย่างหนึ่ง มันมีสนธิสัญญาจัสแม็ก ไทย-อเมริกา ถ้ามีเรื่องกันขึ้นมา ถ้ามีการรบกันขึ้นมาที่ชายแดน อเมริกาก็จะหน้าด้าน ก็จะบอกว่าอเมริกามีสนธิสัญญานี้ อเมริกาจะส่งหน่วยนาวิกโยธิน เอากองเรือที่ 7 เข้ามาเทียบฝั่งที่สัตหีบ ส่งเครื่องบินเข้าไปเพื่อป้องกันตามข้อตกลงจัสแม็ก ถึงวันนั้นแล้ว คุณพิธา กับคุณธนกร ใครจะรับผิดชอบ ? เดี๋ยวผมจะเอารูปให้ดูวันหลัง

คุณรู้ไหมสถานกงสุลอเมริกาที่เชียงใหม่ ซึ่งผมเป็นคนเปิดคนแรกในประเทศไทย ตอนนี้ฐานล่างยังทำไม่เสร็จเลย


คุณรู้หรือเปล่าทำไมฐานรากยังไม่เสร็จ ? เพราะเขาต้องขุดลงไปใต้ดิน คิดเป็นจำนวนชั้นเป็นสิบๆ ชั้น ทำไมขุดลึกอย่างนั้นล่ะ มันเกิดอะไรขึ้น ท่านผู้ชมเข้าใจหรือเปล่า มันเกิดอะไรขึ้น นี่มันไม่ใช่สถานกงสุลแล้วนะ สถานกงสุลคือที่ดูแลผลประโยชน์ของคนอเมริกันในนั้น และเป็นจุดศูนย์กลางในการเผยแพร่วัฒนธรรม แลกเปลี่ยนกัน และก็เป็นแหล่งที่สามารถจะออกวีซ่าให้คนทางเหนือได้ ที่จะไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา แต่คุณสร้างสถานกงสุลด้วยงบประมารเกือบหมื่นล้าน แล้วขุดลงไปใต้ดินตั้งไม่รู้กี่ชั้น นี่คุณไม่ได้สร้างสถานกงสุลแล้วนะ คุณกำลังสร้างป้อมปราการในการดักฟัง เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์มา คอนเทนเนอร์มาเต็มเลย ใหญ่ แล้วคนที่ทำงานอยู่เป็นแรงงาน ไม่มีคนไทย ไม่เขมรก็พม่า พูดภาษาไทยไม่ได้ มีการรักษาความปลอดภัยอย่างสูงสุด เพราะอะไร ? เพราะว่ามันไม่ใช่ตึกอาคารเพื่อใช้ในวงการทูต มันเป็นหน่วยงานสืบราชการลับ มันมีเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งจะดักฟังทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ไปจนถึงเสฉวน จากเสฉวนขึ้นไปซินเจียง ของแบบนี้คนที่อยู่ในวงการเขามองตาเขาก็รู้ว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่

คุณพิธา ผมเข้าใจคุณยึดหลักสากล แต่ผมถามคุณอย่าง คำว่าหลักสากล คืออะไร ? คุณดูประธานาธิบดีตุรกี แอร์โดอัน


ถ้าคุณดูข่าว คุณพิธา แอร์โดอัน ประกาศจะไล่เอกอัครราชทูต 10 ประเทศ ออกจากตุรกี ด้วยเหตุผลอะไรรู้ไหม ? 10 ประเทศนี้มันมาเข้าชื่อประท้วงรัฐบาลตุรกีในการที่คุมขังนักเคลื่อนไหวชาวตุรกีที่เคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลตุรกี แอร์โดอัน พูดเหมือนกัน "เข้ามาแทรกแซงกิจการภายใน" ของตุรกี ไหนล่ะหลักสากล หลักสากลของคุณอยู่ที่ไหน ตอบผมสิ

ชาวซินเจียง-อุยกูร์ หรือไต้หวัน บอกว่า ไต้หวันไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของจีน คุณก็บอกว่าใช่ ไต้หวันไม่ใช่ส่วนหนึ่งของจีน แต่จีนบอกว่าไต้หวันเป็นประเทศจีนมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แต่คุณบอกว่า ไม่ใช่ ไต้หวันเป็นอิสระ

ชาวฮาวายเคยมีการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องให้แยกรัฐฮาวายออกมาเป็นอีกประเทศหนึ่ง เพราะฮาวายมีวัฒนธรรม ความเป็นอยู่ที่ต่างไปจากอเมริกา โจ ไบเดน บอกไม่ใช่ ฮาวายเป็นของอเมริกา


คุณพิธา ไหนล่ะหลักสากลของคุณ คุณตอบผมมาสิ หลักสากลมังคุดอะไรของคุณ คุณไม่ควรที่จะเข้ามายุ่งเรื่องการต่างประเทศ คุณจำอยู่เรื่องเดียวพอ หนึ่ง คุณต้องไม่แสดงออกในทางตรงหรือทางอ้อมว่าคุณสนับสนุนคนที่โดนมาตรา 112 เพราะถ้าคุณยังไม่หยุดการแสดงออกนี้ มันอนุมานได้ทันทีเลยว่า พรรคคุณก็คือพรรคที่ต้องการล้มล้างสถาบันกษัตริย์ แล้วคุณก็จะให้โอกาสกับอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งต้องการปกป้องสถาบันกษัตริย์อย่างบ้าคลั่ง นี่ผมย้ำคำว่า "อย่างบ้าคลั่ง" ถามตัวคุณเองว่าคุณเป็นปัญหาอะไรหรือเปล่า พรรคก้าวไกลของคุณ อย่าไร้เดียงสาในเรื่องกระทรวงการต่างประเทศ ในเรื่องนโยบายการต่างประเทศ

คุณธนกร ก็เช่นกัน คุณวิพากษ์วิจารณ์คุณพิธา แต่คุณต้องรู้ว่าพวกคุณเองก็ไม่ใช่ธรรมดา คุณไปถามคุณดอน ปรมัตถ์วินัย สิ ว่าชาติก่อนเกิดเป็นคนอเมริกันหรือเปล่า ที่มีอเมริกันเป็นพ่อ ผมมีข้อคิดอยู่เพียงแค่นี้ในวิวาทะของคน 2 คน ผมเอาความจริงมาหงาย แล้วท่านผู้ชมคิดดูเอาเองว่าสิ่งที่ผมพูดคือผมพูดถึงขยะ ผมพูดถึงความเหม็นเน่า ผมพูดถึงความเปื่อย แต่คุณพิธา ก็พูดถึงเรื่องทุ่งลาเวนเดอร์ที่หอมหวล ต้องยืนตัวตรง คุณจะยืนตัวแบบไหนก็ตาม ผลประโยชน์ของชาติไทยต้องมาก่อน ไม่ใช่ผลประโยชน์ทางสากล คุณอย่าให้ไทยเท่ในสายตาอเมริกา เพราะถ้าคุณจะเท่ได้ คุณต้องเป็นสุนัขรับใช้ เลียแข้งเลียขาอเมริกา เหมือนโจชัว หว่อง ที่ติดคุกอยู่ที่ฮ่องกงในขณะนี้ หรือลูกพี่เก่าคุณ คุณธนาธร ที่บินไปอเมริกาแล้วพยายามไปเจอวุฒิสมาชิกเพื่อให้เขาสนับสนุน เพื่อกลับมาต่อต้านคนอย่างประยุทธ์ จันทร์โอชา

คุณธนกร ครับ คุณทำหน้าที่ของคุณดีแล้ว แต่คุณละเลยข้อเท็จจริงบางข้อ ซึ่งผมก็เข้าใจ คุณไม่กล้าพูด ในข้อเท็จจริง ประเทศไทยแอบช่วยฝ่ายกบฏของพม่าอยู่ ซึ่งก็เป็นความประสงค์ที่แท้จริงของอเมริกา และเป็นความประสงค์ของคุณพิธา เช่นกัน สรุปง่ายๆ ว่า พวกคุณเป็นคนที่นับถืออเมริกาเป็นพ่อ ขอโทษที ไม่ใช่ผม วันนี้ทนไม่ไหวถึงจำเป็นต้องเอาเรื่องนี้มาพูด



ท่านผู้ชมครับ เรื่องที่ผมจะพูดต่อไปนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อประมาณอาทิตย์กว่าๆ หลายท่านคงจะรับทราบเรื่องนี้ไปแล้ว แต่ผมจะเล่าแบ็กกราวนด์เก่าๆ ให้ฟังก่อนเป็นพื้นฐาน แล้วผมจะเจาะลึกลงไปในหลายๆ ประเด็นที่ท่านผู้ชมอาจจะยังไม่ได้รับทราบ และมุมมองของผมในหลายมิติที่เกี่ยวกับเรื่องนี้

เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2564 คล้อยหลังวันปิยมหาราชไป ซึ่งเป็นวันที่ 23 ตุลาคม 2564 เพียงวันเดียว นายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล นิสิตรัฐศาสตร์ จุฬาฯ วัย 25 ปี ที่ตอนนี้ดำรงตำแหน่งนายกองค์การบริหารสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หรือเรียกสั้นๆ ว่า อบจ. เขาได้แสดงความอหังการมมังการ หยามหมิ่นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถาบันการศึกษาอายุ 100 ปี ด้วยการแถลงมติในที่ประชุม อบจ. ในนามคณะกรรมการบริหารสโมสรนิสิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม ให้ยกเลิกขบวนอัญเชิญพระเกี้ยว และตอนท้ายบอกจะยกเลิกคัดเลือกผู้อัญเชิญพระเกี้ยวอันเป็นสัญลักษณ์ของจุฬาฯ ในงานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ 2564 เขาอ้างว่า เป็นการสำแดงรูปแบบของอำนาจเก่า ต้องเกณฑ์คนมาแบกหาม แสดงถึงความไม่เท่าเทียมกันของมนุษย์


ท่านผู้ชมครับ ตรรกะที่พิกลพิการของนายเนติวิทย์ หนึ่งในแกนนำล้มสถาบันกษัตริย์ที่ทำลายจุฬาฯ แบบล้ำเส้น ที่สำคัญ เขาบิดเบือนความหมายของประเพณีนิยม กับอำนาจนิยม การยกเลิกอัญเชิญพระเกี้ยวในงานฟุตบอลประเพณีจุฬาฯ-ธรรมศาสตร์ ซึ่งมีประวัติศาสตร์มาตั้งแต่ 17 ปี ด้วยเหตุผลที่เขาอ้างว่าเป็นกิจกรรมที่ล้าหลัง ขัดต่อคุณค่าสากลอย่างประชาธิปไตย ความเท่าเทียม และสิทธิมนุษยชน กิจกรรมที่ล้าหลังในการที่ดำรงไว้ซึ่งวัฒนธรรม ประเพณี การแสดงความกตัญญูกตเวที เขาบอกว่ามันล้าหลัง ส่วนกิจกรรมที่พรรคพวกของเขาไปเที่ยวเผาที่ดินแดง หรือเพื่อนๆ เขาหลายคนที่ไปเผาพระบรมฉายาลักษณ์ จนกระทั่งโดนดำเนินคดี 112 ไปนั้น เป็นกิจกรรมที่ไม่ล้าหลังใช่ไหม คุณเนติวิทย์ มันเป็นตรรกะวิบัติ ผมไม่ต้องพูดแทน เพราะผมไม่ได้จบจุฬาฯ แต่ผมมีความรู้สึกว่า ผมเอาคนที่เขาเรียนจบจุฬาฯ มาพูดดีกว่า


ท่านอาจารย์บวรศักดิ์ อุวรรณโณ อดีตอาจารย์คณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ บอกว่า พระเกี้ยว คือสัญลักษณ์แห่งความเสมอภาคและเสรีภาพ ไม่ได้เกี่ยวกับอำนาจนิยมเลย หรือ ศ.ดร.สุรพล วิรุฬห์รักษ์ ท่านเป็นอดีตคณบดีคณะนิเทศศาสตร์ และอดีตคณบดีคณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นราชบัณฑิตสาขาวิชานาฏรรม สำนักศิลปกรรม ราชบัณฑิตยสถาน และนายกราชบัณฑิตยสภา

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม รวมไปถึงอดีตดารา อย่างเช่น คุณนุสบา ปุณณกันต์ ซึ่งเป็นศิษย์เก่าคณะอักษรศาสตร์


จุฬาฯ ทุกคนออกมาตอบโต้ ชี้แจง เขายกเหตุผลต่างๆ ผมสรุปให้สั้นๆ แล้วกัน มี 8 ข้อ

สรุปแท้จริงแล้ว พระเกี้ยว เป็นสัญลักษณ์แห่งความเสมอภาคและเสรีภาพ ไม่ใช่สัญลักษณ์แห่งอำนาจเก่า การกดขี่และความไม่เท่าเทียมอย่างที่นายเนติวิทย์ และพวก ว่าแต่อย่างใด ที่สำคัญ พระเกี้ยว ถือเป็นสัญลักษณ์ของความเสมอภาคและเสรีภาพของคนไทย ที่รัชกาลที่ 5 พระราชทานไว้ ในขณะที่เมืองไทยยังไม่มีประชาธิปไตยเสียด้วยซ้ำ

ประการแรก พระเกี้ยว เป็นตัวแทนของรัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 6 พระองค์ท่านพระราชทานให้เป็นตราของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ประชาชนธรรมดาได้มีโอกาสเล่าเรียนเสมอภาคกัน สมัยก่อนจำกัดเฉพาะลูกขุนนาง เพื่อสนองพระราชปณิธานของพระราชบิดา


ประการที่สอง รัชกาลที่ 5 ทรงยกเลิกระบบไพร่ คือประชาชนสมัยก่อนต้องสังกัดมูลนาย สักเลขไว้ที่ข้อมือ ให้เป็นไทแก่ตัว ก็เท่ากับว่าทรงขัดประโยชน์เจ้านายขุนนางทั้งแผ่นดินเพื่อความเสมอภาคของราษฎร ซึ่งพระองค์ท่านทำไปเสี่ยงต่อเสถียรภาพ ความมั่นคงของราชบัลลังก์ แต่พระองค์ท่านก็ทำ

นอกจากนั้น ก็ยังมีการเลิกทาสในเวลาเดียวกันกับเลิกไพร่ ไม่มีใครมาเดินขบวนเรียกร้องเลิกทาส ไม่มีสงครามกลางเมืองให้มาเลิกทาส พระองค์ท่านเลิกให้เอง ผมไม่รู้ว่าพวกคุณและพวกบรรดากรรมการองค์การ อบจ. ยังมีสติปัญญามากพอที่จะเข้าใจคำพูดที่ผมพูดนี้ไหม นี่คือข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ พวกคุณอายุ 20 กว่า ไม่อยากจะพูดว่าคุณนี่ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมเลย คุณเข้าใจอะไร คุณไม่สนใจวัฒนธรรมเลย

ประการที่สาม รัชกาลที่ 5 สถาปนากรมกระทรวง ทบวง กรม ทำให้ทุกคนมีรายได้ สามารถหางานทำได้

ประการที่สี่ รัชกาลที่ 5 พระองค์ทรงเอาเกียรติยศ พระราชทรัพย์ของพระองค์เองเป็นเดิมพัน ทรงตัดพระทัยยอมสละดินแดนครึ่งหนึ่งของประเทศ เพื่อรักษาเอกราชและอธิปไตยของปวงชนชาวไทยไว้ ไม่ให้อังกฤษ และฝรั่งเศส แบ่งประเทศไทยเป็นสองส่วนตามแนวลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา พวกคุณที่เป็นกรรมการ อบจ. อายุ 20 ต้นๆ คุณรู้เรื่องประวัติศาสตร์ตรงนี้บ้างไหม หรือคุณคิดว่าคุณอยู่คณะนิเทศศาสตร์ อยู่คณะอักษรศาสตร์ คณะโน้นคณะนี้ สมองคุณมันก็เหมือนสันขวาน ผมผิดหวังมากกับวุฒิภาวะในการใช้สมองของพวกคุณ


รัชกาลที่ 5 ร่ำลาบ้านเมือง เสด็จรอนแรมทางทะเลที่แสนไกล อันตราย ไปทำไมล่ะ ? ไปเจรจาหามิตรภาพกับนานาประเทศ ไกลถึงรัสเซีย ถึงนอร์เวย์ ที่หนาวเหน็บ ยาวนานเป็นแรมเดือนแรมปี ส่งพระราชโอรสไปศึกษาต่อในประเทศชาติมหาอำนาจต่างๆ ในยุโรป อังกฤษ เยอรมนี รัสเซีย เพื่ออะไรล่ะ ? เพื่อเอามิตรไมตรีมาค้ำจุนบ้านเมืองที่กำลังล่อแหลมต่อการตกเป็นเมืองขึ้น เอกราชมีราคาแพงกว่าลมปราณของพระองค์ที่ทรงวางเป็นเดิมพัน เพื่อศักดิ์ศรีแห่งเสรีภาพและเอกราชของคนไทย

ประการที่ห้า พระองค์ท่านรักความเท่าเทียมของมนุษย์ พระองค์ท่านเป็นคนสั่งให้เลิกหมอบคลาน เวลาเสด็จประพาส ชอบไปอย่างสามัญชน นั่งทานข้าว เสวยพระกระยาหารเหมือนกับประชาชนทั่วไป แล้วนับประชาชนเป็นพระสหาย ผมเอารูปขึ้นให้ดู


แม้กระทั่งพระองค์ท่านนั่งประกอบอาหารเหมือนชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่ง เพราะฉะนั้นแล้ว พระเกี้ยว อันเป็นสัญลักษณ์ประจำพระองค์ของรัชกาลที่ 5 จึงมีนัยสำคัญมาก พวกสันขวาน 28-29 คน ฟังเอาไว้ ไม่ใช่สัญลักษณ์แห่งอำนาจเก่า หรือการกดขี่ และความไม่เท่าเทียมกัน แต่เป็นสัญลักษณ์แห่งความเสมอภาคและเสรีภาพของคนไทย

การอัญเชิญพระเกี้ยว ไม่ใช่เรื่องของการโอ้อวดของชาวจุฬาฯ แต่เป็นการประกาศการกตัญญูกตเวทีต่อผู้ก่อตั้งสถาบัน

คุณเนติวิทย์ ถ้าคุณปฏิเสธการแสดงออกในเชิงกตัญญู ถ้าอย่างนั้นคุณไม่ต้องเรียกพ่อเรียกแม่ คุณเรียกทำไม หรือสมมุติถ้าวันหนึ่งพ่อแม่คุณไม่อยู่ ถ้ามีงานทำบุญครบรอบวันตายของพ่อแม่คุณ สมมุตินะ คุณก็ไม่ต้องทำสิ ก็คือแม่เป็นผู้ที่เอาคุณออกจากช่องคลอดของเขา แล้วให้กลายเป็นนายเนติวิทย์ ขึ้นมา แล้วไม่มีหนี้บุญคุณอะไรกันแล้ว

ประการที่หก ข้ออ้างว่ากิจการงานฟุตบอลประเพณีนั้น สนับสนุนและสะท้อนถึงระบอบอำนาจนิยม เอ๊ะ คุณใช้สมองส่วนไหนมาคิด นายเนติวิทย์ บอกว่ากิจกรรมนั้นค้ำยันความเชื่อว่าคนไม่เท่ากัน การแข่งฟุตบอลมันเกี่ยวข้องอะไรกับชนชั้น คุณดูประวัติศาสตร์หรือเปล่า เนลสัน แมนเดลา ประสานความสามัคคีของประเทศแอฟริกาใต้ได้ด้วยการแข่งรักบี้ชิงแชมป์โลก โดยในทีมที่จัดแข่งนั้นมีทั้งคนขาวและคนดำ


ฟุตบอลประเพณี เป็นประเพณีที่แข่งกันระหว่างโรงเรียนกับโรงเรียน มหาวิทยาลัยกับมหาวิทยาลัย ผมอยู่อัสสัมชัญศรีราชา ผมจำได้ว่ามีฟุตบอลจตุรมิตร เขาแข่งกีฬากันเพื่อสมานฉันท์ สร้างมิตรภาพ คุณไปเอาหัวข้อนี้่ว่า การแข่งขันฟุตบอลประเพณี เป็นการแสดงถึงความไม่เท่าเทียมกัน คุณคิดได้อย่างไร นี่คุณเรียนคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ผมดูถูกอาจารย์ที่สอนคุณนะ จริงๆ ให้ตาย พวกคุณสอนลูกศิษย์ออกมาโง่ ซื่อบื้อ อคติ ดื้อรั้น สอนมาได้อย่างไร คืออ้างว่าขาดความเสมอภาค เพราะการอัญเชิญพระเกี้ยวนั้นต้องมีนิสิตชายมาแบกเสลี่ยงหนักครั้งละหลายๆ สิบคน


ท่านผู้ชมครับ ตรงนี้คือการโกหกคำโต นิสิตชายที่มาแบกนั้น เต็มใจทั้งสิ้น เรียกว่าแย่งกันมาแบกเสียด้วยซ้ำ ยกเว้นที่มีการโวยวายว่ามีการเกณฑ์นิสิตชายจากหอพักโดยไม่เต็มใจ เรื่องนี้ก็เป็นการต้องจัดการเป็นกรณีไป จะมาเหมารวมได้อย่างไร เพราะฉะนั้น งานแบกเสลี่ยงไม่ใช่เป็นงานที่ไม่เสมอภาค ไม่เกี่ยวเลย คือถ้าคิดอย่างโง่ๆ และตื้่นเขินอย่างคุณ แล้วพวกคุณที่คิดออกมา ถ้าอย่างนั้นประเพณีแห่ศาลเจ้าของญี่ปุ่นล่ะ คุณเห็นในทีวีใช่ไหม 1,100 ปี ถูกจดทะเบียนเป็นมรดกโลก ก็ต้องยกเลิกด้วยสิ คุณทำเรื่องเสนอไปที่ประเทศญี่ปุ่นสิ เอารูปให้ดู แบกศาลเจ้าที่ญี่ปุ่น มีคนอยู่บนเสลี่ยง คนแบกเสลี่ยงข้างล่างเป็นสิบๆ ร้อยๆ คนเหมือนกัน แล้วทุกคนก็แย่งกันมาแบก


ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าต้องการความเสมอภาคแบบทื่อๆ อย่างที่นายเนติวิทย์ กับพวกอีก 28 คน ก็ยกเลิกการสอบเข้าจุฬาฯ สิ เสมอภาคดี ใครอยากเรียนก็สมัครเรียน จุฬาฯ ต้องรับเข้าเรียนทุกคน อย่างนี้ถามว่าทำได้ไหม มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ออกซ์ฟอร์ด เคมบริดจ์ ที่อเมริกา ที่อังกฤษ ก็ไม่เท่าเทียมสิ เพราะต้องสอบเข้า คนสมัคร 100 คน รับ 1 คน นี่มันเป็นหลักการพื้นฐานโลกมนุษย์ของความขาดแคลน การคัดสรร การจัดสรร ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรเลยกับความไม่เท่าเทียมแต่อย่างใด พวกคุณคิดกันแบบนี้ได้อย่างไร

ก่อนจะไปพูดเรื่่องหัวข้ออื่น เอาเรื่องนายเนติวิทย์ มาพูดหน่อย ท่านผู้ชมรู้ไหม นายเนติวิทย์ วันนี้อายุ 25 ปี เกิดวันที่ 10 กันยายน 2539 เป็นลูกชายคนสุดท้องของครอบครัวเจ้าของร้านขายของชำ เกิดและโตที่สมุทรปราการ จบมัธยมศึกษาจากนวมินทราชินูทิศ เตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ นายเนติวิทย์ เรียนปี 5 แล้ว คณะรัฐศาสตร์ ทำไมถึงเรียนปี 5 ? จงใจลงวิชาเรียนน้อยๆ เพื่อให้จบช้าๆ เพราะอะไร ? ก็เพราะจะได้มาทำกิจกรรมเพื่อสร้างความสั่นสะเทือนและหาเรื่องที่จะล้มล้างประเพณีต่างๆ ที่จุฬาฯ มีมาแต่กาลก่อน จงใจ จงใจจริงๆ สมัยที่ยังเป็นนักเรียนอยู่ เคยให้สัมภาษณ์ บอกว่าเมืองไทยไม่ควรจะเรียนทางด้านโน้น ควรจะเน้นวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ แล้วทำไมตัวคุณเองไม่เรียนล่ะ ดันไปเรียนรัฐศาสตร์การปกครอง คุณมีวาระแอบแฝง คุณมีพวกไอ้เฒ่าทั้งหลาย หรือวัยกลางคน คุณไปยึดถือธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ปิยบุตร แสงกนกกุล เป็นไอดอลของคุณ ใช้ไม่ได้


คือคุณจะทำอะไรก็ตาม คุณทำไปเถอะ แต่คุณมาเล่นงานสัญลักษณ์ของพระเกี้ยว ซึ่งเป็นตราประจำพระองค์ของรัชกาลที่ 5 ที่เขาทำกันมาตั้งนานแล้ว เพื่อแสดงความกตัญญู รู้คุณคน ว่าจุฬาฯ เกิดขึ้นมาได้เพราะรัชกาลที่ 5

กันยายน 2563 คุณออกมาคัดค้านการย้ายศาลเจ้าแม่ทับทิมในที่ดินของจุฬาฯ อ้างว่าเพื่อช่วยปกป้องชุมชน และสร้างกระแสปั่นแฮชแท็ก ระหว่างศาลเจ้าแม่ทับทิม กับตราพระเกี้ยว ต่างกันตรงไหน ? ไม่ได้ต่างกัน ศาลเจ้าแม่ทับทิม คนศรัทธา คนเชื่อถือ ตราพระเกี้ยว คนก็ศรัทธาและเชื่อถือ เพราะว่าเป็นการแสดงความกตัญญูรู้คุณคน ว่าจุฬาฯ เกิดขึ้นได้เพราะรัชกาลที่ 5 ซึ่งพระองค์ท่านพระราชทานตราพระเกี้ยวให้ เข้าใจบ่ ไอ้หำหน้อย ?!


เขาบิดเบือน เขียนประวัติศาสตร์ใหม่ อ้างว่าจุฬาฯ เกิดได้เพราะคณะราษฎร มาอีกแล้ว 2475 กับจอมพล ป. มาอีกแล้ว พวกนี้กับพวกกลุ่มเด็กสามนิ้ว สามกีบ ผมเคยพูดมาแล้วว่าเชิดชูคณะราษฎร จอมพล ป. จริง แต่ผมเอาหลักฐานมาให้ท่านผู้ชมดูแล้วไม่ใช่หรือว่า คณะราษฎร 2475 คือคณะโจร ปล้นสมบัติราชวงศ์จักรีมาแจกจ่ายกันเอง ยึดอำนาจมาได้ ทะเลาะเบาะแว้งกัน เอาทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ทรัพย์สินพระมหากษัตริย์เป็นของประชาชน ต้องยึดเอามาแจกจ่าย จริงๆ เอามาให้พวกคณะราษฎร ยึดอำนาจ แย่งชิง ถ่ายเทเป็นของตัวเอง ผมเอาหลักฐานมาให้ดูแล้ว ผมเคยพูดไปแล้ว ถ้าผมจำไม่ผิด ตอนที่ 61 ท่านผู้ชมไปดูได้ วันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน 2563 เกือบปีแล้ว ผมพูดมาแล้ว


จอมพล ป. นี่เป็นไอดอลของนายเพนกวิน แกนนำกลุ่มสามนิ้ว ผมเคยเปิดข้อมูลให้ดูแล้วว่า พอเขายึดอำนาจ เปลี่ยนแปลงการปกครอง ก็ไปยึดทรัพย์สมบัติของรัชกาลที่ 7 ไม่ว่าจะเป็นวังศุโขทัย ซึ่งเป็นทรัพย์ส่วนพระองค์ เป็นของขวัญวันแต่งงาน ท่านผู้ชมครับ แม้แต่เครื่องสำอางของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ในรัชกาลที่ 7 จอมพล ป. ยังหยิบฉวยเอาให้เมียตัวเองมาใช้

ท่านผู้ชมครับ 16 สิงหาคม 2563 ปีที่แล้ว พอกลุ่มนายเพนกวิน รุ้ง ปนัสยา กับกลุ่มเยาวชนปลดแอก กำลังมีกระแสสูง ก็เลยมีคณะจุฬาฯ เคลื่อนไหว เปลี่ยนสัญลักษณ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จากพระเกี้ยว เป็นว่าวจุฬา คุณบ้าไปหรืออย่างไร ตอนนั้น เป็นการล้อเลียน ลบหลู่พระเกียรติแห่งสถาบันกษัตริย์ เชิดชูคุณูปการ จอมพล ป. มีข้อความล้อมด้วยนะ ว่า "ณ ที่นี้ คณะราษฎร ได้ยกให้แก่มหาวิทยาลัย เพื่อก่อเกิดประโยชน์แก่การศึกษาชาติ"


ท่านผู้ชมครับ คนที่มีส่วน ผมไม่อยากพูดถึงคนๆ นี้ เพราะเขาเสียชีวิตไปแล้ว คือนายสุธาชัย ยิ้มประเสริฐ อดีตอาจารย์อักษรศาสตร์ จุฬาฯ เนื้อหาตอนหนึ่ง นายสุธาชัย เขียนว่า เดือนตุลาคม 2482 รัฐบาลคณะราษฎรได้ผลักดันให้ออกพระราชบัญญัติโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ที่บริเวณตำบลปทุมวัน อำเภอปทุมวัน จากถนนพระราม 1 ถึงพระราม 4 เนื้อที่ 1,196 ไร่ 32 ตารางวา ให้เป็นทรัพย์สินเพื่อการศึกษาของมหาวิทยาลัยทั้งหมด

นายสุธาชัย ยิ้มประเสริฐ
ท่านผู้ชมครับ นี่เป็นความพยายามจะรื้อประวัติศาสตร์มาเขียนใหม่เพื่อเชิดชูคณะราษฎร เอาอีกแล้ว โดยการบอกว่าจุฬาฯ นั้นเกิดขึ้นได้เพราะคณะราษฎร ไม่ใช่ในหลวงรัชกาลที่ 5 กับรัชกาลที่ 6 แล้วประเสริฐตราพระเกี้ยวพร้อมกับเปลี่ยนตราใหม่ โดยเขียนคำรอบวงกลมตราว่าวจุฬา "ณ ที่นี้ คณะราษฎร ได้ยกให้แก่มหาวิทยาลัย เพื่อก่อเกิดประโยชน์แก่การศึกษาชาติ"

ท่านผู้ชมครับ คณะราษฎรระยำนี่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับการตั้งจุฬาฯ เลยแม้แต่นิดเดียว แม้กระทั่งเว็บไซต์ประชาไท ซึ่งได้รับการสนับสนุนเงินทองจากองค์กรในฝรั่ง ชื่อ NED ซึ่งเป็น CIA ภาคพลเมืองเข้ามาปั่นป่วนประเทศไทย ยังจะอ้างคุณูปการที่สำคัญที่สุดของคณะราษฎร และ จอมพล ป. เปิดเอกสารว่าเป็นคนที่มอบที่ดินให้จุฬาฯ


ท่านผู้ชมครับ เรามาดูข้อเท็จจริงที่บิดเบือนประวัติศาสตร์ 23 มีนาคม 2459 รัชกาลที่ 6 ได้ทรงออกโฉนดที่ดินให้กับพระองค์เอง เป็นโฉนดที่ดินฉบับที่ 2057 และ 2058 และ 2059 ที่ดินทั้ง 3 โฉนดนี้มีผู้ครอบครองอยู่แล้ว สมัยก่อนยังไม่มีโฉนด โฉนดที่ดิน 3 แปลงของจุฬาฯ นี้ ตกทอดจากรัชกาลที่ 6 มาถึงรัชกาลที่ 8 ปรากฏหลักฐานสารบัญจดทะเบียนว่า เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2478 พระองค์ทรงให้จุฬาฯ เช่าที่ดินเป็นระยะเวลา 30 ปี แต่พอถึงวันที่ 12 ธันวาคม 2483 จอมพล ป. ก็โอนเปลี่ยนนามผู้ถือ เป็นกระทรวงการคลัง สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ แล้ววันเดียวกัน จุฬาฯ ก็ทำสัญญาเลิกเช่า แล้วกระทรวงการคลังก็ให้ที่ดินสองแปลงนี้แก่จุฬาฯ นี่คือข้ออ้างของเขา ความจริงอยู่ที่ไหน ?


ในความจริงปรากฏเป็นเอกสารที่สำคัญคือ ที่ดิน 1,309 ไร่ ของจุฬาฯ คือที่ดินจากพระคลังข้างที่ สมบัติของรัชกาลที่ 6 ที่ทรงยกให้มหาวิทยาลัยเพื่อจัดการสอนเพื่อลูกหลานคนไทยทุกคน ไม่ใช่คณะราษฎรยกให้จุฬาฯ เพียงแต่การโอนย้ายที่ดินจากที่ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ไปให้จุฬาฯ นั้น เกิดขึ้นในสมัย จอมพล ป. พระองค์ท่านยกให้ก่อนแล้ว แต่กระบวนการโอนย้ายที่ดินเกิดขึ้นสมัย จอมพล ป. ซึ่งทำหน้าที่รับสนองพระบรมราชโองการเท่านั้นเอง ไม่ใช่ความคิดของ จอมพล ป. วีรบุรุษมหาโจรของพวกเพนกวิน

ผมยังมีหลักฐานสำคัญมากๆ อีกชิ้นหนึ่ง เป็นเอกสารที่ผมไปค้นมาจากหอประวัติจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เอกสาร "กรรมสิทธิ์ที่ดินของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย"


กรรมการสโมสรนิสิตฯ 29 คน พวกคุณเข้าไปหอจดหมายเหตุบ้างได้ไหม แทนที่จะมานั่งประชุมกันแล้วตัดสินใจโดยที่ไม่มีข้อเท็จจริง นี่มาเรียนจุฬาฯ ได้อย่างไรกัน โง่บัดซบเลย โดนเขาปั่นหัว โดนเขาครอบงำ เอกสารฉบับนี้มีความยาว 9 หน้า ผมจะสรุปใจความสำคัญให้

หนึ่ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นสถานศึกษาซึ่งจัดตั้งขึ้นตามพระราชประสงค์ของรัชกาลที่ 5 พระองค์ท่านมีพระราชปรารถนามานานแล้วที่จะจัดตั้งมหาวิทยาลัยขึ้นสำหรับสถาบันอุดมศึกษาชาวไทย แต่ยังติดขัด ในสมัยพระองค์ที่ยังดำเนินการไม่สำเร็จตามพระราชประสงค์นั้นมิได้ มาถึงสมัยพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประดิษฐานโรงเรียนข้าราชการพลเรือนของรัชกาลที่ 5 ซึ่งทรงสถาปนาจากโรงเรียนมหาดเล็ก ขึ้นเป็นมหาวิทยาลัย พระราชทานนามว่า จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


ข้อที่สอง เพื่อให้มหาวิทยาลัยนี้ ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศ ดำเนินการลุล่วงไปได้ด้วยดี จึงได้พระราชทาน (ฟังให้ดีๆ นะกรรมการ อบจ. 29 คนน่ะ) เงินส่วนเหลือจากราษฎรที่เรี่ยไรกันสร้างพระบรมรูปทรงม้า ตอนนั้น รวมทั้งดอกผล เป็นเงิน 982,672 บาท 47 สตางค์ เงิน 9 แสนกว่าบาท เมื่อ 100 ปีที่แล้ว มันเท่ากับเท่าไรในปีนี้ คุณนึกดูก็แล้วกัน หลายร้อยล้าน พันล้าน พระองค์พระราชทานเป็นทุนสำหรับการปลูกสร้างมหาวิทยาลัย แล้วสร้างมหาวิทยาลัยบนพื้นที่พระคลังข้างที่ มีเนื้อที่ 1,309 ไร่ ทิศเหนือจดสระประทุม ทิศใต้จดถนนหัวลำโพง ทิศตะวันออกจดถนนสนามม้า ทิศตะวันตกจดคลองสวนหลวง โปรดเกล้าฯ ให้จารึกเรื่องนี้ลงในศิลาพระฤกษ์ พร้อมรูปถ่ายและแผนที่อาณาเขต และได้เสด็จพระราชดำเนินมาทรงวางศิลาพระฤกษ์ตึกบัญชาการสำหรับมหาวิทยาลัยนี้ เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2458


ผมเอารูปให้ดู เป็นรูปรัชกาลที่ 6 ทรงวางศิลาพระฤกษ์ตึกบัญชาการจุฬาฯ วันที่ 3 มกราคม 2458 ส่วน จอมพล ป. เกิดที่ จ.นนทบุรี เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2440 เท่ากับว่าตอนนั้น จอมพล ป. เพิ่งจะ 18 ปีเอง รัชกาลที่ 6 ท่านทรงวางศิลาพระฤกษ์ มอบที่ดินให้กับจุฬาลงกรณ์ฯ ไปแล้ว ในขณะที่ จอมพล ป. อายุแค่ 18 ปี

ข้อที่สาม การที่ได้พระราชทานเงินทุนให้แก่มหาวิทยาลัยก็ดี การที่ได้พระราชทานพระบรมราชานุญาตกำหนดที่ดินไว้เป็นเขตมหาวิทยาลัยก็ดี รวมทั้งการได้พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จารึกระแสพระบรมราชโองการนี้บรรจุลงไปในศิลาพระมหาฤกษ์ ด้วยมีพระราชปณิธานที่จะเห็นความดีงามของมหาวิทยาลัยนี้ ที่จะเป็นพระราชอนุสาวรีย์อันใหญ่และถาวร ทำให้เกิดประโยชน์กับประเทศชาติ

เพราะฉะนั้นแล้ว ท่านยังมีเงินกองทุน ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Endowment ประกอบด้วย เงิน ที่ดิน ทรัพย์สินอื่นๆ อาจนำไปใช้ประโยชน์จัดผลประโยชน์มาสะสมให้ดำเนินกิจการโดยลุล่วงไปด้วยดี

ข้อที่สี่ ความเป็นมาของที่ดินส่วนพระองค์ 1,309 ไร่ ที่รัชกาลที่ 6 มีพระบรมราชานุญาตเป็นที่ตั้งมหาวิทยาลัย แล้วจัดหาผลประโยชน์มาบำรุงการศึกษาของจุฬาฯ เป็นข้อยืนยัน และเป็นหลักฐานหนักแน่นว่าเป็นพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ต้องการพระราชทานที่ดินให้แก่มหาวิทยาลัย เพื่อได้ใช้ที่ดินนี้เป็นถาวรตลอดไป หากแต่ยังติดขัดอยู่ด้วยการที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ยังต้องการใช้ที่ดินแปลงนี้ในบัญชีเลี้ยงชีพบาทบริจาริกาในรัชกาลที่ 5 อย่าเพิ่งถอนที่ดินซึ่งเป็นทุนนี้ไปพระราชทานให้กับผู้หนึ่งผู้ใดเป็นสิทธิขาด เว้นแต่จะจัดที่ดินแปลงนี้ ที่มีประโยชน์เสมอกัน มาลงไว้ในบัญชีเป็นการแลกเปลี่ยน จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อครั้งยังเป็นโรงเรียนข้าราชการพลเรือน ใช้ที่ดินตั้งเป็นสถาบันการศึกษาได้ในรัชสมัยรัชกาลที่ 8 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขอพระราชทานเพิกถอนสัญญาเช่าที่ดิน และขอรับพระราชทานที่ดินนั้นเป็นกรรมสิทธิ์ เพื่อให้เป็นไปตามพระราชประสงค์ของรัชกาลที่ 6 แต่ยังติดขัดที่เงื่อนไขที่ต้องปฏิบัติตามพระบรมราชโองการของรัชกาลที่ 5 ว่าให้เก็บไว้ก่อน ให้คนที่อยู่ปัจจุบันนั้นสามารถจะทำมาหากินได้ ก็เลยจำเป็นต้องตรากฎหมาย พระราชบัญญัติโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินอันเป็นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ตำบลปทุมวัน ให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2482 เพื่อรับรองกรรมสิทธิ์ที่ดินส่วนพระองค์แปลงนี้เป็นของจุฬาลงกรณ์ฯ อย่างสมบูรณ์ นั่นล่ะ คือการบรรลุผลที่รัชกาลที่ 6 ทรงตั้งปณิธานไว้


สรุป จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นสถานศึกษาจัดตั้งตามพระราชประสงค์รัชกาลที่ 5 ซึ่งทรงปรารถนามานานแล้ว รัชกาลที่ 6 สานต่อจนสำเร็จ เงินก่อตั้งมหาวิทยาลัย รัชกาลที่ 5 พระราชทานออกไปให้ 9 แสนกว่าบาท เกือบ 1 ล้านบาท พระราชทานที่ดิน กำหนดเขตมหาวิทยาลัย ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ บรรจุแผนที่อาณาเขตโรงเรียนไว้ในศิลาพระฤกษ์ด้วย แสดงว่ามอบให้แล้ว ถึงกับบรรจุ กำหนดเขตเลย อยู่ในศิลาพระฤกษ์


เพราะฉะนั้นแล้ว จอมพล ป. กับคณะราษฎร จึงเป็นเพียงผู้รับสนองพระบรมราชโองการเท่านั้น เพราะฉะนั้นการที่พวกสันขวานทั้งหลายมาอ้างว่าคณะราษฎรยกที่ดินให้จุฬาฯ แท้จริงแล้ว คือการต้องการดิสเครดิตสถาบันพระมหากษัตริย์เท่านั้น ไม่มีอะไรเลย เพราะหลักฐานที่ผมว่ามาข้างต้นนั้นมันชัดเจน มีทั้งเอกสารทางประวัติศาสตร์ หลักฐานบุคคล รวมทั้งภาพถ่าย เพราะฉะนั้นคนที่ชื่อ สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ กับคณะจุฬาฯ รวมทั้งเว็บไซต์ประชาไทนั้น โง่ งี่เง่า ถูกเขาหลอก นอกจากถูกเขาหลอกแล้วยังถูกจัดเป็นพวกไร้ความกตัญญูรู้คุณคน ซึ่งเป็นคุณธรรมจริยธรรมขั้นพื้นฐานของความเป็นมนุษย์อีกด้วย

ท่านผู้ชม นี่คือข้อเท็จจริง คณะกรรมการสโมสรนิสิตจุฬาฯ รวมทั้งนายเนติวิทย์ 29 คน นี่คือความจริง เรียนจุฬาฯ มาได้อย่างไร โง่ งี่เง่า เจตนาร้าย 28 คนนี้โดนครอบงำ โดนชักจูงมาในทิศทางที่ผิดหมด ใครเป็นพ่อแม่สั่งสอนบ้างได้ไหมเด็กพวกนั้นน่ะ

ท่านผู้ชมครับ ก่อนจะจบรายการนี้ ผมจะพูดเรื่องที่เกี่ยวข้องกัน แล้วให้ท่านผู้ชมใช้วิจารณญาณพิจารณาเอง ผมอยากจะบอกอย่างนี้ คนที่ปฏิเสธวัฒนธรรม คือคนที่ปฏิเสธรากเหง้าของตัวเอง แล้วสุดท้าย คือคนที่ไร้ราก เด็ก 29 คน ในสโมสรนิสิตจุฬาฯ นั้น กลายเป็นคนไร้รากไปแล้ว ปฏิเสธวัฒนธรรมตัวเอง ในอนาคตก็อาจจะไม่รู้จักพ่อแม่ตัวเองเสียด้วยซ้ำ ไม่รู้จักอดีต ไม่รู้จักปัจจุบัน แล้วพวกคุณก็จะไม่มีอนาคต


ประเพณีแห่พระเกี้ยว ถือว่าเป็นความงดงามที่คนไทย นิสิตจุฬาฯ มีความกตัญญูต่อผู้สถาปนามหาวิทยาลัย คือรัชกาลที่ 5 ที่ใช้พระปรมาภิไธยเป็นมงคลนามของมหาวิทยาลัย เป็นสิ่งที่งดงามทั้งใจ ทั้งกาย กิจกรรมนี้ถือว่าเป็นวัฒนธรรมประเพณีที่แสดงความกตัญญูรู้คุณคน ซึ่งความกตัญญูนี้เป็นพื้นฐานสำคัญในการเป็นมนุษย์ การเป็นคน ในทุกภาษา ทุกศาสนา และทุกวัฒนธรรม ทั่วทุกมุมโลก ส่วนพระเกี้ยว เป็นตราสัญลักษณ์แห่งเกียรติภูมิประจำสถาบันการศึกษา เช่นเดียวกับตรามหาวิทยาลัยทุกแห่งในโลก เคมบริดจ์ ฮาร์วาร์ด ออกซ์ฟอร์ด อุปมาอุปไมยเหมือนคนที่มีชื่อย่อ ผมเอารูปตรามหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ให้ดู


ตรามหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ของประเทศอังกฤษ เป็นรูปโล่ มีพื้นหลังสีแดง-ขาว ประดับด้วยสิงโตสีเหลือง 4 ตัว มีความผูกพันกับราชวงศ์อังกฤษ ตรานี้มีมาตั้งแต่ ค.ศ. 1573 (500 กว่าปีแล้ว) มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ มีระเบียบบังคับไว้เลย ตรานี้จะเปลี่ยนแปลงมิได้ ยกเว้นจะได้รับอนุญาตจากราชวงศ์อังกฤษ ภาษาอังกฤษเขาบอกว่า The University has no rights to change it, Coat of Arms, without Royal Authority.


มาดูฮาร์วาร์ด ตรามหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เป็นรูปโล่เหมือนกัน ส่วนรูปโล่เป็นสัญลักษณ์เกี่ยวโยงชนชั้นวรรณะของอัศวินในยุคกลาง ตราในปัจจุบันของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ใช้มาตั้งแต่ 1936 เป็นรูปโล่สีแดง ข้างบนโล่มีหนังสือ 3 เล่ม เขียนว่า VERITAS เป็นภาษาลาติน แปลว่า ความจริง


มาดูออกซ์ฟอร์ดบ้าง สัญลักษณ์มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด เป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดในโลก โดยก่อตั้งมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 ใช้สัญลักษณ์เป็นตราโล่เหมือนกัน แต่เป็นโล่ที่มีพื้นสีน้ำเงิน สัญลักษณ์สีน้ำเงินของออกซ์ฟอร์ดข้างบนเป็นหนังสือ มีมงกุฎอยู่ 3 องค์ 1-2 อยู่ข้างบน 3 อันล่าง เป็นภาษาลาติน เขียนว่า DOMINV SILLV MINA TIO MEA แปลว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นความสว่างของข้า ซึ่งเป็นคำปรากฏอยู่ในคัมภีร์ไบเบิล มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ใช้มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 มาจนถึงวันนี้

ท่านผู้ชมครับ สัญลักษณ์มีทั้งสิงโต ทั้งโล่ ทั้งมงกุฎ เป็นคำสรรเสริญพระเจ้า อย่างนี้มหาวิทยาลัยอย่างออกซ์ฟอร์ด เคมบริดจ์ ฮาร์วาร์ด ก็ล้าหลังสิ ไม่เท่าเทียมสิ แบ่งชนชั้น ใครไปเรียนที่นั่นก็เท่ากับสนับสนุนการกดขี่ เชิดชูศักดินาอย่างนั้นหรือ


อีกประการหนึ่ง ใครๆ ก็รู้ว่าการแข่งฟุตบอลประเพณีนั้นเป็นกิจกรรมของสมาคมนิสิตเก่าจุฬาฯ และสมาคมศิษย์เก่าธรรมศาสตร์ สลับกันเป็นเจ้าภาพ ส่วน อบจ. องค์การบริหารนิสิตฯ เป็นเพียงหนึ่งในคณะทำงาน ถ้าเจ้าภาพมีความประสงค์จะอัญเชิญขบวนอัญเชิญพระเกี้ยว เป็นเรื่องของผู้จัด ไม่ใช่เรื่องของพวกคุณ แล้วไม่มีใครมีสิทธิ์ห้ามใครใช้พระเกี้ยว เพราะพระเกี้ยวไม่ใช่สมบัติของเนติวิทย์ หรือกรรมการอีก 28 คน สำเหนียกเอาไว้ด้วย จำใส่กะโหลก ไม่ใช่สมบัติของพวกคุณ ฉะนั้นคุณจำเอาไว้ให้ดีๆ


เพราะฉะนั้นแล้ว เห็นได้ชัดว่าเนติวิทย์ เป็นหนึ่งในกลุ่มเครือข่ายของขบวนการล้มล้างสถาบันกษัตริย์ ที่ออกไปข้างนอก เดินหน้าชน ก่อความวุ่นวาย ก็คือชนคนกลุ่มหนึ่ง หลายคนก็โดนคดี 112 เนติวิทย์ ไม่กล้าออกไปข้างนอก เพราะกลัวจะโดน 112 ก็เลยใช้ระเบียบข้อบังคับของจุฬาฯ แล้วจงใจที่จะเรียนให้ช้าลง เพื่อให้จบช้าลง จะได้ใช้เวลานั้นปลุกระดมพวกเด็กหลายคน บางส่วนที่ไร้สมอง ที่ใฝ่ฝันแต่ความเท่าเทียม เดินบนทุ่งลาเวนเดอร์ ไม่เข้าใจอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว คุณทำเรื่องอะไรก็ได้ คุณทำไป แต่พอคุณก้าวเข้ามาสู่การไม่ยอมให้อัญเชิญพระเกี้ยว ตราพระเกี้ยว เพื่อแสดงความกตัญญูรู้คุณคน คุณก็เลยเจ็บตัววันนี้ สวนออกไป นี่ผมไม่ได้เรียนจุฬาฯ นะ ผมยังเจ็บแค้นแทนเลย พวกคุณนี่ ผมไม่รู้จะพูดอย่างไรกับพวกคุณ

เนติวิทย์ คุณรีบๆ เรียนให้จบดีกว่า อายุตั้ง 25 แล้ว คุณเรียนรัฐศาสตร์ แล้วคุณจะไปเป็นอะไร รัฐศาสตร์การปกครอง ก็คุณโม้ไม่ใช่หรือ คุณเคยให้สัมภาษณ์ไม่ใช่หรือตอนคุณเป็นเด็กๆ โรงเรียนมัธยม ว่าเลิกสอนได้แล้วพวกนี้ ควรจะสอนวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ แล้วคุณไปเรียนรัฐศาสตร์ทำไม หรือคุณต้องการเรียนเพื่อจะเปลี่ยนแปลงการปกครองในบ้านเรา

ท่านผู้ชมครับ วันนี้ขออภัยครับ อารมณ์มันเดือดไปหน่อย ที่เดือดไม่ใช่สิ่งที่เด็กมันพูดประท้วงนะ ที่เดือดเพราะว่าพวกคุณจะประท้วงทำอะไรทั้งที คุณหาข้อมูลให้ถูกต้องหน่อยได้ไหม คุณอย่าเอาข้อมูลที่มันโหลยโท่ยแล้วมาปั่นหัวคนอื่นที่ไม่สนใจในข้อมูลพวกนี้ เหมือนกับพวกคุณเคยเชิดชู จอมพล ป. พิบูลสงคราม และคณะราษฎร 2475 โดนผมฟาดกลับไปเลยว่า ข้อเท็จจริงตามหลักฐานประวัติศาสตร์ คณะราษฎร คือคณะโจร จอมพล ป. วีรบุรุษของคุณ คือวีรบุรุษมหาโจร

ท่านผู้ชมครับ รายการวันนี้สิ้นสุดเพียงแค่นี้ สวัสดีครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น