เฟซบุ๊กประกาศแผนจ้างแรงงานทักษะสูง 10,000 ตำแหน่งในสหภาพยุโรป (อียู) เพื่อสร้าง ‘metaverse’ หรือโลกดิจิทัลเสมือนจริงซึ่งจะเปิดโอกาสให้ผู้คนทั่วโลกสามารถมีปฏิสัมพันธ์กันได้ในรูปแบบ 3 มิติ
มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ซีอีโอเฟซบุ๊ก ถือเป็นผู้นำบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ที่ออกมาเสนอวิสัยทัศน์อย่างจริงจังเกี่ยวกับ metaverse ซึ่งจะช่วยให้เส้นแบ่งของโลกแห่งความเป็นจริงกับโลกดิจิทัลอ่อนจางลง ตัวอย่างเช่น คนคนหนึ่งอาจจะสวมแว่นวีอาร์ (virtual reality glasses) และสามารถสนทนากับเพื่อนที่อยู่ห่างไกลออกไปหลายพันไมล์ผ่านทางอินเทอร์เน็ต โดยให้ความรู้สึกเหมือนนั่งอยู่ตรงหน้า
เฟซบุ๊ก ระบุว่า บริษัทเตรียมที่จะเปิดรับ “วิศวกรทักษะสูง” จากหลากหลายประเทศในอียู โดยจะเน้นรับสมัครในเยอรมนี ฝรั่งเศส อิตาลี สเปน โปแลนด์ เนเธอร์แลนด์ และไอร์แลนด์
“metaverse คือศักยภาพที่ช่วยปลดล็อกการเข้าถึงโอกาสทางการสร้างสรรค์ สังคมและเศรษฐกิจ และชาวยุโรปจะร่วมกันสร้างมันขึ้นมาตั้งแต่เริ่มต้น” เฟซบุ๊ก แถลงวันนี้ (18 ต.ค.) “เราขอประกาศแผนจ้างแรงงานทักษะสูง 10,000 อัตราในสหภาพยุโรป ภายในระยะเวลา 5 ปีข้างหน้า”
ประกาศดังกล่าวมีขึ้นหลังจากที่เฟซบุ๊กเผชิญข่าวอื้อฉาวจากการถูกอดีตพนักงานออกมาแฉว่าเห็นแก่กำไรมากกว่าความปลอดภัยของผู้ใช้งาน รวมถึงเหตุขัดข้องทางเทคนิคที่ทำให้ระบบล่มหลายครั้ง จนเกิดกระแสเรียกร้องให้มีการออกกฎควบคุมอิทธิพลของสื่อโซเชียลมีเดียยักษ์ใหญ่รายนี้
หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์รายงานเมื่อเดือนที่แล้วว่า การที่เฟซบุ๊กเริ่มเบนเข็มสู่การรุกตลาด metaverse “เป็นส่วนหนึ่งของแผนฟื้นฟูภาพลักษณ์บริษัท และเพื่อให้เฟซบุ๊กได้มีโอกาสร่างกฎเกณฑ์ของเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตในรุ่นถัดไป”
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือน ซักเคอร์เบิร์ก เองก็กระตือรือร้นอยากจะเป็นผู้นำเทคโนโลยีในด้านนี้ และเคยทำนายไว้เมื่อเดือน ก.ค. ว่า เฟซบุ๊ก “จะเปลี่ยนจากการเป็นผู้ให้บริการโซเชียลมีเดียเป็นหลัก ไปสู่การเป็นบริษัท metaverse ภายในอีก 5 ปีข้างหน้า”
เฟซบุ๊ก ทุ่มทุน 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐเข้าซื้อกิจการ Oculus ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตแว่นตาอัจฉริยะเมื่อปี 2014 และได้เริ่มพัฒนา Facebook Horizon ซึ่งเป็นโซเชียลเน็ตเวิร์กที่ผู้ใช้งานสามารถมีปฏิสัมพันธ์กันผ่านเทคโนโลยีวีอาร์
ล่าสุด เมื่อเดือน ส.ค. เฟซบุ๊กเพิ่งเปิดตัว Horizon Workrooms หรือแอปห้องทำงานเสมือนจริงในรูปแบบวีอาร์ที่สามารถจุผู้เข้าร่วมสนทนาได้ถึง 16 คน โดยแต่ละคนสามารถสร้างตัว avatar ของตนเองขึ้นมาได้ด้วย ซึ่งถือเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่มุ่งตอบสนองเทรนด์การทำงานทางไกล
ที่มา : เอเอฟพี
