วันที่ 8 ต.ค.64 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้จัดรายการ “SONDHI TALK” Exclusive ตอน โมนูลพิราเวียร์ ตัวเปลี่ยน หรือ การล่าอาณานิคมสาธารณสุข เผยแพร่ทางเว็บไซต์ sondhitalk.com เปิดเผยความจริงเบื้องหลังกรณียารักษาผู้ติดเชื้อโควิด-19 "โมนูลพิราเวียร์" ที่บริษัทเมิร์ค เพิ่งทดลองประสบความสำเร็จ เตรียมผลิตเพื่อจำหน่ายทั่วโลก และรัฐบาลไทยเตรียมสั่งซื้อ 2 แสนคอร์ส ในราคาคอร์สละ 2 หมื่นกว่าบาท ทั้งที่ประสิทธิภาพสู้ฟ้าทะลายโจรราคา 100 กว่าบาทไม่ได้
คำต่อคำ : Exclusive โมลนูพิราเวียร์ ตัวเปลี่ยน หรือ การล่าอาณานิคมสาธารณสุข
ท่านผู้ชมครับ ผมได้พูดไปแล้วว่าผมจะพูดเรื่องวัคซีนถึงฟาวิพิราเวียร์ แล้วก็ล่าสุด โมลนูพิราเวียร์ อย่างเปิดอก โดยที่ไม่ต้องเกรงกลัวกติกาของเฟซบุ๊กและยูทูป และนี่คือรายการที่ท่านผู้ชมจะได้ฟังอย่างตรงไปตรงมา
ประเด็นแรก ท่านผู้ชมครับ ปล้นรอบแรก คือจากวัคซีนถึงฟาวิพิราเวียร์ ปล้นรอบที่สอง คือ โมลนูพิราเวียร์ กับการลุกขึ้นสู้ของฟ้าทะลายโจร ประเด็นแรก วัคซีนไม่สามารถป้องกันโควิด-19 ได้ ท่านผู้ชมครับ ไม่สามารถ ไม่ว่ายี่ห้อไหนก็ตาม วัคซีนเทพหรือไม่เทพ จะเป็นซิโนแวค จะเป็นซิโนฟาร์ม จะเป็นไฟเซอร์ จะเป็นโมเดอร์นา จะเป็นจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน ป้องกันไม่ได้ ท่านผู้ชม เราจะเห็นว่าประเทศที่มีประชากร ที่มีคนฉีดวัคซีนครบสองเข็มแล้ว เกินร้อยละ 60 ขึ้นไป ตั้งแต่กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ตอนนี้กลับมาระบาดใหม่ในช่วงเดือนสิงหาคม 2564
มาดูประเทศสำคัญที่ฉีดวัคซีนครบสองเข็ม เกิน 50 เปอร์เซ็นต์ กับกราฟระบาดรอบใหม่ ผมจะเลือกประเทศที่สำคัญๆ น่าสนใจมา 5 ประเทศ ประเทศแรกคือ อิสราเอล ประเทศที่สอง อังกฤษ ประเทศที่สาม อเมริกา ประเทศที่สี่ มาเลเซีย และประเทศที่ห้า สิงคโปร์ ผมจะเปรียบเทียบกับประเทศไทย
ท่านผู้ชมครับ ผลปรากฏว่าประเทศที่เป็นต้นแบบของการระดมฉีดวัคซีน แม้ผู้ติดเชื้อจะลดลงในระยะแรก แต่ท่านผู้ชมรู้หรือเปล่าว่า ต่อมากลับระบาดมากกว่าเดิมอีก และข้อสำคัญ เมื่อเทียบกับสัดส่วนประชากร 1 ล้านคน เท่าๆ กัน กับประเทศที่ฉีดวัคซีนก่อนที่ไทยเข้าสู่สถานการณ์เลวร้าย ล้วนแล้วแต่เข้าสู่สถานการณ์ที่เลวร้ายกว่าประเทศไทยทั้งสิ้น
ประเทศไทยมีการฉีดวัคซีนครบ 2 เข็ม ประมาณ 23 เปอร์เซ็นต์ ของจำนวนประชากร สถานการณ์ในการติดเชื้อ ณ วันที่ 28 กันยายน 2564 อยู่ที่ 166 คน ต่อประชากร 1 ล้านคน
สิงคโปร์ ระดมฉีดครบ 2 เข็มไปแล้ว 77 เปอร์เซ็นต์ มากกว่าประเทศไทย 3.3 เท่าตัว แต่สถานการณ์ติดเชื้อ ณ วันที่ 28 กันยายน อยู่ที่ 287 คน ต่อประชากร 1 ล้านคน มากกว่าประเทศไทย 1.72 เท่าตัว
อังกฤษ ระดมฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มไปแล้ว 66 เปอร์เซ็นต์ มากกว่าประเทศไทย 2.87 เท่าตัว สถานการณ์ติดเชื้อ ณ วันที่ 28 กันยายน 2564 อยู่ที่ 504 คน ต่อประชากร 1 ล้านคน มากกว่าประเทศไทย 3.04 เท่าตัว
อิสราเอล ฉีดครบ 2 เข็มไปแล้ว 64 เปอร์เซ็นต์ มากกว่าประเทศ 2.78 เท่าตัว แต่สถานการณ์ติดเชื้อ ณ วันที่ 28 กันยายน 2564 อยู่ที่ 522 คน ต่อประชากร 1 ล้านคน มากกว่าประเทศไทย 3.14 เท่าตัว
มาเลเซีย ฉีดครบ 2 เข็มไปแล้ว 63 เปอร์เซ็นต์ มากกว่าประเทศไทย 2.74 เท่าตัว ท่านผู้ชมครับ 28 กันยายน 2564 สถานการณ์ติดเชื้ออยู่ที่ 403 คน ต่อประชากร 1 ล้านคน มากกว่าประเทศไทย 2.42 เท่าตัว
อเมริกา ฉีดครบ 2 เข็มไปแล้ว 55 เปอร์เซ็นต์ มากกว่าประเทศไทย 2.39 เท่าตัว สถานการณ์ติดเชื้อ ณ วันที่ 28 กันยายน 2564 อยู่ที่ 348 คน ต่อประชากร 1 ล้านคน มากกว่าประเทศไทย 2.09 เท่าตัว
สรุปว่าอย่างไร ? สรุปว่าประเทศที่ฉีดวัคซีนมากกว่าประเทศไทย ทั้งสิงคโปร์ อังกฤษ อิสราเอล มาเลเซีย และสหรัฐอเมริกา กลับมีสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 เลวร้ายกว่าประเทศไทย ทั้งๆ ที่เป็นการระบาดสายพันธุ์เดลตาในช่วงเวลาเดียวกัน แล้วผมสรุปว่าอย่างไรเรื่องนี้ ? ผมก็สรุปว่า วัคซีนใช้เป็นเงื่อนไขในการป้องกันไม่ได้ และยังไม่สามารถใช้เป็นเงื่อนไขในการลดจำนวนผู้ติดเชื้อได้
ท่านผู้ชมครับ ผมมีสมมติฐานว่าการฉีดวัคซีนอาจจะทำให้ผู้ติดเชื้อ แต่ไม่รู้ตัว เพราะไม่มีอาการมากขึ้น ก็คือพูดง่ายๆ ว่ามันลดความรุนแรงลง แต่กลับแพร่ระบาดง่ายขึ้น กว้างขึ้น ที่น่ากลัวคือมันจะทำให้เกิดการกลายพันธุ์ขึ้นมาอีก สมมติฐานนี้สอดคล้องกับข้อสังเกตที่ว่า การระบาดของประเทศไทยที่เกิดขึ้นนั้น เกิดขึ้นหลังจากเริ่มฉีดวัคซีนเข็มแรก ตั้งแต่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 เหมือนชาติอื่นๆ ที่ฉีดวัคซีน โดยไทยได้เริ่มแพร่ระบาดหนักในช่วงปลายเดือนมีนาคม และต้นเดือนเมษายน 2564 เพียงแต่ว่าประเทศไทยยังฉีดไม่เร็วเท่าชาติอื่นๆ ก่อนหน้านี้ การระบาดของสายพันธุ์เดลตาน้อยกว่าหลายประเทศที่เร่งฉีดวัคซีนก่อนประเทศไทย
ท่านผู้ชมครับ ประเด็นที่สอง วัคซีนลดความรุนแรงของโรคได้ไม่เท่ากับฟ้าทะลายโจร ในเรือนจำ ท่านผู้ชมครับ แม้ประเทศที่ฉีดวัคซีนจะทำให้เกิดการระบาดยิ่งกว่าเดิม แต่จะมีคนเถียงว่า พวกเขาเหล่านั้นไม่ต้องปิดกิจการ ล็อกดาวน์ อย่างไหนคุ้มกว่ากันล่ะ ท่านผู้ชมลองพิจารณาจากประเทศสิงคโปร์ดูก็แล้วกัน จากเดิมระดมฉีดวัคซีนเพื่อประกาศว่าสิงคโปร์จะอยู่ร่วมกับโควิดให้ได้ เงื่อนไขที่สำคัญที่สุดของประเทศสิงคโปร์ คือแม้วัคซีนจะไม่ช่วยป้องกัน แต่จะช่วยลดความรุนแรงให้น้อยลงได้ เพื่อลดอัตราการเสียชีวิตให้น้อยลงได้ และนี่คือเงื่อนไขสำคัญที่สิงคโปร์ประกาศว่าจะอยู่กับโควิดให้ได้
ท่านผู้ชมครับ มาดูกราฟกันนิดหนึ่ง แต่พอถึงกลางเดือนกันยายน 2564 ที่ผ่านมานี้ สิงคโปร์กลับมีการระบาดโควิดมากที่สุดอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ท่านผู้ชมดูกราฟสีเขียวด้านบน เปรียบเทียบสัดส่วนประชากรที่ได้รับวัคซีนโควิดครบ 2 เข็ม นำโดยสิงคโปร์ สหราชอาณาจักรอังกฤษ อิสราเอล มาเลเซีย อเมริกา และไทย ท่านผู้ชมครับ สิงคโปร์เลยต้องกลับมานโยบายล็อกดาวน์ใหม่ นักเรียนที่ฉีดวัคซีนครบแล้วก็ระบาด ติดเชื้อเช่นกัน จนต้องเปลี่ยนนโยบาย จากเดิมเปิดโรงเรียนมาเป็นปิดโรงเรียน แล้วก็เรียนออนไลน์แทน
ท่านผู้ชมครับ การประกาศล็อกดาวน์สิงคโปร์อีกครั้ง เป็นการกลับลำประกาศว่าจะอยู่ร่วมกับโควิดด้วยนโยบาย ชีวิตสำคัญกว่าเศรษฐกิจ
สมมติฐานมีว่า เมื่อวัคซีนฉีดแล้วไม่สามารถป้องกันโรคได้ แต่อาจจะทำให้ผู้ป่วยไม่รู้ตัว แต่แพร่ระบาดมากขึ้น ส่งผลให้เกิดการกลายพันธุ์มากขึ้น แต่ถึงแม้วัคซีนช่วยทำให้ความรุนแรงของโรคลดลง หรือมีอัตราการตายลดลงได้จริง แต่ท่านผู้ชมครับ พอผู้ป่วยมากขึ้นๆ เรื่อยๆ จนต้องใช้บริการโรงพยาบาล จนล้นโรงพยาบาล ถึงจุดนั้นเมื่อไร อัตราการเสียชีวิตก็จะเพิ่มขึ้นทันที เพราะผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษาใดๆ ซึ่งประเทศไทยช่วงกรกฎาคม-สิงหาคม 2564 ก็เคยเจอสภาพนั้นมาแล้ว เพราะฉะนั้นแล้วเราจึงไม่สามารถเปิดประเทศได้เพียงเพราะวัคซีนจะช่วยลดความรุนแรงของโรคได้อย่างเดียวอีกต่อไป ยังทำไม่ได้ แต่ตราบใดที่โรคระบาดง่าย ระบาดได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากฉีดวัคซีนแล้ว ยังต้องพึ่งพาโรงพยาบาลอย่างเดียว เราจะมีเตียงไม่พอสำหรับรับผู้ป่วยอยู่ดี การลดความรุนแรง วัคซีน จึงกลายเป็นกับดักและดาบสองคมของวัคซีน
ท่านผู้ชมครับ ผมมีตัวเลขที่น่าสนใจเกี่ยวกับประเทศไทย เราเริ่มฉีดวัคซีนครั้งแรกเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 พอ 1 เมษายน 2564 ประเทศไทยเข้าสู่การระบาดระลอกใหม่จากสายพันธุ์เดลตา ตัวเลขอัตราการเสียชีวิตและจำนวนผู้ป่วยล้นโรงพยาบาลหรือไม่ จึงเป็นเงื่อนไขสำคัญที่จะทำให้เราประเมินได้ว่า มนุษย์เราจะยอมรับในการอยู่กับโรคนี้ได้โดยไม่ต้องพึ่งล็อกดาวน์ได้จริงหรือไม่ ?
ท่านผู้ชมครับ ประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2564 ถึง 28 กันยายน 2564 เรามีผู้ป่วยติดเชื้อโรคโควิดสะสม รวมทั้งสิ้นประมาณ 1.6 ล้านคน มีผู้เสียชีวิต 1.05 เปอร์เซ็นต์ แต่ตัวเลขที่ปรากฏข้างต้นคือตัวเลขที่โรงพยาบาลรายงาน หมายความว่า วิธีการรักษาเกือบทั้งหมด อยู่ภายใต้การรักษาของแพทย์แผนปัจจุบัน ซึ่งส่วนใหญ่ไม่นิยมใช้ฟ้าทะลายโจร เพราะว่ามีคู่มือเวชปฏิบัติของกรมการแพทย์ที่ทะลึ่งดึงดันกำหนดให้ใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ร่วมกับยาสเตียรอยด์อื่นๆ โดยไม่ให้ยาฟ้าทะลายโจรร่วมเข้าไปในขั้นตอนการรักษา
ท่านผู้ชมครับ ผมยอมรับว่าแพทย์แผนปัจจุบันของไทยมีความสามารถ เพราะอัตราการเสียชีวิตในระดับ 1.05 เปอร์เซ็นต์ ถ้าตัดตัวเลขเรือนจำออกไป จะพบว่าเป็นอัตราการเสียชีวิตของคนไทยที่ผู้ป่วย (ไม่นับเรือนจำ) จะอยู่ที่ประมาณ 1.07 เปอร์เซ็นต์
ท่านผู้ชมครับ ในขณะที่เรือนจำประเทศไทย ซึ่งใช้ยาฟ้าทะลายโจรเป็นยาหลักในการรักษาต่างจากโรงพยาบาลนอกเรือนจำ ตามนโยบายของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
ท่านผู้ชมรู้ไหม ผลปรากฏว่านักโทษที่ป่วยเป็นโควิด ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน ถึงวันที่ 28 กันยายน มีจำนวนทั้งสิ้น 69,230 คน มีคนเสียชีวิตแค่ 151 ราย คิดเป็นอัตราการเสียชีวิตเพียง 0.21 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้น นี่แปลว่าอะไร ? แปลว่าอัตราการเสียชีวิตผู้ป่วยทั่วไปนอกเรือนจำ สูงกว่าอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยในเรือนจำที่ใช้ยาฟ้าทะลายโจร มากถึง 5 เท่าตัว ท่านผู้ชม ระหว่างนอกเรือนจำ ที่เสียชีวิต 1.07 เปอร์เซ็นต์ กับในเรือนจำที่เสียชีวิตแค่ 0.21 เปอร์เซ็นต์ 5 เท่าตัว หรือจะให้ผมแปลอีกทางหนึ่งก็คือว่า เมื่อเปรียบเทียบในกลุ่มผู้ป่วยคนไทยด้วยกัน ผู้ป่วยในเรือนจำที่มีการใช้ยาฟ้าทะลายโจร ช่วยลดอัตราการตายให้ลดลงไปถึง 80 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับผู้ป่วยที่อยู่นอกเรือนจำที่ใช้ยาฟ้าทะลายโจรน้อยมาก ในการรายงานด้วยวิธีการรักษาในโรงพยาบาล
ท่านผู้ชมครับ ผู้มีอำนาจในแผ่นดินครับ หมอที่มีอำนาจทั้งหลายครับ ทำไมคุณถึงปฏิเสธตัวเลขนี้ได้ แล้วคุณยังยืนยันที่จะใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ คุณนี่โคตรอำมหิตเลย
คำถามที่สำคัญ ท่านผู้ชม ถ้าเราหรือคนในครอบครัวป่วยแล้วเข้าโรงพยาบาล แล้วได้รับยาฟาวิพิราเวียร์เป็นหลักแทนฟ้าทะลายโจร หรือเปล่าล่ะ ? โครงการวิจัย งานวิจัย โครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ หรือมีชื่อว่า HiTAP องค์กรวิชาอิสระ ได้รายงานต่อกระทรวงสาธารณสุข ยืนยันว่า ยาฟาวิพิราเวียร์ไม่ได้ช่วยลดอัตราการตายให้ลดลงเลย
ท่านผู้ชมครับ คุณหมอครับ อนุทิน ชาญวีรกูล ครับ ประยุทธ์ จันทร์โอชา ครับ งานวิจัยอันนี้คุณเอาไปทิ้งไว้ที่ไหน ผมมีคำถาม ถามมาจากข้อมูลข้างต้น เมื่อมันเป็นอย่างนี้ เราจะเลือกรักษาตัวเองที่บ้านหรือจะไปโรงพยาบาลแล้วไปรับยาฟาวิพิราเวียร์ โดยที่ไม่ได้รับยาฟ้าทะลายโจร มากกว่ากัน ? อ๋อ ต้องอยู่บ้านแน่นอน จะไปทำ...อะไรที่โรงพยาบาล ไปแล้วโอกาสตายสูงมาก
และท่านผู้ชมครับ ความน่าสนใจยิ่งไปกว่านั้นคือ อัตราการตายในระดับ 0.21 เปอร์เซ็นต์ ในเรือนจำ น่าพอใจเพียงใด ? ก็ให้เปรียบเทียบดูกับประเทศอื่นที่เน้นนโยบายฉีดวัคซีนไปมากแล้ว ด้วยความหวังว่าอัตราการเสียชีวิตจะลดต่ำที่สุด จนถึงจุดที่ประชาชนรับได้ จากวันที่ 1 เมษายน 2564 ณ วันที่ 28 กันยายน 2564 ดังนี้
อเมริกา อัตราการเสียชีวิต 1.46 เปอร์เซ็นต์ นี่รับวัคซีนไปแล้วนะ มาเลเซีย อัตราการเสียชีวิต 0.92 เปอร์เซ็นต์ สิงคโปร์ อัตราการเสียชีวิต 0.49 เปอร์เซ็นต์ อิสราเอล อัตราการเสียชีวิต 0.38 เปอร์เซ็นต์ อังกฤษ อัตราการเสียชีวิต 0.34 เปอร์เซ็นต์ ส่วนผู้ป่วยนอกเรือนจำประเทศไทย คือผู้ป่วยนอกเรือนจำ ที่ใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ มีอัตราการเสียชีวิต 1.07 เปอร์เซ็นต์
ในขณะที่ในเรือนจำ ใช้ยาฟ้าทะลายโจร มีอัตราการเสียชีวิตแค่ 0.21 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น น้อยกว่าอเมริกา น้อยกว่ามาเลเซีย น้อยกว่าสิงคโปร์ น้อยกว่าอิสราเอล น้อยกว่าอังกฤษ ซึ่งระดมฉีดวัคซีนมากกว่าและเร็วกว่าประเทศไทยอย่างชัดเจน
ท่านผู้ชมครับ เรามาลองคิดดูว่าประเทศเหล่านี้พยายามฉีดวัคซีนให้มากที่สุด เอ๊ะ แต่อัตราการเสียชีวิตถึงแม้อาจจะลดลงได้ ก็ไม่เท่ากับการใช้ยาฟ้าทะลายโจรในเรือนจำประเทศไทย ข้อสำคัญคือ ยาฟ้าทะลายโจรถูกกว่าวัคซีนทั่วโลก และประชาชนสามารถเข้าถึงง่ายและพึ่งพาตัวเองได้ง่าย
ท่านผู้ชมครับ ผมพูดมา 2 ประเด็นแล้ว ผมจะต่อประเด็นที่ 3 โอกาสของยารักษาโรคที่ยากาฝาก ฟาวิพิราเวียร์ 6,000 บาทต่อหัว ตอนนี้กลับกลายเป็น โมลนูพิราเวียร์ 20,000 กว่าบาทต่อหัว
ในที่สุดทั่วโลกก็ต้องกลับมายอมรับว่าวัคซีนไม่ได้ทำให้เกิดการป้องกันโรค และวัคซีนอาจจะช่วยลดอัตราการเสียชีวิต แต่กลับทำให้ง่ายต่อการยิ่งระบาดมากขึ้น เพราะการติดเชื้อแล้วไม่รู้ตัว แม้อัตราการเสียชีวิตจะต่ำ แต่เนื่องจากผู้ป่วยมันเยอะขึ้นมากเลย ยิ่งใช้วัคซีนมากขึ้น ก็ยิ่งระบาดมากขึ้น แล้วท่านผู้ชมรู้หรือเปล่าว่าฤดูหนาวนี้จะพิสูจน์โควิดระบาดรอบใหม่
จุดวัดที่สำคัญที่จะพิสูจน์ความจริงในเรื่องนี้อีกครั้งคือฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึง การระบาดจะกลับมาจนต้องพึ่งพาโรงพยาบาลมากขึ้น จะถึงขั้นผู้ป่วยล้นโรงพยาบาลอีกหรือเปล่า หรือจะทำให้การเสียชีวิตเพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหน ไม่มีใครทราบได้ ซึ่งการที่วัคซีนทำเงินด้วยความหวังลมๆ แล้งๆ จะทำให้ประเทศกลับมาเป็นปกติ เลิกล็อกดาวน์ เศรษฐกิจฟื้นตัว ก็ได้ทำให้บริษัทวัคซีนไม่กี่แห่งร่ำรวยกันอย่างมหาศาล จนหลายประเทศที่แย่งซื้อวัคซีนให้ประชาชนได้ใช้ฉุกเฉิน และใช้มนุษย์ทดลองและเก็บข้อมูลไปด้วยในเวลาเดียวกัน โอกาสมันก็เลยเกิดขึ้นกับผู้ผลิตยารักษาโรคโควิด-19
วันที่ 1 ตุลาคม บริษัท เมอร์ค (MERCK) แถลงข่าวความสำเร็จในการทดสอบยาเม็ด "โมลนูพิราเวียร์" สำหรับรักษาอาการป่วย รวมทั้่งเสียชีวิตจากการติดเชื้อโรคโควิด-19 เขาระบุในการทดลองว่า สามารถลดอาการป่วยและเสียชีวิตเมื่อติดเชื้อโควิดได้ 50 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งแน่นอนว่าทำให้วัคซีนทั่วโลกราคาตกลงทันที ราคาหุ้นผู้ผลิตยาโมลนูพิราเวียร์สูงขึ้นทันทีเช่นกัน
ท่านผู้ชมครับ ราคาขายของโมลนูพิราเวียร์ 1 คอร์ส ที่จะใช้รักษา ใช้ 40 เม็ด ราคา 700 เหรียญสหรัฐ หรือ 23,100 บาท ตกเม็ดละ 580 บาท ทานวันละ 8 เม็ด เป็นเวลา 5 วัน รวม 40 เม็ด ฟ้าทะลายโจร ใช้ต่อคนประมาณ 80 เม็ด มูลค่าเม็ดละ 1 บาทกว่า ผู้ป่วยต่อคนก็ไม่เกิน 100 บาท และที่สำคัญมีบทพิสูจน์แล้วว่ามีผู้หายป่วยเป็นจำนวนมาก ที่ร้ายกว่านั้นแล้วเขาไม่ยอมรับกันก็คือว่า อัตราการเสียชีวิตของประเทศไทยต่อประชากร 1 ล้านคน 0.21 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้นเอง ต่ำกว่าทุกๆ ประเทศที่ใช้วัคซีนกันทั้งหมด และฉีดมาครบ 2 เข็มแล้ว แต่กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุขเมืองไทย ซึ่งบัดซบ โคตรบัดซบ กลับไม่ต้องการให้ใช้ยาฟ้าทะลายโจรมารักษาเลย ให้ใช้ฟาวิพิราเวียร์ตั้งแต่ตรวจพบเชื้อทันที และเร็วที่สุด มิหนำซ้ำยังเขียน มีใบกำกับยาว่า ห้ามใช้ยาฟ้าทะลายโจร ขอประทานโทษนะท่านผู้ชม พวกมึงนี่จิตใจทำด้วยอะไร นอกจากโง่แล้ว เป็นหมอแล้ว ยังไม่เข้าใจในตัวเลขพวกนี้เลยหรือ ผมนี่จบประวัติศาสตร์ ผมอ่านตัวเลข ผมวิเคราะห์แล้วผมบอก เฮ้ย ไม่ใช่แล้ว เฮ้ย! ไอ้พวกฆาตกร
ยาฟาวิพิราเวียร์ อย่างน้อยคนละ 50 เม็ด เม็ดละ 120 บาท ค่าใช้จ่ายต่อคน 6,000 บาท องค์การเภสัชกรรม แถลงข่าวว่า 5 เดือนสุดท้าย จะสั่งซื้อยาฟาวิพิราเวียร์มา 420 ล้านเม็ด การสั่งซื้อมูลค่า 50,000 ล้านบาท ถ้าราคา 120 บาทต่อเม็ด ใช้ได้กับผู้ป่วย 8.4 ล้านคน มันจะบ้ากันไปแล้ว คนป่วยในเมืองไทย นับตั้งแต่เมษายน จนถึงวันที่ 7 ตุลาคม อยู่ที่แค่ 1.6 ล้านคน พวกคุณสั่งยามาเพื่อผู้ป่วย 8.4 ล้านคน พวกคุณทำมาหาแดกกับค่าคอมมิชชันยากันกี่คนกันแน่ แบ่งกันกี่หัว ระยำฉิบหายเลย
เพราะฉะนั้นแล้ว เมื่อยาฟาวิพิราเวียร์ถูกโจมตีมากว่าไม่ได้ลดอัตราการเสียชีวิต พอมีข่าว โมลนูพิราเวียร์ ขึ้นมา ไอ้พวกนี้กระสันทันทีเลย ตูดสั่น หำสั่น
เตรียมเสนอคณะรัฐมนตรีสั่งซื้อยาโมลนูพิราเวียร์จำนวน 200,000 คอร์ส สำหรับ 200,000 คน จะใช้งบกลางในการจัดซื้อ คาดว่าจะนำเข้ายาได้ในช่วงเดือนธันวาคม มาแล้ว บอกว่าได้ผลดีกว่ายาฟาวิพิราเวียร์ แล้วที่มึงซื้อยาฟาวิพิราเวียร์ไป มึงก็บอกว่าได้ผลดี แล้วเกิดอะไรขึ้น ?
คำถามคือ ที่ผ่านมากระทรวงสาธารณสุขผลาญงบประมาณไปซื้อยาฟาวิพิราเวียร์ทำไม ? ก็ที่พวกคุณผลาญกัน เพราะคุณแบ่งค่าคอมมิชชันกันใช่ไหม คุณปฏิเสธยาฟ้าทะลายโจร ซึ่งรักษาได้ดีกว่า แล้วยังรักษาได้ดีกว่ายาโมลนูพิราเวียร์ที่กำลังจะออกเสียด้วยซ้ำ 100 กว่าบาท กับ 23,100 บาท หายเหมือนกัน คำถามมีทั้งมิติปริมาณสั่งซื้อยา และมิติเอายาราคาแพงๆ มาแทนกลุ่มผู้ป่วยอาการน้อยของยาฟ้าทะลายโจร เพื่ออะไร ? คุณรู้อยู่แล้วว่าจะมียาโมลนูพิราเวียร์เข้าประเทศไทยมาปลายปี 2564 เรื่องแบบนี้คุณต้องติดตามอยู่ คุณต้องรู้อยู่ แต่คุณยังจะสั่งซื้อเป็นร้อยๆ ล้านเม็ด ไม่มีอะไรนอกจากว่าพวกคุณคดโกงชาติ แผ่นดิน
ถ้ายาโมลนูพิราเวียร์สามารถถูกนำมาใช้ในการรักษาแทนยาฟ้าทะลายโจร เหมือนที่ประกาศฟาวิพิราเวียร์แทนฟ้าทะลายโจร ท่านผู้ชมครับ ประเทศไทย ประชาชนคนไทยจะถูกปล้นอีกครั้ง เพราะถ้าคนเชื่อว่าโรคโควิดสามารถรักษาได้ ก็จะระวังตัวเองน้อยลง และการระบาดก็ต้องมีมากขึ้น มันจะไม่หยุดแค่ 4,620 ล้าน มันจะสูงไปกว่างบประมาณประเทศไปจนหมดตัวในท้ายที่สุด
ประเด็นที่สี่ ไหนๆ ก็มาถึงขนาดนี้แล้ว เรามาเปรียบเทียบ โมลนูพิราเวียร์ 40 เม็ด 23,100 บาท กับ ฟ้าทะลายโจร เปรียบเทียบกันดูเลย
ท่านผู้ชมครับ ผมเสียดายมากที่กระทรวงสาธารณสุขทุ่มเทและทุ่มงบประมาณน้อยมากกับการพิสูจน์และตีพิมพ์ในวารทางการแพทย์ในเรื่องฟ้าทะลายโจรว่าสามารถรักษาโควิด-19 ได้ และมีประสิทธิภาพเพียงใด และขัดขวางการใช้ฟ้าทะลายโจรในคู่มือเวชปฏิบัติของกรมการแพทย์อย่างต่อเนื่อง
กระทรวงสาธารณสุขไม่เคยอยากสนใจวิจัยฟ้าทะลายโจรจริงจัง ตรงกันข้าม อยากจะพิสูจน์แต่ยาแพงๆ ของต่างชาติ ทั้งฟาวิพิราเวียร์ และโมลนูพิราเวียร์ ผมเคยพูดให้ฟังแล้วใช่ไหมท่านผู้ชม ว่า ฟาวิพิราเวียร์อัปรีย์นี้ ญี่ปุ่นเป็นคนผลิต มันยังไม่ใช้กันเลย
อินเดียเป็นผู้ผลิตอีกราย ก็ได้เลิกใช้ยาฟาวิพิราเวียร์กับผู้ป่วยโควิดแล้ว เพราะไม่ได้ผล และกำลังจะเจรจากับสาธารณสุขเมืองไทยเพื่อขายยาฟาวิพิราเวียร์ ซึ่งอินเดียมันเลิกใช้เพราะว่าไม่ได้ผล ในราคาถูก แต่เผอิญยาโมลนูพิราเวียร์เป็นยาตัวใหม่ ใช้เป็นข้ออ้างในการผลาญงบของประเทศไทย โดยอ้างว่าเป็นยามีประสิทธิภาพมากกว่ายาฟาวิพิราเวียร์
เรามาลองพิสูจน์กันดีกว่าท่านผู้ชม เปรียบเทียบระหว่าง ยาฟ้าทะลายโจร กับ โมลนูพิราเวียร์ ต่างกันอย่างไร ?
ประการแรก ฟ้าทะลายโจรออกฤทธิ์ในการยับยั้งเชื้อมากกว่าโมลนูพิราเวียร์
ฟ้าทะลายโจรออกฤทธิ์เกี่ยวข้องกับโควิดมากกว่าโมลนูพิราเวียร์ โดยมีการออกฤทธิ์ถึง 5 กลไก ดังนี้
1. ฟ้าทะลายโจรจับกับตัวรับไวรัสที่เซลส์ปอด
2. ฟ้าทะลายโจรยับยั้งเอนไซม์ที่ทำให้ไวรัสไม่สามารถเพิ่มจำนวนสารพันธุกรรมได้ เรียกว่า RNA
3. ฟ้าทะลายโจรยังยั้งเอนไซม์หลักที่เรียกว่า "เมนโปรตีเอส"(Main Protease) เป็นเอนไซม์ที่เป็นกุญแจสำคัญในการทำให้ไวรัสเพิ่มจำนวนและแบ่งตัว
4. ฟ้าทะลายโจรยับยั้งเอนไซม์ที่ทำหน้าที่ตัดโปรตีนขนาดยาวที่ไวรัสสร้างขึ้น ให้เป็นโปรตีนขนาดเล็กๆ ทำให้ยับยั้งไวรัสไม่สามารถสร้างสำเนาตัวใหม่ได้
5. ฟ้าทะลายโจรจับกับโปรตีนส่วนหนาม โครงสร้างส่วนอกของไวรัสที่ใช้จับกับตัวรับเซลส์ต่างๆ รวมทั้งเซลส์ปอดด้วย
ท่านผู้ชมจะเห็นได้ว่า โมลนูพิราเวียร์ กับ ฟาวิพิราเวียร์ มีกลไกในการออกฤทธิ์ในการยับยั้งเชื้อน้อยกว่ายาฟ้าทะลายโจรในหลอดทดลองอย่างชัดเจน
นี่คือผลของยาในหลอดทดลอง แต่จะเห็นได้ว่ากลไกข้างต้นเป็นการยับยั้งการทำงานของโควิด แล้วปล่อยให้การฆ่าเชื้อเป็นหน้าที่ของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย พูดง่ายๆ ก็คือว่ายับยั้งไม่ให้โควิดมันขยายตัว ให้มันหยุดตรงนั้น เหมือนกับท่านทานยารักษามะเร็ง ถ้ายาที่ดีจะยับยั้งไม่ให้เซลส์มะเร็งมันขยายตัว ให้มันหยุดตรงนั้น แล้วใช้ภูมิคุ้มกันของมนุษย์ค่อยๆ ฆ่ามันไป
ยิ่งไปกว่านั้น ความเป็นธรรมชาติของผงหยาบของฟ้าทะลายโจร ยังมีกากใยไฟเบอร์ สารคลอโรฟิลล์ สีเขียว มีสังกะสี (Zinc) มี Copper (ทองแดง) ซึ่งไม่มีในสารสกัดยาแผนปัจจุบัน ท่านผู้ชมครับ สารธรรมชาติเหล่านี้เป็นแร่ธาตุและโภชนาการระดับจุลภาค เสริมสร้างการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันให้ทำงานดีขึ้นด้วย ด้วยเหตุผลนี้ ผมจึงสนับสนุนผงหยาบฟ้าทะลายโจร เพราะมีความปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ เป็นที่ประจักษ์ในการจัดการกับไวรัสในประเทศไทยมาอย่างยาวนาน
ประการที่สอง ฟ้าทะลายโจร ลดอัตราการเสียชีวิตดีกว่าโมลนูพิราเวียร์ เรื่องนี้ชัดเจนว่าข้ออ้างของบริษัท เมอร์ค แถลงว่า โมลนูพิราเวียร์ จะช่วยลดอัตราการเสียชีวิตได้ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ แต่ฟ้าทะลายโจรที่ใช้ในเรือนจำในประเทศไทย ส่งผลให้อัตราการเสียชีวิตในเรือนจำลดลงถึง 80 เปอร์เซ็นต์ เทียบกับโรงพยาบาลนอกเรือนจำที่ไม่ได้ใช้ยาฟ้าทะลายโจร และใช้ยาฟาวิพิราเวียร์แทน
ข้อที่สาม ฟ้าทะลายโจรลดอัตราความรุนแรงดีกว่าโมลนูพิราเวียร์ กระทรวงสาธารณสุขพยายามจะอ้างผลศึกษาของโมลนูพิราเวียร์ จากผู้ป่วย 775 คน ในต่างประเทศ เพื่อเตรียมใช้งบประมาณกว่า 4,600 ล้านบาท โดยอ้างผลการศึกษาว่า ผู้ป่วยที่ได้รับยาโมลนูพิราเวียร์ 7.3 เปอร์เซ็นต์ ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล เปรียบเทียบกับผู้ป่วยที่ได้รับยาหลอก 14.4 เปอร์เซ็นต์ ที่ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล และในกลุ่มทดลองไม่มีใครเสียชีวิตแม้แต่คนเดียว
ท่านผู้ชมครับ เฉพาะตัวเลขนี้แสดงให้เห็นว่าอาการ ความรุนแรง ลดจาก 14.4 เปอร์เซ็นต์ เหลือ 7.3 เปอร์เซ็นต์ แปลว่าอัตราความรุนแรงลดไป 50.7 เปอร์เซ็นต์ หรือประมาณครึ่งหนึ่ง แต่การทดสอบของกรมการแพทย์แผนไทย ได้ทดสอบฟ้าทะลายโจร 309 คนแรกแล้ว ปรากฏว่า ฟ้าทะลายโจรลดความเสี่ยงจากปอดอักเสบ หรือเชื้อลงปอด จาก 14 เปอร์เซ็นต์ ของกลุ่มคนที่ไม่ได้ใช้ เหลือความเสี่ยงปอดอักเสบเพียง 0.97 เปอร์เซ็นต์ คืออาการรุนแรงจาก 14 เปอร์เซ็นต์ เหลือ 0.97 เปอร์เซ็นต์ คิดเป็นการลดอัตราความเสี่ยงปอดอักเสบได้มากถึง 93 เปอร์เซ็นต์ เหนือกว่าการลดอัตราการป่วย 50 เปอร์เซ็นต์ ของโมลนูพิราเวียร์ได้อย่างชัดเจน และก็ไม่มีการเสียชีวิตเช่นกัน ใช้เวลา 5 วัน พอๆ กับโมลนูพิราเวียร์
ประการที่สี่ ฟ้าทะลายโจรคุ้มค่าทางเศรษฐกิจมากกว่าโมลนูพิราเวียร์ กระทรวงสาธารณสุขเตรียมเสนอซื้อยาโมลนูพิราเวียร์ให้ผู้ป่วย 200,000 คน ท่านผู้ชมครับ หากซื้อมาสำหรับผู้ป่วย 200,000 คน คนๆ หนึ่งใช้งบประมาณ 23,100 บาท ต้องใช้งบมากถึง 4,620 ล้านบาท แต่ถ้ายาฟ้าทะลายโจรแบบผงหยาบ งบประมาณที่ใช้ คนละ 100 บาท ใช้งบประมาณเพียง 20 ล้านบาท ฟ้าทะลายโจร 1 คอร์ส ถูกกว่ายาฟาวิพิราเวียร์ 60 เท่าตัว และถูกกว่ายาโมลนูพิราเวียร์ 231 เท่าตัว
ท่านผู้ชมครับ ผมสรุปให้อย่างนี้ดีกว่า ฟ้าทะลายโจร ลดอัตราการเสียชีวิตและความรุนแรงได้ดีกว่ายาฟาวิพิราเวียร์ และโมลนูพิราเวียร์ ฟ้าทะลายโจรออกฤทธิ์ในการยับยั้งโรคโควิด หลายกลไก มากกว่ายาฟาวิพิราเวียร์ และโมลนูพิราเวียร์ และฟ้าทะลายโจรมีราคาถูก เข้าถึงง่ายกว่ายาฟาวิพิราเวียร์ และโมลนูพิราเวียร์
ประเด็นที่ห้า ท่านผู้ชมครับ กบฏฟ้าทะลายโจรที่ผมเคยพูด คือคำตอบในการอยู่ร่วมกับโควิดได้โดยไม่ต้องล็อกดาวน์ ผม อาจารย์ปานเทพ คุณรสนา ตลอดจนมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน พยายามปลุกกระแสฟ้าทะลายโจรและรณรงค์ให้ผู้ป่วยทุกคนได้ใช้ยาฟ้าทะลายโจรนั้น ก็เพื่อให้ประชาชนแปลงวิกฤตเป็นโอกาส ปลดแอกจากการเป็นทาสวัคซีนและยาต่างชาติที่ปล้นเรา บนพื้นฐานความกลัวของเรา มันมาปล้นเรา มันเห็นเรากลัวก็เลยปล้น พอผมรู้ว่าเราไม่สามารถผ่านด่านอคติและผลประโยชน์ในวงการแพทย์ทุกวันนี้ได้ เพราะค่ายา ค่าคอมมิชชันเยอะแยะไปหมด ตลอดจนกระบวนทัศน์ที่เชื่อฝรั่ง เพราะฉะนั้นเรามีทางเดียวให้ประชาชนตื่นรู้ วันนี้เกิดวิวัฒนาการที่สำคัญแล้ว คือ ประชาชนส่วนมากรักษาตัวเองแล้ว
อิทธิพลของแพทย์ตะวันตก ฟ้าทะลายโจรซึ่งเป็นสมุนไพรที่ไม่มีใช้ในประเทศฉีดวัคซีน อิสราเอลไม่มี สิงคโปร์ไม่มี มาเลเซียไม่มี อเมริกาไม่มี อังกฤษไม่มี มันก็เลยเกิดผลของกบฏฟ้าทะลายโจรทั่วประเทศไทย ท่านผู้ชมสังเกตไหมว่านับตั้งแต่ฟ้าทะลายโจรไม่ขาดตลาด ตั้งแต่กลางเดือนสิงหาคม การรายงานตัวเลขผู้ป่วยติดเชื้อโควิดรายใหม่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งๆ ที่มีการคลายล็อกแล้ว
ประการแรก มีผู้ที่ได้รับฟ้าทะลายโจรแล้วหายป่วยเป็นจำนวนมาก มีการบอกต่อๆ กันไปในการใช้ยาฟ้าทะลายโจร ประชาชนมีความเชื่อมั่นในยาฟ้าทะลายโจร
ประการที่สอง ประชาชนจำนวนมากที่ตรวจเบื้องต้นอย่างเร่งด้วยชุดตรวจ ATK เมื่อตรวจพบเชื้อแล้ว ก็ต้องการจะเลือกการกักตัวอยู่ที่บ้าน และใช้ยาฟ้าทะลายโจร ส่วนใหญ่ไม่รายงานภาครัฐ เพราะทุกคนรู้หมดแล้ว บอกรัฐบาลไปเมื่อไร ต้องไปอยู่โรงพยาบาลสนาม พอไปอยู่ก็ห้ามใช้ยาฟ้าทะลายโจร ให้ใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ เขาก็เลยตัดสินใจไม่บอกพวกคุณ รัฐบาล เขาต้องการใช้ยาฟ้าทะลายโจร
ประการที่สาม มีร้านค้าและบริษัทจำนวนมาก เมื่อพบผู้ติดเชื้อ ก็ใช้วิธีให้ผู้ป่วยกักตัวเองทันที ไม่ต้องบอกภาครัฐ ใช้ฟ้าทะลายโจรในการรักษา เพราะกลัวว่าภาครัฐจะปิดกิจการ ทำให้เกิดความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจยิ่งกว่าเดิม
ประการที่สี่ มีคนจำนวนมาก เพียงแค่ป่วย ยังไม่ได้ตรวจเชื้อว่าติดเชื้อหรือเปล่า ก็ใช้ยาฟ้าทะลายโจรรักษาหายป่วยได้เป็นจำนวนมาก เนื่องด้วยโดสที่ใช้ยาฟ้าทะลายโจรระหว่างหวัดธรรมดา กับโควิด ไม่ต่างกันเลย ผงฟ้าทะลายโจร 6-12 กรัม ต่อวัน ติดต่อกัน 5 วัน
ท่านผู้ชมครับ ด้วยเหตุผลข้างต้น ยิ่งเชื่อได้ว่าปรากฏการณ์กบฏฟ้าทะลายโจรเกิดขึ้นแล้ว เป็นผลให้ตัวเลขที่โรงพยาบาลติดเชื้อน้อยลง แม้ล็อกดาวน์แล้ว ความต้องการเตียงในโรงพยาบาลลดลง แต่ที่สำคัญ ผู้เสียชีวิตลดน้อยลงอย่างต่อเนื่อง ประเทศไทยจึงโชคดีกว่าประเทศที่ได้ฉีดวัคซีน เพราะในเวลานี้ฟ้าทะลายโจรไม่ขาดตลาดแล้ว สามารถทำให้ประชาชนดูแลตัวเองได้มากขึ้น พึ่งหมอ พึ่งโรงพยาบาลน้อยลง
เบื้องหลังที่ความสำเร็จที่ผู้ป่วยไม่อยากไปโรงพยาบาล ก็คือ ฟ้าทะลายโจรนั่นล่ะ คือส่วนสำคัญ ทำให้รัฐบาลหลงดีใจกับตัวเลขผู้ติดเชื้อในโรงพยาบาลปลอมๆ ต่อไป
ท่านผู้ชมครับ และนี่ก็แปลว่าเรากำลังปรับตัวอยู่กับโควิด-19 ได้ดีกว่าเดิม ตามที่ผมประกาศไว้ว่าจะพยายามตั้งเป้าให้เราโค่นโควิดให้ได้ภายใน 150 วัน
ท่านผู้ชมลองหลับตาวาดภาพ คิดซิ ของดีมีอยู่ในมือ ไม่สนใจ งี่เง่า กราบฝรั่งเป็นพ่อ งานวิจัยของบริษัท เมอร์ค ในเรื่องของยาโมลนูพิราเวียร์ สนใจมากนัก แต่ทีงานวิจัยของฟ้าทะลายโจร ไม่สนใจอะไรเลย ไม่เคยมาลงทุนทำเพื่อพิสูจน์ พวกนี้มันโง่บัดซบ ถ้ามันเลิกอคติ เหมือนอย่างหมอยง ผมอยากจะฝากถึงท่านหน่อย ท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญ แต่ท่านไม่เข้าใจลึกซึ้ง
แทนที่ท่านจะเชียร์โมลนูพิราเวียร์ ทำไมท่านไม่เร่งให้ทุกคนที่มีอำนาจวิจัยฟ้าทะลายโจรอย่างเป็นระบบ เป็นกิจลักษณะ ทำไมหมอยง ไม่เบิกเนตรให้กว้างกว่านั้น หมอยง ลดอคติตัวเอง เอาตัวเลขคนในเรือนจำใช้ ฟทจ. แล้วหายขนาดนั้น ชาวบ้านก็หาย หมอยง ไม่เอะใจเลยหรือ มันเกิดอะไรขึ้น แล้วก็มีคนเยอะเลย ทั่วประเทศไทย ที่ผมส่งฟ้าทะลายโจรไปให้ โดยใช้มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินจัดการ หายกันเป็นแถวๆ พวกนี้ตรวจสอบได้ เอามาตรวจสอบได้ เอามาทำงานวิจัยได้
ตอนนี้เรากำลังโดนการโหมประชาสัมพันธ์ว่ายาโมลนูพิราเวียร์ป้องกันโควิดได้ ไม่ได้มีการป้องกันโควิดได้เลย มันป้องกันไม่ได้ มันก็เหมือนฟ้าทะลายโจรนั่นเอง เมื่อรู้ว่าติดก็กิน ระยะกินก็เหมือนกัน 5 วัน แต่ราคา 23,100 บาท กับ 100 กว่าบาท แล้วฟ้าทะลายโจรเป็นสมุนไพรพึ่งพาตัวเองได้ แต่ยาฝรั่งเป็นเคมี พวกหมอนี่ โดยพื้นฐานจริงๆ ฉลาด ไม่อย่างนั้นสอบเข้าหมอไม่ได้ แต่เรื่องพวกนี้ทำไมพวกคุณถึงโง่บัดซบอย่างนี้ ผมไม่เข้าใจ หรือผลประโยชน์ หรือความมีอคติ หรือความเคารพฝรั่งเป็นพ่อคุณ มันเบียดบัง บดบังสายตาคุณ
ที่สำคัญที่สุด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ ที่ไม่มีวิสัยทัศน์อะไรเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่มีจริงๆ ถ้าคิดเป็นสักนิด แหกคอกออกมา แหกกรอบออกมาแล้วคิด แบบที่ผมเสนอไป ป่านนี้ประเทศไทยสามารถจะผลิตฟ้าทะลายโจรแล้วเสนอไปที่องค์การอนามัยโลก เสนอไปประเทศต่างๆ ว่าประเทศไทยใช้ยาฟ้าทะลายโจรรักษา สำหรับผู้ที่ติดเชื้อในตอนแรก 5 วัน หาย กินไม่เกิน 80 เม็ด ต้นทุนไม่เกินร้อยกว่าบาท ให้มาเลเซียดู ให้สิงคโปร์ดู ให้อินโดนีเซียดู ให้เขาทดลอง ถ้าเขาเห็นแล้ว ประเทศไทยจะโด่งดัง ฟ้าทะลายโจรจะเป็นสินค้าส่งออก ท่านนายกฯ ทำไมท่านถึงเป็นคนที่โง่อย่างนี้ ผมนึกไม่ถึงว่าท่านโคตรโง่เลย
นั่นล่ะครับท่านผู้ชม นี่คือ Exclusive มาก ในรายการนี้ อีกหน่อยท่านผู้ชมต้องการ Exclusive แบบนี้ ท่านไม่ต้องดูที่เฟซบุ๊ก รอให้มีแอปพลิเคชันของเรามาก่อน SONDHI TALK แล้วท่านเข้าไปดูได้เลย ท่านดูจากที่อื่นไม่ได้แล้ว วันนี้เอาแค่นี้ก่อน สวัสดีครับ