xs
xsm
sm
md
lg

[คำต่อคำ] SONDHI TALK : ต๊าชช

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



วันที่ 17 ก.ย.64 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ไลฟ์สด “SONDHI TALK” ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ คุยทุกเรื่องกับสนธิ และช่องยูทูป Sondhitalk โดยสิ่งที่จะเล่าในวันนี้มีหลายเรื่องที่ต๊าชมาก กรณี 2 พส.ไลฟ์สดสอนธรรมมะถูกใจคนรุ่นใหม่แต่ไม่ถูกใจคนรุ่นเก่าเพราะอะไร? ตามกระแสน้อง LIsa (ลิซ่า)เด็กไทยที่ประสบความสำเร็จระดับโลกสะท้อนถึงการรุกทางวัฒนธรรมของทางเกาหลีเพราะอะไรเกาหลีถึงประสบความสำเร็จแต่ของไทยยังไม่ไปไหน และเด็กมหัศจรรย์วงการเทนนิสของโลกกับของไทยมีอะไรที่เหมือนกัน ติดตามได้ใน SONDHI TALK : ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง Ep.103



คำต่อคำ SONDHI TALK [17 ก.ย. 64] : ต๊าซซซ

ช่องทางการรับชมรับฟัง "คุยทุกเรื่องกับสนธิ"หรือ SONDHI TALK
เฟซบุ๊กแฟนเพจ : คุยทุกเรื่องกับสนธิ
YouTube : Sondhitalk
เว็บไซต์ : www.sondhitalk.com
Podcast หรือ podbean : SONDHI TALK


สวัสดีครับท่านผู้ชม วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2564 ก็เหมือนเช่นเคยนะครับ ทุกๆ วันศุกร์เรามาพบกัน เผอิญอาทิตย์ที่แล้วมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นนิดหน่อยกับช่องยูทูป เหตุผลก็เพราะว่ายูทูปเขาเกิดไปเจอคลิปเก่าที่พูดถึงเรื่องยาตัวหนึ่ง แล้วเขาบอกว่ามันเป็นปัญหากับนโยบายของยูทูป เขาก็เลย Strike ก็คือบล็อกช่องของเราไปเลย แต่เราก็ทำการอุทธรณ์ไปว่า คลิปนี้เป็นคลิปเก่าแล้ว และมันไม่ได้เกี่ยวข้องกับอะไร เราไม่ได้ไปฝืนนโยบาย ในที่สุดแล้วทางยูทูปก็เลยแก้ไขกลับมาให้ใช้ได้ต่อไป แต่เผอิญเราคิดว่าเราเพิ่มอีกช่องหนึ่งเป็นช่องสำรอง ใช้ชื่อว่า SONDHI TALK เช่นกัน แล้วเขาก็บอกว่ามีเงื่อนไขในการที่จะออกไลฟ์สดได้ ต้องมีคน SUBSCRIBE เข้ามา 1,000 คน เราก็แจ้งไปยังท่านผู้ชม ประเดี๋ยวเดียวเอง ไม่ถึงวัน ก็มีคนเข้ามา SUBSCRIBE ประมาณ 5,000 คน แล้ว ก็เป็นอันว่า ก็ยังถ่ายทอดสดผ่านช่องใหม่นี้ได้ แต่ช่องเก่านั้นเรายังชูเอาไว้ก่อน เพราะว่าช่องเก่ามันยังมีคลิปเก่าๆ อยู่ ท่านผู้ชมท่านใดอยากจะไปดูคลิปเก่าๆ ก็เข้าไปดูช่องเก่าได้ และเราก็รอจนกระทั่งถึงเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเดือนพฤศจิกายน นั้น จะเป็นเดือนที่เราพ้นตอนช่วงขึ้นทัณฑ์บนกับยูทูป เขาก็จะถอดเราออกหมด เท่ากับว่าเราไม่ได้ผิดอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว ค่อยกลับไปช่องเก่าอีกทีหนึ่งก็ได้


ท่านผู้ชมก็ช่วยกัน SUBSCRIBE ช่องสำรองของ SONDHI TALK ทางยูทูป เราก็ขึ้นลิงก์ให้ในช่องความเห็น แล้วยูทูปก็จะทำการถ่ายทอดสดในทางช่องสำรองนี้ไปก่อน เพราะฉะนั้นแล้วก็เลยต้องเรียนให้ท่านผู้ชมทราบนิดหนึ่ง

มันก็เป็นของมันอย่างนี้นะท่านผู้ชม เพราะว่าแพลตฟอร์มของต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นยูทูป หรือเฟซบุ๊ก เขามีเงื่อนไข กติกาของเขาเยอะแยะไปหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงของโรคระบาดนี้ เขาก็อ้างเขายึดถือกติกาขององค์การอนามัยโลก ยาอะไรก็ตามที่ไม่ได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลก ถ้าพูดไปเขาก็ถือว่าผิดกติกา ซึ่งอันนี้ก็เอาไว้วันหลังพอเรามีแอปฯ แล้ว ถ้าอยากจะฟังอะไรที่ถึงลูกถึงคน ว่าจริงๆ แล้วสิ่งที่อยากจะพูดในยูทูป กับเฟซบุ๊ก ที่พูดไม่ได้ ก็จะไปพูดในแอปฯ นั้น ซึ่งท่านผู้ชมก็จะไม่พลาดข้อมูลอีกด้านหนึ่ง ที่ในขณะนี้ต้องยอมรับว่าท่านผู้ชมฟังข้อมูลด้านเดียวที่เป็นไปตามกติกาขององค์การอนามัยโลก ซึ่งองค์การอนามัยโลกนั้น เบื้องหลังจริงๆ ก็คืออิทธิพลของบริษัทยาในโลกนี้ ที่อยู่เบื้องหลังองค์การอนามัยโลก ก็เลยเป็นที่เข้าใจกันได้

ท่านผู้ชมครับ วันนี้ก็มีเรื่องหลายๆ เรื่อง แต่ก่อนที่จะเข้าเรื่อง เรามาพูดถึงเรื่องทำบุญทำกุศลกันก่อน สัปดาห์ที่ผ่านมา ระหว่างวันที่ 13-17 กันยายน มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน และเพจรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ได้ระดมสรรพกำลังนำ ฟทจ. และขิงผง ไปมอบให้กับหน่วยงาน องค์กร และชุมชนต่างๆ จัดส่งให้โรงพยาบาลสนามที่แสดงเจตจำนงขอรับ ฟทจ. และขิงผง ส่งทั้งทางไปรษณีย์ และส่งคนลงไปแจก ขออนุญาตเอาตัวอย่างมาให้ดูก็แล้วกันนะครับท่านผู้ชม

ชุมชนเจริญสุข ต.บางปูใหม่ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ, ต.ทรายขาว อ.คลองท่อม จ.กระบี่, เทศบาลจังหวัดปทุมธานี, เรือนจำอำเภอหลังสวน จ.ชุมพร, อ.แกลง จ.ระยอง, เทศบาลหนองปรือ จ.ชลบุรี, โรงพยาบาลชลบุรี เป็นต้น


นอกจากนั้นแล้ว เรายังได้ประสานงานกับโรงพยาบาลหลายโรงพยาบาลที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และอีกหลายโรงพยาบาล เริ่มอาทิตย์หน้า เราจะเริ่มส่งเครื่องช่วยหายใจที่เราเรียกว่า High Flow เครื่องละประมาณ 2 แสนบาท ส่งไปให้โรงพยาบาลที่ขาดแคลน และจำเป็นต้องมีเครื่องนี้เอาไว้ช่วยชีวิตคน เพราะว่าคนที่ติดเชื้อโรคระบาดลงปอดไปแล้วจะมีปัญหาในเรื่องการหายใจ และเครื่องนี้จะช่วยชีวิตเขาได้ ถ้าเขาใช้สักพักหนึ่งอาการเขาน่าจะดีขึ้นกว่าเก่าและหายเป็นปกติ

เอาไว้ให้เรียบร้อยก่อน แต่ว่าตอนนี้เริ่มมีหลายโรงพยาบาลที่ต่างจังหวัดแจ้งเจตจำนงมาแล้ว แล้วเดี๋ยวเราจะเล่าให้ฟัง ตอนนี้เตรียมไว้แล้วประมาณสิบกว่าเครื่อง เครื่องละ 2 แสนบาท ทุกบาททุกสตางค์มาจากเงินบริจาคของท่านผู้ชมทั้งสิ้น ท่านผู้ชมครับ ขอให้อานิสงส์ในการบริจาคเงินมาให้กับมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน ที่ช่วยชีวิตคน ทั้งยา ฟทจ. ขิงผง และเครื่องช่วยหายใจนั้น จงดลบันดาลให้ท่านผู้ชมทุกท่าน ไม่ว่าท่านจะบริจาคด้วยเงินเท่าไรก็ตาม มีอานิสงส์ สุขภาพแข็งแรง ครอบครัวเป็นสุข หวังสิ่งใด ประสงค์สิ่งใด ก็ขอให้สมหวังและสมประสงค์ในสิ่งต่างๆ เหล่านั้น และขอให้มีความเจริญก้าวหน้า ทั้งหน้าที่การงาน และขอให้เจริญก้าวหน้าทั้งชีวิตส่วนตัว และมีความสุข มีครอบครัวที่อบอุ่น

โรงพยาบาลที่เราจะแจกไปนั้น ทุกโรงพยาบาลจะเป็นโรงพยาบาลต่างจังหวัด ซึ่งเป็นสถานที่ที่น่าเห็นใจมาก เพราะว่างบประมาณก็ไม่มี ส่วนกลางนั้นจะสนใจเฉพาะโรงพยาบาลในจังหวัดใหญ่ๆ โรงพยาบาล หรือสำนักงานสาธารณสุข มีหลายแห่งที่ไม่มีข้าวของเลยแม้แต่นิดเดียว อยู่กันแบบประทังตายไป น่าสงสารประชาชนมาก


เราเตรียมที่จะบริจาคไป 10 เครื่อง ส่วนที่เหลืออีก 4 เครื่อง ก็อยู่ในระหว่างการประสานงานดำเนินการบริจาคกันต่อไป นี่คือล่าสุดที่เล่าให้ฟัง เราแจก ฟทจ. ไปแล้ว 280,000 กระปุก เกือบๆ 3 แสนกระปุก เกือบๆ 30 ล้านเม็ด แล้ว ซึ่งเป็นการแจก ฟทจ. ที่ใหญ่ที่สุด ไม่เคยมีมาก่อนในประเทศไทย และเราก็ทำหน้าที่นี้ได้เพราะผู้ท่านผู้ชมได้ร่วมทำบุญกับพวกเรา ทั้งหมด 22.4 ล้านเม็ด แจกไปแล้ว 22.4 ล้านเม็ด ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ ครับท่านผู้ชม เพราะฉะนั้นแล้ว ช่วยมารับกุศลผลบุญนี้ไปด้วยครับ

ท่านผู้ชมครับ อาทิตย์นี้มีอยู่หลายเรื่องที่ผมอยากจะพูดให้ฟัง ท่านผู้ชมอาจจะงงนิดหน่อยจากการเห็นโปสเตอร์โฆษณาของเรา ความจริงแล้วอาทิตย์นี้จะเป็นเรื่องราวของบุคคลต่างๆ ที่เป็นข่าวคราวขึ้นมาในอาทิตย์ที่ผ่านมานี้ ไม่ว่าจะเป็นท่านพระมหาไพรวัลย์ และท่านพระมหาสมปอง หรือภาษาวัยรุ่น พวกที่เป็นแครอท ผมมีความเห็นของผม ซึ่งท่านผู้ชมอาจจะไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยก็ได้ แต่ว่าผมจะใช้ตรรกะ เหตุผล และหลักทางธรรมเข้ามาอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

นอกจากนี้ ก็ยังมีติ่งเอาไว้นิดหนึ่ง เพราะว่ามีคอมเมนต์เข้ามาชิ้นหนึ่ง เป็นสุภาพสตรี ท่านก็เป็นห่วงเป็นใย ท่านบอกว่า ถ้าไม่มี 3 ป. แล้ว ทั้งประยุทธ์ ทั้งป้อม ทั้งป๊อก แล้วจะมีใครลุกขึ้นมาเพื่อต่อต้านขบวนการล้มเจ้า ผมก็คิดว่าเรื่องนี้เป็นตรรกะที่ผิดเพี้ยน ผมเลยจำเป็นต้องเอาเรื่องนี้มาอธิบายความ มิได้มีเจตนาที่จะไปต่อต้านความคิดเห็นของท่าน แต่ผมอยากให้ท่านมองอีกมุมหนึ่งว่าจริงๆ แล้วสถาบันกษัตริย์จะมั่นคงได้เพราะอะไร

อีกเรื่องหนึ่งจะไม่พูดก็ไม่ได้ เป็นเรื่องของบุคคลทั้งสิ้น คือเรื่องของน้องลิซ่า ลลิษา มโนบาล ซึ่งทุกท่านคงทราบอยู่แล้ว ผมเพียงแต่ต้องการจะเอามิติอธิบายความให้ฟังถึงความมุ่งมั่นของคน ท่านผู้ชมครับ ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล อายุแค่ 24 ปี สิบสี่ปีที่เขาต้องไปใช้ชีวิตในประเทศที่เขาพูดภาษาประเทศนั้นไม่ได้ ทำงานวันละ 16 ชั่วโมง ไม่หยุดเลย แค่ความรู้สึกนึกคิดแค่นี้ แค่การกระทำแค่นี้ ก็เอาใจผมไปได้ 100 เปอร์เซ็นต์ แล้ว แต่ยังมีอีกหลายมิติที่ผมจะพยายามอธิบายให้ฟัง ผมจะชี้ให้ดู นอกจากเรื่องของน้องลิซ่า แล้ว ยังโยงไปถึงขบวนการแนวรุกทางวัฒนธรรมที่ประเทศเกาหลีได้ใช้ออกมา ทั้งๆ ที่ประเทศเกาหลีเป็นประเทศที่ไม่มีอะไรเลย ไม่มีจริงๆ มีเด่นอยู่อย่างเดียวก็คือ ศัลยกรรม เกาหลีสร้าง K-POP ขึ้นมา แล้วก็เลยสร้างวัฒนธรรมอาหารเกาหลีให้เป็นที่โด่งดัง ทุกอย่างนี้ทำผ่านแนวรบทางวัฒนธรรมทั้งสิ้น และผมก็ยังโยงไปถึงประเทศจีนให้ดูด้วย ว่าประเทศจีนเขาสร้างแนวรบทางวัฒนธรรมที่ออกไปสู่โลกนี้อย่างไร ท่านผู้ชมครับ แล้วผมก็จะชี้ให้ดูว่า ประเทศไทยเรา เป็นอย่างไร

อีกเรื่องหนึ่งก็เป็นเรื่องตัวบุคคลเหมือนกัน อาทิตย์นี้เป็นเรื่องของคนใจสู้ คนมุมานะ คนรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร คือเรื่องของน้องเอ็มมา ราดูคานู (Emma Raducanu) เป็นนักเทนนิสชาวอังกฤษ วัย 18 ปี เขามหัศจรรย์มากในการคว้าแชมป์ยูเอสโอเพ่นได้ และเป็นชัยชนะในการแข่งสำหรับนักเทนนิสที่อายุน้อย ที่สำคัญ คุณพ่อเขาเป็นชาวโรมาเนีย และคุณแม่เป็นชาวจีนที่มาจากมณฑลเสิ่นหยาง เรามาดูซิว่า เอ็มมา หรือลลิษา ใช้ชีวิตอย่างไร มุ่งมั่นอย่างไร จึงเดินมาถึงวันนี้ได้ แล้วผมก็มีกรณีพิเศษกรณีหนึ่งที่ผมจะเล่าให้ฟัง เป็นเรื่องใหม่ ท่านผู้ชมไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย คือ น้องพลอยเพชร เดี๋ยวติดตามรายการนี้มาแล้วท่านผู้ชมจะเข้าใจสิ่งที่ผมพูด


ท่านผู้ชมครับ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว วันศุกร์ที่ 10 กันยายน 2564 มีท่านผู้ชมมากมายส่งข้อความมา อยากให้ผมพูดและออกความเห็นกรณีที่มีพระ 2 รูป คือ พระมหาสมปอง กับ พระมหาไพรวัลย์ ที่ออกมาไลฟ์สด มีท่านผู้ชมเข้าไปชมถล่มทลายหลายแสนคนพร้อมกัน ท่านผู้ชมครับ การเทศน์ผ่านเฟซบุ๊กของทั้งสององค์ ก็คือพระมหาไพรวัลย์ กับพระมหาสมปอง นั้น ก็เป็นบริบทที่ทำให้วงการสงฆ์ต้องตื่นตัวกันอย่างมาก แล้วก็มีความเห็นกันหลากหลาย ฝั่งหนึ่งคือจะเปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะสังคม ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่าพวกเสรีนิยม คือ Liberal คืออะไรก็ได้ ไม่เป็นไร ไม่ว่ากัน อีกฝั่งหนึ่งคือยึดมั่น ไม่อยากให้มีการเปลี่ยนแปลง คือ Conservative หลายๆ คนในวงการ หรือคนที่ไม่ชอบขี้หน้าผม จะบอกว่าผมเป็นฝั่งที่หัวโบราณ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง อะไรที่เคยมีมาก็มีต่อไป ไม่ยอมให้เปลี่ยน อันนี้เป็นความคิดที่ผิด จริงๆ แล้วตัวผมเองไม่เคยว่าตัวเองต้องปักใจไว้ ไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ หรือต้องเปลี่ยนแปลงไปทุกเรื่อง ผมจะดูน้ำหนักของเรื่องราวว่าอันนี้สมเหตุสมผลไหม ถ้าสมเหตุสมผล ไม่มีเหตุผลอะไรที่เราจะต้องเปลี่ยนแปลงไป หรืออีกนัยหนึ่ง คนเขาบอกว่าสมองฝั่งซ้าย สมองฝั่งขวา ฝั่งซ้ายหรือฝั่งขวา ฝั่งใดฝั่งหนึ่ง คือสมองแห่งความมีเหตุผล ฝั่งขวาก็คือสมองแห่งความมีอารมณ์ คำถามก็คือ มีคนเขาบอกว่าเวลาคุณเจอปัญหาขึ้นมา หรือเวลาคุณเจอผู้หญิงคนหนึ่ง สวยมาก อยากได้มาเป็นแฟน คุณจะใช้ฝั่งที่มีเหตุผลวิเคราะห์ หรือคุณจะใช้ฝั่งที่มีอารมณ์วิเคราะห์ ถ้าฝั่้งที่เป็นอารมณ์ ก็จะบอกว่าผมอยากได้ผู้หญิงคนนี้เป็นแฟน เสียเท่าไรเสียกัน ไม่ว่ากัน ยอม อดหลับอดนอน ไปเฝ้าเธอ ว่าเธอไปไหนก็ตาม ไปเจอ หาทางที่จะไปเจอเธอให้ได้ เสียเงินเสียทอง เธอขออะไรก็ให้ อีกฝั่งหนึ่งที่มีเหตุผล ก็จะบอกว่า เฮ้ย ลำพังตัวเองยังไม่มีปัญญาเลี้ยงตัวเองได้เลย แล้วจะไปหาเรื่องใส่ตัวทำไม

มีคนถามผมอย่างนี้มาหลายครั้ง แม้กระทั่งลูกหลานผม หลานๆ ผมหลายคนถาม ลุง อา เอาอย่างไรดี ผมชอบผู้หญิงคนนี้ หนูชอบผู้ชายคนนี้ เขามาจีบหนู ผมบอกว่า เรื่องบางเรื่องใช้ฝั่งใดฝั่งหนึ่งเป็นตัวตัดสิน คงไม่ได้ คงต้องใช้ระบบไฮบริด เรื่องนี้ใช้เหตุผล เรื่องเดียวกัน แต่อีกประเด็นหนึ่ง ก็ต้องใช้อารมณ์ คุณคิดว่าคุณรักเขา และเขารักคุณ โอเค นั่นคืออารมณ์ ไม่สนแล้ว แต่หยุดสักนิดหนึ่ง ใช้เหตุผลเข้ามาคิด ว่าคุณพร้อมหรือยังที่จะไปรักเขา เพราะฉะนั้นแล้ว อะไรจะไปสุดโต่งทางใดทางหนึ่งโดยที่ไม่ฟังอีกฝ่ายหนึ่ง คงไม่ได้

ท่านผู้ชมครับ วันที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2564 กลายเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ สำหรับการไลฟ์สดของ 2 พส. หรือ 2 พระสงฆ์ คือ พระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต และพระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ จากวัดสร้อยทอง ทั้งหมดเป็นนักเทศน์ชื่อดัง ขวัญใจชาวโซเชียลจากวัดสร้อยทอง พระอารามหลวง เป็นกระแสโด่งดังในโลกออนไลน์ในช่วงค่ำ มีคนเข้ามาชมพร้อมกัน 2 แสนคน


การไลฟ์สดธรรมะของพระมหาทั้งสององค์นั้น เป็นการให้ข้อคิดต่างๆ โดยใช้ความบันเทิงเป็นหลัก มีการใช้ความบันเทิง ก็คือพูดง่ายๆ ว่า เป็นไปตามยุคสมัย ใช้คำศัพท์ วลีวัยรุ่นในปัจจุบันมาใช้ ทำให้ถูกใจวัยรุ่น เพราะเป็นการฟังธรรมที่สนุกสนาน ไม่น่าเบื่อ ยกตัวอย่างคำศัพท์นะครับ อย่างเช่น "พส." หมายถึง พระสงฆ์ก็ได้ เพื่อนสาวก็ได้ พี่สาวก็ได้ มีการใช้คำว่า "แครอท" กับ "เดรสส้ม" หมายถึง พระสงฆ์ เพราะแครอทมีสีส้ม "สภาพพพ" วลีติดปากของ พส. ซึ่งในการใช้งานสามารถใช้ได้ทั้งเชิงพูดคุย ขำขัน ผ่อนคลาย มีความหมายสะท้อนอาการปลง ไม่เห็นด้วย เหมือนกับคราวที่แล้วที่เราทำโปสเตอร์เชียร์รายการของเรา ที่เราเอารูปของ 3 ป. มาขึ้น แล้วเราเขียนว่า "สภาพพพ" ก็คือ ปลง "ไหว้สา" ก็คือ ไหว้ สาธุ ใช้แสดงความเคารพซึ่งกันและกัน มีศัพท์วัยรุ่น "ต้มเล้ง" หมายถึง ไม่ดี ไม่เริ่ด "ต๊าซ" หมายถึง ที่สุด ชอบมาก "เอาปากกามาวง" หมายถึง ไม่สวยตรงไหน บอก

ท่านผู้ชมครับ ปกติธรรมดาแล้วถ้ามีคนเชียร์ ก็ต้องมีคนต่อต้าน ในเวลาต่อมาก็มีคนเข้ามาวิพากษ์วิจารณ์ว่า การเทศน์ดังกล่าวของสองพระมหานั้นไม่เหมาะสมกับสถานะ หรือพฤติกรรมที่ควรจะเป็นของพระสงฆ์ ไม่ว่าจะเป็นการใช้คำพูด การหัวเราะอย่างไม่สำรวม รวมไปถึงการเปิดเผยบัญชีการรับบริจาคเมื่อผู้รับชมโอนเงินเข้ามา เป็นต้น


อย่างไรก็ตาม พระมหาไพรวัลย์ ท่านก็ให้เหตุผลถึงการไลฟ์สดสอดแทรกธรรมะ ท่านพูดง่ายๆ โดยสรุปก็คือว่า ไม่ตลกก็ได้ แต่ท่านกำลังบอกว่าอยากจะให้ธรรมะก้าวเข้าไปสู่คนรุ่นใหม่ ตอนนี้เขาเบื่อแล้ว เขาไม่เอาศาสนา พอเรามาขำ เป็นกันเอง เขาจะรู้สึกว่าศาสนาไม่ใช่เรื่องที่เข้าถึงยาก พระคุยได้ เฮฮาได้ ซึ่งนี่ก็เป็นจริง คงปฏิเสธไม่ได้ เพราะคนรุ่นใหม่ตอนนี้ไม่สนใจศาสนาเลย ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทยนะครับ ต่างประเทศเดี๋ยวนี้กลายเป็นคนที่ไม่ยึดถือศาสนาอะไรเลย เริ่มมีมากขึ้นๆ หลายๆ คนให้เหตุผลที่ธรรมดาปกติ สามัญที่สุด ก็คือ ผมจะไปนับถือทำไม ผมกราบไหว้พระทุกวัน นั่งภาวนา ขอให้ผมมีโชคมีลาภ ปรากฏว่าผมกราบไหว้มาตั้ง 5-6 ปี ผมไม่เคยได้โชคได้ลาภสักครั้ง ผมจะกราบไปทำไม คนที่พูดอย่างนั้น พูดอีกก็ถูกอีก แต่ถ้าวิเคราะห์ลงไปลึกๆ แล้ว พระพุทธศาสนาท่านไม่ได้ให้ท่านไปกราบ ให้พวกเราไปกราบไหว้พระเพื่อจะขอโชคลาภ ท่านให้ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ระลึกถึงคุณค่าของพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะพระพุทธเจ้าพระองค์ท่านตรัสอย่างชัดเจนว่า ไม่ต้องมาบูชาวัตถุ ให้บูชาธรรมะ เพราะธรรมะเป็นเรื่องที่ไม่ตาย เพราะว่าพระพุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์

ท่านพระมหาไพรวัลย์ ก็สรุปว่า "สิ่งสำคัญที่สุดของศาสนาคือ เราจะทำอย่างไรให้ได้สอนเขาแบบไม่ให้เขารู้สึกว่าถูกสอน คนสมัยใหม่แอนตี้ศาสนา เพราะศาสนาสอนอย่างเดียว และสอนเชิงบังคับ ชี้ถูกผิด แต่ถ้าเราเป็นเพื่อนเขา คุยกับเขาได้ แล้วให้เขาคิดด้วยตัวเองแบบที่เราไม่ได้สอน คนจะชอบ"

ท่านผู้ชมครับ พระมหาไพรวัลย์ พูดก็มีเหตุมีผล ก่อนที่จะพูดต่อไป เรามาดูก่อนว่าพระมหาสมปอง กับพระมหาไพรวัลย์ เป็นใคร


เรามาเริ่มด้วยพระมหาสมปอง ก่อน ท่านเป็นพระลูกวัดสร้อยทอง ฉายา ตาลุปุตฺโต แปลว่า บุตรของนางตาล มารดาของท่านนามสกุลเดิม นครไธสง ท่านอายุแค่ 43 ปี อยู่ชัยภูมิ ท่านเป็นคนที่เรียนหนังสือเก่ง บวชเป็นพระ ศึกษาพระปริยัติธรรมจนสอบเปรียญธรรมได้ 7 ประโยค ปริญญาตรีพุทธศาสนบัณฑิต เอกปรัชญา เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง จากมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย ปริญญาเอกปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาการบริหารพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ มหาวิทยาลัยปทุมธานี ปริญญาเอกรัฐประศาสนศาสตร์ ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ พระอาจาย์สมปอง มีชื่อเสียงมาก ท่านเป็นนักวิทยากร เป็นนักเทศน์ เดินสายเผยแผ่ธรรมะ สอดแทรกมุกตลก เข้าถึงผู้ชมได้หลายวัย ท่านเป็นคนที่บรรยายในรายการ "ธรรมะเดลิเวอรี่" และ "หลวงพี่มาแล้ว" ออกอากาศทางโทรทัศน์ช่อง 3


ส่วนพระมหาไพรวัลย์ ปัจจุบันท่านก็เป็นพระลูกวัดสร้อยทอง ที่เดียวกัน แต่อายุน้อยกว่าพอสมควร อายุเพิ่งจะ 29 ปี 11 เดือน ตีว่า 30 ก็แล้วกัน อ่อนกว่าพระมหาสมปอง 13 ปี ท่านเก่ง ท่านอุปสมบทเป็นนาคหลวง ปัจจุบันท่านเป็นอาจารย์ที่โรงเรียนวัดสร้อยทอง และวิทยาลัยเทคโนโลยีวิมลบริหารธุรกิจ ท่านบรรพชาเป็นพระตั้งแต่จบ ป.6 เป็นสามเณร จ.สุโขทัย ท่านเรียนนักธรรมและบาลีจนอายุ 18 จบเปรียญธรรม 7 ประโยค และได้รับคำแนะนำให้เข้าเรียนต่อที่วัดสร้อยทอง จนจบนักธรรมเอก และเปรียญธรรม 9 ประโยค ท่านเป็นสามเณรเปรียญธรรม 9 ประโยค รูปแรกของ จ.สุโขทัย อายุท่านแค่ 20 ปีเอง ได้รับพระมหากรุณาธิคุณอุปสมบทเป็นนาคหลวง และจำพรรษาที่วัดสร้อยทอง เรื่อยมาจนปัจจุบัน ท่านเรียนหนังสือมาเพิ่มเติม ได้ปริญญาโทพุทธศาสน มจร. นิติศาสตร์ ม.รามคำแหง ท่านศึกษาปริญญาเอกสาขาวิชาสันติศึกษา ที่มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย ท่านเป็นพระนักเทศน์ นักเขียน อาจารย์สอนโรงเรียนวัดสร้อยทอง และวิทยาลัยเทคโนโลยีวิมลบริหารธุรกิจ เผยแผ่ธรรมะให้เข้าใจง่าย สนุกสนาน ท่านเข้าถึงกลุ่มเยาวรุ่น มีแนวคิดทันสมัย เข้าใจโลก

ท่านผู้ชมครับ สรุปง่ายๆ ทั้งพระมหาสมปอง และพระมหาไพรวัลย์ ท่านเป็นพระรุ่นใหม่ที่มีการศึกษา ศึกษาธรรมมาอย่างลึกซึ้ง เป็นถึงนักธรรมเอก อย่างน้อยก็เปรียญ 7 ประโยค และพระมหาไพรวัลย์ เปรียญ 9 ประโยค หลายคนก็มองว่าพระมหาไพรวัลย์ นั้นเป็นพวกเสื้อแดง เป็นพระเสื้อแดง ซึ่งผมเฉยๆ เพราะว่าสิ่งที่ผมเคยฟังพระมหาไพรวัลย์ ท่านพูด ท่านพูดบนหลักธรรม และผมเชื่อว่าจะเสื้อแดง เสื้อเหลือง เสื้อฟ้า เสื้อน้ำเงิน เสื้ออะไรก็ตาม ธรรมะพระพุทธเจ้าเข้าได้หมดทุกเสื้อสี ขอให้เป็นธรรมที่แท้จริง

ตัวผมเองมีความเห็นกับ พส. รุ่นใหม่ทั้ง 2 รูป อย่างนี้ครับ ผมเป็นลูกศิษย์หลวงตามหาบัว ท่านเป็นคนที่เน้นในเรื่องของพระธรรมวินัย


ท่านเป็นคนที่เน้นในเรื่องของพระธรรมคำสั่งสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ในขณะซึ่งท่านเป็นคนที่เข้มงวด ท่านไม่ได้เข้มงวดอะไรมากมายนักกับการปฏิบัติตน แต่ท่านเข้มงวดกับการภาวนา คือขอให้คุณเป็นพระที่เน้นภาวนา ท่านพูดว่า การภาวนาแล้วในที่สุดทุกอย่างมันจะเข้ารูปเข้ารอยของมันหมด ผมจำได้ว่าหลวงตามหาบัว กับพระที่เป็นลูกศิษย์ของท่าน ไม่ว่าจะอยู่ที่วัดป่าบ้านตาด หรือพระ หลวงตา หลวงปู่ทั้งหลาย ที่ออกไปจำวัดที่อื่น ที่เป็นลูกศิษย์ท่าน เป็นหลวงปู่ หลวงตาที่อื่น กลับเข้ามากราบเยี่ยมเยียนท่านแล้ว หลายๆ ครั้งผมเห็นหลวงตามหาบัว ท่านดุหลวงปู่ หลวงตาต่างๆ เหล่านั้น ดุอย่างกับเด็กเลย ท่านทำไปทำไม เรื่องนี้ท่านผิดรู้ไหม ท่านไม่ควรทำ ท่านนั่งสมาธิ ท่านจะตายในสมาธิหรือ ท่านรู้จักใช้ปัญญาบ้างเวลานั่งสมาธิ นั่นคือกับพระซึ่งเป็นลูกศิษย์ท่าน กับผม ซึ่งเป็นลูกศิษย์ฆราวาส ท่านก็ดุ

เวลาผมไปกราบท่าน ท่านก็มองหน้าผม แล้วท่านก็บอก มีอะไร ท่านพูดสั้นๆ แค่นี้ ไหนเล่าให้ฟังซิ ทำอะไรอยู่ ผมก็เล่าให้ท่านฟังว่าผมทำนี่ ทำโน่น อะไรที่ท่านไม่เห็นด้วย


ท่านก็จะบอกว่า ทำไปทำไม ถ้าท่านทักว่าทำไปทำไมแล้ว สิ่งที่เราทำ เราต้องหยุด เพราะท่านรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าว่าอะไรจะเกิดขึ้น ท่านถามว่า ทำไปทำไม แต่ถ้าท่านเห็นด้วย พอเล่าไปเรื่อยๆ ท่านก็จะบอก เออ คำว่า "เออ" ก็คือสาธุๆ นั่นเอง ที่ผมจะเล่าเรื่องของหลวงตามหาบัว ก็คือว่า ท่านมีลูกศิษย์คนหนึ่งเสียชีวิตไปแล้ว เขาเรียกว่า คุณหลวง ลูกศิษย์คนนี้เป็นเจ้าของร้านจิตรโภชนา ลูกศิษย์คนนี้ ชื่อ อู๊ด เคยบวชกับท่าน ท่านจะใช้จริตของท่านจับจริตของคุณอู๊ด ลูกชายเจ้าของจิตรโภชนา แล้วท่านก็จะพูดจาตลกขบขันกับอู๊ด ในขณะซึ่งท่านเข้มงวดกับผมมาก ดุ ท่านเข้มงวดกับพระลูกวัดของท่านมาก ทำไมไม่ภาวนา ปล่อยตัวเองอยู่เฉยๆ มัวแต่นอนหลับ แต่กับอู๊ด ท่านจะตลก ปรากฏว่า เรื่องของเรื่องคือท่านใช้จิตจับว่าคนๆ นี้ชอบทางนี้ เมื่อชอบทางนี้แล้ว เมื่อจะสอนธรรมะเขา ก็ต้องไปทางนี้ ให้เขาขำขัน แล้วก็สอดแทรกเข้าไป

ก็ไม่ได้ต่างไปกว่าคำพูดของพระมหาไพรวัลย์ ที่บอก ว่าเวลาคุยกับวัยรุ่น วัยรุ่นต้องการเพื่อน ไม่ต้องการให้มาสอนเขา แต่พอเขารู้สึกใกล้ชิดสนิทสนมกับเรา เขากล้าพอที่จะพูดเรื่องหลายเรื่อง หรือเขากล้าพอที่จะฟังเราไปเรื่อยๆ แล้วตอนนั้นก็สอดแทรกธรรมะเข้าไปด้วย


ท่านผู้ชมครับ ตรงนี้ต่างหากที่ผมจะมีจุดยืนที่ชัดเจนว่า ผมไม่ได้คัดค้านอะไรกับสิ่งที่พระมหาไพรวัลย์ กับพระมหาสมปอง ทำ ส่วนเรื่องการบริจาคนั้นก็เป็นเรื่องปกติธรรมดา เวลาเราไปกราบพระกราบเจ้า เราก็บริจาคถวายปัจจัย ถ้าเป็นสายมหานิกายก็ถวายเงินสดๆ ให้ท่านได้ ถ้าเป็นสายธรรมยุต ก็ต้องเอาเงินสดนั้นเขียนลงในใบปวารณาว่า นายสนธิ ลิ้มทองกุล บริจาคให้เท่าไร 1,000 บาท 2,000 บาท 3,000 บาท แล้วก็เอาเงินสดนั้นมอบให้กับลูกศิษย์ของท่าน เพราะพระสายธรรมยุตจะไม่ถือเงิน แล้วก็เอาใบปวารณานั้นมอบให้ท่านไป ท่านจะได้รู้ อุปมาอุปไมยเหมือนกับท่านจะได้เช็กได้ว่า โยมสนธิ ให้มา 5,000 บาท พอตกเย็นลูกศิษย์วัดเข้ามากราบท่าน เงิน 5,000 ยังอยู่ใช่ไหม ถ้ามันบอกมีอยู่ 3,000 อ้าว ทำไมเขาบริจาคมา 5,000 ก็คือพูดง่ายๆ ว่าเป็นการเช็กกันไปเช็กกันมา

ท่านผู้ชมครับ หลักสำคัญของพระพุทธศาสนา ซึ่งผมไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญ ไม่ได้เป็นเปรียญ 9 ประโยค หรือไม่ได้เป็นอย่างหลายคนที่พยายามนั่งธรรมาสน์มาเทศน์ ว่าพระมหาสมปอง ผิด พระมหาไพรวัลย์ ผิด ไม่สำรวม ผมคิดว่าถ้าหลวงตามหาบัว ท่านนั่งหัวเราะกับโยมอู๊ดได้ การที่พระมหาสมปอง กับพระมหาไพรวัลย์ จะนั่งหัวเราะเอิ๊กอ๊าก เฮฮา สนุกสนาน กับคนที่มาฟังไลฟ์สดได้ ผมคิดว่าไม่มีอะไรผิดปกติ ท่านผู้ชมครับ ท่านผู้ชมจำคำพูดว่า "หลักอนิจจัง" ได้ไหม "ทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลง" สภาวะสังคมมันเปลี่ยนไป เราจะทำอย่างไรให้คนเข้ามาหาเรา ในแก่นแท้ที่เราต้องการจะแสดงออก ก็คือว่า ธรรมของพระพุทธเจ้า เราก็ต้องหาวิธีการ

ผมคิดว่าเรื่องของพระมหาสมปอง กับพระมหาไพรวัลย์ นั้น ก็เป็นหนึ่งในวิธีการ อย่างน้อยที่สุด ระหว่างคนเข้ามาฟัง ดูไลฟ์สด 2 แสนคน กับคนที่ไปฟังพระมหาบางท่านเทศน์อยู่ในอุโบสถ ท่านพูดถึงพระไตรปิฎกบางตอน ท่านพูดถึงเมืองไพสาลี ท่านพูดถึงคาถารัตนสูตร ที่เมืองไพสาลีนั้นมีห่ามาลงเมือง มีโรคระบาด มีอมนุษย์ มีผี ปีศาจร้าย พระพุทธเจ้าก็เลยมอบให้พระอานนท์ เอาคาถารัตนสูตร ไปสวดมนต์ ทำน้ำมนต์ แล้วก็พรมไป นั่นคือส่วนหนึ่งของพระไตรปิฎก แล้วก็เป็นส่วนหนึ่งของที่มาของคาถาพระรัตนสูตร

แต่ถ้ามาทางพระมหาไพรวัลย์ กับพระมหาสมปอง ก็อาจจะไม่ได้พูดในแนวนี้ แต่พูดในแนวที่เป็นเรื่องราวที่สนุกสนาน ตื่นเต้น ท่านอาจจะยกตัวอย่างประเทศไทยทุกวันนี้ โรคระบาดที่ระบาดลงมา ยาที่รักษาไม่ได้ ที่ฉีดมาก็มีปัญหา อะไรก็ตาม อะไรทำนองนี้ ท่านก็โยงกลับไปถึงคาถารัตนสูตรได้ว่า คาถารัตนสูตร เป็นคาถาที่ไล่โรคระบาดได้ สมัยก่อนเขามีการทำแบบนี้ ผมก็คิดว่าเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ตำหนิไม่ได้ ท่านผู้ชมครับ สมัยหนึ่งผมเดินทางไปต่างประเทศ แล้วผมเจอพระภิกษุสงฆ์ที่ไปจาริกบุญ แล้วก็ไปจำวัดที่ต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นสายหลวงปู่มั่น หรือสายใดก็ตาม บางคนไปอยู่อังกฤษ บางคนไปอยู่อเมริกา มีหลวงปู่ณรงค์ ซึ่งอยู่ที่อุดรธานี เป็นลูกศิษย์หลวงตามหาบัว ท่านก็ไปจำวัดอยู่ที่เมืองโคโลราโด


โคโลราโด เป็นเมืองที่อยู่ในเทือกเขาร็อกกี เย็นเฉียบ หิมะตกหนัก ถามว่าในวันที่หิมะตกหนัก ท่านเดินออกบิณฑบาต ท่านใส่หมวกไหมพรมป้องกันศีรษะของท่านซึ่งโกนไว้ ผิดพระธรรมวินัยไหม หลายคนที่เข้มงวดก็บอกว่าผิด ไม่ควร นอกจากนั้นแล้วท่านยังใส่ถุงเท้า ใส่รองเท้าบู๊ต เดินระหว่างหิมะตก ก็บอกว่าพระต้องเดินเท้าเปล่าเวลาบิณฑบาต ผมคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่เกินกว่าความเข้าใจของเรา สภาวะไงครับ จะให้พระเดินเท้าเปล่า เดินไปบิณฑบาตท่ามกลางหิมะตก หรือให้หิมะตกลงมาบนศีรษะอันโล้นเลี่ยนของท่าน ท่านก็เป็นหวัด เผลอๆ จะเป็นปอดบวมตายเอาเสียด้วยซ้ำ


มิหนำซ้ำแล้ว ท่านผู้ชมครับ พระไทยที่ไปจำวัดในบางแห่ง วัดอยู่ไกลจากชุมชน จะหาซื้อปัจจัยอะไรมาเข้าวัด จะให้พระมายืนโบกมือก็ไม่ได้ วัดบางวัด มัคนายกก็ไม่มี พระก็ทำด้วยตัวเอง ซ่อมหลังคาด้วยตัวเอง เครื่องทำความร้อนเสีย ก็ทำด้วยตัวเอง เพราะฉะนั้นในวัดก็จะมีรถปิกอัพคันหนึ่งเก่าๆ ที่ญาติโยมบริจาคให้ เราก็จะเห็นพระหลายวัดในต่างประเทศที่ขับรถปิกอัพ ใส่หมวกไหมพรม ใส่รองเท้าบู๊ต แล้วขับเข้าไปในเมืองเล็กๆ เพื่อไปซื้อข้าวซื้อของ ซื้อขนมปังบ้าง ซื้อแยมบ้าง ซื้อผงซักฟอกบ้าง ถามว่าผิดพระธรรมวินัยไหม ? ผิดแน่นอน เพราะว่าพระเขาไม่ให้ขับรถ แต่จำเป็นต้องทำไหม ? จำเป็นต้องทำ ผมก็เลยคิดว่า ทุกอย่าง แม้กระทั่งพระธรรมวินัย ก็ยังต้องมีข้อยกเว้น

ท่านผู้ชมครับ คำว่าธรรมะ ตราบใดที่มีแก่นแท้ยังอยู่ อาจจะหุ้มด้วยบางอย่างที่เรามองว่าพระองค์นี้เพี้ยน เช่น อากาศหนาว แล้วใส่หมวกไหมพรม หรือว่าหิมะตก ใส่รองเท้าบู๊ต ขับรถปิกอัพ บางครั้งก็หุ้มด้วยความตลกขบขัน แต่ท่านผู้ชมครับ ในที่สุดแล้วเราต้องมาดูผลของมันตอนจบ ตอนสุดท้าย คือมันจบที่ธรรมะ เรื่องแบบนี้จะมองดูมุมใด ด้านบวกก็ต้องถือว่าเป็นการเผยแผ่ธรรมะอีกรูปหนึ่งในยุคสังคมออนไลน์ ยุคที่คนห่างเหินพระพุทธศาสนา และยุคที่คนไม่มีศาสนากัน

ขณะที่พระที่ออกมาเทศน์ หรือสอดแทรกธรรมะในลักษณะนี้มีไม่มาก ก่อนหน้านี้ก็มีพระอาจารย์พยอม แต่ด้วยวัยท่านผ่านจุดนั้นไปแล้ว


ที่เหลืออยู่ก็มีพระมหาสมปอง กับพระมหาไพรวัลย์ ที่อยู่ที่วัดสร้อยทอง ที่มาสร้างแนวทางในการฟังธรรมไม่ให้น่าเบื่อ ผมคิดว่าพระ 2 รูปนี้ เป็นพระที่มีความสามารถ

พระมหาไพรวัลย์ พูดถึงเด็กรุ่นใหม่ที่ไม่นับถือศาสนาอะไรเลย เพราะไม่มีศาสนา น่าสนใจมาก ท่านบอกว่าคนรุ่นใหม่ปัจจุบันคิดแบบนี้เยอะ คือไม่นับถือศาสนา ในขณะเดียวกัน คนรุ่นเก่ามักจะผูกหลักการดำเนินชีวิตไว้กับศาสนาอย่างเดียว เขาไม่เข้าใจว่าหลักศีลธรรมมีมากมาย และหลายหลักศีลธรรมก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ภายใต้กรอบศาสนา เช่น หลักเสรีนิยม หลักการเคารพสิทธิเสรีภาพ ซึ่งไม่จำเป็นต้องเอาความเชื่อหรือคำสอนทางศาสนามาอธิบาย คนรุ่นเก่าหลายคนยังเข้าใจว่าถ้าไม่มีศาสนา ก็ไม่มีความดี ไม่มีศีล ไม่มีคุณธรรม เป็นคนหัวรั้น พระมหาไพรวัลย์ บอกว่า ต้องใช้วิธีค่อยๆ พูด ค่อยๆ จูนกันไป

ถ้าเรามองย้อนกลับไปที่พระพุทธเจ้าด้วยมุมมองของคนยุคนี้ พระพุทธเจ้าก็เป็นคนที่ไม่มีศาสนาเหมือนกัน ท่านคือคนที่ตัดสินใจออกมาจากศาสนาอื่นๆ ที่มีอยู่แล้ว และเลือกที่จะสร้างศาสนาของตัวเอง หลายคนนั่งสมาธิ สงบจิตสงบใจ ทำความดี ไม่ทำความเลว ตื่นมาตอนเช้าคิดแต่เรื่องดีๆ ไม่คิดเรื่องชั่ว และหลายคนที่ทำแบบนี้ก็ไม่ได้นับถือศาสนาอะไร ไม่ได้นับถือพุทธ ไม่ได้นับถือคริสต์ ไม่ได้นับถืออิสลาม แต่ใช้หลักธรรม ผมคิดว่าหลักธรรมของการนิยมทำความดี ไม่คิดชั่ว มีศีล เป็นหลักใหญ่ๆ ของศาสนาทุกศาสนา ศาสนาคริสต์ก็สอนแบบนี้ อิสลามก็สอนแบบนี้ พุทธก็สอนแบบนี้ ด้วยเหตุนี้ ณ วันนี้ 2564 ในยุค 5G ไม่มีอะไรน่าประหลาดใจที่จำนวนคนที่ไม่นับถือศาสนาถึงมีเพิ่มขึ้น

การไลฟ์สดของพระ 2 รูปนี้ ที่ผมฟังมา มีการสอดแทรกธรรมะอยู่เป็นระยะๆ เช่น เรื่องการทำบุญอะไรไม่เท่ากับการให้ชีวิต การอะไรก็แล้วแต่ที่ต่อชีวิตกับคน มอบถังออกซิเจน ชุด PPE ที่หายาก หรือของที่ญาติโยมถวายถังสังฆทานมา ก็นำไปบริจาคต่อ ชาวบ้านก็ดีใจ นี่คือการทำทานที่ดีที่สุด ใช้ชีวิตทุกวันให้มันไม่ต้องพิเศษก็ได้ หมายถึงชีวิตคน ถ้าใช้ชีวิตรออะไรที่มันพิเศษ มันหาความสุขไม่ได้หรอกท่านผู้ชม ทำงานรอเงินเดือนออก ทำงาน 30 วัน เงินเดือนออกวันเดียว ก็แสดงว่าคุณทุกข์ไป 29 วัน เพื่อรอให้มีความสุขวันเดียวหรือ ชีวิตส่วนใหญ่มันก็อยู่กับเรื่องธรรมดา แต่มีความสุขให้กับเรื่องธรรมดาให้ได้

ท่านผู้ชมครับ หลายๆ เรื่องที่พระ 2 รูปนี้เทศน์ ผมชอบ เพราะเขาพูดถึงหลักธรรมจริงๆ เช่นว่า "คนมักเข้าใจผิดเรื่องวาสนา ที่พูดกันว่า ได้ดีเพราะวาสนาดี ไม่จริง อย่าไปเชื่อ วาสนาดีไม่มีอยู่จริง มันประจบประแจงหรือเปล่า มันถึงได้ดี มันทุจริตคอร์รัปชันหรือเปล่า มันถึงได้ดี วาสนาที่แท้จริงในทางพุทธศาสนา ไม่ได้หมายถึงอยู่ดีๆ แล้วฟลุกได้ แต่วาสนาคือสิ่งที่เราได้อบรม สั่งสม สร้างขึ้นด้วยตัวของเราเอง ไม่ใช่อยู่ดีๆ แล้วได้ดีจากคนอื่น การที่อยู่ดีๆ แล้วได้ดีจากเจ้านาย อย่างนั้น ไม่ใช่วาสนา มึงประจบเก่ง!"


ท่านผู้ชมครับ ผมจำได้เลย เวลาหลานๆ ผมจะเป็นหลานสาวหรือหลานชาย มาปรึกษาหารือเรื่องชีวิต ลุง ผมอกหัก หนูอกหัก จะทำอย่างไรดี ผู้หญิงที่ผมรักแอบมีแฟนใหม่ ผู้ชายที่หนูชอบแอบไปมีกิ๊ก หนูจับได้ หนูเจ็บกระดองใจ ผมจำได้ท่านผู้ชม ผมพูดอย่างไรรู้ไหม ผมบอก เอาล่ะ ทิ้งเรื่องที่แกอกหัก แกเจ็บหัวใจเอาไว้ตรงนี้ ทิ้งเอาไว้ก่อน ทิ้งไว้ในถังขยะ ตอบคำถามลุงก่อน แกเคยอกหักไหมในชีวิต ? เคยค่ะ เคยครับ สมัยโน้นที่แกอกหัก แกจะเป็นจะตายไหม ? จะเป็นจะตายค่ะ ใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะหาย ? อย่างน้อยที่สุดต้องมี 3-4 เดือน แล้วแกมองย้อนหลังกลับไปจากวันนี้ ไปถึงวันที่แกอกหักครั้งแรก แกรู้สึกอะไร ? ตลกไหม ? ตลกค่ะ ลุง ตลกครับ ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นได้ ? ผมก็บอกว่า อ้าว ไอ้มังคุด วันนี้ก็เหมือนกัน ที่มึงมาบอกลุงว่ามึงเจ็บใจ มึงเจ็บปวดหัวใจ ผ่านไปอีก 3-4 ปี หรือ 2 ปีข้างหน้า หรืออีกปีข้างหน้า มึงมองย้อนหลังไป มึงรู้สึกว่ามันตลกไหม ก็ตลกอีกใช่ไหม คำถามก็คือว่า มึงต้องหัดทำใจให้ได้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับมึง มันเป็นเรื่องสมมุติ ร่นระยะเวลาของการอกหักไปเรื่อยๆ ให้มาถึงจุดที่เรียกว่ามีหลักธรรม ก็คือ มันไม่ใช่คู่เรา มันไม่เหมาะกับเรา จบ พรุ่งนี้ตื่นเช้าขึ้นมาอาบน้ำอาบท่า กรวดน้ำให้ผู้ชาย/ผู้หญิงที่หักหลังแก ใช้ชีวิตต่อไป ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Life must go on แล้วก็ลืมมันไปเลย ท่านผู้ชม นี่คือสิ่งที่ผมสอน แต่มันก็เข้าไปในหลักธรรมใช่ไหม ก็ทุกอย่างในโลกนี้มันเป็นเรื่องสมมุติ ความรัก คือความทุกข์ นั่นคือสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน

เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้ามหาสมปอง หรือมหาไพรวัลย์ สอนแบบนี้ ก็จะถูกใจเด็ก แต่ขณะเดียวกันก็จะไม่ถูกใจพวกพระผู้ใหญ่ หรือไม่ถูกใจกับคนที่บอกว่า พูดจาพร่ำเพ้อ เพ้อเจ้อ เป็นพระเป็นสงฆ์พูดอย่างนี้ได้อย่างไร

ท่านผู้ชมครับ ในทางการเมืองว่า พระมหาสองรูปนี้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลชุดนี้มาก่อน ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบขำๆ แซวๆ เหน็บแนม หรือแสดงความไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลในบางเรื่องอย่างจริงจัง ด้วยเหตุนี้ฝ่ายที่สนับสนุนรัฐบาลก็เลยถือโอกาสใช้โอกาสนี้ เห็นว่าเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม การไลฟ์สดของพระ 2 รูป ชื่อดัง ก็เลยถูกขยายผลไปอย่างมาก


กรรมาธิการการศาสนาเอย สำนักพุทธฯ เอย เรียกพระ 2 คนนี้ไปทุบตี ลงแส้เฆี่ยน ใช้กติกาที่ตัวเองกำหนดเอาไว้ ขณะที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างๆ พระผู้ใหญ่ ออกมาพูดถึงเรื่องนี้เป็นวงกว้าง มีการต่อรอง ขอให้พระมหาไพรวัลย์ และพระมหาสมปอง ปรับโทนการไลฟ์ มีเนื้อหา 70 เปอร์เซ็นต์ และความสนุกสนาน 30 เปอร์เซ็นต์ ขอโทษนะครับท่านผู้ชม จะบ้ากันหรืออย่างไร

พระมหาสมปอง พระมหาไพรวัลย์ วัตถุประสงค์คือ พูดจาให้สนุกสนาน เพื่อให้คนเข้ามาฟังมากๆ แล้วถือโอกาสสอดแทรกธรรมะ ระหว่างที่พูดจาให้คนเข้ามาฟังมากๆ มันวัดกันเป็นเปอร์เซ็นต์ได้ด้วยหรือ คือมันต้องฟังเทศน์ทั้งองค์รวม เสร็จเรียบร้อยแล้วก็มาสรุปว่าองค์นี้เทศน์วันนี้ แล้วธรรมะที่สอนคืออะไร คนไม่เห็นด้วยก็พยายามจะผลักดัน ซึ่งเป็นสไตล์ที่สังคมไทยเชื่อถือในเรื่องนี้มาก แล้วก็บ้าบอคอแตก ก็คือว่า คิดอะไรไม่ออกก็บอกว่าเป็นพระล้มเจ้า เพราะการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลเท่ากับบ่อนทำลายสถาบัน ไม่ใช่ ท่านผู้ชม เดี๋ยวผมจะพูดเรื่องนี้ต่อ คนที่คิดแบบนี้มันบัดซบ เดี๋ยวผมจะพูดเรื่องนี้ต่อ ผมฟังคำเทศน์ของพระมหาสมปอง และพระมหาไพรวัลย์ แล้ว เป็นคำเทศน์ที่อยู่ในกรอบของหลักธรรมอย่างแท้จริง องค์ประกอบของการเทศน์ คือความสนุกสนานในการฟัง วันนี้ผมต้องให้เครดิตพระมหาสมปอง และพระมหาไพรวัลย์ ทำดีแล้ว

ท่านผู้ชมครับ อาทิตย์ที่แล้วผมพูดเรื่อง 3 ป. พูดถึงตำนานที่มาที่ไปของ 3 ป. มีท่านผู้ชมบางท่านเขียนมา ซึ่งผมจำเป็นต้องตอบความเห็นของท่าน ท่านบอกว่า ถ้าไม่เอา 3 ป. แล้ว ใครจะปกป้องสถาบันกษัตริย์ ท่านผู้ชมครับ ผมไม่ทราบว่าท่านที่เขียนมานี้คือใคร ผมเช็กได้ ผมก็เข้าไปที่เฟซบุ๊กของท่าน แต่ผมไม่ยุ่งเข้าไปในเรื่องของท่าน ผมเพียงแต่อยากจะอธิบายความให้เราเข้าใจตรงกัน


ชาตินั้นประกอบด้วย ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ถ้าศาสนาอ่อนแอ พระมหากษัตริย์ก็อ่อนแอ ชาติก็อ่อนแอ ถ้าพระมหากษัตริย์อ่อนแอ ศาสนาก็อ่อนแอ ชาติก็อ่อนแอ ชาติ คือ ประชาชน เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้าชาติเข้มแข็ง สถาบันกษัตริย์ก็เข้มแข็ง ศาสนาก็เข้มแข็ง ฉันใดฉันนั้น

ท่านผู้ชมครับ 3 ป. ไม่ได้ทำอะไรเป็นการปกป้องสถาบันกษัตริย์เลยแม้แต่นิดเดียว ในทางตรงกันข้าม พล.อ.ประยุทธ์ กลับโหนสถาบันกษัตริย์เพื่อต่อสู้ ยิ่งพวกม็อบสามนิ้ว ม็อบทะลุฟ้า ยิ่งโจมตีสถาบันกษัตริย์มากเท่าไร คนก็ยิ่งเข้ามาบอก พล.อ.ประยุทธ์ ให้อยู่ต่อเพื่อปกป้องสถาบันกษัตริย์ จริงๆ ผมเคยพูดเรื่องนี้มานานแล้ว ถ้าท่านผู้ชมจำได้ ที่เป็นแฟนพันธฺุ์แท้ของผม ผมพูดมาตลอดเลยว่า ม็อบสามนิ้วยิ่งโจมตีสถาบันกษัตริย์มากเท่าไร ก็เท่ากับยิ่งไปตอกย้ำให้คนอีกเยอะเลยที่จำเป็นต้องหันมาบอกกล้ำกลืนกัดฟันกรอดๆ ว่าต้องเอา พล.อ.ประยุทธ์ ต่อไปดีกว่า

ท่านผู้ชมครับ หลายตัวอย่างที่เคยแสดงให้เห็น แม้กระทั่งล่าสุดการที่ม็อบแก๊สทะลุฟ้าไปเผาซุ้มประตูของรัชกาลที่ 10 ตำรวจก็ไม่ได้ทำอะไรเป็นการเด็ดขาดให้เห็นชัดเจน ว่านี่ล้ำเส้นมากจนเกินไปแล้ว


ท่านผู้ชมครับ รัฐบาลที่ดี ประชาชนนิยมชมชอบ การทำงานที่โปร่งใส การดำรงความยุติธรรมให้กับสังคม ไม่มีคดีบอส ไม่มีเรื่องราวต่างๆ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าตำรวจไม่ทำงาน ตำรวจเป็นคนที่ทำงานชั่ว สมรู้ร่วมคิดกัน ถ้าการเมืองมันดี ของที่ไม่ดีพวกนี้มันไม่มีในสังคมไทย ประชาชนจะมั่นคง ถ้าประชาชนมีความหวัง ท่ามกลางโรคระบาดที่มืดมน แล้วยังเห็นแสงไฟอยู่ ยังมีความหวัง ถ้ารัฐบาลทำให้ประชาชนมีความหวังได้ ถ้ารัฐบาลปกครองชาติบ้านเมืองโดยใช้หลักนิติรัฐ มีความเป็นนิติธรรมอยู่ในตัวเอง ไม่ใช่เวลาเรื่องราวที่เข้าตัวเอง ตัวเองก็จะบอกว่าให้ว่าไปตามกฎหมาย แต่ถ้าทุกเรื่องว่าไปตามกฎหมายแล้วก็ไม่ช่วยซึ่งกันและกัน ไม่ช่วยพรรคพวกเพื่อนพ้องน้องพี่ ถ้าเป็นอย่างนี้ได้ สังคมสงบ ชาติสงบ สถาบันพระมหากษัตริย์มั่นคง แต่ถ้าประชาชนทั้งประเทศ หรือส่วนใหญ่ บอกว่า เฮ้ย คุกมีเอาไว้ขังคนจน คนรวยยังไงก็รอด คนรวยได้ประกันตัว คนรวยได้รับการยกฟ้อง คนรวยไม่โดนดำเนินคดี ถ้าประชาชนยังมีความคิดเช่นนี้ และผมเชื่อว่าวันนี้ประชาชนในเมืองไทยส่วนใหญ่คิดเช่นนี้เหมือนกันว่า ความยุติธรรมในสังคมไทยวันนี้มันไม่มีเท่าเทียมกัน ไม่ต้องเท่าเทียมหรอก แค่ห่างกันนิดหน่อยก็พอแล้ว แต่นี่มันห่างกันขนาดนี้เลย นี่คือความหวังที่ประชาชนอยากได้ข้อแรก

ประชาชนอยากได้ข้อที่สองก็คือว่า เขาสามารถที่จะทำมาหากินได้ ลืมตาอ้าปากได้ ประชาชนไม่ได้หวังหรอกว่าเขาจะต้องได้รับการดูแลจากรัฐอย่างมากมาย แต่อย่างน้อยที่สุด ถ้ารัฐสามารถทำให้ประชาชนทุกระดับมีความหวังว่าอนาคตของเขา และที่สำคัญที่สุด ลูกหลานของเขาในเรื่องการศึกษา ในเรื่องโอกาสที่ลูกหลานเขาเจริญเติบโตต่อไป และในเรื่องความยุติธรรมที่สังคมไทยให้เขา และครอบครัวเขาจะได้รับเมื่อมีเรื่องมีราวขึ้นมา ถ้ามีตรงนี้ได้ สถาบันกษัตริย์เข้มแข็ง ไม่ได้อยู่ที่ 3 ป.

ในทางตรงกันข้าม 3 ป. โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ป.ประยุทธ์ กลับกลายเป็นคนที่โหนเจ้า จับสถาบันกษัตริย์เป็นตัวประกัน ว่าถ้าเขาไม่อยู่ ป่านนี้คงจะแย่กว่านี้ นี่คือข้อเท็จจริงท่านผู้ชม เราต้องเข้าใจตรงกันนะครับ เพราะฉะนั้นแล้ว ใครก็ตามสามารถทำให้สังคมไทยสงบ สังคมไทยมีความหวัง ที่สำคัญคือความยุติธรรมที่รัฐบาลชุด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ได้ให้ความยุติธรรมกับประชาชนคนไทยเลย ดูจากตรงไหนล่ะ ? ดูจากการบริหารงานตำรวจ ในฐานะที่เป็นประธาน ก.ตร. ปัญหาส่วนใหญ่ เกินกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ เกิดขึ้นเพราะตำรวจเป็นตัวสร้างเรื่องขึ้นมา แล้วตำรวจ ใครเป็นผู้มีอำนาจสูงสุด ถ้าไม่ใช่ประธาน ก.ตร. และถ้าไม่ใช่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และนี่ล่ะคือความเสื่อมของสถาบัน เพราะฉะนั้นแล้ว ท่านผู้ชมที่ส่งความเห็นมา โปรดกรุณาเข้าใจตรงกันนะครับ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้ช่วยให้สถาบันมั่นคง ไม่ได้ช่วยให้สถาบันมั่นคงเลยแม้แต่นิดเดียว


ท่านผู้ชมครับ วันนี้คงจะไม่มีใครที่ไม่รู้จักลิซ่า หรือ ลลิษา มโนบาล ความจริงแล้วท่านผู้ชมอาจจะคิดว่าผมเอาเรื่องนี้มาพูด อาจจะช้าไปแล้วมั้ง เพราะว่าคนในสังคมพากันพูดเรื่องของลิซ่า ลลิษา มโนบาล เยอะมาก มีวิวาทะระหว่างมดดำ คชาภา กับหนุ่ม กรรชัย ซึ่งผมก็อ่านและผมก็ติดตามตลอดเวลา มีมากกว่านั้นเยอะ แต่วันนี้ผมจะพูดถึงลลิษา มโนบาล ในฐานะที่เธอเป็นตัวอย่างของเด็กคนหนึ่งที่เดินเข้าไปสู่ความฝันด้วยตัวเอง แล้วผมก็จะอธิบายให้ฟังว่าทำไมประเทศไทยถึงด้อยพัฒนามาก ในเรื่องของการใช้แนวรุกทางวัฒนธรรม ไม่เหมือนเกาหลี ทำไมเกาหลีถึงเจริญเติบโตถึงขนาดนี้ มันมีนัยอยู่เยอะ มีหลายตัวอย่าง มีทั้งซีรีส์เกาหลีที่กำลังจะพูดในวันนี้ มีทั้งเรื่องจีนที่เลียนแบบเกาหลี และมีทั้งหลายๆ เรื่องที่เราอาจจะไม่ได้คิด ปรากฏว่ามันเกิดเป็นความจริงขึ้นมา แล้วทำให้เราเสียโอกาส มีทั้งเรื่องซีรีส์เกาหลี 80 ตอน เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว แดจังกึม ท่านผู้ชมที่เคยดู คงจำได้ ชื่อภาษาไทยคือ จอมนางแห่งวังหลวง


ท่านผู้ชมรู้ไหมว่า แดจังกึม ที่ถูกสร้างขึ้นมา ลึกๆ แล้วเพื่อเผยแพร่วัฒนธรรมอาหารของเกาหลีออกไปสู่ทั่วโลก แล้วก็ได้ผลมาก แต่ถ้าเรามองย้อนกลับมาสักนิด เราถามตัวเราเองว่า ระหว่างเนื้อย่างเกาหลี กิมจิเกาหลี เมื่อเทียบกับต้มยำกุ้ง และผัดไทย ใครดังกว่ากัน ?


ต้มยำกุ้ง กับผัดไทย ดังกว่า ดังกว่าเยอะเลย แต่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมอาหารเกาหลีถึงกลายเป็นเรื่องที่อยู่ในช่วงเวลาที่สากลให้ความสนใจมาก และนี่คือบริบทที่ผมจะพูดต่อจากเรื่องของลิซ่า ลลิษา มโนบาล

เด็กตัวน้อยๆ จากบุรีรัมย์ ไปโด่งดังที่เกาหลีใต้ ก้าวไกลไปเป็นไอดอลของคนทั่วโลก ขอพูดถึงเรื่องที่เธอเพิ่งปล่อยอัลบัมล่าสุด ยอดวิวทะลุ 70 ล้าน ในวันแรก 130 ในสามวันแรก จากสถิติตัวนี้ทำให้ลิซ่า ขึ้นแท่นศิลปินหญิงเดี่ยวที่มียอดวิวถึง 10 ล้าน เร็วที่สุดบนยูทูป ใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมงครึ่ง สร้างสถิติใหม่ในมิวสิควิดีโอเพลงแรกในยูทูปที่มียอดวิวถึง 50 ล้านวิว ในเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมง ประเด็นของลิซ่า ยังมีอีก คนที่ไม่เคยลืมกำพืดตัวเอง ถึงแม้จะโด่งดังขนาดไหน เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง


ลิซ่า ชื่อ ลลิษา มโนบาล เธอมีชื่อเดิมคือ ปราณปรียา มโนบาล ชื่อเล่น ชื่อ ลิซ่า ท่านผู้ชมรู้ไหมชื่อเดิมลิซ่า ชื่ออะไร ? ชื่อ ป๊อกแป๊ก วันนี้เธอเพิ่งอายุ 24 คนจังหวัดบุรีรัมย์ คุณแม่ชื่อ จิตทิพย์ คุณพ่อบุญธรรมชื่อ มาร์โค บรอยซ์ไวเลอร์ เป็นชาวสวิตเซอร์แลนด์ เป็น Executive Chef ของโรงแรมเอเชีย และโรงแรมโนโวเทล บางนา เธอจบมัธยมจากโรงเรียนประภามนตรี ผมจะเอารูปเธอกับบิดาบุญธรรมให้ดู เป็นเด็กที่มีความสุขมาก เพราะว่ามีแม่ที่รักลูกมาก ส่งเสริมลูกทุกอย่าง และมีพ่อบุญธรรมที่รักลิซ่า มาก




แต่กว่าเธอจะกลายเป็นลิซ่า ในวันนี้ สิ่งที่ลิซ่า มี และทุกคนต้องรู้และจำเอาไว้ คือมุมานะ ตั้งใจ ไม่ย่อท้อ และมีการทุ่มเทเสียสละของครอบครัวในวัย 14 ปี เมื่อสิบปีก่อน ท่านผู้ชม เขาได้รับเลือกเป็นศิลปินฝึกหัด เป็นเด็กไทยคนแรกและคนเดียวที่ได้เดบิวต์ในค่ายยักษ์ใหญ่อย่างเช่น YG Entertainment

ท่านผู้ชมครับ ในเกาหลีนั้นมีค่าย Entertainment 3 ค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ ประกอบด้วย SM Entertainment หรือ SM Town, JYP Entertainment และ ที่ลิซ่า ไปอยู่ คือ YG Entertainment

ท่านผู้ชมครับ เด็กอายุ 14 ปี ลองหลับตาวาดภาพสิ ลูกสาวของท่าน หรือตัวท่านเอง อายุ 14 ไปอยู่เกาหลีคนเดียว ตั้งแต่อายุ 14 ปี พูดเกาหลีก็ไม่ได้ ฝึกซ้อมในค่ายวันละ 16 ชั่วโมง ถ้าตัดเวลาอุจจาระ เวลาปัสสาวะ เวลาอาบน้ำ แปรงฟัน เวลาล้างหน้าไปแล้ว ผมคิดว่าวันหนึ่งเธอคงนอนไม่ถึง 6 ชั่วโมง แล้วชีวิตไม่มีอะไรเลยนอกจากฝึกซ้อม 16 ชั่วโมง แข่งขันกับคนเก่งๆ ที่ถูกคัดเลือกมาหลายร้อยคนเพื่อขึ้นมาแถวหน้าให้ได้ เธอต้องซ้อมๆๆ แล้วก็ซ้อม ตลอด 5 ปี ในค่าย จนสุดท้าย ในที่สุดเธอก็เลยได้เป็นสมาชิก 1 ใน 4 ของวง BLACKPINK ของค่าย YG ร่วมกับ Jennie Kim, Jisoo และ Park Chaeyoung Rose' ซึ่งเป็นคนเกาหลีใต้ทั้งนั้น


แต่ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าเธอต้องถูกกดดันขนาดไหน คนไทย คนเกาหลีใต้ไม่ชอบ BLACKPINK ถ้าเป็นไปได้ อาจจะต้องการคนเกาหลีใต้ทั้งหมด แต่เผอิญลิซ่า มีความสามารถเหนือกว่าคนอื่น คนเกาหลีใต้แอนตี้เธอ คลิปต่างๆ ของเธอ คนเกาหลีใต้แกล้งเธอ กด Dislike ไม่ชอบ คนเกาหลีใต้ ข้อเท็จจริงข้อหนึ่ง นี่คือข้อเท็จจริงที่ลิซ่า ได้เจอมา

นอกจากนั้นแล้วยังมีชาวเกาหลีใต้อีกกลุ่มหนึ่งที่ดูถูกเธอบนโลกออนไลน์ เข้ามาคอมเมนต์ด้วยข้อความที่เหยียดเชื้อชาติ มีหมด พอไม่มีเมคอัปแล้วหน้าเธอเหมือนคนรัสเซียเลย แล้วพอยิ่งผมสีเข้มๆ หน้าไม่มีเมคอัป หน้าเธอเหมือนหญิงไทยทั่วๆ ไป


ท่านผู้ชมรู้สึกอย่างไร ผู้หญิงไทยเมืองไทยรู้สึกอย่างไร อย่างน้อยที่สุด ผมคนหนึ่งล่ะที่เห็นว่าผู้หญิงไทยสวยที่สุดในโลก สวยกว่าผู้หญิงเกาหลีเยอะ เพราะผู้หญิงเกาหลี 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ ทำจมูกทุกคน 70 กว่าเปอร์เซ็นต์ ทำนมทุกคน 80 กว่าเปอร์เซ็นต์ ฉีดโบทอกซ์ทุกคน แต่งตาทุกคน คอมเมนต์ เช่น ลิซ่า คนต่างชาติที่เข้ามาในเกาหลีใต้เพื่อหาเงิน เธอมาจากประเทศด้อยพัฒนา ไม่เหมาะกับการอยู่ที่นี่ ตรงนี้แต่ก่อนผมไม่เชื่อนะ แต่ 7 ปีที่ผ่านมา ผมเริ่มเชื่อแล้วว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่ด้อยพัฒนา

ท่านผู้ชมครับ หนูลิซ่า ผ่านมาได้ ได้รับคำชื่นชม เป็นที่ยอมรับทั่วโลก ท่านผู้ชมเคยสงสัยไหมว่า ทำไมเด็กไทยที่เก่งขนาดนี้ มีความพิเศษ มีความมุมานะ พยายามขนาดนี้ กลับไม่โด่งดังในประเทศไทย ต้องข้ามน้ำข้ามทะเลไปดังที่เกาหลี


ท่านผู้ชมเคยคิดไหมว่าเพราะอะไร ผมว่าปัญหาอยู่ที่วิธีคิดของคนไทย mindset ที่ยังคับแคบ ตื้นเขิน หลงตัวเอง งานของไทยได้รับความนิยมส่วนใหญ่ ท่านผู้ชมฟังแล้วอย่าเศร้านะครับ งานของคนไทยที่ได้รับความนิยมส่วนใหญ่เป็นเรื่องตลก เรื่องผี เรื่องกะเทย วนแสดงกันอยู่ไม่กี่คน ดาราไทยมีผลงานไม่กี่เรื่อง วันๆ ไม่ต้องทำอะไร เอาแต่แต่งชุดว่ายน้ำ ถ่ายรูปโชว์ตามโรงแรม สระว่ายน้ำ ริมหาด ลงอินสตาแกรมแล้วสื่อหยิบเอามาลงรูป ไลน์นี่ตัวดีเลย เอารูปมาลง ชอบเหลือเกินคำว่า แซ่บมากแม่ มีอยู่เท่านั้น ไม่มีสาระ มันเป็นเรื่องมังคุดจริงๆ ท่านผู้ชม โคตรจะมังคุดเลย

บางคนก็โชว์รูปแฟน อวดรวย ปิดโรงหนังในอเมริกา โชว์รถหรู กระเป๋าแพงๆ ทำไมคนพวกนี้ไม่โชว์ผลงาน เพราะไม่มีผลงานอะไรเลย ถึงมีก็เทียบไม่ได้กับทางเกาหลี หลายคนใช้โซเชียลถ่ายรูปเซ็กซี่ลงอินสตาแกรมตัวเอง โชว์ก้น โชว์นม อวดความร่ำรวย อวดไลฟ์สไตล์ รถยนต์ อาหารแพงๆ กระเป๋าแพงๆ นาฬิกา ท่านผู้ชมครับ ลิซ่า ไอดอลคนทั่วโลก คิดถึงลูกชิ้นปิ้งที่สถานีรถไฟบุรีรัมย์


ท่านว่าคนๆ นี้น่าเคารพจิตใจเขาไหม ต่างกับพวกที่อาหารแพงๆ กระเป๋าแพงๆ นาฬิกา กล้องถ่ายรูป โทรศัพท์ใหม่ คฤหาสน์ เรือยอร์ชที่เช่าเขามา ไร้สาระมากเลย ไม่มีแก่นสารเลยแม้แต่นิดเดียว

ท่านผู้ชมครับ แต่มาดูผลงาน ท่านผู้ชมลองสืบสังเกตดูสิ ท่านผู้ชมดูตามผม ซีรีส์ ละครซีรีส์ที่ฮิตๆ ในเอเชีย ใน Netflix เป็นซีรีส์เกาหลีเกือบทั้งหมด มีญี่ปุ่นหลงมาบ้าง ช่วงหลังมีซีรีส์ไทยเข้ามาบ้าง มีหนังไทยบางเรื่องเข้ามา


แต่พอพูดถึงการเขียนบท แนวทางการถ่ายทำ พร็อพต่างๆ แล้ว สู้เกาหลี สู้ญี่ปุ่นไม่ได้ สู้จีนไม่ได้เลย ท่านผู้ชมที่ติดตามซีรีส์เกาหลี จะเห็นได้ว่าบางซีรีส์โด่งดังมาก อย่างเช่น Vincenzo ผมเคยพูดไปแล้ว Crash Landing on You ตลอดจนหนังเรื่อง Descendants of the Sun ซึ่งชื่อภาษาไทยคือ ชีวิตเพื่อชาติ รักนี้เพื่อเธอ เป็นซีรีส์เกาหลีที่ดังทั่วเอเชีย เรทติ้งสูงสุดอันดับ 1 ในเกาหลี แซงหน้าทุกซีรีส์ในปี 2559 ขนาด พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวตอนหนึ่งในการกล่าวปาฐกถาพิเศษที่ทำเนียบรัฐบาล ว่าเป็นละครโทรทัศน์ที่ดี ปลุกจิตสำนึกให้คนรักชาติ


เรื่องนี้ขอพูดนิดหนึ่ง การที่เขายกกองถ่ายทำ ลงทุนไปถ่ายทำ โดยพระเอกชื่อ ซงจุงกิ นางเอกชื่อ ซงเฮเคียว ไปถ่ายทำ โดยพระเอกนั้นเป็นทหาร เข้าไปช่วยสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ไปดูแลรักษาความสงบในอัฟกานิสถาน ส่วนนางเอก เป็นหัวหน้าหมอ ซึ่งติดตามกองทัพไป พระเอกได้รับมอบหมายให้ทำภารกิจพิเศษ ไปทำงานที่ประเทศสมมุติชื่อ อุรุก เพื่อดูแลรักษาความสงบในค่ายทหารเกาหลี นางเอกก็ถูกส่งเป็นหัวหน้าทีมแพทย์อาสาที่อุรุก ก็เลยทำให้ได้พบกันแล้วก็พบรักกัน

กระแสฟีเวอร์ละครเรื่องนี้ทำให้แฟนคลับคู่จิ้นลุ้นให้เป็นคู่จริง แล้วตั้งชื่อให้ทั้งคู่ว่า คู่รักซง-ซง ในที่สุดสองคนก็แต่งงานกัน แต่อยู่ได้ปีกว่าก็หย่ากัน ประเด็นอยู่ที่นี่ ประเด็นอยู่ที่ว่า เกาหลีเป็นซีรีส์ในประเทศเขา แต่เขาออกไปสู่สากล เขาไปทำเรื่องทำราว ยกทีมไปถ่ายทำ ให้เป็นเรื่องเป็นราวเลย มีการต่อสู้กับผู้ก่อการร้าย มีการรักษาพยาบาล หัวหน้าชนเผ่าที่เป็นโรคหัวใจ ต้องผ่าตัดกะทันหัน ในขณะที่ละครไทยก็ไปเหมือนกันนะ แต่ไปปารีส ไปยุโรปตะวันออก ไปเดิน พระเอก-นางเอกเจอกันริมฝั่งแม่น้ำสวยๆ แล้วก็จีบกันไปจีบกันมา มันไม่มีสาระเลย แต่ของเขามีสาระ

ท่านผู้ชมครับ คนที่เขียนบทซีรีส์เกาหลีเก่งมาก ทุกเรื่อง ประเทศไทยเทียบเขาไม่ได้เลยเรื่องบท นี่คือเหตุผลหนึ่งที่เกาหลีถึงผลักดันแนวรบทางวัฒนธรรมของเขาออกไปนอกประเทศ จนกระทั่งมีชื่อมีเสียง เมื่อกี้นี้ที่ผมพูดเรื่องซีรีส์ เรื่องเกี่ยวกับ แดจังกึม

แดจังกึม ท่านผู้ชมที่ยังไม่เคยดู ผมจะเล่าให้ฟัง ออกอากาศเมื่อ 2546 เล่าเรื่องราวของ ซอจังกึม โดยเริ่มชีวิตจากการเป็นคนครัว สู่การเป็นแพทย์สตรีคนแรกของวังหลวง


ที่สำคัญมีฉากการทำอาหารเกาหลีที่สวยงาม น่าตื่นตาตื่นใจ และเรื่องนี้เป็นจุดเริ่มต้นส่งให้วัฒนธรรมอาหารเกาหลีแจ้งเกิดไปทั่วโลก ฉากอาหารที่อลังการ หาไม่ได้จากเรื่องอื่น เขาทุ่มเท ขนาดเขาใช้สถาบันอาหารชาววังเกาหลี Institute of Korean Royal Cuisine เข้ามา รับผิดชอบทุกฉากที่มีการทำอาหาร เมื่อซีรีส์ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม หน่วยงานรัฐก็รับไม้ต่อด้วยการออกหนังสือ เผยแพร่ความรู้เรื่องอาหารชาววัง พร้อมสูตรอาหารเป็นภาษาอังกฤษ ในชื่อว่า Jewel in the Palace หรืออัญมณีในราชวัง ในขณะเดียวกัน รัฐบาลก็ซื้อโรงถ่ายละครเรื่องนี้ เพื่ออะไร ? เพื่อใช้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม

ท่านผู้ชมครับ เกาหลีเอาอาหารออกมา เอาความสามารถของตัวบุคคลออกมา แล้วทำเป็นเรื่องเป็นราว ภาพยนตร์ หนังเกาหลีเรื่อง Le Grand Chef ชื่อไทยคือ บิ๊กกุ๊กศึกโลกันต์ 2550 ของมีค่า มีการประลองทำอาหารเกาหลีกัน ผู้ทำอาหารได้เลิศรส สืบทอดเจตนารมณ์ของอาหารเกาหลี ซีรีส์ใหม่ ITAEWON CLASS ชื่อไทยคือ ธุรกิจปิดเกมแค้น นำแสดงโดย Seo Jun Park และ Kim Da-Mi เป็นเรื่องการขับเคี่ยวทางธุรกิจ วัยรุ่นชอบมากเรื่องนี้ พากันตามรอยเมนูอาหารเกาหลี กินซุปเต้าหู้อ่อน หมูผัดเผ็ด ซุปหอยแมลงภู่ ดื่มเหล้าโชจูแบบเกาหลี


ท่านผู้ชมครับ เราเคยเห็นละครซีรีส์แบบนี้ในเมืองไทยบ้างไหม ? ไม่มีหรอก ถ้าไม่เรื่องตลก ก็เรื่องผี มีอยู่แค่นี้ ไม่มีอะไรมากกว่า ผัวทะเลาะเมีย เมียทะเลาะผัว ผัวมีเมียน้อย เมียมีชู้ แย่งมรดกกัน ปั้นปึ่งใส่หน้ากัน ฉากก็ห่วยแตก บทก็เห่ย นี่ผมไม่ได้มีอะไรอคตินะ แต่ผมไม่ชอบเลย นี่คือเหตุผลว่าทำไมวงการบันเทิงเมืองไทยความคิดถึงคับแคบ mindset

ดีแล้วที่ลิซ่า ลลิษา มโนบาล ไปอยู่เกาหลี ทุ่มเททุกอย่าง เพื่อให้ตัวเองประสบผลสำเร็จ สานฝันตัวเอง จนกระทั่งก้าวไปสู่ฝัน ไม่มีอีกแล้วท่านผู้ชม อยู่ในเมืองไทยนี่ไม่มีสิทธิเกิด เมืองไทยเหรอ ก็ไอจี ไปเช่าเรือยอร์ชนั่ง โชว์นมโชว์ต้ม ยืนข้างริมสระ แล้วก็คอยอ่านว่า แซ่บจังแม่ โคตรมังคุดเลยท่านผู้ชมครับ

จีนก็เช่นกัน จีนเขาก็มี Soft Power ทางวัฒนธรรมเขารุก ท่านผู้ชม จีนมาหลายรูปแบบ จีนหลังจากเกาหลีโด่งดังขึ้นมา ภาษาจีนเขาเรียกว่า หานหลิว หาน ก็คือชื่อเกาหลี หานกั๋ว หานหลิว กระแสเกาหลี ตอนนี้ก็มีกระแสจีนเกิดขึ้น จีนลอกเลียนแบบซีรีส์เกาหลีมา เพียงแต่ซีรีส์เกาหลีประมาณ 16 ตอนจบ แต่ซีรีส์จีน 40 ตอนจบ 50 ตอนจบ แต่คุณภาพของการถ่ายทำ พล็อตเรื่อง ก็ยังถือว่าสูงกว่ามาตรฐานในประเทศไทยเยอะ

ท่านผู้ชมเคยสงสัยบ้างไหมว่าทำไมเรื่องบางเรื่องของจีนคนถึงชอบ ท่านผู้ชมเคยสงสัยไหมว่า คำว่า เส้าหลิน วัดเส้าเหลิน ทำไมมันโด่งดังไปทั่วโลก ?


เพราะจีนเขารู้จักโปรโมตวิชากังฟู จากเดิมทีที่หนังจีนแต่ละเรื่องที่ออกมา ก็เป็นหนังเรื่องสงครามบ้าง โน่นนี่นั่น ในที่สุดแล้วชอว์บราเดอร์ (Shaw Brothers) ที่ฮ่องกงก็ผลิตหนังกังฟูขึ้นมาในยุคนั้น แต่พอต่อมาพัฒนาขึ้นมา ทั้งเทคโนโลยี ทั้งเทคนิคในการถ่ายทำ มันก็เลยมีซีรีส์ในเรื่องหนังกังฟู ภาค 1 ภาค 2 ภาค 3 ภาค 4 ยกตัวอย่างให้ฟังง่ายๆ ท่านผู้ชมเคยดูหรือยังว่า เรื่อง Once Upon a Time in China ชื่อไทยคือ หวงเฟยหง นำโดยเจ็ทลี


เขาดัดแปลงเรื่องราวมาจากชีวิตของปรมาจารย์กังฟู วีรบุรุษชาวจีน ต่อสู้เพื่อกอบกู้ศักดิ์ศรีของชาวจีนจากการคุกคามของชาติตะวันตกในยุคล่าอาณานิคม ในยุคปลายราชวงศ์ชิง ปลายศตวรรษที่ 19 ต้นศตวรรษที่ 20 ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับความนิยมมาก สร้างต่อเนื่องกันถึง 6 ตอน

ท่านผู้ชมครับ หลายสิบปีที่ผ่านมา จีนใช้ดาราที่เป็นตัวแทนศิลปะการต่อสู้แบบกังฟูของจีน ส่งต่อเป็นทอดๆ เริ่มจากบรู๊ซลี เฉินหลง เจ็ทลี เจ้าเหวินจั๋ว คนที่แสดงเป็น หวงเฟยหง ในภาคที่ 4 และ 5 และดอนนี่ เยน ซึ่งเป็นคนแสดงเป็น ยิปมัน


ยิปมัน คือใคร ? คือเจ้าสำนักของมวยหย่งชุน คนแรก เห็นไหมครับ เขาเอามวยจีนมาทำเป็นเรื่องเป็นราว เขาทำออกไปเพื่อให้ชาวโลกได้เห็น เขาต่อยอดไปถึงการท่องเที่ยว การโปรโมตวัดเส้าหลิน ยอดเขาบู๊ตึ๊ง ภาษาจีนกลางเขาเรียกว่า อู่ตัง นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติชอบเดินทางไปฝึกมวยจีน กังฟู

ท่านผู้ชมครับ สมัยญี่ปุ่นเข้ามายึดครองประเทศไทย เรามีวีรบุรุษเยอะเลยที่ต่อสู้กับญี่ปุ่น มีใครบ้างที่ทำภาพยนตร์เรื่องนี้ออกมาบ้าง ให้เห็นความรักชาติของคนไทย ความที่ไม่ยอมให้ต่างชาติเข้ามายึดครอง สู้จนตัวตาย ไม่มี เรามองอะไรแคบๆ มองที่นม มองที่ตูด แค่นั้นเอง ความสามารถการแสดงแทบจะไม่มีเลยแม้แต่นิดเดียว

แล้วกังฟู เปรียบเทียบกับมวยไทย ซึ่งเป็นกีฬา ศิลปะป้องกันตัว ได้รับความนิยมไปทั่วโลก เราน่าจะกระตุ้นการสร้างภาพยนตร์ กระตุ้นด้วย Soft Power แต่เราทำได้ไม่มากเท่าที่ควร เท่าที่ดูก็มีเฉพาะองค์บาก เท่านั้นล่ะมั้ง พี่จา พนม ของผม ก้าวไปเล่นหนังฮอลลีวูดได้


แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีการสืบทอดต่ออย่างเป็นรูปธรรมเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่มี ทั้งๆ ที่มวยไทยก็โด่งดังไปทั่วโลกเช่นกัน อาจจะไม่โด่งดังเท่ากังฟู แต่ก็ถือว่าโด่งดังมาก ผมยกตัวอย่างให้ฟังง่ายๆ นักมวยไทยที่ชื่อก้องโลก นอกจากในอดีตที่นานมาแล้ว คือ นายขนมต้ม วันนี้เรามีบัวขาว บัญชาเมฆ มีชื่อเสียงระดับโลก


กลับไม่มีการสร้างภาพยนตร์เป็นซีรีส์เกี่ยวกับบัวขาว มวยไทย ซึ่งจะทำเช่นนั้นต้องมีการเขียนบทที่ดี ค้นคว้าข้อมูลที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับมวยไทย วัฒนธรรมไทย สิ่งที่เกี่ยวข้องกับบัวขาว ให้ถูกต้อง โปรดักชันที่ดี โปรโมตที่ดี พวกเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยธรรมชาตินะครับ เพราะการทำให้ดีเยี่ยมได้ทุกตอนนั้น ต้องใช้เงินทอง ต้องลงทุนจำนวนมหาศาล ที่ผมเห็นว่าสำคัญที่สุดคือการทำอย่างนี้ได้ ผู้บริหารประเทศ ผู้ที่อยู่ในภาครัฐ ต้องมีจิตใจที่เปิดกว้างเสียก่อน ไม่ใช่ว่าจะทำอันโน้นก็ไม่ดี อันนี้ก็ไม่ได้ ติดโน่นติดนี่ไปหมด ถ้าคิดเช่นนี้ เศรษฐกิจสร้างสรรค์ก็ไม่อาจจะเกิดขึ้นที่นี่ได้

ท่านผู้ชมครับ ดูอย่างเกาหลีใต้มายี่สิบกว่าปี จีนทำตาม เราจะเห็นได้ชัดว่าเราไม่อาจจะอยู่อย่างเฉยเมย กินบุญเก่าต่อไปได้อีกแล้ว เราต้องสร้าง Soft Power แนวรุกทางวัฒนธรรมของตัวเองขึ้นมาบ้าง ทำอย่างจริงจัง เป็นระบบ รัฐต้องเข้ามาช่วย ไม่ใช่ปล่อยไปตามยถากรรมอย่างเช่นปัจจุบันนี้

ท่านผู้ชมครับ แนวรบทางด้านวัฒนธรรมของเกาหลีที่ผมพูดไปเมื่อกี้นี้ อยากเพิ่มเติมให้สักนิดหนึ่ง มันได้ผลกับเศรษฐกิจของเกาหลี และได้ผลทำให้คนทั่วโลกยอมรับเกาหลีมากขึ้นกว่าเก่า วันนี้ท่านผู้ชมสังเกตไหม ท่านผู้ชมเข้าไปห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต บะหมี่เกาหลี ซอสเกาหลี ไอศกรีมเกาหลี ขนมขบเคี้ยว ลูกอม เหล้าเกาหลี โซจู วางขายเต็มร้านสะดวกซื้อ


ร้านอาหารเกาหลีก็ผุดขึ้นทั่วทุกหัวระแหง และนี่คือการประสบผลสำเร็จในการใช้ Soft Power ซึ่งเป็นผลมาจากการเพาะบ่ม Korea Wave คลื่นเกาหลี มายี่สิบกว่าปีก่อน

ท่านผู้ชมครับ อิทธิพลของเกาหลีไม่ใช่จำกัดเฉพาะวงการเพลง ภาพยนตร์ หรือเรื่องอาหาร แต่ยังหยั่งรากลึกส่งผลในเชิงเศรษฐกิจและวัฒนธรรมการใช้ชีวิต ครอบคลุมไปถึงเรื่องอาหารการกิน สินค้า ข้าวของเครื่องใช้ เครื่องแต่งกาย เครื่องสำอาง การแพทย์ศัลยกรรม เครื่องใช้ไฟฟ้า SAMSUNG, LG รถยนต์ฮุนได เกีย การท่องเที่ยวเกาหลีก็บูมตามไปด้วย

ท่านผู้ชมครับ ปีที่แล้ววง BTS จากเกาหลีใต้สร้างประวัติศาสตร์เป็นศิลปินเกาหลีกลุ่มแรกที่สามารถขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ตบิลบอร์ด กับเพลง DYNAMITE จนแมคโดนัลด์ ฟาสด์ฟู้ดเชนระดับโลก ทำสัญญากับวง BTS เพื่อทำเมนูพิเศษเฉพาะ ชื่อ BTS Meal วางขายไปทั่วโลก ตอนเปิดขายคนต่อคิวกัน


เพราะฉะนั้นแล้วจะเห็นได้ชัดว่าเกาหลีถึงแม้จะมีความหลากหลายทางวัฒนธรรม และความเก่าแก่ทางวัฒนธรรม สู้เมืองไทยไม่ได้ แต่เกาหลีรู้จักที่จะใช้ประโยชน์ของการใข้แนวรุกทางวัฒนธรรมเข้ามาบุกเข้าไป ส่วนจีนเองก็ทำแบบเกาหลีมานานแล้ว เพียงแต่ว่ายังไม่ดุเดือดเลือดพล่านเหมือนการที่เกาหลีมี K-POP

ท่านผู้ชมครับ ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าประเทศที่ร่ำรวยมรดกทางวัฒนธรรมมากที่สุดในโลก 10 อันดับ อยู่ที่ไหน ?

2021 มีการจัด 10 อันดับประเทศที่ร่ำรวยมรดกทางวัฒนธรรมมากที่สุด อันดับ 1 คือ สเปน อันดับที่ 2 คือ อิตาลี อันดับที่ 3 กรีก อันดับที่ 4 ฝรั่งเศส อันดับที่ 5 เม็กซิโก อันดับที่ 6 อินเดีย อันดับที่ 7 คือประเทศไทย


เกาหลียังสู้ไทยไม่ได้ แต่เกาหลีเขาไปไหนไม่รู้แล้ว จากการที่ทำ Soft Power แนวรุกทางด้านวัฒนธรรม ไทยอยู่ถึงอันดับที่ 7 รองจากอินเดีย รองจากเม็กซิโก รองจากฝรั่งเศส กรีก อิตาลี สเปน ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าเกาหลีอยู่อันดับที่เท่าไร ? 42 ครับ

แม้กระทั่งจีนเองยังอยู่ต่ำกว่าไทย อยู่อันดับ 12 ไทยอยู่อันดับที่ 7 แต่คนที่คิดเรื่องนี้ หรือคนที่เกี่ยวข้องในวงการนี้ ส่วนใหญ่มังคุดทั้งนั้น ปล่อยให้อันดับที่ 42 อย่างเกาหลี กระโดดไปไหนแล้วเราก็ไม่รู้ ท่านผู้ชมครับ


กลับมาถึงประเทศจีนบ้าง ถ้าจะพูดถึงประเทศเกาหลีแล้ว จะจบเรื่องเกาหลีลงตรงเรื่องนิยาย ซีรีส์ ที่ดังมาก คือ Vincenzo ที่ผมพูดให้ฟัง ทำไมผมต้องเอาเรื่อง Vincenzo มาพูด ?


Vincenzo เป็นการเขียนบทที่สุดยอดมาก เอาคนเกาหลีที่ไปอยู่อิตาลี ทำงานกับมาเฟียอิตาลี ท่านผู้ชมดูซีรีส์เรื่อง Vincenzo แล้ว ท่านที่ยังไม่เคยดู ไปดูซะ ตอนแรกอลังการมาก ฉากที่มันเผาไร่องุ่นโดย Vincenzo ซึ่งพ่อบุญธรรมเป็นมาเฟียคนหนึ่งอยู่ในอิตาลี เป็นพ่อบุญธรรม เป็น God Father แล้วก็เสียชีวิตไป Vincenzo เป็นที่ปรึกษาของตระกูล ไปล้างแค้นศัตรูของพ่อด้วยการเผาไร่องุ่น ท่านผู้ชมครับ คนเขียนบทมันคิดได้อย่างไร ฉากแรกนี่มันสุดยอดจริงๆ ท่านผู้ชมไปดู แล้วท่านผู้ชมเปรียบเทียบกับละครไทย ซีรีส์ไทย ไปเปรียบเทียบดูได้


Soft Power เกาหลีทำ จีนก็ทำ จีนใช้ภาพยนตร์เป็นตัวรุก Soft Power นอกจากการที่จะทำเรื่อง Once Upon a Time in China นำแสดงโดย เจ็ทลี หรือว่าเรื่องของ ยิปมัน นำแสดงโดยดอนนี่ เยน คนๆ หนึ่งที่มีส่วนทำให้ Soft Power ของจีนไปได้ไกลมากก็คือ จาง อี้โหมว หนึ่งในการเผยแพร่วัฒนธรรมที่จีนเขาหยิบยกขึ้นมาสู้คือภาพยนตร์ ตัวอย่างภาพยนตร์นี้เป็นสัญลักษณ์ของการชูจุดเด่นทางวัฒนธรรมของจีน ซึ่งภาพยนตร์ของจีนจะถ่ายทอดปรัชญาทางการเมือง นั่นคือปรัชญาการปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ก็คือ ภาพยนตร์จีนที่สร้างโดยผู้กำกับจีนที่มีชื่อเสียงระดับโลก คือ จาง อี้โหมว


ภาพยนตร์เรื่องนี้ชื่อ Hero ฉายทั่วโลกประมาณ 2545 (ค.ศ. 2002) นักแสดงชื่อดัง เจ็ทลี เหลียง เฉาเหว่ย จาง หม่านลี่ จาง จื่ออี๋ ดอนนี่ เยน ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดตัวที่มหาศาลาประชาชน กลางกรุงปักกิ่ง ถูกส่งเข้าชิงรางวัลออสการ์ในปีถัดมา คือ 2546 ท่านผู้ชมหลายท่านที่เคยดูหนังเรื่องนี้แล้วคงจะจำได้


ผมเล่าให้ฟังสั้นๆ ก็แล้วกัน เรื่องนี้เกิดขึ้นในยุคสงครามระหว่างรัฐ ที่ภาษาจีนเขาเรียกว่า จ้านกั๋ว ช่วงปี 475 ถึงปี 2121 ก่อนคริสตกาล แผ่นดินจีนแบ่งออกเป็น 7 แคว้น มีฉิน หาน เว่ย จ้าว ฉี ฉู่ และเอียน ก่อนหน้านั้นเป็นเวลานับร้อยๆ ปี หลายๆ แคว้นรบต่อสู้กันอย่างบ้าคลั่ง เพื่อแก่งแย่งอำนาจ ทำให้คนต้องตายเป็นจำนวนมาก ต้องล้มตายและทนทุกข์ทรมาน ในบรรดาทั้ง 7 แคว้น มีแคว้นฉิน ของจิ๋นซีฮ่องเต้ หรือว่ายุคนั้นเขาเรียกว่า หยินเจิ้ง หรือว่า ฉินอ๋อง แข็งแกร่งที่สุด ด้วยแสนยานุภาพของกองกำลัง ฉินอ๋อง ปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะครอบครองแผ่นดินทั้งหมด เพื่อขึ้นครองเป็นฮ่องเต้องค์แรก ก็เลยตกเป็นเป้าสังหารของอีกทั้ง 6 แคว้น


มือสังหารทั้งหลายมี 3 จอมยุทธที่น่ากลัวที่สุด จอมยุทธคนแรก คือ กระบี่หัก เหลียง เฉาเหว่ย หิมะเหิน จาง หม่านลี่ และฟ้าเวิ้ง ก็คือดอนนี่ เยน ผู้ใดก็ตามที่สามารถเอาชนะยอดฝีมือทั้งสามคนนี้ได้ สามคนนี้เป็นมือสังหารที่พยายามสังหารจิ๋นซีฮ่องเต้ มาแล้ว แต่ถ้าใครเอาชนะสามคนนี้ได้ ฉินอ๋อง จะพระราชทานยศศักดิ์ ทรัพย์สินเงินทองกองเท่าภูเขา ได้รับสิทธิพิเศษในการเข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์ แต่การจะเอาชนะจอมยุทธทั้งสามคนนั้น เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยากยิ่ง กว่าสิบปีไม่มีผู้ใดมีความสามารถพอที่จะได้เป็นเจ้าของรางวัลจากฉินอ๋อง หรือจิ๋นซีฮ่องเต้


เมื่อกระบี่ไร้นาม หรือที่เขาเรียกว่า อู๋หมิง เป็นนายอำเภอผู้มีทีท่าน่าสงสัย มาขอเข้าเฝ้าพร้อมหลักฐานซึ่งเป็นอาวุธประจำกายของมือสังหารทั้งสามคน อ๋องฉิน จึงยอมให้จอมยุทธนามว่า ไร้นาม นำแสดงโดย เจ็ทลี เข้าเฝ้า ขณะที่นั่งอยู่ในท้องพระโรง ห่างจากพระองค์เพียง 10 ก้าว ธรรมดาเข้าเฝ้าจะต้องห่างจากพระองค์ 100 ก้าว ไร้นาม จึงแถลงไขเรื่องราวต่างๆ แต่จริงๆ แล้วเป้าหมาย ประสงค์ที่แท้จริงของไร้นาม คือการสังหารจิ๋นซีฮ่องเต้ หรือ ฉินอ๋อง นั่นเอง แต่ก่อนที่ไร้นาม จะมาเข้าเฝ้าฉินอ๋อง เพื่อฆ่าฉินอ๋อง กระบี่หัก เหลียง เฉาเหว่ย ได้เข้ามาทัดทานเขาไว้ ขอให้ล้มเลิกแผนสังหารฉินอ่อง แต่ไร้นาม ยืนยันว่าไม่เลิก กระบี่หัก จึงใช้กระบี่ของตัวเองเขียนข้อความอยู่ 2 ตัว เขียนว่า เทียนเซียะ ความหมายของกระบี่หักคือ ถ้าไม่มีฉินอ๋อง รวมแผ่นดินจีนเป็นหนึ่ง บ้านเมืองจะตกอยู่ในสงครามที่ไม่มีวันสิ้นสุด และความสูญเสียของประชาชนจะมากมายอย่างทวีคูณ


ฉินอ๋อง ฟังคำพูดที่ไร้นาม พูดความคิดของกระบี่หัก พระองค์ถึงกับอึ้ง ตรัสว่า ไม่คิดว่ากระบี่หักจะเข้าใจพระองค์ถึงขนาดนี้ ฉินอ๋อง ถามไร้นาม ว่า จะสังหารเขาอย่างไร ในเมื่อเข้าเฝ้าโดยปราศจากอาวุธ ไร้นาม บอกว่า จะใช้ดาบของฉินอ๋อง ฉินอ๋อง จึงโยนดาบให้ พูดว่า สุดแท้แต่ว่าไร้นามจะตัดสินใจ แล้วยืนหันหลังให้ ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ฉินอ๋อง ได้เห็นอักษรคำว่า กระบี่ ที่กระบี่หักเขียนและเกิดความเข้าใจลึกซึ้งในขณะนั้น ไร้นาม กำดาบแน่น กระโดดพุ่งเข้าใส่ฉินอ่อง แต่ไม่ได้กะฆ่า กลับปล่อยให้ฉินอ๋อง เป็นอิสระ ส่วนเขาเดินออกจากตำหนักแล้วสละชีวิตตัวเอง

ท่านผู้ชมครับ ประเด็นของหนังชื่อ Hero ของจาง อี้โหมว เป็นภาพยนตร์กึ่งประวัติศาสตร์ กึ่งกำลังภายใน สร้างได้อย่างยอดเยี่ยม สวยงาม ไปถ่ายทำที่จิ่วจ้ายโกว ที่เสฉวน ที่มีทะเลสาบที่สวยสดงดงาม


เป็นระดับผลงานมาสเตอร์พีซของจีนที่ถ่ายทอด Soft Power อธิบายปรัชญาทางการเมืองจีนได้อย่างลึกซึ้งจนถึงยุคปัจจุบัน ท่านผู้ชมเห็นหรือยัง

นอกจากภาพยนตร์นี้แล้ว ยังมีหนังสืออีกหลายเล่มที่จีนทำเป็น Soft Power ออกไป ทำไมผมต้องเอาหนังสือมาพูด เอาหนังสือมาพูดเรื่องนี้เพราะต้องการชี้ให้เห็นว่า คนที่อยู่ในแวดวงวัฒนธรรมของจีน หรือของเกาหลี เขามีความลึกซึ้งกว่าคนไทยเยอะมาก เยอะอย่างชนิดที่เรียกว่าเทียบกันไม่ได้เลย ผมเป็นคนชอบอ่านหนังสือกำลังภายใน อ่านมาเป็นสิบๆ ปีจนถึงปัจจุบัน เดี๋ยวนี้หนังสือกำลังภายในไม่ใช่มีเฉพาะแค่โกวเล้ง หรือหวงอี้ แต่นักเขียนจีนรุ่นใหม่เขียนลึกซึ้งมาก เพราะเขามีการศึกษา เขาค้นคว้า เจาะลึกในรายละเอียด ไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์ บุคคล สภาพเศรษฐกิจ สภาพสังคม รวมไปจนถึงเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยทางวัฒนธรรม ไม่ว่าจะเป็นวัตถุโบราณ เรื่องราวทางประเพณี ทำให้เป็นเรื่องราวที่น่าสนใจ มีมิติที่ลึกซึ้ง

ท่านผู้ชมครับ หลายๆ ท่านที่ฟังผมพูดจะเคยอ่านหนังสือชุด หนังสือแปลชุด คนขุดสุสาน เขียนโดย เทียนเซี่ยป้าช่าง เขาเขียนแพร่บนโลกอินเทอร์เน็ตก่อนจะถูกตีพิมพ์เป็นหนังสือในปี 2549 เขาแปลหนังสือเล่มนี้เป็นหลายภาษาทั่วโลก ฉบับภาษาไทย ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 2555 แล้วหลังจากนั้นจีนดัดแปลงมาทำเป็นซีรีส์ออกทางโทรทัศน์


หลังจากนั้นแล้วก็มีหนังสือออกมาอีกหลายเล่ม ที่ผมอ่านประจำตอนนี้คือ มหัศจรรย์เนตรทองคำ เขียนโดย ต๋าเหยี่ยน เป็นนวนิยายแนวลึกลับสืบสวนอิงประวัติศาสตร์ ตัวเอกชื่อ จวงรุ่ย จากคนธรรมดาทั่วไป ทำงานอยู่โรงรับจำนำแห่งหนึ่ง เกิดอุบัติเหตุทำให้ดวงตาของเขาเกิดการเปลี่ยนแปลง มีพลังวิญญาณสามารถมองออกได้ว่าวัตถุโบราณชิ้นไหนเป็นของจริง ชิ้นไหนเป็นของเทียม การเปลี่ยนแปลงของชีวิตอันแสนจะเรียบง่าย เปลี่ยนไปชนิดพลิกฟ้าพลิกดิน แต่เรื่องนี้มันสนุกตรงไหนรู้ไหมท่านผู้ชม ? มันสนุกตรงที่ว่าการที่ จวงรุ่ย หนุ่มโรงรับจำนำ ได้ไปสัมผัสวัตถุโบราณ คนเขียนอธิบายที่มาที่ไปของวัตถุโบราณชิ้นนั้นตามรัชสมัยว่าสร้างกันสมัยหนิง ในยุคฮ่องเต้อะไร และทำไมถึงสร้างแบบนี้ขึ้นมา

ท่านผู้ชมครับ นี่คือแนวรบทางวัฒนธรรมที่มาเป็นคลื่นๆ หนังสือที่มีความลึกซึ้งในการแต่ง มีการวิเคราะห์เจาะลึก ค้นคว้าหาข้อมูล ทำงานวิจัย เพื่อเอามาประกอบเรื่องราวที่สนุกสนานอยู่แล้ว แต่มีเกร็ดความรู้ประกอบ ภาพยนตร์ที่มีปรัชญาออกมา อธิบายบทบาทของพรรคคอมมิวนิสต์จีน เปรียบเทียบกับสมัยจิ๋นซีฮ่องเต้ ที่รวม 7 แคว้นออกมากลายเป็น 1 ประเทศจีน หรือซีรีส์ของเกาหลีที่อธิบายถึงความก้าวหน้าของเกาหลีในหลายๆ เรื่อง ความเป็นสากลของเกาหลี อาหารเกาหลี ท่านผู้ชมครับ เห็นหรือยัง

ท่านผู้ชมครับ เมื่อกี้นี้ผมพูดถึงน้องลลิษา มโนบาล และผมอธิบายถึงเรื่องของแนวรบทางวัฒนธรรมของเกาหลี ต่อด้วยจีน หรือที่เราเรียกกันว่า Soft Power

Soft Power นั้น เราเจอมานานแล้ว ตั้งแต่อดีต ฝรั่งเป็นคนที่เริ่ม Soft Power กับพวกเรา ไม่ว่าจะเป็นเพลง The Beatles, เอลวิส เพรสลีย์ หนังฮอลลีวูดต่างๆ ฝรั่งจะใช้ Soft Power พวกนี้รุกเข้ามาในแต่ละภูมิภาค ท่านผู้ชมครับ เวลามีความขัดแย้งที่ไหนในช่วงที่ตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ถูกเครื่องบินของอัลกออิดะห์ชน ปรากฏว่าหลังจากนั้นก็จะมีภาพยนตร์ขึ้นมาเยอะแยะไปหมดเลย ทำโดยสายฮอลลีวูด ทำให้ดูเห็นถึงความโหดร้ายของพวกผู้ก่อการร้าย แล้วก็โดยที่ไม่พูดถึงที่มาว่าทำไมถึงต้องก่อการร้าย ไม่ได้พูดถึงการที่ตะวันตกนั้นไปหนุนหลังอิสราเอล ไปกดดัน กดขี่ชาวปาเลสไตน์ และชาวภาคตะวันออกกลาง เป็นเพียงแต่ว่า เมื่อทำออกมาแล้วก็ต้องให้คนยิ่งเกลียดยิ่งชังพวกผู้ก่อการร้ายที่ชนตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ไป

สัปดาห์ที่ผ่านมานี้นอกจากจะมีปรากฏการณ์ของน้องลิซ่า ของพวกเราแล้ว ลลิษา มโนบาล ในวงการบันเทิง ท่านผู้ชมครับ สำหรับท่านผู้ชมที่อยู่ในวงการกีฬาในต่างประเทศ ยังมีเรื่องระดับปรากฏการณ์เกิดขึ้นอีกเรื่องหนึ่ง นั่นคือชัยชนะการแข่งขันเทนนิสแกรนด์สแลม ยูเอสโอเพ่น ของนักเทนนิสสาวน้อยจากอังกฤษ


เมื่อวันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2564 เอ็มมา ราดูคานู นักเทนนิสวัยแค่ 18 ปีเอง จากอังกฤษ ได้รับชัยชนะเหนือเลย์ลาห์ เฟอร์นานเดซ (Leylah Fernandez) จากแคนาดา 2 ต่อ 0 เซ็ต คือ ชนะเซ็ตแรก 6-4 เซ็ตที่สอง 6-3 คว้าแชมป์แกรนด์สแลม ยูเอสโอเพ่น โดยเธอถือเป็นแชมป์แกรนด์สแลมหญิงเดี่ยวที่อายุน้อยที่สุด ตั้งแต่สมัยมาเรีย ชาราโปวา จากรัสเซีย ที่คว้าแชมป์วิมเบิลตันไปเมื่อปี 2547


ถ้าท่านผู้ชมยังจำได้ ที่สำคัญที่ยังเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์วงการเทนนิสที่นักเทนนิสที่มาจากรอบคัดเลือก เอ็มมา เข้ารอบคัดเลือก แล้วก็เก็บชัยชนะ 10 แมตช์รวด โดยไม่แพ้เลย คว้าแชมป์ยูเอสโอเพ่นโดยไม่เสียเซ็ตเลย ชนะ เกม 0 มาตลอด นับตั้งแต่เซเรนา วิลเลียม ในปี 2557

ท่านผู้ชมครับ เอ็มมา ได้รับเงินรางวัลติดตัวเยอะที่สุดในชีวิต หรือประมาณ 81 ล้านบาท แล้วก็ปรับอันดับของเธอที่อยู่ในโลกของเทนนิส จากมือวางอันดับ 150 กลายเป็นมือวางอันดับ 23 ของโลก เอ็มมา ราดูคานู เป็นใคร ?

เธอเกิดเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2545 ที่เมืองโทรอนโต ประเทศแคนาดา คุณพ่อเป็นชาวโรมาเนีย ส่วนคุณแม่เป็นชาวจีน มาจากมณฑลเสิ่นหยาง ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ หรือที่เขาเรียกว่าเป็นภาคอีสานของจีน สมัยก่อนเป็นดินแดนที่แร้นแค้น ในช่วงที่จีนยังไม่เปิดประเทศ ในช่วงที่จีนยังไม่รุ่งเรืองทางเศรษฐกิจเหมือนวันนี้ ชาวเสิ่นหยาง หรือชาวตะวันออกเฉียงเหนือของจีนนั้นต้องต่อสู้กับชีวิตประจำวันอย่างชนิดที่เรียกว่าเข้มข้นมาก และต้องมีน้ำอดน้ำทนอย่างสูง


คุณพ่อของเอ็มมา กับคุณแม่ชาวจีน ย้ายถิ่นฐานมาอยู่ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ขณะที่เธออายุ 2 ขวบ ไอดอลของเธอ มี ชิโมนา ฮาเลป นักเทนนิสจากโรมาเนีย และหลี่ น่า ตำนานนักเทนนิสหญิงจีน เป็นไอดอล ท่านผู้ชมครับ เด็กที่จะประสบผลสำเร็จนั้น หรือคนที่จะประสบผลสำเร็จนั้น จะต้องมีความมุ่งมั่น มีความปรารถนาจะทำงาน สานความฝันให้สำเร็จได้ เหมือนกับลลิษา มโนบาล เอ็มมา ราดูคานู ก็เป็นคนๆ หนึ่ง เธอเริ่มเล่นเทนนิสเมื่ออายุ 5 ขวบ ครอบครัวของเอ็มมา ส่งเสริมเธอเต็มที่ ให้ทำกิจกรรมหลากหลาย แต่ว่าเผอิญเทนนิสเป็นกิจกรรมหนึ่งที่เอ็มมา คิดว่าเป็นเป้าหมายสูงสุดของเธออย่างแท้จริง เธอพูดว่า ตอนฉันเริ่มชนะการแข่งขันเทนนิส ซึ่งจัดขึ้นช่วงสุดสัปดาห์ ฉันไม่สนใจกิจกรรมอื่นอีกต่อไปเลย เธอก็เล่าให้ฟังว่า พ่อแม่ค่อนข้างเข้มงวดกับหนูมาก เธอเล่าให้ฟังถึงเวลาที่เธอไปเมืองจีน เพื่อไปเยี่ยมครอบครัวทางฝั่งคุณแม่ เธอได้ไปเห็นวิธีคิดของคนแถวนั้น ชาวเสิ่นหยาง ที่เป็นนักสู้ คิดแบบนักสู้ จะไม่ยอมแพ้ต่ออะไรเลยแม้กระทั่งกับโชคชะตา หนูพอจะบอกได้ว่า แม่คือแรงบันดาลใจที่สำคัญของหนู เพราะแม่ทำงานหนักมาก

ราดูคานู ได้เทิร์นโปรเมื่อปี 2561 เมื่อสามปีที่แล้ว ก่อนลงเล่นระดับ WTA Tour ในปีนี้ ซึ่งเป็นการแข่งขันระดับสูงสุดของวงการเทนนิสหญิง

ท่านผู้ชมครับ เช่นเดียวกับน้องลิซ่า ความสำเร็จของราดูคานู มาจากการรู้จักตัวเอง รู้ว่าตัวเองต้องการอะไรตั้งแต่อายุยังน้อย มุมานะ พยายามไปให้ถึงเป้า อย่างไรก็ตาม พรสวรรค์และความตั้งใจส่วนตัวยังต้องอาศัยแรงสนับสนุนจากครอบครัว คนรอบข้าง เพราะหลายคนมีความสามารถ แต่ขาดโอกาส ท่านผู้ชมครับ ผมกำลังจะพูดถึงเด็กอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นเพชรในตม ชื่อ น้องพลอยเพชร นักเทนนิสรุ่นจิ๋ว จ.สงขลา

ท่านผู้ชมครับ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ คุณอำพัน ละเอียด ชื่อเล่นชื่อ คุณเขียว ได้ส่งข้อความเข้ามาถึงผมในเพจ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ใน inbox ของผม คุณอำพัน พูดอย่างนี้ครับ


"ถึงคุณสนธิ ดิฉันตกงาน ดิฉันต้องการความช่วยเหลือ คุณช่วยหาผู้สนับสนุนลูกสาวฉันหน่อยได้ไหมคะ ฉันไม่สามารถให้ไปถึงฝันเขาได้ค่ะ เพราะว่าไม่มีเงิน แต่เขาไปซ้อมทุกวัน ไม่เคยหยุดเลย ลูกสาวเป็นนักเทนนิสค่ะ

เขาเป็นแชมป์ประเทศไทยตอนอายุ 8 ปี ตอนนี้ 9 ปีค่ะ ตอนลำบากมากค่ะ จึงขอความช่วยเหลือจากท่านค่ะ ก็แล้วแต่จะเห็นสมควรค่ะ

ท่านรู้จักคนมากพอจะช่วยได้ ฉันต้องขอโทษด้วยที่รบกวนท่านค่ะ

ลูกสาวเล่นเทนนิสตั้งแต่อายุ 4 ปี ตอนนี้ 9 ปีแล้วค่ะ
ฉันอยู่จังหวัดสงขลาค่ะ

ฉันอยากจะขอโอกาสให้เขาได้ไปต่อค่ะ
ฉันหมดปัญญาที่จะให้เขาได้ไปต่อค่ะ"


ท่านผู้ชม ผมจะเล่าเรื่องสองแม่ลูกนี้ให้ฟัง คุณเขียว อำพัน ละเอียด เป็นชาวจังหวัดสงขลา และสามีทำงานเป็นช่างซ่อมเรือและช่างทาสีเรือประมง ทำมายี่สิบกว่าปีแล้ว หรือจะพูดอย่างที่ไม่อายเลย คุณอำพัน และสามี เป็นคนหาเช้ากินค่ำ ถ้าไม่มีเรือให้ทาสี ไม่มีเรือให้ซ่อม ก็ไม่ได้ตังค์ ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับคนที่ขายของริมถนน ถ้าวันไหนฝนตก ตั้งแผงไม่ได้ ก็ไม่ได้ตังค์ สามี คุณปริญญา ด้วงเขียว ทั้งคู่เป็นช่างซ่อมเรือและช่างทาสีเรือ ค่าแรงวันหนึ่งได้ประมาณ 500-600 บาท ถ้ามีงานทุกวัน เดือนหนึ่งก็ได้ประมาณ 15,000-18,000 บาท แล้วแต่จะมีคนจ้าง บางวันก็ได้ บางวันก็ไม่ได้ ช่วงสถานการณ์โควิด-19 แบบนี้ ต้องตกงานมาเป็นเวลาปีกว่าแล้ว ไม่มีคนมาจ้างซ่อมหรือทาสีเรือ เพราะไม่มีเรือทะเลออกหาปลา


ท่านผู้ชมครับ คุณอำพัน และคุณปริญญา มีลูกสาวคนหนึ่ง อายุ 9 ขวบ ชื่อ ด.ญ.พลอยเพชร ด้วงเขียว คุณอำพัน เล่าให้ฟังว่า น้องพลอยเพชร มีอาการเป็นเด็กสมาธิสั้น ไม่ค่อยพูด อยู่ไม่ค่อยนิ่ง พาไปหาหมอรักษา แต่คุณอำพัน กลัวว่าถ้ากินยาในระยะยาวจะมีผลข้างเคียง อันตราย เพื่อนของเธอก็เลยแนะนำให้เธอไปออกกำลังกาย โดยให้เล่นกีฬาเทนนิส


ท่านผู้ชมครับ คุณอำพัน รู้ดีว่ากีฬาเทนนิสเป็นกีฬาของคนมีอันจะกิน นี่ก็เป็นเรื่องจริงนะท่านผู้ชม เฉพาะค่าเช่าสนามอย่างเดียว ถ้าท่านผู้ชมมีลูกหลานจะไปตีเทนนิสต้องไปเช่าสนามเขา ค่าเช่าสนามอีก ไหนจะแร็กเก็ตชิ้นหนึ่ง 600-700 บาท ดีๆ หน่อยก็พันกว่าบาท จะไปเรียนเทนนิสก็ต้องมีโค้ช คุณอำพัน รู้ว่าเป็นกีฬาของคนมีอันจะกิน ตัวเองยากจน แต่ความรักลูก อยากให้ลูกแข็งแรงและหายป่วย และเชื่อว่าการเล่นกีฬาจะช่วยลูกได้ น้องพลอยเพชร ก็เลยเริ่มเล่นเทนนิสมาตั้งแต่อายุได้ 4 ขวบ เล่นเร็วกว่าเอ็มมา ที่เล่นเทนนิส 5 ขวบ นี่น้องพลอยเพชร เล่นตั้งแต่ 4 ขวบ เล่นมาเรื่อยๆ จนอาการเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ แล้วในที่สุดก็กลายเป็นกีฬาที่รักไปเลย

ท่านผู้ชมครับ ผมจะเอารูปของน้องพลอยเพชร ขึ้นให้ดู ดูรองเท้าน้องพลอยเพชร สิครับ นั่นคือประเภทคนที่ไม่ค่อยมีเงินซื้อรองเท้าประเภทนั้นให้ใส่ แทนที่จะเป็นรองเท้าขาว


ทีนี้ น้องพลอยเพชร เล่นไปเล่นมาจากกีฬาที่ชอบ กลายเป็นกีฬาที่รัก ถึงแม้ที่โรงเรียนจะไม่มีกีฬาเทนนิสให้เล่น แต่หลังเลิกเรียน คุณอำพัน แม่ของน้องพลอยเพชร จะพาน้องไปเล่นที่สนามเทศบาล เทศบาลนั้นเขามีการจ้างครูมาสอนเด็ก เด็กเยอะแยะเลย เขามาสอน เปิดสอนกลุ่มเด็กๆ ที่สนใจ เขาคิดค่าสอน 1,100 บาท ต่อคนต่อเดือน คุณแม่ยอมเสียให้ลูกเรียน เพราะสอนหลายคนราคาจะถูกลง


ท่านผู้ชมครับ จากการเล่นกีฬาเทนนิส ทำให้น้องพลอยเพชร หายจากการที่เป็นเด็กสมาธิสั้น การเรียนอยู่ในระดับต้นๆ เลย สูง ของห้องเรียน แต่ว่าท่านผู้ชมครับ กีฬาเทนนิส เมื่อท่านผู้ชมเล่นไปถึงระดับหนึ่งแล้ว ต้องเริ่มเรียนเพิ่มกับโค้ชในพื้นที่แบบตัวต่อตัว วันละ 2 ชั่วโมง ชั่วโมงละ 300 บาท เป็นครั้งละ 600 บาท ตกเดือนหนึ่งคิดเป็นเงิน 18,000 บาท ท่านผู้ชมครับ ต้นทุนค่าเรียนเทนนิสอย่างเดียวก็เดือนละ 20,000 บาท แล้ว นี่คือเฉพาะค่าเรียนกับค่าโค้ชอย่างเดียวนะ แล้วท่านผู้ชมครับ ลูกน้องของผม คุณนนท์ เขาไปสัมภาษณ์คุณพลอยเพชร และคุณแม่ของหนูพลอยเพชร ผมฟังแล้วผมมีความรู้สึกน้ำตาซึม เขาบอกว่าเวลาคุณอำพัน พาลูกสาวไปฝึกซ้อมสนาม คุณอำพัน ก็จะเกาะตะแกรงดูอยู่ริมสนาม เพราะตัวเองไม่กล้าเข้าไป เพราะตัวเองมีรอยสีที่ทาเรือเลอะเต็มตัวไปหมด บรรดาคนรวยที่พาลูกไปเล่นเทนนิสที่สนามก็มองเธออย่างเหยียดหยาม ตั้งแต่หัวจรดเท้า ดูถูกว่าเป็นคนจน เหมือนว่าคนเล่นเทนนิสจะต้องเป็นคนรวยเท่านั้น แต่คุณอำพัน ไม่ได้คิดอะไร คิดแค่ว่าให้ลูกได้เล่นกีฬาที่ตัวเองรัก


ปรากฏว่าหนูพลอยเพชร ซ้อมมาได้ 8 เดือน โค้ชเทนนิสเริ่มเห็นแวว และอะไรบางอย่างในตัวเด็กคนนี้ เพราะว่าพลอยเพชร กับเอ็มมา และลลิษา รู้ตัวเองว่าชอบอะไร ทุ่มเทตัวเองไปอย่างเต็มที่ ตอนนั้นเธออายุ 5 ขวบ สู้กับมันเต็มที่ เธอซ้อมไม่หยุด มีอยู่ครั้งหนึ่งซ้อมหนักจนเป็นไข้อยู่เป็นเดือนๆ พอหายก็กลับมาซ้อมอีก ไม่มีคู่ซ้อมก็เสิร์ฟอยู่คนเดียว จนมีครูมาซ้อมให้ ท่านผู้ชมครับ ผ่านไป 1 ปี โค้ชก็เลยหาสนามลงแข่งให้ เธอไม่เคยได้แชมป์เลยตอนแรก เพราะอะไร ท่านผู้ชมรู้ไหม ? เธออายุแค่ 5 ขวบ เธอต้องแข่งกับเด็ก 8 ขวบ 10 ขวบ แต่เธอไม่ท้อถอย เธอแพ้เธอก็กลับมาซ้อมอีก เช้าก่อนไปเรียนหนังสือ เธอซ้อม 2 ชั่วโมง เย็นเลิกเรียน เธอกลับมาซ้อมอีก 2 ชั่วโมง ซ้อมอีกตั้งแต่ 4 โมงเย็น ถึง 2 ทุ่ม เธอฝึกซ้อมไปเรื่อยๆ แข่งไปเรื่อยๆ แล้วเธออายุน้อย ก็เลยต้องแข่งกับเด็กข้ามรุ่น จนเก่งขึ้นๆ จนน้องพลอยเพชร กลับกลายเป็นนักเทนนิสระดับเยาวชนที่มีฝีมือ น่าจะเป็นนักเทนนิสที่มีแววไปได้ไกล เก่งขนาดไหน ท่านผู้ชมครับ เธอเก่งขนาดไหน มาดูประวัติของเธอนิดหนึ่ง


2562 ตอนเธอ 7 ขวบ เธอไปแข่งที่มาเลเซีย เธอแข่งกับเด็กรุ่น 10 ปี และ 12 ปี เธอ 7 ขวบเองนะ แข่งกับเด็กอายุ 10 ปี และ 12 ปี เธอได้ที่ 3 ในกลุ่มทั้งสองรุ่น ก่อนที่เธอจะแพ้เด็กอายุ 12 ปี จากนั้นเธอก็ไปแข่งในระดับภาคใต้ รุ่นอายุ 8 ปี แต่ละรอบน้องพลอยเพชร น็อกเอาต์ เอาชนะคู่แข่ง จนกระทั่งได้ที่ 3 ในการแข่งขันประเภทหญิงเดี่ยว และได้ที่ 2 เป็นรองแชมป์รายการแข่งขันประเภทหญิงคู่ เธอแข่งมาเรื่อย มาได้ 3 แชมป์ ในการลงแข่งรุ่น 8 ปี 10 ปี และเล่นคู่ 10 ปี เธอเป็นการแข่งข้ามรุ่น ทั้งๆ ที่เธออายุเพียง 7 ขวบ เด็กคนนี้ไม่ธรรมดา คู่แข่งอายุจะมากกว่า กระดูกคนละเบอร์ แต่ด้วยความตั้งใจ จริงจัง รักในสิ่งที่ทำ ทำให้เธอฮึดสู้จนสามารถเอาชนะคู่แข่งที่เธอเคยแพ้มาแล้วในอดีตได้ทั้งหมด ในอดีตเธอเคยแพ้มากี่คน เธอชนะมาหมดเลย


ปีที่แล้ว 2563 มีการแข่งขันทัวร์นาเมนต์นานาชาติที่ทางหาดใหญ่จัดขึ้นมา มีผู้เข้าแข่ง 16 ประเทศ น้องพลอยเพชร เอาชนะคู่แข่งมาทุกรอบ จนถึงรอบชิงชนะเลิศ ท่านผู้ชมครับ เอาชนะเกาหลีใต้ คว้าแชมป์ทั้งประเภทคู่และเดี่ยว ท่านผู้ชมครับ การแข่งระดับนานาชาติที่ทางหาดใหญ่จัด มีคนเข้ามาแข่ง 16 ประเทศ เธอคว้าแชมป์ เอาชนะเกาหลีใต้ทั้งประเภทเดี่ยวและประเภทคู่ จากนั้น น้องพลอยเพชร มาได้แชมป์ประเทศไทย และแชมป์มาสเตอร์ ตอนปี 2563 แข่งระดับนานาชาติรุ่น 8 ขวบ ก็ได้แชมป์ทั้งหญิงเดี่ยว หญิงคู่ และยังได้แชมป์มาสเตอร์ 2563 ในรุ่นอายุไม่เกิน 8 ปี ที่มีการคัดเด็ก 12 คน ไปแข่งกัน น้องก็ได้แชมป์มา


เวลาไปแข่งทุกครั้ง แม่จะพาไปเอง ขับรถปิกอัพเก่าๆ พาลูกสาวไป แต่งตัวแบบบ้านๆ แบบชาวบ้าน ผมไม่ประหลาดใจถ้าคุณอำพัน จะใส่รองเท้าแตะแล้วไปส่งลูก เพราะเงินทุกอย่างเธอทุ่มเท ซื้อรองเท้า ซื้อไม้เทนนิส ถ้าท่านผู้ชมไม่เชื่อ ท่านผู้ชมเข้าไปเปิดกูเกิล ลองค้นหาชื่อ พลอยเพชร ด้วงเขียว ดูก็ได้

ท่านผู้ชมครับ เบื้องหลังความสำเร็จไม่ได้มาง่ายๆ คนทั่วไปไม่เคยเห็น เหมือนกับเบื้องหลังความสำเร็จของลลิษา มโนบาล ไม่มีใครรู้จักเธอ มารู้จักอีกที แม้กระทั่งมาแย่งแสงน้องลลิษา มโนบาล ก็คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ชมน้องลลิษา มโนบาล ใน ครม. แล้วบอกว่า คนๆ นี้ต้องสนับสนุน ท่านจะไปสนับสนุนอะไรเขา เขาอดทนมา 14 ปี กว่าเขาจะมาถึงวันนี้ ท่านไม่ต้องไปสนับสนุนเขา และท่านอย่าไปยุ่งกับเขาเลย ขอร้อง พวกท่านนิสัยแบบนี้ ชอบเข้ามาตอนจบทุกที พอเขาได้ดีทีไร พวกท่านต้องขอรับแสงด้วย

เบื้องหลังความสำเร็จไม่ได้มาง่ายๆ และคนทั่วไปไม่เคยเห็น คืออะไร ? ความทุ่มเทฝึกซ้อม และการทุ่มทุนทั้งกำลังเงิน กำลังกาย กำลังใจของครอบครัว

ท่านผู้ชมครับ น้องพลอยเพชร วันนี้อายุ 9 ขวบ เรียนอยู่ชั้นประถมฯ 4 ที่โรงเรียนวิเชียรชม ต.บ่อยาง อ.เมืองสงขลา น้องพลอยเพชร เป็นคนตั้งใจเรียน เรียนเก่งระดับท็อปของชั้น เป็นเด็กนิสัยเรียบร้อย ได้รับการคัดเลือกให้เป็น เด็กดีศรีวิเชียรชม เป็นนักเรียนต้นแบบการทำความดี นอกจากนี้แล้ว ยังได้รับรางวัล เด็กดีศรีสงขลา อีกด้วย


น้องพลอยเพชร เป็นมือหนึ่งของประเทศไทยมา 2 ปีซ้อน ตั้งแต่อายุ 7-8 ขวบ ท่านผู้ชมครับ น่าสงสารไหม ไม่มีใครสนับสนุนเลย จนเริ่มเดินสายก็มีบริษัทสนับสนุนบริษัทหนึ่ง ชื่อ Dunlop สนับสนุนอย่างไรรู้ไหมท่านผู้ชม ? ให้ไม้ตีเทนนิสมา 1 อัน น้องพลอยเพชร ใช้มา 3 ปีแล้ว


คุณแม่ก็เก็บเงินซื้อรองเท้าให้ลูกไว้แข่ง ซ้อม คู่ละ 3,500 ไม้อีก 6 พันกว่าบาท ทั้งหมดควักเงินจ่ายเอง จากช่างทาสีเรือและซ่อมเรือที่ได้ค่าแรงวันละ 500-600 บาทต่อวัน ท่านผู้ชมครับ โค้ชเองก็อยากจะดันน้องพลอยเพชร ให้ติดทีมชาติ แต่แม่อำพัน ไม่ไหวกับค่าใช้จ่าย น้องจึงไม่ได้ซ้อมกับโค้ชแล้ว โชคดีที่ยังสามารถเข้าไปฝึกซ้อมในสนามเทนนิสของค่ายทหารในพื้นที่ได้ฟรี ไม่ได้เรียนกับโค้ชเลยตอนนี้ แต่ฝึกซ้อมเอง หรือรอซ้อมกับผู้ใหญ่ที่เข้าไปเล่นในสนาม แม่จะคอยเข้าไปกวาดน้ำ เช็ดสนามให้เรียบร้อย เพื่อรอคนว่างๆ มาเป็นคู่ซ้อมให้ลูกสาว เพราะแม่ไม่มีเงินให้ไปเรียนกับโค้ชแล้ว


ท่านผู้ชมครับ พลอยเพชร กับเอ็มมา ราดูคานู ไม่ได้ต่างอะไรกันเลย แต่เอ็มมา ราดูคานู มีพ่อเป็นชาวโรมาเนีย มีแม่เป็นชาวจีน พ่อกับแม่มีปัญญาที่จะสนับสนุนเอ็มมา ได้ เพราะการเล่นเทนนิสในต่างประเทศจริงๆ แล้วไม่ได้แพงเหมือนในเมืองไทย เป้าหมายของน้องพลอยเพชร คือ อยากติดทีมชาติให้ได้ แต่ตอนนี้ไม่ไหว เพราะค่าใช้จ่ายมันสูง แม่ไม่มีรายได้ ไม่มีงานทำมาปีกว่า แม่บอกว่าคิดจะขายรถกระบะ แต่ก็เสียดาย เพราะไม่รู้จะเอารถที่ไหนพาลูกไปแข่ง น้องพลอยเพชร เป็นแชมป์ประเทศไทยสองปีซ้อน มีโอกาสสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยในอนาคตข้างหน้า เด็กคนนี้อนาคตไกล แต่เสียดายไม่มีใครสนับสนุนช่วยเหลือค่าใช้จ่ายตรงนี้ มีเพียงท่านเจ้าอาวาสวัดไทรงาม วัดในพื้นที่ มอบเงิน 5,000 บาท ตอนที่น้องไปแข่งและได้แชมป์มา

ท่านผู้ชมครับ ผมมองน้องพลอยเพชร ถ้าได้รับการสนับสนุนจริงๆ น้องพลอยเพชร ก็อาจจะเป็นเอ็มมา ราดูคานู คนที่สองในอนาคต เพราะเธอเล่นเทนนิสมา อายุที่เริ่มเล่นอายุน้อยกว่าเอ็มมา และเธอก็แสดงศักยภาพของเธอมาแล้ว

คุณอำพัน บอกว่า ดูไลฟ์สดคุณสนธิ ทุกวันศุกร์ เพราะชอบ คลิปสั้นก็ดูทุกคลิป ดูคุณสนธิ เห็นว่าเป็นคนพูดจริงทำจริง เหมือนดุ แต่ใจดี เลยคิดว่าถ้าโชคดี คุณสนธิ น่าจะพอจะแนะนำคนที่พอจะช่วยเหลือเราและลูกได้ แต่ไม่เคยคิดว่าจะได้รับการช่วยเหลือจริง

ท่านผู้ชมครับ เมื่อเรื่องมาถึงผมแล้ว ผมส่งลูกน้องคนหนึ่งไปเช็กข้อมูล ปรากฏว่าถูกต้องทุกประการ ผมตัดสินใจ ขออนุญาตท่านผู้ชม ขอให้ผมเป็นตัวแทนท่านผู้ชมที่เป็น FC รายการนี้ ผมควักเงินส่วนตัวของผมสนับสนุนน้องพลอยเพชร ให้เงินเดือนน้องพลอยเพชร ให้คุณแม่อำพัน ไปเดือนละ 25,000 บาท ที่ต้อง 25,000 เพราะว่าจะรวมค่ากินค่าอยู่ที่บ้าน 20,000 ก็เป็นค่าซ้อมเทนนิส ค่าจ้างโค้ช ค่าโน่นค่านี่ แล้วยังจะต้องสนับสนุนช่วยซื้อไม้เทนนิสให้อีก ท่านผู้ชมครับ ผมพร้อมที่จะสนับสนุนน้องพลอยเพชร เด็กดีมาก เรียนหนังสือเก่ง เป็นเด็กมารยาทดี ได้รับคำชมเชย ได้แชมป์มาสองปี ผมหลับตาแล้ว น้องพลอยเพชร แล้วผมคิดถึงลลิษา มโนบาล ผมคิดถึงเอ็มมา ราดูคานู ผมขออนุญาตเป็นตัวแทน FC ของผมทุกคน ที่จะควักเงินส่วนตัวสนับสนุนไป ผมเพียงแต่ภาวนาให้ผมไม่ตายเร็ว อย่างน้อยที่สุด ผมเชื่อว่าผมพอที่จะได้เห็นความสำเร็จของน้องพลอยเพชร และผมอยากเห็นน้องพลอยเพชร ทำชื่อเสียงให้กับประเทศไทย จากลูกสาวของช่างทาสีเรือ และคนซ่อมเรือ ที่ไปดูลูกเล่นเทนนิส ต้องยืนเกาะอยู่ริมสนาม ริมตาข่ายที่เขากั้นสนามเอาไว้ เพราะตัวเองสกปรกไปด้วยสี แล้วไม่อยากจะเดินเข้าไปถูกผู้รากมากดี คนรวยที่เอาลูกไปเล่นเทนนิส ดูถูกเหยียดหยามเขา


ท่านผู้ชมครับ ผมพูดไปแล้วผมก็น้ำตาจะคลอ ผมไม่อยากจะเอาประโยชน์อะไร หรือผมไม่อยากจะรบกวน FC แต่ผมต้องการเล่าให้ฟัง หลายคนบอกว่าระดมทุน ผมบอกไม่ต้องครับ ให้ผมคนเดียวก่อน ถ้าผมไปไม่ได้ หรืออย่างไรก็ตาม ถ้าผมตายไปก่อนที่น้องพลอยเพชร ท่านผู้ชมที่รักผมอยู่ ถ้ารับทราบเรื่องนี้ ก็ค่อยช่วยกันสนับสนุนน้องพลอยเพชร ต่อไปก็แล้วกัน เพราะผมดูแล้ว เธอเพิ่งจะอายุ 8 ขวบ เธออยู่ ป.4 อย่างน้อยต้องอีก 8 ปี แปดปีข้างหน้าผม 82 หวังว่ายังคงไม่ตาย อย่างน้อยที่สุด ผมขอให้ผมมีชีวิตอยู่และได้เห็นผลสำเร็จของน้องพลอยเพชร ผมทำสิ่งนี้ไม่ใช่เพื่อตัวผมเอง แต่ผมทำเพื่อน้องพลอยเพชร และผมทำให้คุณอำพัน ให้รู้ว่าน้องพลอยเพชร คุณอำพัน ครับ ไม่ต้องไปเกรงใจคนรวยที่สงขลาที่พาลูกไปเล่น ไม่ต้องไปกลัวเขา คุณมีสนธิ ลิ้มทองกุล และแฟนประจำของสนธิ เป็นล้านๆ คน ยืนอยู่ข้างหลังคุณ ขอให้มุ่งมั่น ทุ่มเท ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก น้องพลอยเพชร สู้ให้สุดชีวิต ไม่ต้องกลัวอะไรอีกต่อไปแล้ว

ท่านผู้ชมครับ วันนี้ก็ขอจบเรื่องอยู่เพียงแค่นี้ แล้วเราค่อยมาเจอกันในอาทิตย์หน้า สวัสดีครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น