xs
xsm
sm
md
lg

“ไฮโซลูกนัท” แค้นบังตา “สติหลุด เผาบ้านตัวเอง” พา “ม็อบ” ลุยทะลุนรก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ – ยังคงป่วนกันไม่หยุดหย่อน

ความเคลื่อนไหวของ “พลพรรค 3 นิ้ว” ที่วันนี้ “ทะลุฟ้า” ไม่พอ อัปเลเวลไป “ทะลุแก๊ส” อาละวาด “กร่าง-ถ่อย” ปาระเบิดเพลิง ยิงปะทัด อัดใส่อยู่กับเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชน (คฝ.) กันอยู่ที่สมรภูมิ “สามเหลี่ยมดินแดง”

วางงานเป็นรายวัน ต้องมีฝ่ายม็อบก็ปาปะทัด เผาป้อมตำรวจ ส่วนฝ่ายตำรวจ ก็ระเมยิงแก๊สน้ำตา สับไกกระสุนยาง ซัดกันนัว วนเวียนๆ อยู่ที่สามเหลี่ยมดินแดงกันมาครึ่งค่อนเดือน

จนเหมือนเป็นสังเวียนระหว่าง “โจทก์-อริ” ที่มีนัดยกพวกตีกันหลังเลิกเรียม ราวกับบ้านเมืองไม่มีขื่อมีแป

เก่งกล้าสามารถ ไม่หวาดหวั่นกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ยั่วได้ยั่วดี ทำพฤติกรรมแบบซ้ำๆ หวั่นใจกันว่าในไม่ช้าหากยังลดดีกรี “ความเถื่อน” อาจเข้าโหมด “หนีเสือปะจระเข้” บีบให้รัฐบาลต้องประกาศ “กฎอัยการศึก” เป็นชนวนเหตุให้ “ทหาร” ออกมานอกกรมกอง เพื่อควบคุมสถานการณ์แทนตำรวจ จากภาพความรุนแรงที่เกิดขึ้นรายวัน แถมพื้นที่เป้าหมายของม็อบ ก็อยู่ “เขตทหาร” เสียด้วย

อย่างไรก็ดี ความเถื่อน-ถ่อยที่เกิดขึ้นตลอดสัปดาห์ ก็ทำเอาคนเริ่มจะเอือมๆ เบือนหน้าหนีม็อบ เพราะไม่ต่างกับ “อันธพาลป่วนเมือง” ที่อาจจะทำให้กระแส “ไล่ประยุทธ์” ที่กำลังเข้าฝัก เสียกระบวนไปเปล่าๆ

อีกทั้งภายใต้การเคลื่อนไหวที่เปิดวอร์ปะทะกับเจ้าหน้าที่ราวกับ “สงครามกลางเมือง” ก็ยังมี “นัยแอบแฝง” กระทบกระเทียบ “สถาบันพระมหากษัตริย์” อย่างไม่หยุดหย่อน

ยิ่งชัดเจนเมื่อสปอร์ตไลต์ดวงใหญ่ส่องไปที่ “ลูกนัท” ธนัตถ์ ธนากิจอำนวย เจ้าของธุรกิจอุปกรณ์สื่อสาร-อสังหาริมทรัพย์ อดีตตัวจี๊ดแห่ง “ม็อบนกหวีด” กปปส. ที่ร่วมรุกไล่ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” เปิดทางให้ “ทหาร” เข้ามายึดอำนาจ ก่อนจะประกาศ “ย้ายฝั่ง” เปลี่ยนแนวคิดทางการเมือง จนได้รับสมญา “สลิ่มกลับใจ”

พลันกลับใจมาร่วมม็อบไล่ “รัฐบาลประยุทธ์” ไม่ทันไร “สาวก 3 นิ้ว” ยกยอปอปั้นราวกับ “ซูเปอร์สตาร์” นึกคึกขึ้นปราศรัยท้ายกระบะกลางสมรสภูมิเดือดสามเหลี่ยมดินแดง เมื่อวันที่ 13 ส.ค.64 เคราะห์ร้ายโดน “วัตถุนิรนาม” ซัดเปรี้ยงเข้าบริเวณใกล้ดวงตา จนตีปิ๊บใหญ่โตว่า “ตาบอด” ไปหนึ่งข้าง

แม้ไม่ถึงชีวิต เป็นศพให้มาแห่ แต่บรรดาชาว 3 นิ้ว ก็ออกอาการเห่อกันมาก ราวเด็กได้ของเล่นใหม่ เพราะรู้สึกสะใจที่ได้ “สลิ่มตัวพ่อ” มาเป็นแกนนำ เย้ยหยันฝั่งตรงข้ามได้ถึงจิตถึงใจ

ขณะที่ “ลูกนัท” ก็เหมือน “เด็กมีปม” วันหนึ่งพอมีคนมาสรรเสริญเยินยอก็ตัวลอย เหมือนปลากระดี่ได้น้ำกลายเป็นคน “เสพติดแสง” ขยันออกมาหารับประทานทุกวัน

จนผู้คนอดแปลกใจไม่ได้ว่า สรุปตาบอดจริงหรือไม่ เพราะเห็นนอนรักษาตัวไม่กี่วัน ก็ออกมาเพ่นพ่านสร้างกระแส เหมือนคนเข้าโรงหมอไปรักษา “สิว” มากกว่า

ที่ผ่านมาบทบาทของ “ลูกนัท” นอกจาก “ความก้าวร้าว” แล้ว ก็แทบหา “แก่นสาร” อะไรให้หวังไม่ได้ ไม่มีอะไรที่ใกล้หรือเฉียดคำว่า “สาระ” เลย แต่น่าแปลกที่ “สาวก 3 นิ้ว” กลับนิยมชมชอบคนที่เคยมีสมญาว่า “ไฮโซ” แต่รสนิยมกลับเป็นไปในทิศทางตรงกันข้ามขนาดนี้

ทั้งที่พยายามบอกมาตลอดว่า คนรุ่นใหม่เป็นชนชั้นปัญญา แต่กลับมาเดินตาม “แกนนำไร้ราคา” ที่หา “หลักแก่น” ในชีวิตไม่เจอ

รสนิยม “โลคลาส” สะท้อนจากการแสดงออกก็แทบไม่มีคราบไคลของการเป็นชนชั้นผู้ดี ที่มาจากตระกูลเศรษฐี หนำซ้ำกลับแสดงความด้อยค่าตัวเองออกมาบ่อยครั้ง ไปสุดทุกเรื่อง แต่ล้วงลึกเข้าไปกลับ “กลวงโบ๋” ไม่เจอ “แก่น” หากจำกันได้ตอนร่วมชุมนุม กปปส. ก็เป่านกหวีดไล่ “เสี่ยโต้ง” กิตติรัตน์ ณ ระนอง ปรี๊ดๆ แบบสนุกลำคอ สนุกปาก

ล่าสุดทำหลายคนเห็นแล้ว “เดือดในอก” เป็นเหตุการณ์หลัง “ลูกนัท” ออกจากโรงพยาบาล แล้วเข้าร่วมกิจกรรมม็อบเมื่อวันที่ 22 ส.ค.64 ของ “กลุ่มทะลุฟ้า” ที่จัดกีฬาสีไล่ล่าทรราช ศึกฟุตบอลแดงเดือด ประชาชน VS ทรราช โดย “ลูกนัท” ปรากฏตัวเดินถือป้ายในขบวนพาเหรด แม้ยังมี “ผ้าปิดตา” ข้างที่บาดเจ็บอยู่

ที่เป็นประเด็นคือเครื่องแต่งกาย ที่สวมเสื้อสูทสีเทา พร้อมสะพายกล้องถ่ายรูปไว้ที่คอ

ตีความไม่ยากว่า “จงใจ” แต่งกายเลียนแบบบุคคลอันที่เป็นเคารพรักคนทั้งประเทศ

จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางถึง “ความเหมาะสม” ขึ้นมาทันที เพราะตัว “ลูกนัท” ผู้ไร้แก่นสาร ไม่ได้ “ลึกซึ้ง” จนยากจะตีความ

ทำเอา “อดีตคนคุ้นเคย” ที่เคยร่วมม็อบ กปปส.ด้วยกันอย่าง “เสี่ยตั้น” ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ อดีต รมว.ศึกษาธิการ และศรีภรรยา “มาดามอีฟ” ทยา ทีปสุวรรณ อดีตรองผู้ว่าฯ กทม. ที่ต่างออกมาโพสต์วิจารณ์พฤติกรรมของ “ลูกนัท” อย่างรุนแรง

โดย “เสี่ยตั้น-ณัฏฐพล” ระบุว่า “มันจะมากเกินไปแล้วนะ ไอ้อ้วน!!! ทำเป็นเหมือนฉลาด หลอกให้คนมาด่า มาล้อเลียนพ่อกรูทางอ้อม

เออ! ของขึ้น ลิ่วล้อไม่ต้องขำหรอก ดีใจได้เลย!!! เพราะกระตุ้นต่อมจริง เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่น เรื่องมาล้อเลียนโว้ย! คิดว่าคนไทยไม่รู้หรือ ว่ามรึงกำลังสื่ออะไร

คนอะไรเลวได้ขนาดนี้ พ่อแม่สั่งสอนแต่ไม่จำ ถ้าน้องๆ จะให้คนแบบนี้มานำ แสดงกิริยาเนรคุณแผ่นดินนี้ น้องๆ เห็นว่าประเทศไทยมันแย่นัก ก็เชิญออกจากประเทศนี้ไปเลย! ภาษาไทยบนป้ายยังสะกดผิดเลย อย่าอยู่ประเทศไทยเลยดีมั้ย!!

คนเขาเคารพกันทั้งโลก มรึงมาทำเล่นเป็นตลก!!! ใช่ครับผมอาจหยาบคาย อาจใช้คำพูดไม่เหมาะ แต่คนพวกนี้พูดจาดีๆ คงไม่เข้าใจ จะมาดรามาว่าผมเป็นตัวอย่างไม่ดีให้เด็กๆ ขอบอกว่า ใครมาด่าพ่อเราแบบนี้ขณะที่พ่อเขาอยู่เฉยๆ ก็ต้องสู้มันน้อง!!! นี่แหละสันดานคนไทยแบบผม #คนไทยที่รักแผ่นดินไทย!!! ฟ้องได้เลยน้อง รออยู่!”

ขณะที่ “มาดามอีฟ-ทยา” ในหัวข้อ “ใจบอดกว่าตา” ระบุว่า “จะหิวแสง จะไปม็อบ จะด่ารัฐบาล จะตาบอด จะทำตัวเป็นฮีโร่ ก็เรื่องของมัน ไม่ได้เคยให้ค่า ให้ราคากับเด็กที่มีปัญหา อยากเป็นที่ยอมรับ เพราะขาดความอบอุ่น และทั้งชีวิตไม่เคยทำอะไรสำเร็จ นอกจากใช้เงินพ่อแม่ไปวันๆ!!

แต่การแต่ง Cosplay ใส่สูท ถือกล้อง ตาบอด นี่มันเกินจุดที่คนไทยจะรับได้ ท่านทำให้คนไทยมาทั้งชีวิต กลับมาล้อเลียนเล่นตลกกับสิ่งที่คนทั้งประเทศเคารพรักและศรัทธาอย่างนี้ ไม่คิดเลยว่าเด็กที่เกิดมาในแผ่นดินไทย ได้รับการศึกษาในระดับหนึ่ง (ถึงแม้มีข่าวว่าเรียนไม่จบ!!) จะอยากดัง อยากได้การยอมรับซะจนไร้ซึ่งจิตสำนึกถึงบุญคุณของชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ถึงเพียงนี้

เอาเถอะ…เรื่องจิตสำนึก ความกตัญญูรู้คุณมันคงสอนกันไม่ได้จริงๆ ได้แต่แผ่ส่วนกุศลไป สงสารบุพการีที่เลี้ยงลูกมาแล้วเป็นแบบนี้จริงๆ!! #หนักแผ่นดิน

ป.ล. ป้ายถือ ภราดรภาพ ยังเขียนผิดเลย สงสัยเรียนไม่จบจริงๆ !!”

ขณะที่ “ลูกนัท” ดูเหมืทอนไม่สำนึก โพสต์หลายข้อความตอบโต้ โพสต์หนึ่งระบุว่า “ความตลกคือ : สรุปว่า กู ตั้งใจไปทำตัวเองตาบอด เพื่อที่จะใส่สูท ถือกล้อง ล้อเลียน..? คือทำไม การใส่สูท ที่เป็นเครื่องแต่งกายปกติ ตามรสนิยม แต่ละคน + ถือกล้อง ที่มีไว้ถ่ายรูป ถึง = ล้อเลียน? มึงบ้าปะ? ชอบใส่สูทแล้วอยากจะถ่ายรูปพร้อมกันไม่ได้ งี้หรอ?

งั้นคือ ต่อไปนี้ ประเทศนี้ ห้ามคนตาบอด 1 ข้าง ใส่สูทพร้อมถือกล้อง? ปัญญาอ่อน กันไปใหญ่

ปล่อยวางบ้างเถอะ ผมไม่ได้จะล้อเลียนใคร ผมแค่บังเอิญตาบอด 1 ข้าง แล้วชอบใส่สูท แล้ววันนี้จะถ่ายรูป เลยเอากล้องไป ขี้เกียจจะมาทะเลาะเป็น ศัตรูกับใคร เอาเป็นว่าแล้วแต่จะสบายใจนะจ้ะ สลิ่มทั้งหลาย”

โดยเฉพาะช่วงท้ายโพสต์ที่ว่า “#แล้วงบประมาณสถาบันกษัตริย์ #สุดท้ายก็ไม่รู้ได้อภิปรายหรือเปล่า #ช่วงนี้ประเทศชาติรวยมากมั้งถลุงงบกันแบบไม่ต้องตรวจสอบกันเลยทีเดียว”

สะท้อนถึง “ทัศนคติ” ที่มีต่อ “สถาบันพระมหากษัตรย์” อย่างแจ่มแจ้ง

คุยเขื่องว่า ติดตามการเมืองมานาน จนอินแล้วออกมาร่วมม็อบ ทั้ง กปปส. หรือ 3 นิ้ว ก็ต้องรู้อะไรควรมิควร

ปากบอกทนไม่ไหว ต้องการออกมาไล่ “บิ๊กตู่” แต่พอมีแสงให้รับประทานเยอะๆ กลับเหิมเกริม “ลามปาม-ไม่รู้ที่สูงที่ต่ำ” ถลำไปในเรื่องที่ไม่ควรดึงมาเปอะเปื้อนกับการเมือง

ที่ว่า “ปัญญาอ่อน” เพราะไม่รู้หรือว่า การเคลื่อนไหวของ “ม็อบ 3 นิ้ว-ม็อบทะลุฟ้า” ที่ผ่านมามีเป้าหมายเกินกว่า “ล้มรัฐบาล” คนมีสติสัมปชัญญะต้องรู้ว่า การแต่งกายเช่นนั้นไปเพ่นพ่านเรียกแสงใน “ม็อบล้ม” นั้นเหมาะสมหรือ

ทั้งที่เคย “แสดง” อาการอดรนทนไม่ไหวกับพวก “หมิ่นสถาบัน” แต่มาวันนี้พลิกหน้ามือเป็นหลังเท้า อะไรที่ว่าเขาทำหมด

แบบนี้ไม่เข้าคอนเซปต์ “สลิ่มกลับใจ” ตรงไหน แต่อยู่ในข่าย “ไม้หลักปักขี้เลน”

ไม่ต้องอื่นไกล “คนในครอบครัว” ยังรับไม่ได้ เมื่อ “อมรพิมล ธนากิจอำนวย” มารดาของ “ลูกนัท” ได้โพสต์ภาพพระบรมฉายาลักษณ์ในหลวง รัชกาลที่ ๙ พร้อมทั้งขอความระบุว่า “ขอเทิดทูนชั่วนิรันดร์”

เช่นเดียวกับ “กิตติ ธนากิจอำนวย” เจ้าของ บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) บิดาของ “ลูกนัท” ได้มีการตอบในโพสต์ดังกล่าวของภรรยาว่า “รับไม่ได้ใครมาลบหลู่ เลือดเนื้อเชื้อไขก็ต้องตัดทิ้ง”

รวมทั้งยังมีแถลงการณ์ของ “ครอบครัวธนากิจอำนวย” ที่ประกาศ “ตัดหาง” เพราะรับไม่ได้กับพฤติกรรมต่ำตมเช่นนั้น

ใช่ว่าจะทำให้ “ลูกนัท” สำนึก กลับท้าทายโดยการโพสต์ถึงท่าทีของครอบครัว เป็นความพยายามของ “สลิ่ม” ที่ต้องการควบคุมไม่ให้ตัวเองเคลื่อนไหว พร้อมขอร้องว่า “ทุกๆ คนครับ- ละเว้นแม่ผมไว้คนนึง เป็นคนเดียวที่ผมยังรักและไว้ใจอยู่ และน้องสาวด้วย. ส่วนที่เหลือ give them hell”

แปลเป็นไทยไม่ยาก give them hell ก็ “ขอให้พวกเขาตกนรก” เว้นแม่-น้องสาว แต่เหมารวม “พ่อบังเกิดเกล้า” ก็รับข้อหา “เนรคุณ” ไปเต็มๆ เนรคุณทั้งครอบครัว เนรคุณทั้งแผ่นดิน

ไม่เท่านั้นยังประกาศขอให้ช่วยกันตั้ง “นามสกุลใหม่” และประกาศว่า “ถึงเวลาดันเพดาลทะลุเกินฟ้า”

ก่อนที่จะออกอาการ “ปากกล้าขาสั่น” เมื่อมีคลิปเสียงคล้าย “ลูกนัท” หลุดออกมา โดยเนื้อหาระบุว่า “คึกคะนองไปหน่อย กะว่าแค่เล่นสนุก สูทหลายตัวมากที่ผมตัด ผมก็ตัดตาม “ท่าน” ตามเซนส์ของแฟชั่น เพราะว่าแฟชั่น “ท่าน” ก็สวย ดี เท่ ผมก็ชอบ ผมเอาใส่ สะพายกล้องไป ผมก็รู้แล้วแหละว่า ผมจะใช้ข้ออ้างว่าผมจะเอารูป (กล้อง) ไปถ่าย แต่ผมรู้อยู่แล้วว่า ทุกคนก็จะมองว่า เฮ้ย!มึงแต่งตัวเป็นแบบนี้ แต่คำว่า คอสเพลย์ (Cosplay) หรือล้อเลียนมันเกินเลยความตั้งใจของผมไปเยอะมาก

ผมแค่อยากให้คนขำเล่น ขำเล่นเนี่ย ไม่ได้เหยาะเย้ย “ท่าน” นะ ขำเล่นเนี่ยแค่ให้มันเป็นแบบบันเทิง ผมแค่แต่งตัวเหมือน แต่ผมไม่เคยคิดอยากให้มันเป็นการล้อเลียน เป็นการดูหมิ่นเกียรติ “ท่าน” หรือเป็นการแบบหมิ่น….อย่างเนี่ย ผมไม่ได้ชอบเลย พอมีคนเอาไปเล่นกัน สะใจแบบนั้น ผมไม่ได้ถูกใจที่มันเกิดขึ้นนะ

พูดตรงๆนะ ผมไม่ได้มีเจตนาอย่างนั้น แต่ผมคงไม่สามารถออกสื่อว่าผมเสียใจได้นะ เพราะทำไปแล้วก็ต้องยอมรับ แล้วก็ยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วใครจะมาฟ้อง 112 ผมก็ต้องสู้ต่อไป ผมก็ต้องสู้คดีไปตรงนั้น มันก็แค่การแต่งตัว”

เท่ากับ “สารภาพสิ้นไส้” ว่าจงใจแต่งกายเลียนแบบอย่างชัดเจน แม้จะอ้างงูๆ ปลาๆ ว่า ไม่ได้คาดหวังผลลัพธ์ที่ออกมา แต่ก็ “แถไม่ขึ้น”

จะว่าไป “ไฮไซนัท” นี่นับว่า มีคุณปการกับประเทศไม่น้อย หลังกลับใจไปร่วมกับ 3 นิ้ว แล้วแสดงพฤติกรรมต่ำทรามออกมาในวันนั้น เพราะมันเหมือนไปกระตุกต่อมคนเทิดทูนสถาบันเข้าอย่างจัง ดารารุ่นใหญ่ในสายบันเทิง พาเหรดกันออกมา Call out “ปกป้องสถาบันเบื้องสูง” กันเพียบ

ในขณะที่ดารา Call Out สาย 3 นิ้ว ที่คลั่งไคล้ประชาธิปไตย ตอนนี้เสียงแผ่ว เงียบเชียบ ราวกับหนีเข้าป่า หลังรู้แล้วว่า ความบรรลัยมาถึงตัว กระทบชีวิตการทำงานเต็มๆ โดยเฉพาะคิวที่ไปด้อยค่า “วัคซีนยี่ห้อจีน” จนเจอกระแสแผ่นดินใหญ่แอนตี้ งานหด เงินหาย

ป่านนี้คงมีบทเรียนกันแล้วว่า หากจะแหกปากว่า อะไรควรคิดหน้าคิดหลังให้ดี แทนที่จะเลือกเดินตามผู้ใหญ่ไม่ให้หมากัด กลับไปยอมเดินตามให้ “เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม” นำ

กระทั่ง “เสี่ยเต้น” ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำคนเสื้อแดง และอดีต รมช.พาณิชย์ ในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ก็ออกอาการแหยงๆ หลังจากที่ก่อนหน้านี้เคยออกมา “ซื้อใจเด็ก” ร่วมจัดกิจกรรม “Car Park” จอดรถฟังปราศรัยไล่ประยุทธ์เมื่อวันที่ 15 ส.ค.64 กับม็อบ 3 นิ้ว และไปร่วมสัมผัสบรรยากาศที่สามเหลี่ยมดินแดง ที่ป่าวประกาศขอให้ม็อบกลับบ้านเท่าไรก็ไม่ฟัง

แต่ในฐานะ “คนทำม็อบมืออาชีพ” หนึ่งในตำนาน “สู้แล้วรวย” จับกระแส “ไม่เอารัฐบาล” ได้ชัดเจน ประกาศแคมเปญ “นายกฯ หน้าทน ประชาชนก็ต้องเดินหน้าไล่” ยึดมั่นแนวทางยังต้องก่อร่างสร้างม็อบต่อ ทิ้งช่วงนัดหมายอีกหน 29 ส.ค.64 กับกิจกรรม “Callabs-ร่วมมือกัน” กับ “หนูหนิ่ง” สมบัติ บุญงามอนงค์ จัดอีเว้นท์ “Car Mob – Call Out” วางแผนให้แนวร่วมเดินทางจากหลายสารทิศแล้วมารวมตัวกันที่จุดนัดหมายใจกลาง กทม.

พร้อมสปอยล่วงหน้าด้วยว่า เป็นการรวมพลังก่อนถึง “ชุมนุมใหญ่” ที่คาดว่าจะล้อไปกับการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ “พล.อ.ประยุทธ์”

อย่างไรก็ดี “เสี่ยเต้น” ย้ำว่า ตลอดเส้นทาง ตลอดกิจกรรมยังคงหลีกเลี่ยง “พื้นที่เปราะบาง” หลีกเลี่ยงเงื่อนไขการเผชิญหน้า ยืนยัน “สันติวิธี” ไม่บวก ไม่ลุย ไม่ปะทะ

ดูเหมือนจะ “เว้นระยะ” วางแนวทางที่สวนกับ “ม็อบทะลุแก๊ส” ที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ รวมทั้งไม่ใช้ “ลูกนัท” ที่เคยมาร่วม Car Mob หนก่อนเป็นจุดขายอีกแล้ว

เป็นลีลาของ “จอมยุทธ์เต้น” ที่จำเป็นต้องกลับไปเดิน “เส้นทางเก่า” ออกหน้าร่วมม็อบเพื่อไว้ลาย “แกนนำเสื้อแดง” แต่อะไรที่ “สุ่มเสี่ยง” ต้องขอบาย

เพราะที่เย้วๆด้วย ก็แค่หวังอาศัยกระแสช่วงชิงเรตติ้ง “เป็นทุน” ในจังหวะที่กำลังจะพรรคการเมืองร่วมกับ “เสี่ยอ๋อย” จาตุรนต์ ฉายแสง ในนามพรรคเส้นทางใหม่

ไม่ได้คาดหวังกระแสม็อบจะโค่น “รัฐบาลประยุทธ์” ลงได้แต่อย่างใด ขืนไปร่วมหัวจมท้ายเต็มๆ ได้ไม่คุ้มเสีย

เพราะดูท่า นับวันม็อบไร้การควบคุม จากทะลุฟ้า ไปทะลุแก๊ส แล้วยังมีตัวพาลงเหวอย่าง “ลูกนัท” ที่กำลังพากัน “ทะลุนรก”.


กำลังโหลดความคิดเห็น