วันที่ 18 มิ.ย.64 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ไลฟ์สด “SONDHI TALK” ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ คุยทุกเรื่องกับสนธิ และช่องยูทูป Sondhitalk โดยวันนี้ไม่ต้องอธิบายอะไรมาก คู่นี้ต่างรู้ไส้รู้พุงกันเป็นอย่างดี เป็นมวยถูกคู่ที่สุดในชั่วโมงนี้ของนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม กับ "ทนายตั้ม" ษิทรา เบี้ยบังเกิด รวมถึงการประชุม G7 ทำไมถึงเป็นสิ่งตกค้างทางประวัติศาสตร์ จุดมุ่งหมายที่เเท้จริงคืออะไร และอีกเรื่องปรากฏการณ์ ศาลฟ้องสื่อ ไม่บ่อยครั้งที่ประธานศาลฎีกา จะเเจ้งความเอาผิดสื่อมวลชน เบื้องหลังเรื่องนี้จะเป็นอย่างไ ติดตามได้ใน SONDHI TALK : ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง Ep.90
คำต่อคำ SONDHI TALK [18 มิ.ย. 64] : แค้นสั่งฟ้า ทนายดูโอ้ คู่อาฆาต
ช่องทางการรับชมรับฟัง "คุยทุกเรื่องกับสนธิ"หรือ SONDHI TALK
เฟซบุ๊กแฟนเพจ : คุยทุกเรื่องกับสนธิ
YouTube : Sondhitalk
เว็บไซต์ : www.sondhitalk.com
Podcast หรือ podbean : SONDHI TALK
สวัสดีครับท่านผู้ชม วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2564 เรามาเจอกันเป็นปกติธรรมดาทุกๆ วันศุกร์ ท่านผู้ชมครับ ก่อนที่ผมจะเข้าเรื่องว่าผมมีเรื่องอะไรจะพูดให้ท่านผู้ชมฟังนั้น มันมีเรื่องอยู่ประมาณ 3 เรื่อง ที่ผมอยากจะพูดก่อน เรื่องแรก ท่านผู้ชมจำได้ไหมว่า สองอาทิตย์ที่แล้ว มีท่านผู้ชมเยอะเลยขอมา เพราะว่ามีคนบางคนพูดจาหยาบคายกับผม ด่าผมอย่างเสียผู้เสียคน ท่านผู้ชมเยอะเลยที่บอกว่า คุณสนธิ อย่าปล่อยมันไปนะ วันนี้ผมจัดให้เรียบร้อยแล้วครับท่านผู้ชม จริงๆ แล้วยังมีคดีอีกหลายคดีที่กำลังอยู่ในขั้นตอนที่กำลังจะยื่นฟ้องศาลอยู่ อีกประมาณ 5-6 คดี แต่เนื่องจากว่าช่วงนี้เป็นช่วงโควิด ศาลท่านเลื่อน ก็เลยกำลังเตรียมตัว แต่คดีนี้เร่งด่วนมาก ผมบอกทนายให้ทำทันที
เมื่อวันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม เมื่อประมาณสองอาทิตย์ที่แล้ว มีคนใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง ใช้ชื่อว่า "อุ๊อิ๊ การ" เข้ามาแสดงความเห็นผ่านทางเฟซบุ๊ก SONDHI TALK โดยใช้ข้อความหยาบคาย และหมิ่นประมาท เขาพูดอย่างนี้ครับ (ขอประทานโทษนะครับ เขาพูดอย่างนี้จริงๆ) "ไอ้หน้าหีมึงหนะหยุดเพ้อได้แล้ว ไอ้สัสมึงหนะทำให้บ้านเมืองชิบหายหมดไอ้หน้า.." ท่านผู้ชมครับ มีท่านผู้ชมหลายคนเข้าไปเตือนเขา แต่คนโพสต์ไม่สนใจ ผมก็เลยต้องจัดการตามที่ผมสัญญาไว้ ปรากฏว่าคนที่ใช้ชื่อ "อุ๊อิ๊ การ" นั้น ใช้เพจอวตาร คิดว่าไม่มีใครรู้ คิดว่าหาตัวไม่ได้ แต่คุณดูถูกสติปัญญาของผมมากไปแล้ว คุณจะใช้เพจอะไรก็ตาม ขอให้คุณได้ใช้ ผมตามตัวคุณเจอ คนๆ นี้ชื่อ นางอุดม การงาน เชื้อชาติไทย สัญชาติไทย อายุ 58 ปี อายุก็จะ 60 แล้วนะ บ้านเดิมเป็นคน ต.ม่วง อ.มหาชนะชัย จ.ยโสธร ตอนนี้พักอาศัยอยู่บ้านพักซอยพหลโยธิน เลขที่ 54/1 แขวงคลองถนน เขตสายไหม กรุงเทพฯ
ล่าสุด ทีมกฎหมายและทนายความของผมได้ยื่นฟ้องนางอุดม ต่อศาลไปแล้ว ข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาและดูหมิ่นด้วยการโฆษณา เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2564 คดีนี้ศาลนัดไต่สวนมูลฟ้องนัดแรกวันที่ 13 กันยายน 2564 ผมไม่ได้ฟ้องอย่างเดียวนะ ผมเรียกค่าสินไหมอีก 1 ล้านบาท ครับ
เพราะฉะนั้น คุณอุ๊อิ๊ หรือคุณที่ชื่อ คุณอุดม การงาน คุณเตรียมรับเอาไว้ ผมขอย้ำอีกทีนะครับ คุณอุดม การงาน งานนี้ไม่มีไหว้สวย รวยกระเช้า ไม่ต้องติดต่อเข้ามาขอพบ เอากระเช้า พวงมาลัย มาขอขมา "ผมรับคำขอโทษเป็นเงินสด" เท่านั้น ผมบอกไปแล้ว เป็นจำนวน 1 ล้านบาท สุดแล้วแต่ศาลท่านจะพิพากษา
บทเรียนเรื่องนี้สอนว่า คุณไม่ควรที่จะใช้คำหยาบคาย คุณด่าอะไรผม ผมพูดไปแล้ว ผมจะเตือนถึงหลายๆ คนที่คิดจะมาใช้คำหยาบคายด้วย ผมเอาจริงนะครับ ผมรู้หมดเลย คุณอุดม ผมรู้ว่าคุณมีลูกสาว 2 คน คนโตอายุ 37 ทำงานอยู่บริษัท เงินติดล้อ เพิ่งแต่งงาน พ่อของสามีลูกสาวคนโต เป็นตำรวจยศร้อยตำรวจตรี และลูกสาวคนเล็กของคุณเรียนอยู่ที่ ม.กรุงเทพ ผมรู้หมดทุกอย่าง เจอกันในศาล คุณไปเสียเงินจ้างทนายดีๆ เพราะว่าเอาทนายเทวดามา คุณก็ผิด เพราะคุณทะลึ่งมาด่าผมว่าไอ้หน้าหี หลักฐานมันมีชัดเจน
ท่านผู้ชมครับ ผมได้จัดให้สุดซอยแบบปังปุริเย่ แล้วไม่ต้องห่วงครับท่านผู้ชม ผมจะลากจนถึงศาลฎีกา ถ้าศาลพิพากษาชนะ ยังไงผมก็ชนะ คุณไปอ่านคำฟ้องของผมให้ดีๆ แล้วคุณอย่าทะลึ่งติดต่อใครมาเป็นอันขาดเพื่อมาขอขมาผม ผมไม่รับการขอขมา ให้ถึงศาลถึงที่สุด ถ้าคดีการพิพากษาตัดสินค่าสินไหมผมไม่พอใจ ผมอุทธรณ์ต่อ และผมฎีกาต่อ
คุณอุ๊อิ๊ ครับ ผมจะเอาเรื่องนี้โพสต์ลงในหน้าเพจ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" เมื่อคุณซ่านัก ผมต้องดับความซ่าของคุณลงบ้าง
ท่านผู้ชมครับ เรื่องที่สองที่ผมอยากจะพูดในวันนี้ก็คือ เรื่องสรรพสามิตไปล่อซื้อน้ำส้มชาวบ้านเขา 500 ขวด แล้วคนที่เดือดร้อนเขาบอกว่าโดนเรียกปรับไป 12,000 บาท แต่ท่านอธิบดีฯ ลวรณ ลูกชายของพี่วิโรจน์ แสงสนิท ผมรู้จักพ่อเขาดี อธิบดีกรมสรรพสามิต ได้รับเรื่องนี้แล้ว ให้ไปตรวจสอบข้อเท็จจริง
ท่านผู้ชมครับ ทำไปผมต้องพูดเรื่องนี้ ? ผมรู้สึกว่าเรื่องนี้ ท่านอธิบดีกรมสรรพสามิตครับ มันบัดซบ ขอประทานโทษ ผมต้องใช้คำว่า บัดซบ ท่านอธิบดีครับ น้ำส้ม 500 ขวด จากร้านขายของทั่วๆ ไป ผสมน้ำส้มขายเพราะคนต้องการสั่งซื้อ ในภาวะการณ์โควิด เขาไม่มีเงินที่จะรับประทาน ขอประทานโทษครับท่านอธิบดี เขาไม่มีจะแดกอยู่แล้ว เขาทำมาหากิน เป็นอุตสาหกรรมภายในครอบครัว คุณก็ไปหาเรื่องเขา ไอ้ลูกน้องคุณนี่ นอกจากต้องตบกะโหลกแล้ว ยังต้องตั้งกรรมการสอบวินัยในเรื่องจริยธรรม คุณอาจจะอ้างว่าคุณทำถูกกฎหมาย ถูกหลักการ แต่คำถามมีว่า คุณควร หรือไม่ควร ที่จะทำในเรื่องแบบนี้ แล้วเขาก็ไม่ได้มีโรงงานผลิต ก็คือเขาเรียกพรรคพวก เรียกลูกหลานเขามาบรรจุขวด ผมไม่อยากจะพูดว่ามันเลวระยำมาก ท่านอธิบดีครับ ท่านอธิบดี ท่านเพิ่งย้ายพวกนี้ไปอยู่ที่อื่น 5 คน ท่านครับ ท่านมาร์กหัวมันเอาไว้เลย ถึงสิ้นปี 1 ตุลาคม จะต้องโยกย้ายหรือว่าเลื่อนตำแหน่ง อย่าไปให้มัน เพราะว่าวิจารณญาณในการทำงานไม่มี
ผมก็นึกว่ามีโรงงานใหญ่ แล้วก็ผลิตน้ำดื่มขึ้นมา ออกวันละ 30,000-50,000 ขวด แล้วไม่มีใบอนุญาต อันนี้ยังพอรับกันได้ แต่นี่มันบ้านเล็กๆ หลังหนึ่ง แล้วบรรจุขวดขายน้ำส้ม คนเขาสั่งมา 500 ขวด กำไรขวดละประมาณ 5 บาท ก็ 2,500 บาท ก็เอามาเจือจุน ซื้อกับข้าว เอามาช่วยค่าน้ำ ค่าไฟ ผมรับไม่ได้จริงๆ เพราะว่าพฤติกรรมนี้เป็นพฤติกรรมที่บัดซบที่สุด
อีกเรื่องหนึ่ง ผมไม่พูดก็ไม่ได้ จำเป็นต้องพูด เพราะเรื่องนี้สำคัญมาก จริงๆ มันเป็นเรื่องที่โคตรจะไร้สาระเลย ท่านผู้ชมที่อยู่ในวงการโซเชียลมีเดียคงจะรู้เรื่องแล้ว มีการฉลองวันเกิดของดิว อริสรา โดยแฟนชาวต่างประเทศที่ชื่อเซบาสเตียน ลี จุดพลุขึ้นมา ที่แม่น้ำเจ้าพระยา ที่ จ.อยุธยา ดรามามาก จุดพลุก็คือต้องการแสดงความรักในวันเกิดของดิว อริสรา
ดิว อริสรา ก่อนหน้านั้นก็แสดงความรักในวันเกิดของแฟนตัวเอง ในวันที่ 14 ดิว เกิดวันที่ 15 ก็ถึงขนาดลงทุนซื้อดอกกุหลาบมาปู เป็นจำนวนเงิน 4 แสนบาท
คุณดิว อริสรา ครับ คุณน่ะเป็นลูกหลาน หลักๆ แล้วอายุคุณเหมือนหลานสาวผมคนหนึ่ง ผมถามคุณคำหนึ่งว่า อย่าโกรธผมนะ ทำไมคุณถึงเป็นคนที่ไร้สาระอย่างมากๆ ในชีวิต ผมเช็กข่าวในไลน์ ผมก็เห็นรูปคุณตลอดเวลา โชว์เนื้อโชว์หนัง ดิว อริสรา แซ่บ ทำให้ร้อนฉ่าบนชายหาด นั่งกอดกับเซบาสเตียน ลี บนเรือ กอดกันบนเครื่องบินส่วนตัวที่เหมากันไปภูเก็ต ภาษาอังกฤษ คนอังกฤษ คนฝรั่ง เขาจะพูดอย่างไรกรณีแบบคุณ เขาบอกว่า Get a room ไปหาห้องนอนกันซะ
แล้วเซบาสเตียน ลี ผมรู้ว่าคุณไม่พูดภาษาไทย คุณมาขอโทษขอโพย คุณบอกว่าขออนุญาตแล้ว ประเด็นไม่ใช่ขออนุญาตแล้ว และประเด็นนี้ผมก็ต้องฝากไปถึงเจ้าหน้าที่ที่ให้อนุญาตด้วย ว่ากะโหลกคุณทำด้วยอะไร คุณไม่ได้นึกหรือ ว่าชาวบ้านน่ะ อยุธยา 2-3 ทุ่ม เขาก็นอนกันแล้ว แล้วคุณจุพลุโป้งป้างๆ ชาวบ้านตกอกตกใจ หมาวิ่งหนีออกไปจากบ้าน ตกใจหมด เช้าถึงจะหาตัวเจอ เพียงเพราะว่าคุณต้องการที่จะเอาใจคนที่เป็นดารา คุณคิดแบบนี้ได้อย่างไร แล้วผมก็ถามคำหนึ่ง ผมเห็นข่าวคุณดิว อริสรา แล้วผมก็รู้สึกว่า มันเป็นอะไรของคุณนะ มันบ้าบอคอแตกอย่างไร ผมรู้ว่าแฟนคุณรวย แต่ผมไม่รู้ว่าแฟนคุณทำมาหารับประทานอะไรถึงรวยขนาดนี้ ถึงขนาดที่ว่า วันเกิดคุณ ซื้อ Audi A8 ให้ คันละร่วมสิบกว่าล้าน กระเป๋า Hermès คุณโชว์ไปทำไม ถ้าคุณซื้อกระเป๋า Hermès แล้วคุณเหาะได้ คุณโชว์ไปเลย แต่มันก็กระเป๋าหนังธรรมดานี่เอง ไม่เห็นมีอะไรพิเศษ แล้วคุณรู้จักบันยะบันยังบ้างไหม รู้จักมีมารยาทบ้างไหมว่า อะไรควรหรือไม่ควร ในภาวะการณ์ที่คนเขาตกงาน เขาลำบากกัน กัปตันการบินไทยเงินเดือนหลายแสนบาท ต้องมาขับ Grab แอร์ทุกคนที่ตกงานมา ต้องหางานทำ ต้องทำอาหารขาย คุณมาเฉิดฉาย แล้วทำมาหากินเพราะว่าคุณสวย คุณมีรูปร่างดี คุณภูมิใจให้ตายเลยนะ คุณภูมิใจมากนักใช่ไหม คุณเงินทองเยอะเหลือเกินนะ ควรหรือไม่ควรที่ผมจะให้คนเขาไปร้องสรรพากรว่าคุณมีเงินสดเยอะเหลือเกิน รายได้คุณมาจากไหน
ถึงเวลาแล้วหรือยัง คุณดิว อริสรา ที่คุณควรจะทำตัวเองให้มีสาระกับสังคมบ้าง ยิ่งคุณเป็นคนของประชาชน คุณยิ่งต้องระมัดระวังเรื่องนี้ คุณต้องระมัดระวังบรรยากาศ คุณต้องระมัดระวังว่า สังคมในขณะนี้กำลังลำบาก หรือสบาย และคุณได้อะไรขึ้นมาในการโชว์ออฟครั้งนี้ ทั้งว่าที่สามีคุณ คุณเองก็ไม่ใช่ไม่เคยมีแฟน คุณก็มีมาหลายคนแล้ว ผม 74 แล้ว คุณอริสรา คุณเหมือนลูกเหมือนหลานผม ผมพูดเตือนคุณเอาไว้ให้ดีๆ ผมไม่ได้กลัวหรอกครับ คุณไปบอกใครก็ได้ แต่คุณรับฟังเรื่องของผมแล้ว ถ้าคุณแก้นิสัยคุณได้ คุณหยุดเวอร์เสียทีได้ไหม คุณหยุดอวดความร่ำรวยของว่าที่สามีคุณเสียทีได้ไหม มีไหมสักครั้งหนึ่งที่คุณอยู่อย่างสงบ แล้วคุณทำอะไรที่เป็นคุณประโยชน์
คุณดิว อริสรา ผมจะเล่าเรื่องบางเรื่องให้คุณฟังเป็นข้อคิด เรื่องนี้คนไทยหลายคนรู้เรื่องดี มันเป็นเรื่องที่ขำขัน แต่มันสะท้อนให้เห็น จะเป็นชีวิตคุณหรือเปล่า ผมไม่รู้ แต่ผมต้องการเล่าเรื่องนี้ให้สะท้อนคุณ ในงานแต่งงานแห่งหนึ่ง ขณะดื่มกินกันไปสักพัก พิธีกรก็เชิญคู่บ่าวสาวขึ้นมาเพื่อกล่าวขอบคุณแขกที่มาร่วมงาน เจ้าบ่าวเมาได้ที่ กล่าวคำขอบคุณเป็นกลอน "วันนี้ดีใจจะได้เมีย หลังจากได้เสียมาหลายหน วันนี้จะมีเมียเป็นตัวเป็นตน ขอขอบคุณทุกคนที่มาร่วมงาน" เจ้าสาวโกรธ ก็เลยพูดขึ้นมา "เช่นกันค่ะ วันนี้ดีใจจะได้ผัว หลังจากเสียตัวมาหลายหน ในวันนี้จะมีผัวเป็นตัวเป็นตน ขอบคุณผัวทุกคนที่มาร่วมงาน" คุณดิวครับ หวังว่าคงไม่ใช่เป็นคำกล่าวที่คุณจะกล่าวในวันแต่งงานของคุณนะครับ
ท่านผู้ชมครับ รายการวันนี้นอกจากเป็นออเดิร์ฟเล็กๆ 2-3 เรื่องเมื่อกี้่นี้ เรื่องแรกที่เราจะพูดคือ เราจะจับโกหกกระทรวงการต่างประเทศ กรณีปลดป้ายปาเลสไตน์ กรณีความตกลงลุ่มแม่น้ำโขง เรื่องของ G7 สิ่งตกค้างทางประวัติศาสตร์ เรื่องที่สองที่จะพูดคือ เรื่อง คู่หูดูโอ้ คุณอัจฉริยะ กับคุณษิทรา ทนายตั้ม แล้วเรื่องที่สาม คือเรื่องท่านประธานศาลฎีกาฟ้องสื่อเครือเนชั่น ทั้งสามเรื่องนี้เป็นเรื่องที่มันหยดทุกเรื่อง
ท่านผู้ชมครับ วันนี้ผมมีเรื่องกับกระทรวงการต่างประเทศของท่านรัฐมนตรีดอน เฮ้าเลี่ยน เนื่องจากวันที่ 28 พฤษภาคม 2564 ผมพูดในรายการว่ามีกรณีที่มีนักเรียนไทยกว่า 3 หมื่นคน ไม่สามารถกลับไปเรียนที่จีนได้ ว่าเด็กๆ ควรจะไปทวงถามที่คุณดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แทนที่จะไปกดดันรัฐบาลจีน ท่านผู้ชมครับ วันที่ 10 มิถุนายน เว็บไซต์ของกระทรวงการต่างประเทศออกมาตอบโต้ผมในเรื่องนี้ ในการแถลงข่าวประจำสัปดาห์ของกระทรวงการต่างประเทศที่มีการพูดถึงประเด็นนี้ กรณีมีการพาดพิงถึงการดำเนินการของกระทรวงการต่างประเทศ ไทยเอนเอียงเข้าข้างสหรัฐฯ ซึ่ง กต. คือกระทรวงการต่างประเทศ ตอบโต้ผมเป็นข้อๆ เดี๋ยวผมจะสรุปย่อว่า กต. ตอบโต้ผมว่าอย่างไร
ข้อที่ 1 กต. บอกว่า ไทยให้ความสำคัญกับการดำเนินนโยบายต่างประเทศอย่างสมดุล กับทั้งสหรัฐฯ และจีน ความสัมพันธ์ไทย-จีน ยังใกล้ชิดแน่นแฟ้น
ท่านผู้ชมครับ ท่านอธิบดีกรมสารนิเทศครับ คุณธานี ครับ ท่านอายุ 54 ผมแก่กว่าท่านยี่สิบปี คุณกับผมเรียนจบที่ต่างประเทศมาด้วยกัน คุณจบ Southern Illinois ผมจบ University of California สาขาประวัติศาสตร์ UCLA
ข้อที่ 1 กระทรวงการต่างประเทศ บอกว่าไทยให้ความสำคัญกับการดำเนินนโยบายอย่างสมดุลกับจีนและอเมริกา คุณธานี ครับ และเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศครับ คุณยอมรับหรือเปล่า นโยบายต่างประเทศของคุณนั้นถูกครอบงำมาตลอดจากชาติตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งอเมริกา คุณปล่อยให้ CIA ในคราบของ NGO เข้ามาวิ่งเล่นอยู่ในประเทศไทยเป็นสิบๆ ปี แล้วคนพวกนี้เป็นบ่อนทำลายสถาบันกษัตริย์และความมั่นคงของชาติมาตลอด ปล่อยให้องค์กรอย่าง Human Rights Watch, Amnesty International องค์กรโน่นองค์กรนี่อีกมากมายที่รับเงินต่างชาติ ตะวันตก เข้ามาแทรกแซง เคลื่อนไหวในเมืองไทยอย่างอิสระ และนี่เป็นการดำเนินนโยบายการต่างประเทศอย่างสมดุลหรืออย่างไร
ถ้าความจำผมยังไม่เลวร้ายนัก ผมยังไม่เคยเห็นประเทศจีนมีขบวนการแบบนี้เข้ามาเลย คุณปล่อยให้อเมริกาทำอะไรก็ได้ ล่าสุดมีการสั่งให้เจ้าหน้าที่เขตปลดป้าย Free Palestine นี่เห็นได้ชัดว่าคุณตกเป็นลิ่วล้อฝรั่ง จนชาวมุสลิมเขาพูดกันทั่วไปหมดว่า ยิว หรืออิสราเอลนั้น สั่งรัฐบาลไทยได้
ท่านผู้ชมครับ จู่ๆ ยิว/อิสราเอลจะมาสั่งได้อย่างไร ถ้าไม่ผ่านกระทรวงการต่างประเทศ ยิวกับอิสราเอลคงจะไม่โทรศัพท์ไปที่โรงพัก หรือโทรไปที่เขตบอกให้ปลดป้าย สถานทูตอิสราเอลต้องติดต่อกระทรวงการต่างประเทศ คุณธานี ครับ เด็กเพิ่งเกิดใช้หัวแม่ตีนคิดก็รู้ ว่างานนี้สถานทูตอิสราเอลนั้นติดต่อกระทรวงการต่างประเทศมา ถ้ากระทรวงการต่างประเทศปฏิเสธไม่รับรู้ ก็ยิ่งแย่ไปใหญ่ แสดงว่าคุณไม่ประสีประสาเลย เรื่องปาเลสไตน์นั้นเป็นเรื่องของมุสลิมทั่วโลก ทุกนิกาย ทุกประเทศ นับจำนวนพันล้านคน ทุกประเทศมีการรณรงค์อย่างที่ผมเคยเอารูปให้ดูแล้ว แต่จู่ๆ ประเทศไทย ชาวมุสลิมกลับทำไม่ได้ที่จะติดป้าย Free Palestine คือปลดปล่อยชาวปาเลสไตน์ ซึ่งไม่ได้ผิดอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว เขาติดป้ายเพื่อให้กำลังใจชาวปาเลสไตน์ที่กำลังมีความขัดแย้งและถูกทหารอิสราเอลโจมตี ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์อย่างโหดเหี้ยมทารุณ คุณธานี ครับ ผมไม่อยากจะตอบโต้คุณในวันนี้ เพราะผมรู้ว่าถ้าผมพูดไป คุณอึ้ง เพราะคุณตอบไม่ได้ คุณหลับตาวาดภาพ ทำไมเวลาที่ชุมนุมของม็อบสามนิ้วมีการเอาธงอุยกูร์ หรือสาธารณรัฐเตอร์กิสถานตะวันออก ธงทิเบต ธงไต้หวัน ธงฮ่องกง โผล่ขึ้นมาหลายครั้งหลายครา ทางเจ้าหน้าที่ไทย หรือพวกคุณเอง กระทรวงการต่างประเทศ ไม่ออกคำเตือนบ้างล่ะ ว่าอย่าไปแทรกแซงการเมืองในประเทศของเขา หรือของจีนเขา
แล้วที Free Palestine นี่เห็นได้ชัดว่าคุณเสือกร้อนตัว เพราะเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว วันที่ 11 มิถุนายน 2564 พอผมออกอากาศเรื่องนี้ไป พวกคุณก็ออกมา โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ คุณธานี แสงรัตน์ อธิบดีกรมสารนิเทศ ก็ออกมาชี้แจงใหญ่ว่าตอนนี้ เรื่องนี้ปาเลสไตน์นั้น ขอยืนยันว่ากระทรวงการต่างประเทศไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แต่อย่างใด และยังอ้างภาษาการทูต ยังยืนหยัดในหลักการของปาเลสไตน์กับอิสราเอลมาตลอด คือเป็นภาษาการทูตที่ค่อนข้างจะเลอะเทอะ ให้เด็กอมมือฟัง เด็กมันยังไม่เชื่อเลย นับประสาอะไรกับผมซึ่งชำนาญเรื่องต่างๆ เหล่านี้
มิหนำซ้ำ มันมีโพสต์ที่คุณเอารูปของคุณดอน ปรมัตถ์วินัย ควงแขนกับนายหวัง อี้ ถ่ายรูปในการประชุมที่ฉงชิ่ง แล้วก็มาโม้ว่าสัมพันธภาพนี้ดีมาก โน่นนี่นั่น ไม่มีความโน่นนี่นั่น
คุณดอน ครับ ลูกน้องคุณดอน ครับ และเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศครับ คุณยอมรับไหม ลึกๆ แล้วคุณยอมรับไหมว่านั่นคือภาษาการทูต นายหวัง อี้ เขาอาจจะไม่พอใจ หรือประเทศจีนไม่พอใจคุณหลายเรื่อง แต่เมื่ออยู่ในที่สาธารณะแล้ว เขาต้องยิ้มใส่คุณ เขาก็ต้องชมว่าสัมพันธภาพระหว่างไทยกับจีนนั้นเหมือนพี่น้องกัน ผูกพันกันมานมนาน เพราะฉะนั้นแล้วถ้ามีอะไรที่ช่วยเหลือกันได้ ก็ช่วยเหลือกัน แล้วคุณธานี คุณยอมรับไหมว่า เรื่องกรณีของนักศึกษาไทยที่อยู่ในประเทศจีน และพยายามขอวีซ่ากลับไป แล้วกลับไม่ได้ คุณยอมรับไหมว่าเรื่องนี้ ตอนที่นายหวัง อี้ มาเจอนายดอน ที่กรุงเทพฯ นั้น นายดอน ฝากเรื่องนี้ให้หวัง อี้ ไปช่วยพิจารณาหน่อย
คุณธานี ครับ จากวันนั้นถึงวันนี้ 8 เดือนแล้วนะครับ แล้วคุณดอน ก็เพิ่งจะเตือนคุณหวัง อี้ อีกครั้งหนึ่งในการประชุมที่ฉงชิ่ง แต่ 8 เดือนที่ผ่านมา ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แค่นี้คุณยังอ่านไม่ออกอีกหรือ สไตล์ของพวกคุณโกหกใครได้ แต่โกหกผมไม่ได้
เพราะฉะนั้นแล้ว ผมคิดว่าสิ่งที่คุณพูดออกมาในข้อที่ 1 นั้น ว่า คุณรักษาความสมดุลระหว่างจีนกับอเมริกานั้น คุณโกหกกลางแดด ลึกๆ แล้วคุณเอนเอียงไปทางสหรัฐอเมริกาเต็มตัว ผมถามคุณคำหนึ่ง คุณก็คงไม่กล้าตอบผม ผมพนันได้เลยว่า เจ้าหน้าที่สถานทูตอเมริกา ที่มาในนามของสถานทูตอเมริกาในเมืองไทยมีเป็นพันๆ คน ผมถามคุณว่า ประเทศไทยสำคัญขนาดไหนถึงต้องมีเจ้าหน้าที่สถานทูตสหรัฐฯ เป็นพันๆ คน คุณไปเทียบกับสถานทูตอื่นเลย ในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นรัสเซีย ไม่ว่าจะเป็นอังกฤษ หรือแม้กระทั่งจีน ผมเชื่อว่าเจ้าหน้าที่จีนที่เข้ามาในชื่อของสถานทูตนั้น ไม่ได้มีเยอะเท่าอเมริกาเลย
ข้อที่ 2 กระทรวงการต่างประเทศตอบกรณีนักศึกษาไทยที่ยังไม่สามารถเดินทางกลับไปเรียนต่อที่จีนได้ โดยอ้างว่า
- ปัจจุบันยังไม่มีนักศึกษาต่างชาติ ไม่ว่าจากประเทศใด เข้าจีน ไม่ใช่เฉพาะนักศึกษาจากไทย
โกหกครับ คุณธานี โกหก เดี๋ยวผมจะแนะนำอะไรให้คุณไปเช็กข้อมูลหน่อย
- กระทรวงการต่างประเทศตระหนักดีถึงความเดือดร้อนและเห็นใจนักศึกษาไทยที่ประสงค์จะเดินทางกลับไปศึกษาต่อในจีนอย่างยิ่ง และได้เร่งแก้ไขปัญหาในทุกระดับ
ทำไมผมถึงพูดว่า โกหก ในข้อเท็จจริง เดี๋ยวผมจะเปิดหลักฐานให้ดู แต่ผมเชื่อว่าคุณก็ยังจะแถไปเรื่อยๆ ข้อมูลของเว็บไซต์สถานทูตจีนในหลายประเทศ สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองจีน กระทรวงศึกษาธิการจีน ศูนย์บริการยื่นขอวีซ่าประเทศจีน พบว่าประเทศจีนไม่ได้ห้ามนักศึกษาทุกประเทศกลับเข้าจีนดังที่กระทรวงการต่างประเทศอ้าง ผมเอาภาษาจีนขึ้นมา แล้วคุณเอาคนที่รู้เรื่องภาษาจีนในกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งคงต้องมีแน่นอน อ่านและแปลให้พวกคุณฟัง
วันที่ 2 พฤศจิกายน 2563 ปีที่แล้ว เว็บไซต์สถานทูตจีนประจำเกาหลี ผมย้ำนะครับ ประจำเกาหลี ประกาศออกวีซ่าให้ชาวเกาหลีเกือบทุกประเภท รวมทั้งวีซ่านักเรียน รหัส X ย่อมาจาก xuéshēng [เสวีย เซิง] คือ นักเรียน แถมยังยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่า รวมทั้งเปิดให้นักศึกษาเก่าที่เรียนอยู่แล้ว แต่ออกจากจีนในช่วงโควิด กลับเข้าจีนได้ และออกวีซ่าให้นักศึกษาใหม่ด้วย ใครโกหกใครครับ คุณธานี
คุณธานี คุณไปบอกเจ้านายคุณ ดอน เฮ้าเลี่ยน นี่คือหลักฐาน ข่าวเรื่องนี้ผมก็เอาให้ดูแล้ว แต่ผมเชื่อว่าคุณก็ยังโกหกได้อย่างหน้าด้านๆ เอ้า ผมเอาขึ้นให้ดู เพราะเหตุใดนักศึกษาชาวเกาหลีถึงได้เข้าประเทศจีน ในขณะที่นักศึกษาชาวเกาหลีเข้าประเทศจีนได้แล้ว แต่ไทยยังกลับเข้าไปไม่ได้ เป็นเวลาถึงเกือบสองปีแล้ว นักศึกษาเกาหลีใต้เรียนต่อในจีนมากเป็นอันดับนหนึ่ง จำนวน 5 หมื่นกว่าคน นักศึกษาไทยในจีนก็จำนวนไม่น้อย เป็นอันดับสอง มีเกือบ 3 หมื่นคน แล้วคุณบอกว่า กระทรวงการต่างประเทศตระหนักดีถึงความเดือดร้อนและเห็นใจนักศึกษาไทยที่ประสงค์จะเดินทางกลับไปศึกษาต่อในจีนอย่างยิ่ง และได้เร่งแก้ไขปัญหาในทุกระดับ
ใช่ คุณเร่งแก้ไขปัญหา ขนาดรัฐมนตรีต่างประเทศ หวัง อี้ ของจีน กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ดอน ปรมัตถ์วินัย ของไทย คุยกันแล้ว เร่งแก้ปัญหาของคุณ แปดเดือนยังไม่มีคำตอบเลย คุณใช้สติปัญญาง่ายๆ ลองคิดดูซิว่า ลึกๆ แล้วทำไมถึงไม่มีคำตอบ ปัดโธ่เอ๊ย เขาหมั่นไส้คุณ นี่คือกระบวนการสั่งสอนคุณ แล้วยังมีอีก เดี๋ยวผมจะมีตัวอย่างกระบวนการที่เขาสั่งสอนคุณ โดยที่คุณอาจจะรู้ แต่คุณไขสือทำเป็นไม่รู้ คำพูดที่คุณพูดอย่างสวยหรูนั้น คุณช่วยทำคำพูดให้เป็นรูปธรรมหน่อยได้ไหม ว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้ทำอะไรไปแล้วบ้าง คุณไม่ได้ทำอะไรหรอก เชื่อผม คุณก็ติดต่อบอกสถานทูตจีนให้ช่วย สถานทูตจีน นายหยาง ซิน ก็เป็นแค่อุปทูต และได้ตำแหน่งรักษาการ ก็คือม้าใช้คนหนึ่ง ไม่ได้มีตำแหน่งใหญ่โต นายหยาง ซิน ก็บอกว่า รับปาก เดี๋ยวผมจะส่งเรื่องไป ติดต่อให้ แต่นายหยาง ซิน ลึกๆ ก็รู้ว่าเป็นเพราะว่าความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีนในทางลึกนั้นไม่ค่อยจะราบรื่นแล้ว แล้วจีนเขาส่งสัญลักษณ์มาให้
การที่เอาภาพความชื่นมื่นของนายดอน ปรมัตถ์วินัย กับหวัง อี้ ยืนกอดกันนี่นะ ปัดโธ่เอ๊ย วันนั้นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจากทุกประเทศเขามาประชุมที่ฉงชิ่ง นายหวัง อี้ เขาไม่ได้แค่คล้องแขนกับไทย เขาก็คล้องแขนกับทุกประเทศ
แต่คุณจงใจทำมาเพื่อตบหน้าผม บอกว่าไทยกับจีนยังดีกันอยู่ นี่คุณยังอ่านภาษาการทูตไม่ออกหรือ คุณไปดูคำพูด ทั้งหวัง อี้ และนายดอน ปรมัตถ์วินัย นายของคุณ ว่าคำพูดที่สวยหรูนั้นมีสาระตรงไหนบ้าง มีสาระอะไรบ้าง ถ้ามีสาระจริง นายหวัง อี้ ก็ต้องบอกว่า เรื่องของนักศึกษาไทยที่ติดต่อมานั้น ที่ผมรับเรื่องมา 8 เดือนแล้ว ผมคิดว่าไม่เกิน 1-2 เดือนนี้ ก็จะมีข่าวดีออกมา แต่ทำไมนายหวัง อี้ ไม่พูด คุณธานี ครับ ทำไมนายหวัง อี้ ไม่พูด
จับโกหกข้อที่ 3 คุณบอกว่า เอกอัครราชทูตจีนคนที่อยู่ปัจจุบัน หลู่ย์ เจี้ยน เดินทางกลับจีนเพราะไม่สบายจริงๆ อย่างที่อ้างว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงเอกอัครราชทูตจีนในต่างประเทศนอกฤดูกาลอย่างกะทันหัน คุณธานี ครับ กระบวนการสรรหาเอกอัครราชทูตนั้น สองปี มันไม่นานเกินไปหรืออย่างไร นี่จะครบสองปีแล้วนะที่ไทยไม่มีเอกอัครราชทูตจีนมาประจำ และระยะเวลาสองปีนั้น ไม่ควรใช้คำว่ากะทันหันแล้ว และผมได้บอกไปแล้วนะว่า ทูตจีนคนใหม่ที่จะมานั้นชื่ออะไร ผมแจ้งให้ทราบแล้ว ซึ่งคุณก็ยังไม่รู้เรื่องกันอยู่ คุณจะไปรู้เรื่องได้อย่างไร วันๆ คุณเอาแต่ภาษาทูตพูดกัน สัญลักษณ์ต่างๆ ที่เขาส่งมาคุณก็ไม่รู้
คุณบอกประเด็นกงสุลสหรัฐฯ ประจำเชียงใหม่ ใช้งบประมาณก่อสร้างมากกว่า 9 พันล้าน รูปแบบโครงสร้างอาคารเป็นความลับ อาจจะมีการติดตั้งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อใช้เป็นฐานติดตามความเคลื่อนไหวของจีน เขาบอกว่า การยื่นมสร้างนั้น เพราะที่เก่าคับแคบ แต่ว่าคุณไม่เอะใจบ้างเลยหรือ หรือว่าคุณรู้อยู่แล้ว สถานกงสุลบ้าอะไรมูลค่าตั้ง 9 พันล้านบาท
แค่ใช้สมองหมาปัญญาควายคิด ก็ต้องคิดอยู่แล้วว่ามันน่าจะมีอะไรพิลึกกึกกือ ตกลงกระทรวงการต่างประเทศไทยมีอยู่อย่างเดียว ถ้าอเมริกาจะทำอะไร ก็ Yes sir! At your service. At you convenience. ใช่ไหมครับ คุณธานี
จับโกหกข้อที่ 4 คุณบอกว่า การสร้างสถานทูตหรือกงสุลนั้น มันเหมือนๆ กับที่ไทยทำกับประเทศอื่น ไทยทำกับประเทศอื่นอย่างไร ? ไทยเราก็มีสถานเอกอัครราชทูตที่สิงคโปร์ ก็เล็กๆ ตั้งอยู่บนถนน Orchard ที่อังกฤษ ที่วอชิงตัน ดี.ซี. ไม่ได้ยิ่งใหญ่ ใหญ่โตมโหฬาร ไม่ได้ใช้งบประมาณถึง 9 พันล้าน คุณตอบคำถามข้อนี้ด้วยนะครับ ที่สำคัญ คุณรู้ใช่ไหมว่า อเมริกาขอให้มีบุคลากรที่เข้ามาทำงานในสถานทูต ท่านผู้ชมครับ ผมเชื่อว่า มีจำนวนหลายพันคน คนพวกนี้มาทำอะไรกัน ถ้าไม่ได้ส่วนองค์กรต่างๆ NGO ต่างๆ หรือเกี่ยวพันกับการสืบราชการลับ ผมเห็น 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ยะลา นราธิวาส ปัตตานี มีคนอเมริกันอยู่หลายคนเหลือเกิน เดินให้ขวักไขว่ไปหมดเลย เข้าไปสุมหัวกับพวกชาวมุสลิมหัวรุนแรง ทางทหาร ฝ่ายตรวจสอบความมั่นคงของกองทัพภาค 4 เขาก็ค้นพบ แต่เขาไม่พูด แล้วก็หลายๆ องค์กรของสหรัฐอเมริกา ก็เริ่มไปปักหลักอยู่ทาง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เสือกเข้าไปครับ คุณธานี
ท่านผู้ชมครับ คุณธานี ครับ ยิ่งถ้าพิจารณาเรื่องยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก แล้วการเข้ามาแทรกแซงในลุ่มแม่น้ำโขงของอเมริกาและญี่ปุ่น
เรื่อยไปจนถึงรัฐประหาร สถานการณ์ความขัดแย้งในพม่า ปัจจุบัน ทางภาคเหนือ ทางภาคตะวันตกของไทย ยิ่งจะเห็นได้ชัด เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่ฝรั่งจะเข้ามาแทรกแซงสถานการณ์ในพม่า คุณธานี ครับ คุณอาจจะไม่รู้เรื่องๆ นี้ แต่ผมเล่าให้คุณฟังก็ได้ ผมรู้เรื่องสถานการณ์ชายแดนและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศดีกว่าคุณรู้เยอะ สิ่งที่คุณรู้นั้นมันภาษาการทูตผิวเผิน ภาษาดอกไม้ หลายเดือนผ่านมา มีการสู้รบ ยิงประชาชน ฝ่ายประชาชนในพม่าก็เริ่มก่อสงครามกองโจร มีกำลังติดอาวุธ ทำตัวเหมือนผู้ก่อการร้าย เผาห้างร้าน โรงงาน โรงไฟฟ้า เผาโรงเรียน เข้าป่าไปฝึกอาวุธกับกองทัพชนกลุ่มน้อย พวกรัฐกะเหรี่ยง รัฐฉาน ว้า ที่น่าสนใจ มีสื่อฝรั่งเท่านั้นที่สามารถเข้าไปทำข่าวออกมาเป็นเรื่องเป็นราวได้หมดเลย
สัปดาห์ที่แล้วมีภาพๆ หนึ่งที่ถูกเผยแพร่กันอย่างแพร่หลายอย่างมากในเพจของชาวกะเหรี่ยง และชาว NGO ที่ทำงานด้านกะเหรี่ยง ผมเอารูปนี้ขึ้นให้ดู
คนที่นั่งทางขวา คือ พลโท บอจ่อ แฮ รองผู้บัญชาการกองทัพปลดปล่อยแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNLA) ส่วนผู้สูงอายุที่นั่งทางซ้าย เป็น ผบ. KNLA 5 ที่กำลังรบหนักอยู่ ตรงข้ามชายแดน จ.แม่ฮ่องสอน คุณธานี ครับ ฝรั่งสองคนที่นั่งอยู่ ไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่ดูไทม์ไลน์แล้วน่าจะเข้าไปในพื้นที่กะเหรี่ยงนานแล้ว ผมค่อนข้างมั่นใจว่าถ้าไม่ใช่อเมริกัน ก็เป็นอังกฤษ ช่องทางที่ฝรั่งจะเข้าไป มีจุดเดียว คุณธานี ชายแดนไทยตั้งแต่ จ.กาญจนบุรี ตาก ถึงแม่ฮ่องสอน เหมือนกับที่ทีมสารคดีเกาหลีถ่ายทำเรื่องการฝึกทหารเมื่อไม่กี่วันมานี้เอง
ท่านผู้ชมครับ คุณธานี ครับ ผมได้ยินว่าช่วงหลังๆ มานี้กองทัพชนกลุ่มน้อยที่รบกับทหารพม่า ซึ่งก่อนหน้านี้ถูกเครื่องบินทหารพม่าถล่มเสียกระเจิดกระเจิง วันนี้เขามีขีปนาวุธ ได้จรวด ได้อาวุธหนักมาต่อกรกองทัพพม่า ทำความเสียหายให้กองทัพพม่ามากพอสมควร คำถามครับ คุณธานี เขาเอาอาวุธ จรวด มาจากไหน ? หล่นมาจากท้องฟ้าหรืออย่างไร เข้ามาทางบังกลาเทศ ผ่านเข้ามาภาคกลางพม่า แล้วก็เข้าไปชายแดนกะเหรี่ยงอย่างนั้นหรือ ? ไม่ใช่ เอามาจากชายแดนไทย
แล้วผมมีแหล่งข่าวของผม ช่วงหลังๆ เชียงรายมีเครื่องบินบรรทุกของทหารบินมาลงถี่ขึ้นๆ ขนอะไรมาก็ไม่รู้เยอะแยะ ผมไม่ทราบว่าคุณดอน คุณธานี และคนกระทรวงการต่างประเทศ รู้หรือเปล่า หรือว่ารู้แล้วแกล้งไม่รู้
คุณธานี ครับ วันหนึ่งข้างหน้า เมื่อพม่าตอบโต้ชาวกะเหรี่ยง พม่าตอนนี้ล่าสุดก็ได้อาวุธมาจากรัสเซียและจีนมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งขีปนาวุธ แล้วถ้าขีปนาวุธที่ยิงใส่พวกกะเหรี่ยงซึ่งอยู่ริมชายแดนเรา รอยตะเข็บบ้านเรานี่ แล้วมันข้ามเข้ามาตกในแม่สอด หรือแม่สาย คุณจะทำอย่างไร
กองทัพภาคที่ 3 ต้องกระโดดตัวยาวแล้วสิ ถ้าใครยิงอาวุธตกมาทางเรา เราก็จะยิงสวนออกไป คุณธานี ครับ คุณดอน ครับ ความที่คุณเอาอกเอาใจตะวันตก เปิดช่องทางให้ตะวันตกส่งคนเข้าไปแทรกแซง ไปฝึกกองกำลังติดอาวุธของกะเหรี่ยง แล้วมิหนำซ้ำยังแอบขนอาวุธไปให้กะเหรี่ยงด้วย มันเป็นการชักศึกเข้าบ้านนะ ผมไม่ได้พิศวาสทหารพม่าหรอก แต่ผมคิดว่าเรื่องของเขา เป็นเรื่องของเขา ผมไม่ยุ่ง ก็เพราะว่าอเมริกามันยุ่งไปทุกเรื่องไง บนโลกนี้ มันไปยุ่งเรื่องซินเจียง มันไปยุ่งเรื่องฮ่องกง มันไปยุ่งเรื่องทิเบต ทั้่งๆ ที่ปัญหาในประเทศของมันเองมันก็ยังแก้ไขไม่ตก แล้วคุณธานี ประเทศไทยกำลังเป็นเครื่องมือของอเมริกันพวกนี้หรืออย่างไร ที่ต้องการที่จะ contain จีน ปิดสกัดกั้นจีน เดี๋ยวผมจะต่อด้วยการประชุม G7 ถ้าคุณธานี สนใจ ฟังต่อได้ ผมมีข้อมูลที่คุณธานี อาจจะคิดไม่ถึง มิติมุมมองการประชุม G7 นั้น ผมไม่ได้มองแบบที่พวกคุณมองกันหรอก พวกคุณก็มองว่า ดีแล้ว ตอนนี้ไบเดน เข้ามาแล้ว ระดมพันธมิตรทั้งหลาย เพื่อมาฟาดฟันกับจีน คราวนี้จีนจะรู้ตัวแล้วว่าจะเป็นอย่างไร และผมจะพูดเรื่องการพัฒนาลุ่มแม่น้ำโขง ผมไม่อยากบอกว่าสิ่งที่ผมจะเล่าต่อไป เป็นการตบหน้ากระทรวงการต่างประเทศ และรัฐบาลไทย
ท่านอธิบดีกรมสารนิเทศครับ คุณธานี ครับ ผมจำเป็นต้องพูดถึงตัวท่านมากหน่อย เพราะว่าท่านดันมาเป็นหนังหน้าไฟของนายดอน เฮ้าเลี่ยน
เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2564 ท่านแถลงข่าวถึงเรื่องกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ครั้งที่ 6 ที่ประชุมมีรัฐมนตรีต่างประเทศ มีไทย กัมพูชา ลาว เมียนมา และจีน เน้นหลายประเด็น เช่น ส่งเสริมการร่วมมือรัฐบาลท้องถิ่น แถลงการณ์ร่วมว่าด้วยการส่งเสริมความร่วมมือด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน แถลงการณ์ร่วมว่าด้วยการเสริมความร่วมมือด้านการแพทย์แผนดั้งเดิม สำหรับไทย นายดอน เสนอให้ร่วมมือด้านการสาธารณสุข การเข้าถึงวัคซีน การฟื้นฟูเศรษฐกิจ การบริหารความเชื่อมโยงระหว่างเขตเศรษฐกิจชายแดนกับการพัฒนาระเบียงนวัตกรรม การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำข้ามพรมแดน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแบ่งปันข้อมูลน้ำ แจ้งเตือนล่วงหน้าเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำ ส่วนการหารือทวิภาคีกับจีนตัวต่อตัว มีอยู่ 5 ด้าน ด้านวัคซีน ไทยขอให้จีนสนับสนุนการจัดหาวัคซีน เพื่อให้ไทยสามารถบรรลุเป้าหมายการฉีดวัคซีน ทั้งซิโนแวค และซิโนฟาร์ม ของราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ท่านอธิบดีฯ ธานี ครับ คุณคุยนี่ก็เป็นการคุยแบบประเภทเกริ่นเหิมโรงเท่านั้นเอง คุณก็รู้อยู่แล้วว่า จีนเขาจัดส่งซิโนฟาร์มมาให้ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ เพราะความผูกพันที่เขามีต่อราชวงศ์
โดยสรุปแล้ว ผมอยากจะเล่าอะไรให้คุณธานี และเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศฟัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายดอน เฮ้าเลี่ยน ความจริงเกี่ยวกับการพัฒนาลุ่มแม่น้ำโขง ผมอ่านคำแถลงการณ์ร่วมกับการประชุมเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน ไปแล้ว ความจริงคือไทยตอนนี้อยู่นอกวงการพัฒนาลุ่มแม่น้ำโขงไปแล้ว หลุดเฟรมไปเรียบร้อยแล้ว
ภาคีสมาชิกกลุ่มประเทศพัฒนาลุ่มแม่น้ำโขง ได้ประชุมกันที่เมืองซานย่า เกาะไหหลำ ประเทศจีน แล้ววันนั้นไทยลงนามเข้าร่วมปฏิญญาซานย่า มีจีน พม่า ลาว ไทย กัมพูชา และเวียดนาม หรือที่เขาเรียกตัวย่อว่า CLMVT (C คือ Cambodia, L คือ Lao, M คือ Myanmar, V คือ Vietnam, T คือ Thai) ปฏิญญาซานย่า มีอะไร ? ตามผมมานิดหนึ่ง แล้วท่านผู้ชมจะเข้าใจว่าทำไมชาวบ้านถึงโวยวายกันนัก ว่าทำไมการจัดสรรน้ำ จีนเป็นต้นน้ำ พม่าเป็นต้นน้ำ ทำให้แม่น้ำโขงฝั่งไทยแห้ง
ปฏิญญาซานย่า มีว่า พัฒนาลุ่มแม่น้ำโขงให้พ้นจากสภาพแม่น้ำแห่งยาเสพติดและอาชญากรรม ให้เป็นแม่น้ำแห่งสันติภาพ และพัฒนาเพื่อเป็นประโยชน์แก่ประเทศ 6 ประเทศนี้ จีน เขมร ลาว เวียดนาม เมียนมา และประเทศไทย 6 ประเทศนี้ เพราะว่า 6 ประเทศนี้คือ 6 ประเทศที่เกี่ยวข้องกับแม่น้ำโขง คุณธานี ครับ ไม่ใช่อเมริกา ที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรเลยกับแม่น้ำโขง แต่จะเข้ามาขอเข้ามาร่วมในการพัฒนาลุ่มแม่น้ำโขง ผมพูดภาษาชาวบ้าน แถวบ้านผมเขาเรียกว่า เสือกอะไรเข้ามา นี่ไม่ใช่แม่น้ำมิสซิสซิปปี หรือญี่ปุ่นก็ตาม
ถ้าคุณมีโอกาส คุณช่วยไปบอกเพื่อนร่วมอาชีพคุณหน่อย ที่เป็นทูต ที่สถานทูตอเมริกา หรือญี่ปุ่นก็ได้ ว่ามีนักวิจารณ์ปากกล้าคนหนึ่ง ปากหมา บอกว่าคุณอย่ามาเสือกลุ่มแม่น้ำโขง คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องมีอยู่ 6 ประเทศเอง
3.2 จีน พม่า ลาว จะร่วมกัน จีน พม่า และลาว จะร่วมกันบริหารปริมาณน้ำ ซึ่งเป็นต้นน้ำ ให้มีน้ำไหลเพียงพอต่อการเดินเรือตลอดทั้งปี เขาต้องการให้แม่น้ำโขงสามารถเดินเรือได้ โดยจีนรับผิดชอบในการขุดเกาะแก่งต่างๆ ที่อยู่ในลำน้ำโขง ออกด้วยค่าใช้จ่ายตัวเอง ต่อมาก็จะพัฒนาลุ่มแม่น้ำโขงให้รองรับเรือท่องเที่ยวขนาดยักษ์ จะท่องเที่ยวจากประเทศจีน จากทางใต้ สิบสองปันนา ต้นกำเนิดของแม่น้ำล้านช้าง ไหลมาทางแม่โขง แล้วก็ไปออกปากอ่าว หรือจากปากอ่าวจะล่องขึ้นมาก็ได้ รองรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมาท่องเที่ยวทางเรือ 6 ประเทศ ซึ่งจะเป็นเส้นทางท่องเที่ยวที่สวยงามแห่งหนึ่งของโลก เพื่อเพิ่มรายได้การท่องเที่ยวให้แต่ละประเทศ
ข้อต่อมา คือ จะพัฒนาการเดินเรือขนส่งสินค้าระหว่าง 6 ประเทศ โดยรองรับเรือระวางขับน้ำ 500 ตัน สามารถขนส่งสินค้าครั้งละ 50 ตู้คอนเทนเนอร์ จัดทำท่าเรือสำหรับนักท่องเที่ยวและท่าขนส่งสินค้าทั้งสองฟากแม่น้ำ
อีกข้อหนึ่ง เสร็จเรียบร้อยแล้วทั้งหมดนี้ รายละเอียด ภาคีสมาชิกตกลงกันในปฏิญญาซานย่าแล้ว ก็จะมาที่เขมรเพื่อลงนามในแผนปฏิบัติการซานย่า
ซึ่งประชุมที่เขมร กัมพูชา ปรากฏว่าอะไรรู้ไหมครับ ? 5 ประเทศลงนามหมด ดำเนินตามปฏิญญาเหมือนกันเป๊ะเลย ยกเว้นประเทศไทย คุณธานี ยกเว้นประเทศไทย กระทรวงการต่างประเทศต้องตอบสิ ทำไมถึงไม่ลงนาม เพราะอะไร ? เพราะอเมริกาบอก อย่าเพิ่งลงนาม ไม่เห็นด้วย หรือญี่ปุ่นมีอิทธิพลสูง หรือเพราะนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทย หรือเพราะคุณดอน ปรมัตถ์วินัย ได้รับคำสั่งมาว่าอย่าไปลงนาม เพราะฉะนั้นประเทศไทยก็เลยไม่มีอะไรดำเนินการตามปฏิญญาซานย่า ในขณะที่ภาคีอีก 5 ประเทศ เขาดำเนินการไป เช่น การขุดลอกแม่น้ำโขงระหว่างเขตแดนไทย-ลาว เขาขุดลอกจากเขตแดน คึอเกาะแก่งที่อยู่ริมฝั่งไทย กับฝั่งลาว ทำให้แม่น้ำโขงฝั่งลาวน้ำลึก เต็มฝั่งตลอดปี ส่วนฝั่งไทยไม่ขุดลอกก็ตื้นเขิน จนรถแล่นได้ ส่วนท่าเรือทั้งหมด ทั้งท่าเรือนักท่องเที่ยว ท่าเรือขนส่งสินค้า ที่ของไทยมีที่เชียงของ และเชียงแสน เขาก็ย้ายไปอยู่ฝั่งลาวหมดแล้ว วันหนึ่งนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมาตามลำน้ำโขง ก็จะมาเที่ยวฝั่งไทยไม่ได้ และไทยก็ส่งสินค้าไม่ได้
คุณธานี อย่าเชื่อที่ผมพูด ผมส่งลูกน้องผมลงไปแล้ว ลงไปแล้วที่ท่าเรือเชียงแสน เชียงของ จะเห็น และเขาเริ่มส่งข้อความมาแล้ว ส่งข้อมูลมาแล้วว่า แถวนั้นบ่นกันอุบเลย แม่น้ำโขงทางฝั่งไทยแทบจะไม่มี แต่ฝั่งลาว เรือวิ่งได้ตลอดเวลา
คุณธานี ครับ ใครทำลายผลประโยชน์แห่งชาติเหล่านี้ ? เมื่อใดก็ตามที่รัฐบาลที่ไม่อยู่ใต้อาณัติของชาติอื่น เราต้องรีบกลับเข้าไปลงนามในแผนปฏิบัติการ นอกจากนั้นแล้ว เรายังต้องมาขอร้องจีนอีก ให้ช่วยขุดลอกให้ ถ้ามีการขุดลอกเมื่อใด เกาะแก่งหมดไป คุณธานี คงรู้ใช่ไหม พันธสัญญาระหว่างสยามกับฝรั่งเศส ตั้งแต่ปี 1496 ก็หมดสิ้นไป เพราะว่าพันธสัญญาแบ่งเขตแดนลาวกับไทย ก็คือว่า ทางฝั่งลาว เขตแดน ก็คือเกาะแก่งในลำน้ำโขง ถ้ายิ่งใกล้ฝั่งไทยเท่าไร ก็เท่ากับเขตแดนลาวนั้นรุกคืบมาจนบนเกาะแก่งที่อยู่ริมน้ำโขง ซึ่งอยู่ใกล้ฝั่งไทยที่สุด แต่ถ้าขุดลอกหมดแล้ว เกาะแก่งก็ไม่มีเหลือ พอเกาะแก่งไม่มีเหลือแล้ว สนธิสัญญา พันธสัญญาที่ไทยทำกับฝรั่งเศสก็หมดสิ้นไป ก็ต้องมาเริ่มด้วยสนธิสัญญาระหว่างประเทศ คือยึดถือเอาร่องน้ำลึกเป็นเขตแบ่งแดน คุณธานี ครับ ถ้าเป็นอย่างนี้ไทยจะได้พื้นที่เพิ่มอีกหลายร้อยตารางกิโลเมตร ฉะนั้นนี่คือความจริง นี่คือความเสียหายของชาติที่เกิดจากการไม่เข้าร่วมลงนามในแผนปฏิบัติการซานย่า เรื่องนี้ประเทศไทยเสียประโยชน์ คุณธานี ครับ ใครต้องรับผิดชอบ ? คุณบอกผมหน่อยได้ไหม คุณถามคุณดอน หน่อยว่าใครรับผิดชอบตรงนี้
วันนี้เรือต่างๆ ที่เคยจอดท่าเรือเชียงของ เชียงแสน ไม่ได้จอดแล้ว ท่าเรือต่างๆ ไปโผล่เอาที่ทางฝั่งลาวหมด แล้วคุณธานี ผมจะเล่าอะไรให้คุณฟังอย่างหนึ่ง สมัยที่ผมยังบุกลาว เขมร จีนอยู่ ผมเข้าไปในมณฑลยูนนานเมื่อปี 2535 ยี่สิบเก้าปีที่แล้ว วันนี้คุณ 54 คุณเพิ่งอายุ 25 เองมั้ง เพิ่งเรียนจบ ผมเป็นแขกของท่านผู้ว่าการมณฑลยูนนาน ผมได้ลงไปดูสิบสองปันนา เมืองเชียงรุ้ง ผมเห็นมาหมดทุกอย่าง ผมว่าในที่สุดแล้ว Sub-region อย่างเช่นอินโดจีน ลาว เขมร เวียดนาม พม่า จะเจริญเติบโตต่อไป ประเทศไทยจะต้องหาทางที่จะเข้าไปลงทุนในประเทศต่างๆ เหล่านี้ก่อนที่ประเทศจีนจะเจริญเติบโตมา แล้วคำทำนายผมไม่ผิดเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะประเทศไทยมีกระทรวงการต่างประเทศที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของอเมริกา และญี่ปุ่น ก็เลยไม่ได้เห็นการเจริญเติบโตของจีนเกิดขึ้นมา วันนี้ฝั่งลาวเขามีเขตเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งลาวเซ็นสัญญากับจีน ให้สร้างเมืองใหญ่เบ้อเริ่มเลย
มีเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ มีโน่นมีนี่ แล้วอีกไม่นาน คุณธานี ผมจะเตือนคุณ เขาจะสร้างสนามบินที่นั่นแล้ว เพราะฉะนั้นแล้ว อีกหน่อยเครื่องบินจากฮ่องกง จากมาเก๊า หรือจากต่างประเทศ ก็จะสามารถลงตรงนั้น แล้วเที่ยวเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ เสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาจะทำอย่างไรต่อรู้ไหม คุณธานี เขาจะนั่งรถไฟความเร็วสูงที่เชื่อมจากเวียงจันทน์ เข้าไปทางสิบสองปันนา แล้วผ่านเขตเศรษฐกิจพิเศษตรงนั้น แล้วเขาก็ขึ้นรถไฟตรงนั้นต่อไปที่สิบสองปันนา แล้วเชื่อมรถไฟความเร็วสูงขึ้นไปจนถึงคุนหมิง จากคุนหมิง กระจายไปทั่วประเทศจีน
พี่น้องชาวเจียงฮาย ในอนาคตชีวิตของคุณจะตกต่ำไปเรื่อยๆ ก็เพราะความงี่เง่าของข้าราชการระดับสูงของกระทรวงการต่างประเทศของไทย ให้รู้เอาไว้เสียด้วย แล้วผมจะเตือนคุณอย่างหนึ่ง คุณรู้จักเส้นทาง R3A ใช่ไหม คุณธานี นั่นคือเส้นทางระหว่างลาว วิ่งไปสู่ประเทศจีน เราเคยใช้เส้นทางนี้เพื่อที่จะส่งสินค้าไปตลอดเวลา เส้นทางนี้ทรุดโทรมมาก สามารถซ่อมได้ทุกปี ปิดซ่อมได้ทุกปี คุณธานี ครับ เขาไม่ปิดซ่อม เขาเสือกมาปิดซ่อมในช่วงนี้ ช่วงที่เขาหมั่นไส้คุณ ปิดซ่อมทั้งสายเลย แล้วไม่บอกด้วยว่าซ่อมเสร็จเมื่อไร ก็ทำให้เส้นทางนี้ ซึ่งเป็นเส้นทางหลัก หัวใจหลักในการส่งสินค้าไทยผ่านทางพื้นดินเข้าไปทางจีน จำเป็นต้องเปลี่ยนเส้นทางส่งสินค้าไทยใหม่
แล้วคุณว่าที่นายดอน กับนายหวัง อี้ คล้องแขนกันนั้นมันมีสาระอะไรหรือเปล่า นี่คือสาระที่เขาทำให้คุณดู คล้องแขนนี่ก็คือว่า คุณกล่าวคำสรรเสริญเขาไปคำหนึ่ง เขาก็กล่าวคำสรรเสริญคุณกลับมาคำหนึ่ง ต่างฝ่ายต่างเชลียร์กันไปเชลียร์กันมา แต่สาระที่แท้จริงก็คือสิ่งที่ผมเล่าให้ฟังว่า เขากำลังตอบโต้คุณหลายอย่างแล้ว แล้วคุณรู้หรือเปล่าว่าตอนนี้ เริ่มมีคำสั่งแล้ว สินค้าไทยถ้าจะไปจีน ต้องส่งไปที่บ่อเต้น แล้วค่อยขึ้นรถไฟไปกวางสี สินค้าไทยต้องผ่านกี่จุด แล้วคุณรู้ไหม คุณธานี คุณรู้ไหม ถ้าคุณไม่รู้ ผมจะบอกให้คุณรู้ ว่าสินค้าไทยและทุกสินค้าที่เข้าจีน อาจจะมี Free Trade กัน ไม่เสียภาษี แต่ต้องเสียภาษีท้องถิ่น 15 เปอร์เซ็นต์ ลาว เขมร เวียดนาม เจรจากับจีน ได้ลดจาก 15 เปอร์เซ็นต์ เหลือ 7.5 เปอร์เซ็นต์ แต่ไทยยังต้องเสีย 15 เปอร์เซ็นต์ พ่อค้าไทยอิ๊บอ๋ายทุกวันนี้ ฝีมือใคร ?
ท่านผู้ชมครับ ผมพูดอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีใครกล้าพูดอย่างผม ถือว่าผมเบิกเนตรคุณก็แล้วกัน คุณธานี และนายดอน เฮ้าเลี่ยน คุณไปเช็กข้อมูลผมดู ถ้าไทยไม่เดือดร้อนขนาดนี้ คนอย่างจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ จะมาเรียกทูตเวียดนามมาพบได้อย่างไร ว่าให้ผ่อนปรนเพื่อเร่งการระบายสินค้าไทยเข้าประเทศจีน ก็แสดงว่าประเทศไทยหลังชนกำแพงแล้ว เพราะความระยำตำบอนของคนบางคนในกระทรวงการต่างประเทศที่รับใช้อมริกา และญี่ปุ่น เหมือนสุนัขรับใช้
ท่านผู้ชมครับ เมื่อประมาณวันที่ 11-13 มิถุนายน พ.ศ. 2564 ได้มีการประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ 7 ชาติ หรือสมัยก่อนที่เขาเรียกว่า G7 สมัยก่อนนั้นมีรัสเซียเข้าไปอีกชาติหนึ่ง เป็น G8 แต่ตอนหลังรัสเซียถูกถอดออกจากกลุ่ม G7 เหตุผลเพราะว่าไปยึดคาบสมุทรไครเมีย ซึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของยูเครน แต่ตั้งแต่ต้นแล้ว เป็นของรัสเซียมาตลอด
G7 มีอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี แคนาดา อิตาลี ญี่ปุ่น ที่เมืองคอร์นวอลล์ ทางตะวันตกเฉียงใต้ของอังกฤษ โดยมีผู้นำจาก 7 ชาติข้างต้น ร่วมกันครบครัน ผมไม่เล่าก็แล้วกัน รายละเอียดไม่ต้อง เอาเป็นหลักๆ ก็แล้วกัน ท่านผู้ชมจะได้เข้าใจ
G7 ครั้งนี้มาประชุมโดยการนำของนายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา หลังจากที่ 4 ปีผ่านมาของนายทรัมป์ ปฏิเสธที่จะพูดคุยกับพันธมิตรทางยุโรป
แต่ไบเดน ต้องการจะรวมพันธมิตรยุโรปและพันธมิตร G7 เข้ามาเป็นบล็อกเดียว เพื่ออะไรรู้ไหมท่านผู้ชม ? เพื่อต่อต้านจีนประเทศเดียว ข้อตกลงในนั้น มันมีข้อตกลงเรื่อง Climate Change เรื่องอากาศ เรื่องบรรยากาศ เรื่องโน้นเรื่องนี้ แต่ไม่สำคัญเท่ากับข้อสุดท้ายที่สำคัญที่สุด ก็คือว่า ทุกคนมีแถลงการณ์ร่วมกันเพื่อที่จะยับยั้งการเจริญเติบโตของจีน โดยกล่าวหาว่าจีนนั้นเป็นผู้ที่รุกราน จีนนั้นเป็นผู้ที่มีเผด็จการ มีปัญหาเรื่องสิทธิมนุษยชนที่ซินเจียง มีปัญหาสิทธิมนุษยชนที่ฮ่องกง มีปัญหาเรื่องสิทธิมนุษยชนที่ทิเบต ซึ่งเป็นมุกเก่าๆ ของประเทศทางตะวันตก ท่านผู้ชมครับ วันหลังผมจะพูด สักอาทิตย์หนึ่ง ในเรื่องของลัทธิสิทธิมนุษยชนที่ทางตะวันตกเอามาใช้เพื่อรุกรานประเทศต่างๆ
สรุปง่ายๆ ก็คือว่า ประชุม G7 ครั้งนี้ เมื่อวันที่ 11-13 มิถุนายน ที่เมืองคอร์นวอลล์ นั้น ก็คือการรวมกฐินสามัคคีเพื่อกระทืบจีน นั่นคือหลักการนะครับ
เอาล่ะ ผมจะมาที่หัวใจของ G7 ก็แล้วกัน ท่านผู้ชมจะได้เข้าใจ ผมมีรูปๆ หนึ่งอยากให้ท่านผู้ชมดู ผมจะเอาขึ้นให้ดู รูปนี้เลียนแบบรูป The Last Supper ของเลโอนาร์โด ดา วินชี หมายถึงอาหารมื้อสุดท้ายของพระเยซู ก่อนที่ท่านจะเสียชีวิต ในรูปนั้นประธานที่ประชุมก็คืออินทรี สหรัฐฯ ที่กำลังวางแผนกินเค้กที่มีรูปแผนที่จีนบนโต๊ะ เคียงข้างกับกระดาษชำระที่พิมพ์เป็นเงินดอลลาร์ แสดงถึงงบกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่มีมากมายเป็นประวัติการณ์ 8 ล้านล้านดอลลาร์ ใต้เท้าของพญาอินทรียังมีโซ่ตรวนและสำลีเปื้อนเลือดบนโต๊ะ แสดงถึงการกดขี่ทางเชื้อชาติในอเมริกา
ด้านข้างพญาอินทรี คือหมาป่า (อิตาลี) ที่ทำมือปฏิเสธ เพราะอิตาลีได้รับความช่วยเหลือจากจีนในการรับมือโรคโควิด ในขณะที่สหภาพยุโรปปฏิเสธช่วยเหลือในยามแรก อิตาลี ยังเป็นชาติยุโรปชาติแรกที่เข้าร่วมโครงการ "1 แถบ 1 เส้นทาง" ของจีน
ถัดมาคือหมาป่าพันธุ์อากิตะ (ญี่ปุ่น) ผมมีอยู่ตัวหนึ่ง ชื่อ ฮานะ ท่านผู้ชมที่เคยติดตามข่าวของผมจะเห็นว่าผมเคยมีรูปหมานี้ลงในโพสต์ของผม สุนัขพันธุ์อากิตะ (ญี่ปุ่น) กำลังเสิร์ฟเครื่องดื่มสีเขียวที่มีสัญลักษณ์ของกัมมันตภาพรังสี แปลว่าอะไร ? สะท้อนให้เห็นถึงการที่ญี่ปุ่นกำลังปลดปล่อยน้ำปนเปื้อนจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะ ลงสู่ทะเลตลอดเวลา
รูปต่อมา คือรูปจิงโจ้ (ออสเตรเลีย) กำลังยื่นมือไปหยิบเงินดอลลาร์ แต่ด้านหลังมีถุงน้ำเกลือที่มีธงชาติจีน เพราะจีนเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของออสเตรเลีย
ส่วนอีกรูปหนึ่ง คืออินทรีเหล็ก (เยอรมนี) ยืนมองด้วยท่าทีที่เรียบเฉย เหมือนกับไก่ (ฝรั่งเศส) ที่กำลังครุ่นคิดอยู่อีกฟากหนึ่งของโต๊ะ เพราะว่าทั้งสองชาติสนใจเรื่องภายในยุโรปมากกว่าจะออกมาต่อกรกับจีนตามอเมริกา
ส่วนสิงโต (อังกฤษ) และบีเวอร์ (แคนาดา) เป็นพันธมิตรใกล้ชิดในโครงการข่าวกรองของ Five Eyes ท่านผู้ชมจำคำว่า Five Eyes ได้ไหม ? Five Eyes คือกลุ่ม 5 ประเทศที่พูดภาษาอังกฤษ มีอเมริกา มีอังกฤษ มีแคนาดา มีออสเตรเลีย และมีนิวซีแลนด์ และบีเวอร์ยังอุ้มตุ๊กตาไว้ตัวหนึ่ง เป็นสัญลักษณ์ว่า นางเมิ่ง หว่านโจว ผู้บริหารหัวเว่ย ที่ถูกจับเป็นตัวประกันในคดีละเมิดกฎหมายคว่ำบาตรของอเมริกา
อีกรูปหนึ่ง เป็นรูปสุดท้าย ซึ่งอยู่ทางมุมขวาของรูป คือรูปช้าง ช้างเป็นตัวแทนอินเดีย อินเดีย ถ้าผมจำไม่ผิด ในรูปจะมีสายห้อยระโยงระยาง ก็คือให้น้ำเกลือ ก็คืออินเดียกำลังประสบภาวะในเรื่องของโควิด-19 อย่างรุนแรงที่สุด
ภาพนี้เป็นภาพการประชุมสุดยอด G7 ที่สะท้อนให้เห็นนัยที่สำคัญ คือแทบจะไม่ต้องไปฟังรายละเอียดในการประชุมเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะหลักการง่ายๆ ก็คือว่า ข้อสุดท้ายก็คือ ร่วมมือร่วมใจกันทำกฐินสามัคคีเพื่อกระทืบจีน ท่านผู้ชมตามผมมานิดหนึ่ง แล้วท่านผู้ชมจะรู้สึกเหมือนกับคนจีน 1,400 ล้านคน ที่รู้สึกอยู่ปัจจุบันนี้
ในสายตาคนจีน 1,400 ล้านคน ภาพการประชุมกลุ่ม G7 ในปีนี้ ไม่ได้แตกต่างจากกลุ่มพันธมิตร 8 ชาติ ที่มาปล้นชิงประเทศจีนเมื่อ 121 ปีที่แล้ว ในปี ค.ศ. 1900 พอเห็นภาพการประชุมกลุ่มผู้นำ G7 ในปีนี้ ทำให้คนจีนทุกคนมีความคิดผุดขึ้นมาในหัวสมองเลยว่า ประเทศพวกนี้มันรวมตัวกันรังแกกูเมื่อ 121 ปีที่แล้ว ตอนกูอ่อนแอ มันเข้ามาบุกรุก ปล้นชิง เอารัดเอาเปรียบ ผ่านมา 121 ปี มันก็ยังรวมหัวรังแกกูอีก ไม่ได้ต่างไปจากอดีตเลย
ท่านผู้ชมครับ ชาติตะวันตก 7 ชาติ อาจจะไม่รู้ว่าการประชุมของเขาที่เมืองคอร์นวอลล์ ที่ประเทศอังกฤษ ได้สร้างความสามมัคคีให้กับชาวจีน 1,400 ล้านคน โดยไม่รู้ตัว ส่งเสริมให้ชาวจีนทุกคนฮึดสู้หมด 1,400 ล้านคน ฮึดสู้ หนุนประเทศจีน หนุนรัฐบาลจีน หนุนพรรคคอมมิวนิสต์จีน ให้สู้กับกลุ่ม G7 จิตวิทยาตรงนี้สำคัญมาก ท่านผู้ชม ประเทศไทยไม่มีความสามัคคี ลำพังเรื่องวัคซีนอย่างเดียวก็ทะเลาะกัน กัดกัน ตอแหลใส่กันและกัน หิวแสง โหนแสงซึ่งกันและกัน แต่ว่าการประชุมของ G7 ภาพที่ออกมามันไม่ได้ต่างกว่าเมื่อ 121 ปีที่แล้ว ที่อังกฤษ เยอรมนี ฝรั่งเศส รัสเซีย (แต่รัสเซียไม่ได้เข้าประชุมด้วย ก็ไม่ได้เกี่ยวในนี้) แม้กระทั่งออสเตรเลีย และอินเดีย ที่เข้าไปยึดครองประเทศจีน ไปปล้นสะดม ประเทศจีนเคยมีอุทยานแห่งหนึ่ง เรียกว่า หยวนหมิงหยวน
อุทยานนี้ใหญ่มาก คุณค่าของวัตถุต่างๆ ที่อยู่ในอุทยานหยวนหมิงหยวนนั้น สูงค่า สวยกว่าและใหญ่กว่าพระราชวังแวร์ซายเยอะมาก พื้นที่ประมาณเกือบ 4 ตารางกิโลเมตร กลุ่มชาติพันธมิตร 8 ชาติ เคยบุกเข้าไปขโมยของ เอาของออกมา แล้วเอามาประมูลกันในระหว่างทหารอังกฤษ ทหารอเมริกา เดี๋ยวผมจะเอารูปให้ดู ภาพพวกนี้ยังตราตรึงอยู่ในจิตใจของคนจีน
ข้อดีของประเทศจีน คือเขาไม่เคยลืมประวัติศาสตร์ของเขาเลย รวมทั้งญี่ปุ่นด้วย ญี่ปุ่นรังแกจีนตั้งแต่สมัย 121 ปีที่แล้ว แล้วก็เข้ามายึดครองประเทศจีนในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ฆ่า สังหารประชาชนชาวจีนที่เมืองนานกิง ประวัติศาสตร์พวกนี้คนจีนทุกคนเรียนหมด ไม่เหมือนคนไทย ไม่เคยจำประวัติศาสตร์ตัวเองได้เลยแม้แต่นิดเดียว เพราะว่าเราไม่เคยสนใจให้ลูกหลานคนไทยจำประวัติศาสตร์ แต่คนจีนเขาจำได้หมด พอเขาจำได้หมด เขาก็เลยเอาเรื่องราวต่างๆ นี้มาผูกให้ดู ว่าเมื่อ 121 ปีที่แล้ว มึงรังแกกูอย่างนี้ มาวันนี้ก็ยังทำเหมือนเดิมอีก มารวมตัวกันเพื่อเล่นงานกูคนเดียว แต่จีนเมื่อ 121 ปีที่แล้ว กับจีนวันนี้ มันไม่เหมือนกัน ตรงกันข้ามกันอย่างมากเลย ท่านผู้ชมครับ
ท่านผู้ชมกลับไปดูรูปอีกรูปหนึ่ง รูปเก่า ที่จะเห็น ที่ผมเอาให้ดู รูป The Last Supper มันจะมีอยู่ 2 จุด จุดหนึ่ง ก็คือ กบ (กบ คือ ไต้หวัน) และอีกจุดหนึ่งคือ แมลงสาบ แมลงสาบที่อยู่บนโต๊ะนั้น คือใคร ? ก็คือกลุ่มที่ประท้วงการปกครองของจีนที่ฮ่องกง ผมคิดว่าเรื่องนี้ รายละเอียดท่านผู้ชมอย่าไปฟังเลย แต่ผมสังเกตอย่างหนึ่ง การประชุมกัน 7 ประเทศ มีผู้ที่เข้าสังเกตการณ์ คือ ออสเตรเลีย และอินเดีย ท่านผู้ชมครับ ทุกคนรวมตัวกันเพื่อพูดว่า จะต่อต้านจีน หลังจากนั้นแล้ว นาโตออกมาบอกว่าจะต่อต้านจีน คำถามคือ จีนเขาไม่ได้บุกไปที่ยุโรป เขาอยู่ในที่ของเขา ก็คือทะเลจีนตอนใต้ และจีน ท่านผู้ชมครับ ผมจะบอกความลับอะไรให้อย่างหนึ่ง คุณธานี ครับ นี่ผมต้องพูดถึงคุณแล้วนะ เพราะผมถือว่าคุณเป็นตัวแทนกระทรวงการต่างประเทศ คุณรู้ไหมว่าการซ้อมรบคราวที่แล้ว ที่เรือบรรทุกเครื่องบินควีนเอลิซาเบธวิ่งเข้ามาทะเลจีนตอนใต้ คุณรู้หรือเปล่า ไม่มีเครื่องบินอยู่บนเรือบรรทุกเครื่องบินสักลำ เป็นการโชว์สัญลักษณ์เฉยๆ เพราะฉะนั้นแล้ว พันธมิตรที่นายโจ ไบเดน สร้างขึ้นมา เป็นพันธมิตรที่ดีแต่ในภาพ เก่งแต่ปาก
ท่านผู้ชมครับ G7 เป็นสิ่งชำรุดในประวัติศาสตร์แล้ว มันเก่าเกินไปแล้ว มาใช้กับยุคดิจิทัลหยวน มาใช้กับยุคดิจิทัลแบบนี้ ใช้ไม่ได้อีกต่อไป
แม้จะพยายามจะร่วมมือกัน ลงขันกัน เพื่อที่จะสร้างโครงสร้างการคมนาคมแข่งกับ 1 แถบ 1 เส้นทาง ของจีน ก็ช้าไปแล้ว ใครจะลงเงินล่ะ อเมริกาจะลงหรือ ? อเมริกา ลำพังแค่มีรถไฟความเร็วสูง 1 เส้น ก็ยังไม่มี อเมริกายังจะต้องใช้เงินประมาณ 3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อจะเอาเงินก้อนนี้มาพัฒนาโครงสร้างคมนาคมในประเทศอเมริกา และกำลังพูดถึงเงิน 8 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ที่จะเอามาลงขันกัน อิตาลีกำลังจะล้มละลาย ฝรั่งเศสกำลังจะล้มละลาย อังกฤษก็มีปัญหาการออกจาก Brexit เยอรมนีไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น อยากจะค้าขายกับจีนต่อไป การลงทุนของเยอรมนีในประเทศจีนสูงมากมายมหาศาล ออสเตรเลีย ? ออสเตรเลียจะตายอยู่ทุกวันนี้แล้ว เพราะว่าการส่งออกที่เคยส่งออกไปที่จีน เป็นมูลค่า 30 เปอร์เซ็นต์ ของการส่งออกของตัวเอง ตกลงมาเหลือไม่ถึง 5 เปอร์เซ็นต์ อินเดีย ? อินเดียก็จะมีปัญหาเรื่องเชื้อชาติ ปัญหาเรื่องวรรณะเต็มไปหมด จะทะเลาะกับใครยังมีปากีสถานค้ำคอ เพราะฉะนั้นแล้ว การประชุม G7 และคำแถลงการณ์ร่วมที่ออกมานั้น อุปมาอุปไมยในภาษากำลังภายใน เรียกว่า ผายลมสุนัข
ท่านผู้ชมครับ เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2564 ในหัวข้อเรื่องของ "หิวแสง" เรื่องเกี่ยวกับลุงพล หรือนายไชย์พล วิภา ผมได้เกริ่นเอาไว้ก่อนล่วงหน้าว่า จริงๆ แล้วในเรื่องนี้นอกจากเรื่องที่ผมเล่าให้ฟังแล้ว มันยังมีเรื่องดูโอ้ คู่หู คู่โหด ที่ตอนนี้ผมเรียกจากคู่หูดูโอ้ กลายไปเป็น "แค้นสั่งฟ้า" ระหว่างคนสองคน คนหนึ่งคือ คุณอัจฉริยะ และอีกคนหนึ่งคือคนคือคุณษิทรา หรือที่เขาเรียกกันว่า ทนายตั้ม
วันนี้ผมจะเอาเรื่องทั้งสองคนมาเล่าให้ฟังนิดหนึ่ง แล้วจะชี้ให้เห็นว่าความขัดแย้งของคนสองคนนี้มันเริ่มจากจุดไหน แล้วทำไมมันถึงลุกลามกันไปมากมาย กลายเป็นว่า ที่ไหนมีทนายตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด ที่นั่นก็ต้องมีอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ แต่จะยืนอยู่ฝั่งตรงกันข้าม นอกจากจะโต้กันในเฟซบุ๊กอย่างดุเดือดเผ็ดมันแล้ว มันก็ยังมีอีกมากมายหลายอย่างที่แต่ละคนก็ตามล้างตามเช็ดซึ่งกันและกัน
ที่น่าสนใจ ทั้งสองคนเป็นคนที่มุ่งมั่นที่จะทำงานเพื่อส่วนรวมตั้งแต่ต้น แล้วมันมีเหตุบางอย่างที่มันเกิด ทำให้ต้องแตกคอกัน คุณอัจฉริยะ นั้น เจริญเติบโตมาบนพื้นฐานของการถูกรังแก คุณอัจฉริยะ จบวิศวกรรมฯ โยธา จากมหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์ แล้วก็ไปทำงานกับเจ้านายคนหนึ่ง แล้วโดนเจ้านายโกง โกงเงินไปเป็นล้าน และมิหนำซ้ำแล้ว เจ้านายก็ยังใช้เส้นสายที่ตัวเองมีอยู่กับตำรวจ เพื่อดำเนินคดีคุณอัจฉริยะ ที่คุณอัจฉริยะ ไม่ผิด คุณอัจฉริยะ ถูกดำเนินคดีไปจนในที่สุดศาลสั่งยกฟ้อง แต่ความเจ็บปวดตรงนี้ทำให้คุณอัจฉริยะ มีความรู้สึกว่าเขาไม่ได้รับความเป็นธรรม เพราะทั้งๆ ที่ศาลยกฟ้องแล้ว ตำรวจก็ยังมีชื่อเขาอยู่ในทะเบียนประวัติอาชญากรรม ทำให้เขาไปสมัครงานที่ไหนก็ไม่ได้ จะทำอะไรก็ไม่ได้ ก็เลยมีปรากฏการณ์ในยุคที่ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ คุณอัจฉริยะ นั้น ก็เอาลูกเมียไปยื่นหนังสือ ปรากฏว่าทางคุณเพรียวพันธ์ ก็ไม่ส่งคนมารับ ทำให้คุณอัจฉริยะ นั้นยืนประท้วงตั้งแต่สิบเอ็ดโมง จนถึงบ่ายสองโมง และในที่สุดคุณอัจฉริยะ ก็ตัดสินใจเอาลูกไปนั่งอยู่กลางถนนพระราม 1 ขวางการจราจร ทำให้รถติดวินาศสันตะโร
จนในที่สุด พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ซึ่งเป็นรอง ผบ.ตร. ลงมารับเรื่อง แล้วก็บอกคุณอัจฉริยะ ว่า เดี๋ยวต้องไปยื่นที่ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ซึ่งเป็นที่เกิดเหตุ แล้วก็จัดรถตำรวจสันติบาลไปส่งคุณอัจฉริยะ เพราะคุณอัจฉริยะ บอกว่าไม่มีตังค์ค่ารถไป
ตรงนี้ต่างหากเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้คุณอัจฉริยะ ต้องไปตั้งชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม และคุณอัจฉริยะ ก็ทำงานนี้มาตลอด คือทำงานประเภทขาลุย ลุยเดี่ยว เจอใครก็ตาม ถ้าไม่ได้รับความเป็นธรรม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม คุณอัจฉริยะ ก็จะทำ เข้าไปจับเรื่องราวต่างๆ เหล่านี้ จนกระทั่งเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งตำรวจที่ประพฤติมิชอบ คุณอัจฉริยะ ค่อนข้างจะชำนาญในเรื่องนี้ แล้วก็มีหลายๆ เรื่องที่คุณอัจฉริยะ ทำไป ประสบผลสำเร็จก็มี ไม่ประสบผลสำเร็จก็มี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวต่างๆ จนกระทั่งถึงเรื่องครูจอมทรัพย์ ท่านผู้ชมจำได้ใช่ไหมครับ ครูจอมทรัพย์
ซึ่งคุณอัจฉริยะ ยืนอยู่ตรงข้ามครูจอมทรัพย์ โดยบอกว่า ถ้าครูจอมทรัพย์ ถูก เขายินดีให้ฟ้องคดี ทั้งคดีแพ่งและคดีอาญา และเขาจะยกเลิกงานที่เขาจะทำในเรื่องชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ออกไปทันที แต่ในที่สุดแล้ว ศาลฎีกาก็พิพากษาว่าครูจอมทรัพย์ นั้นโกหก ผิด ต้องยอมรับว่าเป็นผลงานของคุณอัจฉริยะ เช่นกัน แต่ก็ไม่มีใครที่จะจำเรื่องนี้ได้
คุณอัจฉริยะ ทำอีกเรื่องหนึ่ง คือเรื่องยักยอกทรัพย์ สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ซึ่งนายศุภชัย ศรีศุภอักษร ถูกจำคุกไปแล้ว มีเหตุการณ์ๆ หนึ่งในการประชุมเจ้าหนี้และผู้ถือหุ้น คุณอัจฉริยะ ก็เข้าไปประชุมด้วย ปรากฏว่ามีการตะลุมบอนกัน คุณอัจฉริยะ ถึงกับหัวร้างข้างแตก เลือดอาบศีรษะเลย คุณอัจฉริยะ นั้น ได้ช่วยเด็กหลายคน อย่างเช่น น้องหญิง น.ส.นรีกานต์ ยาวิราช ที่นั่งรถเทรลเลอร์ไป ท่านผู้ชมจำได้ไหมครับ นั่งรถเทรลเลอร์ แล้วคนขับ คือ นายสุรพล ดาราคำ หรืออ๊อฟ มารายงานว่าน้องหญิง ตกรถแล้วก็เสียชีวิต แต่คุณอัจฉริยะ ก็ไม่ยอมเชื่อ ก็เอาเรื่องของพ่อแม่ของน้องหญิงนั้น ซึ่งสงสัยว่าลูกของตัวเองนั้นก็คงจะไม่ได้ตกรถหรอก แต่อาจจะถูกฆ่าตาย
จึงเอาไปพิสูจน์จนกระทั่งปรากฏพบว่ากะโหลกศีรษะที่แตกนั้น ถูกของแข็งทุบตี ทุบท้ายทอย แล้วก็ในที่สุดแล้ว ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องจำเลย หรือคุณอ๊อฟ แต่ให้ขังคุกเอาไว้ก่อนเพื่อรออุทธรณ์ จนกระทั่งหนึ่งปีให้หลัง ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ จำคุกนายอ๊อฟ ตลอดชีวิต คุณอัจฉริยะ นั้นก็มีชื่อเสียงอย่างหนึ่ง คือ แฉเรื่องหน้ากากหาย สมัยที่หน้ากากอนามัยหายไปเป็นล้านๆ ชิ้น จนกระทั่งคุณอัจฉริยะ มีเรื่องมีราวเป็นคดีอาญาในเรื่องการหมิ่นประมาทกับกลุ่มของคุณจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ นี่คือบทบาทของคุณอัจฉริยะ
จนกระทั่งล่าสุดนั้น การปะทะกันระหว่างคุณอัจฉริยะ กับทนายตั้ม ก็เกิด เมื่อคุณษิทรา เบี้ยบังเกิด ได้มาเป็นทนายความให้กับคุณไชย์พล วิภา หรือที่เขาเรียกกันว่า ลุงพล ก็ปรากฏว่าฝั่งของแม่น้องชมพู่ จู่ๆ คุณอัจฉริยะ ก็โผล่มาเป็นที่ปรึกษาสู้คดีให้ คือพูดง่ายๆ ว่า คุณอัจฉริยะ ถึงกับเอาทนายความของตัวเอง 2 ชุด มาว่าความให้
อันเป็นผลพลอยได้ต่อมาก็คือว่า คุณษิทรา เบี้ยบังเกิด ก็ออกมาพูดจาประชดประชันว่า นึกว่าใครที่ไหน จะแน่ ตอนแรกก็กลัวเหมือนกัน แต่พอมาเห็นชุดนี้แล้ว ผมก็เลยชิลๆ สบายๆ (นี่ผมพูดเองนะครับ) ชิลๆ สบายๆ เพราะว่าแพ้ผมมาแล้วทุกคดีที่สู้กับผมมา แพ้ผมหมด เอาล่ะ ไม่เป็นไร เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง
ส่วนคุณตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด ก็เจริญเติบโตมาคนละแบบกับคุณอัจฉริยะ แต่ว่าเมื่อเรียนจบคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง แล้ว ได้เนติบัณฑิต ผมเข้าใจว่าคงจะได้เนติบัณฑิตนะ เป็นคนสมุทรสาคร ก็เลยมาตั้งสำนักงานทนายความอยู่ที่กระทุ่มแบน สมุทรสาคร และก็จัดการเรื่องเป็นทนายเพื่อประชาชน ก็คือใครมีเรื่องเดือดร้อนอะไร ร้องทุกข์อะไรมา ก็มาหาได้ มีคนที่มาร่วมงานกับสำนักงานทนายความของคุณษิทรา มากมาย คุณษิทรา ก็ได้ทำงานบางงาน ซึ่งก็คล้ายๆ คุณอัจฉริยะ ช่วยเหลือ น.ส.ภัทราภรณ์ ทาทอง หรือน้องภัทร์ สาวโรงงาน ตั้งครรภ์ได้ 3 เดือน ถูกรถสิบล้อชนแล้วหนี บนสะพานข้ามแยกสาครเกษม อ.กระทุ่มแบน เมื่อค่ำวันที่ 18 ธันวาคม 2555 จนในที่สุด บาดเจ็บจนต้องตัดแขนและตัดขา กลายเป็นคนพิการ คุณษิทรา ก็ร่วมกับตำรวจ หาเบาะแส จนกระทั่งจับกุมคนร้ายได้ และประสานงานขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานราชการต่างๆ จนน้องภัทร์ มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
นอกจากนั้นแล้ว คุณษิทรา หรือทนายตั้ม ก็ช่วยเหลือครอบครัวคุณณขจร กิจฤกษ์ไทย หรือที่ชื่อ น้องจีโน่ ถูกนายพชร เทียนชูศักดิ์ กับ น.ส.จันทราลักษณ์ ลั่นสิน คู่รักวัยรุ่น ใช้น้ำมันจุดไฟเผาร่างกาย โดยอ้างว่าแค้นที่แฟนสาว คือคุณจันทราลักษณ์ ถูกข่มขืน ทั้งๆ ที่ฝ่ายหญิงสมยอม เพราะว่าในช่วงหนึ่งฝ่ายหญิงนั้นเลิกรากับฝ่ายชายไป ปรากฏว่า น้องจีโน่ แผลไฟไหม้ เสียชีวิต คดีนี้ศาลจังหวัดสมุทรสาครพิพากษาให้ประหารชีวิตคนที่ทำเรื่องนี้ คือ คุณพชร เทียนชูศักดิ์ ฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ แต่ลดโทษให้เหลือจำคุกตลอดชีวิต
ความขัดแย้งครั้งแรกที่เกิดขึ้นระหว่างทนายตั้ม หรือคุณษิทรา เบี้ยบังเกิด กับคุณอัจฉริยะ ประเด็นก็คือ มีสามีภรรยาคู่หนึ่ง ชาว จ.สมุทรสงคราม ระบุว่าถูกตำรวจ สภ.บางโทรัด จ.สมุทรสาคร 8 คน บุกค้นตัวที่ปั๊มน้ำมัน ก่อนยัดยาเสพติด ชิงสร้อยคอทองคำ เงินสด คดีนี้ศาลจังหวัดสมุทรสาครยกฟ้องสามี แต่จำคุกภรรยาไว้เป็นเวลา 4 ปี แต่พอต่อมาหลังเป็นข่าว ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีใหม่ แล้วยกฟ้องสามี เป็นครั้งที่สอง ส่วนตำรวจ 8 คน ถูกสามีภรรยาฟ้องในข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ หรือที่เรียกว่า ป.ป.ท. ภายหลัง ... นี่คือจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งครั้งแรก ตำรวจ 8 คน ไปขอความช่วยเหลือนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ระบุว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่ตกเป็นจำเลยสังคม
อีกเรื่องหนึ่งของความขัดแย้ง ก็คือคดีหวยอลเวง ครูปรีชา กับหมวดจรูญ คุณตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด ก็เป็นคนที่ยืนข้างหมวดจรูญ และในที่สุดแล้ว หมวดจรูญ ชนะคดี ฟ้องกลับนายปรีชา และนายวรยุทธ บุญวงศ์ใส ทนายความ ข้อหาร่วมกันเอาความเท็จฟ้องร้องผู้อื่นต่อศาล
ย้อนกลับไปในคดีหวย 30 ล้าน นายษิทรา หรือทนายตั้ม ได้ร่วมงานกับอัจฉริยะ ในฐานะที่ช่วยขุดคลิปเสียงคล้ายครูปรีชา ที่เรียกเสียงฮือฮาจากชาวเน็ต ทำให้ครั้งหนึ่ง สองคนนั่งกอดกัน ทนายตั้ม กับอัจฉริยะ สนิทสนทกันระยะหนึ่ง ไปเที่ยวที่หัวหิน ประจวบคีรีขันธ์ ก็ชิลๆ
ต่อมาจู่ๆ อัจฉริยะ ก็ออกมาแฉว่ามีทนายความรูปหล่อคนหนึ่ง กับผู้หญิงคนหนึ่ง มีความสัมพันธ์เป็นชู้สาว ก็คงจะหมายถึงทนายตั้ม ทนายตั้ม ก็ออกมาโพสต์ว่าไม่ใช่ความจริง แล้วทั้งอัจฉริยะ และทนายตั้ม ก็เลยเริ่มสงครามไซเบอร์กันแล้ว คือใช้เฟซบุ๊กตอบโต้กันไปตอบโต้กันมา จุดที่อัจฉริยะ ออกมาชนทนายตั้ม อย่างเต็มๆ คือคดียาเสพติดของ น.ส.อาเมเรีย จาคอป หรือเอมี่ ธิดาวานร
เอมี่ ธิดาวานร หรืออาเมเรีย จาคอป ถูกจับพร้อมแฟนหนุ่มที่ชื่อปุณยวัจน์ หิรัณย์เตชะ ข้อหาครอบครองยาเสพติดเพื่อจำหน่าย เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2560 คดีนี้ฝั่งเอมี่ ได้เปลี่ยนทนายความ 2 คน ก่อนหน้าทนายตั้ม จะตอบรับเป็นทนายความให้ ตรงนี้คือจุดแตกหักของสองคนที่ไม่สามารถที่จะประนีประนอมกันได้แล้ว เพราะคุณอัจฉริยะ เป็นคนหัวร้อน มีความรู้สึกว่าคดียาเสพติด คุณไปรับทำไม คุณอัจฉริยะ ก็เลยบอกว่าหมดศรัทธา ลืมอุดมการณ์ในการทำงานเพื่อประชาชน มารับงานคดียาเสพติด ช่วยคนที่ค้ายาหรือเกี่ยวข้องกับยาเสพติด นี่หรือเน็ตไอดอลของประชาชน ทนายตั้ม ก็โต้ว่า อีกฝ่ายสร้างดรามา กล่าวหาผม คนไม่เคยยุ่งก็ดีเหมือนกัน เปิดหน้าออกมา มัวแต่ไปสิงอยู่ในกลุ่มดาร์ก ก็คือทนายตั้ม บอกว่าคุณอัจฉริยะ สิงอยู่กับกลุ่มดาร์กใส่ร้ายมานาน ต่างฝ่ายต่างก็สาวไส้กันเป็นชุดๆ ปรากฏว่าตอนหลังศาลจังหวัดมีนบุรีมีคำสั่งยกฟ้อง น.ส.อาเมเรีย ข้อหาครอบครองยาไอซ์ 70 กรัม เพื่อจำหน่าย แต่ยังจำคุกไว้ 3 เดือน ปรับ 5 พันบาท ข้อหาเสพยาเสพติดเท่านั้น ส่วนแฟนของอาเมเรีย หรือเอมี่ ธิดาวานร ปุณยวัจน์ ศาลพิพากษาจำคุกตลอดชีวิต ปรับสองล้านห้าแสนบาท
ทีนี้ คุณอัจฉริยะ ก็เลยนำหลักฐานเข้าร้องเรียน ตรงนี้ล่ะเป็นเรื่องที่ดรามามากๆ แล้วคราวนี้ เข้าร้องเรียน พล.ต.ท.ชาญเทพ เสสะเวช ตอนนั้นเป็นผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ว่ามีการวิ่งเต้นล้มคดีเอมี่ โดยใช้เรื่องมาตรา 100/2 ของ พ.ร.บ.ยาเสพติด คือการลดโทษคดียาเสพติด
ท่านผู้ชมครับ ก่อนที่จะเดินหน้าต่อไป ขออนุญาตเล่าเรื่องมาตรา 100/2 คือในมาตรา 100/2 นั้น บอกว่า ถ้าผู้ใดก็ตามสามารถที่จะเป็นสายให้ตำรวจในการไปดำเนินคดี แล้วจับผู้ต้องหายาเสพติดได้ ที่เป็นรูปธรรม เป็นรูปเป็นร่าง ไม่ใช่จับทีละ 5 เม็ด 10 เม็ด จับทีจำนวนใหญ่ๆ คนที่เป็นสายให้ ถ้าคนๆ นั้นถูกคดียาเสพติดอยู่แล้ว อยู่ในคุก แต่สามารถจะให้ข้อมูลให้ตำรวจไปดำเนินคดีได้ ก็สามารถจะเอาเรื่องนี้ไปเสนอศาลเพื่อให้เข้ามาตรา 100/2 เมื่อศาลเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง เพราะตำรวจจะจับผู้ต้องหาคนนี้ได้ เพราะว่ามีคนให้ข้อมูล และเผอิญคนให้ข้อมูลนั้นถูกติดคุกอยู่ จะด้วยคดีใดก็ตาม ไม่สำคัญ แต่ที่สำคัญส่วนใหญ่แล้วจะเป็นคดียาเสพติด 99.99 เปอร์เซ็นต์ ศาลมีเหตุอันควรที่จะลดโทษให้ นอกเหนือจากโทษขั้นต่ำซึ่งศาลตัดสินไปแล้ว สมมุติว่าท่านผู้ชมถูกตัดสินพิพากษาไปแล้ว ถูกจำคุกตลอดชีวิต ก็ปรากฏว่ามีการวิ่งเต้น แล้วท่านผู้ชมก็สามารถให้ข้อมูลกับตำรวจไปจับยาเสพติดได้จำนวน 1 ล้านเม็ด แล้วพิสูจน์ได้ชัดโดยปราศจากข้อสงสัยว่าที่ตำรวจจับได้เพราะท่านผู้ชมเป็นคนให้ข้อมูลมา ศาลก็อาจจะลด ระหว่างติดคุกตลอดชีวิต ให้เหลือเพียง 20 ปี หรือ 30 ปี หรือถ้าโดนจำคุกไปแล้ว 30 ปี ก็อาจจะลดให้ 10 ปี และตรงนี้คือช่องโหว่ของการวิ่งเต้น เพราะว่าจู่ๆ ถ้าทำแบบนี้ได้ ได้ลดโทษ 5 ปี 10 ปี ถ้าเสียเงิน 1-2 ล้านบาท เป็นเรื่องที่พ่อค้ายาเสพติดทุกคนยินดีที่จะจ่ายให้
ก็คือนายอัจฉริยะ กำลังกล่าวหาว่า ทนายตั้ม มีส่วนเกี่ยวข้องในการปั้นพยานเท็จ และใช้เอกสารเท็จ ในการไปวิ่งเต้นเพื่อให้จำเลยในคดียาเสพติดนั้น คือคดีของเอมี่ และแฟน สามารถที่จะลดโทษได้ ก็เลยไปร้องเรียนกับท่านผู้บัญชาการตำรวจนครบาลในขณะนั้น คือ พล.ต.ท.ชาญเทพ เสสะเวช นี่คือที่มาของความขัดแย้งที่มันแตกหักอย่างชนิดที่เรียกว่าไม่สามารถที่ะไกล่เกลี่ยกันได้อีกต่อไป ระหว่างดูโอ้คู่โหด-คู่หูสองคนนี้ ท่านผู้ชมเริ่มจะเข้าใจหรือยังว่าทำไมอัจฉริยะ โผล่ที่ไหน หรือทนายตั้ม โผล่ที่ไหน ฝั่งตรงกันข้ามก็ต้องเป็นอัจฉริยะ ตลอดเวลา เพราะว่ามีการตามล้างตามเช็ดกันตลอด
จนในที่สุดแล้วคดีของ น.ส.อาเมเรีย ก็ขึ้นถึงศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ก็ได้พิพากษาออกมา โดยออกหมายจับ น.ส.อาเมเรีย เพราะว่า น.ส.อาเมเรีย นั้น หนีศาล นั่งเครื่องบินไปดูไบ ออกจากกรุงเทพฯ นั่งเครื่องบินสายการบินเอมิเรตส์ ออกจากกกรุงเทพฯ ไป แล้วก็ไปอยู่ที่ดูไบ ปรากฏว่าอัจฉริยะ ก็กล่าวหาทนายตั้ม ว่า ทนายตั้ม โกหก เพราะทนายตั้ม เคยให้สัมภาษณ์บอกว่า เอมี่อยู่ในกรุงเทพฯ จะขึ้นศาลอุทธรณ์ไปฟังคำพิพากษา เดี๋ยวจะพาไปศาล ถ้าแพ้ก็จะสู้ต่อถึงขั้นฎีกา แต่ปรากฏว่าเอมี่ หนีไปเสียแล้ว เพราะฉะนั้นแล้ว อัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ก็โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ก ชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ว่า เอมี่ เดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิไปดูไบ ในวันที่ 22 สิงหาคม 2562 หลังจากนั้นก็ไม่เคยกลับมาอีกเลย ไปเที่ยวบิน EK385 โดยที่ขณะนั้นเอมี่ ยังไม่มีหมายจับออกมา เหมือนกับรู้ตัวว่า play safe เอาชัวร์ๆ ดีกว่า ออกไปอยู่นอกประเทศ
ทีนี้ ปัญหาก็คือว่า ทนายตั้ม ก็เลยเจอข้อหา หลังจากที่นายอัจฉริยะ ไปร้องเรียนกับผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ก็ตั้งทีมสืบสวนสอบสวน ก็กลายเป็นว่าทนายตั้ม เบิกความเท็จกรณีเอมี่ อาเมเรีย
เรื่องของเรื่องก็คือว่า มันมีตำรวจคนหนึ่ง ด.ต.สิทธิศักดิ์ สุทธิประสิทธิ์ ได้มาแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สน.มีนบุรี ให้ดำเนินคดีกับทนายตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด อาคม คงสวัสดิ์ ปุณยวัจน์ หิรัณย์เตชะ และนายทอมมี่ จาคอป ในฐานความผิดร่วมกันใช้หรืออ้างเอกสารปลอมในการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ร่วมกันนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีอาญา คือสรุปเรื่องนี้เป็นอย่างนี้ครับ เรื่องนี้คือ ด.ต.สิทธิศักดิ์ เขายืนยันว่า เขาไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ว่าเขาเคยไปจับกุมยาบ้า 4 หมื่นเม็ด แล้วปรากฏว่าผลการจับกุม ตลอดจนบัตรตำรวจของเขา ตลอดจนบัตรข้าราชการ ถูกปลอมแปลงเอกสารไปเพื่อเอาไปยื่นต่อศาล ว่าเป็นผลงานของนายปุณยวัจน์ ซึ่งติดคุกอยู่ในคดีเอมี่ โทษฐานติดคุกอยู่ประมาณ 30 ปี เพราะว่าถูกลดจากจำคุกตลอดชีวิตเหลือ 30 ปี เพื่อที่จะให้เข้ามาตรา 100/2 แล้วตำรวจคนนี้ก็ระบุว่า คนที่ทำเช่นนี้ก็คือทนายตั้ม และพรรคพวก ด้วยเหตุนี้เขาก็เลยบอกว่า เขาไม่รู้เรื่อง เขาโดนสอบวินัย แต่จริงๆ แล้วคนที่ทำเรื่องนี้ มีการปลอมแปลงเอกสาร นี่คือที่มาของการที่ตำรวจออกหมายจับทนายตั้ม และในที่สุดแล้ว เรื่องก็ยังค้างอยู่ที่ สน.มีนบุรี แล้วเดี๋ยวผมจะเล่าอะไรให้ฟัง ว่าทำไมจู่ๆ เรื่องมันติดเทอร์โบ กระโดดไปถึงอัยการทันที แล้วอัยการก็เพิ่มโทษ ข้อหาให้กับทนายตั้ม
เอาล่ะ ท่านผู้ชมก็พอจะเข้าใจแล้ว แต่ทีนี้มันก็มีข่าวว่ามันก็มีอยู่หลายคดีที่เป็นลักษณะแบบนี้ ซึ่งหลายคนในแหล่งข่าวก็บอกว่า ทนายตั้ม อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย แต่วันนี้ ท่านผู้ชมครับ วันนี้เป็นเรื่องของการกล่าวหากัน ทนายตั้ม ยังไม่ผิด เขาแค่ประกันตัวออกไป แล้ววันที่ 1 กรกฎาคมนี้ เขาต้องไปสำนักงานอัยการที่มีนบุรี เพื่อจะรับทราบข้อหา ซึ่งอัยการได้เพิ่มข้อหาเข้าไปอีก จากผิดมาตรา 180 เพิ่มอีกมาตราหนึ่ง คือ 181 เข้าไปอีก เพราะฉะนั้นแล้ว ค่อยดูกันต่อไป
ทีนี้ จู่ๆ ยังไม่ทันไรก็มีเรื่องกรณีลุงพล เรื่องลุงพล ผมอธิบายให้ฟังไปแล้วคราวที่แล้ว ว่าทนายตั้ม ได้กระทำการอะไรบ้าง เข้ามาดูแลลุงพลอย่างไร แล้วก็มีการปะทะกับทางด้าน พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข แล้วก็ใช้บริการของนายสิระ เจนจาคะ ผู้ซึ่งสามารถจะรับงานได้ทุกงาน ถ้าพูดจาตกลงกันได้ และเข้าใจกันดี
ลุงพล นี่ก็ออกมา ไปงานของคุณสิระ เจนจาคะ ก็ไปกอดเอวคุณสิระ เจนจาคะ ไปใส่เสื้อนอกอย่างดี
มันก็เลยก่อให้เกิดดรามาขึ้นมา เพราะว่าจู่ๆ ทางทนายตั้ม เป็นทนายให้กับทางลุงพล และสามารถที่จะสร้างปัญหาให้กับตำรวจหลายๆ ประการ จู่ๆ อัจฉริยะ ก็เลยไปแจ้งความลุงพล เพราะว่าลุงพล เป็นลูกความของทนายตั้ม ข้อหาอะไรรู้ไหม ? ผิด พ.ร.บ.ป่าไม้ แจ้งความว่าไม้ที่แสดงออกมานั้นมันไม่ใช่ไม้ประเภทหนึ่ง มันเป็นไม้อีกประเภทหนึ่ง ซึ่งเป็นไม้ต้องห้าม ห้ามเอาออกมาจากป่า เรื่องราวยังไม่ทันจะถึงอะไรเลย ปรากฏว่าคุณอัจฉริยะ ก็เลยโดนคดีที่ศาลจังหวัดอยุธยา คือมีคดีความคดีหนึ่งซึ่งทนายตั้ม เป็นจำเลย แล้วอัจฉริยะ ก็ไลฟ์เฟซบุ๊กบอกว่าศาลอยุธยานั้นล็อกผู้พิพากษาที่สามารถเข้าข้างทนายตั้มได้ ศาลยุติธรรม เลขาฯ ศาลท่านก็สั่งตรวจสอบทันที เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่แล้ว พอสั่งตรวจสอบก็ปรากฏว่าไม่เป็นความจริง ปรากฏว่าคุณอัจฉริยะ ก็เลยโดนคดีละเมิดศาล โดยที่รอกำหนดลงโทษ รอกำหนดลงโทษ คือ ยังไม่ลงโทษนะ แต่รอกำหนดไว้ 2 ปี ใน 2 ปีนี้ถ้ามีอะไรผิดปกติก็สามารถจะกำหนดลงโทษได้ทันทีเพิ่มเติม
ท่านผู้ชมครับ สองคนนี้มีที่มาที่ไปที่ผมเล่าให้ฟังแล้ว ความขัดแย้งก็เกิดขึ้นตามที่ผมเล่าให้ฟัง ชกกันไปชกกันมาจนกระทั่งผมเข้าใจว่าน่าจะถึงเกือบๆ จะยกสุดท้ายแล้วขณะนี้ เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟังว่าความเห็นของผมจะเป็นอย่างไรในเรื่องพวกนี้ ผมมองว่า ทนายตั้ม และคุณอัจฉริยะ สองคนนี้มีสองสไตล์ คุณอัจฉริยะ ค่อนข้างจะลูกทุ่ง ก็คือว่า ใครเดือดร้อนมาหา ก็พาลุยเลย ฝ่าดงเท้า ฝ่าดงตีน ฝ่าขวากหนามก็เข้าไปสู้ แต่คุณอัจฉริยะ ก็ถูกกล่าวหาเหมือนกันว่าเป็นคนซึ่งเวลาไปช่วยใครแล้ว จะช่วยเป็นแพกเกจ คำว่า "แพกเกจ" คืออะไร ? คือเมื่อช่วยแล้ว คุณอัจฉริยะ ก็เสนอไปเลยว่า ใช้ทนายของผมสิ รวมเบ็ดเสร็จแล้วไม่เกิน 3-4 หมื่นบาท 5 หมื่นบาท ซึ่งปกติแล้วราคาเช่นนี้ก็เป็นราคาทั่วๆ ไป ไม่ได้แพงอะไรทั้งสิ้น ซึ่งเหยื่อส่วนใหญ่ หรือคนที่อัจฉริยะ ช่วยนั้น ก็จะเห็นความตั้งใจของอัจฉริยะ ก็เลยใช้ทนายของอัจฉริยะ ก็เลยถูกกล่าวหาตลอดเวลาว่าไม่ได้ช่วยด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ คุณอัจฉริยะ ก็บอกว่ามันมีค่าใช้จ่าย มันมีค่าเดินทาง โน่นนี่นั่น เพราะฉะนั้นแล้วมันก็ต้องมีค่าใช้จ่ายเป็นปกติธรรมดา แล้วคุณอัจฉริยะ ก็เลยโจมตีทนายตั้ม ว่าทนายตั้ม ก็เคยช่วยคดีบางคดีแล้วก็เรียกเงินเขา 5 แสนบาท ทนายตั้ม ออกมาชี้แจงว่า จริงอยู่ อาจจะเป็นเช่นนั้น แต่ทว่า เนื่องจากว่าคดีที่ช่วยนั้น ฝ่ายที่เขาช่วยอยู่ เขาต้องการให้ทนายตั้ม หาข้อกฎหมายที่จะลงโทษฝ่ายจำเลย คือฝ่ายตรงกันข้ามกับเขา ให้แรงกว่าเก่าอีกเยอะ ทนายตั้มบอกว่า เขาหาช่องทางไม่ได้ มันทำไม่ได้ เขาก็เลยคืนเงิน 5 แสนบาทนั้น ก็คือว่า ที่อัจฉริยะ กล่าวหาทนายตั้ม เอาเงินเขามา 5 แสน ทนายตั้มบอกว่า รับมาจริง แต่ทำงานให้ไม่ได้ก็คืนเงินไปให้เรียบร้อยแล้ว
ก็เอาเป็นว่า จุดอ่อนของแต่ละคน มีหมดทั้งสองคน ทั้งทนายตั้ม และอัจฉริยะ แต่ว่าจุดอ่อนของทนายตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด นั้น ขณะนี้มีมากเหลือเกิน เหตุผลเพราะอะไร ? เพราะว่าคุณษิทรา เริ่มมีความขัดแย้งกับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพราะมีการแสดงออกเพื่อให้เห็นว่า นายไชย์พล วิภา หรือลุงพล ถูกรังแก ทำให้สาธารณชนมีความเข้าใจว่าหลักฐานที่ตำรวจมีอยู่นั้น เป็นหลักฐานที่อ่อน
ทีนี้ ที่ผมพูดไปคราวที่แล้วว่า พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข มองว่าเรื่องของน้องชมพู่ เป็นเรื่องคาใจ เหมือนกับกระดูกติดคอ ต้องหาทางถ่มออกมาให้ได้ แล้วการออกหมายจับลุงพลได้ เขาถือว่ากระดูกหลุดจากคอแล้ว แล้วปรากฏว่ามีทนายคนหนึ่ง คือนายษิทรา เบี้ยบังเกิด กลับมาเล่นเกม ทำให้เขาเสียชื่อเสียง ข้อเท็จจริง ทนายตั้ม มีคดีความอยู่หลายคดีความ อยู่ในขั้นโรงพัก คดีเหล่านี้คืบคลานช้ามาก ตั้งแต่สมัย พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา แล้ว แล้วก็อาจจะคืบคลานช้าต่อไปเรื่อยๆ เพราะทนายตั้ม เขาก็มีเส้นสาย มีเครือข่ายทางตำรวจของเขาเช่นกัน แต่โชคร้ายที่ทนายตั้ม มาปะทะกับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนนี้ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ท่านผู้ชมครับ จำได้ไหมว่าผมเคยพูดว่าอย่างไร ? ผมบอกว่าเวลาคุณมีเรื่องกับคนที่กุมอำนาจรัฐเอาไว้ มีแต่เรื่องปวดหัว เวียนหัว และปวดใจ
สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. กุมอำนาจรัฐในเรื่องกฎหมายและการกล่าวหา หรืออีกนัยหนึ่ง กระบวนการยุติธรรมต้นน้ำ จึงไม่น่าประหลาดใจที่คดีแต่ละคดีของทนายตั้ม ที่ไม่เคยคืบหน้า ทันทีเลย พอมีเรื่องขัดแย้งกับ ผบ.ตร. คดีทุกคดีของทนายตั้ม ถูกติดเทอร์โบ เดินหน้าไปถึงขั้นส่งอัยการทันที อย่างเช่นคดีที่ สน.มีนบุรี ที่เล่าให้ฟังแล้ว ยังมีอีกหลายคดีที่มีลักษณะคล้ายๆ กับคดี สน.มีนบุรี คือการใช้ช่องโหว่ของมาตรา 100/2 ที่จะเสนอต่อศาลเพื่อจะให้ลดโทษจำเลย แต่ว่าคดีต่างๆ เหล่านี้อยู่ที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 7
ที่ผมพูดมานี้ ไม่ได้ฟันธงว่าทนายตั้ม เป็นผู้ผิด แต่เมื่อใดก็ตาม ใครตกเป็นจำเลยในคดีความต่างๆ ก็มีแต่เรื่องปวดหัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าภาครัฐ คืออัยการ เป็นโจทก์ ท่านผู้ชมเชื่อผมเถอะ ปวดหัวแน่ๆ ผมนี่น่าจะเป็นคนหนึ่ง และอยู่อันดับสองของประเทศ ที่โดนคดีความมมาตั้งแต่ทำงาน จนถึงวันนี้ ร่วมร้อยกว่าคดี เชื่อผมสิท่านผู้ชม ถ้าผมอยู่อันดับสอง มองไปรอบตัวผมแล้ว ไม่มีใครกล้าขึ้นอันดับหนึ่งหรอก ตรงนี้ล่ะที่จะเป็นตัวลากถ่วงทนายตั้ม ลากไปมากๆ ถ่วงไปมากๆ มันก็เหน็ดเหนื่อย ถ้าผลคดีไม่ได้ออกมาที่เป็นประโยชน์กับเรา ตรงนั้นมันจะเหมือนลูกอุกกาบาตหล่นมาใส่ตัวเรา นอกเสียจากว่า ทนายตั้ม จะเป็นคนที่มีสันดานไม่ค่อยดีเหมือนผม ก็คือตายเป็นตาย เจ๊งเป็นเจ๊ง ไม่กลัว เป็นไงเป็นกัน
คดีที่ทนายตั้ม โดนอยู่ปัจจุบันและกำลังจะโดนอยู่ในอนาคต เผอิญเป็นคดีอาญาที่รัฐเป็นโจทก์ การประนีประนอมยอมความคงเป็นไปไม่ได้เลย หากทนายตั้ม ต้องเพลี่ยงพล้ำ
ส่วนลุงพล หรือไชย์พล วิภา นั้น ท่านผู้ชมครับ ไปปรากฏตัวที่รัฐสภากับนายสิระ เจนจาคะ พร้อมทนายตั้ม วันนี้อำนาจรัฐกำลังจะตามล้างตามเช็ดลุงพล ด้วย เหตุผลก็เพียงเพราะนายกรัฐมนตรีได้กล่าวตำหนิสิระ เจนจาคะ ในสภาอย่างเปิดเผย การกล่าวตำหนิของนายกฯ คือการให้ท้าย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ที่กำลังจะถูกคณะกรรมาธิการในชุดที่นายสิระ เจนจาคะ เป็นประธาน เรียกตัวมาซักถามในคณะกรรมาธิการ ซึ่งในที่สุดนายสิระ คือนกรู้ ที่ต้องรีบถอยอย่างรวดเร็ว และหาบันไดลงด้วยการพูดบอกว่า คดีนี้มันน่าจะอยู่ที่คณะกรรมาธิการ ป.ป.ช. ไม่ใช่ของผม แต่ท่านผู้ชมครับ ถ้าเรามองอีกมิติหนึ่งก็จะเห็นว่าคำพูดของนายกรัฐมนตรีในสภาที่ตำหนินายสิระ เจนจาคะ นั้น เป็นไปได้หรือเปล่าว่าจะต้องถูกแปลความหมายจากบรรดาเจ้าหน้าที่รัฐที่กำลังมีเรื่องมีราวกับตำรวจนั้น ฝ่ายตำรวจ รวมไปถึงอัยการ กำลังได้รับไฟเขียวหรือเปล่า ให้เดินหน้าอย่างสุดซอยกับสองคนนี้ คือทนายตั้ม และไชย์พล วิภา (ลุงพล) ยังไม่ทันไรเลย ที่ผมเล่าให้ฟัง ลุงพล โดนคดี พ.ร.บ.ป่าไม้ แล้ว เป็นเหตุให้คู่หูดูโอ้ อย่างอัจฉริยะ ซึ่งเป็นคนเข้าไปแจ้งความข้อกล่าวหานี้ ไม่ใช่ฝีมือใคร อัจฉริยะ เป็นคนจัดการ แล้วเรื่องนี้ก็กำลังเข้าสู่อัยการ
ท่านผู้ชมครับ มวยคู่นี้ ระหว่างอัจฉริยะ กับษิทรา นั้น วันนี้อัจฉริยะ ดูเหมือนจะถือไพ่เหนือกว่าเยอะ เพราะสุวัฒน์ แจ้งยอดสุข นั้น เป็นตำรวจที่มีความใกล้ชิดกับอัจฉริยะ มาตั้งแต่เขายังไม่ได้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แต่ทั้งหมดนี้ คดีความทั้งที่อัจฉริยะ โดน และทนายตั้ม โดนนั้น จะแบ่งเป็นสองประเภท ทนายตั้ม จะโดนอำนาจรัฐเล่นงาน แต่อัจฉริยะ ส่วนใหญ่แล้วเป็นเรื่องส่วนตัว คือหมิ่นประมาท ซึ่งเป็นความผิดส่วนบุคคล ที่พูดนี่ไม่ได้แปลว่าศึกนี้จะเรียบร้อยแล้ว เพราะกระบวนการที่ทนายตั้ม โดนอำนาจรัฐนั้น เพิ่งจะผ่านต้นน้ำและกลางน้ำ ยังไม่ได้เข้าสู่ปลายน้ำ คือศาล ซึ่งก็มีทั้งศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกา และจะต้องมีต่ออีกหลายๆ ปี จนกระทั่งพวกเรา หรือสาธารณชน ก็อาจจะหลงลืม หรือลืมเลือนไปแล้ว แต่ท่านผู้ชมครับ คู่หูดูโอ้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทนายตั้ม นั้น เชื่อผมสิครับ อัจฉริยะ คงจะเป็นผีที่ตามหลอกหลอนเรื่องของทนายตั้ม และคงจะหมั่นแฉว่าเรื่องราวไปถึงไหนแล้ว ทั้งหมดนี้ ท่านผู้ชมครับ คู่หูดูโอ้ อัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ และษิทรา เบี้ยบังเกิด แถวๆ บ้านผม นักเลงแถวบ้านผม หรือคนที่อยู่ในวงการเก๋าๆ ตั้งฉายาคนสองคนนี้ อุปมาอุปไมยเหมือน "ผีเห็นผี" รู้ความตื้นลึกหนาบางของแต่ละคนอย่างลึกซึ้ง เป็นเพียงแต่อัจฉริยะ เผอิญมีหมอผีที่เป็นตำรวจใหญ่ยืนอยู่ข้างเขา เลยทำให้ทนายตั้ม ต้องหาทางหลบหลีก และความที่เป็นคนเอาตัวรอดมาตั้งแต่หนุ่ม ก็อาจจะผ่อนหนักเป็นเบาก็ได้ นี่คือเบื้องหน้าเบื้องหลังของคู่หูดูโอ้ ที่ผมคิดว่าท่านผู้ชมควรจะรับทราบเอาไว้
เผอิญผมได้อ่านข้อเขียนในเว็บไซต์ของกรุงเทพธุรกิจ เขาเขียนเรื่องเกี่ยวกับศาล หัวข้อคือ "ลึกแต่ไม่ลับ ศึกผู้พิพากษาฟ้องบิ๊กศาลฎีกา" เขาใช้คำว่า "บิ๊กศาล" ที่ถูกก็คือท่านปรเมษฐ์ โตวิวัฒน์ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 ถูกย้ายไปปฏิบัติภารกิจชั่วคราวในตำแหน่งผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์ภาค 1 ท่านปรเมษฐ์ ท่านยื่นฟ้องท่านประธานศาลฎีกา ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ/ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ก็ว่ากันไป ส่วนที่มาของคดีเป็นอย่างไร เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟัง ทำไมผมต้องเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง ? เพราะว่ามันเกี่ยวข้องกับสื่อมวลชน
ต่อมา บทความจากสื่อเครือเดียวกันของกรุงเทพธุรกิจ คือ ฐานเศรษฐกิจ ได้เขียนเรื่องเดียวกัน โดยผู้ใช้นามปากกาว่า นาย NO VOTE ได้เขียนบทความชื่อ "ลับแต่ไม่ลึก วงการตุลาการไทย" โดยกล่าวถึงกรณีที่อธิบดีศาลอาญาคดีทุจริตฯ ภาค 1 ฟ้องอาญาประธานศาลฎีกา ในความผิดมาตรา 157 เช่นเดียวกัน แต่ในบทความนี้ได้ใช้คำว่า ประธาน ม. ซึ่งเป็นใครไปไม่ได้นอกจากท่านเมทินี ชโลธร โดยบทความนี้กล่าวหาว่าท่านประธานเมทินี ได้สั่งย้ายอธิบดี เพราะต้องการช่วย น.ส.สุภา ปิยะจิตติ กรรมการ ป.ป.ช. ที่ไปร้องเรียนว่า ท่านปรเมษฐ์ โตวิวัฒน์ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 ได้เข้ามาแทรกแซงคดี จนท่านปรเมษฐ์ ถูกตั้งกรรมการสอบและถูกย้ายไปปฏิบัติภารกิจชั่วคราวในตำแหน่งผู้พิพากษาหัวหน้าองค์คณะในศาลอุทธรณ์ภาค 1
ในบทความนั้นมีการตั้งกรรมการสอบ กล่าวว่า ได้มีการตั้งกรรมการสอบท่านปรเมษฐ์ อย่างเร่งรีบ เพื่อให้ท่านปรเมษฐ์ พ้นจากการรับผิดชอบในคดีนี้ ข้อเขียนในฐานเศรษฐกิจ ระบุว่า "นี่คือยุทธการย้ายสำนวนหนีไม่ได้ก็ย้ายเจ้าของสำนวนแทน แทรกแซงกระบวนการยุติธรรมอย่างชัดเจน โจ๋งครึ่ม โดยใช้เวลาจัดการเบ็ดเสร็จอาทิตย์กว่าๆ เท่านั้น การกระทำล้วนผิดกฎหมายบ้านเมืองหลายฉบับ ถือว่าตนมีอำนาจล้นฟ้า กล้าจริงๆ ไม่กลัวกฎหมาย ไม่กลัวคดีที่จะถูกฟ้องทำลายองค์กรตุลาการยับเยิน ยากต่อการเยียวยา เอาองค์กรอิสระมาเผาบ้านตัวเอง จึงถือว่าเป็นคดีแรกในประวัติศาสตร์ไทย ก็ต้องรอดูว่าความยุติธรรมมีในประเทศไทยหรือไม่ โปรดติดตามตอนต่อไปว่า ใครจะอยู่ ใครจะไป เพราะเรื่องคงไม่จบกันง่ายๆ แน่"
ท่านผู้ชมครับ นี่เป็นการกล่าวหาท่านประธานศาลฎีกาอย่างร้ายแรงมาก ลักษณะข้อความ บทความ เป็นการรับฟังข้อมูลจากท่านปรเมษฐ์ อธิบดีที่ถูกย้าย เพียงฝ่ายเดียว ซึ่งผมคิดว่าท่านประธาน เมทินี ท่านได้รับความเสียหายมาก
เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน ไม่กี่วันมานี่เอง ท่านพงษ์เดช วานิชกิตติกูล เลขาธิการศาลยุติธรรม ได้ชี้แจงเพิ่มเติมกรณีตรวจสอบข้อเท็จจริงของอดีตอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 ที่ถูกร้องเรียนว่าเข้าไปก้าวก่ายหรือแทรกแซงการพิจารณา ว่าตามที่ได้ชี้แจงถึงเหตุและขั้นตอนการตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง และพิจารณาย้ายท่านปรเมษฐ์ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตฯ ไปปฏิบัติหน้าที่ตำแหน่งอื่นชั่วคราว กรณีถูกร้องเรียนกล่าวหาว่าเข้าไปก้าวก่ายหรือแทรกแซงการพิจารณาคดี หมายเลขดำ อธ 84/2563 ซึ่งคดีนี้เป็นคดีที่รองเลขาธิการ ป.ป.ช. เป็นโจทก์ยื่นฟ้องกรรมการ ป.ป.ช. และอัยการสูงสุด เหตุเกิดวันที่ 7 มิถุนายน ล่าสุดยังมีปรากฏบทความเผยแพร่ข้อมูลจากหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ และฐานเศรษฐกิจ อาจทำให้สังคมเกิดข้อสงสัยและความเข้าใจผิด คลาดเคลื่อน
สำนักงานศาลยุติธรรมขอชี้แจงในประเด็นข้อเท็จจริงนี้ว่า เมื่อได้มีการฟ้องคดีในศาลแล้ว ตามขั้นตอนก็คือต้องจ่ายสำนวนให้กับผู้พิพากษาเจ้าของสำนวน และผู้พิพากษาอีกท่านหนึ่งเป็นองค์คณะผู้พิพากษารับผิดชอบ ดำเนินการพิจารณาและมีคำสั่งหรือคำพิพากษาต่อไป เป็นไปตามระเบียบและกฎหมาย สำหรับคดีนี้ ท่านเลขาธิการศาลยุติธรรม บอกว่า จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงพบว่า เดิมทีมีการจ่ายสำนวนให้องค์คณะรับผิดชอบคดีแล้ว ในขั้นการพิจารณาว่าจะรับฟ้องไว้ไต่สวนมูลฟ้องหรือไม่ ได้มีการยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวของฝ่ายโจทก์เข้ามา เกิดมีความเห็นขัดแย้งกันระหว่างองค์คณะและอดีตอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตฯ คือท่านปรเมษฐ์ ความขัดแย้งในเรื่องความเห็น ในที่สุดองค์คณะก็เลยตัดสินใจคืนสำนวนให้กับท่านปรเมษฐ์ ไป
ต่อมา ท่านปรเมษฐ์ ก็จ่ายสำนวนให้กับผู้พิพากษาอีกท่านหนึ่ง เป็นเจ้าของสำนวน และองค์คณะที่รับผิดชอบคดีองค์คณะที่สอง ก็มีความเห็นที่ขัดแย้งกับท่านอธิบดีอีก จนชุดที่สองก็เลยตัดสินใจคืนสำนวนให้ท่านอธิบดีอีก ในที่สุดท่านอธิบดี ท่านปรเมษฐ์ ก็ตัดสินใจจ่ายสำนวนให้ตัวเองเป็นเจ้าของสำนวน ร่วมกับผู้พิพากษาอีกท่าน เป็นองค์คณะฝ่ายจำเลย ก็เลยมีการร้องขอความเป็นธรรมขึ้นมา จนมีการตั้งคณะกรรมการสอบขึ้นมา เรื่องนี้คณะกรรมการสอบได้ตรวจสอบพฤติกรรมแล้ว ก็เห็นว่ามีเจตนาเข้าไปก้าวก่ายหรือแทรกแซงการพิจารณาพิพากษาคดี โดยพูดจาโน้มน้าวให้องค์คณะที่ได้รับผิดชอบคดี ออกคำสั่งหรือดำเนินกระบวนการพิจารณาไปในทางที่เป็นประโยชน์แก่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงจึงมีความเห็นว่า พฤติการณ์นี้บ่งชี้ว่า นายปรเมษฐ์ เข้าไปก้าวก่ายหรือแทรกแซงการพิจารณาพิพากษาคดีของข้าราชการตุลาการอื่น หรือกระทำใดๆ อันเป็นเหตุให้เกิดการพิจารณาพิพากษาคดีของข้าราชการตุลาการ ซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของตน ขาดความเป็นอิสระ ซึ่งตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรมแล้ว ในการบริหารจัดการคดีที่ท่านปรเมษฐ์ เป็นผู้บังคับบัญชาอยู่ หากท่านปรเมษฐ์ ไม่เห็นด้วยพร้อมกับความเห็นขององค์คณะ ท่านปรเมษฐ์ มีอำนาจที่จะทำความเห็นแย้งได้ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 11 วรรคหนึ่ง แต่ท่านปรเมษฐ์ ไม่ได้ใช้อำนาจดังกล่าว กลับใช้วิธีบอกให้ผู้พิพากษาที่เป็นเจ้าของสำนวนและองค์คณะ ให้ทำบันทึกขอคืนสำนวนมาให้ท่าน หรือถอนตัวไป จนในที่สุดท่านปรเมษฐ์ ก็เลยจ่ายสำนวนให้ตัวท่านเองเป็นเจ้าของสำนวน
ในที่สุด คณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม หรือ ก.ต. จึงตั้งคณะกรรมการสอบวินัยท่านปรเมษฐ์ ขณะนี้อยู่ระหว่างที่คณะกรรมการดำเนินการ ซึ่งคณะกรรมการชุดนี้จะพิจารณาให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย รวมทั้งท่านปรเมษฐ์ ด้วย
ท่านผู้ชมครับ ท่านเลขาธิการศาลยุติธรรม ย้ำว่า เมื่อขณะนี้ข้อกล่าวหาอยู่ระหว่างการสอบวินัย ส่วนของคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล การนำเสนอข้อมูลใดๆ ผ่านสื่อมวลชน ควรตรวจสอบและระมัดระวังไม่ให้กระทบต่อการทำงานของคณะกรรมการและการพิจารณาพิพากษาของศาล ท่านเลขาฯ ศาลบอกว่า เมื่อปรากฏว่ามีสื่อมวลชนบางแห่ง นั่นก็คือหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ และฐานเศรษฐกิจ นำเสนอข่าวที่คลาดเคลื่อนต่อข้อเท็จจริง ก่อให้เกิดความเสียหายต่อศาลยุติธรรมเป็นอย่างมาก วันนี้สำนักงานศาลยุติธรรมจึงเข้าร้องทุกข์เพื่อให้เจ้าพนักงานตำรวจดำเนินคดีแก่สื่อมวลชนนั้นแล้ว
ท่านผู้ชมครับ เรื่องท่านประธานศาลฎีกา มาเอาผิดกับสื่อที่บิดเบือนนี้ ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นบ่อย ผมยังไม่เห็นนะ น่าจะเป็นรายแรกเลยนะ รายแรกจริงๆ
ท่านผู้ชมครับ เพื่อความกระจ่างในเรื่องนี้ เรื่องกรณีคดีของท่านปรเมษฐ์ โตวิวัฒน์ ที่มาที่ไปเป็นอย่างนี้ครับ
เรื่องของเรื่องเริ่มจากนายประหยัด พวงจำปา ท่านเป็นรองเลขาธิการ ป.ป.ช. ถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติชี้มูลความผิดของคุณประหยัด ที่จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินฯ อันเป็นเท็จ วงเงินรวม 227,393,103 บาท อัยการสูงสุดรับดำเนินการเพื่อยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตามพระราชบัญญัติ ป.ป.ช. ปี 2561 มาตรา 158 มาตรา 43 มาตรา 81 มาตรา 167 และมาตรา 188 แต่ท่านรองเลขาธิการ ป.ป.ช. คุณประหยัด กลับมีความเห็นว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไม่มีอำนาจ คุณประหยัด ได้ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ขอให้เพิกถอนมติการชี้มูล ทั้งนี้ นายประหยัด อ้างว่ากระบวนการไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ดำเนินการโดยมิชอบ เนื่องจากการยื่นบัญชีทรัพย์สินของพนักงานเจ้าหน้าที่ตั้งแต่ระดับผู้อำนวยการกอง ขึ้นไป ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 158 นั้น ต้องส่งเรื่องให้ประธานวุฒิสภา เพื่อดำเนินการตรวจสอบบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินฯ หากพบว่ามีการกระทำผิด ต้องส่งเรื่องให้ประธานวุฒิสภา เพื่อส่งให้อัยการสูงสุดดำเนินการฟ้องร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
คือพูดง่ายๆ ว่า ท่านรองเลขาธิการ ป.ป.ช. ประหยัด อ้างว่าเป็นหน้าที่วุฒิสภา ไม่ใช่หน้าที่กรรมการ ป.ป.ช. แต่อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการ ป.ป.ช. ยืนยันมติเดิม คุณประหยัด ก็เลยฟ้อง พล.ต.ท.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานกรรมการ ป.ป.ช. น.ส.สุภา ปิยะจิตติ กรรมการ ป.ป.ช .และนายวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์ อัยการสูงสุด ต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ กล่าวหาว่าพวกนี้ทำความผิดตามมาตรา 157
ต่อมา คุณสุภา ปิยะจิตติ ได้ยื่นหนังสือร้องเรียน ว่าท่านปรเมษฐ์ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตฯ ภาค 1 เข้าไปก้าวก่ายหรือแทรกแซงการพิจารณาคดี ซึ่งอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อความเชื่อมั่นต่อคู่ความและกระบวนการยุติธรรม ด้วยเหตุนี้สำนักงานศาลยุติธรรมจึงมีคำสั่งวันที่ 25 มีนาคม 2564 แต่งตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงดังกล่าว และในวันที่ 26 มีนาคม ได้มีหนังสือแจ้งให้ท่านปรเมษฐ์ ทราบ โดยคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงได้รายงานผลการสอบสวนข้อเท็จจริงว่า ท่านปรเมษฐ์ มีพฤติการณ์อันส่อว่าเป็นการกระทำความผิดวินัยร้ายแรง ท่านประธานศาลฎีกาก็เลยขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการตุลาการ (ก.ต.) ซึ่งเป็นฝ่ายบริหารสูงสุดของศาล ในการประชุมนัดแรกนับตั้งแต่วันมีคำสั่ง ก็เลยมีมติให้ข้าราชการตุลาการไปช่วยทำงานชั่วคราว ระบุว่า การที่ประธานศาลฎีกาเห็นว่าหากจะให้ข้าราชการตุลาการผู้ใดปฏิบัติหน้าที่ในศาลที่ดำรงตำแหน่งต่อไปแล้วจะเป็นการเสียหายแก่การบริหารราชการศาลยุติธรรม ก็สมควรให้ข้าราชการตุลาการนั้นไปช่วยทำงานชั่วคราวในศาลอื่น ท่านประธานศาลฎีกา คือท่านเมทินี ชโลธร ก็เลยมีคำสั่งให้ท่านปรเมษฐ์ โตวิวัฒน์ ไปช่วยทำงานชั่วคราวในตำแหน่งผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์ภาค 1 ตามคำสั่งสำนักงานศาลยุติธรรม และคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม ในการประชุมครั้งที่ 8/2564 เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2564 มีมติเห็นชอบในคำสั่งนี้
ด้วยเหตุดังกล่าว การออกคำสั่งของท่านประธานเมทินี จึงเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายที่ต้องปฏิบัติอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ข้อเท็จจริงก็เลยเป็นไปตามนี้ครับ ท่านปรเมษฐ์ นอกจากท่านจะฟ้องท่านประธานศาลฎีกา คือท่านเมทินี แล้ว ล่าสุด ที่ทราบมาก็คือท่านก็ฟ้องท่านเลขาธิการศาลยุติธรรม ที่แถลงข่าวว่าหมิ่นประมาท ปรากฏว่าท่านยื่นคำร้องฟ้องตอนเช้า ตอนบ่ายศาลที่ท่านฟ้องนั้น ยกคำร้องท่านไปเลย ก็คือไม่มีมูล
ทีนี้ เรื่องทั้งหมดนี้ ทำไมผมถึงเอาเรื่องนี้มาพูด ? เพราะเรื่องนี้มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสื่อมวลชน ที่ผมเป็นห่วง ผมเป็นห่วงเพื่อนพ้องน้องพี่ที่ทำงานทางด้านนี้ ผมอ่านแล้วข้อมูลที่หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ และฐานเศรษฐกิจ ลงมานั้น ในความชำนาญของผม หรือว่าประสบการณ์ในการทำงานของผม ผมรู้สึกว่ามันทะแม่งๆ เหมือนกับจะเป็นการรับงานมา แต่จะรับงานมาอย่างไร ผมไม่รู้ ผมไม่ยืนยันข้อเท็จจริง
แต่ที่แน่ๆ ก็คือ ลักษณะเป็นการฟังความข้างเดียว เรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ทำไมผมต้องพูด เพราะผมไม่ต้องการให้พวกเราในวงการนี้พลาด ถ้าเป็นเรื่อง ไม่เป็นไร ยังพอที่จะอะลุ้มอล่วยได้ แต่พอพูดเรื่องศาลแล้ว ผมเชื่อ 100 เปอร์เซ็นต์ ว่า กระบวนการศาลนั้น กว่าจะมีคำสั่งอะไรออกมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งออกมาจากประธานศาลฎีกา และคณะกรรมการตุลาการ ซึ่งเป็นฝ่ายบริหารสูงสุดของศาล ย่อมเป็นคำสั่งที่ชอบ ไม่ใช่คำสั่งที่ไม่ชอบ และการที่ท่านประธานเมทินี ท่านได้มอบหมายให้เลขาธิการศาลยุติธรรม ไปฟ้องหนังสือพิมพ์ 2 ฉบับ ซึ่งผู้ที่ต้องรับผิดชอบคือใครบ้างนั้น ที่ สน.ชนะสงคราม ผมคิดว่าเรื่องนี้คงจบได้ยาก เท่าที่ผมทราบมานะครับ คุณบากบั่น บุญเลิศ คนที่ดูแลหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ กำลังวิ่งเต้นขอเจรจาอยู่
พอพูดถึงคุณบากบั่น บุญเลิศ แล้ว ซึ่งอายุน้อยกว่าผมประมาณ 21 ปี อายุปีนี้เพิ่งจะ 53 เอง ก็มีประสบการณ์ในวงการหนังสือพิมพ์มามากมาย ผมไม่อยากจะเล่าให้ฟังว่ามีอะไรบ้าง ท่านเองก็มีคดีความหลายคดีความ บริษัทเครือเจริญโภคภัณฑ์ ก็ฟ้องฐานเศรษฐกิจ และคุณบากบั่น ต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ เพื่อให้ชดเใช้ค่าเสียหาย 631 ล้านบาท หลังจากนำเสนอข่าวว่าซีพียึดที่ดินรัฐ 4 พันไร่ ใน ต.โยธะกา อ.บางน้ำเปรี้ยว จ.ฉะเชิงเทรา โดยที่ซีพี บอกว่าไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว
ทีมงานของคุณบากบั่น บุญเลิศ ก็มีอยู่ 3 คน ออกรายการ เรียกว่า "เนชั่นสุดสัปดาห์กับ 3 บก." 3 บก. มีใครบ้าง ? 3 บก. ก็มีคุณวีระศักดิ์ พงศ์อักษร บรรณาธิการบริหารของกรุงเทพธุรกิจ และคุณสมชาย มีเสน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารเครือเนชั่น คนกันเองทั้งนั้น คุณสมชาย มีเสน หรือช้าง อดีตเป็นคนสนิท สนิทสนมกับคุณสุวัจน์ ลิปตพัลลภ มาก ถึงกับมีการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กันไปกันมา ซึ่งก็เป็นที่รู้กันในวงการหนังสือพิมพ์
แต่ผมอยากจะพูดตรงนี้นิดหนึ่ง ผมรู้ว่าไม่มีใครกล้าพูดหรอก ผมกล้าพูด จะไม่พอใจผมอย่างไรก็ว่ามา แต่ผมคิดว่าผมพูดด้วยความปรารถนาดี ผมว่าพวกเราหลายคนอายุก็มากกันแล้ว ผมมันตะวันตกดินแล้ว 74 แล้ว พวกคุณยังห้าสิบกว่าๆ ผมอยากให้พวกคุณทำตัวเป็นผู้อาวุโสในวงการสักนิดหนึ่ง ผมไม่ต้องการให้คุณไปซี้ซั้วรับงานใครมา ผมไม่ได้ว่าคุณรับงานมานะ แต่คุณเองควรที่จะมาร่วมมือร่วมใจกัน ทำให้จรรยาบรรณวิชาชีพนี้มันมีความบริสุทธิ์และมีความมีศักดิ์ศรีในวิชาชีพต่างๆ เหล่านี้
ผมได้ข่าวบางข่าวมา ผมก็ไม่สบายใจ มีสถานีโทรทัศน์บางสถานีตอนที่พรรคภูมิใจไทยได้มาร่วมรัฐบาล และมีการจัดสรรตำแหน่ง คุณศักดิ์สยาม ชิดชอบ ได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม มีเจ้าของบริษัทโทรทัศน์กลุ่มสื่อมวลชนคนหนึ่ง ไปพบคุณศักดิ์สยาม
คุณบากบั่น คุณวีระศักดิ์ คุณสมชาย ไม่รู้ว่าทราบหรือเปล่า แต่ผมไม่เอ่ยชื่อก็แล้วกัน ไปเรียกร้องให้คุณศักดิ์สยาม สนับสนุนเงินทอง โดยผ่านองค์กรต่างๆ ที่คุณศักดิ์สยาม ดูแลอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการการท่าฯ แห่งประเทศไทย AOT การบินไทยในยุคนั้น โดยขอเป็นงบประมาณ 200 ล้านบาท คุณศักดิ์สยาม บอกว่า ผมไม่มีเงิน ผมจะไปสั่งเขาได้อย่างไร ก็ปรากฏว่าหลังจากนั้นมาก็เป็นการปะทะกันระหว่างสื่อมวลชนกับพรรคภูมิใจไทย ถล่มกันเละเทะเลย ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าสื่อมวลชนและสถานีโทรทัศน์ที่มาถล่มคุณศักดิ์สยาม นั้น เป็นเจ้าเดียวกับที่ไปขอเงินคุณศักดิ์สยาม 200 ล้านบาท หรือเปล่า ผมไม่รู้ แต่เรื่องราวแบบนี้มันไม่ดี มันไม่ดี มันกระเทือนถึงตัวผมด้วย เพราะผมก็อยู่ในอาชีพนี้ เดี๋ยวเขาก็จะชี้หน้ามาอีก เฮ้ย คุณสนธิ คุณก็นิสัยเหมือนคนนี้ มาไถเงินเขา 200 ล้านบาท ผมไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่ในฐานะที่คุณบากบั่น คุณวีระศักดิ์ และคุณสมชาย มีเสน
คุณสมชาย มีเสน เป็นถึงกรรมการบริษัทในเครือ ปตท. GPSC ยิ่งใหญ่ คุณได้เข้าไปนั่งตรงนี้อย่างไร แต่ผมก็ดีใจที่คุณได้เข้าไปนั่ง
เอาล่ะ สลัดเรื่องคุณเข้าไปนั่งได้อย่างไร เอาเป็นว่า ถ้าคุณคิดว่าคุณยังเป็นสื่อมวลชนอยู่ ผมคิดว่าผมเป็นรุ่นพี่คุณ ซึ่งคุณอาจจะไม่เคารพนับถือผมเป็นรุ่นพี่ก็ได้ แต่เราต้องมาร่วมกันขจัด กำจัดเหลือบในวงการ ทั้งคุณสมชาย คุณวีระศักดิ์ คุณบากบั่น คุณอย่าลืมว่าคุณก็คือลูกจ้างคนหนึ่ง วันหนึ่งเจ้านายคุณ หรือเจ้าของ เขาอาจจะไม่ทำแล้วหนังสือฉบับนี้ หรือโทรทัศน์ฉบับนี้ หรืออะไรอันนี้ คุณก็ต้องหาที่เกาะใหม่ แล้วคุณจะไปเกาะใครล่ะคราวนี้ แต่ถ้าคุณมีฝีมือ ซึ่อสัตย์ ไม่รับงานใครมา ผมคิดว่าหลายๆ แห่งก็พร้อมจะรับคุณ ที่ผมพูดนี่ไม่ได้หมายความว่าสื่อมวลชนในเครือของคุณรับงานหรือรับเงินรับทองเขามา ไม่ใช่ แต่ผมคิดว่าเราน่าจะมาร่วมมือร่วมใจกันขจัดเหลือบในวงการนี้ออกไปเสีย ผมอายุมากแล้ว คุณก็ตะวันใกล้ตกดิน แต่คุณยังอยู่ในช่วงบ่ายๆ ของผมนี่ตกค่ำแล้ว จะตายเมื่อไรก็ไม่รู้ พวกคุณก็รู้นิสัยใจคอผม สนธิ เป็นคนที่เผาแบงก์ห้าร้อยเพื่อหาเหรียญสลึง ตายเป็นตาย เจ๊งเป็นเจ๊ง เอาเถอะครับ ช่วยกันเถอะ ช่วยกันหน่อย ช่วยกันฉีกหน้ากากหน่อยว่าเจ้าของสื่อมวลชน เจ้าของทีวีแห่งไหนบ้างที่ไปหาคุณศักดิ์สยาม แล้วจะไปตบทรัพย์เขา 200 ล้านบาท แล้วเขาบอกเขาไม่มีให้ ช่วยผมหาหน่อยได้ไหม คุณวีระศักดิ์ คุณบากบั่น และคุณสมชาย มีเสน อย่าอยู่เฉย ผมขอความช่วยเหลือหน่อยนะครับ ผมไม่ได้เอ่ยชื่อนะครับ อย่ากินปูนและร้อนท้อง เท่านี้เองแหล่ะครับ เผอิญมันมีเรื่องของท่านประธานศาลฎีกา ท่านเมทินี มันก็เกี่ยวข้องกับพวกคุณ ผมก็เลยถือโอกาสรวบยอดไปเลย พูดถึงจริยธรรมและจรรยาบรรณของพวกเรา พวกเรามาช่วยกันเถอะ คุณบากบั่น คุณวีระศักดิ์ และคุณสมชาย มีเสน
ท่านผู้ชมครับ วันนี้ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่มีเรื่องราวเยอะแยะมากไปหมด ไม่อยากจะพูดว่าอาทิตย์หน้าก็มันหยดเหมือนอาทิตย์นี้ แต่อย่าเพิ่งบอกก็แล้วกันนะครับ รอต่อไปดีกว่า แล้วเราค่อยพบกันอาทิตย์หน้า สวัสดีครับ