นึกอยากจะไปไหว้พระพร้อมกับท่องเที่ยวแบบไม่ไกลกรุงเทพฯ หลายคนคงนึกถึงจังหวัดพระนครศรีอยุธยา อดีตราชธานีของไทยที่มีวัดเก่าแก่งดงามมากมาย และยังเป็นที่ตั้งของอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาที่ได้รับยกย่องให้เป็นมรดกโลกอีกด้วย
"วัดพนัญเชิงวรวิหาร" เป็นหนึ่งในวัดสำคัญแห่งจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ตั้งอยู่นอกเกาะเมืองริมแม่น้ำป่าสักช่วงที่มาบรรจบกับแม่น้ำเจ้าพระยา มองเห็นวิหารหลังใหญ่เด่นเป็นสง่าริมคุ้งน้ำ
ประวัติของวัดพนัญเชิงนั้นกล่าวกันว่าเก่าแก่และมีมาก่อนการสถาปนากรุงศรีอยุธยา ข้อมูลจากกรมศิลปากรกล่าวว่า วัดพนัญเชิง เป็นวัดที่มีมาแต่โบราณ ก่อนที่พระเจ้าอู่ทองสร้างกรุงศรีอยุธยา 26 ปี ไม่ปรากฏหลักฐานว่าใครเป็นผู้สร้าง ตามพงศาวดารเหนือว่า พระเจ้าสายน้ำผึ้งเป็นผู้สร้างและพระราชทานนามว่า “วัดเจ้าพระนางเชิง”
ตำนานเล่าว่า พระเจ้าสายน้ำผึ้งเป็นกษัตริย์ผู้ครองอโยธยา พระเจ้ากรุงจีนได้ยกพระราชธิดาบุญธรรมนามว่า พระนางสร้อยดอกหมากให้อภิเษกสมรสกับพระเจ้าสายน้ำผึ้งด้วยโหรหลวงทำนายว่าจะเป็นคู่ครองที่เหมาะสม พระเจ้าสายน้ำผึ้งจึงเสด็จไปเมืองจีนโดยเรือพระที่นั่งเอกชัย ด้วยพระบุญญาธิการทำให้เรือของพระองค์ไปถึงกรุงจีนอย่างปลอดภัย พระเจ้ากรุงจีนจึงจัดพิธีอภิเษกสมรสให้พระนางสร้อยดอกหมากเป็นพระมเหสีด้วยความโสมนัส
ครั้นเวลาผ่านไป พระเจ้าสายน้ำผึ้งและพระนางสร้อยดอกหมากเสด็จกลับอโยธาด้วยเรือสำเภาพร้อมด้วยช่างฝีมือชาวจีนที่พระเจ้ากรุงจีนพระราชทานมาด้วย โดยพระเจ้าสายน้ำผึ้งเสด็จเข้าพระนครก่อนเพื่อตระเตรียมตำหนักซ้ายขวามาต้อนรับพระนางสร้อยดอกหมาก จากนั้นจึงจัดขบวนมารับเข้าวัง แต่พระองค์มิได้เสด็จมารับพระมเหสีด้วยพระองค์เอง ทำให้พระนางสร้อยดอกหมากไม่ยอมขึ้นจากเรือ
ครั้นรุ่งเช้าวันใหม่พระเจ้าสายน้ำผึ้งจึงแต่งกระบวนแห่มารับ พร้อมเสด็จพระราชดำเนินด้วยพระองค์เอง พระนางสร้อยดอกหมากทรงตัดพ้อต่อว่าและไม่ยอมไป พระเจ้าสายน้ำผึ้งจึงสัพยอกว่า เมื่อไม่ไปแล้วก็จงอยู่ที่นี่ ด้วยความน้อยพระทัย พระนางสร้อยดอกหมากจึงกลั้นพระทัยจนถึงแก่สวรรคต พระเจ้าสายน้ำผึ้งทรงเสียพระทัยยิ่งนัก ต่อมาได้จึงอัญเชิญพระศพมาพระราชทานพระเพลิงบริเวณแหลมบางกะจะ (บริเวณวัดพนัญเชิงปัจจุบัน) และสถาปนาเป็นพระอาราม ให้นามชื่อว่าวัด “พระเจ้าพระนางเชิง” และเพี้ยนมาเป็นวัดพนัญเชิงจนปัจจุบัน
ในช่วงเวลาปกติที่ยังไม่มีโรคโควิด-19 ระบาด แต่ละวันจะมีผู้คนจำนวนมากมาเยี่ยมเยือนวัดพนัญเชิงอย่างเนืองแน่น เพื่อมากราบไหว้สักการะขอพร "พระพุทธไตรรัตนนายก" หรือที่คนไทยนิยมเรียก "หลวงพ่อโต" และคนจีนเรียกว่า "หลวงพ่อซำปอกง" นั่นเอง
หลวงพ่อโตแห่งวัดพนัญเชิงถือเป็นพระพุทธรูปที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในพระนครศรีอยุธยา โดยเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยศิลปะอู่ทองตอนปลาย ขนาดหน้าตักกว้าง 14.20 เมตร สูง 19.20 เมตร และยังถือเป็นพระพุทธรูปโบราณคู่กรุงศรีอยุธยามาแต่แรกสร้างกรุงองค์พระประดิษฐานอยู่ในพระวิหารหลวงทรงโรง ตามผนังทั้งสี่ด้านเจาะช่องเป็นซุ้มไว้พระพุทธรูปปางต่างๆ และพระพิมพ์จำนวน 84,000 องค์ หัวเสาประดับด้วยบัวกลุ่มสมัยอยุธยา ส่วนบานประตูแกะสลักเป็นลายก้านขดยกดอกนูนออกมาเหนือลวดลายเป็นศิลปกรรมสมัยอยุธยาที่งดงาม และที่ผนังวิหารหลวงนี้มีจิตรกรรมแสดงภาพขนาดเล็ก เป็นเรื่องราววิถีชีวิตของคนจีน เช่น ผู้ใหญ่สอนหนังสือเด็ก การค้าขาย ฯลฯ รวมทั้งวรรณกรรมของจีนเรื่อง “ไซอิ๋ว”
องค์หลวงพ่อโตมีการซ่อมแซมปฏิสังขรณ์หลายครั้ง ทั้งในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงซ่อมครั้งหนึ่ง รวมถึงรัชกาลที่ ๑ แห่งแผ่นดินรัตนโกสินทร์ โดยเฉพาะในสมัยรัชกาลที่ ๔ ทรงโปรดเกล้าฯ ให้บูรณะใหม่ทั้งองค์แล้วถวายพระนามว่า “พระพุทธไตรรัตนายก” ซึ่งนอกจากหลวงพ่อโตจะเป็นที่เคารพนับถือของชาวไทยแล้ว ชาวจีนก็นิยมเดินทางมากราบไหว้ขอพรท่านด้วยเช่นกัน
ส่วนอาคารที่อยู่ทางด้านซ้ายขวาของวิหารหลวงก็มีความสำคัญไม่น้อย โดยเป็นที่ตั้งของพระอุโบสถและวิหารเขียน สำหรับในพระอุโบสถเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปสำคัญ 3 องค์ องค์กลางเป็นพระพุทธรูปปูนปั้นสมัยอยุธยา ทางซ้ายเป็นพระพุทธรูปสมัยสุโขทัยทำจากทองสัมฤทธิ์มีสีทองอร่ามใส ส่วนองค์ทางขวาเป็นพระพุทธรูปสุโขทัย เรียกว่าพระพุทธรูปนากเพราะมีสีออกแดงๆ
แต่เดิมพระพุทธรูปทองและนากถูกพอกด้วยปูนเพื่อมิให้ข้าศึกโขมยหรือทำลายไป จนกระทั่งในภายหลังเมื่อปูนกะเทาะออกจึงได้ทราบว่าเป็นพระพุทธรูปทองคำ และนำมาประดิษฐานอยู่ภายพระอุโบสถของวัด
ทางด้านวิหารเขียนที่ตั้งอยู่คู่กับพระอุโบสถนั้น ภายในมีพระพุทธรูปปั้นสมัยอยุธยาประดิษฐานอยู่ และมีความโดดเด่นตรงที่ผนังได้มีภาพจิตรกรรมเป็นภาพลายกระถางต้นไม้ต่างๆ จึงเป็นเหตุเรียกชื่อวิหารนี้ว่าวิหารเขียน ซึ่งภาพจิตรกรรมเหล่านี้เป็นภาพที่เขียนขึ้นใหม่เพราะของเดิมลบเลือนไปมาก
สิ่งสำคัญของวัดพนัญเชิงยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะบริเวณวัดด้านที่ติดกับแม่น้ำป่าสักยังเป็นที่ตั้งของ "ศาลเจ้าแม่สร้อยดอกหมาก" ที่หากไปแล้วไม่ได้แวะสักการะก็ถือว่ามาไม่ถึง โดยศาลเจ้าแม่สร้อยดอกหมากตั้งอยู่ภายนอกบริเวณพระวิหารและพระอุโบสถ มีลักษณะอาคารเป็นเก๋งจีนก่ออิฐถือปูน โดยเป็นอาคาร 2 หลัง เชื่อมต่อกัน อาคารด้านหน้าเป็นอาคารชั้นเดียว เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปไตรรัตนายกจำลอง ส่วนอาคารด้านหลังเป็นอาคาร 2 ชั้น ชั้นบนเป็นที่ประดิษฐานรูปปั้นเจ้าแม่สร้อยดอกหมาก ซึ่งชาวจีนเรียกว่า “จู๊แซเนี้ย” ส่วนชั้นล่างมีรูปปั้นเทพเจ้าจีนให้สักการะกันได้
ศาลเจ้าแม่สร้อยดอกหมากนี้มักมีคนมาขอพรเรื่องความรักอยู่เสมอ ว่ากันว่าเจ้าแม่สร้อยดอกหมากจะบันดาลให้คำขอเกี่ยวกับความรัก การงาน และการขอบุตรธิดาเป็นไปตามที่ผู้มีศรัทธามากราบไหว้ขอพรจากท่าน เมื่อสมความปรารถนาแล้วมักนำผ้าแพร ไข่มุก เครื่องสำอาง เรือสำเภาจำลอง หรือเชิดสิงโตถวายเป็นการตอบแทนท่าน
#################
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com หรือ ชมคลิปต่าง ๆ ได้ที่ Youtube :Travel MGR และ Instagram : @travelfoodonline และ TikTok : @travelfoodonline