เมืองไทย 360 องศา
กลายเป็นกระแสส่งต่อกันในโลกโซเชียลฯ รวมไปถึงการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา กับคำว่า “ย้ายประเทศกันเถอะ” ซึ่งก็มีคนทั้งเห็นด้วย แสดงความเห็นในแบบแนะนำประเทศนั้นประเทศนี้มากมายที่เห็นว่า “น่าไปอยู่” ไปใช้ชีวิตใหม่ที่นั่น พร้อมทั้งบอกด้วยว่าหากจะไปพำนักที่นั่นจะต้องเตรียมตัวอย่างไร เตรียมเอกสารอะไรกันบ้าง
ขณะเดียวกัน ก็ยังมีสถานทูตสวีเดนในประเทศไทยที่เล่นกับกระแสดังกล่าวนี้ ด้วยการโพสต์เชิญชวนคนไทยที่ต้องการไปใช้ชีวิตที่นั่น โดยอ้างถึงความเป็นอยู่ที่ดี มีสวัสดิการที่ดี หากเทียบกับหลายประเทศในยุโรป เรียกว่า เป็นหนึ่งในประเทศในฝันของหลายคนก็แล้วกัน มันก็ยิ่งทำให้กลายเป็นกระแสที่พูดถึงในวงกว้างไปเรื่อย
แต่อย่างไรก็ตาม แนวคิดในเรื่องการ “ย้ายประเทศ” แม้ว่าจะเป็นสิทธิเสรีภาพของแต่ละบุคคลที่จะคิดจะทำแบบไหนก็ได้ โดยเฉพาะการโยกย้ายถิ่นฐานบ้านช่อง ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะมนุษย์เรามีการเคลื่อนย้ายกันมาตั้งแต่โบร่ำโบราณ เหมือนกับที่บรรพบุรุษของหลายคนในประเทศไทยแห่งนี้ก็อพยพมาจากที่อื่น จนออกลูกออกหลานมากมาย หรือหลายคนที่อพยพโยกย้ายมาจากต่างจังหวัด เข้ามาอาศัยในเมืองหลวง กรุงเทพฯ แห่งนี้
แน่นอนว่า เมื่อเกิดกระแส “ย้ายประเทศกันเถอะ” มันก็ย่อมมีอีกด้านหนึ่งที่ “ขออยู่ที่นี่” ขอตายที่นี่ และ สู้ที่นี่ต่อไป ไม่ไปไหนเด็ดขาด ก็มีกระแสที่ออกมาไม่แพ้กัน และมีเหตุผลสนับสนุนรองรับใช้ได้เหมือนกัน เอาเป็นว่าเป็นเรื่องสิทธิเสรีภาพในการโยกย้ายถิ่น หากสามารถดำเนินการได้
อย่างไรก็ดี หากพิจารณากันในแบบหาที่มาที่ไปของการเคลื่อนไหวในลักษณะดังกล่าว ส่วนใหญ่ย่อมมาจากการสร้างกระแสของ ฝ่ายที่ไม่ชอบรัฐบาล โดยเฉพาะไม่ชอบ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และที่ผ่านมา ก็มีการทำกิจกรรม ทั้งในรูปแบบของการประท้วงขับไล่ สร้างความปั่นป่วนให้กับรัฐบาลนี้มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมาในหลากหลายชื่อ หลายกลุ่ม เช่นในแบบ “ม็อบสามนิ้ว” ที่เวลานี้ “ทะลุโลก” ราวีกับศาลไปแล้ว
ขณะเดียวกัน ในกลุ่มพวกนี้ก็ยังมีพรรคร่วมฝ่ายค้าน พวกอาจารย์ในมหาวิทยาลัยที่เป็นแนวร่วมชักจูงนักศึกษาที่เป็นลูกศิษย์ออกมาเคลื่อนไหวในสิ่งที่ตัวเองคิดตามจินตนาการมานาน หรือบางคนก็ฝังใจกับเหตุการณ์ในอดีต แต่ไม่กล้าทำ ไม่กล้าเสี่ยง จึงได้แต่ปลุกเร้าให้เด็กๆ พวกนี้ออกหน้าแทน ซึ่งแน่นอนว่ามันก็ย่อมได้ผล เพราะนักศึกษาพวกนี้มันก็ไม่ต่างจากวัยรุ่นทั่วไปที่ศึกษาในตำราแล้วร้อนวิชา อยากได้สังคมตามที่อยากเป็นบางครั้งในแบบ “อุดมคติ” ที่มักเกิดขึ้นในทุกยุคสมัย ในแบบที่คิดว่า “เท่” มีคนสนใจ อะไรประมาณนั้น
แต่สิ่งที่ต้องแลกมาก็คือ “คดีความ” ติดตัว เหมือนกับที่หลายคนกำลังเจออยู่ในเวลานี้ นั่นคือ “โดนข้อหาหนัก” ซึ่งรับรองว่ามันย่อมต่างไปจากการทำกิจกรรมนักศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัย เพราะเมื่อโดนคดีอาญาแล้วจะไม่มีการ “คิดครึ่งราคา” แน่นอน เหมือนกับหลายคนกำลังสะสมคดีอยู่ในเวลานี้
แน่นอนว่า การต่อสู้ตามอุดมการณ์ หรือเรียกอะไรก็แล้วแต่ อ้างว่าเป็นเรื่องการเมือง ต่อสู้เพื่อสาธารณะก็แล้วแต่ แม้ว่าในเวลานี้หากพิจารณากันตามความเป็นจริงแล้ว “คนส่วนใหญ่” ยังปฏิเสธกระแสแบบนี้ โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ“ม็อบสามนิ้ว”และตามที่เห็นก็คือ มีแต่ “สร้างความเดือดร้อน” ให้ตัวเอง และพ่อแม่ผู้ปกครองที่ต้องเดือดร้อนในการวิ่งหาหลักทรัพย์ประกันตัว เป็นต้น
ขณะเดียวกัน ก็มีคนในกลุ่มที่มีแนวทางเดียวกันแบบนี้ ที่ส่วนใหญ่ก็มีการเคลื่อนไหวในโซเชียลฯเป็นหลัก ที่สร้างกระแส “ย้ายประเทศ” ซึ่งเป็นสิทธิ์ ย่อมไม่มีใครขัดขวาง หากคิดดำเนินการแล้วทำสำเร็จนั่นคือ มีประเทศอื่นที่คิดว่า“ประเทศในอุดมคติ”รับไปอยู่ด้วย ก็ต้องบอกว่า “ไปที่ชอบๆ” แต่ขณะเดียวกัน ก็จะมีคำถามตามมาอีกว่า จะได้ไปอยู่ใน“สถานะไหน”จะมีสิทธิ์ มีความสุขมากกว่าที่อยู่ในประเทศไทยเวลานี้ หรือไม่ หรือแม้กระทั่งสิทธิ์ของ “ผู้ลี้ภัย” หรือไม่ เพราะหากเป็นประเภทหลัง ย่อมมีสถานะอีกแบบหนึ่งแน่นอน
แม้ว่าที่ผ่านมาจะได้เห็นหลายคนที่ดิ้นรนอพยพไปอาศัยในต่างประเทศแถบยุโรป ประเทศตะวันตก ได้เป็นพลเมืองของประเทศนั้นๆ หลายคนก็มีความสุข มีการสร้างครอบครัวใหม่ ปักหลักจนตายอยู่ที่นั่น แต่ก็มีอีกหลายคนมากมายที่บั้นปลายก็อยากกลับมาตายที่บ้านเกิด ใกล้ชิดกับญาติพี่น้อง รวมไปถึงบรรดา “ผู้ลี้ภัย” ผู้หลบหนีคดี ก็ต่างร่ำร้องอยากกลับบ้าน คิดถึงบ้าน คิดถึงรสชาติอาหารไทยกันทั้งนั้น เพราะเอาเข้าจริงมันก็ไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิดฝันเสมอไป
อย่างไรก็ดี ก็ต้องบอกว่า น่าจะเป็นเพียงการสร้างกระแสเพื่อกระทบกระแทกแดกดันรัฐบาล โดยเฉพาะพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อพยายามเชื่อมโยงให้เห็นว่า “ห่วย” โดยเฉพาะการแก้ปัญหาในสถานการณ์โควิด-19 รวมทั้งอีกหลายเรื่องที่พวกเขา “โค่นไม่ลง” สักที เพราะการย้ายประเทศไม่ใช่ว่าใครจะไปก็ไปได้ เพราะต้องมีการคัดกรองเอาแบบ “หัวกะทิ” หรือคนที่เขาต้องการเข้าไป แต่แม้ว่าในความเป็นจริงมันเป็นเรื่องไม่ง่าย แต่อีกด้านหนึ่งมันก็ทำให้เกิดกระแสตีคู่ขึ้นมาในแบบว่า “อยากไปก็เชิญ” เร็วๆ ด้วย !!