xs
xsm
sm
md
lg

ลากไส้ขบวนการขวางฟ้าทะลายโจรต้านโควิด-19 เดิมพันผลประโยชน์กับการพึ่งพาตัวเองของ “ชาวบ้าน"

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -  ยอดคนติดเชื้อไวรัสโควิด-19 พุ่งไม่หยุด วัคซีนก็มีน้อย เตียงรองรับผู้ป่วยก็ขาด ครั้นมีกระแสตอบรับงานวิจัยฟ้าทะลายโจร ต้านโควิด-19 ได้ในรายที่มีอาการน้อย ก็มีขบวนการออกมาขวางและปิดกั้นการเข้าถึงข้อมูล กระทั่งเกิดคำถามดังอึงมี่ในสังคมว่า นี่คือการเดิมพันผลประโยชน์ของ “บรรษัทยาข้ามชาติ” หรือไม่ เพราะในความเป็นจริงแล้ว แม้ฟ้าทะลายโจรไม่ใช่ยาวิเศษแต่ก็เป็นยาสามัญประจำบ้านทำให้คนไทยพึ่งพาตัวเองได้ในตอนนี้ที่ยังไม่มีภูมิคุ้มกันรวมหมู่ ขณะเดียวกันก็มีเสียงเรียกร้องให้รัฐบาลทุ่มส่งเสริมวิจัยพัฒนาให้กลายเป็น “โปรดักส์ แชมเปี้ยนส์” ระดับโลกอีกด้วย 

กระแสฟ้าทะลายโจรต้านโควิด-19 แรงขึ้นตามลำดับคู่ขนานไปกับตัวเลขยอดผู้ติดเชื้อสะสมที่เพิ่มจำนวนขึ้นทุกวัน นับเป็นความหวังเล็กๆ ของคนไทยในชั่วโมงนี้ โดยงานวิจัยที่บ่งชี้ว่าฟ้าทะลายโจรยับยั้งเชื้อโควิด-19 ได้ ฝีมือนักวิจัยคนไทยเวลานี้ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารทางวิชาการระดับโลก ยืนยันถึงคุณค่ายาสมุนไพรไทย ที่รัฐบาลควรทุ่มเทงบวิจัยและให้การสนับสนุนอย่างเร่งด่วนและต่อเนื่อง แทนที่จะปล่อยให้มีขบวนการเตะสกัด ลดทอนความน่าเชื่อถือ และสร้างความสับสนเพื่อผลประโยชน์ทางการค้าของพวกนักฉวยฉวยโอกาส

 บทเรียนจากการเข้ามาฉกฉวยประโยชน์จากสมุนไพรไทยของต่างชาติที่มีคนไทยด้วยกันเองเป็นนอมินีนั้น เกิดขึ้นหลายครั้งหลายครา นับจากสมุนไพร “เปล้าน้อย” มาถึง “กวาวเครือ” ที่ญี่ปุ่นและเกาหลีนำไปวิจัยพัฒนาและจดสิทธิบัตร รวมทั้ง “สารกัญชา” ที่มีต่างชาติยื่นขอจดสิทธิบัตรจนนำไปสู่การคัดค้านอย่างกว้างขวาง ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นว่าสมุนไพรไทยที่มีคุณค่าเอนกอนันต์ไม่ได้รับการส่งเสริมให้มีการวิจัย พัฒนา และต่อยอดอย่างที่ควรจะเป็น ดังกรณีที่กำลังเกิดขึ้นกับ “ฟ้าทะลายโจร” ซึ่งมีงานศึกษาวิจัยจนเป็นที่ฮือฮาว่าสามารถต้านโควิด-19 ได้ มาระยะหนึ่งแล้ว แต่รัฐบาลไทย กลับละล้าละลังที่จะส่งเสริมให้มีการนำไปใช้อย่างกว้างขวางเพื่อรับมือกับสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 

 นางสาวรสนา โตสิตระกูล  ว่าที่ผู้สมัครผู้ว่ากรุงเทพมหานคร, อดีตสมาชิกวุฒิสภา กรุงเทพมหานคร และผู้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิสุขภาพไทย โพสเฟซบุ๊ก ตอกย้ำอีกครั้งว่า การปิดกั้นข้อเขียนเกี่ยวกับข้อมูลเรื่องฟ้าทะลายโจรรักษาโควิด-19 ที่เคยเป็นข่าวก่อนหน้าว่าถูกปิดกั้นในระบบโซเซียลมีเดีย หรือบล็อกการเข้าถึงข้อมูลในรูปแบบเดียวกันกับที่มีการบล็อกการเข้าถึงข้อมูลการใช้โกฐจุฬาลัมพาของประธานาธิบดีประเทศมาดากัสการ์ที่ทำเป็นเครื่องดื่มให้ประชาชนกินป้องกัน โควิด-19 นั้น บัดนี้การบล็อกไม่ให้เข้าถึงข้อมูลการใช้ฟ้าทะลายโจรรักษาโควิด-19 น่าจะไม่สามารถปิดกั้นได้แล้ว เพราะมีผลงานวิจัยของนักวิจัยไทยที่ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2564 ในวารสารทางวิชาการระดับนานาชาติที่มีชื่อเสียงของสมาคมเภสัชเวทแห่งอเมริกา ชื่อ Journal of Natural Products

วารสารดังกล่าว ได้ตีพิมพ์รายงานทางวิชาการของทีมนักวิจัยชาวไทยที่นำโดย คณิต เสงี่ยมสุนทร, อำภา สุขสาธุ, สุภาภรณ์ ปิติพร ฯลฯ  ซึ่งในทีมมีนักวิจัยรวมทั้งสิ้น 18 คน ได้ทำวิจัยทดลองการใช้สารสกัดรวมของฟ้าทะลายโจร และสารแอนโดรกราโฟไลด์ที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของต้นฟ้าทะลายโจรต่อเซลล์เยื่อบุผิวปอดของมนุษย์ในหลอดทดลองที่ถูกทำลายจากเชื้อโควิด-19 โดยสามารถยับยั้งการแบ่งตัวของเชื้อไวรัสได้เป็นผลสำเร็จ

 ข้อสรุปของงานวิจัยนี้กล่าวว่า “ในการทดลองได้ใช้สารสกัดรวมของฟ้าทะลายโจร และสารแอนโดรกราโฟไลค์บริสุทธิ์กับเซลล์เยื่อหุ้มปอดของมนุษย์ที่ติดเชื้อโควิด พบว่าสามารถยับยั้งการแบ่งตัวของเชื้อไวรัสไม่แตกต่างกัน” และ “....ฟ้าทะลายโจรมีโอกาสที่จะพัฒนาเป็นยาเดี่ยว หรือใช้ควบรวมกับสูตรยามาตรฐานในการรักษาผู้ที่ติดเชื้อโควิด ....”  


จากงานวิจัยล่าสุดและการทบทวนงานวิจัยก่อนหน้านี้ พบว่า ฟ้าทะลายโจรมีความสามารถยับยั้งเชื้อไวรัสโควิดในหลายกระบวนการขั้นตอน ตั้งแต่ยับยั้งการเข้าเซลล์ของไวรัส, ยับยั้งการแบ่งตัวของเชื้อไวรัส ส่งผลให้จำนวนเซลล์ที่ติดเชื้อไวรัสโควิดลดลง ประกอบกับหลักฐานเชิงประจักษ์ก่อนหน้านี้ที่ยืนยันถึงฤทธิ์ของฟ้าทะลายโจรที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน, ยับยั้งเชื้อไวรัสก่อโรคทางเดินหายใจได้หลายชนิด และมีประสิทธิภาพในการรักษาโรคติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบนที่ไม่รุนแรง

ขณะเดียวกัน ยังมีงานวิจัยจำลองในคอมพิวเตอร์ พบว่าโครงสร้างที่ซับซ้อนตามธรรมชาติในฟ้าทะลายโจรมีความสามารถในการจับกับเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ แม้จะกลายพันธุ์ไปแล้วก็ตาม ซึ่งเป็นลักษณะที่พบได้บ่อยของไวรัส อีกทั้งยังมีงานวิจัยของกรมวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ ร่วมกับกรมการแพทย์แผนไทยฯ และงานวิจัยการใช้ฟ้าทะลายโจรแคปซูลรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ในโรงพยาบาลของรัฐที่เรียกว่า R2R (Routine to Research) ซึ่งเป็นการพัฒนางานประจำสู่งานวิจัย ผลปรากฏว่าทั้งใน รพ. ศูนย์, รพ. ทั่วไป และ รพ. สนาม จำนวน 9 แห่ง ซึ่งทดลองให้ฟ้าทะลายโจรแก่ผู้ป่วยต่อเนื่องเป็นเวลา 5 วัน พบว่าผู้ป่วยทุกราย รวม 276 ราย มีอาการดีขึ้นทุกอาการป่วย ความรุนแรงของอาการลดลง เช่น ไข้ ไอ เจ็บคอ น้ำมูกไหล

นอกจากนี้ ผู้ติดเชื้อในต่างแดนยังมีประสบการณ์การใช้ฟ้าทะลายโจรรักษาโควิด-19 ไม่ว่าจะเป็นเอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศอังกฤษ ที่ได้รายงานผลการใช้ฟ้าทะลายโจรกับคนไทยในอังกฤษว่าได้ผลดี และสนับสนุนรัฐบาลควรต่อยอดการพัฒนาฟ้าทะลายโจรต่อไป และมีรายงานจากคนไทยในต่างประเทศ ทั้งที่อยู่ในนอร์เวย์ เยอรมัน อเมริกา คูเวต ซึ่งมีการสื่อสารกันในโซเชียลมีเดียว่า ใช้ฟ้าทะลายโจร ทะลายโควิด-19 ได้ผลดี บางประเทศมีปัญหาโรงพยาบาลปกติและโรงพยาบาลสนามไม่มีเตียงเพียงพอรับผู้ป่วยโควิด-19 ถึงขนาดปล่อยให้กลับไปกักตัวที่บ้าน และไม่มียาให้ มีแค่คนคอยโทรศัพท์ติดตามอาการเท่านั้น คนไทยในต่างประเทศเหล่านี้ได้อาศัยฟ้าทะลายโจรในการช่วยรักษาตนเอง และส่วนใหญ่หายเป็นปกติ

นางสาวรสนา กล่าวว่า ฟ้าทะลายโจรจึงน่าจะเป็นทางรอดอีกทางหนึ่งสำหรับการพิจารณานำมาใช้กับคนป่วยติดเชื้อในขณะนี้ ที่ปะทุขึ้นใหม่เป็นระลอกที่ 3 จากคลัสเตอร์แหล่งบันเทิงย่านทองหล่อ การระบาดระลอก 3 ที่มีคนติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นจนนายกรัฐมนตรี มีคำสั่งให้ทำงานที่บ้านหลังหมดเทศกาลสงกรานต์จนถึงสิ้นเดือนเมษายน และจัดตั้งโรงพยาบาลสนามสำหรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดในวงกว้าง

“.... ไทยเราควรเป็นผู้นำโลก รัฐบาลควรให้ความสำคัญกับการทดลองนี้ที่ได้ตีพิมพ์ในวารสารนานาชาติ และส่งเสริมให้มีงานวิจัยอย่างจริงจัง เราอาจเป็นประเทศแรกที่ผลิตยากำจัดโควิด-19 ได้ เพราะยาที่ใช้กันทุกวันนี้ เป็นยารักษาไข้หวัดใหญ่ ไม่ใช่รักษาโควิดโดยตรง

“.... เวลานี้มีคนป่วยที่อาการน้อย ปานกลาง และมาก คนเป็นน้อยกับปานกลาง ใช้ฟ้าทะลายโจรเลย ดีกว่าปล่อยให้ลุกลาม แล้วมันคุ้มค่าต่อเศรษฐกิจมาก .... เชื่อว่า กรมการแพทย์แผนไทย และการแพทย์ทางเลือก เขามีปริมาณของฟ้าทะลายโจรเพียงพอที่จะช่วยแบ่งเบาวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของโรคได้” นางสาวรสนา กล่าว

นอกจากการเปิดเผยงานวิจัยได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการระดับนานาชาติ ตีแสกหน้าขบวนการบล็อกข้อมูลฟ้าทะลายโจรต้านโควิด-19 แล้ว นางสาวรสนา ยังเปิดโปงด้วยว่า ขณะนี้มีการสร้างความสับสนเรื่องฟ้าทะลายโจรแบบผงและแบบสารสกัด เพื่อผลประโยชน์ทางการค้าคนบางกลุ่มอีกด้วย โดยเมื่อวันที่ 16 เมษายนที่ผ่านมา มีการส่งข้อความผ่านไลน์แอพพิเคชั่นกันอย่างแพร่หลายในลักษณะที่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดและแอบแฝงโฆษณาสินค้าฟ้าทะลายโจรของบางยี่ห้อ

การส่งข้อความผ่านไลน์ มาพร้อมกับนำคลิปการแถลงข่าวของปลัดกระทรวงสาธารณสุข และอดีตอธิบดีกรมแพทย์แพทย์ไทย มาประกอบการเผยแพร่ทำให้เกิดความเข้าใจไปได้ว่าเป็นข้อมูลเผยแพร่ของกระทรวงสาธารณสุข เกี่ยวกับวิธีเลือกใช้ฟ้าทะลายโจรแบบบดผง และแบบสารสกัด โดยมีข้อมูลตอนหนึ่งที่อ้างว่า “ฟ้าทะลายโจรแบบบดผง จะมีสารแอนโดรกราโฟไลด์ ประมาณ 4-5 มก. (เทียบกับแบบสกัดที่มีถึง 20 มก. และยังสกัดสาร AP3 มีผลข้างเคียงทำให้แขนขาอ่อนแรงออกไปแล้ว)”

ผู้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิสุขภาพไทย มองว่า ข้อความเช่นนี้ทำให้คนอ่านเข้าใจว่าผงฟ้าทะลายโจรที่มีการขึ้นทะเบียนยาทั่วไปที่ไม่ใช่สารสกัด จะมีสาร AP3 ปนเปื้อนอยู่ และจะมีผลข้างเคียงที่ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงนั้น ต้องขอบอกว่าข้อมูลนี้นอกจากจะไม่มีงานวิจัยหรือข้อมูลทางวิชาการรองรับแล้ว อาจกลายเป็นการทำลายฟ้าทะลายโจรที่ขึ้นทะเบียนเป็นยาไทยแผนโบราณ และการพึ่งตนเองของประชาชนที่ปลูกฟ้าทะลายโจรเพื่อใช้เอง โดยหวังให้เชื่อว่าต้องเป็นฟ้าทะลายโจรที่เป็นสารสกัดจึงจะดีกว่าฟ้าทะลายโจรแบบบดผง ใช่หรือไม่

การเผยแพร่ข้อมูลที่อาจทำให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนเรื่องฟ้าทะลายโจรในรูปแบบผงและสารสกัดดังกล่าวนั้น โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ได้ออกบทความเผยแพร่เพื่อตอบคำถามเกี่ยวกับฟ้าทะลายโจรกับโควิด-19 ในหลายประเด็น โดยประเด็นที่มีการส่งไลน์ต่อ ๆ กันว่า สาร 14-deoxy-11 12-didehydroandrographolide (AP 3) ที่พบในผงฟ้าทะลายโจรอาจทำให้ความดันโลหิตลดลงและแขนขาอ่อนแรงได้นั้น ภญ.สุภาภรณ์ ปิติพร ผู้ช่วยผู้อำนวยการด้านการแพทย์แผนไทยและสมุนไพร โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร กล่าวว่า ยังไม่เคยเห็นรายงานดังกล่าว และว่าฟ้าทะลายโจรในรูปแบบผงอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ มีการใช้อย่างกว้างขวางในโรงพยาบาล มีความปลอดภัยดี”

นางสาวรสนา ย้ำว่าในยามวิกฤตโควิด-19 ขอสนับสนุนให้ประชาชนคนไทยอาศัยสมุนไพรอย่างฟ้าทะลายโจรในการดูแลตัวเองร่วมกับมาตรการอื่นๆ ผู้ทำการตลาดเรื่องฟ้าทะลายโจร ไม่ควรใช้การตลาดเพื่อประโยชน์ตนเองโดยการทำลายฟ้าทะลายโจรที่เป็นยาไทย และยาที่ชาวบ้านปลูกไว้ใช้เอง


การออกมาผลักดันให้มีการนำใช้ฟ้าทะลายโจรมาช่วยบรรเทาความเจ็บป่วยของประชาชนในวิกฤตโควิด-19 ของนางสาวรสนา และบุคลากรแพทย์แผนไทย ในสถานการณ์เช่นนี้ต้องถือว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่ทว่ากลับมีเสียงต่อว่าต่อขาน คัดค้าน และบางเสียงดุดันรุนแรงดังที่นางสาวรสนา โฟสเฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 20 เมษายนที่ผ่านมา ในหัวข้อ “ฟ้าทะลายโจรไม่ใช่ยาวิเศษ แต่ฟ้าทะลายโจรเป็นยาสามัญประจำบ้าน ที่ต้านโควิด-19 ได้” ว่า .... บางคนพูดรุนแรงถึงกับว่า “จะฟังหมอหรือฟังหมา” กันเลยทีเดียว พากันยกข้อมูลอันตรายของฟ้าทะลายโจรราวกับกลัวประชาชนจะเข้าใจผิดว่าฟ้าทะลายโจรเป็นยาวิเศษ

ว่าที่ผู้สมัครผู้ว่ากรุงเทพมหานคร ย้ำคำอธิบายว่า ฟ้าทะลายโจรไม่ใช่ยาวิเศษ แต่ฟ้าทะลายโจรเป็นแค่ยาสามัญประจำบ้านตัวหนึ่งที่มีสรรพคุณตัดไข้หวัดตั้งแต่ต้นก่อนที่จะลุกลามไปเป็นไฟกองใหญ่ กลายเป็นวิกฤตของระบบสาธารณสุข จึงแนะนำให้นำฟ้าทะลายโจรมาใช้ควบคู่กับมาตรการอื่นๆ กับคนที่มีอาการหวัดจากไวรัสในระยะเริ่มต้น เป็นการป้องกันแบบตัดไฟตั้งแต่ต้นลม หรือตัดไข้ตั้งแต่ต้นทาง ฟ้าทะลายโจรเป็นยาสามัญประจำบ้านที่ประชาชนรู้จักใช้กันมาอย่างยาวนาน และอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติของกระทรวงสาธารณสุข แสดงว่ามีความปลอดภัยสูง จึงอนุญาตให้ซื้อขายกันได้ในร้านโชวห่วย ไม่ต้องซื้อในร้านขายยาที่มีเภสัชกรด้วยซ้ำไป

 ศ.น.พ เสม พริ้งพวงแก้ว อดีตรัฐมนตรีสาธารณสุข เคยพูดเมื่อราว 80 ปีที่ผ่านมาว่า โรคเกิดที่ไหน สมุนไพรรักษาก็อยู่ที่นั่น สมัยที่ท่านเป็นผู้อำนวยการ ร.พ เชียงรายประชารักษ์ ช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่2 ประเทศไทยขาดแคลนยาแผนปัจจุบัน ท่านก็ได้ใช้สมุนไพรทั้งโมกหลวงรักษาโรคบิดและ กาสามปีกรักษาไข้มาลาเรีย ซึ่งเป็นโรคระบาดชุกชุมในเวลานั้น อดีตนายกรัฐมนตรีของไทยหลายท่าน ได้แก่ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์, พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ และพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ล้วนรอดชีวิตมาได้ด้วยยาบดผงและยาต้มสมุนไพรพื้นบ้าน ในอดีตคนไทยผ่านพ้นสงครามและโรคระบาดมาได้อย่างไรโดยไม่มียาจากภายนอก แต่เราก็รอดพ้นกันมาได้ด้วยภูมิปัญญาสมุนไพรในบ้านเราเอง 

ฟ้าทะลายโจรเป็นยาสามัญที่อยู่คู่กับคนไทยมานานกว่า 50 ปี ใช้รักษาไข้หวัดตัวร้อนอันเกิดจากไวรัสหลายชนิด ผลงานวิจัยที่พบว่าฟ้าทะลายโจรสามารถยับยั้งการแบ่งตัวของเชื้อโควิด-19ในเซลเยื่อหุ้มปอดของมนุษย์ที่ติดเชื้อโควิด-19 แม้เพียงในหลอดทดลอง ก็ต้องถือว่าเป็นการรับรองความรู้การใช้ฟ้าทะลายโจรของคนไทย และถ้าหากรัฐบาลจะสนับสนุนการวิจัยต่อเนื่องในหนูทดลองและในคนให้สมบูรณ์แล้ว ฟ้าทะลายโจรก็จะยกระดับเป็นยาสามัญขนานหนึ่งที่กลายเป็นยาแชมเปี้ยนได้ ไวรัสยังอยู่กับเราอีกนาน หรืออาจจะแปรสภาพไปเป็นโรคประจำถิ่นต่อไปก็ได้ แต่เราก็มีฟ้าทะลายโจรซึ่งเป็นพืชพันธุ์ที่หาได้ง่าย เราสามารถพัฒนาและผลิตได้เองเพื่อรักษาตัวเองได้ และยังสามารถช่วยเหลือชาวโลกที่ถูกรุกรานจากเชื้อไวรัสโควิด-19 หรือสายพันธุ์อื่นในอนาคต

แต่อย่างไรก็ตาม ฟ้าทะลายโจรยังเป็นยาสามัญของชาวบ้านธรรมดาสามัญ ที่ช่วยให้เราพึ่งพาตนเองได้ เพราะงานทดลองของนักวิจัยพบว่าผงรวมของฟ้าทะลายโจรมีสรรพคุณดีกว่าสารสกัดบริสุทธิ์ นอกจากนี้ ยังพบว่ามีสารสำคัญหลายตัวในฟ้าทะลายโจรที่ละลายได้ดีในน้ำ ดังนั้นการปลูกไว้ใช้เองในครัวเรือน และนำใบมาชงเป็นชาดื่มอาจจะได้ผลดีที่สุด งานทดลองจึงเป็นการรับรองการใช้ฟ้าทะลายโจรแบบสามัญว่าดีที่สุด และทำให้ชาวบ้านพึ่งตนเองได้

แม้ขณะนี้จะมีความพยายามโฆษณาว่าสารสกัดของฟ้าทะลายโจรดีกว่าฟ้าทะลายโจรแบบผงรวมถึงขนาดอ้างว่าในสารสกัดได้สกัดเอาสาร AP3 ที่ทำให้แขนขาอ่อนแรงออกไป เพื่อให้เข้าใจผิดว่า ในผงฟ้าทะลายโจรที่ขึ้นทะเบียนเป็นยาไทยแผนโบราณมีสารAP3 ที่เป็นอันตราย ทั้งที่ไม่มีงานวิจัยรองรับ เป็นการช่วงชิงทางการตลาดเพื่อให้คนหันไปใช้สารสกัดโดยอ้างว่าฟ้าทะลายโจรแบบสารสกัดมีปริมาณสารแอนโดรกราโฟไลด์ที่แน่นอนกว่า

แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่อยู่ในงานวิจัยกลับพบว่า AP3 ช่วยลดการอักเสบของปอด และแบบจำลองการจับตัวในระดับโมเลกุล (Molecular Docking) ในคอมพิวเตอร์ (Computational modeling) พบว่าAP3 สามารถล็อคไวรัสเข้าสู่เซลได้ถึง 4 ตำแหน่ง และหนึ่งในนั้นคือ ตำแหน่งโปรตีนที่มีหนาม (spike protein) ของเชื้อไวรัสโคโรน่าแบบเชื้อโควิด-19 ด้วย

นางสาวรสนา เรียกร้องว่า อันที่จริงควรมีการส่งเสริมพัฒนาการปลูกฟ้าทะลายโจรให้มีคุณภาพ และพัฒนาเครื่องมือที่เป็นเทคโนโลยีที่เหมาะสมสำหรับประชาชน เช่น Test kit ที่สามารถตรวจสอบสารแอนโดรกราโฟไลด์ในฟ้าทะลายโจรเพื่อให้ได้วัตถุดิบสมุนไพรที่มีสรรพคุณดีที่สุด โดยที่ฟ้าทะลายโจรเป็นยาสามัญที่การใช้แบบผงมีสรรพคุณดีกว่าสารสกัดเดี่ยว จึงยากแก่การผูกขาด ก็เลยไม่มีใครสนใจลงทุนพัฒนาเพื่อประโยชน์ส่วนรวม รัฐบาลจึงควรลงทุนพัฒนาฟ้าทะลายโจรทั้งรูปแบบผลิตในเชิงอุตสาหกรรม แต่ไม่ทอดทิ้งการพัฒนาเพื่อให้ประชาชนพึ่งตนเอง เพราะสิ่งที่เป็นคุณค่าพื้นฐานของสังคมไทยคือการพึ่งตนเอง และการแบ่งปันที่ทำให้สังคมไทยเป็นสังคมที่ร่มเย็นและเป็นสุขมากกว่าการมุ่งผูกขาดเพื่อประโยชน์ของตนเองและคนกลุ่มน้อย

สอดคล้องกับ  “ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์” คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต ที่โพสต์ข้อความแสดงความคิดเห็นเอาไว้เช่นกันว่า สถานการณ์ที่ประชาชนที่จะพึ่งพาตัวเองได้นั้นกำลังถูกบั่นทอนและทำลายด้วยกระแสให้หวาดกลัวฟ้าทะลายโจรแบบสกัดหยาบ

สำหรับคนที่อยู่ในแวดวงสมุนไพรต่างทราบกันดีว่าสมุนไพรที่จะมีความเป็นพิษนั้น ยิ่งสกัดสารสำคัญออกมากขึ้นเท่าไหร่ แม้จะทำให้มีสรรพคุณตามวัตถุประสงค์มากขึ้น แต่กลับทำให้มีความเสี่ยงทำให้เกิดผลข้างเคียงมากขึ้น หรือการทำงานของบางอวัยวะมากขึ้น แต่ในทางตรงกันข้ามจะเห็นได้ว่ามีหลายสมุนไพรที่ต้องใช้แบบสกัดหยาบโดยไม่ต้องสกัดสารสำคัญออกมากจะให้สรรพคุณทางยาดีกว่า เช่น กัญชา เพราะในสมุนไพรมีสารสำคัญหลายชนิดทำงานเสริมการทำงานซึ่งกันและกันดีกว่าการทำงานด้วยการสกัดสารสำคัญตัวใดตัวหนึ่งออกมาโชคดีเป็นอย่างยิ่งในกรณีของสมุนไพรฟ้าทะลายโจร คือ แบบสกัดหยาบกลับให้ผลทางสรรพคุณยามากกว่า จึงเป็นหนทางที่ชาวบ้านจะพึ่งพาตัวเองได้ หมอแผนไทยจะสามารถผลิตยาออกมาได้ โดยไม่ต้องใช้บริการบริษัทยาขนาดใหญ่

และนั่นหมายความว่า ฟ้าทะลายโจรอาจจะทำให้ธุรกิจยาที่อยู่ในรูปสารสกัดจากสมุนไพรอื่นๆ นั้น ต้องยุ่งยากไปด้วย เพราะฟ้าทะลายโจรแบบสกัดหยาบนั้นนอกจากจะมีราคาถูกแล้ว ชาวบ้านยังมีโอกาสพึ่งพาตัวเองได้ด้วย หมายถึงกินสด หรือตากแห้งบดเป็นผงได้ด้วย เพราะแม้แต่สารสกัดแอนโดรกราโฟไลด์ออกมาก็ยังมีสรรพคุณสู้แบบสกัดหยาบไม่ได้ เพราะสมุนไพรชนิดนี้มีสารสำคัญหลายชนิดทำงานร่วมกันเหมือนกับสมุนไพรหลายชนิด

 กระแสเรียกร้องให้กระทรวงสาธารณสุข เปิดใจยอมรับฟ้าทะลายโจรควบคู่ไปกับมาตรการอื่นๆ ในที่สุด ก็ได้รับการตอบรับ โดยเมื่อวันที่ 22 เมษายนที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุข แถลงเปิดตัวโครงการ “ฟ้าทะลายโจร สมุนไพรไทย เพื่อคนไทย ต้านภัยโควิด-19” ในงานจะคิกออฟมอบยาฟ้าทะลายโจร แก่ตัวแทนบุคลากรสาธารณสุข เพื่อนำไปใช้สำหรับผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในพื้นที่ระบาดทุกจังหวัด 
 


รพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร ไขข้อข้องใจ ฟ้าทะลายโจรต้านโควิด-19 ได้จริง


ประเด็นเรื่องฟ้าทะลายโจรกับโควิด-19 ที่โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร โดย ภญ.สุภาภรณ์ ปิติพร ซึ่งเป็นผู้ให้ข้อมูลเรื่องฟ้าทะลายโจรในการต้านโควิดเป็นคนแรกตั้งเดือนมกราคม 2563 ได้ขอไขข้อข้องใจในประเด็นต่างๆ เพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน ดังนี้

ประเด็นแรก ฟ้าทะลายโจรรักษาโควิด-19 ได้จริงหรือไม่
ต้องบอกว่า โควิด-19 เป็นโรคอุบัติใหม่ ไม่มียา หรือ วัคซีนใดที่จะตอบได้อย่างเต็มปาก ว่ารักษาหรือป้องกันได้จริง แต่จากการวิจัยเอกสารที่มีการทำการศึกษาวิจัยมากมายหลายฉบับทำให้เรามั่นใจว่าฟ้าทะลายโจรมีประโยชน์ในการนำมาใช้กับผู้ป่วยโควิดและได้ส่งมอบเอกสารให้กับทางกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ในการระบาดระลอกแรกจนนำไปสู่การใช้ฟ้าทะลายโจรไปรักษาผู้ป่วยโควิดรายที่มีอาการน้อยและไม่มีอาการในโรงพยาบาลสังกัด กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งพบว่าผู้ที่มีอาการน้อยหลังจากได้รับยาฟ้าทะลายโจรมีอาการดีขึ้นทุกราย โดยไม่มีผลข้างเคียงแต่อย่างใด ส่วนในรายที่ไม่มีอาการ ก็ไม่พบว่ามีอาการภายหลังและปลอดภัยดี

“อภัยภูเบศรจึงอยากให้มีการวิจัยฟ้าทะลาย โจร เพื่อให้เกิดผลเป็นที่ประจักษ์ จึงได้เตรียมสารสกัดฟ้าทะลายโจร ส่งให้คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อศึกษากลไกในการต้านโควิด-19 ผลการศึกษาพบว่าสารสกัดฟ้าทะลายโจร และสารแอนโดรกราโฟไลด์ ซึ่งเป็นสารสำคัญในฟ้าทะลายโจร มีความสามารถในการยับยั้งกระบวนการติดเชื้อไวรัสของเซลล์ปอด โดยผ่านกลไกที่สำคัญ คือ การยับยั้งการแบ่งตัวของเชื้อไวรัสโควิดในทุกระยะ จึงมีโอกาสที่จะพัฒนาการใช้ฟ้าทะลายโจรเป็นยาเดี่ยว หรือใช้ควบรวมกับสูตรยามาตรฐานในการรักษาผู้ที่ติดเชื้อโควิด ปัจจุบันผลงานวิจัยดังกล่าวได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร “Natural Products” เป็นที่เรียบร้อย” ดร.สุภาภรณ์ กล่าว

ประเด็นที่สอง ฟ้าทะลายโจรป้องกันโควิด-19 ได้หรือไม่
ดร.สุภาภรณ์ กล่าวว่า ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานทางวิชาการที่ชัดเจนสนับสนุนการใช้ฟ้าทะลายโจรป้องกันโควิด-19 ได้ แต่มีการศึกษาพบว่าการใช้ฟ้าทะลายโจรขนาดต่ำๆ (แอนโดรกราโฟไลด์ 11.2 มิลลิกรัม/วัน) กิน 5 วัน/สัปดาห์ เป็นเวลา 3 เดือน ช่วยป้องกันหวัดได้ ซึ่งนักวิจัยได้กล่าวถึงผลในการป้องกันหวัดว่า น่าจะเกิดจากฤทธิ์เสริมภูมิคุ้มกัน ซึ่งก็มีงานวิจัยที่สนับสนุนอยู่มากพอควรว่าฟ้าทะลายโจรมีฤทธิ์กระตุ้นภูมิคุ้มกัน ในส่วนตัวเองที่เก็บข้อมูลจากหมอพื้นบ้าน ก็เห็นช่วงฤดูหนาวชาวบ้านก็กินฟ้ากัน 2-3 ใบทุกวัน สำหรับผู้ประสงค์จะใช้ฤทธิ์เสริมภูมิคุ้มกัน ต้องกินฟ้าทะลายโจรขนาดต่ำๆ และต้องไม่ตั้งครรภ์ ไม่ให้นมบุตร ตับและไตต้องดี และไม่ได้กินยาละลายลิ่มเลือดที่ชื่อวาร์ฟาริน

ประเด็นที่สาม ใช้ฟ้าทะลายโจร ไม่ต้องฉีดวัคซีนใช่หรือไม่
ผู้ช่วยผู้อำนวยการโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร กล่าวว่า การฉีดวัคซีนเป็นการเสริมภูมิคุ้มกันที่จำเพาะสำหรับเชื้อโควิด ถึงแม้จะไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ 100% แต่อย่างน้อยก็ป้องกันการเจ็บป่วยรุนแรง ลดภาระของระบบบริการสุขภาพได้ การใช้ฟ้าทะลายโจรมีข้อมูลสนับสนุนว่ามีฤทธิ์เพิ่มภูมิคุ้มกันทั้งภูมิคุ้มกันที่มีมาแต่กำเนิดและภูมิคุ้มกันจำเพาะแต่ยังไม่มีการศึกษากับเชื้อโควิดโดยตรง ดังนั้นประชาชนควรฉีดวัคซีน ซึ่งจะเห็นได้จากประเทศอังกฤษที่มีการฉีดวัคซีนกันอย่างกว้างขวางทำให้อัตตราการติดเชื้อลดลง

ประเด็นที่สี่ ฟ้าทะลายโจรที่เป็นสารสกัดมีฤทธิ์ดีและปลอดภัยกว่าผงบดหยาบใช่หรือไม่
ดร.สุภาภรณ์ กล่าวว่า ไม่จริงเสมอไป ขึ้นกับมาตรฐานการผลิตและโรคที่นำไปใช้ ใน Thai Herbal Pharmacopoeia กำหนดไว้ว่า ต้องมีปริมาณแลคโตนรวมไม่น้อยกว่า 6% และแอนโดรกราโฟไลด์ไม่น้อยกว่า 1% ซึ่งในมาตรฐานดังกล่าวใช้สำหรับบรรเทาอาการเจ็บคอและบรรเทาอาการของโรคหวัด (common cold) เช่น เจ็บคอ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ โดยขนาดที่แนะนำ 1,500-3,000 มิลลิกรัม วันละ 4 ครั้งหลังอาหารและก่อนนอน หรือใช้สารสกัดแอนโดรกราโฟไลด์ก็ได้ ประมาณ 60-120 มิลลิกรัม/วันในการบรรเทาอาการเจ็บคอและหวัด

ในส่วนของโควิด-19 ที่มีใช้ในระบบบริการสุขภาพตอนนี้ ก็มีทั้งผงหยาบที่ทราบปริมาณแอนโดรกราโฟไลด์ และสารสกัด ดังนั้นประเด็นจึงไม่ได้อยู่ที่ผงบดหยาบหรือสารสกัด แต่อยู่ที่ว่าผู้ป่วยได้รับปริมาณแอนโดรกราโฟไลด์ในปริมาณสูงเพียงพอต่อการรักษาหรือไม่ ในส่วนของโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ก็ใช้ผงบดหยาบที่มีปริมาณแอนโดรกราโฟไลด์ไม่น้อยกว่า 3% ในการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ทุกคนก็อาการดีขึ้น ไม่มีผลข้างเคียง การสกัดนั้นโดยปกติเป็นการสกัดที่มุ่งเน้นจะให้ปริมาณแอนโดรกราโฟไลด์สูงๆ แต่โดยทั่วไปในภาคอุตสาหกรรมเราก็สกัด แอนโดรกราโฟไลด์ได้อยู่ที่ 6% ในขณะที่เราให้เกษตรกรปลูกให้จนเริ่มออกดอก แล้วนำส่วนเหนือดินมาใช้ก็ได้ถึง 3-4% ในช่วงระบาดระลอกแรก โรงพยาบาลก็แจกเมล็ดพันธุ์พร้อมส่งวิธีปลูกให้ผู้สนใจ ตอนนี้หลายคนก็นำมาใช้บรรเทาหวัด ฟ้าทะลายโจรเป็นสมุนไพรที่ควรปลูกไว้ที่บ้าน ใช้ดูแลสุขภาพยามเจ็บป่วยได้

ส่วนที่มีการส่งไลน์ต่อ ๆ กันว่า สาร 14-deoxy-11 12-didehydroandrographolide (AP 3) ที่พบในผงฟ้าทะลายโจรอาจทำให้ความดันโลหิตลดลง แขนขาอ่อนแรงได้นั้น ดร.สุภาภรณ์ กล่าวว่า ยังไม่เคยเห็นรายงานดังกล่าว และว่าฟ้าทลายโจรในรูปแบบผงอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ มีการใช้อย่างกว้างขวางในโรงพยาบาล มีความปลอดภัยดี

ดร.สุภาภรณ์ ย้ำว่า การสร้างภูมิคุ้มกัน เป็นเกราะสำคัญในการป้องกันโรค ตั้งแต่มาตรการ DMHTT การรับประทานอาหาร เน้นเครื่องเทศ ผัก ผลไม้ พักผ่อนเพียงพอ ออกกำลังกาย และสัมผัสแดดในช่วงเช้าหรือเย็น ล้วนแล้วแต่ต้องดำเนินการเป็นองค์รวม อย่าใช้เครื่องมือเดียว เพราะโควิด-19 เป็นโรคใหม่ที่เรายังไม่เข้าใจทั้งหมด ยังคงต้องผนึกกำลังของเครื่องมือในการดูแลสุขภาพทุกเครื่องมือเข้าด้วยกัน

ในอนาคตอภัยภูเบศร ปรารถนาให้ ประชาชน ผู้ประกอบการ รายย่อย ได้ปลูก เก็บเกี่ยว บด บริโภค แจกจ่าย ขาย ฟ้าทะลายโจร เพื่อการดูแลรักษาตนเองเป็นเบื้องต้น โดยมีการสร้างความเข้มแข็งให้กับทุกภาคส่วน ด้วยส่งเสริมสนับสนุน ด้วยองค์ความรู้บนพื้นฐานของหลักฐานเชิงประจักษ์และเทคโนโลยีที่เหมาะสม

สำหรับผู้ที่ต้องการใช้ฟ้าทะลายโจรหรือสมุนไพรอื่นๆ สามารถสอบถามรายละเอียดเพื่อเติมได้ที่ศูนย์หลักฐานเชิงประจักษ์ในวันและเวลาราชการที่เบอร์ 037-211-289


กำลังโหลดความคิดเห็น