ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ยิ่งสาวยิ่งลึก ยิ่งเหลายิ่งแหลม
กรณี “คลัสเตอร์ทองหล่อ” แหล่งเพาะ “ซูเปอร์สเปรดเดอร์” ที่ซ้ำเติมวิกฤตโควิด-19 ให้ปั่นป่วนอีกระลอก จนทำให้ยอดผู้ติดเชื้อสะสมของประเทศไทยทะลุ 3 หมื่นรายทะยานสู่ 4 หมื่นรายอย่างรวดเร็ว กับยอดผู้ป่วยยืนยันรายใหม่ที่ถึงหลักพันคน และทุบสภิติ “นิวไฮ” ยอดสูงที่สุดอย่างต่อเนื่อง จนพูดได้ว่าการระบาดระลอกที่ 3 อย่างเป็นทางการได้แล้ว
และเป็นระลอกที่ 3 ที่ดูจะหนักหนากว่าระลอกที่ 1 เมื่อต้นปี 2563 และระลอกที่ 2 ที่เกิดจากตลาดกลางกุ้งสมุทรสาคร และบ่อนพนันในโซนภาคตะวันออก เสียอีก ด้วยมีการกระจายตัว “ซูเปอร์สเปรดเดอร์” โยงใยไปยังคลัสเตอร์ต่างๆไปถึงแทบทุกจังหวัดทั่วประเทศ โดยจากการสอบสวนโรคล้วนแล้วแต่เชื่อมกลับมาถึงสถานบันเทิงระดับไฮเอนด์ย่านทองหล่อ-เอกมัย ใจกลาง กทม.แห่งนี้
ผลกระทบรุนแรงกระทั่ง “เส้นก๋วยจั๊บ” ยังทานไม่อยู่ เมื่อ กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) โดย พล.ต.ต.โสภณ สารพัฒน์ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 5 (ผบก.น.5) ลงนามคำสั่งย้าย “เสี่ยด้วง” พ.ต.อ.ดวงโชติ สุวรรณจรัส ผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาลทองหล่อ (ผกก.สน.ทองหล่อ) ไปปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการ กองบังคับการตำรวจนครบาล 5 (ศปก.บก.น.5) จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง
เรียกได้ว่าสังเวย “คลัสเตอร์ทองหล่อ” ต้อตอวิกฤตโควิด-19 ระลอก 3 ที่บานปลายทั่วประเทศแล้วด้วย “ก๋วยจั๊บ” ไปหนึ่งชาม
ทราบกันดีว่า “ผู้กำกับด้วง” เป็นเจ้าของสมญา “ราชบุตรเขย” ด้วยความที่เป็นลูกเขย “บิ๊กป๊อด” พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (อดีต ผบ.ตร.) และมีศักดิ์เป็นหลานเขย “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ พี่ใหญ่ผู้ทรงอำนาจที่สุดใน พ.ศ.นี้
แต่คำสั่งย้ายที่ออกมาดูเหมือนจะเป็นการลดกระแสวิพากษ์วิจารณ์การปล่อยปละละเลยให้เกิดคลัสเตอร์โควิด-19 เท่านั้น เชื่อว่างเทมื่อเรื่องซาเมื่อใด “ผู้กำกับด้วง” คงได้กลับมาคุม “ทำเลทอง” แห่งนี้อีกครั้ง
ทั้งนี้ “สถานอโคจร” ที่ถูกกล่าวถึงที่สุดในกลุ่มคลัสเตอร์ทองหล่อครั้งนี้ เห็นจะเป็นร้าน “คริสตัล-เอมเมอรัล” ที่เป็นร้านในเครือเจ้าของเดียวกัน และเพิ่งมีการดำเนินคดีและตัดสินจำคุก 2 ผู้จัดการร้านทั้ง 2 แห่ง เพื่อ “ตัดตอน” ดับกระแสเช่นกัน
ในวงการทราบกันดีว่า ทั้ง 2 ร้านให้บริการลักษณะ “เล้าจน์” หรือคอทเทลเล้าจน์ยุคใหม่ ภายในร้านจะมี “สาวสวย” คอยนั่งดริ้งค์เอนเตอร์เทนเป็นเพื่อน
สนนราคาร้านไฮเอนด์ระดับนี้ตกอยู่ที่ดริ้งค์ละ 400 บาทขึ้นไปต่อ 40 นาที โดยมีกติกาต้องเริ่มต้นที่ 3-5 ดื่มขึ้นไป นอกจากนี้ยังมีการแบ่งกลุ่มสาวๆที่ให้บริการ เป็นทั้งพีอาร์ พริตตี้ โคโยตี้ บันนี่ โมเดล เป็นต้น ขึ้นอยู่กับการแต่งกายของน้องๆในวันนั้น
การบริการของ “เด็กดริ้งค์” ไม่พ้นต้องพูดคุยหรือสัมผัสใกล้ชิดกับแขกผู้มาใช้บริการตลอดทั้งคืน โอกาสที่จะแพร่เชื้อถึงกันจึงเป็นไปได้โดยง่าย และว่ากันว่าร้านดังกล่าวมี “รัฐมนตรีกระทรวงใหญ่คนหนึ่ง” ถือเป็นแขกประจำของร้านดังกล่าว แวะเวียนไปใช้บริการแทบทุกค่ำคืน
แม้ว่าร้านจะหรูหรา ค่าบริการแพงหูฉี่ แต่ร้านประเภทนี้ก็ยังถูกจัดเป็น “สถานที่อโคจร” พอมีข่าวหลุดว่า มี “บุคคลวีไอพีระดับสูง” อย่าง รัฐมนตรีเข้าไปใช้บริการ จึงออกมาปฏิเสธข่าวกันให้วุ่น เพราะถือว่ากระทบภาพลักษณ์ทั้งส่วนตัว-รัฐบาล
แล้วยังถูกเปรียบเปรยตั้งสมญาว่าเป็น "ไทยคู่ฟ้าคลับ" ล้อกับ “ตึกไทยคู่ฟ้า” ที่ทำงานของนายกรัฐมนตรีไทย นัยว่า รัฐมนตรีบางคนใช้เป็นสถานที่เจรจาธุรกิจเกี่ยวกับเมกะโปรเจกต์ของภาครัฐ โดยอาศัยบรรยากาศใน “เลาจน์” และสาวสวย เพื่อให้การเจรจาราบรื่น
ไม่แปลกที่ “นายกฯตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะล้งเล้งเสียงดังถึง “ที่อโคจร” ว่า “แหล่งอโคจรคืออะไร ที่ที่ไม่ควรไปใช่ไหม นี่คือมนุษย์ไง ก็ไม่รู้จะทำไง นายกฯจะไปสั่งห้ามก็ไม่ได้ … ใครจะไปไหนมาก็รู้ตัวกันอยู่แล้ว รัฐบาลจะไปห้ามก็ไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องของบุคคล แต่ก็ถือว่าเป็นบทเรียนพอสมควรแล้วก็ขอให้หยุดกันเสียที … วันนี้ก็ป็นบทเรียนอย่างหนึ่งว่า เป็นสถานที่อโคจร ไม่ควรไป นายกฯ ไม่เคยไปไหน”
เมื่อเรื่องวนเวียนอยู่กับ “สถานที่อโคจร-วงจรธุรกิจสีเทา” ก็เสมือนเขี่ยลูกไป “เข้าทางตีน” สองนักแฉแห่งยุคอย่าง “เฮียชู” ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตเสี่ยอ่างทองคำ เจ้าของอาบอบนวดหลายแห่งในอดีต และ “รองต่อ” สันธนะ ประยูรรัตน์ อดีตรองผู้กำกับตำรวจสันติบาล ที่ชีวิตโลดแล่นอยู่ในยุทธจักรสีเทาตั้งแต่ยังมียศตำรวจนำหน้า
ทั้ง “เฮียชู-รองต่อ” ผลัดหน้ากันออกมาแฉถึงตื้นลึกหนาบางของมหาอาณาจักร “คริสตัล-เอเมอรัล” ไปจนถึงต้นขั้วอย่างร้าน “มิยาบิ คัปโปะ” ที่ฉากหน้าเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อดัง และมีบริการ “เลาจน์” ที่ตั้งอยู่ในละแวกเดียวกัน
โดยมีการแย้มชื่อ “เสี่ย อ.” หนุ่มใหญ่วัย 40 ปีเศษ ว่าเป็นเจ้าของเครือคริสตัล ก่อนที่จะมีการขุดคุ้ยไปถึงชื่อของ “อ๊อด มิยาบิ”
จากการตรวจสอบข้อมูลจาก กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่า ทั้ง บริษัท กินซ่า เอ แอนด์ ที จำกัด ที่เป็นเจ้าของร้านมิยาบิ คัปโปะ, บริษัท คริสตัล เคแอนด์เค จำกัด ซึ่งเป็นเจ้าของคริสตัล เอ็กคลูซีฟ คลับ ทองหล่อ 25 และบริษัท เอมเมอรัลกรุ๊ป จำกัด เจ้าของร้านเอเมอรัล คลับ ทองหล่อ 13 นั้น ปรากฎว่ามีชื่อ นายเกียรติพงษ์ คำต่าย เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ทั้ง 3 บริษัท
“เกียรติพงษ์ คำต่าย” ที่ว่านี้ก็คือ “อ๊อด มิยาบิ” ผู้กว้างขวางแห่งวงการกลางคืน ทั้ง “ลูกค้านักเที่ยว” ระดับวีวีไอพี นักการเมืองใหญ่ บิ๊กสีเขียว บิ๊กสีกากี ล้วนแล้วแต่เคยใช้บริการ “อ๊อด มิยาบิ” ผู้นี้ในการจัดหา “งานบริการ” ระดับพรีเมียมได้ดั่งใจนึก
ว่ากันว่า “อ๊อด” มี “เซ้นส์” ในเรื่องานบริการรู้จักความต้องการของลูกค้าชนิดหาตัวจับยาก ทั้งแบบมาที่ร้าน และเดลิเวอรีส่งให้ถึงที่ ทำเอา “แขกผู้ใหญ่” ต่างติดใจและไว้ใจ มีการพูดกันปากต่อปากในแวดวงสังคมชั้นสูง จน “อ๊อด” มีลูกค้าระดับหัวแถวของประเทศอยู่ในลิสต์ มีเบอร์ตรงรัฐมนตรีหลายคน
อีกด้านในหมู่ “คนทำงาน” ทุกระดับ ตั้งแต่พริตตี้ เด็กดริ๊งค์ เด็กเอนฯ ก็คุ้นเคยกับชื่อเสียงของ “อ๊อด มิยาบิ” ในฉายา “ปาป้าซัง” อันล้อมาจาก “มาม่าซัง” ที่คุ้นหูในวงการค้าเนื้อหนังมังสานั่นเอง โดยคนทำงานต่างอยากเขเาสังกัด “บอสอ๊อด” แทบทั้งสิ้น เพราะรู้ดีว่าดูแลดี ส่งแต่ “ลูกค้าคุณภาพ” ให้
ย้อนเส้นทางของ “อ๊อด มิยาบิ” เริ่มต้นจากการเป็นเชฟร้านอาหารญี่ปุ่นระดับพรีเมียม ทำให้ได้มีโอกาสได้เชื่อมคอนเนคชันกับ “วีวีไอพี” เป็นจำนวนมาก ก่อนจะเปิดร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อ “มิยาบิ” เป็นของตัวเองตั้งในซอยทองหล่อ มีลูกค้าเป็นบรรดาไฮโซ เซเลปบริตี้ เศรษฐีกระเป๋าหนัก ดารานักร้อง นักการเมือง ข้าราชการระดับสูง คนดังทุกวงการต่างแวะเวียนไปเป็นลูกค้าประจำ
ก่อนมี “ทุน” อัดฉีดเข้ามา จนขยับขยาย “มิยาบิ” มาที่ซอยทองหล่อ 25 ในปัจจุบันตรงข้ามกับร้านคริสตัล ที่เปิดในภายหลัง
ย้ายมาได้ไม่นาน “อ๊อด มิยาบิ” ผู้มีวิสัยทัศน์เล็งเห็นลู่ทางทำเงินกับบรรดา “ลูกค้ากระเป๋าหนัก” ที่มาโซ้ย “ปลาดิบ” ที่ร้าน จึงริเริ่มแตกไลน์แบ่งโซนเป็น “มิยาบิ คลับเล้าจน์” ในพื้นที่เดียวกัน โดยมีการบริการสาวสวยสวมชุดกิโมโนร่วมกินดื่มให้บริการในรูปแบบ “เกอิชา” อันโด่งดังของประเทศญี่ปุ่น
แต่ช่วงแรกก็ยังเน้นไปที่ “ลูกค้าชาวญี่ปุ่น” และ “วีวีไอพี” เท่านั้น ด้วยสนนราคาค่าบริการที่คนไทยทั่วไปเอื้อมไม่ถึง
หลังเปิดคลับเลาจน์แห่งแรก มีลูกค้าระดับไฮเอนด์เข้ามาอุดหนุนอย่างคับคั่ง ชื่อเสียงของ “อ๊อด-เกียรติพงษ์” ยิ่งขจรขจายไปไกล ก่อนขายไอเดียสยายปีกทางธุรกิจ “เล้าจน์” เต็มรูปแบบ ให้แก่บรรดา “ลูกค้าวีวีไอพี” ที่มาใช้บริการ จนสามารถระดมทุนก้อนโตหลัก “ร้อยล้าน” โดยมีทั้งเศรษฐีคนไทย นักธุรกิจญี่ปุ่น นายตำรวจ-นายทหารใหญ่ ร่วมลงขัน
เป็นที่มาของ “เอมเมอรัล คลับ ทองหล่อ 13” ก่อนจะขยายมาเป็น “คริสตัล เอ็กคลูซีฟ คลับ ทองหล่อ 25” ที่เปิดกว้างในแขกทุกระดับที่มี “กำลังซื้อ” เข้าใช้บริการ โดยทุกแห่งที่ “อ๊อด” บริหารนั้น เน้นเรื่อง “คุณภาพ” เป็นสำคัญ ทั้งเด็ก และสถานที่ต้อง “สวยหรูดูแพง”
จนพูดได้ว่า “อ๊อด มิยาบิ” ถือเป็น “เบอร์หนึ่ง” ในวงการธุรกิจกลางคืนระดับไฮเอนด์ ก่อนจะมาเกิดเรื่อง “คลัสเตอร์ทองหล่อ” ให้คนด่าขรมเมือง
ทว่า หากเจาะลึกเส้นทางธุรกิจของ “อ๊อด มิยาบิ” ที่ต้องบอกว่า “ไม่ธรรมดา” สามารถต่อยอดจากธุรกิจจาก “ร้านอาหารญี่ปุ่นเล็กๆ” มาเป็น “เจ้าพ่อทองหล่อ” ได้ในเวลาไม่นาน ก็จะเห็นว่า นอกเหนือจากฝีมือแล้ววิสัยทัศน์แล้ว “อ๊อด มิยาบิ” ยังมี “แบ็กดี” หนุนหลังจนขึ้นมาติดลมบนได้อย่างทุกวันนี้
จากการตรวจสอบข้อมูลผู้ถือหุ้น “บริษัทกินซ่า เอ แอนด์ ที จำกัด” พบว่าผู้ถือหุ้นรายใหญ่คือนายเกียรติพงษ์ คำต่าย หรืออ๊อด มิยาบิ มากถึง 44% มูลค่า 1,760,000 บาทและผู้ถือหุ้นคนหนึ่งมีชื่อว่า “นายพันธนะ นุชนารถ” โดยร่วมถือหุ้นด้วย 15% มูลค่า 600,000 บาท
เป็น “พันธนะ นุชนารถ” ที่มีคำหน้านามว่า “พลตำรวจตรี” และปัจจุบันดำรงตำแหน่ง “ผู้บังคับการ กองบังคับการสืบสวนสอบสวน สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง” หรือที่เพื่อนพ้องน้องพี่เรียกขานกันว่า “บิ๊กเม่น” หรือ “เดอะเม่น”
แม้เจ้าตัวยอมรับว่าเป็นคนเดียวกัน แต่ก็ปฏิเสธเสียงดังฟังชัดว่า เป็นผู้ถือหุ้นในส่วนของร้านอาหารญี่ปุ่นเท่านั้นไม่เกี่ยวกับคริสตัลผับที่เกิดเรื่องแต่ประการใด
เป็นที่รู้กันว่า “บิ๊กเม่น-พันธนะ” นายร้อยตำรวจรุ่น 48 (นรต.48) ก็ระดับ “มือทำงานใกล้ชิด” ของ “บิ๊กปั๊ด” พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร.คนปัจจุบัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วง 1-2 ปีหลัง “บิ๊กเม่น” นายตำรวจฝีมือดี ถือว่าเติบโตแบบก้าวกระโดด จาก พ.ต.อ.พันธนะ รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ขึ้นมากินยศ “นายพลตรี” ที่ผู้บังคับการกองบังคับการข่าวกรองยาเสพติด กองบัญชาการตํารวจปราบปรามยาเสพติด (ผบก.ขส.บช.ปส.) เมื่อเดือน มี.ค.63 ก่อนที่อีกไม่ถึงปีจะสไลด์มาเป็น ผบก.สส.สตม. เก้าอี้ที่นายตำรวจหลายคนหมายปอง
โดยตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา “บิ๊กเม่น” ยังถูกดึงตัวไปเป็นหัวหน้าประสานความร่วมมือกับศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม (Anti-Fake News Center) กับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) อีกภารกิจ จนได้รับฉายา ฉายา “มือปราบเฟกนิวส์” เมื่อปลายปี 2563 จากสมาคมผู้สื่อข่าวอาชญากรรม และ “ผบ.ปั๊ด” ก็ยังขอยืมตัวไปทำหน้าที่ชุดเฉพาะกิจที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) หรือ “ตำรวจไซเบอร์” ในช่วงตั้งไข่ด้วย
ทั้งนี้ผลงานของ “บิ๊กเม่น” ในยุค “ผบ.ปั๊ด” หนักไปทางกวาดล้างบ่อนพนันออนไลน์อย่างหนักในช่วงต้น ก่อนที่จะ “รามือ” ไปเฉยๆในระยะหลัง ซึ่งในแวดวงน่าจะรู้คำตอบว่า ทำไม
ดังนั้นการไปขนานนามอาณาจักรของ “อ๊อด” ว่า “ไทยคู่ฟ้าคลับ” น่าจะผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง หากจะใช้ชื่อ “ปทุมวันคลับ” อาจจะตรงตัวมากกว่า เพราะมี “ร่องรอย” ว่าเครือข่ายแบ็กอัพที่สำคัญของ “อาณาจักรมิยาบิ” ส่วนใหญ่เป็น “บิ๊กสีกากี” โดยที่มี “อ๊อด มิยาบิ” เป็นเพียง “ผู้บริหาร” ที่ออกหน้าเป็น “เจ้าของ” หรือเป็นแค่ “ยอดภูเขาน้ำแข็ง” แห่งอาณาจักรคริสตัล-เอเมอรัล-มิยาบิ เท่านั้นโดยที่ใต้อาณาจักรแห่งนี้มี “กลุ่มทุน” ระดับ “บิ๊ก” แฝงตัวอยู่ ทั้งที่ลงขันเป็น “หุ้นจริง” และแบบที่ถือ “หุ้นลม” แลกเปลี่ยนกับการปกป้องอาณาจักรให้
ไม่แปลกที่คลับเล้าจน์หรูในอาณาจักรของ “อ๊อด” จะไม่มีใบอนุญาตประกอบธุรกิจสถานบันเทิง ทั้งที่เปิดเกินเวลามาหลายปี ด้วยมี “แบ็คระดับบิ๊ก” จนตำรวจไม่กล้าแตะ
มีเส้นเรื่องไม่ต่างจากกรณีบ่อนพนันภาคตะวันออก ที่ก็เป็นคลัสเตอร์แพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 มาก่อน ครั้งนั้นถูกขุดคุ้ยวงจรธุรกิจสีเทา-ดำอยู่นานหลายเดือน ตำรวจในยุค “บิ๊กปั๊ด” ก็ตั้งท่า “รำมวย” อิดออด ขนาดบุกรวบตัว “หลงจู๊ชาย” สมชาย จุติกิตติ์เดชา นายบ่อนระยอง ก็ป้อนข้อหาเบาหวิวแล้วปล่อยไปค้านสายตาประชาชน กว่าจะไปจับมาดำเนินคดีข้อหาหนักก็เกือบจะสายเกินแกงแล้ว จนถูกวิจารณ์หึ่งว่า ที่กล้าๆกลัวๆเล่นงาน “บ่อนระยอง” เพราะเชื่อมโยงไปถึง “บิ๊กสีกากี” สาย “ฉลามตาฟาง” หรือไม่อย่างไร
มาหนนี้เจอกรณี “เลานจ์เถื่อน” ปล่อยซูเปอร์สเปรดเดอร์แพร่เชื้อไปทั่ว ทำเอาประเทศเสียหายมากกว่าที่ผ่านมา แค่ “ตัดตอน” จับตัวเล็กตัวน้อย 2 ผู้จัดการร้านมาลงโทษคงไม่จบ
หรือจะ “ตัดตอน” แค่ “อ๊อด มิยาบิ” ก็คงไม่พอ
เพราะตัวจริงเสียงจริงของอาณาจักรคริสตัล “ปทุมวันคลับ” ไม่น่าแค่ “อ๊อด มิยาบิ” แต่จะเป็น “บิ๊ก” ไหนนั้นน่าสนใจกว่า
อย่าปล่อยให้เข้าอิหรอบ “ลูบหน้าปะจมูก” ยื้อเวลาก่อนเชือด “แพะ” หาตัวละครใหม่มาแสดงแทน ให้ “คนนินทา ประชาชนดูถูก”
เรื่องนี้ คนเขารู้กันทั้งบ้านทั้งเมือง เพราะฉะนั้นมีหรือ “บิ๊กปั๊ด” พล.ต.อ.สุวํฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้นำอาณาจักรปทุมวัน จะไม่ล่วงรู้ ดังนั้น อย่าทำเป็นทองไม่รู้ร้อน.