ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - เรียกว่า “เละตุ้มเป๊ะ!” ทีเดียวสำหรับประเทศไทยกับการแพร่ระบาดของ “โควิด-19” ใน “ระลอกที่ 3” ซึ่งชัดเจนว่า “ต้นตอ” มาจาก “สถานบันเทิง” กลางคืน ประเภท “ผับ คลับ บาร์” โดยเฉพาะคลับชื่อดังอย่าง “คริสตัล คลับ” ที่ทำให้เกิดซูเปอร์สเปรดเดอร์ “คลัสเตอร์ทองหล่อ” พบผู้ติดเชื้อพุ่งพรวดนับร้อยรายต่อวัน ยังไม่นับรวมกลุ่มกักตัวสังเกตอาการอีกไม่รู้เท่าไหร่ มีทั้ง พริตตี้ นักเที่ยว นักการเมือง ตำรวจ นักร้อง เซเลบ อินฟลูเอ็นเซอร์ ฯลฯ
ในการระบาด “ระลอกแรก” เชื้อไวรัสมรณะมาจาก “ต่างประเทศ” และระบาดในประเทศไทยผ่าน “สถานบันเทิง” ย่านทองหล่อ และ “สนามมวย” ซึ่งกว่าที่จะควบคุมสถานการณ์ได้ รัฐบาลก็ต้องประกาศใช้มาตรการรุนแรงขั้นสุดคือ “ล็อกดาวน์ประเทศ” เพื่อหยุดยั้งการแพร่ระบาด
ขณะที่ใน “ระลอกที่สอง” คลัสเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดและระบาดมากที่สุดก็คือ “แรงงานต่างชาติ” ที่เข้ามาทำมาหากิน โดย “สมุทรสาคร” หรือ “มหาชัย” รวมถึง “บ่อนการพนัน” โดยเฉพาะบ่อนของ “หลงจู๊สมชาย” แห่งจังหวัดระยอง ผู้ที่มีนายตำรวจใหญ่ให้การหนุนหลัง
ส่วน “ระลอกที่ 3” สถานการณ์ก็วนกลับมาเหมือนเดิมคือ “สถานบันเทิง” ซึ่งจะใช้คำว่า “วงจรอุบาทว์” สำหรับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศไทยก็คงไม่เกินเลยไปจากความเป็นจริงเท่าใดนัก เพราะรู้ทั้งๆ รู้ว่า สถานที่ดังกล่าวมีความสุ่มเสี่ยงที่จะเป็น “ซูเปอร์เสปรดเดอร์” แต่ก็ยังมีการปล่อยปละละเลยให้มีการเข้าไปใช้บริการโดยที่ไม่ได้เคร่งครัดในเรื่อง Social Distancing แม้ว่าจะมีคำสั่งห้าม “เต้น” หรือให้ใส่หน้ากาก เช็กอินไทยชนะ-หมอชนะ แต่ก็รู้ๆ กันอยู่ว่า ไม่มีผลในทางปฏิบัติ แถมยังเปิดเกินกว่าเวลาที่อนุญาตไว้อีกต่างหาก
และจะว่าไปนอกจากจะต้องโทษบรรดา “นักเที่ยว” ที่ไม่มีความรับผิดชอบต่อสังคมแล้ว คงต้องโทษ “เจ้าหน้าที่ตำรวจ” ที่เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ยิ่งในพื้นที่ “ทองหล่อ” ด้วยแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ตัวอย่างอันเป็นความจริงเชิงประจักษ์ก็คือมี ผลการตรวจตำรวจ สน.ทองหล่อ ทั้ง 184 นาย พบว่ามีผู้ติดเชื้อ 9 นาย จนต้องสั่งให้ตำรวจที่ใกล้ชิด 22 นาย กักตัวเป็นเวลา 14 วันเพื่อเฝ้าดูอาการ ในจำนวนนี้ ตำรวจดีๆ ที่ไปทำหน้าที่ตรวจตราตามปกติคงมี แต่ประเภทเข้าไปเที่ยว เข้าไปกินฟรี หรือตามนายเข้าไปเที่ยว ก็น่าจะไม่น้อยเช่นกัน
ยิ่งไปกว่านั้น “คลัสเตอร์ทองหล่อ” ยังมีอัตราการแพร่กระจายรวดเร็วกว่ารอบที่ผ่านมา โดยสาเหตุที่ “คลัสเตอร์ทองหล่อ” แพร่กระจายรวดเร็วกว่าครั้งที่ผ่านๆ มา ประการแรก แพทย์ยืนยันพบไวรัสโควิด – 19 เป็นเชื้อ “สายพันธุ์อังกฤษ” ซึ่งก่อให้เกิดการติดเชื้อง่ายขึ้น 1.7 เท่า ประการต่อมา ผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่แสดงอาการ มีแหล่งที่มาหลากหลายไทม์ไลน์สะเปะสะปะ แถมจำนวนหนึ่งตระเวณกินดื่มเที่ยวไปเรื่อยๆ พบปะเพื่อนฝูงผู้คนจำนวนมาก ทำให้การแพร่ระบาดระลอก 3 ลุกลามแล้วไปกว่า 18 จังหวัด
โดยยอดผู้ติดเชื้อ โควิด-19 ระลอก 3 ที่เชื่อมโยงกับ “คลัสเตอร์ทองหล่อ” ยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สรุปผลการตรวจเชิงรุกสถานบันเทิงย่านทองหล่อ อ้างอิงข้อมูลระหว่างวันที่ 3 - 6 เม.ย. 2564 ผู้เข้ารับการตรวจคัดกรองรวมทั้งสิ้น 2,230 ราย พบเชื้อ 267 ราย ไม่พบเชื้อ 912 ราย อยู่ระหว่างรอผล จำนวน 1,051 ราย
ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีโครงการต่างๆ เพื่อหยุดยั้งและแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-19 มากมาย อาทิ “เราชนะ ไทยชนะ หมอชนะ” แต่วันนี้ดูเหมือนคำว่า “เลานจ์ชนะ” ได้กลายเป็นคำที่คนไทยกล่าวขานกันทั้งประเทศ เพราะต้นตอสำคัญของการระบาดครั้งนี้ คือ “คริสตัล คลับ” เอ็กซ์คลูซีฟคลับหรือเลานจ์สุดหรู ย่านทองหล่อ ซึ่งสะท้อนความเละเทะที่ของหน่วยงานภาครัฐและคนไทยที่ไร้ความรับผิดชอบได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญคือ “เลานจ์ชนะ” ยังเป็นคำเหน็บแนมที่มาพร้อมๆ กับประโยคที่บาดลึกว่า “โควิดติดคนรวย ซวยคนจน” อีกต่างหาก
นักการเมือง ดารา คนดัง เซเลบฯ ติดกันเพียบ
สำหรับการแพร่ระบาดใน “ระลอกที่ 3” นี้ ดูเหมือนว่าโควิดล็อกเป้าคนรวยมีหน้ามีตาในวงสังคม เริ่มตั้งแต่แวดวงการเมือง “ศักดิ์สยาม ชิดชอบ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ผู้มาพร้อมกระแสข่าวลือว่าอาจเป็น “รมว. เที่ยวเลานจ์ จนติดโควิด” ซึ่งตัวปฏิเสธเสียงแข็ง ยืนยันอ้างติดมาจากเจ้าหน้าที่หน้าห้อง “ตรีนุช เทียนทอง” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการออกมาประกาศขอกักตัวเป็นคนแรกๆ เพราะมีคนติดเชื้อโควิดมาอวยพรกับตำแหน่งรัฐมนตรี หรือ “วิษณุ เครืองาม” รองนายกฯ ที่ร่วมประชุมกับ รมว.ตรีนุช ได้ประกาศกักตัวด้วย ยังมี “อนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ตรวจเชื้อและกักตัวทันทีหลังมีประวัติร่วมงานกับ “เสี่ยโอ๋ - ศักดิ์สยาม”
รวมทั้ง “อนุชา นาคาศัย” รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี “พิพัฒน์ รัชกิจประการ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา “เฉลิมชัย ศรีอ่อน” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ “คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ “น.ส.กนกวรรณ วิลาวัลย์” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ “มนัญญา ไทยเศรษฐ์” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ “วีระศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม “อธิรัฐ รัตนเศรษฐ” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ที่ประกาศกักตัวไปตามๆ กัน
เรียกได้ว่า โควิด ระลอก 3 ทำเอา “ครม.ประยุทธ์” ระส่ำกันถ้วนหน้า
นอกจากนั้นยังมี “ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่” ติดกันอีกหลายคน เช่น “พลโทสรรเสริญ แก้วกำเนิด” อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ นาย “นิรุฒ มณีพันธ์” ผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย ติดโควิด-19 หลังร่วมงานกับ “รัฐมนตรีศักดิ์สยาม” เป็นต้น
ขณะที่ในแวดวงบังเทิง ปรากฎรายชื่อคนดังติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยทั้งหมดเกี่ยวข้องกับ “คลัสเตอร์ทองหล่อ” อาทิ “แสตมป์ - อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข” นักร้องดัง และ “ปีโป้ - ณัชพัณณ์ ปรมะเจริญโรจน์” นักแสดงวัยรุ่น ซึ่งทั้งคู่ไปร่วมงานเดียวกันย่านทองหล่อ ตามด้วย เพชรจ้า - วิเชียร กุศลมโนมัย ดีเจดัง, เวย์ ไทเทเนียม แร็ปเปอร์ดัง, แบงค์ - ธิติ มหาโยธารักษ์ นักแสดงวัยรุ่น ชื่อดัง รวมถึงมีคนในแวดวงกีฬา อาทิ “บดินทร์ อิสสระ” นักแบดมินตันทีมชาติ และ “ทรงพล อนุกฤตยาวรรณ” อดีตนักแบดมินตัน ซึ่งเหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ยังมีศิลปิน ดารา ไฮโซ อินฟูเอ็นเซอร์ ฯลฯ เป็นจำนวนมากอยู่ระหว่างกักตัว รอตรวจหาเชื้อ ให้ลุ้นกันว่ายอดผู้ป่วยระลอก 3 จะพุ่งไปแตะที่เท่าไหร่
แต่ที่กำลังถูกจับตาไม่แพ้คลัสเตอร์ทองหล่อ คือ งานปาร์ตี้ “คัลเลอร์บีชไซต์” จ.ภูเก็ต โยงคลัสเตอร์สถานบันเทิงทองหล่อ ตรวจพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่แล้ว 8 ราย หวั่นใจว่าอาจเป็นคลัสเตอร์ใหม่ มีผู้ร่วมงานโดยเฉพาะคนวงการบันเทิงเป็นจำนวนมาก รวมถึง “คัลเลอร์” ที่ภูเก็ต “วอร์มอัพ” ผับดังของเชียงใหม่ ก็เป็นแหล่งที่มีผู้ติดเชื้อถ้วนทั่ว เรียกว่า “คลัสเตอร์สถานบันเทิง” เป็นซูเปอร์สเปรดเดอร์ สร้างปัญหาให้สังคมอย่างใหญ่หลวง
ทั้งนี้ ทั้งนั้นความรุนแรงของเชื้อโควิดในคลัสเตอร์สถานบันเทิง มาจากพฤติกรรมคนที่สอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน นักเที่ยวเที่ยวกันหลายร้านต่อคืน ขณะที่พริตตี้ พนักงานต้อนรับ รับงานมากกว่า 1 ร้าน ทำให้เกิดการส่งออกและแพร่กระจายเชื้อ รวมไปถึงความแออัดของสถานที่ พฤติกรรมการใช้บริการเสพบันเทิง ไม่ว่าจะเป็นการร้องเพลง หรือดื่มแอลกอฮอล์ ย่อมเกิดความประมาท ไม่ป้องกันตนเอง
อย่างไรก็ตาม การระบาดระลอกใหม่ “คลัสเตอร์ทองหล่อ” ที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ชุดเล็ก ณ วันที่ 8 เม.ย. 2564 มีมติให้คงระดับพื้นที่สถานการณ์ตามมติเดิม “ยังไม่มีพื้นที่ควบคุมสุงสุด หรือ พื้นที่สีแดง” โดยให้อำนาจผู้ว่าราชการจังหวัด หรือผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เป็นผู้กำหนดมาตรการที่เหมาะสมในการเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโควิด-19 ก่อนที่จะมีมติอนุมัติตามที่ สธ.เสนอเมื่อวันที่ 8 เมษายน 2564 ให้ปิด “สถานบันเทิง” ทุกแห่งใน 41 จังหวัดอย่างน้อย 14 วัน ประกอบด้วย กรุงเทพฯ กาญจนบุรี ขอนแก่น จันทบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ชัยภูมิ ชุมพร เชียงราย เชียงใหม่ ตาก นครนายก นครปฐม นครราชสีมา นครศรีธรรมราช นนทบุรี นราธิวาส บุรีรัมย์ ปทุมธานี ประจวบคีรีขันธ์ ปราจีนบุรี เพชรบุรี เพชรบูรณ์ ภูเก็ต ยะลา ระนอง ระยอง ราชบุรี ลพบุรี ลำปาง เลย สงขลา สมุทรปราการ สมุทรสงคราม สมุทรสาคร สระแก้ว สระบุรี สุพรรณบุรี สุราษฎร์ธานี อยุธยา และอุดรธานี
“นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์” อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่าจุดเสี่ยงแพร่ระบาดโรคที่เห็นชัดคือ สถานบันเทิง ผับ บาร์ คาราโอเกะ มีการเต้นรำ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีความแออัด พื้นที่ที่มีการระบาดจำเป็นจะต้องปิด ส่วนร้านอาหารมีความเสี่ยงแตกต่างกัน หากอยู่กลางแจ้ง เว้นระยะห่าง ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะมีความเสี่ยงน้อย แต่หากเป็นสถานที่ปิด อากาศไม่ถ่ายเท คนแออัด ดื่มแอลกอฮอล์ คุยเสียงดัง จะมีความเสี่ยงสูง
ทั้งนี้ ข้อเสนอปรับพื้นที่สีแดง 5 จังหวัด ศบค. ชุดเล็กไม่ได้ไม่เห็นชอบ แต่ให้ใช้อำนาจตามมาตรา 9 พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 โดยให้ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข และศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 กระทรวงมหาดไทย ร่วมกันพิจารณาประเมินกำหนดพื้นที่ใหม่ตามสถานการณ์เพิ่มเติม ซึ่งจากการประชุมเบื้องต้นเห็นตรงกันว่าจะปรับพื้นที่สีใหม่ ซึ่งอาจต้องปรับเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากสถานการณ์กระจายเชื้อมีมากขึ้น โดยจะมีมาตรการที่เหมาะสมในสถานบันเทิง ผับบาร์ คาราโอเกะ และร้านอาหาร และจะเสนอ ศบค. ชุดเล็ก ต่อไป
อย่างไรก็ตาม กระทรวงสาธารณสุขแสดงความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การระบาดในกลุ่มผู้ที่เกี่ยวข้องกับสถานบันเทิง ทั้งพนักงาน นักเที่ยว นักดนตรี ได้กระจายไปหลายจังหวัด ซึ่งพบผู้ป่วยมีเชื้อสายพันธุ์อังกฤษ ทำให้การติดเชื้อง่ายขึ้น 1.7 เท่า ยิ่งในช่วงเทศกาลสงกรานต์จะมีการเดินทางข้ามจังหวัดมากขึ้น หากไม่มีมาตรการป้องกันที่มีประสิทธิภาพที่ดี อาจจะเพิ่มผู้ติดเชื้อมากขึ้น 1.3 - 100 เท่า
ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่าจำนวนผู้ติดเชื้อจากคลัสเตอร์สถานบันเทิงในครั้งนี้ มากกว่าคลัสเตอร์สนามมวยระลอกแรกที่เกิดขึ้นปีที่แล้วถึง 10 เท่า แต่มาตรการของปีที่แล้ว มีล็อกดาวน์ เคอร์ฟิว ห้ามขายสุรา เลื่อนสงกรานต์ เข้มกว่ากัน 10 เท่า ดังนั้น เชื้อมีโอกาสแพร่กระจายเพิ่มอีก 100 เท่า เมื่อเป็นสายพันธุ์อังกฤษก็ยิ่งทวีคูณเป็น 170 เท่า ช่วงสงกรานต์ที่มีการเดินทาง คนหนุ่มสาวติดเชื้อส่วนใหญ่อาการน้อย แต่ปริมาณไวรัสมาก หากเดินทางไปรดน้ำขอพรผู้ใหญ่ อาจนำเชื้อไปสู่ผู้สูงอายุ ซึ่งโอกาสป่วยรุนแรงและเสียชีวิตได้สูง
สำหรับท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประกาศ “ไม่ล็อกดาวน์” พูดชัดเจนว่า “อะไรจะเกิด ก็ต้องเกิด” พร้อมกันนี้รัฐบาลกำลังหาแนวทางการแก้ไขปัญหาให้เกิดความสมดุลระหว่างเรื่องสุขภาพกับเรื่องเศรษฐกิจ
“ผมไม่อยากสั่งปิดทั่วประเทศ เพราะผมเข้าใจ แต่ทุกคนจะต้องเรียนรู้ดูแลตัวเอง และครอบครัวอย่างไร ความสนุกสนาน ความบันเทิง ขอทุกคนระงับยับยั้งและชั่งใจด้วย เพราะผลมันกระทบต่อครอบครัวตัวเองและสังคม” ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าว
สายพันธุ์อังกฤษน่ากลัว
แต่แอฟริกา-บราซิลสะพรึงกว่าเยอะ
อย่างไรก็ดี มีการการตั้งข้อสังเกตุสถานการณ์การแพร่ระบาดของ “โควิด -19 ระลอก 3” ที่กำลังแพร่กระจายในวงกว้าง ณ เวลานี้ เป็นความล้าช้าเรื่องการบริหารวัคซีนโควิดของรัฐบาล ตลอดจนประเด็นการผูกขาดวัคซีนโดยรัฐ ติดขัดเรื่องขั้นตอนส่งผลให้ภาคเอกชนไปต่อไม่ได้
ข้อมูลจาก The New York Times และ Our world in data ระบุสถานการณ์การฉีดวัคซีนในทั่วโลก อิสราเอล เป็นประเทศที่มีการเปอร์เซ็นต์การฉีดวัคซีนสูงสุดถึง 114% โดยแบ่งเป็นผู้ฉีดวัคซีนเข็มแรก 59% และเข็มที่สอง 55% รองลงมาคือ เซเชลส์ เปอร์เซ็นต์การฉีดวัคซีน 105% แบ่งเป็น เข็มแรก 66% และเข็มที่สองอีก 39% ส่วนอันดับสามคือ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เปอร์เซ็นต์การฉีดวัคซีน 89%
ส่วนสถานการณ์ในอาเซียน สิงคโปร์ ฉีดวัคซีนสูงสุดคิดเป็น 27% ฉีดเข็มแรก 19% ฉีดเข็มที่สอง 8.3%, อินโดนีเซีย คิดเป็น 4.7% ฉีดเข็มแรก 3.2% ฉีดเข็มที่สอง 1.5%, มาเลเซีย คิดเป็น 2.5% ฉีดเข็มแรก 1.6% ฉีดเข็มที่สอง 0.9% ขณะที่ ไทย คิดเป็น 0.4% ฉีดเข็มแรก 0.4% ฉีดเข็มที่สอง 0.1% อันดับที่ 8 จากทั้งหมด 10 ประเทศในอาเซียน และอยู่อันดับที่ 82 ของโลก
ทั้งนี้ ตัวเลขจากกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยจำนวนการฉีดวัคซีนโควิด - 19 ทั้งของซิโนแวค แอสตร้าเซนเนก้า ตั้งแต่วันที่ 28 กพ. - 6 เม.ย. 2564 ฉีดแล้ว 323,989 โดส เป็นเข็มแรก 274,354 ราย และเข็มที่สอง 49,635 ราย
“หากต้องการยุติโรคได้ ต้องฉีดวัคซีนให้ประชากรทั่วโลกให้มีภูมิคุ้มกัน อย่างน้อยร้อยละ 70 หรือ จำนวน 5,000 ล้านคน หรือต้องได้รับวัคซีนไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้านโดส จากอัตราการฉีดวัคซีนทั่วโลก” ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ ระบุ
กระนั้นก็ดีต้องบอกว่า “วัคซีน” ไม่ได้ป้องกันการติดเชื้อ 100% เพียงแต่ลดความรุนแรงของการป่วยและผู้ที่ได้รับวัคซีนแล้วก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ติดโควิด-19 อีก เพราะฉะนั้นมาตรการ Social Distancing จึงยังคงมีความจำเป็น
กล่าวสำหรับ “สายพันธุ์อังกฤษ” ที่แพร่ระบาดอย่างหนักในระลอกที่ 3 นั้นถือเป็น 1 ใน 3 สายพันธุ์ที่กระทรวงสาธารณสุขเฝ้าจับตามาอย่างต่อเนื่อง โดยอีก 2 สายพันธุ์คือ คือสายพันธุ์แอฟริกาใต้ และสายพันธุ์บราซิล แต่ในที่สุดก็เอาไม่อยู่เพราะเวลานี้สายพันธ์อังกฤษแพร่ระบาดในประเทศไทยเป็นวงกว้างเรียบร้อยแล้ว ส่วนอีก 2 สายพันธุ์นั้นยังคงต้องติดตามอย่างใกล้ชิดเพราะมีความน่าสะพรึงกลัวมากว่า โดยสายพันธุ์แอฟริกาใต้นั้น ทำให้ไวรัสจับตัวเซลล์ได้ดีขึ้น ติดเชื้อง่ายขึ้น อาจจะสามารถหนีภูมิคุ้มกันได้ดีขึ้น อาจจะมีผลต่อประสิทธิภาพวัคซีนลดลง โดยมีการทดสอบในหลายประเทศก็พบว่าประสิทธิภาพวัคซีนลดลง ขณะที่สายพันธุ์บราซิลพบว่า พลาสมาหรือระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์จับกับไวรัสเหล่านี้ได้น้อยลง เมื่อเทียบกับไวรัสสายพันธุ์ที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งเหล่านี้
คงไม่ต้องจินตนาการกระมังว่า ถ้าอีก 2 สายพันธุ์หลุดเข้าไทยมาได้ สถานการณ์จะหนักหนาสาหัสแค่ไหน
ส่วนเรื่องการนำเข้าวัคซีนโดย “เอกชน” ซึ่งมีกระแสเรียกร้องกันมากนั้น “นพ.นคร เปรมศรี” ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติอธิบายเอาไว้ว่า “1. วัคซีนต้องมีการขออนุญาตขึ้นทะเบียนวัคซีนก่อนการใช้ หมายความว่า ต้องให้ผู้ขออนุญาตเป็นผู้ถือทะเบียน และรับผิดชอบการจำหน่ายวัคซีนในประเทศ บางบริษัทมีผู้แทนในไทย ก็จะดำเนินการโดยบริษัทนั้นเช่น ไฟเซอร์ แอสตร้า บริษัท จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน(JJ) ถ้าบรรดาบริษัทลูกในไทยไม่นำวัคซีนมาขึ้นทะเบียน ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ไม่มีคนอื่นมาทำให้ได้ ข้อนี้ไม่ได้เป็นข้อจำกัดภาครัฐแต่อย่างใด2. ผู้ผลิตอื่นที่ไม่มีบริษัทลูกในไทย ผู้ผลิตรายนั้นต้องตั้ง Authorized Representative ขึ้นมา และให้ยื่นเอกสาร (ซึ่งเป็น Highly Confidential Document) เพื่อขอขึ้นทะเบียน เช่น กรณี Sinovac ได้มอบให้ องค์การเภสัช Moderna ได้มอบให้ซิลลิคฟาร์ม่า เป็นผู้แทน ดังนั้น เอกชนที่จะขอนำเข้าวัคซีนอื่นนอกจากนี้มาขึ้นทะเบียนต้องไปติดต่อกับผู้ผลิตเอง และไม่ได้ปิดกั้น 3. หลายบริษัทผู้ผลิตมีนโยบายขายให้แก่ภาครัฐเท่านั้นเช่น Pfizer Astra JJ แต่ถ้าจะเปลี่ยนนโยบายทีหลัง ก็ค่อยมาดำเนินการไป เป็นเรื่องของแต่ละบริษัทเอง รัฐไม่ได้บังคับ เหตุผลหนึ่งที่เอกชนจะขายให้เฉพาะรัฐ เพราะเป็นวัคซีนใหม่ในช่วงการระบาด ผู้ผลิตวัคซีนทุกรายให้รัฐยอมรับเงื่อนไข No Fault Compensation คือห้ามไม่ให้ผู้รับวัคซีนฟ้องเรียกค่าเสียหายจากผู้ผลิตวัคซีนกรณีเกิดผลข้างเคียงรุนแรง 4. วัคซีนที่มีในเวลานี้มีจำนวนจำกัด ทุกเจ้าที่เราได้ยินชื่อ กำหนดส่งมอบวัคซีนได้เร็วที่สุดคือไตรมาสสามของปีนี้ และทยอยส่งจำนวนไม่มาก ยกเว้น Sinovac ที่สัญญาให้ได้ตั้งแต่กุมภาพันธ์แต่ทยอยมอบมาทีละนิด แอสตร้าเซนเนก้ากำหนดการส่งมอบได้มิถุนายน 5. กลุ่ม รพ.เอกชน ที่จะมารวมตัวเรียกร้องให้เปิด ได้เชิญมาอธิบายแล้วว่าไม่ได้ปิดกั้น อธิบายข้างต้นจนเข้าใจ แต่ไม่ออกมาพูดว่าตัวเองเข้าใจผิดคิดว่าจะหาซื้อได้โดยทั่วไป แต่รัฐปิดกั้น คำพูดนี้ ความเห็นแบบนี้จึงยังมีอยู่ตลอด6. เอกชนที่โฆษณาให้จองวัคซีนโดยที่ไม่มีวัคซีนในมือ ถือว่าผิดกฏหมายการโฆษณายา พอโดนปรับ ยอมรับผิด แต่ก็ไม่ออกมาแถลงว่าตัวเองทำผิด ปล่อยให้กลายเป็นความเข้าใจผิดว่ารัฐปิดกั้น”
เปิดเบื้องหลัง “คริสตัล ทองหล่อ”
เลาจน์ระดับ VVIP ที่ไม่ธรรมดา
“คลัสเตอร์ทองหล่อ” ต้นตอสำคัญของการแพร่ระบาดระดับ “ซูเปอร์เสปรดเดอร์” ปรากฎชื่อสถานบันเทิงหลายแห่ง แต่จัดจ้านเส้นใหญ่ที่สุดในย่านนี้ต้องยกให้ “คริสตัล คลับ” ซึ่งว่ากันว่าเป็นอัครสถานบันเทิงใหญ่ใจกลางกรุง เป็นแหล่งดึงดูดกลุ่มลูกค้าเกรดพรีเมียม ไฮโซ นักธุรกิจ เจ้าของกิจการ รวยระดับพันล้านหมื่นล้าน ตามกระแสข่าวลือแม้แต่คนใหญ่คนโต ระดับรัฐมนตรีก็มาเที่ยวที่นี้ด้วย โดยเฉพาะหลังจาก “น้องฟ้าใส แสนดี” พีอาร์สาวดาวดังของ “คริสตัล คลับ” ออกมาโพสต์ผลการตรวจหาเชื้อโควิดผ่านโซเชียลฯ ยืนยันว่า ตัวเองติดเชื้อโควิด พร้อมกับเปิดไทม์ไลน์เที่ยว 3 ผับดัง ย่านทองหล่อ – สีลม - รัชดาฯ และขอให้บุคคลที่อยู่ใกล้หรือสัมผัสให้รีบไปตรวจเชื้อและเข้ารับการรักษา
จากนั้นได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการว่า “พริตตี้สาวสวย” แห่ง “คริสตัล คลับ” อีกหลายสิบราย ล้วนแล้วแต่ติดเชื้อโควิด-19 งานนี้ยิ่งทำเอาหนุ่มใหญ่หนุ่มน้อยที่มีประวัติสัมผัสใกล้ชิดพริตตี้ดาวดังดาวเด่นใจตุ่มๆ ต่อมๆ กันเป็นแถว
ก็ไม่น่าแปลกใจว่า ทำไมคนดัง คนรวย หรือคนใหญ่คนโตถึงแห่แหนไปเที่ยว “คริสตัล คลับ” เอาแค่ ภาพ “น้องฟ้าใส” คนสวยที่ปราฏตามสื่อต่างๆ สะท้อนให้เห็นถึง “ความไม่ธรรมดา” ของ Exclusive Club แห่งนี้แล้ว ยิ่งเมื่อตรวจค้นข้อมูลและเพจเฟซบุ๊กของคริสตัล คลับก็ยิ่งต้องใช้คำว่า “ตื่นตาตื่นใจ” ด้วยมีภาพสาวงามสวยหยาดเยิ้มทำงานอยู่ภายในจำนวนมาก
จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า จุดเด่นสำคัญของ “คริสตัล คลับ” ก็คือบรรดาสาวสวยเหล่านี้นี่แหละ เพราะเป็นแรงดึงดูดให้บรรดา “นักเที่ยวสาย EN” ในทุกวงการนิยมมาเที่ยวกันเป็นประจำพราะเป็นแหล่งรวม “พริตตี้”, “โคโยตี้” สาวสวยเซ็กซี่จำนวนมาก ก็จะไม่ให้เต็มไปด้วยสาวสวยได้อย่างไร เพราะค่าตอบแทนนั้น “สูง” ยิ่งนัก ไม่นับดื่ม ดริงก์ละ 300 - 340 บาท
ดูได้จากข้อมูลรับสมัครงาน จากแฟนเพจ “ร้านคริสตัล ทองหล่อ Crystal Thonglor” ที่เชิญชวนเอาไว้หลายต่อหลายข้อความ อาทิ “งานพริตตี้ผับหรูผับน่าเที่ยวสุดในกรุงเทพ ย่านทองหล่อ25 รับสมัครสาวสวย Pr / Coyote / Pretty รายได้หลักแสนต่อเดือน คลับหรูไฮโซ #เอนเตอร์เทนเพื่อนเที่ยว งานสนุกเน้นเล่นเกมส์ ดื่ม เป็นเพื่อนลูกค้า งานไม่เสียหาย ไม่มีขายบริการ รับประกันเรื่องเงิน” หรือ “ผับหรูอันดับ1โซนทองหล่อ 25 รับน้องๆสาวสวยไม่มีประสบการณ์ก็ทำงานได้ รายได้วันละ 4,000-10,000 บาท ทำงานวันไหนก็ได้ เบิกเงินได้ตลอดไม่ต้องรอจบแทรค”
ดังนั้น ย่อมแน่นอนว่า ไม่ใช่คนธรรมดาประเภท “ตาสีตาสา” ที่จะเดินเข้าไปในคลับแห่งนี้ได้ เพราะถ้าระดับหรูซื้อความสะดวกสบายต้องจ่ายค่าสมาชิก หรือ Member ในราคาเริ่มต้น 20,000 บาท ซึ่งในจำนวนนี้ก็มีสิทธิพิเศษในเรื่องอาหาร เครื่องดื่ม ห้องวีไอพี หรือ ถ้าขาจรไม่ได้เป็นสมาชิก ก็จะมีราคาห้อง VIP หลายราคา ตั้งแต่ 2,500 - 4,500 บาท เป็นอย่างน้อยที่จะต้องจ่าย
แถมงานนี้ ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตเจ้าพ่ออ่างทองคำ โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก ChuvitKamolvisit ออกมาแฉหมดเปลือก เกี่ยวกับ “คริสตัลคลับ” หรือจะเรียกว่า “ไทยคู่ฟ้าคลับ” ก็เข้าท่าอยู่ไม่น้อย เพราะมีทั้งระดับ รัฐมนตรี นักการเมือง ส.ส. ฝั่งรัฐบาล ทีมงาน ไปซ่องสุมจับก๊วนกับนักธุรกิจใหญ่ในห้อง VVIP ที่ลี้ลับหลบสายตา คุยโครงการพันล้านหมื่นล้านอวดเด็ก ต่อไปหากกลับมาเปิดอีก คงมีรอบ 4 รอบ 5
ผู้คร่ำหวอดในธุรกิจสีเทายังเล่าถึงพัฒนาการผับ บาร์ เลาจน์ บ่อน ปัจจุบันรวมกันเป็น One Stop Service เฟื่องฟูทั้งในกรุงเทพฯ และหัวเมืองต่างจังหวัด เนื่องจาก
“1. ใบอนุญาตไม่ต้องมี แต่เคลียร์ถึงเป็นเปิดได้ ทั้งเต้น ทั้งโชว์ ทั้งดื่ม ทั้งดม ทั้งเล่น มีทั้งโซนผับ โซนห้องวีไอพี โซนคาราโอเกะลามไปจนถึงร้านอาหารญี่ปุ่น เปิดทั้งสองฝั่งเด็กเดินข้ามไปมากันครื้นเครง ต้องที่คริสตัลคลับเท่านั้น ส่วนอีกที่กระซิบค่อยๆ แถวรัชดา 2. แขกไปคืนหนึ่งหลายร้อยคน ศุกร์-เสาร์ร่วมพันคน ตั้งแต่วัยรุ่น วัยกลางคน ไปยันวัยดึกที่ยังคึกอยู่ หากเข้าห้องสูท เช็คบิลมามีไม่ต่ำกว่าแสน3. ขยายกิจการใหญ่โต อีกสาขาชื่อ “เอ็มเมอรัล” แถวทองหล่อเหมือนกัน คนใหญ่คนโตไปคลายเครียดคุยกันเรื่องสัมปทาน ทั้งทหาร ตำรวจ หุ้นส่วนล้วนเส้นใหญ่มั๊กมากก
“เรื่องทำมาหากินไม่ได้ว่าอะไร แต่การควบคุมไม่มี โชว์แค่เครื่องวัดอุณหภูมิ พอเหยียบเข้าไปไม่มี Social Distancingไม่มีการเว้นระยะห่าง เพราะมัวแต่นัวเนียกับเด็ก หน้ากากอนามัยไม่มีใครใส่ เดี๋ยวดูหน้ากันไม่ชัด อย่างนี้ไม่ใช่แค่การ์ดตก แต่การ์ดร่วงเพราะถูกเงินสอย”
ห้อง VVIP ที่อดีตเจ้าพ่ออ่างเล่าไว้นั้น ถือเป็น “โซนพิเศษ” ที่จัดไว้สำหรับบรรดาลูกค้ากระเป๋าหนักโดยเฉพาะ ซึ่งอัตราค่าใช้บริการเห็นแล้วต้องร้อง “โอ้โห” กันเลยมีเดียพราะเช็กบิลออกมาที่อยู่ที่ระดับ 200,000-300,000 บาท
ที่สำคัญคือ ห้อง VVIP ในลักษณะนั้น ไม่ได้มีอยู่แค่ห้องสองห้อง แต่มีนับเป็นร้อยๆ ห้อง เพราะฉะนั้น ไม่ต้องพูดถึงว่า ในแต่ละวันจะมีเงินทองหมุนเวียนเข้ากระเป๋า “เจ้าของตัวจริง” สักกี่มากน้อย เอาแค่ระดับ 10 ล้านบาทต่อวันยังจะน้อยไปเสียด้วยซ้ำ
ด้าน “สันทนะ ประยูรรัตน์” อดีตนายตำรวจสันติบาล ที่คลุกคลีกับแวดวงกลางคืนและเคยเข้าไปเที่ยวที่คริสตัล คลับ เล่าให้ฟังว่า มีหลายโซนให้ลูกค้าเลือก โดยแต่ละห้องตกแต่งไว้อย่างหรูหรา มีทั้งส่วนที่เป็นเล้าจน์ โซนนี้จะเน้นกลุ่มลูกค้าวีไอพี คือ ลูกค้าสามารถเลือกห้องตามจำนวนคนที่ไป คล้ายห้องคาราโอเกะ แต่หรูหรา และราคาแพงมากกว่า นอกจาก ขนาดห้องที่ต่างกันแล้ว กิจกรรมในห้องที่ร้านจัดไว้ก็จะแตกต่างกัน เช่น มีบริการเอ็นเตอร์เทน จากพริตตี้ของร้าน ส่วนราคาค่าบริการมีตั้งแต่หลักหมื่น ถึง หลักแสน ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่ใช้ห้อง ค่าอาหาร ค่าเครื่องดื่ม และค่าพนักงาน
“ป๋าอ๊อด” เจ้าของออกหน้า
ส่วนเจ้าของตัวจริง “ลึกลับซับซ้อน”
ทีนี้ ก็มาถึงประเด็นสำคัญอีกประเด็นหนึ่ง นั่นก็คือ แล้ว “ใคร” คือเจ้าของ “คริสตัล คลับ”
ฉากหน้า เป็นที่รับรู้กันว่า “เจ้าของออกหน้า แต่ไม่ได้รับเงิน” มีชื่อว่า “ป๋าอ๊อด” ส่วน “เจ้าของตัวจริง” ยังไม่เป็นที่ปรากฏแน่ชัด แต่จากการตรวจสอบข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ โดย “สำนักข่าวอิศรา” เมื่อวันที่ 8 เม.ย. 2564 พบว่า บริษัท คริสตัล เคแอนด์เค จำกัด จดทะเบียนเมื่อวันที่ 30 พ.ค. 2560 ทุนปัจจุบัน 4 ล้านบาท แจ้งประกอบธุรกิจกิจการบริการเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เป็นหลังในร้าน สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ 1298 ซ.อุดมสุข ถ.สุทธิสารวินิจฉัย แขวงห้วยขวาง เขตวังทองหลาง กทม.
ปรากฏชื่อ “นายเดชา พิลาลี” เป็นกรรมการรายเดียว
รายชื่อผู้ถือหุ้นล่าสุดเมื่อวันที่ 30 ก.ค. 2563 นายเกียรติพงษ์ คำต่าย ถือหุ้นใหญ่สุด 45% น.ส.พรรนพร คำต่าย ถือ 15% นายกมนทัต กริชสุภางค์ ถือ 10% น.ส.จันทร์เพ็ญ แก้วอัสดง ถือ 10% น.ส.นิตยา ใจยอด ถือ 10% นายจารุกิตติ์ ศรีสวัสดิ์ ถือ 5% และนายศุภสรร ด้วงชนะ ถือ 5%
แจ้งงบการเงินล่าสุดเมื่อปี 2562 มีรายได้รวม 146,363,128 บาท รายจ่ายรวม 130,276,784 บาท เสียภาษีเงินได้ 3,217,663 บาท กำไรสุทธิ 12,868,680 บาท
สำหรับนายเกียรติพงษ์ คำต่าย ผู้ถือหุ้นใหญ่ “คริสตัลทองหล่อ” พบว่า เป็นกรรมการบริษัทอย่างน้อย 3 แห่ง (เท่าที่ตรวจสอบพบ) ได้แก่
1.บริษัท เอมเมอรัลด์กรุ๊ป จำกัด จดทะเบียนเมื่อวันที่ 11 ก.พ. 2562 ทุนปัจจุบัน 4 ล้านบาท แจ้งประกอบธุรกิจจการค้าขาย อาหาร เครื่องดื่ม สุรา เบียร์ ตั้งอยู่ที่เดียวกับบริษัท คริสตัล เคแอนด์เค จำกัด
ปรากฏชื่อนายเกียรติพงษ์ คำต่าย เป็นกรรมการรายเดียว
แจ้งงบการเงินล่าสุดเมื่อปี 2562 มีรายได้ 74 บาท รายจ่ายรวม 3,818,382 บาท ขาดทุนสุทธิ 3,818,346 บาท
2.บริษัท กินซ่า เอ แอนด์ ที จำกัด จดทะเบียนเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2551 ทุนปัจจุบัน 4 ล้านบาท แจ้งประกอบธุรกิจจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม ตั้งอยู่ที่ 9,11 ซ.แสงเงิน ถ.สุขุมวิท แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กทม.
ปรากฏชื่อนายเกียรติพงษ์ คำต่าย เป็นกรรมการรายเดียว
แจ้งงบการเงินล่าสุดเมื่อปี 2562 มีรายได้รวม 54,705,532 บาท รายจ่ายรวม 57,159,995 บาท ขาดทุนสุทธิ 2,454,463 บาท
3.บริษัท ยู พี เอส อาร์ โลจิสติกส์ แอนด์ เซอร์วิส จำกัด จดทะเบียนเมื่อวันที่ 31 ต.ค. 2545 ทุนปัจจุบัน 2 ล้านบาท แจ้งประกอบธุรกิจขนส่งและติดตั้งอุปกรณ์เครื่องไฟฟ้า ตั้งอยู่ที่ 9/233-234 ซ.พหลโยธิน 48 ถ.พหลโยธิน แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กทม.
ปรากฏชื่อ น.ส.อัศรี พวงสงคราม นายเกียรติพงษ์ คำต่าย น.ส.สิริพักตร์ ศรีสงคราม และนายชัยยศ ศรีสงคราม เป็นกรรมการ
แจ้งงบการเงินล่าสุดเมื่อปี 2562 มีรายได้รวม 102,531,389 บาท รายจ่ายรวม 96,471,997 บาท เสียภาษีเงินได้ 1,630,678 บาท กำไรสุทธิ 2,460,425 บาท
อนึ่ง สำหรับคนสกุล ‘ศรีสงคราม’ คือทายาทเครือ ‘วี คาร์โก’ ธุรกิจให้บริการโลจิสติกส์ครบวงจรชั้นแถวหน้าของเมืองไทย (อ้างอิงข้อมูลจาก : http://www.logisticstime.net/archives/20745)
นั่นคือข้อมูลฉากหน้าอย่างเป็นทางการ แต่ก็รู้กันว่า แวดวงนี้เป็นอย่างไร เพราะ “เจ้าของตัวจริง” ย่อมไม่เปิดเผย แต่ที่รู้ๆ กันก็คือ วงการนี้หนีไม่พ้นที่จะต้องมี “คนมีสี” เข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้งตำรวจ-ทหาร รวมทั้งผู้มีอิทธิพลซึ่งเป็นทั้งทหารเก่าหรือตำรวจเก่าที่ผันตัวไปเป็น “นักการเมือง” นอกจากนี้ที่ผ่านมายังมี “ทุนจีน” เอาเงินมาให้คนไทยออกหน้าอีกก็เป็นจำนวนไม่น้อย
เอาเป็นว่า ในระหว่างที่การแพร่ระบาดระลอก 3 กำลังดำเนินไปจากซูเปอร์เสปรดเดอร์ที่ชื่อ “เลาจน์ชนะ” พร้อมๆ กับการเฝ้ารอ “วัคซีนโควิด-19” ระหว่างนี้คนไทยคงต้อง “ยกการ์ดสูง” กันอีกครั้ง.