วันที่ 2 เม.ย. เวลา 09.00 น. นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ไลฟ์สด “SONDHI TALK” ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ คุยทุกเรื่องกับสนธิ และช่องยูทูป Sondhitalk โดยในวันนี้ จะพูดคุยถึงหลายเรื่องเป็นเมดเลย์ ได้แก่
-กระแสที่ร้อนแรงเรื่องการทำธุรกิจเกี่ยวกับกัญชาและกัญชง ที่เสี่ยงเจ๊งมาก ขอให้ระวังตัวให้ดีๆ
-กรณีชาติตะวันตกสั่งแบนสินค้าที่ผลิตจากฝ้ายจากมณฑลซินเจียงของจีน ซึ่งปรากฏว่า แบรนด์ยักษ์ใหญ่โดนย้อนศรกันถ้วนหน้า
-ปรากฏการณ์ที่นักวิชาการจำนวนสองร้อยกว่าคน ออกมาเซ็นชื่อในแถลงการณ์ปกป้องวิทยานิพนธ์ลวงโลก โกหกสังคม ของณัฐพล ใจจริง
-แมตช์ล้างตา ผลการเลือกตั้งเทศบาล ถึงเวลาที่ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ปิยบุตร แสงกนกกุล พรรณิการ์ (ช่อ) วานิช ต้องยอมรับเสียทีว่าสังคมไทยไม่เอาคุณจริงๆ
-วัชระ เพชรทอง ร้อง ปปง. และกรมสรรพากร ให้ตรวจสอบเงินบริจาคของม็อบสามนิ้ว
-ประเด็นลวงโลกของสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ตอแหลข้ามชาติ ที่มาโพสต์กล่าวหาระบบศาลที่ยุติธรรมที่ต้องรับฟังคำสั่งจากเบื้องบน แล้วรังสิมันต์ โรม ออกมารับลูกจะเรียกประธานศาลฎีกาไปชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการกฎหมาย ในสภา
คำต่อคำ SONDHI TALK [2 เม.ย. 64] : สมศักดิ์ เจียมฯ ตอแหล!! รังสิมันต์ ตีกิน
วันนี้ผมจะมาบอกให้ฟังว่าช่องทางการติดต่อของ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" หรือ SONDHI TALK ได้ทางไหนบ้าง ทางแรกคือทางเฟซบุ๊ก ให้กด Like หรือกด Follow แล้วกดติดตาม แล้วเลือก See First ไปเลยในเพจ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" เมื่อชมแล้วก็ช่วยกันแชร์ออกไปมากๆ เพื่อให้บางคนที่ยังไม่ได้อยู่ดูได้ความรู้กับสิ่งที่ผมพูด แล้วเดี๋ยวนี้เราก็ไลฟ์สดผ่านยูทูปเช่นกัน ให้เข้าไปใน YouTube ค้นหาคำว่า Sondhitalk กด Subscribe เอาไว้ เปรียบเสมือนห้องสมุดเคลื่อนที่ รวบรวมทุกอย่างตั้งแต่รายการในอดีต "มองโลก มองเรา กับสนธิ" "บันทึกลับบ้านพระอาทิตย์" จนมาถึงรายการ "SONDHI TALK"
สำหรับแฟนรายการคนไหนอยากดูเนื้อหา ตลอดจนการถอดคำพูดเป็น text ก็ให้เข้าไปที่ www.sondhitalk.com เพราะจะรวมไว้ในเว็บไซต์โดยแยกเป็นแต่ละหมวดหมู่ครบทุกเรื่องทีเดียวครับ
สุดท้าย สำหรับท่านผู้ชมที่ไม่อยากเห็นหน้าผม แต่อยากฟังเสียงผม อยากฟังเรื่องราวที่ผมพูด ก็เข้ามาฟังที่ podcast ถ้าท่านที่ใช้ iPhone - iOS ก็เข้าไปที่แอปฯ podcast เมื่อกดเข้าไปแล้วก็ search คำว่า SONDHI TALK ก็จะมีให้ทุกรายการ ส่วนท่านผู้ชมที่ใช้โทรศัพท์ระบบ android ก็กดเข้าไปเหมือนกัน แต่จะมีคำว่า Podbean แล้วก็กดเข้าไป
สวัสดีครับท่านผู้ชม วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2564 วันนี้มีเรื่องหลายเรื่อง เรื่องสุดท้ายเป็นเมดเลย์หลายๆ เรื่องรวมกัน เรื่องแรกผมอยากจะพูดเรื่องกระแสที่ร้อนแรงมาก เรื่องกัญชาและกัญชง ไปดูกันว่าพูดว่าอย่างไร แต่เตือนสักหน่อย ผมบอกว่ากระแสกัญชา-กัญชง เสี่ยงเจ๊งมาก ฟังให้ดีๆ แล้วระวังตัวให้ดีๆ
เรื่องที่สอง ท่านผู้ชมคงจำได้เรื่องของการที่ทางตะวันตกสั่งแบนสินค้าฝ้ายจากมณฑลซินเจียงของจีน ปรากฏว่า แบรนด์ยักษ์ใหญ่โดนย้อนศร คนจีนซึ่งเป็นลูกค้า 1,400 ล้านคน ปฏิเสธที่จะซื้อสินค้าแบรนด์ยักษ์ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น H&M ไม่ว่าจะเป็น Nike ไม่ว่าจะเป็น Tommy Hilfiger หรือหลายๆ ยี่ห้อ แม้กระทั่ง Uniqlo
เรื่องที่สาม คือ ปรากฏการณ์ที่นักวิชาการจำนวนสองร้อยกว่าคน ออกมาเซ็นชื่อในแถลงการณ์ปกป้องวิทยานิพนธ์ลวงโลก โกหกสังคม ของณัฐพล ใจจริง ไปฟังเหตุผลกันดูว่าเขาแถลงการณ์กันมาในประเด็นไหน และผมตอบโต้เขาในแต่ละประเด็นอย่างไรบ้าง ท่านผู้ชมฟังแล้วใช้วิจารณญาณที่ไม่มีอคติตัดสินเอาเองก็แล้วกันว่า ระหว่างนักวิชาการที่มีตำแหน่งสูงๆ แต่ละคน และที่เคยสัญญากับท่านผู้ชม ถ้าจำได้นะ พวกนี้สัญญาว่า วันนั้นที่เซ็นชื่อให้ พล.อ.ประยุทธ์ ลาออก ใน 15 วัน ถ้าไม่ลาออกเขาจะลาออกจากการเป็นอาจารย์ ปรากฏว่าไม่มีสุนัขสักตัวเลยที่ลาออก คนพวกนี้ล่ะครับเป็นคนที่เซ็นชื่อ
เรื่องที่สี่ คือเรื่องของแมตช์ล้างตา และถึงเวลาที่ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ปิยบุตร แสงกนกกุล พรรณิการ์ (ช่อ) วานิช ต้องยอมรับเสียทีว่าสังคมไทยไม่เอาคุณจริงๆ จากการเลือกตั้ง 2 ครั้ง การเลือก อบจ. และการเลือกสภาเทศบาล พิสูจน์ชัดเจนว่าคุณเสียรูป ไม่มีราคาเลยในสายตาสังคมไทย เขาไม่เอาพวกคุณทั้งประเทศ
เรื่องที่ห้า และเป็นเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ 1-2 วันนี้ คือคุณวัชระ เพชรทอง ไปร้อง ปปง. และไปร้องกรมสรรพากร ในเรื่องเงินบริจาคของม็อบสามนิ้ว ตามมาฟังกันว่า ร้องเรื่องอะไร เหตุผลอะไรถึงร้อง สนุกมากครับ
เรื่องสุดท้าย คือเรื่องของประเด็นลวงโลกของสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ตอแหลข้ามชาติ ที่มาโพสต์กล่าวหาระบบศาลที่ยุติธรรมที่ต้องรับฟังคำสั่งจากเบื้องบน ท่านผู้ชมครับ สนุกมาก ตามมาก็แล้วกัน
ท่านผู้ชมครับ ก่อนที่ผมจะเข้าเรื่องอื่นต่อไป เผอิญผมมีหนังสือเล่มหนึ่งที่ผมคิดว่าท่านผู้ชมควรจะซื้อเอาไว้ เป็นหนังสือที่ เมื่อประวัติศาสตร์กลับมาทวงความยุติธรรม หลังจากถูกซ่อนเร้นมาถึงเกือบ 90 ปี บางคนในคณะราษฎร์และบริวาร ใช้อำนาจเครือข่ายฉ้อฉลพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์จนกลายเป็นศึกชิงอำนาจในคณะราษฎร์ ได้กลับมาถูกเปิดเผยอีกครั้งแล้ว ผมเคยพูดเรื่องนี้มาหลายครั้งแล้ว แต่ครั้งนี้ลงเป็นตัวอักษร ลงเป็นหนังสือ มีทั้งหลักฐานอ้างอิงทุกๆ อย่างถูกต้อง โดยปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ หนังสือเล่มนี้ชื่อ "ศึกชิงพระคลังข้างที่ 2475" เผอิญผมบอกคนทำ ก็คือสำนักพิมพ์บ้านพระอาทิตย์ ว่ามีทางไหนไหมที่จะให้เป็นกรณีพิเศษกับท่านผู้ชมที่ดูรายการนี้ เขาบอกว่าได้ แต่เขาขอแค่วันเดียวนะ คือวันนี้ (2 เม.ย.) เพราะว่าเขามีคนพรีออเดอร์สั่งจองมามากพอสมควรแล้ว
ทั้งหมดนี้หนา 544 หน้า ราคาปกติ 640 บาท เขาบอกผมว่า ให้กรณีพิเศษ วันนี้วันเดียวเท่านั้น ลดราคาเหลือ 490 บาท จาก 640 บาท เหลือ 490 บาท สั่งจองวันนี้ได้ทุกช่องทาง เฟซบุ๊ก ไลน์ shopee และ www.baanphraathit.com
"ศึกชิงพระคลังข้างที่ 2475" ท่านผู้ชมครับ เรื่องนี้เป็นหนังสือประวัติศาสตร์ เก็บเอาไว้ มีเวลาว่างอ่าน ที่สำคัญคือ จะได้อธิบายให้ลูกหลานรุ่นหลังๆ ได้เข้าใจว่า เรื่องที่ได้ยินมานั้นมันผิด คณะราษฎร์ 2475 ไม่ใช่คณะราษฎร์ แต่เป็นคณะมหาโจร อย่างที่ลุงสนธิ เคยออกรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" และปรากฏเป็นหลักฐานในหนังสือเล่มนี้แล้ว พร้อมแหล่งอ้างอิงที่ชัดเจน ไม่ได้บิดเบือน และเป็นแหล่งอ้างอิงที่หาได้เจอ ไม่ใช่ไปเปิดแหล่งอ้างอิงเหมือนกับหนังสือของคุณณัฐพล ใจจริง แล้วปรากฏไม่มีปรากฏ นี่คือแหล่งอ้างอิงที่ถูกต้อง วันนี้วันเดียวนะครับท่านผู้ชม จาก 640 บาท เหลือเพียง 490 บาท อย่าลืมนะครับ
ถ้าผมจะเริ่มช่วงนี้ด้วยการพูดว่า คนที่กำลังเห่อเรื่องกัญชา-กัญชง ตลอดจนกระทั่งมีคนสนใจมากที่จะมาลงทุนในเรื่องของกัญชา-กัญชง นั้น ถ้าผมจะบอกท่านผู้ชมอย่างตรงไปตรงมา ไม่กั๊ก เพราะว่าผมไม่มีผลประโยชน์อะไรกับใครทั้งสิ้น ว่า ระวังจะเจ๊ง เพราะทุกวันนี้มันเป็นกระแสคลั่งกัญชา-กัญชง อย่างไม่มีเหตุผล
ท่านผู้ชมครับ ช่วงเวลาที่เศรษฐกิจย่ำแย่ขณะนี้ กระแสกัญชา-กัญชง มาแรงมาก มาแรงถึงขนาดที่เรียกว่า บ้ากัญชา เห่อกัญชง อย่างน่าเป็นห่วง ไปที่ไหนๆ ใครก็พูดถึงการลงทุนในธุรกิจกัญชาและกัญชง ท่านผู้ชมครับ ฟังให้ดีๆ มันจะเป็นไปได้อย่างไรที่ทุกอย่างจะใส่ใบกัญชากันหมด
ท่านผู้ชมครับ ในความเป็นจริงแล้ว รสอาหารมันจะอร่อยอย่างที่รสมันควรจะเป็น การแห่ใส่ใบกัญชาในทุกๆ เมนูนั้น ไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องที่ถูกต้องเสมอไป อาหารบางรสชาติมันดีด้วยตัวมันเองอยู่แล้ว ใส่ใบกัญชามากจนเกินไปอาจจะทำให้มันเสียรสชาติ เหม็นเขียว ผิดรสของอาหารที่ควรจะเป็น
กระแสเห่อกัญชา-กัญชง ทุกวันนี้ เพราะสักแต่ว่าทุกเมนูใส่กัญชาไปหมด จะได้ขายอาหารในราคาแพงๆ ได้หลายเท่าตัว และขายดีด้วย เพราะว่ากระแสในช่วงนี้คนส่วนใหญ่อยากลอง แต่ท่านผู้ชมครับ เมื่อถึงจุดหนึ่งที่หายเห่อ พวกเราคงกลับไปหารสชาติอาหารที่ควรจะเป็น บางคนใส่กัญชาเข้าไปในอาหารเพียงน้อยนิด แทบจะไม่มีเลย โดยไม่มีผลต่อสรรพคุณต่อสุขภาพที่หวังไว้ สรรพคุณต่อสุขภาพที่หวังไว้ คือ นอนหลับสบาย อารมณ์ดี ลดความเครียด บ้างก็ใส่ใบกัญชาสด วางเป็นสัญลักษณ์ในเมนูอาหาร แล้วอ้างว่าใส่กัญชาแล้ว โดยที่มันแทบจะไม่รู้สึกหรือเปลี่ยนแปลงรสอาหาร หรือมีผลต่อสุขภาพอะไรเลย แต่ดันขายอาหารในราคาที่แพงมหาศาล เพียงเพราะว่าใส่ใบกัญชาเข้าไป
ท่านผู้ชมครับ ถึงจุดๆ หนึ่งเมื่อท่านผู้ชมและทุกๆ คนในสังคมไทยเริ่มรู้สึกเฉยๆ ไม่สามารถได้สรรพคุณจากใบกัญชาดังที่คาดหวัง สุดท้ายความหวังที่มีต่อใบกัญชาที่มีผลต่อสุขภาพก็จะเสื่อมกันไปเอง เลิกเห่อกันไปในท้ายที่สุด ท่านผู้ชมครับ บางคนสวมรอยใส่ดอกกัญชาและขั้ว ทำให้เมา หวังว่าลูกค้าจะกลับมากินอาหาร เพราะเมนูของตัวเองทำให้เมาได้ แต่คนที่ทำเช่นนั้นไม่รู้หรอกครับว่าอาการเมากัญชานั้นจะทำให้เกิดอาการหวาดกลัว คนที่เมากัญชาจะเป็นคนที่ขี้ขลาด กลัวไปหมด เห็นอะไรปั๊บก็ตกอกตกใจ เห็นรถยนต์วิ่งผ่านก็กลัวรถยนต์จะวิ่งเข้ามาชน ถ้ามีอาการเกิดขึ้นอย่างนี้ มันไม่ได้ทำให้มีความสุข และจะทำให้เกิดการเข็ดขยาดกัญชาไปอีกนานแสนนาน
กระแสกัญชา-กัญชง เป็นกระแสชัวร์หรือมั่วนิ่ม ? ทุกวันนี้กระแสกัญชา-กัญชง มาแรงมาก จนกระทั่งบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ที่ประกาศว่าจะทำธุรกิจกัญชา-กัญชง ท่านผู้ชมเชื่อไหมครับ คนตกอกตกใจ กระโดดเข้าไปซื้อหุ้น เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว หลายคนกระโดดเข้าไปเพราะหวังจะรวย นอกจากนั้นยังมีอีกหลายคนที่เตรียมปลูกกัญชง เพราะเข้าใจว่าออกจากบัญชียาเสพติดแล้ว และบางคนยังเข้าใจผิดว่าปลูกกัญชาได้แล้วทุกๆ บ้าน บ้านละ 6 ต้น ไม่ใช่ครับ เป็นคำโฆษณาชวนเชื่อของพรรคภูมิใจไทย ว่าถ้าเป็นรัฐบาลแล้วจะเปิดเสรีกัญชา ให้ชาวบ้านปลูกได้บ้านละ 6 ต้น ยังอยู่บนความเพ้อฝันอยู่ครับ
และในขณะเดียวกัน ก็ยังมีธุรกิจที่หลอกลวงอยู่ เช่น การขายน้ำมันกัญชง โดยหลอกว่ามีสารสำคัญ CBD อยู่ข้างใน เดี๋ยวผมจะอธิบายคำว่า CBD ให้ท่านผู้ชมฟัง บางคนขายโมเดลทำธุรกิจเลย คือรับเหมาปลูกกัญชาล่วงหน้า แล้วจะคืนทุนภายใน 1 ปี เอากับเขาสิ บางคนหลอกให้ซื้อแฟรนไชส์ เปิดคลินิกกัญชา 5-6 ล้านบาท อ้างว่าสามารถเลี่ยงกฎหมายในการจ่ายกัญชาได้ตามอำเภอใจ
ท่านผู้ชมครับ ผมขอย้อนรอยกระแสกัญชาบูมสักนิดหนึ่ง ท่านผู้ชมจะได้เข้าใจ ถ้าเราย้อนกลับไปปี พ.ศ. 2561 ค่ายผู้จัดการ มีผม และนำโดยอาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ มีส่วนสำคัญมากในการรณรงค์เรื่องกัญชา เพื่อมาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ มาตั้งแต่แรก เราสู้มาตั้งแต่การยกเลิกสิทธิบัตรกัญชาต่างชาติ โดยที่คนส่วนใหญ่ไม่มีใครมาสนใจ แม้กระทั่งพรรคภูมิใจไทย ก็ไม่ได้สนใจอะไรเลย ปี 2561 เราเริ่มเรื่องนี้มาด้วยตัวพวกเราเอง เหมือนกับสมัยก่อน นานมาแล้ว ที่ผมกับอาจารย์ปานเทพ หรืออาจารย์ปานเทพ เป็นหัวหอกเรื่องการใช้น้ำมันมะพร้าว ว่าน้ำมันมะพร้าวนั้นดีกว่าน้ำมันพืชทุกประการ ดีที่สุด
แต่ว่าพรรคภูมิใจไทยก็ฉวยโอกาสการต่อสู้ภาคประชาชนในเรื่องกัญชา มาเป็นนโยบายกัญชาเสรี ปลูกกัญชาบ้านละ 6 ต้น ซึ่งยังเป็นเรื่องเพ้อฝันอยู่ทุกวันนี้ จนกลายเป็นพรรคการเมืองเก่าเพียงพรรคเดียวที่ได้คะแนนเสียงเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ และตรงกัญชาบ้านละ 6 ต้นนี้ ก็จะกลายเป็นตัวที่กลับไปทำร้ายพรรคภูมิใจไทย เพราะต่อมาแล้วทฤษฎีของกัญชา การปฏิบัติของการปลูกกัญชา และการยกเลิกกฎบัตรต่างๆ สิทธิประโยชน์ต่างๆ นั้น มันไปเข้าทางกับสมาชิกพรรคภูมิใจไทยบางคน เหมือนกับการผูกขาด แล้วทุกคนไม่มีสิทธิ
วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2562 ประมาณสองปีที่แล้ว คุณอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงนโยบายพรรคภูมิใจไทย เรื่องการปลูกกัญชาเสรี ความหมายของคำว่า "เสรี" ไม่ใช่ว่าจะปลูกขายกันเท่าไรก็ได้ แต่หมายถึงประชาชนทุกคนมีโอกาสปลูกเพื่อเป็นช่องทางหนึ่งในการหารายได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมอย่างเข้มข้น โดยการยาสูบแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ
ทั้งนี้ เบื้องต้นพรรคภูมิใจไทยกำหนดให้ 1 ครัวเรือน ปลูกได้ 6 ต้น แล้วอ้างว่าจะสร้างรายได้ปีละ 420,000 บาท และรับซื้อโดยให้การยาสูบแห่งประเทศไทยเท่านั้น เมื่อเป็นไปตามนี้ เราสามารถจะจัดการเรื่องปริมาณ คุณภาพ ได้
นั่นคือสิ่งที่พรรคภูมิใจไทยพูด แต่ท่านผู้ชมครับ ไม่ว่ากัญชา หรือกัญชง จะเป็นอย่างไร ในฐานะที่พรรคภูมิใจไทยได้หาเสียงไว้กับประชาชน จะต้องทำภารกิจให้สำเร็จ คือทำให้ทุกบ้านสามารถปลูกกัญชาได้จริง บ้านละ 6 ต้น แค่นั้นยังไม่พอ พรรคภูมิใจไทยยังต้องทำให้เห็นว่าการปลูกกัญชานั้น ผลผลิตออกมานั้น ไม่ใช่ผูกขาดเฉพาะกลุ่มทุนที่เกี่ยวข้องกับพรรคภูมิใจไทย หรือเป็นกลุ่มทุนบางกลุ่ม ประชาชนไม่มีสิทธิที่จะได้รับผลประโยชน์จากการปลูกกัญชาเลย ไม่ใช่ว่าทำให้นายทุนร่ำรวยในการผูกขาดหรือกึ่งผูกขาดผ่านหน่วยงานภาครัฐเพียงไม่กี่ราย (ซึ่งขณะนี้เป็นอย่างนี้อยู่) หรือไม่ใช่ทำให้ราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์สูงขึ้น ดังนั้นท่านผู้ชมเห็นด้วยกับผมไหมว่า ถ้าบ้านไหนยังมีกัญชา 6 ต้น ไม่ได้ ก็ถือว่าพรรคภูมิใจไทยล้มเหลว ผิดสัญญา และต้องรับผิดชอบในการเลือกตั้งครั้งหน้า
และที่ผมเห็นกระแสคลั่งกัญชา-กัญชง อยู่ในขณะนี้ ผมเห็นว่าจำเป็นต้องมีคนส่งสัญญาณเตือนว่า อย่ามัวแต่ฝันหวานจะเป็นเศรษฐี ระวังว่าจะเป็นแมงเม่าที่เตรียมเจ๊งกันอย่างระเนระนาดได้
กัญชา กับ กัญชง ต่างกันตรงไหน ? มีคนพูดเยอะเหลือเกิน กัญชาเอย กัญชงเอย แต่ในข้อเท็จจริงแล้ว กัญชา และ กัญชง คือพืชตระกูลเดียวกัน
ประเทศไทยเป็นสมาชิกคณะกรรมการยาเสพติดระหว่างประเทศขององค์การสหประชาชาติ ซึ่งมีพันธะต้องปฏิบัติตามอนุสัญญาเดี่ยว ก็คือว่า เป็นสนธิสัญญาแยกออกมาต่างหาก เดี่ยวเลย ว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ เมื่อปี ค.ศ. 1961 และ ค.ศ. 1972 ในอนุสัญญาเดี่ยวนั้น กำหนดคำว่า "กัญชา" หมายถึงเฉพาะช่อดอกกัญชาที่มียางของต้นกัญชา ส่วนอื่นๆ อย่างเช่น ใบ เมล็ด ราก ไม่ใช่ยาเสพติดทั้งสิ้น ฉะนั้นเขากำหนดไว้แล้วว่า ช่อดอกที่มียางของต้นกัญชา นั่นคือยาเสพติด ส่วนใบ เมล็ด ราก ไม่ใช่ยาเสพติด ต่อให้เป็นยางกัญชา อนุสัญญาเดี่ยวว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ ก็ยังคงยกเว้นให้สามารถใช้ประโยชน์ทางการแพทย์และทางการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ได้ และนี่คือเหตุผลว่าทำไมบริษัทยาต่างชาติถึงได้นำกัญชามาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ได้ และมีการวิจัย นำไปจดสิทธิบัตรกัญชา ว่าสามารถรักษาโรคได้หลายโรค
ท่านผู้ชมครับ ผมมีน้ำมันกัญชาที่ผมจะถามคนที่ผมรู้จักว่า นอนหลับยากไหม หลายคนทานยานอนหลับเป็นประจำ ผมบอกให้เอาน้ำมันกัญชาหยอดใต้ลิ้น 2 หยด อมเอาไว้ แล้วเข้านอน ปรากฏว่าร้อยทั้งร้อยหลับสนิท ท่านผู้ชมครับ นี่คือผลของน้ำมันกัญชาที่ทำให้คนนอนหลับยาก ไม่ต้องทานยานอนหลับของฝรั่งที่ประกอบด้วยสารเคมี นี่ผมยกตัวอย่างให้ฟังนะครับ
ประเทศไทยตั้งแต่มีพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ท่านผู้ชมครับ ข้าราชการไทยมันเป็นของมันอย่างนี้แต่ไหนแต่ไรมาแล้ว มักง่ายกว่านั้น คือแทนที่จะยึดเอาว่า เอาเฉพาะดอก กับยาง เป็นยาเสพติด ใบไม้ ต้น เมล็ด ไม่ใช่ มันยุ่งยาก สับสน ข้าราชการไทยก็เลยเหมารวมมันหมดเลย ก็คือเอาทั้งต้นกัญชา ทุกส่วนของกัญชา เป็นยาเสพติดให้หมด ทำไมถึงทำเช่นนั้น ? มันง่ายต่อการควบคุม นี่คือข้าราชการไทย เป็นระเบียบที่ง่าย นอกจากนั้นแล้ว ยังไม่ให้เอากัญชามาใช้ทางการแพทย์ด้วย ในขณะซึ่งสหประชาชาติอนุญาตให้ใช้ อนุสัญญาเดี่ยว เอากัญชามาทำในเรื่องการแพทย์ได้ คือใบ และดอก จนกระทั่งอย่างที่ผมเรียนแล้วว่า บริษัทยาในต่างประเทศทำการวิจัย แล้วเอาใบและดอกกัญชามาทำยา
ด้วยเหตุนี้ ท่านผู้ชมเชื่อไหมกว่า 40 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ พ.ร.บ.ยาเสพติด เริ่มขึ้นเมื่อปี 2522 คือ 42 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยก็เลยเป็นประเทศที่ล้าหลังมากๆ ในการใช้กัญชาทางการแพทย์หรือทางวิทยาศาสตร์ ใน 40 ปีที่ผ่านมานี้ น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง ประเทศไทยได้ยกเลิกตำรับยาไทยที่มีกัญชาเป็นส่วนผสมทั้งหมด ไม่เว้นแม้กระทั่งตำรับยาไทยที่ใช้แค่ใบ ราก หรือลำต้น หรือเมล็ด เป็นส่วนผสม กลายเป็นตำรับยาไทยต้องห้าม ทั้งๆ ที่ตำรับยาไทยนั้นเป็นภูมิปัญญาที่คนโบราณคนไทยเป็นร้อยๆ ปี เอาใบกัญชา เอาเมล็ดกัญชา เอาช่อดอกกัญชา มาทำยา ถูกยกเลิกไปหมดเพราะข้าราชการไทย ที่รับงานมาจาก พ.ร.บ.ยาเสพติดฯ 2522 พูดได้ไหมว่าข้าราชการไทยคือส่วนสำคัญส่วนหนึ่งในการทำร้ายและทำลายภูมิปัญญาไทย เพราะเขาถือว่าเป็นยาเสพติด ถือว่าเป็นเรื่องที่คนไทยออกกติกาบัดซบกันเอง แล้วงานนี้ไม่ได้เกี่ยวกับต่างชาติ ท่านผู้ชมหลับตาวาดภาพสิ ต่างชาติเอาดอกกัญชา ยางกัญชา ไปวิจัยในเรื่องการรักษาโรค ก้าวหน้าไปหมด ของไทยไม่ให้ใช้ยังไม่เป็นไร ยกเลิกสูตรยาไทยโบราณที่ใช้กัญชาผสม แล้วสูตรยาไทยโบราณที่ใช้กัญชาผสม มีมาตั้งแต่ฝรั่้งยังไม่รู้เลยว่าดอกกัญชาจะมีประโยชน์อย่างไรบ้าง ท่านผู้ชมดูซิว่ามันบัดซบไหม
ท่านผู้ชมครับ เรามาวิเคราะห์กันด้วยเหตุด้วยผล กัญชา ไม่ใช่ยาเสพติด จากการวิจัยหลายๆ แห่ง ผมไม่จำเป็นต้องอ้างอิง กัญชานั้นเสพติดได้ยากกว่าเหล้าและบุหรี่ ท่านผู้ชมครับ เขาวิเคราะห์มาแล้วว่า คนที่สูบบุหรี่ครั้งแรก จะมีโอกาสติดบุหรี่ได้สูงกว่า 67.5 เปอร์เซ็นต์ คนดื่มเหล้า มีโอกาสติด 22.7 เปอร์เซ็นต์ กลายเป็นว่าคนที่เมาเช้าเมาเย็นเมาสาย ขณะที่ผู้เสพกัญชามีโอกาสติดเพียง 8.9 เปอร์เซ็นต์ คำถามมีอย่างนี้ครับท่านผู้ชม เหล้า และบุหรี่ ซึ่งเสพติดง่ายกว่ากัญชา แต่เหล้าและบุหรี่สามารถหาซื้อมาได้อย่างง่ายดาย แม้กระทั่งในร้านสะดวกซื้อ แต่กัญชา ซึ่งเสพติดยากกว่า กลับกลายเป็นยาเสพติดที่มีบทลงโทษรุนแรงถึงขั้นติดคุกได้ ต่างจากเหล้าและบุหรี่
ท่านผู้ชมครับ เบื้องหลังการนำกัญชามาเป็นยาเสพติดระหว่างประเทศนั้น ทำไมถึงกลายเป็นยาเสพติดได้ มันมีเบื้องหลัง เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อประมาณ 96 ปีที่แล้ว วันที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2468 ในการประชุมเรื่องฝิ่น สมัยก่อนเขากังวลเรื่องฝิ่น เพราะคนติดฝิ่นติดได้ง่าย แล้วก็ทำร้ายร่างกาย แล้วแพร่กระจาย แล้วก็มีการพัฒนาจากฝิ่นมาเป็นเฮโรอีน ในการประชุมนั้น กำหนดพืช Idian Hemp หรือที่เขาเรียกว่ากัญชา เป็นยาเสพติด ทำไมถึงเป็น Indian Hemp ? เพราะว่ากลุ่มกัญชาพวกนี้มีอยู่แพร่หลายในอินเดีย แล้วก็มีสรรพคุณทางยามากมาย ที่สำคัญ ไม่มีใครรู้ นี่คือเบื้องหลังจริงๆ กัญชาสามารถจถผลิตเป็นเอทานอล แล้วเป็นพลังงานขับเคลื่อนรถยนต์ ให้ค่ายรถยนต์ฟอร์ดเป็นครั้งแรก เมื่อปี 2451 ในสมัยรัชกาลที่ 5 ทำให้เป็นพืชซึ่งเป็นคู่แข่งของกลุ่มทุนบริษัทน้ำมันทั่วโลก รวมทั้งบริษัท สแตนดาร์ด ออยล์ ซึ่งมีคนตระกูลร็อกเกอะเฟลเลอร์ ที่มีบทบาทสำคัญหลายด้านในเอเชีย ท่านผู้ชมเห็นหรือยัง
ถ้ากัญชาสามารถทำเป็นเอทานอลได้ เอามาแทนน้ำมันได้ ฝรั่งซึ่งมันลงทุนบริษัทขุดเจาะน้ำมัน อย่างเช่น สแตนดาร์ด ออยล์ และหลายบริษัทภายหลัง ตลอดจนตระกูลร็อกเกอะเฟลเลอร์ ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัท สแตนดาร์ด ออยล์ และตระกูลร็อกเกอะเฟลเลอร์ คือตัวการซึ่งมาให้ทุนกับโรงพยาบาลศิริราช ให้องค์ความรู้เพื่อพัฒนาการแพทย์ให้เป็นแพทย์สมัยใหม่ และสั่งให้ยุบแพทย์แผนไทยทั้งหมดที่มีมาเป็นร้อยๆ ปี บัดซบไหมท่านผู้ชม
ร็อกเกอะเฟลเลอร์ เป็นเจ้าของบริษัท สแตนดาร์ด ออยล์ ก็เลยอยู่เบื้องหลังที่ทำให้พืชกัญชากลายเป็นยาเสพติดมาจนทุกวันนี้ เพราะกลัวว่าถ้าไม่ใช่ยาเสพติดแล้ว น้ำมันของตัวเองจะขายไม่ออก ท่านผู้ชม อย่าละเลยประวัติศาสตร์ 96 ปีที่ผ่านมา มันเป็นอย่างนี้จริงๆ
ท่านผู้ชมสังเกตไหมว่าเราพยายามจะเรียกชื่อแบ่งแยกระหว่าง กัญชา กับ กัญชง แต่ในความเป็นจริงแล้ว ตำรับยาไทยนับร้อยปี รวมถึงตำรับอาหารทั้งหมดในโบราณ ไม่เคยมีคำว่า "กัญชง" เป็นส่วนผสม มีแต่คำว่า "กัญชา" เหตุผลเพราะอะไรรู้ไหม ? คำว่า "กัญชง" เป็นคำที่คิดขึ้นมาใหม่ คือมีช่วงระยะหนึ่งที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ทรงเห็นงานฝีมือผ้าม่านที่ทำมาจากใยกัญชา ทรงสนับสนุนให้รักษาประเพณีและวัฒนธรรมนี้ต่อไป พระองค์ท่านส่งเสริมงานศิลปาชีพ ส่งเสริมให้ชาวบ้านได้ทำงานฝีมือ
ทางการทำอย่างไรล่ะ ? นี่เป็นพระราชดำรัสของสมเด็จพระนางเจ้า ฯ ข้าราชการไทยก็บัดซบพอสมควร กะล่อน ก็เลยแก้ปัญหา เลี่ยงตั้งชื่อพืชกัญชาในกลุ่มที่เน้นเส้นใยสูง เรียกว่า "กัญชง" ทั้งๆ ที่มันเป็นอันเดียวกันหมด แต่เนื่องจากอนุสัญญาเดี่ยวว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ ปี ค.ศ. 1961 ไม่ได้มีการแบ่งแยกระหว่าง กัญชา กับ กัญชง เพราะเขาถือว่าเป็นพืชตระกูลเดียวกัน ซึ่งเขาเรียกว่า Canabis จึงย่อมมีการควบคุมเหมือนยาเสพติด ทางราชการไทยก็เลยตัดปัญหา ใช้วิธีว่า ไม่ปล่อยให้พืชกัญชงออกดอก เพราะถ้ามันมีดอกเมื่อไร ก็จะนับเป็นยาเสพติดทันที ไม่ว่าประเทศไทยจะเรียกมันว่า "กัญชา" หรือ "กัญชง" ก็ตาม
ท่านผู้ชมครับ พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2562 ได้มีความพยายามที่จะแบ่ง "กัญชง" ออกมาจาก "กัญชา" เพื่อสามารถนำกัญชงมาปลูก ผลิต นำเข้า หรือส่งออกได้ ตุลาคม 2562 จึงได้กำหนดพืชที่เรียกว่า "กัญชง" หมายความว่า พืชที่มีสาร เรียกว่าสารเตตราไฮโดรแคนนาบินอล (Tetrahydrocannabinol) ที่ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า THC ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เมา ว่า ต้องอยู่ไม่เกิน 1 เปอร์เซ็นต์ ของน้ำหนักแห้งของช่อดอก แต่ทีนี้ สารสำคัญกัญชามันมีหลายชนิด โดยเฉพาะที่เรียกว่า สารกลุ่ม แคนนาบินอยด์ (Cannabinoid) ซึ่งมีอยู่ในพืชกัญชานั้น ไม่ได้มีแค่ THC อย่างเดียว แต่มีสารกลุ่มแคนนาบินอยด์ 100 ชนิด ที่ไม่ได้ทำให้ออกฤทธิ์จิตประสาทหลอน และทำให้เมาเหมือน THC
และในสารสำคัญของพืชตระกูลกัญชา ที่รู้จักรองมาจาก THC คือ แคนนาบิไดออล (Cannabidiol) หรือที่เรียกว่า CBD เป็นสารที่ไม่ได้ทำให้เมา แต่เป็นสารลดความเครียด ลดการอักเสบ ลดการเกร็งชัก ซึ่งตอนหลังก็เอามาใช้กับคนที่เป็นพาร์กินสัน ทำให้เจริญอาหาร ไม่เมา และไม่เสพติด และมีมูลค่าแพงมาก
ท่านผู้ชมครับ ตลาดของ CBD ท่านผู้ชมจำได้แล้วนะว่า CBD เป็นสารที่สำคัญที่สุด เพราะสาร CBD ไม่ได้ถูกควบคุมให้ทำใช้ได้เฉพาะทางการแพทย์ หรือวิจัยเพื่อมาใช้ในยาเท่านั้น แต่เอามาใช้ในเครื่องสำอาง เครื่องดื่ม อาหาร อาหารเสริม เพราะฉะนั้นแล้วตลาดของ CBD จึงกว้างมาก ไม่ใช่เฉพาะการแพทย์ เอามาใช้ในเรื่องอาหาร เครื่องสำอาง เพราะฉะนั้นมูลค่าของ CBD เข้มข้นในอดีตนั้นเขาขายกันหลายแสนบาทต่อกิโลกรัม แต่เมื่อนำมาใส่ผลิตภัณฑ์ต่างๆ แล้วยิ่งทำให้ผลิตภัณฑ์หลายชนิดมีมูลค่าเพิ่มหลายตัว มากกว่ามูลค่าของ CBD ที่เข้มข้นเสียอีก
ยกตัวอย่าง CBD มูลค่าประมาณ 5 แสนบาทต่อกิโลกรัม แต่มีการขายราคาน้ำมันจากเมล็ดกัญชงแล้วผสม CBD ลงไป โดยปริมาณ CBD 750 มิลลิกรัม ผสมในน้ำมันกัญชง 30 มิลลิลิตร ซึ่งปกติแล้วถ้าน้ำมันกัญชงอย่างเดียว ไม่มี CBD อาจจะมีราคาขวดละ 70 บาท เท่านั้นเอง แต่พอเติม CBD เข้าไป 750 มิลลิกรัม เขาขายกันเมื่อสองปีที่แล้ว ที่ 2,380 บาทต่อขวด มีน้ำมันกัญชงอยู่ 30 มิลลิลิตร เพราะฉะนั้นถ้าท่านผู้ชมคำนวณเทียบกับปริมาณ CBD ที่ใส่เข้าไป ก็เท่ากับมูลค่า 3,173 บาทต่อกรัม หรือประมาณ 3,170,000 บาทต่อกิโลกรัม ด้วยเหตุผลนี้ พืชกัญชงที่ผลิต CBD ได้ จึงกลายเป็นพืชเศรษฐกิจที่กลายเป็นความหวังของประเทศไทย ทำให้คนไทยร่ำรวยกันอย่างถ้วนหน้า ทำให้บริษัทต่างๆ ในตลาดหลักทรัพย์ประกาศตัวจะทำธุรกิจกัญชงกันอย่างมากมาย ใครบ้างล่ะ ? โอสถสภา คาราบาว อิชิตัน ไม่เว้นแม้กระทั่งแกรมมี่ อาร์เอส เจเคเอ็น ซึ่งเดิมทีอยู่ในธุรกิจบันเทิง แม้แต่บริษัทพลังงานอย่าง ปตท. ทำให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว
ท่านผู้ชมครับ สำหรับประเทศไทย พืชที่ปลูกขึ้นง่ายคือกัญชา ซึ่งมี THC สูง แต่มี CBD ต่ำ สิ่งที่ต้องการคือ CBD กัญชาประเทศไทยจึงมีชื่อเสียงมากในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 เพราะทำให้อารมณ์ดี หลับง่าย เพราะพื้นที่ประเทศไทยส่วนใหญ่มีอากาศร้อนและแสงแดดมาก จึงทำให้สาร THC ท่านผู้ชมจำสองตัวนี้ไว้นะ THC กับ CBD เนื่องจากประเทศไทยอากาศแดดร้อนมาก ทำให้สาร THC ในกัญชาสูงมากตามธรรมชาติของมัน แต่ถ้าเป็นกัญชาที่มี THC สูงๆ เมื่อไร ก็ต้องมาใช้ในทางการแพทย์เท่านั้น เอามาใช้ในการพาณิชย์ไม่ได้ แปลว่าแหล่งในการขายของกัญชาอย่างถูกกฎหมายจะอยู่ในโรงพยาบาลและคลินิกเท่านั้น
ส่วนที่เรียกว่ากัญชงตามพันธุ์พื้นเมืองของไทยนั้น ต้นกัญชงจะผลิตไฟเบอร์และใยได้มาก ซึ่งต้นกัญชงจะมีทั้งสาร THC สูง CBD ต่ำ และพืชอื่นๆ ที่มีเส้นใย ไม่ต้องควบคุมยุ่งยากเหมือนกัญชง ก็ย่อมมีต้นทุนต่ำกว่ากัญชง เช่น ไผ่ เส้นใยจากไผ่ ไม่ถูกกติกากำหนดไว้ เพราะฉะนั้นผมกำลังจะพูดว่า ใครปลูกกัญชงเพื่อที่หวังจะเอาเส้นใยมาทำ เลิกปลูกได้แล้ว ไปหาไผ่ดีกว่า เพราะว่าไผ่มีเส้นใยที่ใช้การได้เหมือนกัน ด้วยเหตุผลที่ผมพูดนี้ ใครที่คาดหวังจะทำธุรกิจจากเส้นใยของกัญชงแบบสายพันธุ์ที่ได้รับรองของไทย อาจจะประสบปัญหาธุรกิจจนขั้นเจ๊งได้เลยเช่นกัน
เพราะฉะนั้น กัญชงพื้นเมืองของไทยจึงไม่ได้ตอบโจทย์ทางธุรกิจที่หลายคนคาดหวังสาร CBD นี้ แล้วเกิดอะไรขึ้น ? ก็เลยเกิดมีความรู้สึกว่า กัญชง ถ้าเมล็ดพันธุ์มาจากต่างประเทศ ก็จะมีดอกยางมาก ผลิต CBD ได้สูง โดยสาร THC ต่ำ จะได้ไม่เป็นยาเสพติด ก็คือพูดง่ายๆ ว่า คนที่ปลูกกัญชง คิดจะปลูกกัญชงในเมืองไทย พอมาเห็นตัวเลขว่า THC สูง แต่ CBD ต่ำมาก คนที่ต้องการทำมาหากินและคนที่ฉลาดก็ค้นคว้าไปต่อเลย จนเจอว่า กัญชงที่มาจากอเมริกา หรือเมืองนอก ที่ขายเมล็ดพันธุ์ น่าจะมี THC ที่ต่ำ และ CBD ที่สูง ก็เลยมีคนหลายคนเตรียมตัวปลูก มีการนำธุรกิจนำเข้าเมล็ดพันธุ์กัญชงจากเมืองนอกที่มีดอกยางมากๆ และผลิต CBD สูงๆ ท่านผู้ชมครับ ผมเตือนเอาไว้ก่อนนะ ไม่ว่าใครที่คาดหวังจะรวยจากกัญชา หรือกัญชง ผมบอกไว้ตรงนี้เลยว่า มันไม่ได้สวยหรูอย่างนั้น อนาคตธุรกิจกัญชาเพื่ออาหารตอนนี้เหมือนกระแสเห่อชั่วคราว เหมือนลมพัดเพียงวูบเดียว และกัญชาทางการแพทย์ก็ยังจำกัดการใช้มาก
พืชกัญชาที่มี THC สูง มีประโยชน์หลายอย่าง ทำให้หลับ ลดอาการปวด เจริญอาหาร ลดอาการเกร็งชัก พาร์กินสัน ลดอาการอักเสบ แต่ถ้าบริโภคมากเกินไปทำให้เมา เกิดอาการหวาดกลัว หลับมากเกินไป ใจสั่น หัวใจเต้นเร็ว ถ้าบริโภคมากและนานเกินไป ลดฮอร์โมนเพศชาย ลดการเคลื่อนไหวระบบทางเดินอาหารได้
ท่านผู้ชมจำได้ไหม เมื่อกี้ผมบอกว่า ผมมีน้ำมันกัญชาที่ผมให้คนหยอดไม่เกิน 2 หยด ก่อนนอน นอนหลับสบาย บางคนลืมตัว หยอดไป 4-5 หยด ปรากฏว่าเมา หลับ แล้วก็เมาข้ามคืนเลย พอตื่นมาตอนเช้าก็ยังเมาอยู่ตลอดเวลา อะไรก็ตามถ้าใช้มากเกินไปก็ไม่มีประโยชน์
ในการแพทย์ ต้องการมาก แต่ผู้ใช้ยังมีจำนวนน้อย ความสลับซับซ้อนตรงนี้ทำให้กัญชาถูกใช้มาในทางการแพทย์อย่างเดียวเท่านั้น แต่ พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ 2562 ได้กำหนดบทเฉพาะกาลไว้ 5 ปี ถ้าจะทำการปลูกหรือจำหน่ายกัญชาได้ จะต้องร่วมงานกับภาครัฐเท่านั้น ถ้าจะปลูกก็ต้องรวมตัวเป็นวิสาหกิจชุมชน ภาครัฐจึงเป็นผู้ผูกขาดวัสดุกัญชาเพียงแต่ผู้เดียว
ท่านผู้ชมครับ เมื่อใดก็ตามรัฐบาลเข้ามาเกี่ยวข้อง ตั้งชื่อเสียหรู ว่า วิสาหกิจชุมชน เมื่อนั้นคือช่องทางที่ทำให้ข้าราชการทำมาหาแดก (ขอโทษนะ ขอใช้ภาษาที่หยาบหน่อย) กับประชาชน ให้อนุญาตวิ่งเต้น ตั้งวิสาหกิจชุมชนปลอมๆ ขึ้นมา ตั้งขึ้นมา ภาครัฐนั้น แพทย์แผนปัจจุบันส่วนใหญ่ ไม่ต้องการจำหน่ายกัญชาให้ประชาชน แพทย์แผนปัจจุบัน รามาฯ เอย จุฬาฯ เอย โรงพยาบาลตำรวจเอย ราชวิถีเอย โรงพยาบาลของรัฐ เพราะหมอทุกวันนี้ งานที่รับอยู่ประจำก็หนักจะตายอยู่แล้ว ไม่อยากยุ่งยาก อีกอย่างที่สำคัญที่สุด เคล็ดลับอยู่ตรงไหนรู้ไหมท่านผู้ชม กัญชาไม่มีค่าคอมมิชชัน ไม่เหมือนซื้อยาจากต่างประเทศ บริษัทยาก็เลยต้องวิ่งเต้นไม่เอากัญชาเข้ามาแล้วลดยอดขายยาตัวเอง ถ้าเกิดเอาน้ำมันกัญชาเข้ามา เอากัญชาเข้ามารักษาโรค หนึ่ง ยานอนหลับขายไม่ออก สอง ยาลดความเครียด ขายไม่ออก สาม ยาพาร์กินสัน สี่ ยาลมชัก ห้า ยาลดปวด หก ยาลดอาการอักเสบ และอีกต่างๆ เยอะแยะไปหมด นี่คือเงินทองของบริษัทยาต่างประเทศทั้งนั้น ก็เลยวิ่งเต้น ไม่ให้โรงพยาบาลเอามาใช้ แล้วอีกประการหนึ่ง หมอก็พอใจ เพราะธรรมดางานก็เยอะอยู่แล้ว และอย่างที่ผมเรียนให้ทราบ ไม่มีค่าคอมมิชชัน ยังไม่นับทัศนคติที่มองกัญชาเป็นยาเสพติดอีก
จากสถิติก็เลยค้นพบว่า 75 เปอร์เซ็นต์ ของกัญชาที่ใช้กันอยู่ในระบบ เป็นกัญชาใต้ดิน ไม่ได้โผล่ขึ้นมาบนดินหรอก 25 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้นที่ใช้ในระบบถูกต้องตามกฎหมาย นอกนั้นก็ใต้ดินทั้งนั้น แล้วก็ใช้กันเยอะแยะไปหมดเลยตอนนี้ จนยากัญชาที่มี THC ขององค์การเภสัชกรรม และอภัยภูเบศร์ หมดอายุไปเป็นจำนวนมาก และเป็นการเสียงบประมาณอย่างมหาศาล
ท่านผู้ชมลองคิดดูนะครับ ดอกกัญชาที่รัฐผูกขาดเอาไว้ ใช้ไม่หมด ถ้าใครยังมาวิ่งเต้นปลูกกัญชาเพิ่มอีก แน่ใจหรือว่ารัฐจะรับซื้อดอกกัญชาไว้อย่างไม่อั้น เจ๊ง!
ท่านผู้ชมครับ นี่คือเรื่องที่ผิดฝาผิดตัว เพราะว่ามีแพทย์จำนวนมากอยู่ในโรงพยาบาล และอยู่ในคลินิกเอกชน ต้องการใช้กัญชาตามองค์ความรู้ของตัวเองให้กับประชาชน แต่ดันไม่มีกัญชาอยู่ในมือเลย แต่ภาครัฐมีกัญชา แต่แพทย์ซึ่งอยู่ในหน่วยงานภาครัฐกลับไม่ต้องการจ่ายกัญชาให้กับชาวบ้าน ตลกไหมท่านผู้ชม ? คุณอนุทิน ชาญวีรกูล ตลกไหมครับ ? และการบังคับบทเฉพาะกาลต้องให้ปลูกและผลิตร่วมกับภาครัฐเท่านั้น ผู้ที่จะเข้าถึงภาครัฐได้จึงกลายเป็นคนที่วิ่งเต้น มีเส้นสาย บางวิสาหกิจชุมชนอุปโลกน์ขึ้นมา มีหุ่นเชิดขึ้นมา จ่ายใต้โต๊ะเพื่อสามารถเซ็น MOU ในการปลุกกัญชากับหน่วยงานภาครัฐได้ แต่ก็เกิดกับดักตรงที่ว่า เมื่อแพทย์ส่วนใหญ่จ่ายกัญชาน้อยมาก จนผลิตภัณฑ์กัญชาหมดอายุ ทำให้กัญชาในวิสาหกิจชุมชนที่ปลูกขึ้นมาถูกนำไปใช้น้อยมาก และทำให้เจ๊งกันเป็นแถว
ในการปั่นราคาใบกัญชาแพงทะลุโลก ผมจะเล่าความบ้าบอราคาใบกัญชาให้ฟัง มีวิสาหกิจชุมชนแห่งหนึ่งที่ปลูกและเซ็น MOU กับภาครัฐ เริ่มขายใบกัญชาสดในสัปดาห์แรก 1,000-2,000 บาทต่อกิโลกรัม ต่อมาสัปดาห์ที่สอง เพิ่มราคาเป็น 5,000 บาท สัปดาห์ที่สาม เพิ่มเป็น 15,000 บาท สัปดาห์ที่สี่ เป็น 30,000 บาทต่อกิโลกรัม หรือว่าภายใน 1 เดือน 30 เท่า ภายในระยะเวลาไม่ถึง 1 เดือน ท่านผู้ชมครับ เป็นราคาที่บ้าบอคอแตก เพราะถือว่าของไม่มี เกษตรกรปลูกไม่ได้ ฉวยโอกาสขึ้นราคาเกินความเป็นจริง
ผมจะบอกให้ท่านผู้ชมฟัง กัญชาอัดแท่งใต้ดินที่มีช่อดอก เขาขายกัน 8,000-12,000 บาท เท่านั้น และผมยืนยันได้ว่า ราคาแบบนี้ยังแพงเกินไป ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าตลาดต่างประเทศใบกัญชาสดเขาเอามาทำเป็นอาหารสัตว์ กิโลกรัมละ 100-200 บาท เท่านั้นเอง ส่วนราคากลางที่แม่โจ้ตั้งไว้ ที่เมืองนอกขาย 100-200 บาท แม่โจ้ขาย 5,000 บาท แล้วมันจะไม่เจ๊งได้อย่างไร ท่านผู้ชมเริ่มเข้าใจสิ่งที่ผมพยายามพูดหรือยัง ที่ราคาแพงแบบนี้เพราะกฎกติกา บทเฉพาะกาลบ้าๆ บอๆ ว่าปลูกต้องร่วมกับภาครัฐเท่านั้น ทั้งที่การปลูกเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ไม่ควรจำกัดเฉพาะโรงพยาบาลภาครัฐ แต่ควรให้แพทย์และแพทย์แผนไทยทั้งประเทศในสถานพยาบาลเอกชนสามารถเซ็น MOU กับชาวบ้านได้ คือให้ชาวบ้านปลูก บ้านละ 6 ต้น ก็ปลูกเลย เจรจากัน แล้วซื้อขายกัน ทีนี้เหตุผลที่ราคาในต่างประเทศถูก เพราะมีสารแคนนาบินอยด์ไม่มาก ยกเว้นว่านำใบกัญชาปรุงเป็นตำรับยาไทย หรือตำรับอาหารไทย ซึ่งโบราณเขาบอกว่าจะทำให้หลับ เจริญอาหารดี
ท่านผู้ชมครับ ช่วงนี้เป็นช่วงเห่อกัญชาชั่วคราว ปรากฏว่าวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2564 ประมาณเดือนกว่าๆ คณะกรรมการยาเสพติดเห็นชอบการปลูกกัญชารวมทั้งสิ้น 42 ราย สกัด 3 ราย นำเข้า 1 ราย รวม 46 ราย เห็นได้แล้วนะท่านผู้ชม ว่าอีกไม่เกิน 4 เดือน ราคาใบกัญชาจะร่วงลง ดอกกัญชาจะไม่ได้รับซื้อจากภาครัฐ เพราะภาครัฐไม่มีงบซื้อไว้เพื่อหมดอายุ เรื่องนี้ใครเร็วกว่า ฉลาดกว่า ก็ทำกำไรได้ ใครขยับช้า ตามมาทีหลัง ก็อาจจะเจ๊ง ใครซื้อมากักตุน ก็เจ็บตัว ขาดทุนหมด
ใครจะเป็นเหยื่อนำเข้าเมล็ดและต้นกล้ากัญชง CBD สูง เตรียมพบกับคนที่โลภ ตั้งเป้าไว้ว่า ต้องมีรายได้ 1.5-5 แสนล้านบาท ท่านผู้ชมครับ กระทรวงสาธารณสุขได้ออกกฎกระทรวงกัญชงให้นำเข้าเมล็ดพันธุ์พืชจากต่างประเทศเข้ามาเชิงพาณิชย์ ก็ปรากฏว่าเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2564 มีบริษัทเข้ามาขออนุญาตนำเมล็ดพันธุ์พืชเข้ามา 7 บริษัท บริษัท สันติสุข อกริเทค บริษัท เฮิร์บ เทรเชอร์ บริษัท ลีน แอนด์ ยัง บริษัท อีสเทิร์น สเปคตรัม กรุ๊ป บริษัท แพล้นโทโลยี บริษัท สยามเฮอเบิล เทค บริษัท กัญชาภัทร รวมทั้งสิ้นถ้าคิดเป็นเมล็ด คือ 4,042 ล้านเมล็ด ตอนนี้มีคนเสนอว่าจะขายเมล็ดละ 30 บาท หมายถึงเตรียมมีคนจ่ายเงินซื้อแล้ว 121,000 ล้านบาท บางคนก็หัวใสกว่านั้น เตรียมขาย 100 บาทต่อเมล็ด นั่นหมายถึงมูลค่าที่ต้องมีคนเสียเงินมากถึง 4 แสนล้านบาท
ท่านผู้ชมครับ บริษัทต่างๆ ที่ผมเอ่ยชื่อไปนั้น มีอยู่หลายบริษัท ถ้าไม่มีเส้น ไม่ได้รับใบอนุญาตหรอกครับ ถ้าเข้าการเมืองไม่ติด ไม่มีครับ ที่ทราบมามีบริษัทหนึ่งในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งเจ้าของบริษัทเป็นสมาชิกพรรคภูมิใจไทย ก็ได้เข้าไปเช่นกัน ท่านผู้ชมเห็นหรือยังว่า ผลประโยชน์มีอยู่ตลอดเวลา แต่กัญชาบ้านละ 6 ต้น กลับไม่เกิด แต่กลับเกิดเปิดโอกาสให้คนนำเมล็ดพันธุ์เข้ามา แล้วคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองก็จะได้ เริ่มมีการผูกขาดกันแล้ว เพราะฉะนั้นแล้ว ท่านผู้ชมจะเห็นได้ชัดว่าธุรกิจกัญชง-กัญชา นั้น เป็นธุรกิจที่สมควรจะเจ๊ง เพราะว่ามีคนกำลังเห่อมาก และที่สำคัญที่สุด ไม่มีการกระจายอำนาจลงไปให้กับแพทย์ คลินิกเอกชน ตลอดจนแพทย์แผนไทย สามารถจะซื้อใบกัญชาโดยตรงจากชาวบ้านได้ ไปผูกมัดให้วิสาหกิจชุมชน ต้องมีวิสาหกิจชุมชน ต้องทำสัญญากัน เซ็น MOU กัน ถึงจะผลิตได้ แล้วของพวกนี้ก็หมุนเวียนกลับเข้าไปสู่กลุ่มบริษัทที่กำลังผูกขาดพวกกัญชาและกัญชงอยู่ ท่านผู้ชมเห็นหรือยังครับ ความจริงแล้วข้อมูลมีเยอะ ผมไม่อยากจะพูด มันเยอะมาก เยอะจริงๆ แต่เอาเป็นว่าผมจะเตือนพรรคภูมิใจไทยหน่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณอนุทิน ชาญวีรกูล อะไรที่คุณสัญญาไว้ตอนคุณหาเสียง ผมไม่ลืมหรอกครับ
และผมไม่อยากให้ประชาชนที่ลงเสียงให้กับพรรคภูมิใจไทยลืมเรื่องพวกนี้เลยแม้แต่นิดเดียว ผมจะมีหน้าที่คอยเตือนความจำในวันเลือกตั้งวันหน้า ถ้าเขาไม่ทำตามที่บอก ผมจะเตือนท่านผู้ชม อย่าเลือกพรรคภูมิใจไทยเลยแม้แต่นิดเดียว
ท่านผู้ชมครับ วันนี้ผมจะพูดเรื่องที่เป็นข่าวอยู่ในโลกนี้ คือกรณีซินเกียง หรือที่เขาเรียกว่า ซินเจียง ในภาษาจีนกลาง ผมเรียกว่าซินเจียงดีกว่า
เมื่อประมาณสิบกว่าปีที่แล้วมีนายพันเอก ทหารนอกราชการของกองทัพบกสหรัฐฯ คนหนึ่งได้กลายเป็นที่ปรึกษาทางด้านความมั่นคงของสหรัฐฯ ได้กล่าวสุนทรพจน์ในสถานที่ที่หนึ่ง และชี้ให้เห็นว่าจุดอ่อนของจีนคือ ซินเจียง เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้าจับประเด็นซินเจียงให้ดีๆ จะสามารถทำให้เกิดความวุ่นวายในประเทศจีนได้
ซินเจียง เป็นมณฑลที่อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของจีน ผมจะเล่าประวัติซินเจียงให้ฟังนิดหนึ่ง ซินเจียง ตกเป็นของจีนสมัยราชวงศ์ฮั่น ในยุคที่ผมเรียกว่า "หลิวเช่อ" หลิวเช่อ เป็นจักรรพรรดิจีนที่สืบบัลลังก์มาจากต้นตระกูลของเขา คือ "หลิวปัง" หลิวปัง ก็คือผู้ก่อตั้งราชวงศ์ฮั่นคนแรก แล้วไล่มาจนถึงยุค หลิวเช่อ หลิวเช่อ มีกองทัพที่มีแสนยานุภาพสูง แล้วก็ออกไปต่อสู้ขับไล่พวก "ซงหนู" ซงหนู คือคนที่อยู่ทางเหนือของประเทศจีน แล้วก็รุกไปทางทิศตะวันตก
ทางทิศตะวันตกนั้น เป็นชนเผ่าต่างๆ ซึ่งมีพวกเติร์กเมนิสถานเอย พวกอุยกูร์เอย ซึ่งคนจีนเขาเรียกคนพวกนี้ว่า ชาวหู ก็คือคนที่มีตาสี คือคนจีนชาวฮั่น ตาสีดำ ชาวหู ตาสีฟ้า แล้วก็มีผิวขาวเป็นพิเศษ
เพราะฉะนั้นแล้ว ในลักษณะของประวัติศาสตร์จีนแล้ว ซินเจียง เป็นมณฑลหนึ่งที่จีนผนวกเข้ามาอยู่ในประเทศจีนมาเป็นพันๆ ปีแล้ว ทีนี้การผนวกเข้ามาในยุคแรกๆ ก็ยังคงเป็นคนพื้นเมืองอยู่ ก็คือชาวอุยกูร์ แล้วพอมาตอนหลังก็เริ่มมีคนจีนอพยพเข้าไปอยู่ในพื้นที่ของชาวอุยกูร์ ไปทำมาค้าขาย ในยุคๆ หนึ่ง ซินเจียง เป็นที่ร้อนสำหรับการก่อการร้าย เพราะว่าชาวอุยกูร์ และพวกเติร์กเมนิสถาน ซึ่งหนุนหลังโดยตุรกี เป็นพวกมุสลิมทั้งหมด ต้องการที่จะก่อความวุ่นวายและแยกซินเจียงออกมาให้เป็นประเทศราชอีกประเทศหนึ่ง ซึ่งท่านผู้ชมก็รู้ ผมก็รู้ ทุกคนก็รู้ว่า เรื่องอะไรในจีนคุยได้หมดทุกเรื่อง เรื่องเดียวที่ไม่ยอมคุยด้วยก็คือ ซินเจียง ทิเบต ฮ่องกง และไต้หวัน เพราะว่าจีนถือว่าเป็นพื้นที่อำนาจอธิปไตยของจีน แล้วจีนก็พิสูจน์ได้ทางประวัติศาสตร์จีนเป็นพันปีว่า ซินเจียง เคยเป็นของจีนมา
จนกระทั่งในยุคหนึ่งที่ผู้ก่อการร้ายอัลกออิดะห์ หรือบรรดาไอเอส ก่อการร้ายขึ้นมา พวกอุยกูร์ก็เลยเริ่มสร้างปัญหาก่อการร้ายในประเทศจีน ระเบิดในมณฑลซินเจียงบ้าง ในเมืองหลวง เช่น อุรุมชี เมืองหลวงของมณฑลซินเจียง และมีการมาระเบิดสถานีรถไฟปักกิ่ง ตลอดจนวางระเบิดแล้วก็เอาระเบิดพลีชีพมา
จนกระทั่งจีนตัดสินใจแก้ปัญหาที่เด็ดขาดของซินเจียง โดยจีนส่งกองทัพเข้าไปเป็นจำนวนมาก ไปจัดระเบียบซินเจียงเสียใหม่ คือจีนจะแบ่งแยกคนที่ไม่ต้องการจะแบ่งแยกดินแดน คนที่ไม่มีปัญหาออกมา ส่วนคนที่หัวรุนแรงหรือคนที่ต้องการแบ่งแยกดินแดน เขาจะแยกไปอีกส่วนหนึ่ง แล้วเขาเอาไปเข้าค่าย ซึ่งฝรั่งเรียกว่า ค่ายกักกัน แต่จีนเขาบอกนี่ไม่ใช่ค่ายกักกัน แต่เป็นค่ายให้การศึกษาทบทวน แล้วให้อาชีพ ฝึกคนทำอาชีพ มีการศึกษาให้ มีการฝึกงานฝึกการ แน่นอนที่สุดว่า ข่าวคราวชาวอุยกูร์ก็หลุดออกไปเป็นครั้งๆ เพราะว่าชาวอุยกูร์ต้องการจะมีเอกราชเกิดขึ้นมา ในขณะเดียวกัน ทางตะวันตกก็ต้องการสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายในมณฑลซินเจียง เพื่อจะถือโอกาสที่จะเข้ามาแทรกแซงเหตุการณ์ต่างๆ ในประเทศจีน ซึ่งแน่นอนที่สุด จีนไม่ยอมอย่างแน่นอน นั่นคือที่มาของความขัดแย้งในซินเจียง
ในการที่เอาคนเข้าไปกักขัง ซึ่งฝรั่งบอกว่าประมาณ 1 ล้านคน ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าตัวเลขจริงๆ เป็นเท่าไร แต่ผมคิดว่าไม่น่าจะถึง 1 ล้านคน ผมคิดว่าน่าจะเป็นคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อการร้าย หรือคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มผู้ก่อการร้าย เป็นญาติพี่น้อง เอามารวมไว้ที่เดียวกันเลย แล้วก็ให้การศึกษา ให้อาชีพ สอนวิธีซ่อมรถยนต์บ้าง โน่นนี่นั่น ก็คือหวังว่าคนพวกนี้เมื่อผ่านไประยะหนึ่งแล้ว ก็สามารถที่จะสร้างงานขึ้นมาได้ แต่เผอิญ ซินเจียง มีธุรกิจอันหนึ่ง ซึ่งเป็นธุรกิจ 'ฝ้าย'
ฝ้ายซินเจียง มีสัดส่วนประมาณ 22-23 เปอร์เซ็นต์ ของการผลิตฝ้ายในโลกนี้ ทีนี้พอฝ้ายซินเจียงเกิดขึ้นมาปั๊บ ปรากฏว่าฝรั่งก็เลยใช้วิธีรุก รุกโดยใช้สิทธิมนุษยชนเข้าเป็นตัวรุก บอกว่า ฝ้ายที่ผลิตจากซินเจียงใช้แรงงานที่ถูกกดขี่ ใช้แรงงานที่ถูกจีนจับเอาไว้ เพราะฉะนั้นแล้วจะต้องบอยคอตฝ้ายซินเจียง บริษัทฝรั่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น H&M ไม่ว่าจะเป็น CONVERSE ไม่ว่าจะเป็น adidas ไม่ว่าจะเป็นโน่นนี่นั่น ก็ตอบสนองความต้องการของชาติทางตะวันตก ก็เลยเกิดการแอนตี้ฝ้ายซินเจียงทันทีเลยว่า ถ้าเสื้อผ้านี้ใช้ฝ้ายของซินเจียงมาทำ ไม่ยอมรับ ไม่ขาย หรือไม่ยอมใช้ฝ้ายซินเจียง ถึงกับบางแห่งประกาศออกมาให้กับลูกค้าตัวเองว่า เสื้อผ้า รองเท้า adidas Nike ไม่ได้ใช้ฝ้ายที่มาจากซินเจียง เท่านั้นเองล่ะ ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น ?
เขาเรียกว่าเกิดภาพสะท้อนขึ้นมา ทำให้กระแสรักชาติของคนจีนที่อยู่ในประเทศจีนทั้งหมด ลุกฮือขึ้นา โฆษกกระทรวงต่างประเทศของจีนบอกว่า เฮ้ย คุณทำอย่างนี้ไม่ได้ คุณมากินข้าวในประเทศจีน ก็คือคุณมาทำมาหากินแล้วคุณกำไร ได้กินข้าวจากประเทศจีน แล้วคุณมาทุบชามข้าวประเทศจีนได้อย่างไร เพราะฉะนั้นแล้ว แบรนด์ดังต่างๆ ว่าจะไม่ใช้ฝ้ายซินเจียง มี H&M, NIKE, adidas, PUMA, CONVERSE, Calvin Klein, TOMMY HILFIGER, UNIQLO, BURBERRY ฯลฯ ก็เลยถูกกระแสผู้บริโภคจีนลุกขึ้นมา มีความเป็นชาตินิยม ต่อต้านคนพวกนี้ทันทีเลย ทีนี้วิธีต่อต้านมีหลายวิธี คนพวกนี้ก็ไม่ได้คิดว่าจะมีการต่อต้านที่ค่อนข้างจะไฮเทคพอสมควร เพราะว่าพอจีนเข้าสู่ไฮเทคแล้ว มีเว็บไซต์ Alibaba มี HUAWEI มีแอปฯ ทุกคนใช้เทคโนโลยีหมด ปรากฏว่าบริษัทเทคโนโลยีทางจีนทุกคน รวมทั้ง Tencent, Alibaba, HUAWEI, เหม่ยถวน คือบริษัทส่งอาหารที่ใหญ่ที่สุดของจีน บริษัทที่เรียกแท็กซี่ คล้ายๆ GRAB ก็ถอดโลเกชันของบริษัทต่างๆ ไม่ว่าจะ H&M ไม่ว่าจะเป็นอะไร ถอดออกจากแอปฯ ของตัวเองหมดเลย ก็คือพูดง่ายๆ ว่า ถ้าท่านผู้ชมไปเมืองจีน แล้วท่านผู้ชมจะหา H&M พอกดเข้าไป จะไม่มี ถอดออกไปหมดเลย
นอกจากนั้นแล้ว เนื่องจากจีนเป็นตลาดใหญ่มาก ใหญ่จริงๆ อย่างเช่น NIKE ก็ไม่มีสิทธิที่จะเอาคนที่เป็นคนดำ หรือคนขาว มาเป็นตัวละคร มาเป็นพระเอกในการแสดงโฆษณาของ NIKE ต้องเอาดาราจีนที่มีชื่อมา ปรากฏว่าดาราจีน ซูเปอร์สตาร์นับสิบคน ตกลงใจยกเลิกสัญญาเลย ไม่เป็นพรีเซ็นเตอร์ให้ ไม่เป็น influencer ให้ ตัดความสัมพันธ์กับแบรนด์ดัง H&M เป็นผู้ค้าปลีกเสื้อผ้ารายใหญ่อันดับสองของโลก ถูกถอดออกจากเว็บไซต์ e-Commerce รายใหญ่ของจีน รวมถึงแอปพลิเคชันต่างๆ เกือบหมด
เว็บไซต์ NIKE แถลงออกมา เรายึดมาตรฐานแรงงานสากล เราคำนึงถึงรายงานเกี่ยวกับการบังคับใช้แรงงานที่เชื่อมโยงไปยังเขตปกครอง NIKE อ้างถึงข้อมูลรายงานอันโน้นอันนี้ ก็คือพูดง่ายๆ ว่า NIKE กำลังจะหาความชอบธรรม ว่าที่ตัวเองต้องทำนั้น ตัวเองทำตามมาตรฐานสากล แต่ว่าประเทศจีนไม่แคร์ อยากจะทำตามมาตรฐานสากลก็ทำไป ถ้าอย่างนั้นไม่ต้องมาขายของในจีน ปรากฏว่ามีภาพ เห็นเลยว่า H&M, NIKE ไม่มีใครเข้าร้านเลยแม้แต่นิดเดียว คือมันไปปลุกกระแสความรักชาติขึ้นมาทันที คนจีนทุกคน ทุกหน่วย ทุกหมู่เหล่า เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งว่าตะวันตกมากเกินไปแล้ว มารังแกจีน มากินข้าวในเมืองจีน แล้วทุบจานข้าวทิ้ง เพราะฉะนั้นตอนนี้มีคนที่มีชื่อเสียงโด่งดังต่างๆ แล้วก็ปฏิเสธที่จะมาเป็นเอเยนต์ให้ เป็น influencer ให้ UNIQLO ก็โดนแอนตี้นะ ทีนี้การรณรงค์กัน ปรากฏว่ามีอยู่เจ้าหนึ่งที่ฉลาด คือ MUJI
MUJI ก็มาจากญี่ปุ่นเหมือนกัน แต่ MUJI อยู่เป็น MUJI ถือโอกาสประชาสัมพันธ์เสื้อผ้าทำจากผ้าฝ้ายซินเจียง โดยติดป้ายข้อความที่เขียนว่า XINJIANG COTTON ฝ้ายจากซินเจียง โดยปรากฏอย่างชัดเจนในเว็บไซต์ e-Commerce ชื่อดัง อย่าง TMALL ซึ่ง TMALL นั้นก็ถอด UNIQLO ออกไปแล้ว เหลือ MUJI เจ้าเดียว จีนเป็นตลาดสำคัญของ MUJI มีสาขาถึง 274 แห่งในจีนแผ่นดินใหญ่ ในช่วงมีนาคม-พฤศจิกายน 2562 ทำยอดขายในประเทศจีนถึง 17 เปอร์เซ็นต์ ของยอดขายรวม
พฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม ที่ผ่านไป ประมาณอาทิตย์กว่าๆ ผู้จัดการ หวัง อี้ป๋อ ดาราหนุ่มวัย 23 ปี ในเวยป๋อ (Weibo) โซเชียลมีเดียของจีน มีคนติดตามอยู่ 38 ล้านคน และถานซงยุ่น ดาราสาวชื่อดังวัย 30 ปี ของจีน เวยป๋อ มีผู้ติดตามมากกว่า 23 ล้านคน ออกมาแถลงเลยว่าทั้งสองคนจะยุติการเป็น Official Partner ของ NIKE โดย Official Partner นั้นเป็นตำแหน่งพิเศษกว่า Brand Ambassador หรือพรีเซ็นเตอร์ ทำหน้าที่ส่งเสริมการขายให้กับ NIKE ทั้งหมด ทั้งสองคนนี้คงได้ค่าตอบแทนจาก NIKE และ H&M มากพอสมควร แต่ตัดสินใจตัดทิ้งรายได้ที่ตัวเองต้องการ
25 มีนาคม 2564 ต้นสังกัดของดาราทั้งสอง คือ YUEHUA Entertainment ตัวแทนดารา หวัง อี้ป๋อ ออกมาประกาศยกเลิกสัญญากับ NIKE ทันที โดยในแถลงการณ์กล่าวว่า ตั้งแต่วันนี้ ทางเราและ หวัง อี้ป๋อ ขอยุติความร่วมมือกับ NIKE ทั้งหมด เราและ หวัง อี้ป๋อ ขอต่อต้านการกระทำและคำพูดต่างๆ ที่ส่งผลต่อประเทศจีน เราไม่ยอมให้ศักดิ์ศรีของประเทศเสื่อมเสีย เราจะปกป้องประเทศอย่างเด็ดเดี่ยว
ในขณะเดียวกัน H&M แบรนด์เสื้อผ้า ก็ถูกคว่ำบาตร ถอดออกจากแพลตฟอร์ม e-Commerce ใหญ่หลายแห่ง อย่างเช่น พินตัวตัว (Pinduoduo) จิงตง (Jingdong) TMALL ของบริษัทในกลุ่ม Alibaba
24 มีนาคม 2564 ร้านค้า H&M ในหลายเมือง เช่น อุรุมชี เมืองเอกของซินเจียง จี่หนาน เมืองเอกของซานตง ต้องปิดตัวลงท่ามกลางกระแสเรียกการบอยคอตสินค้าของ H&M ดาราดังของจีนคนอื่นๆ อย่างเช่น หวง ซวน นักแสดงชาวจีน ซึ่งเคยทำสัญญาเสื้อผ้าบุรุษร่วมกับ H&M โพสต์ข้อความว่า เขาจะฉีกสัญญาดังกล่าว พร้อมเสริมว่า เขาไม่สนับสนุนการใส่ร้ายและสร้างข่าวลือ รวมทั้งความพยายามใดๆ ที่จะทำให้ประเทศเสื่อมเสียชื่อเสียง ในขณะที่นักร้องและนักแสดง วิกตอเรีย ซ่ง ออกมาแถลงการณ์ในรูปแบบเดียวกันว่า เธอไม่มีความสัมพันธ์กับแบรนด์อีกต่อไป และผลประโยชน์ของชาติอยู่เหนือสิ่งอื่นใด
ผู้ประกาศข่าว CCTV วิพากษ์วิจารณ์ H&M และกล่าวว่า เป็นการตัดสินใจที่ผิดที่พยายามรับบทเป็นฮีโร่ H&M ต้องชดใช้กรรมอย่างหนักที่ทำไม่ถูกต้อง H&M ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร พูดได้อย่างเดียวว่า ประเทศจีนเป็นตลาดลูกค้ารายใหญ่อันดับ 4 ของ H&M มียอดขายล่าสุด 2.9 พันล้านโครนาสวีเดน หรือ 10,000 ล้านบาท ในช่วง 1 ปี ก็หมายความว่าปีหน้า 10,000 ล้านบาท นี้ ก็หายไป
ท่านผู้ชมครับ บริษัทไอทียักษ์ใหญ่ของจีนยกเลิกสัญญาแบรนด์หรู Tencent บริษัทพัฒนาเกมของจีน ประกาศยกเลิกสัญญาสร้างตัวละครอวตารในเกม Honor of Kings ที่ทำไว้กับแบรนด์หรูอย่างเช่น BURBERRY
HUAWEI ก็ไม่ใช่ธรรมดา รีบดำเนินการถอด NIKE, adidas ออกจาก App Store ของตัวเอง จากกรณีเกิดความขัดแย้งเรื่องผ้าฝ้ายในจีน
ขณะที่แอปพลิเคชันของ NIKE, adidas ใน App Store ของ HUAWEI ที่เป็นระบบแอนดรอยด์ ไม่สามารถจะดาวน์โหลดได้แล้ว ไม่ปรากฏผลของการค้นหา
เหตุการณ์บอยคอตนี้ ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Cancel Culture ส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นของบริษัทเหล่านี้ในตลาดหลักทรัพย์ พฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม 2564 หุ้น NIKE ร่วงลงมาต่ำกว่า 3 เปอร์เซ็นต์ ท่านผู้ชมครับ เยอะนะครับ 3 เปอร์เซ็นต์ adidas ราคาตกลงมา 6 เปอร์เซ็นต์ ตลาดหุ้นแฟรงก์เฟิร์ตในลอนดอน หุ้น BURBERRY หายไป 4 เปอร์เซ็นต์ หุ้น H&M หายไป 2 เปอร์เซ็นต์
ปรากฏว่าช่วงนี้กลับเป็นช่วงโชคดีของแบรนด์ของจีนเอง ใช้โอกาสพัฒนาความแข็งแกร่งและออกแบบให้เข้ากับรสนิยมคนเอเชียได้ถูกใจกว่า ที่สำคัญคือ สบายใจกว่า เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งทางการเมือง
ท่านผู้ชมครับ เรามาดูแหล่งผลิตฝ้ายของซินเจียง ซินเจียง เป็นแหล่งผลิตฝ้ายอันดับต้นๆ ของโลก จีนเป็นประเทศผู้อุปโภคบริโภคที่ใช้ฝ้ายที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นผู้ผลิตฝ้ายอันดับ 2 ของโลก รองจากอินเดีย
2563 (ปีที่แล้ว) ซินเจียง ผลิตฝ้ายได้ 5.2 ล้านตัน คิดเป็น 87 เปอร์เซ็นต์ ของการผลิตฝ้ายทั้่งหมดในประเทศจีน ขณะที่ปี 2562 ฝ้ายจีนมีส่วนแบ่งในตลาดโลก 1 ใน 4 หรือประมาณ 25 เปอร์เซ็นต์ 67 เปอร์เซ็นต์ จำนวนฝ้ายที่ผลิตในซินเจียง ใช้ในการผลิตสินค้าอื่นๆ ในประเทศจีน โดยจีนถือเป็นประเทศหนึ่งที่ขาดแคลนฝ้ายดิบ เมื่อปีที่แล้วจีนเอาฝ้ายดิบนำเข้าถึง 2.23 ล้านตัน ฉะนั้นท่านผู้ชมจะเห็นว่าการแบนฝ้ายจากซินเจียงของแบรนด์ต่างๆ จากต่างประเทศไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรกับการผลิตฝ้ายในจีน เพราะจีนผลิตใช้เองก็ไม่พออยู่แล้ว แต่ที่เสียหายหนักคือแบรนด์ต่างๆ ของตะวันตก กระแสตีกลับ ผู้บริโภคจีนออกมาทำลาย เผาสินค้าแบรนด์ดังที่ตัวเองเป็นเจ้าของ เผยแพร่ผ่านอินเทอร์เน็ต พร้อมกับออกแคมเปญว่า Xinjiang Mian Hua แปลว่า ฉันสนับสนุนฝ้ายซินเจียง กลายเป็นหอกกลับมาทิ่มแทงแบรนด์ดังระดับโลก รวมไปถึงสร้างแรงกดดันให้ดารา celebrities และผู้มีชื่อเสียงของจีน ต้องประกาศยกเลิกการเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้แบรนด์เหล่านี้ด้วย ลึกๆ พวกดาราอาจจะไม่อยากถอนตัว เพราะได้ตังค์ แต่เมื่อชื่อเสียงของชาติถูกนำหน้า แล้วถ้าตัวเองไม่ถอนตัว อาจจะถูกประณามทั่วประเทศจีนและทำให้ความนิยมชมชอบที่สังคมจีนชอบตัวเอง อาจจะตกต่ำถึงที่สุด ก็เลยจำเป็นและพร้อมใจ หลายคนก็พร้อมใจทำด้วยความตั้งใจ เต็มใจทำ แต่ผมเชื่อว่าหลายคนก็จำเป็นต้องทำ เพราะถ้าไม่ทำแล้ว ก็เรียกว่าไม่มีที่ยืนในสังคมจีนอย่างแน่นอน
ท่านผู้ชมครับ เรื่องของซินเจียง ไม่ใช่เป็นเรื่องเดียวที่เกิดขึ้น อีกหน่อยจะมีเรื่องประเภทนี้เกิดขึ้นมาอีก ประเทศจีนเป็นประเทศที่มีความโชคดีอยู่อย่างหนึ่ง คือการที่มีประชากร 1,400 ล้านคน นี่คือตลาดในประเทศที่ใหญ่มาก ที่ทุกคนจะต้องกลัว ประเทศจีนเป็นประเทศที่ไม่ต้องการพึ่งพาคนอื่นเลย และผมต้องชมรัฐบาลจีน รัฐบาลจีนวันนี้ฉลาด มองเกมออกตั้งนานแล้ว ท่านผู้ชมรู้ใช่ไหมว่าเฟซบุ๊กเข้าประเทศจีนไม่ได้ กูเกิลก็เข้าประเทศจีนไม่ได้
เขาไม่ให้เข้ามาในประเทศจีน เพราะว่ารัฐบาลจีนมองออกว่าประเทศทางตะวันตกจะสนับสนุนให้สร้างแพลตฟอร์มข่าว แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เกิดขึ้น แล้วถ้าประเทศจีนปล่อยให้เฟซบุ๊กเข้ามา กูเกิลเข้ามาในประเทศจีน ก็จะครอบงำคนในประเทศจีน และสามารถที่จะพลิกประเด็น สั่งได้ ห้ามไม่ให้ออกอันนี้ ให้ออกอันนี้ อะไรที่เป็นประโยชน์กับตะวันตกก็จะให้ออก อะไรที่ไม่เป็นประโยชน์กับตะวันตก ก็จะไม่ให้ออก
เพราะฉะนั้นผมมองแล้ว วิสัยทัศน์ของผู้นำจีนนั้น เขามองไกลมาก การที่เขาสั่งห้ามเฟซบุ๊ก กับการสั่้งห้ามกูเกิลนั้น เขาสั่งมานานแล้ว เขาไม่ใช่เพิ่งเริ่ม เพราะฉะนั้นเขามองว่าผลข้างเคียงที่จะเกิดขึ้นจะมีอะไร วันหลังผมจะพูดเรื่องนี้ให้ท่านผู้ชมฟัง ซึ่งอินเดียเองก็เริ่มจะปรับตัวแล้ว อินเดียเริ่มเข้มงวดกับเฟซบุ๊กมากขึ้นหลายๆ อย่าง ในประเทศไทย เฟซบุ๊ก ถ้าจะพูดถึงเรื่องฟ้าทะลายโจร หรือพูดถึงเรื่องอะไรก็ตามที่้เป็นยารักษาโรคโควิดได้ ที่ไม่ใช่วัคซีน เฟซบุ๊กก็จะไม่ให้ออกเลย เพราะฉะนั้นแล้ว ในขณะนี้เกิดการล่าอาณานิคมแบบใหม่ ล่าอาณานิคมในทางสุขภาพแบบใหม่ ท่านผู้ชมครับ จำเอาไว้ดีๆ แล้วผมจะกลับมาอีกครั้งหนึ่งในเรื่องพวกนี้
ท่านผู้ชมครับ เมื่อประมาณ 2 อาทิตย์ที่แล้ว ในรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ผมได้หยิบยกเรื่องวิทยานิพนธ์ปริญญาเอก หัวข้อ "การเมืองไทยสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ภายใต้ระเบียบโลกของสหรัฐอเมริกา" ของนายณัฐพล ใจจริง ขณะกำลังศึกษาระดับปริญญาเอก อยู่ที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ขึ้นมาเปิดโปงว่าเป็นวิทยานิพนธ์ลวงโลก และเป็นวิทยานิพนธ์ที่ไม่เพียงแต่ไม่ได้มาตรฐานทางวิชาการ เพราะใช้หลักฐานอ้างอิงที่ไม่มีอยู่จริง จน ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์ประจำภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ กับคณะ ไปค้นพบเข้า
ต่อมาวิทยานิพนธ์ฉบับดังกล่าวและข้อความที่ใช้หลักฐานอ้างอิงปลอมดังกล่าว ถูกนำไปพูดในเวทีเสวนาทางวิชาการ รวมทั้งอ้างอิงในวิทยานิพนธ์และบทความทางวิชาการอีกหลายครั้ง ที่สำคัญคือ วิทยานิพนธ์ "การเมืองไทยสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ภายใต้ระเบียบโลกของสหรัฐอเมริกา" มีจุดบกพร่องเต็มไปหมด ได้ถูกสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน ดัดแปลงเนื้อหามาตีพิมพ์เป็นหนังสือ 2 เล่ม เล่มแรกชื่อ "ขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ" และ "ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี" ซึ่งกลายเป็นหนังสือขายดี และม็อบเด็กสามนิ้วนำไปขยายความ เอามาโจมตีสถาบันกษัตริย์แบบผิดๆ ถูกๆ
ท่านผู้ชมครับ การใช้หลักฐานอ้างอิงปลอมดังกล่าว ส่วนหนึ่งกล่าวถึงบางกอกโพสต์ ในฉบับวันที่ 18 ธันวาคม 2493 แล้วก็อีกส่วนหนึ่ง ในหอจดหมายเหตุของสหรัฐอเมริกา เป็นเอกสารการทูตที่หอจดหมายเหตุอเมริกา ลงวันที่ 26 ธันวาคม 2493 ท่านผู้ชมครับ ผมได้พิสูจน์ให้ท่านผู้ชมเห็นแล้วว่า คำอ้างอิงนั้นไม่มีปรากฏในหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ออกมาแถลงการณ์ชี้ชัดว่า ไม่มีข้อมูลดังกล่าวที่นายณัฐพล ใจจริง ได้อ้างอิงว่ามาจากบางกอกโพสต์ ไม่มีเลย ในจดหมายเหตุที่อยู่ที่อเมริกาก็ไม่มีเช่นกัน
เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่ กลายเป็นวิทยานิพนธ์ฉาว ทำให้จุฬาฯ ต้องแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนหาข้อเท็จจริง เมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2564 และทายาทของสมเด็จพระบรมวงศ์เธอกรมพระยาชัยนาทนเรนทร ผู้สำเร็จราชการในรัชกาลที่ 5 หม่อมราชวงศ์ปรียนันทนา รังสิต ในวันที่ 5 มีนาคม 2564 ได้มอบหมายให้นายสมผล ตระกูลรุ่ง ทนายความ ยื่นคำร้องต่อศาลแพ่ง เพื่อดำเนินคดีต่อนายณัฐพล และผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด
มันเกิดเรื่องขึ้นมาเมื่อวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2564 ประมาณอาทิตย์กว่าๆ เฟซบุ๊ก เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง - คนส. ได้มีการเผยแพร่จดหมายเปิดผนึกถึงจุฬาฯ แสดงความห่วงใยต่อการดำเนินการกรณีวิทยานิพนธ์ปริญญารัฐศาสตรดุษฎีบัณฑิต ของนายณัฐพล ใจจริง มีการล่าชื่อนักวิชาการ 279 คน และวิชาชีพอื่นที่สนับสนุนจดหมายเปิดผนึกดังกล่าว ผมจะเล่าให้ฟังว่าจดหมายเปิดผนึกนั้น หลักๆ แล้วเขาพูดเรื่องอะไร
ข้อที่ 1 เขาพูดบอกว่า นายณัฐพล ใจจริง มีความบริสุทธิ์ใจ และมีจรรยาบรรณทางวิชาการ
ขณะที่ในเนื้อหานั้นยอมรับเลยว่าเสกสรรค์ปั้นแต่ง ข้อมูลหลักฐานอ้างอิงขึ้นมาลอยๆ ทำให้อ้างแต่เพียงว่าได้แก้ไขจุดผิดพลาดแล้ว แต่ไม่ได้บอกถึงความร้ายแรงของจุดผิดพลาด
ข้อเท็จจริงตามระดับข้างต้นนี้ชี้ให้เห็นถึงความบริสุทธิ์ใจและความรับผิดชอบทางวิชาการของผู้เขียนที่จะแก้ไขความผิดพลาดทั้งในวิทยานิพนธ์และในหนังสือที่ตีพิมพ์ในภายหลัง ฉะนั้นการตั้งกรรมการเพื่อสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีวิทยานิพนธ์ของนายณัฐพล จึงเป็นการกระทำที่ไม่ได้สัดส่วนกับความผิดพลาดที่นายณัฐพล ได้แก้ไขตามข้อท้วงติงแล้ว
นั่นคือข้ออ้างของนักวิชาการสองร้อยกว่าคน ประเด็นที่ผมอยากจะพูดเรื่องข้อที่ 1 ก็คือว่า นอกจากนี้ ในความเป็นจริงคือมีการนำวิทยานิพนธ์ไปเผยแพร่ทางโลกออนไลน์อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ปรากฏสำเนาวิทยานิพนธ์ในสถาบันการศึกษาบางแห่ง จนมีผู้นำไปใช้อ้างอิงต่อ นอกจากนี้ จดหมายเปิดผนึกดังกล่าวยังหลีกเลี่ยง ไม่กล่าวถึงหนังสือ "ขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ" ข้อมูลอ้างอิงเท็จดังกล่าวถูกระบุอยู่ในหน้า 105 ของวิทยานิพนธ์ดังกล่าว ถูกดัดแปลงไปเป็นเนื้อหาในหน้า 124 ของหนังสือ "ขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ" ที่ยังมีข้อผิดพลาดอย่างร้ายแรงดังกล่าว ตัวนายณัฐพล เอง รวมถึงสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน ก็ยังโปรโมตขายหนังสือดังกล่าว จนถึงต้นเดือนมีนาคม 2564 ก็ยังโปรโมตขายหนังสืออยู่
แสดงให้เห็นว่าไม่มีเจตนาแก้ไข ระงับการไขข้อความหรือแจ้งให้ผู้อ่านทราบเลยว่ามีการใช้ข้อมูลการอ้างอิงปลอม อย่างนี้หรือที่อ้างว่ามีความบริสุทธิ์ใจ มีจรรยาบรรณทางวิชาการ อาจารย์ไม่ได้พูดเรื่องพวกนี้เลยแม้แต่นิดเดียว พูดแต่คำพูดที่สวยหรู เดินบนทุ่งลาเวนเดอร์
ข้อที่ 2 ของจดหมายเปิดผนึก อ้างว่าน้ำหนักของความผิดน้อยและไม่ส่งผลกระทบต่อข้อเสนอของงานวิจัย โดยอ้างว่าเป็นเรื่องธรรมดา นักวิชาการผู้มีชื่อเสียงในระดับสากลก็ทำข้อผิดพลาดได้
อาจารย์ ผมไม่มั่นใจ 279 คนนี่เป็นศาสตราจารย์ก็หลายคน รองศาสตราจารย์ก็หลายคน คุณเป็นศาสตราจารย์ได้อย่างไร ? คุณไม่ใช่นักวิชาการแล้ว คุณไม่มีจิตสำนึก ไม่มีการละอายในบาปในการเป็นนักวิชาการเลย เพราะบิดเบือนข้อมูลอย่างร้ายแรง นี่คือการสร้างข้อมูลเท็จ ที่ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Data Falsification และการแต่งปั้นข้อมูลเท็จ หรือ Data Fabrication ซึ่งต้องถือว่าเป็นปาราชิกในวงการวิชาการ
ข้อที่ 3 อ้างว่าข้อมูลที่นายณัฐพล อ้างอิงนั้นไม่สำคัญ เพราะผลของการตีความของนายณัฐพล สำคัญและเป็นเหตุเป็นผลกว่า
อาจารย์ครับ การตีความของนายณัฐพล ถ้านายณัฐพล ตีความโดยไม่อ้างอิงมาเพื่อยืนยันการตีความอันนี้ ผมจะไม่พูดสักคำเลย ถ้านายณัฐพล อ้างว่าเชื่อได้ว่ามีการเข้าประชุม ครม. โดยที่ผู้สำเร็จราชการนั่งเป็นประธาน แล้วไม่มีการอ้างอิงว่าเอามาจากไหน อย่างน้อยที่สุดก็เป็นข้อโต้เถียง ซึ่งคนอ่านที่มีจิตใจเป็นธรรม ก็จะบอกว่า คุณเอาข้อมูลนี้มาจากไหน คุณมโนหรือเปล่า แต่เผอิญนายณัฐพล มาอ้างอิงว่าสิ่งที่เขาตีความนั้น มีหลักฐานประกอบ ก็คือข่าวในบางกอกโพสต์ และเอกสารที่หอจดหมายเหตุที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งในข้อเท็จจริงก็คือ ทั้งสองอันนั้นไม่มี คือคุณณัฐพล มโนขึ้นมา เพราะฉะนั้นแล้วก็เลยย้อนกลับไปว่าการที่คุณณัฐพล มาอ้างอิง ตีความนั้น ตีความอะไรกัน คุณตีความจริง แต่คุณเอาหลักฐานมายืนยันการตีความของคุณ เมื่อคุณเอาหลักฐานมายืนยันการตีความของคุณ ผมพิสูจน์ให้คุณเห็นแล้วว่าหลักฐานที่คุณอ้างอิงมาตีความนั้น มันโกหก เพราะมันไม่มี แล้วแหล่งข้อมูลเขาก็ยืนยันมาแล้วว่าไม่มี บางกอกโพสต์ออกแถลงการณ์มาแล้วว่าไม่มี อาจารย์ นี่ผมยังควรจะเรียกพวกคุณว่าอาจารย์อีกหรือเปล่า คุณเป็นนักวิชาการประสาอะไร ผมไม่เข้าใจ
ข้อที่ 4 แถลงการณ์ใส่ร้ายอาจารย์ไชยันต์ และผู้ออกมาตรวจสอบว่ามีอคติส่วนตัว และอุดมการณ์ทางการเมืองแตกต่างกัน
อาจารย์ครับ คนที่ตั้งข้อสงสัยเรื่องนี้คนแรก คือ ศาสตราจารย์ ดร.สมบัติ จันทรวงศ์ คิดว่าอาจารย์คงรู้จัก ดร.สมบัติ จันทรวงศ์ ท่านเป็นนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติ ประจำปี 2538 อดีตศาสตราจารย์ประจำสาขาการเมืองการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ไม่ใช่ศาสตราจารย์ ดร.ไชยันต์ ไชยพร และต่อให้เป็นใครก็ตามที่ตรวจสอบ คุณก็ไม่สามารถใช้เป็นข้ออ้างในการใช้ข้อมูลอ้างอิงปลอม ใครให้สิทธิคุณใช้ข้ออ้างในการใช้ข้อมูลอ้างอิงปลอม และไม่ดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้อง
ข้อที่ 5 ที่คุณเขียนจดหมายเปิดผนึกมา คุณอ้างเสรีภาพทางวิชาการ และอ้างว่าการดำเนินการตรวจสอบทำให้เกิดความหวาดกลัว ทั้งๆ ที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลยแม้แต่น้อย
อาจารย์ครับ มันเกี่ยวข้องอะไรกัน ? ระหว่างการใช้ข้อมูลปลอม กับเสรีภาพทางวิชาการ ไม่เห็นมันเกี่ยวข้องเลยแม้แต่นิดเดียว
ข้อที่ 6 อ้างว่าการตรวจสอบวิทยานิพนธ์ดังกล่าวจะทำให้ "ดัชนีเสรีภาพทางวิชาการ" (Academic Freedom Index : AFi) ตกต่ำลง
อาจารย์ที่เซ็นชื่อไป ผมถามหน่อย ได้อ่านแถลงการณ์ก่อนเซ็นหรือเปล่า ถ้าคุณมีสติสัมปชัญญะอยู่พอสมควร ผมว่าคุณไม่โง่พอที่จะเซ็นชื่อไปหรอก
วิทยานิพนธ์ดังกล่าวหากจุฬาฯ ไม่ดำเนินการให้เด็ดขาด จะทำให้ต่อไปวิทยานิพนธ์และผลงานทางวิชาการของจุฬาฯ จะถูกลดทอนความน่าเชื่อถือลงไปมาก นอกจากนี้ เหล่านักวิชาการที่กีดกันไม่ให้มีการตรวจสอบ และการเช็กการบาลานซ์ทางวิชาการ ก็จะไม่มีใครเชื่อถืออีกต่อไป
ท่านอาจารย์ทั้งหลายสองร้อยกว่าคนที่เซ็นชื่อมา ผมมาไล่ดูชื่อแล้ว มีอยู่ไม่น้อยเลยเป็นเครือข่ายกลุ่มพวกธนาธร ปิยบุตร ช่อ-พรรณิการ์ คนของอนาคตใหม่ คณะก้าวหน้า พรรคก้าวไกล และคุณปุ๊ ธนาพล อิ๋วสกุล ซึ่งแสดงออกมาชัดเจน พวกนี้ชอบบิดประเด็น ถามหมู ตอบหมา ถามนก ตอบไม้ ถามเครื่องบิน ตอบเรือดำน้ำ บิดไปเรื่อยๆ ไม่มีความเป็นลูกผู้ชาย คุณทำผิด คุณยอมรับผิดสิ แล้วไปแก้ไข
ประเด็นที่สำคัญที่สุดที่อาจารย์ไชยันต์ ถาม เรื่องนี้ไม่ได้เป็นเรื่องเกี่ยวกับใครเลย เรื่องเกี่ยวกับคนๆ เดียว คือ ณัฐพล ใจจริง คุณกล้าออกมายอมรับไหมว่าคุณทำผิด คุณอย่ามโน และคุณอย่าตะแบง สีข้างของคุณถลอกไปหมดแล้ว แล้วคุณไประดมพวกเครือข่ายเดียวกันกับพวกคุณ ผมไล่ดูชื่อแต่ละชื่อแล้ว ผมไม่ต้องพูดล่ะ เอาว่าท่านผู้ชมเชื่อผมก็แล้วกัน เป็นเครือข่ายเดียวกับพวกม็อบสามนิ้ว
ประเด็นที่สำคัญที่สุด อาจารย์ครับ ผมควรจะเรียกว่าอาจารย์ หรือ อาจม ดี ? ประเด็นที่สำคัญที่สุด สำคัญกว่าเนื้อหาในหนังสือเล่มที่นายณัฐพล และสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน ต้องตอบ หนึ่ง ประเด็นที่มีการทักท้วง อ้างอิงปลอมหรือเปล่า ? ใช่ หรือไม่ใช่ ตอบมา ถ้าตอบว่า ไม่ใช่ ไม่ปลอม ก็เอาหลักฐานมาพิสูจน์กันว่าไม่ได้กุเรื่อง แต่ถ้าตอบว่า ใช่ ปลอม กุเรื่อง เพราะกรมพระยาชัยนาทนเรนทร ไม่เคยเข้าประชุม ครม. กับจอมพล ป. ก็ต้องตอบ ถ้าใช่ กุเรื่อง แล้วคุณจะมารับผิดชอบอย่างไร
คุณอ้างว่าแก้ไขในหนังสือเล่มถัดมาแล้ว คือหนังสือ "ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี" แต่คุณยังขายหนังสือที่ผิดพลาด คือ "ขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ" จนทุกวันนี้ และคุณมีการเอาวิทยานิพนธ์ที่จุฬาฯ ห้ามเผยแพร่ ก๊อปไปลงออนไลน์ ให้คนดาวน์โหลดกันอย่างเสรี ถามหมู ตอบหมา ถามไก่ ตอบควาย นี่คือลักษณะของคุณ
ที่เป็นหลักฐาน แม้จะมีจุดผิด แจ้งกันมาตั้งแต่ปี 2561 แต่คุณก็ยังดันทะลึ่งพิมพ์หนังสือ "ขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ" ขายกันโครมๆ ไม่เคยคิดจะแก้ไข ไม่เคยคิดจะหยุดขาย ไม่เคยคิดจะออกมาขอโทษ คุณเป็นนักวิชาการสถุนหรือ ? ผมไม่ใช่นักวิชาการ แต่ผมเป็นชาวบ้านธรรมดาที่อ่านหนังสือเยอะหน่อย และเผอิญศึกษาจบทางประวัติศาสตร์ แต่ไม่ได้จบประวัติศาสตร์ประเทศไทย แต่ผมคิดว่าข้อกล่าวหาและข้ออ้างของคุณสถุนมากครับ
มีการนำไปอ้างอิงต่อกันผิดๆ มากมายไปหมด จนในที่สุดบางกอกโพสต์ต้องออกมาแถลงการณ์ แล้ว หม่อมราชวงศ์ปรียนันทนา รังสิต ต้องออกมาฟ้อง คุณไม่ต้องอ้างเรื่องอื่นว่าหลักใหญ่ใจความวิทยานิพนธ์ไม่ผิด ผิดแต่การอ้างอิง หรืออ้างผิด แต่บริบทไม่ผิด มันฟังไม่ขึ้น บริบทจะไม่ผิดได้อย่างไร ก็ในเมื่อบริบทที่คุณอ้างมา ที่ณัฐพล อ้างมา เป็นบริบทที่ณัฐพล อ้างแล้วเอาหลักฐาน เชิงอรรถ เอามายืนยันว่าสิ่งที่ณัฐพล อ้างนั้นถูกต้อง แล้วหลักฐานเชิงอรรถนี้ มันไม่มีในโลกนี้ ถ้าคุณตีความในบริบทของคุณที่คุณว่าถูก แต่คุณไม่มีหลักฐานมาอ้างอิง ผมยังพอรับได้ เพราะว่าผมจะได้ตั้งคำถาม ถามคุณว่า คุณเอาข้อมูลนี้มาจากไหน คุณก็ต้องตอบผม เพราะถ้าคุณตอบไม่ได้ แสดงว่าคุณก็มโนเหมือนกัน ใช่ไหม นี่เอาเด็กอมนิ้วมาฟัง ฟังตรรกะนี้ก็ต้องเข้าใจ ก็เพราะว่าคุณอ้างอิงเพื่อที่จะเอาคำพูดอ้างอิงนี้ไปยืนยันในบริบทที่คุณตีความ แต่เผอิญคุณพลาด เพราะคุณไม่นึกว่าจะมีคนสนใจเรื่องนี้ คือคุณจงใจหลอกลวง นายณัฐพล ใจจริง จงใจหลอกลวงมาตั้งแต่ต้น
นี่คือการสร้างข้อมูลเท็จ เขาถือว่าปาราชิกทางวิชาการ
ผมจะชี้ให้เห็นถึงการกระทำของนายณัฐพล ในการสร้างข้อมูลเท็จเพื่อเขียนงานวิชาการนั้น มันร้ายแรงเพียงใด
ข้ออ้าง : กรมพระยาชัยนาทนเรนทรแทรกแซงการเมืองโดยเข้าประชุม ครม.
ข้อสรุป : รัชกาลที่ 7 ประสงค์จะต่อต้านคณะราษฎร ต้องการกลับไปเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ รัชกาลที่ 9 ต้องการรวบอำนาจ
นี่้คือข้ออ้าง-ข้อสรุป ของคุณ
ชั้นที่หนึ่ง พวกคุณทำผิดกฎหมาย นายณัฐพล ทำผิดกฎหมาย และอาจารย์ทั้งหลายที่เซ็นชื่อมา ด้วยการละเมิดลิขสิทธิ์ เรื่องนี้จุฬาฯ ต้องดำเนินคดีกับนายณัฐพล เอาวิทยานิพนธ์ซึ่งเป็นลิขสิทธิ์ของจุฬาฯ ไปดัดแปลงเผยแพร่ ทั้งๆ ที่จุฬาฯ เขาระงับการเผยแพร่ไปแล้ว เนื่องจากมีคนทักท้วงว่าวิทยานิพนธ์นี้เป็นจุดบกพร่อง คุณณัฐพล คุณรู้หรือเปล่า ฟ้าเดียวกันรู้หรือเปล่า ว่าคุณทำผิดกฎหมาย คุณละเมิดลิขสิทธิ์
ข้อที่สอง การลอกเลียนอย่างไร้เกียรติ ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Plagiarism คือการคัดลอก ดัดแปลงงานคนอื่น แอบอ้างว่าเป็นของตนเอง ยกตัวอย่างการลอกเลียนอย่างไร้เกียรติของนายศุภชัย หล่อโลหการ อดีตผู้อำนวยการศูนย์นวัตกรรมแห่งชาติ
โดยลอกเลียนงานวิจัยที่ NIA จ้างผู้อื่นทำ มาเป็นวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของนายศุภชัย เสียเอง แล้วจุฬาฯ ได้ถอดถอนปริญญาเอกของนายศุภชัย เป็นที่เรียบร้อยแล้ว นายณัฐพล กับนายศุภชัย ที่ถูกถอดถอนปริญญาเอก ทำผิดเหมือนกันหมดเลย
ข้อที่สาม การสร้างข้อมูลเท็จ (Data Falsification) ในกรณีนี้ การกลับข้อเท็จจริง กรมพระยาชัยนาทนเรนทรไม่ได้เข้าร่วมประชุม ครม. ที่มีจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี และเป็นประธาน แต่อย่างใด แต่ในข้อเท็จจริงมีหลักฐานว่า จอมพล ป. นายกรัฐมนตรี มีความพยายามแทรกแซงเข้ามาในที่ประชุมองคมนตรี อันเป็นการกลับขาวเป็นดำ ดำเป็นขาว
อีกข้อหนึ่ง นี่เป็นการผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรง คือ การแต่งเติมข้อมูลเอาเอง โดยการแต่งปั้นข้อมูลเท็จ (Data Fabrication) แต่งเติมข้อมูลโดยใช้จินตนาการ รื้อสร้าง ตีความใหม่ ตามความอคติสุดโต่ง ไม่ได้คำนึงถึงข้อเท็จจริงเลย ไม่ได้คำนึงถึงข้อมูลเชิงประจักษ์ จัดได้ว่าเป็นการเติมแต่งข้อมูลเอาเองโดยการแต่งปั้นข้อมูลเท็จ อย่างที่นายณัฐพล บิดข้อมูล สร้างข้อมูลเท็จว่า กรมพระยาชัยนาทนเรนทร เข้าประชุม ครม. แล้ว ทั้งหมดนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อจะกลับไปสู่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ต้องการรวบอำนาจกลับคืนมาให้สถาบัน จึงเป็น Data Fabrication อันเป็นการกระทำที่ผิดจริยธรรมทางวิชาการและการวิจัยอย่างร้ายแรง ผมเอาตารางให้ดูก็แล้วกัน
ที่ตลกที่สุด อาจารย์ครับ มันเกี่ยวข้องอะไรกับสิทธิเสรีภาพในทางวิชาการ ไม่ได้เกี่ยวข้องเลยแม้แต่นิดเดียว มันเกี่ยวข้องกับนายณัฐพล ใจจริง โกหก หลอกลวง ปั้นข้อมูลเท็จขึ้นมา เพื่อเอามายืนยันข้อสมมติฐานที่ตัวเองตั้งเอาไว้ว่ามันต้องเป็นอย่างนี้ แล้วเผอิญถูกจับได้ว่าไม่มีข้อมูลดังกล่าว บรรดาเครือข่ายของนายณัฐพล ก็เลยมาระดมพลกัน เอาอาจารย์ 270 กว่าคน มาเซ็นชื่อเรียกร้องให้จุฬาฯ ให้ยุติการตรวจสอบ พวกคุณบ้ากันไปหรือเปล่า แล้วพวกคุณที่เซ็นชื่อกัน ผมก็เห็น มีอยู่ไม่น้อยเลยที่เซ็นชื่อ 1,188 คน ที่บอกให้นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลาออก ถ้าไม่ลาออกใน 7 วัน คุณจะลาออกหรือไม่สอนหนังสือ ผมก็เห็นพวกคุณยังนั่งกันอยู่สบายนี่ แค่สัจจะวาจาแค่นี้คุณยังไม่ทำตาม แล้วคุณยังมีหน้าออกมาปกป้องนายณัฐพล ใจจริง นี่คุณเป็นอาจารย์หรือเปล่า หลายคนเป็นถึงศาสตราจารย์ หลายคนเป็นรองศาสตราจารย์ คุณได้ศาสตราจารย์กันมาได้อย่างไร ได้รองศาสตราจารย์กันมาอย่างไร ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเสรีภาพทางวิชาการเลย มันเกี่ยวข้องกับคนทำปริญญาเอกคนหนึ่งอ้างอิงข้อมูลเท็จที่ไม่มีเลย แล้วยกมาอ้างอิง แล้วก็ใส่หน้าด้านๆ เลย เชิงอรรถ footnote หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์วันนี้ๆ แล้วหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์บอกว่าไม่มีข้อมูลนี้ แล้วใส่ข้อมูลอีกว่ามาจากหอจดหมายเหตุที่วอชิงตัน ดี.ซี. ก็ไม่มีข้อมูลนี้ นี่มันแปลว่าอะไร นี่มันแปลว่านายณัฐพล ใจจริง เป็นด็อกเตอร์ปลอม แล้วสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกันก็มา back แล้วก็ไประดมเครือข่ายกัน เริ่มด้วยเซ็นชื่อโดยนายชาญวิทย์ เกษตรศิริ วงการวิชาการเมืองไทยมันโหลยโท่ยถึงขนาดนี้เชียวหรือ
ผมมีเรื่องตำนานเรื่องหนึ่งจะเล่าให้คุณฟัง เป็นเรื่องส่วนตัวของผม ภรรยาของผมที่เสียชีวิตไป ชื่อ อาจารย์จันทน์ทิพย์ ลิ้มทองกุล เธอเป็นอาจารย์คณะวิทยาศาสตร์ มศว ตอนนั้นเราเพิ่งแต่งงานกันใหม่ๆ เธอเป็นอาจารย์ที่เข้มงวดมาก เข้มงวดกับนักศึกษามาก มีฉายาเธอเป็นอาจารย์หิน เพราะเธอให้เกรดอย่างชนิดที่หินมากๆ มีอยู่วันหนึ่งเธอยุ่ง เธอไหว้วานให้ผมช่วยบวกคะแนนให้กับลูกศิษย์หน่อย ผมก็บวกให้ ผมเห็นว่ามันจะตก ส่วนใหญ่จะตก ผมสงสารเด็ก ผมแอบบวกเพิ่มให้อีกคนละ 15 คะแนน อาจารย์ปุ๊ ภรรยาผม ก็เอาเอกสารผลการสอบนี้ไปติดเอาไว้ ปรากฏว่าเพื่อนอาจารย์ด้วยกันมาทัก ปุ๊ เดี๋ยวนี้เธอใจดีกับนักศึกษามากนะ เขาชมว่าเด็กได้เกินครึ่ง แกตกใจ แกไปตรวจสอบ ก็ปรากฏเจอว่าผมบวกคะแนนให้ ผมจำได้ วันนั้นผมนั่งอยู่ที่บ้าน นั่งกินข้าวอยู่ แกกลับมาจาก มศว แกเดินมาถึง แกเอาเอกสารซึ่งเป็นข้อสอบนั้น แกทุ่มใส่โต๊ะ แกบอกว่า นายสนธิ ไอ้นายนักประวัติศาสตร์ เธอรู้เสียบ้างว่าฉันสอนทางวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ถ้า 2+2 ไม่ใช่ 4 มันผ่านไม่ได้ ถ้าผ่านไปแล้ว ทุกอย่างมันจะฉิบหายหมด เธอ ไอ้บรรดานักประวัติศาสตร์ พูดอะไรก็พูดได้ หาเหตุผลมาประกอบก็หาได้
ท่านผู้ชมครับ เปรียบเหมือนกับอาจารย์พวกนี้ สองร้อยกว่าผม เหมือนกับผมสมัยนั้น ที่ไปบวกคะแนนให้ แล้วมีคนอย่างเช่นอาจารย์จันทน์ทิพย์ ภรรยาผม มาบอกว่าไม่ได้นะ หลักฐานต้องมี เมื่อมีหลักฐานแล้ว ถ้าหลักฐานมันเท็จ สิ่งที่ผมพูดนั้นก็ต้องเป็นเท็จด้วย ไม่ถูกต้อง ผมเจอมาแล้วครับ ผมยังจำคำพูดได้เลย "นายสนธิ ไอ้นักประวัติศาสตร์" ผลพวงอันนั้น ภรรยาไม่พูดกับผมเป็นเวลา 3 เดือน บอก เธอไม่รู้ หลักฐาน ข้อเท็จจริงเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ถ้าหลักฐานไม่แม่น ข้อเท็จจริงไม่แม่น มันผิดไปหมดเลย
เมื่อวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2564 มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล และนายกเทศมนตรีทั่วประเทศ งานนี้ต้องถือว่าเป็นนัดล้างตา ถ้าเป็นมวยเขาเรียกว่า นัดล้างตา แมตช์แก้มือ ของใคร ? ของธนาธร และปิยบุตร แสงกนกกุล เพราะว่าเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2563 ธนาธร ปิยบุตร และคณะก้าวไกล พ่ายแพ้การเลือกตั้ง อบจ. ทั่วประเทศไทย อย่างชนิดที่เรียกว่าไม่มีรูปเลย "แพ้หมดรูป"
ครั้งนั้นเขาส่งคนไป 42 คน ไม่ได้รับเลือกเลยแม้แต่คนเดียว หลังจากการพ่ายแพ้การเลือกตั้งเมื่อเดือนธันวาคม 2563 องค์การบริหารส่วนจังหวัด นายธนาธร ให้สัมภาษณ์บีบีซีไทย ว่า เป็นการพ่ายแพ้อย่างราบคาบคือความผิดหวังที่ต้องยอมรับของคณะก้าวหน้า นายธนาธร ก็หวังว่าการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลครั้งนี้ ที่ประกาศผลไปเมื่อวันที่ 28 มีนาคม จะเป็นการพิสูจน์ความเชื่อที่ว่า คณะก้าวไกล หรือจริงๆ ก็พวกกลุ่มอนาคตใหม่นี่ล่ะ หรือจริงๆ ก็คือพวกม็อบสามนิ้ว น่าที่จะได้ล้างตาในครั้งนี้ พิสูจน์ให้เห็นว่าประชาชนคนไทยยังมีความต้องการเปลี่ยนแแปลง และคนที่จะนำการเปลี่ยนแปลงคือ คณะก้าวหน้า หรือพลพรรคพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นม็อบสามนิ้ว ไม่ว่าจะเป็นอดีตพรรคอนาคตใหม่
ท่านผู้ชมครับ การเลือกตั้งครั้งนี้ ในวันที่ 28 ที่ประกาศผลออกมานั้น เลือกตั้งเทศบาลนคร เมืองใหญ่ๆ 11 แห่ง เทศบางเมือง 25 แห่ง เทศบาลตำบล 66 แห่ง รวมเบ็ดเสร็จ 100 กว่าแห่ง 7 เทศบาลที่ทางพรรคก้าวไกลของธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และปิยบุตร แสงกนกกุล หวังว่าจะชนะ มีอยู่ 7 แห่ง เทศบาลนครปากเกร็ด เทศบาลนครอ้อมน้อย เทศบาลนครเจ้าพระยาสุรศักดิ์ เทศบาลนครนครสวรรค์ เทศบาลนครนครราชสีมา เทศบาลนครเชียงใหม่ และเทศบาลนครหาดใหญ่ ปรากฏว่าผลการเลือกตั้ง คณะก้าวหน้า ไม่ได้เก้าอี้นายกเทศมนตรีนคร และนายกเทศมนตรีเมือง แม้แต่คนเดียว วืดทั้ง 7 แห่ง ผมจะไม่ลงรายละเอียดว่าได้อย่างไร แต่ว่า ก็ตามมาที่สอง ห่างที่หนึ่งเยอะมาก บางทีก็ที่สาม บางแห่งที่หนึ่งเขาได้ 30,000 กว่าเสียง แต่คณะก้าวหน้าได้แค่ 2,000 กว่าเสียง
ทีนี้เรามาดูกันนิดหนึ่ง มีที่ไหนบ้างที่ธนาธร และปิยบุตร แสงกนกกุล ได้ ก็ได้ basicly ในขณะนี้ได้จริงๆ ก็ได้อยู่ไม่กี่ที่ จากจำนวนเทศบาลทั่วประเทศ 2,472 แห่ง ก็เข้าไปได้ประมาณ 10 ท้องถิ่น 10 แห่ง แต่ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นสมาชิกสภาเทศบาล คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ได้ 0.4 เปอร์เซ็นต์ 1 เปอร์เซ็นต์ยังไม่ถึงเลย ทั้งการเลือกตั้งซ่อม ส.ส. ที่ผ่านมา การเลือกตั้งส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศ ทั้ง อบจ. และเทศบาล เป็นหลักฐานยืนยันอย่างชัดเจนว่าประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่ไม่เอาพวกคุณที่แสดงท่าทีชัดเจนว่าเป็นปฏิปักษ์ต่อสถาบันกษัตริย์
ท่านผู้ชมครับ การแพ้เลือกตั้งซ้ำแล้วซ้ำอีก คือหลักฐานที่ชัดเจน เป็นใบเสร็จที่เอามาตบหน้าธนาธร และพรรคพวก ถึงเวลาหรือยังที่ธนาธร และพรรคพวก ยอมรับเสียทีว่าคุณไม่มีสิทธิโกหกว่าพวกคุณเป็นตัวแทนเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนอีกต่อไป คุณไม่ใช่ ถ้าคุณเป็นตัวแทนเสียงส่วนใหญ่ 2,472 แห่ง คุณต้องได้มากกว่านี้ แต่คุณแค่ 0.4 เปอร์เซ็นต์ แล้วที่คุณได้ ก็ไม่ใช่ได้ในฐานะเป็นนายกเทศมนตรีด้วย ได้ในฐานะเป็นสมาชิกสภาเทศบาล มันพิสูจน์ได้ชัดว่าสิ่งที่คุณเสนอนโยบายไป มันจับต้องไม่ได้ นโยบายของคุณคือสนองความใคร่ของคุณ ไม่ได้คำนึงถึงปากท้องประชาชนอย่างแท้จริง
เพราะฉะนั้น การเลือกตั้งคราวที่แล้ว ธนาธร ปิยบุตร ช่อ พรรณิการ์ หมดรูป และเราเห็นม็อบสามนิ้วที่มาเย้วๆ กันอยู่บนถนน โน่นนี่นั่น ท่านผู้ชมครับ เป็นเสียงส่วนน้อย โคตรจะน้อยเลย น้อยโคตรๆ หยุดลืมตัวเสียทีได้ไหมพวกคุณ แล้วพวกอนาคตใหม่ที่เปลี่ยนชื่อมาใหม่แล้ว ผมจะทำนายไว้ล่วงหน้า ถ้ามีการเลือกตั้งอีกครั้งหนึ่ง คุณต้องหายไปเกือบหมด แทบจะไม่มีเข้ามาอีกเลย เพราะฉะนั้นแล้ว การเลือกตั้งครั้งนี้มันมีมิติที่ชัดเจนว่าที่ประชาชนเขาไม่เอาคุณ หลักๆ ก็คือว่า นโยบายของคุณเลื่อนลอย สัมผัสไม่ได้ และที่สำคัญที่สุด พวกคุณกระทำตนเป็นปฏิปักษ์ต่อสถาบันกษัตริย์ มันพิสูจน์ชัดเจนว่า ประชาชนส่วนใหญ่ อย่างน้อยที่สุด เทศบาล 2,472 แห่ง ลบ 10 ออกไป เหลือ 2,462 แห่ง เขาไม่เอาพวกคุณ พวกคุณที่ต้องการจะล้มสถาบันกษัตริย์ โอเคไหม ? เราเข้าใจตรงกันไหมในเรื่องนี้ คุณธนาธร กับคุณปิยบุตร เลิกเพ้อเจ้อเสียทีได้แล้วครับ
เมื่อวันพุธที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2564 เมื่อวานซืนนี้ ประมาณ 10.45 น. คุณวัชระ เพชรทอง หรือที่เขาเรียกกันว่า แจ๊ค เป็นอดีต ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ ได้ยื่นหนังสือให้กับสองหน่วยงาน หน่วยงานแรก คือ กรมสรรพากร หน่วยงานที่สอง คือ สำนักงาน ปปง.
หน่วยงานแรกนั้น คุณภทรษร เจียงวิเสริฐ หัวหน้าส่วนงานสารบรรณ กรมสรรพากร มารับจดหมายร้องเรียน แล้วส่งไปให้นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร หน่วยงานที่สอง ยื่นให้กับ ปปง. โดย ร.ต.อ.ไพรัตน์ เทศพานิช เลขานุการกรม สำนักงาน ปปง. เพื่อส่งต่อให้กับ พล.ต.ต.ปิยะพันธ์ ปิงเมือง รักษาการเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง.
ปปง. รับมาแล้ว ก็ออกแถลงการณ์เลยทันที นั่นก็คือ มีมูล และเข้าใจว่า ปปง. ก็คงจะเริ่มตรวจสอบ
คุณวัชระ เพชรทอง ยื่นเรื่องอะไร ? ยื่นเรื่องราวที่คนไทยหลายคนกังขามานานแล้ว แล้วก็เป็นข่าวคราวการทะเลาะเบาะแว้งกันระหว่างพวกพ่อยกแม่ยกของม็อบสามนิ้ว ม็อบราษฎร 2563 หรือที่คนที่ไม่ชอบเขา เรียกว่า ม็อบสามกีบ คนที่เป็นคนที่ถูกกล่าวหา คือ น.ส.อินทิรา เจริญปุระ หรือ ทราย และนายปกรณ์ พรชีวางกูร หรือ เฮียบุ๊ง
ประเด็นที่คุณแจ็ค วัชระ ยื่นนั้น เขาบอกว่า การบริจาคเรี่ยไรดังกล่าวไม่เป็นไปตามกฎหมายควบคุมการเรี่ยไรเมื่อปี พ.ศ. 2487 อาจจะเข้าความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 หรือ 343 นั่นคือฉ้อโกงประชาชน มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มาตรา 14 (1) และมาตรา 14 (3) ซึ่งอาจเข้าข่ายในการตรวจสอบทรัพย์สิน เนื่องจากเข้าข่ายความผิดมูลฐานตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน
คุณวัชระ เพชรทอง ได้ชี้แจงออกมา น่าสนใจมาก เคยมีเหตุเรื่องนี้เกิดขึ้นแล้ว สมัยที่กลุ่มเสื้อแดงยังประท้วงต่อต้านรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อยู่นั้น มีนายสมหวัง อัสราษี อดีตแกนนำเสื้อแดง ได้เปิดรับบริจาคเพื่อสนับสนุนการเคลื่อนไหวของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือที่เรียกว่า นปช. ในปี 2553
จนถูกกรมสรรพากร กระทรวงการคลัง ตรวจสอบแล้วเรียกเก็บภาษีเป็นจำนวนเงิน 572 ล้านบาท จนในที่สุดถูกอายัดทรัพย์ อายัดบัญชี และถูกฟ้องล้มละลาย คุณวัชระ เพชรทอง ก็เลยบอกว่า เพื่อเป็นมาตรฐานเดียวกัน เป็นการรักษาผลประโยชน์ของทางราชการ ประชาชนผู้เสียภาษี คือขอให้กรมสรรพากรตรวจสอบกรณีนี้เป็นการเร่งด่วน เพื่อไม่ให้เกิดการละเมิดกฎหมาย และรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติต่อไป
การบริจาคเงิน ถ้าท่านผู้ชมติดตามข่าวในเรื่องของม็อบสามนิ้วมาตลอด จะเห็นได้ว่ามีการทะเลาะเบาะแว้งกันภายใน หลายคนก็มีเงินเข้ากันเยอะแยะไปหมด แม่ของผู้ต้องหาบางคนที่อยู่ในเรือนจำในขณะนี้ อย่าให้เอ่ยชื่อเลย ก็มีคนบริจาคเงินเข้า ไม่ผิด เป็นการบริจาคเพื่อช่วยเหลือ แสดงความเห็นใจ แต่ว่ากฎหมายคือกฎหมาย เมื่อบริจาคแล้ว เมื่อรับเงินแล้ว ถือว่าเป็นรายรับ ต้องเสียภาษี แล้วคุณอินทิรา เมื่อถูกถามมาว่ามีคนโอนเงินเข้าให้เท่าไร แกบอกว่า ไม่เปิดเผย ไม่ยอมเปิดเผย ผมว่าน่าจะเป็นหลักร้อยล้าน หรือหลายสิบล้าน ไม่อย่างนั้นคงไม่แย่งกันอย่างนี้หรอก ไม่ทะเลาะกันดุเดือดถึงขนาดนี้
แต่ผมจะเรียนคุณอินทิรา เจริญปุระ และคุณเฮียบุ๊ง พ่อยกแม่ยก นิดหนึ่ง ผมจะบอกให้คุณรู้ ผมจะเล่าตำนานบางเรื่องให้ฟัง คุณรู้ไหมว่าสมัยก่อนที่อเมริกามาเฟียไม่มีใครปราบได้เลย ไม่ว่าจะเป็น FBI ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม จับมาเท่าไรก็ไม่สำเร็จ แต่ในที่สุด FBI และหน่วยงานที่ปราบปรามขบวนการมาเฟีย เพิ่งนึกออกว่า อ๋อ ไอ้พวกนี้หนีภาษี เพราะฉะนั้นภาษีที่เขาเดินเรื่องไปตรวจสอบพวกมาเฟียต่างๆ ก็เลยเป็นผลพวงทำให้บรรดามาเฟียใหญ่ๆ ทั้งหลายในอเมริกาถูกจับกันหมด เพราะหนีภาษี คำถามมีอยู่ว่า ถ้าสมมุติว่านายสมหวัง อัสราษี ถูกตรวจสอบภาษีแล้วบอกว่ามีรายได้เข้ามาแต่ไม่ยอมเสียภาษี ผมคิดว่าคุณทราย อินทิรา เจริญปุระ ก็อยู่ในกรณีเดียวกันกับคุณสมหวัง เฮียบุ๊ง
พ่อยกนี่ก็อยู่ในกรณีเดียวกับคุณสมหวัง และเชื่อผมสิ พอ ปปง. และสรรพากรเข้ามาตรวจสอบแล้ว คุณได้เงินมาเท่านี้ คุณโอนให้พี่คุณ คุณโอนให้น้องคุณ คุณแอบเอาเข้าไปบัญชีโน้นบัญชีนี้ เส้นทางทางการเงินมันตามได้หมดเลย เพราะฉะนั้นแล้ว ใครก็ตามที่รับเงินต่อจากทราย เจริญปุระ แล้ว โดนข้อหาฟอกเงินหมด แล้วคนที่โอนเงินให้กับทราย เจริญปุระ และเฮียบุ๊ง ก็ให้ระวังตัว เพราะมันจะต้องมีที่มาที่ไป ปปง. เขาตรวจสอบได้นี่ ถ้าคุณโอนเงินเข้าบัญชีนี้ๆๆๆ ใครเป็นคนโอน เรื่องนี้สนุกสนานมาก ผมคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มากนะ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ใหญ่มากๆ ผมพูดได้คำเดียว คุณอินทิรา เจริญปุระ และเฮียบุ๊ง เตรียมรับให้ดีๆ เชื่อผมสิ ถ้าสรรพากรและ ปปง. เข้ามาแล้ว คุณกำลังลงนรกนะครับ เดี๋ยวอย่าหาว่าผมไม่เตือน
ท่านผู้ชมจำโพสต์ promotion ของรายการในวันนี้เได้ไหม ? ที่ผมโพสต์ว่า สมศักดิ์ เจียมฯ ตอแหล ตอแหลจริงๆ ท่านผู้ชม ตอแหลอย่างไร ? และโพสต์บรรทัดที่สองก็บอกว่า รังสิมันต์ โรม ตีกิน ตีกินอย่างไร ?
นี่คือพฤติกรรมของพวกคนอย่างเช่นสมศักดิ์ เจียมฯ หรือคนอย่างปวิน สมศักดิ์ เจียมฯ ลี้ภัยไปอยู่ที่ฝรั่งเศส ปวิน ลี้ภัยไปอยู่ที่โตเกียว ทั้งสมศักดิ์ เจียมฯ ทั้งปวิน พยายามที่จะให้ข้อมูลที่เป็นเท็จ และพิสูจน์ไม่ได้ แล้วแต่จะมโน จนผมอดคิดไม่ได้ว่าระหว่างสมศักดิ์ เจียมฯ กับณัฐพล ใจจริง ใครโกหกเก่งกว่าใคร เพราะไม่มีข้ออ้างอิงทั้งสิ้น ณัฐพล ใจจริง ก็อ้างอิงในเรื่องของเชิงอรรถ footnote ซึ่งไม่มีจริง สมศักดิ์ เจียมฯ ก็มโนออกมา ไม่มีจริง
วันที่ 29 มีนาคม 2564 เฟซบุ๊กของสมศักดิ์ เจียมฯ ที่โดนคดี 112 พูดมาอย่างนี้ครับ
"ข่าวกรอง
********
เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ในการประชุมใหญ่ศาลฎีกา มีผู้พิพากษาศาลฎีกาท่านหนึ่งพูดในที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาว่า เรื่องคำสั่งไม่ให้ประกันตัวแกนนำม็อบ ยังไงก็เป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีพฤติการณ์หลบหนี ไม่มีพฤติการณ์จะยุ่งเหยิงต่อพยานหลักฐาน จะไม่ให้ปล่อยตัวได้อย่างไร
.
ประธานศาลฎีกาตอบว่า "มีบุคคลภายนอกสั่งมาอีกที"
.
ผู้พิพากษาศาลฎีกาอีกรายหนึ่ง ก็ตอบโต้ว่า "ศาลยุติธรรมเป็นองค์กรตุลาการ ถ้าคนที่เป็นประธานศาลฎีกายังพูดได้ว่า มีบุคคลภายนอกสั่งมาอีกที แล้ว ต่อไปศาลยุติธรรมคงดำรงอยู่ต่อไปไม่ได้ และถ้าประธานศาลฎีกาปล่อยให้บุคคลภายนอกมาสั่งบงการ ก็น่าจะมีการเสนอเรื่องให้คณะกรรมการตุลการ (ก.ต.) ตรวจสอบวินัยว่า คนแบบนบี้ยังสมควรเป็นประธานศาลฎีกาอยู่อีกหรือไม่"
เรื่องก็มีเพียงเท่านี้ ไม่มีการโหวตใดๆ ทั้งสิ้น ไม่มีการชูสามนิ้ว"
ท่านผู้ชมครับ ฟังแล้วเป็นอย่างไร ? ฟังแล้วก็ปรากฏว่าพวกบรรดาม็อบสามนิ้ว หรือบรรดาแฟนเพจของสมศักดิ์ เจียมฯ กดไลก์ไปเป็นหมื่น แชร์ไปอีกเยอะ ก็คือเชื่อในสิ่งที่สมศักดิ์ เจียมฯ พูด กดไลก์ไป 42,000 กว่าไลก์ คอมเมนต์อีกกว่า 28,000 คอมเมนต์ ก็คือว่าคอมเมนต์ด่าเช็ดเลย ด่าว่าผู้ที่มีอำนาจข้างบนสั่งมาอีกที ก็คงจะรู้ว่าหมายถึงใคร
แล้วเขาก็บอกว่า เป็นแค่ข่าวกรอง
แค่วันเดียว ต่อมา 30 มีนาคม หลัจากที่นายสมศักดิ์ เจียมฯ พูด นายสุริยัณห์ หงษ์วิไล โฆษกศาลยุติธรรม ได้ชี้แจงว่า ในการประชุมที่มีการกล่าวหาว่าเป็นการประชุมเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว จะเป็นการประชุมครั้งล่าสุดที่มีการกำหนดวาระการประชุมไว้เพียงวาระการพิจารณาคัดเลือกกรรมการสรรหาผู้ดำรงตำแหน่ง กสทช. ตามพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 ที่แก้ไขเพิ่มเติม ถือว่าเป็นภารกิจตามกฎหมายกำหนดให้ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาดำเนินการและวาระอื่นๆ เป็นการพิจารณาข้อกฎหมายในคดีที่จะต้องอาศัยการลงมติของที่ประชุมใหญ่
ท่านผู้ชมครับ โฆษกศาลยุติธรรม ชี้แจงว่า "ในวันประชุมนั้นมีผู้พิพากษาศาลฎีกาเข้าประชุม 245 คน ผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องไม่อาจเข้าร่วมประชุมได้ และเป็นการประชุมลับ ซึ่งยืนยันได้ว่าไม่มีการพูดคุยหรือหารือกันเกี่ยวกับการปล่อยตัวชั่วคราวแต่อย่างใด อีกทั้งในวันดังกล่าวได้มีการลงคะแนนลับของผู้พิพากษาในศาลฎีกาเพื่อเลือกรรมการสรรหาฯ โดยไม่มีการลงมติในเรื่องอื่นใดอีกทั้งสิ้น ดังนั้น เรื่องราวตามที่มีการเผยแพร่ในสื่อโซเชียลจึงไม่เป็นความจริง เป็นการบิดเบือนและให้ข้อมูลอันเป็นเท็จ อันก่อให้เกิดความเข้าใจผิด และทำให้ศาลเป็นคู่กรณีกับฝ่ายต่างๆ"
ท่านผู้ชมครับ เรื่องนี้เป็นเรื่องโกหกตอแหล ผมกล้าพูดเช่นนี้ เพราะผมมีเพื่อนฝูงเยอะ วัยอย่างผม รุ่นน้องผมก็เป็นผู้พิพากษาศาลฎีกา ก็ไม่ใช่น้อย ที่ยังดำรงตำแหน่งอยู่ แต่อาจจะเป็นผู้พิพากษาอาวุโสไปแล้ว แต่ผู้พิพากษาศาลฎีกาหลายคนที่รู้จักต่อๆ กัน ก็ยืนยันว่าวันนั้นไม่มีพูด ไม่มีใครพูดเรื่องนี้เลยแม้แต่นิดเดียว
คุณสมศักดิ์ คุณนี่เป็นตัวอีแอบ ขี้ขลาด หลบหนี หลบตัวอยู่ต่างประเทศ ตลอดเวลาที่ผ่านมาคุณทำตัวเป็นศาสดา ถูกเชิดชู ผู้นำทางความคิดที่ให้การสนับสนุนอยู่ข้างหลังม็อบราษฎร ตั้งแต่การแถลงการณ์ 10 ข้อ แล้ว ที่ลานพญานาค ที่ธรรมศาสตร์ วันนี้คุณก็ยังใช้วิธีเดิมๆ เหมือนกับปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์
รวมทั้งผู้หลักผู้ใหญ่อีกหลายตัวที่เป็นอีแอบอยู่เบื้องหลังม็อบสามนิ้ว โพสต์ข้อความในโซเชียล ทำให้มีการแชร์ต่อๆ กันไป พวกคุณหลอกให้เด็ก เยาวชน ประชาชน เชื่อเรื่องเท็จ เฟกนิวส์ โดยที่ไม่มีการตรวจสอบ แล้วคุณก็บอกว่าเป็นข่าวกรอง นี่คือจิตวิญญาณของนักวิชาการอย่างคุณหรือ ? ผมถึงไม่ประหลาดใจไง กลุ่มพวกคุณถึงออกมาสนับสนุนณัฐพล ใจจริง ในเรื่องของการแอบอ้าง footnote ปลอม อย่างหน้าด้านๆ คุณทำให้เด็กและเยาวชนที่หลงเชื่อเอาไปอ้างอิง ไปใช้กล่าวหาสถาบัน กล่าวหาองค์กร บุคคลต่างๆ เมื่อมาถึงขั้นตอนพิสูจน์ความจริง คุณหันไปหาผู้ใหญ่อีแอบเหล่านี้ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะพวกคุณอยู่ต่างประเทศกัน พอถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย ขึ้นศาล ก็เอาหลักฐานใดๆ มาไม่ได้ ในที่สุดเด็กๆ ก็ติดคุกติดตะราง ตามแกนนำไปทีละคน สองคน คุณมีความสุขใช่ไหมที่เด็กๆ พวกนี้ ไม่ว่าจะเป็นเพนกวิน หรือรุ้ง ที่ติดคุกเรื่องพวกนี้ 112 แม่ของเขา ครอบครัวของเขา ชอกช้ำ เป็นห่วงลูก แต่จริงๆ เด็กพวกนี้ถูกคุณมอมเมาด้วยข้อมูลเท็จ แล้วข้อมูลเท็จที่คุณเพิ่งโพสต์ไปเมื่อวันที่ 29 นี้เอง ก็เป็นบทพิสูจน์ชัดเจน ก็ในเมื่อเช็กดูแล้ว คนศาลฎีกา ผู้พิพากษาศาลฎีกาที่ประชุมอยู่ในองค์คณะวันนั้น เขาบอกว่าไม่ได้มีการพูดเรื่องนี้เลยแม้แต่นิดเดียว คำถาม คุณเอาข้อมูลบ้านี้มาจากไหน ? นอกเสียจากว่าคุณจงใจปั้นข้อมูลเท็จมาเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือ
ใครเป็นคนทำร้ายเยาวชนของชาติอย่างแท้จริง ? มันก็คือพวกคุณนั่นเองล่ะ ท่านผู้ชมเห็นหรือยัง
แล้วทำไมถึงเกี่ยวข้องกับรังสิมันต์ โรม ? ที่เกี่ยวข้องกับรังสิมันต์ โรม เพราะว่าพอสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล โพสต์ข้อความไป เป็นปฏิบัติการดิสเครดิตศาล ตอนนี้พวกนี้พยายามทุกอย่างเพื่อดิสเครดิตศาล เริ่มด้วยสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ลงข้อมูลที่เป็นเท็จ
31 มีนาคม หลังจากนั้นอีก 1 วัน รังสิมันต์ โรม ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล นำข้อความของสมศักดิ์ เจียมฯ มาขยายความ โดยแถลงข่าวว่า "นี่คือโอกาสที่ศาลยุติธรรมจะได้ชี้แจงต่อกรรมาธิการฯ และสังคม จึงเสนอให้กรรมาธิการฯ เชิญนางเมทินี ชโลธร ประธานศาลฎีกา หรือผู้แทน มาชี้แจงข้อเท็จจริง หากศาลสามารถชี้แจงได้สิ้นข้อสงสัย ก็อาจจะเป็นเรื่องที่ดี อย่างไรก็ตาม ทาง กมธ.กฎหมาย ยังไม่มีมติว่าจะรับหรือไม่ โดยจะหารือกันในวันที่ 1 เมษายน 2564 อีกครั้ง ซึ่ง กมธ.กฎหมาย จะต้องทำหน้าที่พิจารณาตรวจสอบเพื่อแก้ไขข้อสงสัยให้แก่ประชาชนให้กระจ่างและเป็นประโยชน์ต่อบทบาทและภาพลักษณ์ของสถาบันตุลาการอย่างเต็มที่"
ท่านผู้ชมครับ สมศักดิ์ ออกข้อมูลเท็จมา รังสิมันต์ โรม เอาข้อมูลเท็จนี้มาตีกินต่อ ว่าจะต้องเชิญประธานศาลฎีกามา ตีกิน รับลูกจากนายสมศักดิ์ เจียมฯ ตีกินไปตามขั้นตอนกระบวนการ และจริงๆ แล้วเขาก็รู้อยู่แก่ใจว่าจะเชิญใครมาชี้แจงข้อเท็จจริงต้องตั้งเรื่องเข้าที่ประชุม กมธ. เพื่อพิจารณาก่อน นี่ยังไม่ได้ตั้งเรื่อง จู่ๆ ให้สัมภาษณ์เลยว่าจะเชิญมา ไอ้มุกชั่วๆ แบบนี้ผมชำนาญเหลือเกิน ผมรู้ว่ามันทำกันอย่างไร
เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้าคุณเข้าที่ประชุม กมธ. ที่ประชุมมีมติเห็นชอบก็จะเชิญมาได้ ไม่ใช่เป็นอำนาจของ ส.ส. โรม แล้วเมื่อเข้าที่ประชุมแล้ว ที่ประชุมก็จะบอกว่าเชิญไม่ได้ ทำไมถึงเชิญไม่ได้ ? เพราะว่าในรัฐธรรมนูญ ข้อ 97 การเรียกเอกสารจากบุคคล หรือการเรียกบุคคลมาแถลงข้อเท็จจริง ตามวรรคหนึ่ง มิให้ใช้บังคับแก่ผู้พิพากษาหรือตุลาการที่ปฏิบัติตามหน้าที่ หรือใช้อำนาจในกระบวนวิธีพิจารณาพิพากษาอรรถคดี หรือการบริหารงานบุคคลแต่ละศาล แปลว่า รัฐธรรมนูญห้าม ไม่ให้กรรมาธิการเชิญผู้พิพากษาหรือคนที่อยู่ในศาล ที่เกี่ยวข้องกับคดี มาให้การ ชัดเจน รังสิมันต์ โรม อาจจะไม่รู้ เพราะโง่ หรืออาจจะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เพราะจงใจที่จะโง่ เลยขอตีกินไปเสียก่อน ให้เป็นข่าวออกมา
ไม่ว่าเรื่องนี้จะลงเอยอย่างไร เราเห็นเจตนาชัดเจนว่าคนกลุ่มนี้พยายามสร้างกระแสดิสเครดิตกระบวนการยุติธรรม โดยดึงศาลมาเป็นคู่ขัดแย้ง ขณะเดียวกัน ก็กระทบชิ่งไปถึงเบื้่องสูง นี่มันเหิมเกริมมาก
วันนั้นคุณไปโต้วาทีที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ผมฟังรายการนั้น คุณเป็นเด็กน้อย คุณโดนอาจารย์ศาสตรา โตอ่อน ฉีกหน้า เอาไม้หน้าสามตีหน้าคุณด้วยข้อมูล จนกระทั่งผมดูในรูปแล้ว คุณนั่งอึดอัดใจเหมือนคนที่จะขี้แตก ขี้จุกตูด เพราะคุณเถียงอาจารย์ศาสตรา โตอ่อน ไม่ได้ แต่คุณเก่งอยู่อย่างหนึ่ง ผมยอมรับ จริงๆ แล้วขบวนการของพวกคุณคือเจ้าของโรงงานน้ำแข็ง ปั้นน้ำเป็นตัวมาตลอด
ท่านผู้ชมครับ ก่อนจะจบเรื่อง ผมมีเรื่องส่วนตัวที่มันสะท้อนให้เห็นถึงการต่อสู้ของพวกเรา คำว่า "พวกเรา" ก็คือคนที่ต่อสู้เรื่องกัญชา มีผม มีอาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ซึ่งเป็นหัวหอกในเรื่องนี้ กว่าจะมาได้ถึงวันนี้ ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม ชีวิตผม ท่านผู้ชมคงจำได้ว่าภรรยาผม ผู้ช่วยศาสตราจารย์ จันทน์ทิพย์ ลิ้มทองกุล คณะวิทยาศาสตร์ มศว ศรีนครินทรวิโรฒ เสียชีวิตไปเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม เวลาประมาณตีห้ากว่าๆ ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ด้วยมะเร็งปากมดลูก ซึ่งอยู่ในขั้นที่ 4 รักษาไม่ได้แล้ว ผมจำได้ ว่าก่อนที่ปุ๊จะเสียชีวิตไปนั้น ปุ๊ทรมานมาก เจ็บปวดอะไรหลายอย่าง ไม่ว่าหมอจะให้ยาอะไรมาก็ตาม อาการเจ็บอาการปวดก็ยังมีอยู่ จนในที่สุดผมปรึกษาอาจารย์ปานเทพ อาจารย์ปานเทพ ก็เลยเสนอแนะว่า มีคนใช้น้ำมันกัญชาเป็นตัวรักษาโรคมะเร็ง อย่างน้อยที่สุด ถึงขั้นที่ 4 แล้ว รักษาไม่ได้แล้ว แต่จะบรรเทาความเจ็บปวดได้
ท่านผู้ชมครับ 4-5 ปีที่แล้ว กัญชาผิดกฎหมาย ผมต้องไปหากัญชา หาซื้อมา ให้คนทั่วประเทศไทยหากัญชามา ทำไม ? ผมรักภรรยาผม ผมเป็นห่วงเป็นใย ผมสงสารเขาที่เขาต้องทรมาน มีอะไรที่จะช่วยเขา รักษาแล้วหายได้ หรือว่าถึงไม่หาย เธอกำลังจะจากผมไป ถ้ามีอะไรเข้ามาแล้วช่วยให้เธอจากไปอย่างสงบ ผมยินดีทำทุกอย่าง ท่านผู้ชมเชื่อไหม ที่บ้านผม เอาใบกัญชามา เอากัญชามา มาต้ม มาเคี่ยว เพื่อให้ได้น้ำมันออกมา คนที่บ้านเมากัญชากันทุกวัน เอามา ระมัดระวังตัวอย่างที่สุด เพราะกลัวโดนจับได้ จนในที่สุดแล้วก็เลยเคี่ยวได้น้ำมันกัญชาแบบประเภททำกันเอง ท่านผู้ชมนึกออกไหม ไม่เหมือนสมัยนี้ ท่านผู้ชมอย่าลืมนะ นั่นปี 59 เกือบหกปีแล้ว จนในที่สุดก็ได้น้ำมันกัญชามา เพื่อเอาไปรักษา ก็ขออนุญาตไม่เปิดเผยชื่อก็แล้วกัน โรงพยาบาลที่ภรรยาผมรักษาอยู่ ท่านผู้อำนวยการโรงพยาบาลท่านก็ดีใจหาย ท่านเข้าใจ ท่านเห็นใจญาติใกล้ชิดของผู้ป่วย ท่านบอก ท่านไม่รับรู้ก็แล้วกัน ก็เลยเอากัญชานี้เข้าไปรักษา ท่านผู้ชมครับ ปุ๊อาการถึงสงบ นิ่ง ไม่ได้ดิ้นรน ไม่ได้ปวดอะไรเหมือนกับที่รักษาด้วยยาฝรั่ง แล้วจนในที่สุดเธอก็จากโลกไปในวันที่ 3 ตุลาคม ประมาณตี 4-ตี 5 ตอนเช้า
ท่านผู้ชมครับ นี่คือประสบการณ์ในชีวิตที่ผมไปสัมผัสกับกัญชา และผมรู้ว่ากัญชาไม่ใช่แค่ช่วยในเรื่องให้คนไข้ถึงขั้นสุดท้ายแล้วเจ็บน้อยลง แต่ถ้ารักษาทันท่วงที ตั้งแต่ช่วงต้น ถ้ารู้ เพราะว่ามะเร็งในมดลูกนั้นไม่ออกอาการ ขั้นที่ 1-3 ไม่ออกอาการ มาออกอาการขั้นที่ 4 ถ้ารู้ ถ้าตรวจแล้วรู้ตั้งแต่ขั้นที่ 1 ผมเชื่อว่าวันนี้อาจายร์ปุ๊ ก็ยังคงอยู่เคียงข้างผมอยู่เหมือนเดิม นี่คือประสบการณ์ส่วนตัวที่ผมจะเรียนให้ทราบว่า ทำไมผมและอาจารย์ปานเทพ และหลายๆ คน ตลอดจนแพทย์แผนไทยหลายคน เห็นคุณค่าของกัญชา และไม่ใช่เฉพาะผมนะ ฝรั่งต่างชาติ นายแพทย์อีกเยอะเลยที่เขาเห็นคุณค่าของกัญชา เขาเอากัญชาซึ่งสามารถจะเอามาทำเป็นยาได้ ตามอนุสัญญาเดี่ยวของสหประชาชาติ แต่ไปเจอความบัดซบของข้าราชการที่ไม่ให้เอามาทำยา เลยต้องขโมยกัญชามาทั้งๆ ที่ผิดกฎหมาย เพื่อมาทำยา เพื่อให้ภรรยาผมเจ็บน้อยลงและจากไปอย่างสงบ และเธอก็ไม่เจ็บเลย แล้วก็จากไปอย่างสงบ นิ่ง นี่ล่ะครับ คือเรื่องที่ผมอยากจะเล่าให้ท่านผู้ชมฟัง ว่ากว่าจะผ่านวันนั้นถึงวันนี้
ท่านผู้ชมครับ คนในประเทศไทยอีกเยอะแยะเลยที่สามารถจะรักษาได้ด้วยน้ำมันกัญชา แต่สังคมแพทย์ปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งแพทย์แผนปัจจุบันนั้น ปฏิเสธ ส่วนใหญ่ เพราะถ้ายอมรับตรงนี้ ความอำมหิตคือ ถ้ายอมรับตรงนี้ ยาฝรั่งจะขายไม่ได้ ท่านผู้ชมครับ ตั้งแต่เมื่อไร เราเอาคุณค่าของเงินกับผู้ที่มีอาชีพในการรักษาคน เอามาเป็นเงื่อนไขในการที่ไม่ให้เขาทดลองสิ่งที่มันพิสูจน์ได้ ว่าสามารถจะรักษาได้ เพียงแต่ว่าคนๆ นั้น หมอคนนั้น หรือบรรดาแพทย์ทั้งหลาย หรือแม้กระทั่งสภาแพทย์ไทย ต้องเปลี่ยน mindset กรอบความคิดเสียใหม่
ผมไม่อยากจะพูดว่าแพทย์ไทยส่วนใหญ่เป็นทาสของบริษัทยาฝรั่ง แล้วบริษัทยาฝรั่งก็มีอำนาจเหนือการตัดสินใจของแพทย์ไทยเยอะมาก ความจริงแล้วสมุนไพรหลายอย่าง ไม่ใช่เพียงกัญชาอย่างเดียว สามารถจะรักษาโรคหลายโรค และทำให้คนไทยไม่จำเป็นต้องใช้ยาฝรั่ง
นี่คือประสบการณ์ที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตผม เมื่อวันที่ปุ๊จากไป วันที่ 3 ตุลาคม ผมจำได้ว่า ผมอยู่ในเรือนจำคลองเปรม ลูกชายผม อาจารย์ปานเทพ และหลายคน เข้าไปเยี่ยมผเป็นพิเศษ เพื่อมาบอกข่าว ผมเห็นเข้ามาแล้ว ผมใจหายวาบว่าเกิดอะไรขึ้น ผมจำได้ว่า ลูกชายผมพูดว่า ป๋าครับ แม่ไปแล้ว เมื่อคืนนี้ ท่านผู้ชมครับ ผมร้องไห้ออกมา ร้องเหมือนเด็ก เหมือนเด็กจริงๆ เหมือนเด็กที่โดนขโมยของเล่น หรือเหมือนเด็กที่เสียใจในชีวิต ผมตอนนั้น 69-70 ผมทรุดตัวลงไปคุกเข่า แล้วผมก็ร้องไห้ ร้องมาโฮเลย ไม่เคยร้องไห้มาก่อนแบบนั้น เป็นครั้งเดียวในชีวิตที่ร้องไห้ หลังจากนั้น ภรรยาผมเสียชีวิต ผมก็ไม่ได้อยู่เคียงข้างเธอ วันทำศพเธอ เผาเธอ ผมก็ไม่ได้อยู่ แต่ขอบคุณพี่น้องพันธมิตรฯ ที่มางานศพเป็นหมื่นๆ คนในงานศพของปุ๊ ท่านผู้ชมครับ อย่างน้อยที่สุดปุ๊ก็จากโลกไปอย่างสงบ เพราะน้ำมันกัญชา