ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ป่วนไปทั่ว แต่ปั่นไม่ขึ้น จนต้องกลับมาตายรัง
การชุมนุมของ “กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม” ที่เลือกมาปักหมุดกันที่แยกราชประสงค์ อีกครั้ง เมื่อวันที่ 24 มี.ค.ที่ผ่านมา
ในแง่บรรยากาศความคึกคักกลับมาได้พอสมควร แต่ในแง่ “เนื้อหา” ก็ยังพยายามปีนบันได ไต่เพดาน ให้ถึง “สถาบันพระมหากษัตริย์” เช่นเดิม
น่าสนใจไม่น้อยที่ “กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์ฯ”จงใจหลีกเลี่ยงการใช้ชื่อ “คณะราษฎร 2563” หรือ “ม็อบสามนิ้ว”ในการจัดการชุมนุมครั้งล่าสุด ทั้งที่เป็นแกนหลักของ “ม็อบสามนิ้ว” มาตั้งแต่ต้น
สะท้อนความแตกแยกอย่างยับเยินในหมู่มวล “ม็อบสามนิ้ว”
ไม่ว่าจะเป็นความเน่าเฟะของการบริหารเงินบริจาค แนวทางที่มั่วซั่วไม่ชัดเจน กระทั่งอาการ “หิวแสง-หิวแก๊ส” ปั่นให้เกิดความรุนแรงในระยะหลัง
จนเชื่อได้ว่าเป็นเหตุที่ “น้องมายด์” ภัสราวลีธนกิจวิบูลย์ผล แกนนำกลุ่มมหานครเพื่อประชาธิปไตย หรือแกนนำมีชื่ออีกหลายคนเฟดตัวออกไป
รวมไปถึง “ฟอร์ด” ทัตเทพ เรืองประไพกิจเสรี แห่ง “เยาวชนปลดแอก” ที่เพิ่งเริ่มกลับมาในนามกลุ่ม REDEM ฉวยจังหวะ “ชิงการนำ”กลับคืนมา หลังเห็นว่าแกนนำหลายคนเรียงแถวเข้าคุก
การกลับมาขึ้นเวทีของ “น้องมายด์” เป็นจังหวะที่กำลังมีคิวเข้าพบพนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ เพื่อฟังคำสั่งในคดีชุมนุมและอ่านแถลงการณ์หน้าสถานเอกอัครราชทูตเยอรมนีประจำประเทศไทย ถ.สาทร เมื่อปีกลาย โดยมีข้อหาหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และยุยงปลุกปั่นฯ ตามมาตรา 116 ด้วย
เวทีที่ราชประสงค์จึงเป็นเสมือน “เวทีสั่งลา”ของ “น้องมายด์” และ “ครูใหญ่”อรรถพล บัวพัฒน์-เบญจา อะปัน ที่เป็น 3 ผู้ต้องหาในคดีเดียวกัน โดยทั้งหมด “แทงหวย” ว่าจะไม่ได้รับการประกันตัวเช่นเดียวกันแกนนำม็อบสามนิ้วที่เข้าคุกในคดีคล้ายกันก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ตาม พนักงานอัยการ ได้เลื่อนนัดฟังคำสั่งออกไปเป็นวันที่ 13 พ.ค.นี้แทน
มีการพูดถึงเป็นอย่างมากการปราศรัยของ “น้องมายด์-ภัสราวลี” ที่ห่างหายจากการชุมนุมไปหลายเดือน ว่ายังคงมี “พลัง” เช่นเดิม หากแต่เมื่อลงลึกใน “เนื้อหา” ก็ยังเหมือน “สำคัญผิด” ที่พยายามเชื่อมโยงทุกเรื่องไปถึง “สถาบันพระมหากษัตริย์” จนเชื่อกันว่า “น้องมายด์” น่าจะ “สะสมแต้ม” ได้คดีมาตรา 112 เพิ่มไปอีก
เห็นได้ชัดว่า การที่ “ม็อบสามนิ้ว” และแนวร่วม ยัง “สำคัญผิด” ไปที่ “สถาบันพระมหากษัตริย์” ก็ยิ่งทำให้พลังที่เคยทำเอา “รัฐบาล 3 ป.” ขาสั่น พลิกกลับมาคุมเกมได้อย่างไม่น่าเชื่อ เป็นฝ่ายม็อบเสียอีกที่ทำไปทำมากระแสแผ่ว เรตติ้งดิ่งเหว
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือกรณี “แอมมี่ บอททอมบูลส์” ไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์ ที่หน้าเรือนจำคลองเปรม
มีการพูดกันว่าหาก “ม็อบสามนิ้ว” ประคองเพดานแค่ไล่รัฐบาล ป่านนี้ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คงตกเก้าอี้ไปนานแล้ว กระทั่งประเด็นใหญ่ๆ อย่างการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่เดิม “แนวร่วมนอกสภา” สามารถกดดันให้รัฐบาลโอนอ่อนผ่อนตามไปได้ แต่เมื่อผละมือจากประเด็นนี้ ก็เกิดรายการ “เตะปลั๊ก” คว่ำกระบวนการกันกลางอากาศ
และแทนที่ใช้พลังในการกดดันรัฐบาลเพื่อขับเคลื่อนข้อเรียกร้องต่าง กลับใช้พลังในทาง “มิบังควร” จนความเห็นต่างทางการเมืองผลิดอกออกผลขยายตัวในวงกว้าง
มี “ม็อบหนุน-ม็อบต้าน” ตลอดจน “ขบวนการล่าแม่มด” ไปทั่วทุกหัวระแหง เป็นเค้าลาง “วิกฤตความขัดแย้ง” ที่ส่อจะลุกลามบานปลายไปถึง “หายนะ”
ไม่ว่าจะเหตุการณ์ที่คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หรือกรณีที่เกิดกับ “จารย์ป๊อก” ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวไกล ที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น กระทั่งดรามาปลุกกระแสแบนสินค้ายี่ห้อต่างๆ ก็ล้วนแล้วแต่มาจากการผลิตชุดความคิดให้เกิดการ “เลือกข้าง” ของคนในชาติ แบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย
พวกหนึ่งอ้างว่าออกมาเรียกร้องประชาธิปไตย แต่กระทบกระเทียบไปถึง “สถาบันเบื้องสูง” ถูกเรียกว่า “สามนิ้ว-สามกีบ”
กับอีกฝ่ายหนึ่งที่ออกมาปกป้อง “สถาบันเบื้องสูง” ก็ถูกเรียกว่า “สลิ่ม”
เหตุการณ์ชุลมุนเมื่อวันที่ 20 มี.ค. ที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มีการจัดบรรยายพิเศษโดย “ปิยุบตร” ให้นักศึกษา ม.ขอนแก่นรับฟัง ในหัวข้อ “การแก้ไขรัฐธรรมนูญไทยสู่ประชาธิปไตย หรือเสริมแกร่งเผด็จการ” งานนี้จัดโดยนักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น ในนาม “พรรคปฏิวัติมอดินแดง มข.”
ปรากฎว่ามีกลุ่ม “ชาวขอนแก่นปกป้องสถาบันกษัตริย์” เดินทางไปดักรอพบ “ปิยบุตร” และพากันตะโกนว่า “ไอ้คนหนักแผ่นดิน-คนเนรคุณแผ่นดิน” พร้อมตั้งคำถามด้วยว่า คุณต้องการให้คนไทยฆ่ากันตายเหมือนที่ปฏิวัติฝรั่งเศสหรือถึงจะพอใจคุณ
เนื่องด้วย “จารย์ป๊อก เขยฝรั่งเศส” มักหยิบยกกรณี “ปฏิวัติฝรั่งเศส” ที่มีเหตุการณ์โค่นล้มสถาบันพระมหากษัตริย์มาพูดใน “เชิงวิชาการ” บ่อยครั้ง
แม้วันนั้นจะไม่มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้น แต่เป็นสัญญาณย้ำไปถึง “ปิยบุตร” ที่รู้กันว่าให้การสนับสนุนการเคลื่อนไหวของผู้ชุมนุม “คณะราษฎร 2563” หรือ “ม็อบสามนิ้ว” ให้ได้รับรู้อีกครั้งว่า ยังมีกลุ่มผู้เห็นต่างที่ไม่เห็นด้วยกับแนวทางของ “ม็อบสามนิ้ว” หรือ “คณะก้าวหน้า” อีกไม่น้อย
เฉกเช่นเดียวกับหลายๆเหตุการณ์ที่ “ปิยบุตร” รวมไปถึง “ประธานเอก” ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า และ “สาวช่อ” พรรณิการ์ วาณิช กรรมการคณะก้าวหน้า ที่ต้องเผชิญยามลงพื้นที่หาเสียงเลือกตั้งท้องถิ่นในต่างจังหวัด ที่มักมีการเปิด “เพลงหนักแผ่นดิน” ต้อนรับ
ซึ่งเป็นการแสดงออกของกลุ่มคนที่ต้องการปกป้องสถาบันหลักของประเทศ ไม่ว่า “ชาติ-ศาสนา” และโดยเฉพาะ “สถาบันพระมหากษัตริย์”
ทว่าในขณะที่ “ธนาธร-ปิยบตร-พรรณิการ์” ต่างพยายามเรียกร้องให้ “ผู้มีอำนาจ” รับฟังความคิดเห็นของ “ผู้เห็นต่าง” ทว่ากลับกลายเป็น “แก๊งก้าว” ที่หมายรวมถึงคณะก้าวหน้า และพรรคก้าวไกล ตลอดจน “ม็อบสามนิ้ว” ที่ “ด้อยค่า” ผู้เห็นต่างกับตัวเองว่าเป็นเพียง “ไอโอ” หรือขบวนการปลุกปั่นของทางฝ่ายรัฐเท่านั้น
ในทำนองเดียวกับเหตุการณ์ที่ผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ทำการเก็บรื้อถอนงานศิลปะของนักศึกษา ณ หอนิทรรศการศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 22 มี.ค. จนเกิดวิวาทะดุเดือด เป็นที่ถกเถียงว่าการกระทำของผู้บริหารคณะเป็นการคุกคามเสรีภาพทางศิลปะและนักศึกษาหรือไม่
เหตุการณ์ดังกล่าวกลายเป็น “ไวรัล” ในสังคมออนไลน์อย่างรวดเร็ว เมื่อเพจ "ประชาคมมอชอ" ซึ่งเป็นแนวร่วมของ “ม็อบสามนิ้ว” ได้เผยแพร่คลิปเหตุการณ์ ในขณะที่ รศ.อัศวิณีย์ หวานจริง คณบดีคณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พร้อมด้วยรองคณบดีและเจ้าหน้าที่ เข้าไปยึดผลงานศิลปะของนักศึกษา สาขาสื่อศิลปะและการออกแบบสื่อ คณะวิจิตรศิลป์ จนเกิดการเผชิญหน้าโต้เถียงกันอย่างรุนแรง
ซีนที่พูดถึงอย่างมาก เป็นช่วงที่ ผศ.ดร.ทัศนัย เศรษฐเสรี อาจารย์ประจำสาขาสื่อศิลปะและการออกแบบสื่อ คณะวิจิตรศิลป์ ออกมาปกป้องนักศึกษา โดยมี “วรรคทอง” ที่ถูกแชร์กันในวงกว้างว่า “ศิลปะไม่เป็นเจ้านายใคร ศิลปะไม่ใช่ขี้ข้าใคร”
หากดูแค่คลิปดังกล่าว ก็อาจเข้าใจได้ว่า ผู้บริหารได้กระทำการคุกคามเสรีภาพของนักศึกษาจริง และผู้เป็นศิลปิน ก็ย่อมต้องออกมาปกป้องงานศิลปะ
อย่างไรก็ดีหลังจากนั้นก็มีการเปิดเผย “ข้อเท็จจริง” ออกมาอีกด้านว่า รศ.อัศวิณีย์ ในฐานะคณะบดีวิจิตรศิลป์ ได้เข้าไปหอศิลป์มหาวิทยาลัย เพื่อดูความพร้อมของสถานที่ เตรียมรับผลงานแสดงวิทยานิพนธ์ของต่างสถาบัน ที่มาขอใช้พื้นที่แสดงงาน แต่กลับพบสิ่งของที่ทำขึ้นเพื่อเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการเคลื่อนไหวทางการเมืองจำนวนหนึ่ง มาวางอยู่ในบริเวณพื้นที่หอศิลป์โดยไม่ได้รับอนุญาต จึงได้ให้เจ้าหน้าที่ย้ายออกไปเก็บไว้อีกที่หนึ่ง
สิ่งของที่ตรวจพบนั้นก็เป็น “ธงชาติไทยที่มีการนำแถบสีน้ำเงินออก” พร้อมข้อความไม่เหมาะสม ที่เคยใช้ในม็อบต่อต้านประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ว่าด้วยความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ที่สนามกลางมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยมี “เจ๊ทราย” อินทิรา เจริญปุระ และ “เฮียบุ๊ง” ปกรณ์ พรชีวางกูร ผู้สนับสนุนม็อบราษฎรเข้าร่วมกิจกรรม เมื่อวันที่ 14 มี.ค.ที่ผ่านมา
จนถูก “นักศึกษาที่ไม่ได้เรียนที่คณะวิจิตรศิลป์” เข้ามาต่อว่า รศ.อัศวิณีย์ โดยแจ้งว่า ธงผืนนั้นเป็นอุปกรณ์ส่วนตัว ไม่ใช่งานของคณะวิจิตรศิลป์ แต่ถูกถามกลับว่า เรียนอยู่คณะไหน ก็ไม่ยอมตอบ อ้างแต่จะทวงธงคืน และนำเรื่องไปแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ
เมื่อความจรอิงปรากฎ กระแสก็ตีกลับทันที โดยเฉพาะรายของ ผศ.ดร.ทัศนัย ที่มีพฤติกรรมอ้างอาวุโส รุ่นพี่รุ่นน้อง ขู่ใส่ “รองคณบดี” ที่รุ่นน้องสมัยเป็นนักศึกษา ทั้งที่แนวทางของ “ม็อบสามนิ้ว” มักอ้างถึงหลัก “คนเท่ากัน” มาโดยตลอด
นอกจากนี้ยังมีการติดตามสืบค้นไปที่เฟซบุ๊ก ผศ.ดร.ทัศนัย ซึ่งโด่งดังชั่วข้ามคืน มีผู้ไปขอเป็นเพื่อนทางเฟซบุ๊กจำนวนมาก จนเจ้าตัวต้องขอใช้เวลาในการสกรีนเพื่อน โดยพบว่าเนื้อหาในเฟซบุ๊กของ ผศ.ดร.ทัศนัย แสดงออกอย่างชัดเจนว่าเป็น “แนวร่วม” ของม็อบสามนิ้ว และยังโพสต์เข้าข่ายหมิ่นสถาบันเบื้องสูง พร้อมทั้งข้อความหยาบคายด้วย
และยังมีการวิพากษ์วิจารณ์พฤติการณ์ “ให้ท้าย” เด็กของ ผศ.ดร.ทัศนัย ด้วยว่า พยายามอ้างว่าเป็นเรื่องศิลปะ แต่กลับไม่มองในมิติของการกระทำผิดระเบียบมหาวิทยาลัย รวมไปถึงการกระทำผิดกฎหมายทั้ง “พระราชบัญญัติธง” และประมวลกฎหมายอาญา
โดยพระราชบัญญัติธง พ.ศ. 2522 ระบุไว้ในมาตรา 53 ว่าผู้ใดกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใด อาทิ ประดิษฐ์รูป ตัวอักษร ตัวเลข หรือเครื่องหมายอื่นใดในผืนธง ใช้ ชัก หรือแสดงธง รูปจำลองของธง หรือในแถบสีของธง อันมีลักษณะโดยไม่สมควร ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 1 ปีหรือปรับไม่เกิน 2,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
และมาตรา 54 ว่า ผู้ใดกระทำการใดๆ อันมีลักษณะเป็นการเหยียดหยามต่อธง รูปจำลองของธง หรือแถบสีธงที่ได้บัญญัติกำหนดลักษณะไว้ในพระราชบัญญัตินี้ หรือตามที่กำหนดในกฎของกระทรวง ซึ่งออกตามพระราชบัญญัตินี้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ขณะที่ กฎหมายอาญา มาตรา 118 ระบุว่า ผู้ใดกระทำการใดๆ ต่อธงหรือเครื่องหมายอื่นใดอันมีความหมายถึงรัฐ เพื่อเหยียดหยามประเทศชาติ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 4,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
เป็นคำถามไปถึง ผศ.ดร.ทัศนัย ว่าการปกป้องนักศึกษา เป็นการให้ท้ายในทางที่ผิดหรือไม่ อีกทั้งยังมีการขุดคุ้ยพฤติกรรมส่วนตัวที่ไม่เหมาะสมของ ผศ.ดร.ทัศนัย ในอดีตอีกด้วย
บทบาทของ ผศ.ดร.ทัศนัย ในดรามาคณะวิจิตรศิลป์ ม.เชียงใหม่ ทำให้นึกไปถึงบทบาทของ “ผู้ใหญ่อีแอบ” ทั้งหลายที่ “ให้ท้าย” ม็อบสามนิ้วมาโดยตลอด จนวันนี้แทบไม่เหลือแกนนำที่อยู่นอกคุกอีกแล้ว
นึกถึงชะตากรรม “เหยื่อ” อย่าง “บิ๊กกวิ้น” พริษฐ์ ชิวารักษ์, “ทนายซอยจุ๊” อานนท์ นำภา, “น้องรุ้ง” ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล, “ไผ่ ดาวดิน” จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา และ “ไมค์ ระยอง” ภาณุพงศ์ จาดนอก ที่ต้องทนทุกข์อยู่ในเรือนจำ หรือแกนตามตัวสีสันอย่าง “จัสติน” ชูเกียรติ แสงวงศ์ ก็ยังไม่รอด และยังมีรายชื่อที่น่าจะต้องตามเข้าไปในเรือนจำอีกเป็นหางว่าว อย่างรายของ “น้องมายด์-ครูใหญ่” เป็นต้น
ก็ทำให้หน้าของ “ผู้ใหญ่“หลายคนลอยขึ้นมา
ไม่ว่าจะเป็น “ส.ศิวรักษ์” สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ผู้ยกตนเป็นปราชญ์รัตนโกสินทร์, ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ “พ่อจอห์น” โกวิท วงศ์สุรวัฒน์ อาจารย์อาวุโสของภาควิชารัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่เป็นพ่อของ “จอห์น” วิญญู วงศ์สุรวัฒน์ อดีตดาราพิธีกรชื่อดังที่มีแนวคิดต่อต้านรัฐบาลอย่างชัดเจน เป็นต้น
และแน่นอนต้องมีหน้าของ “ธนาธร-ปิยุบตร-พรรณิการ์” รวมทั้ง “เจี๊ยบ คอนถม” อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ลอยขึ้นมาด้วย
อาจหมายรวมถึง “ศาสดาสามนิ้ว” สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อดีตอาจารย์คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ “เจ๊วิน เกียวโต” ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ รองศาสตราจารย์แห่งศูนย์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา ของมหาวิทยาลัยเกียวโต ที่ทั้งคู่เป็นผู้ต้องหาหลบหนีคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามมาตรา 112 อยู่ในต่างประเทศ
ทั้งหมดที่หยิบยกมาเป็นตัวอย่าง ถือเป็น “ผู้ใหญ่” ที่สนับสนุน “ให้ท้าย” ม็อบสามนิ้ว ในรายของ “สมศักดิ์-ปวิน” ถือว่า “ลอยตัว” เพราะหลบหนีคดีอยู่ในต่างประเทศ
เชื่อว่าอีกไม่นานเหล่า “แกนนำฟันน้ำนม” ทั้งหลายคงต้องไปใช้เวลาต่อสู้คดีกันในเรือนจำ ด้วยคดีความที่สะสมกันไว้ และพฤติกรรมที่กระทำผิดกันอย่างซ้ำซาก จนศาลมิอาจเมตตาให้ประกันตัวได้
อีกทั้งหลักคิดที่ว่า “ม็อบไม่มีแกนนำ” ก็พิสูจน์แล้วว่า “ไม่เวิร์ก”
ก็มีคำถามดังๆไปถึง “ผู้ใหญ่” ทั้ง “สุลักษณ์-ชาญวิทย์” ที่เคยไปอุ่นเครืองร่วม “เดินทะลุฟ้า” ก่อนส่ง “ไผ่ ดาวดิน” เข้าคุก หรือรายของ “โกวิท-สามสหายแก็งก้าว-เจ๊เจี๊ยบ” ล้วนแล้วแต่เป็นขาประจำเวทีม็อบสามนิ้ว
ทั้งหมดที่เอ่ยชื่อมา อาจถึงเวลาสวมบท “แกนนำรุ่นเดอะ” ออกมายืนแถวหน้าแทน
อย่ามัวแต่ใช้เด็กเป็นเหยื่อ จนถูกค่อนขอดว่า “แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน” อีกเลย.