xs
xsm
sm
md
lg

นาทีชีวิต! บึ้มฆ่าตัวตายครั้งรุนแรงหนแรกรอบ 3 ปีในอิรัก ตายเกลื่อน 32 ศพ (ชมคลิป)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



พวกรัฐอิสลาม (ไอเอส) อ้างความรับผิดชอบเหตุโจมตีตลาดแห่งหนึ่งในแบกแดด ที่อัดแน่นไปด้วยผู้คนในวันพฤหัสบดี (21 ม.ค.) ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 32 ราย ถือเป็นหตุระเบิดฆ่าตัวตายครั้งใหญ่หนแรกในรอบ 3 ปีในอิรัก จากการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่ พร้อมชี้ว่ามันมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นสัญญาณว่าพวกไอเอสกลับมาเคลื่อนไหวแล้ว

ผู้สื่อข่าวของรอยเตอร์ที่เดินทางไปถึงจุดเกิดเหตุในภายหลัง เปิดเผยว่า พบเห็นกองเลือดและรองเท้ากระจัดกระจายทั่วพื้นที่ของตลาดขายเสื้อผ้าบริเวณจัตุรัสตายาราน ย่านใจกลางกรุงแบกแดด และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขระบุว่านอกจากผู้เสียชีวิตข้างต้น ยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกอย่างน้อย 110 คน

กลุ่มรัฐอิสลามออกมาอ้างผ่านเทเลแกรมในตอนเช้าวันศุกร์ (22 ม.ค.) ว่าสมาชิกของพวกเขา 2 คนเป็นผู้ลงมือจุดชนวนระเบิดฆ่าตัวตาย


หลังเกิดเหตุกองกำลังด้านความมั่นคงของอิรักถูกส่งเข้าประจำการ และถนนหลายหลักถูกปิดการเข้าออก เพื่อป้องกันความเป็นไปได้ที่จะเกิดเหตุโจมตีเพิ่มเติม

พ่อค้าคนหนึ่งซึ่งไม่ประสงค์เอ่ยนามเล่าว่า “มือระเบิดคนหนึ่งล้มตัวลงไปนอนกับพื้น และเริ่มคร่ำครวญว่าปวดท้อง และจากนั้นเขาก็กดตัวจุดชนวนระเบิด ระเบิดตูมสนั่นทันที ผู้คนถูกฉีกขาดเป็นชิ้นๆ”

การโจมตีด้วยมือระเบิดฆ่าตัวตาย ครั้งหนึ่งเคยเกิดขึ้นแทบทุกวันในเมืองหลวงของอิรัก แต่มันหยุดไปพักใหญ่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่กลุ่มนักรบรัฐอิสลามประสบความพ่ายแพ้ในปี 2017 ส่วนหนึ่งในสถานการณ์ความปลอดภัยที่ดีขึ้นโดยรวมซึ่งนำพาวิถีชีวิตในกรุงแบกแดดกลับสู่ภาวะปกติ

วิดีโอที่บันทึกภาพจากหลังคาของอาคารและเผยแพร่บนสื่อสังคมออนไลน์ พบเห็นแรงระเบิดลูกที่ 2 ฉีกขาดร่างของผู้คนที่รวมตัวกันบริเวณดังกล่าวกระจัดกระจาย ขณะเดียวกันก็ปรากฏภาพถ่ายที่แชร์โลกออนไลน์ พบเห็นผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บหลายคน แต่ทางรอยเตอร์ไม่ยืนยันว่ามันเป็นภาพเหตุการณ์จริงหรือไม่

เหตุโจมตีเมื่อวันพฤหัสบดี (21 ม.ค.) เกิดขึ้นในตลาดเดียวกับที่เคยถูกโจมตีครั้งรุนแรงหนสุดท้ายก่อนหน้านี้ ในเดือนมกราคม 2018 ซึ่งคราวนั้นมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 27 ราย

นายกรัฐมนตรีมุสตาฟา อัล-คาดิมี ต้องเรียกประชุมฉุกเฉินกับบรรดาผู้บัญชาการด้านความมั่นคงระดับสูง เพื่อหารือเกี่ยวกับเหตุโจมตีเมื่อวันพฤหัสบดี (21 ม.ค.) จากการเปิดเผยของสำนักนายกรัฐมนตรี

(ที่มา : รอยเตอร์)
กำลังโหลดความคิดเห็น