รายการ “SONDHI TALK” ตอนพิเศษ วันศุกร์ที่ 1 ม.ค.2564 เผยแพร่ทางเฟซบุ๊กแฟนเพจ คุยทุกเรื่องกับสนธิ และช่องยูทูป Sondhitalk สรุปเรื่องราว 1 ปีที่ผ่านมา พร้อมตอบคำถามแฟนรายการ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันในทุกเรื่องยกเว้นการเมือง ทุกเรื่องร้ายๆ ทุกปัญหาหนักๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ผ่านมันไปได้อย่างไร ...เปิดหลักคิด การดำเนินชีวิตของชายชื่อ “สนธิ ลิ้มทองกุล” และเรื่องที่ “เสียใจที่สุดในชีวิต” ถ่ายทอดออกมาเป็นบทเรียนชีวิต จากคนรุ่นเก่าถึงคนรุ่นใหม่ เพื่อนำไปปรับใช้หากไม่อยากให้ทุกอย่างสายเกินไป
คำต่อคำ SONDHI TALK [1 ม.ค. 64] : สรุป 1 ปีที่ผ่านมา พร้อมเปิดเรื่องที่หลายคนอยากรู้ (เทปพิเศษปีใหม่ 2564)
สวัสดีครับท่านผู้ชม วันนี้เป็นวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2563 เป็นวันที่เราอัดเทปกันล่วงหน้า เพื่อมาออกอากาศในวันศุกร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2564 วันนี้เป็นวันที่รายการพิเศษจริงๆ จะเป็นเรื่องราวที่ไม่ได้เกี่ยวกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ผมคิดว่าวันนี้เราจะคุยกันฉันญาติพี่น้อง ท่านผู้ชมในฐานะที่เป็นคนที่ผมเคารพ และผมขอบพระคุณที่ให้การสนับสนุนมาฟังอยู่ตลอดเวลา
1 ปีที่ผ่านมา ... 1 ปีกว่าที่ผ่านมา ผมได้ทำงานนี้ ก็ไม่เคยคิดเหมือนกันว่าจะทำมาถึงตอนที่ 60 กว่าแล้ว ปีกว่าๆ แล้ว โดยที่ไม่ขาดเลยแม้แต่อาทิตย์เดียว
วันศุกร์ที่ 1 มกราคม 2564 ท่านผู้ชมคงอยากจะรู้ว่าชีวิตของคนอายุ 73 ปี อย่างผม ผ่านโลกมาเยอะเหลือเกิน อะไรๆ ก็ผ่านมาแล้ว การตายก็ผ่านมาแล้ว โดนยิง 200 นัด ก็ผ่านมาแล้ว ติดคุก 2 ปี 11 เดือน 27 วัน ก็ติดมาแล้ว ขึ้นศาลมาเป็นร้อยๆ คดี 99 เปอร์เซ็นต์ ก็เป็นคดีหมิ่นประมาท ทุกอย่างผ่านมาหมดแล้ว ท่านผู้ชมคงอยากจะรู้ว่า ชีวิตคนอายุอย่างผม 73 ปี อยู่มาได้อย่างไร ท่านผู้ชมหลายๆ ท่านส่งคำถามมาให้ผม เยอะมาก ประมาณ 700-800 คำถาม ผมก็แบ่งคำถามเป็นช่วงๆ เป็นตอนๆ เช่น ผมจะพูดเรื่องศาสนา มีคนถามผมเรื่องนั่งสมาธิ ไหว้พระ ผมคิดอย่างไร ที่ถามเยอะที่สุดคือถามเรื่องลูก ทุกคนกลัวมากตอนนี้ หลายคนก็บอกว่า ลูกตอนนี้กำลังจะเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว ทำอย่างไร คุณสนธิ ดิฉันกลัวมาก กำลังจะเข้าธรรมศาสตร์ เด็กอยากเข้าธรรมศาสตร์ คณะสังคมสงเคราะห์ รู้สึกจะเป็นคณะเดียวกับคุณรุ้ง ปนัสยา ช่วยแนะนำอะไรให้หน่อยได้ไหม ? ก็มีคำตอบที่จะพยายามตอบให้ท่านผู้ชมได้ฟัง แต่ผมจะเรียนให้ทราบนิดหนึ่ง หลายๆ ท่านคงจะสนใจในเรื่องของชีวิต การดำรงชีวิตของผม ว่าผมอยู่ได้อย่างไร ? ความกดดันมีมากน้อยแค่ไหน ? แล้วทำไมตัวผมเองจึงเป็นเช่นนี้ ? ก็คือว่า ไม่กังวลอะไรเลยทั้งสิ้น จริงๆ ผมไม่เคยกังวลอะไรเลยนะท่านผู้ชม
อย่างที่ผมเรียนให้ท่านผู้ชมทราบว่า คนเราพอถึงจุดๆ หนึ่งแล้ว จะไม่คิดอะไรมากหรอก ผ่านโลกก็ผ่านมามากแล้ว มันมีความรู้สึกว่า ทุกอย่างมันเป็นเรื่องสมมุติหมด ท่านผู้ชมครับ จำได้หรือเปล่า ผมเคยพูดอยู่ 2 ประโยค ในการใช้ชีวิต ผมเคยเรียนให้ท่านผู้ชมทราบ ประโยคแรกที่สำคัญมาก ก็คือว่า อะไรก็ตามที่เกิดขึ้นกับตัวเรา สิ่งแรกที่ท่านผู้ชมต้องจำเอาไว้เลยก็คือ อะไรก็ตามที่เกิดขึ้น อย่าไปตกใจ ให้ท่องเสมอว่า "มันก็เป็นของมันอย่างนี้แหล่ะ" ภาษาธรรมเขาเรียกว่า "ตถตา" ก็คือ ก็เป็นของมันอย่างนี้ล่ะ มีคนมาโกงเงินเรา มันก็เป็นของมันอย่างนี้ล่ะ ลูกเกเรมาก ไม่ฟังพ่อไม่ฟังแม่ มันก็เป็นของมันอย่างนี้ล่ะ แล้วประโยคสุดท้ายที่จะจบเรื่องนี้ให้ได้ดี ก็คือ "แล้วมันก็จะผ่านไป"
ผมเคยมีลูกหลานหลายคน ซึ่งเป็นผู้หญิง หลานสาวผม ก็มาปรึกษาหารือเรื่องการใช้ชีวิต กับผม หลานสาวบางคนก็บอกว่า ลุงๆ จะทำอย่างไรดี ตอนนี้หนูอกหัก ชีวิตหนูกลุ้มใจ หนูเพิ่งเลิกกับแฟน ทุกคนจะมาถามประเด็นปัญหานี้กับผม ผมก็หัวเราะ ผมก็นึกถึงสมัยก่อนที่ผมเป็นวัยรุ่น ผมเชื่อว่าพวกเราที่ผ่านโลกมาแล้ว ต้องเจอปัญหาความสัมพันธ์ของมนุษย์ เจอกันก็ไม่น้อย มีทั้งผิดหวัง มีทั้งสมหวัง ผมก็ถามกลับไปว่า สมัยก่อนตอนที่ลูกยังสาวๆ อยู่ ผมหมายถึงสมัยที่เขาเรียนปริญญาตรีนะ ใกล้จะจบ หรือเพิ่งจบ เพราะว่าหลานผมส่วนใหญ่ก็ประมาณ 30 แล้ว 31-32 เคยอกหักมาก่อนไหม ? เขาบอก เคยสิลุง แล้วเป็นอย่างไรตอนนั้น เจ็บปวดไหม ? เจ็บปวดมาก หนูกินไม่ได้ นอนไม่หลับไป 7 วัน กว่าจะทำใจได้ ใช้เวลาเป็นเดือน บางคนที่เป็นหลานชาย ก็บอกว่าผมต้องกินเหล้าเมายา รู้สึกว่าชีวิตอาจจะไม่มีความหมายแล้ว อยู่ไม่ได้ ผมก็ถามเขากลับว่า เอาล่ะ นั่นคืออดีต ไหนลูกลองมองย้อนหลังไปซิ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสมัยยังหนุ่มๆ สาวๆ ยังเรียนปี 1 ปี 2 หรือว่าเรียน ม.6 หรือว่าเรียนมหาวิทยาลัยปีสุดท้าย หรือว่าเพิ่งทำงานใหม่ๆ จบมาแล้วทำงาน แล้วเจอผู้ชาย เจอผู้หญิง แล้วเลิกกัน มองจากวันนี้ย้อนกลับไปวันนั้น รู้สึกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันเป็นอย่างไร ? เขาบอก มันตลกน่ะลุง หลานผมทุกคนจะพูดอย่างนี้ มองย้อนกลับไปแล้วคิดไม่ถึงว่าเราจะเหลวไหลแบบนั้น โคตรตลกเลย นึกไม่ถึงว่าจะต้องมีการเจ็บช้ำน้ำใจ ทั้งๆ ที่พอมามองย้อนหลังแล้วมันไม่น่าโง่ไปขนาดนั้นเลย เอ้า! นั่นไงคือประเด็น เข้าใจหรือยัง ท่านผู้ชมครับ นั่นคือประเด็น ประเด็นคือ ถ้าวันนี้เรามองย้อนกลับถึงเรื่องเก่า แล้วเรามีความรู้สึกว่ามันตลก คำถามก็มีอยู่ว่า ทำไมเราต้องใช้เวลาตั้ง 5 ปี หรือใช้เวลาตั้ง 3-4 ปี กว่าจะมองเรื่องที่มันตลก ให้มันเป็นเรื่องตลกจริงๆ แต่ทำไมเวลานั้นเรามองแล้วเราถึงชอกช้ำน้ำใจ ก็เพราะอะไร ? ทำไมเราไม่สามารถจะย่นระยะเวลา 3-4 ปี หรือ 1-2 ปี ให้มันสั้นลง ให้เหลือเพียงแค่ไม่เกิน 7 วัน หรือสูงสุดสำหรับผมแล้ว ไม่น่าจะเกิด 1-2 วัน ก็น่าจะทำใจได้แล้ว แล้วก็ขำตัวเอง ขำตรงที่ว่า มันก็เป็นของมันอย่างนี้ล่ะ แล้วมันก็จะผ่านไป
คำว่า "แล้วมันก็จะผ่านไป" ถ้าคนปรับตัวเองไม่เป็น ใช้จิตของตัวเองไม่เป็น ความคิดต่างๆ เหล่านั้นมันก็จะยืดเยื้อ ทำให้เราต้องใช้เวลาตั้งนมตั้งนานกว่าจะปรับได้ ทั้งๆ ที่วันนี้เมื่อมองย้อนหลังไปแล้ว แล้วถ้าเราเอาตัวเราวันนี้ไปวางเมื่อสมัยนั้น ถ้าเรามองความตลกวันนี้ของในอดีต แล้วเราเอาความตลกตรงนี้ของเราในจิต ในสมองเรา กลับไปใช้สมัยนั้น เราก็น่าจะทำใจได้ภายใน 1-2 วัน ใช่ไหม หลานผมก็บอกว่า ลุง ลุงทำได้นี่ หนูทำไม่ได้ เอ้า! มันต้องฝึก นี่ไงท่านผู้ชม คำว่า "ตถตา" มันก็เป็นของมันอย่างนี้ แล้วมันก็จะผ่านไป เป็นเพียงแต่ว่าบางคนทำใจได้ตั้งแต่ต้น ว่ามันก็เป็นของมันอย่างนี้่ล่ะ แล้วภายใน 1-2 วัน 24-48 ชั่วโมง มันก็จะผ่านไป แต่บางคนต้องใช้เวลาถึง 3 ปี 5 ปี บางคนมีความเคียดแค้น เจ็บใจ จนกระทั่งตัวเองมีครอบครัวใหม่ หรือตัวเองผ่านไปแล้ว 20 ปี ก็ยังจำเรื่องเก่าๆ ออกมาได้เหมือนกัน ทำไมเราถึงไม่ย่นย่อความห่างตรงนี้ให้มันแคบลงมาๆๆ ฝึกตัวเองเรื่อยๆ ไปจนกระทั่งอะไรก็ตามที่มันเกิดขึ้นกับเราในวันนี้ ถ้าเราทำได้ พรุ่งนี้ลืมไปได้ ตรงนี้ต่างหาก นี่คือหลักการใช้ชีวิตของผม
ท่านผู้ชมเชื่อหรือเปล่า ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยจำอะไร ทั้งๆ ที่ผมเป็นคนที่ความจำเลอเลิศ ท่านผู้ชมก็เห็นแล้วว่าในการออกรายการทุกครั้งของผมทุกๆ สัปดาห์ ทุกๆ วันศุกร์ ผมมีข้อมูลเยอะแยะไปหมดที่ผมต้องจำ ความจำผมดี แต่ทำไมเรื่องพวกนี้ผมไม่จำ อาจจะเป็นเพราะว่า หนึ่ง ผมเป็นคนที่แยกแยะเป็นว่า นี่คือเรื่องมีสาระ นี่คือเรื่องที่ไร้สาระ แล้วถ้ามันไร้สาระจริงๆ ก็จะไปจำมันทำไม ถามว่าความรักไร้สาระไหม ? ระดับหนึ่งมันก็ไร้สาระนะ มันไร้สาระจริงๆ ความเจ็บใจไร้สาระไหม ? ไร้สาระ ทำไมถึงไร้สาระ ? ท่านผู้ชมเคยคิดหรือเปล่าว่า เวลาเราเจ็บใจ เราแค้นขึ้นมา ใครเจ็บตัว ? เราเจ็บตัวท่านผู้ชม เรานี่ล่ะเจ็บตัว ไม่ใช่เขา แหม กูนึกไม่ถึงมึงจะเป็นคนอย่างนี้ พ่อแม่ดูสิ ไอ้นี่มันโกง ขอให้มันลงนรก ... ไฟมันเผาผลาญตัวเราเอง ท่านผู้ชมครับ ทำไมเราจะต้องทำร้ายตัวเราเอง ไม่มีประโยชน์ ผมอาจจะพูดได้นะ ผม 73 แล้ว เพราะว่าในชีวิตของคนเราที่แท้จริงแล้ว มีคนพูดบอกว่า "เรามีเวลาในโลกนี้ 3 วัน เมื่อวานนี้ ผ่านไปแล้ว พรุ่งนี้ ยังไม่มา เหลือแต่วันนี้ ดีที่สุด เพราะฉะนั้นเรามีเวลา 3 วัน ทำให้ดีที่สุด" ไม่จริงท่านผู้ชม เรามีเวลาแค่วันนี้วันเดียว เพราะว่าเมื่อวานผ่านไปแล้ว แต่วันนี้เรากำลังใช้ชีวิตอยู่ แล้วผมถามว่า ในชั่วโมงข้างหน้านี้เนเราจะยังอยู่ในโลกนี้หรือเปล่า วันนี้ของเราก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน เพราะฉะนั้นแล้ว ทุกวินาที ทุกนาที ทำชีวิตให้มีจิตที่สงบ ที่นิ่ง
ท่านผู้ชมครับ ท่านผู้ชมที่เคยติดตามเรื่องราวของผมคงจะจำได้ ผมเคยเล่าให้ฟังว่า พ่อแม่ครูอาจารย์ หลวงตามหาบัว ท่านเคยสอนผม ท่านสอนว่าอย่างไร ?
ท่านบอกว่า ชีวิตมีแต่ความว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลย มีแต่ความว่างเปล่าจริงๆ ลาภ ยศ สรรเสริญ ว่างเปล่า พอตายไปแล้วก็ไม่มีอะไร เป็นเรื่องสมมุติทั้งนั้น เป็นเรื่องสมมุติจริงๆ ท่านบอกว่า เพราะฉะนั้นแล้ว ทรัพย์สิน เงินทอง เสื้อผ้า รถยนต์ อัญมณี เพชรพลอย ตำแหน่งแห่งที่ เป็นเรื่องสมมุติ มาแล้วจากไป หลวงตาบอกว่า ใครๆ ก็เอาทรัพย์สินเราไปได้ ขโมยของเราไปได้ รถไปชน รถก็พัง แม้กระทั่งลูก ลูกเกเร ไปติดยา เข้าคุกเข้าตะราง เมีย ทะเลาะกับเมีย แยกกับเมีย เมียเลิกไป ในที่สุดแล้วก็เหลือแต่ตัวเราเอง เงินทองในแบงก์ก็หมดไปได้ หายไปได้ แต่มีอยู่อย่างเดียว หลวงตาท่านพูด ไม่มีใครเอาไปจากเราได้ นั่นคือ "ใจเรา" ท่านถึงบอกว่า "สนธิ เสียอะไรเสียไป อย่าเสียใจ เสียอะไรเสียไป รักษาใจให้ดี" เพราะว่าอะไรก็เสียได้หมด ใครๆ ก็เอาของเราไปหมด ลูกที่รักของเราทำตัวไม่ดี ทำให้เราเสียใจ แล้วพรากไป เงินทองหายไป โดนขโมย แต่ไม่มีใครขโมยใจเราไปได้ หลวงตาบอก ต้องรักษาใจให้ดี แล้วรักษาใจให้ดี ต้องทำอย่างไร ?
หลายท่านอาจจะเคยได้ยินผมพูดในรายการ ผมเป็นคนที่ปฏิบัติธรรมทุกวัน ท่านผู้ชม ผมตื่นมาตอนเช้า ตีสี่ ทุกวัน ไม่มีวันหยุด แต่ไหนแต่ไรมาแล้ว ตั้งแต่อยู่ในคุก ในเรือนจำ 2 ปี 11 เดือน 27 วัน ก็ตื่นตีสี่ ทุกวันนี้ผมตื่นมาตีสี่ ผมก็อ่านหนังสือพิมพ์ ผมไม่ได้อ่านหนังสือพิมพ์เป็นรายละเอียด แต่ผมจะเช็กเรื่องพาดหัวข่าว ผมเป็นคนสนใจในเรื่องข่าวต่างประเทศมาก ผมก็จะเช็กเข้าไปในแอปพลิเคชันของสำนักข่าว ไม่ว่าจะเป็น BBC (ไม่ใช่ บีบีซีไทย นะครับ) ไม่ว่าจะเป็น CNN ไม่ว่าจะเป็น The Guardian ไม่ว่าจะเป็น Apple News หรือว่าจะเป็น ALJAZEERA สำนักข่าว RT ของรัสเซีย สำนักข่าว XINHUA ของประเทศจีน
แอปฯ ของ South China Morning Post ของฮ่องกง ผมอ่านหมด อ่านหมดเลยครับแม้กระทั่งแอปฯ ข่าวของไต้หวัน หนังสือพิมพ์ China News ของไต้หวัน หรือ Yomiuri Shimbun ภาษาอังกฤษ ของญี่ปุ่น ผมอ่านหมด เพราะผมเป็นคนสนใจ เพราะว่าข่าวชิ้นหนึ่งทางตะวันตกจะรายงานแบบนี้ แต่ชิ้นนี้คนที่วิเคราะห์ทางตะวันออก ทางญี่ปุ่นจะวิเคราะห์แบบนี้ Nikkei ก็จะวิเคราะห์แบบนี้ XINHUA จะวิเคราะห์แบบนี้ BBC จะวิเคราะห์แบบนี้ แล้วผมก็จะมาดูว่าใครวิเคราะห์แล้วมีเหตุมีผลมากที่สุด
เสร็จเรียบร้อยแล้ว เช้าขึ้นมาผมจะทานน้ำมันมะพร้าวหีบเย็น 4 ช้อนโต๊ะ ทุกวัน ผมได้เคล็ดลับนี้มาจากอาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
ก่อนที่ผมจะออกรายการนี้ ผมเคยเรียนอาจารย์ปานเทพ ว่า อาจารย์ครับ เล่าเรื่องน้ำมันมะพร้าวที่เป็นวิทยาศาสตร์ให้ผมฟังหน่อยได้ไหม เพราะผมเชื่ออาจารย์ปานเทพ ว่าทานน้ำมันมะพร้าวแล้วดี แต่ผมยังไม่รู้รายละเอียดมากนัก อาจารย์ปานเทพ ท่านก็เลยทำเอกสารมาให้ แต่ผมคิดว่าผมคงไม่อ่านให้ฟังทั้งหมดหรอก เอาที่สำคัญก็แล้วกัน
เอาเป็นว่า ท่านผู้ชมเชื่อหรือเปล่า สิบปีแล้ว ตั้งแต่ผมทานน้ำมันมะพร้าวหีบเย็น ผมทานของยี่ห้อ manature : Coconut Virgin Oil น้ำมันมะพร้าว 100 เปอร์เซ็นต์ วันละ 4 ช้อนโต๊ะ ตื่นมาปั๊บทานเลย 4 ช้อนโต๊ะ ก่อนจะแปรงฟันเสียด้วยซ้ำ ท่านผู้ชมครับ ผมไม่เคยเป็นหวัดเลยแม้แต่ครั้งเดียวในรอบสิบปีที่ผ่านมา ไม่มี ผมไม่เคยเป็น ทั้งหวัดเล็ก หวัดใหญ่ ก็ไม่เคยเป็น ไม่เคยเป็นจริงๆ แล้วผมมารู้ทีหลังจากอาจารย์ปานเทพ ว่า น้ำมันมะพร้าวมีส่วนเสริมสร้างเซลล์ในสมอง อาจารย์ปานเทพ เล่าให้ผมฟังว่า ที่สหรัฐอเมริกาเริ่มมีคนทดสอบ วิจัยน้ำมันมะพร้าวกับคนที่เป็นโรคอัลไซเมอร์ เขาบอกคนที่ได้ทานน้ำมันมะพร้าวแล้วความทรงจำจะดี เซลล์สมองจะเพิ่มมากขึ้น
อีกประการหนึ่ง นอกจากน้ำมันมะพร้าวแล้ว ท่านผู้ชมรู้ไหม ผมเป็นคนชอบกินน้ำขิง
ผมทานน้ำขิงวันละประมาณ 3-4 ถ้วยกาแฟ ขิงก็ไม่ใช่ขิงซองด้วยนะ ผมให้คนที่บ้านไปซื้อขิงสดมาจากตลาด ปอกเสร็จเรียบร้อย หั่นเป็นแว่นๆ แล้วก็ต้มน้ำ น้ำขิงสดร้อนๆ แล้วผมทานอะไรก็ใส่พริกไทยมากๆ ก็ปรากฏว่า อาจารย์ปานเทพ ก็เลยบอกว่า แพทย์แผนทางเลือก หรือแพทย์แผนโบราณระบุว่า น้ำมันมะพร้าว พริกไทย และขิง นี่คือเคล็ดลับในการป้องกันตัวเองจากโควิด แล้วเป็นการป้องกันโรค
อาจารย์ปานเทพ เขียนมาบอกว่า พอคนเราอายุเริ่ม 50 ปีขึ้นไป ธาตุไฟจะหย่อนลงไปอีก ระบบคุ้มกันเริ่มตกลง คราวนี้เกิดปัญหาธาตุลมมากขึ้น คือโรคที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหว เช่น โรคประสาท สารสื่อประสาท การปวดตาามร่างกาย การย่อยอาหารเสื่อมลง เป็นโรคเบาหวานง่าย (ลืมบอกไปท่านผู้ชม ผมไม่ได้เป็นเบาหวานเลยแม้แต่นิดเดียว ระดับน้ำตาลผมปกติ ท่านผู้ชมครับ 73 ความดันผมก็ยังคงอยู่ที่ 120-130 หัวใจอยู่ที่ 80 เพอร์เฟกต์ครับ) โรคหลอดเลือดตีบ (หมายถึงคนอายุ 50 ปีขึ้นไป) ความเคลื่อนไหวช้าลง สมรรถนะทางเพศเสื่อมลง อ้วนมากขึ้น ทั้งหมดนี้คือความเป็นไปของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อาหารและเครื่องดื่มก็ล้วนแล้วแต่มีธาตุที่จะไปช่วยเสริมเติมความกำเริบพิการของธาตุในร่างกายเรา
อาจารย์ปานเทพ ก็เลยบอกว่า น้ำมันมะพร้าว เป็นน้ำมันที่มีขนาดโครงสร้างโมเลกุลที่สั้นกว่าไขมันชนิดอื่นทั่วโลก หมายความว่า น้ำมันมะพร้าวเป็นพลังงานความร้อนให้กับร่างกายเร็วที่สุด จึงตรงกันข้ามกับความเชื่อที่ว่าไขมันทำให้อ้วน หรือภาษาทางแพทย์ปัจจุบัน พบว่ามันเป็นไขมันที่เพิ่มการทำงานของฮอร์โมนไทรอยด์ ที่จะทำให้การเผาผลาญดีขึ้น
อาจารย์ปานเทพ บอกว่า การเสริมธาตุไฟ (คือผมเสริมธาตุไฟของผม) ด้วยน้ำมันมะพร้าวนี่เอง ทำให้พลังงานความร้อนหย่อนลงช้ากว่าคนทั่วไป จึงเป็นการรักษาระดับฮอร์โมนที่เป็นความร้อนให้ดำรงให้นานที่สุด เพราะการเผาผลาญที่สูงขึ้น จะช่วยนำคอเลสเตอรลไปผลิตเป็นฮอร์โมน ทั้งเพศชายและหญิงให้ได้มากขึ้น คนที่ดื่มน้ำมันมะพร้าวเป็นประจำ จึงดููอ่อนวัยกว่าคนวัยเดียวกัน ท่านผู้ชมครับ ดูหน้าผม 73 แล้ว เหมือนคนอายุ 73 ไหมครับ หลายคนบอกว่าคุณสนธิ ทำไมหน้าเด็ก ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมผมหน้าเด็ก แต่ผมรู้อยู่อย่างเดียวเท่านั้นเองว่า ผมเป็นคนที่ระวัง และผมเป็นคนที่ชอบภูมิปัญญาทางตะวันออก ไม่ว่าจะเป็นแพทย์ทางเลือก หรืออะไรก็ตาม เพราะผมเป็นคนชอบป้องกันมากกว่าชอบรักษา ท่านผู้ชมครับ อายุขนาดผม โรคไตก็ไม่ได้เป็น ที่สำคัญ เบาหวานไม่ได้เป็น หัวใจปกติ น้ำตาลปกติ ความดันปกติ ความดันปกตินี่หาได้ยากมาก 120-130 มีอยู่เรื่องเดียวที่แก้ไม่ได้ คือความดันทุรัง เท่านั้นเอง
อาจารย์ปานเทพ ก็เลยบอกว่า น้ำมันมะพร้าวมีส่วนสำคัญในการชะลอความเสี่ยงโรคสมองเสื่อมให้ช้าลง น้ำมันมะพร้าวให้พลังงานความร้อน จึงกลายเป็นพลังงานที่ช่วยเสริมสร้างระบบคุ้มกัน เพราะการแบ่งเซลล์เม็ดเลือดขาวในร่างกายจะทำได้ดี เมื่อร่างกายมีพลังงานความร้อน และการทำงานของฮอร์โมนไทรอยด์ก็ไม่หย่อนลง
อาจารย์ปานเทพ บอกว่า น้ำมันมะพร้าวมีกรดไขมันชนิดหนึ่ง ชื่อกรดลอริก กรดไขมันชนิดนี้มีอยู่ในน้ำนมแม่ของมนุษย์ ที่เวลาลูกกินน้ำนมแม่แล้วจะมีระบบภูมิคุ้มกัน แต่น้ำมันมะพร้าวมีกรดลอริกที่อยู่ในน้ำนมแม่ สูงกว่าน้ำนมแม่ในมนุษย์อีก แล้วงานวิจัยในช่วงหลังพบว่า กรดลอริก ในน้ำมันมะพร้าว ออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อ หรือต้านจุลินชีพได้หลายชนิด รวมทั้งแบคทีเรียตัวร้าย ไวรัส ยีสต์ และเชื้อรา นี่คือคำตอบว่าทำไมสิบปีที่ผ่านมา ผมไม่ได้เป็นหวัดเลย ผมอยู่ในเรือนจำ 2 ปี 11 เดือน กับ 27 วัน ผมก็ไม่ได้เป็นหวัดเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทุกคนรู้ ทุกคนอยู่ใกล้ชิดผม เพราะผมเป็นคนที่บริหาร แล้วเมืองไทยเป็นเมืองที่มีมะพร้าวมาก ราคาไม่แพง แปลกมาก
อาจารย์ปานเทพ บอกว่า ดำรงธาตุไฟสำหรับผู้สูงวัย โดยการใช้เครื่องปรุงที่มีรสร้อน อันได้แก่ ขิง ตรงเป๊ะเลย ผมเป็นคนทานน้ำขิง นี่อาจารย์ปานเทพ ไม่ได้สอนผมนะครับ ด้วยตัวผมเอง ผมมีความรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ผมเป็นคนที่ชอบต้มขิง แล้วก็ทาน 3 ถ้วย 4 ถ้วย ผมทานไม่ใส่น้ำตาลด้วยนะ แรกๆ ก็รู้สึกร้อนคอ แต่ทานไปทานมามีความรู้สึกเวลาเหนื่อยๆ อย่างออกรายการ หรือกลับไปที่บ้าน คอแห้ง ผมจะบอกเด็ก ลูกน้องผมชื่อทองคำ เฮ้ย ทองคำ เอาน้ำขิงมาถ้วยหนึ่ง ก็จะไปเอาน้ำขิงที่ต้มไว้ในหม้อ คือต้มไว้ พอผมทานใกล้หมด แล้วต้มอีก แล้วรสขิงเริ่มอ่อนลง ผมจะไม่กินแล้ว ให้เอาขิงใหม่มา ให้มันข้น
ขิง พริกไทย ดีปลี อาจารย์ปานเทพ บอกว่าสามอย่างนี้ การแพทย์แผนไทยและอินเดียเรียกว่า "ตรีกฏก" แปลว่า รสร้อนทั้งสาม
อาจารย์ปานเทพ บอกว่า ขิง เป็นตัวแทนธาตุไฟ สามารถช่วยเรื่องเกี่ยวกับปอด พริกไทย ช่วยเสริมธาตุลม ที่ไม่มีอะไรจะดีกว่า ทั้งสองตัวจึงเป็นการเสริมระบบคุ้มกันตัวเองที่ดีที่สุด
ประการที่สอง ใช้รสเปรี้ยวกัดเสมหะ ในช่วงฤดูหนาว ได้แก่ มะนาว มะกรูด มะขามป้อม ใบมะขาม น้ำนมราชสีห์คั่ว พูดง่ายๆ คือเสริมด้วยวิตามินซีที่สูง หรือตำรับยาการแพทย์แผนไทยเรียกว่า "ตรีผลามหาพิกัด" โดยใช้มะขามป้อมนำ เด็ดสุด วิตามินซีสูงสุด
ท่านผู้ชม ผมมีเคล็ดลับอีกอย่างหนึ่ง อาจารย์ปานเทพ เขาทำยาอายุวัฒนะปรุงมาให้ผมทาน วันละ 1 ซอง ทานตอนบ่ายสอง ถึงสี่โมงเย็น คือเป็นช่วง "หยาง" คือร่างกายเรามีหยิน กับ หยาง ช่วง "หยาง" ร้อนที่สุด อาจารย์ปานเทพ เอาสูตรนี้มาจากพระยาพิศณุประสาทเวช แพทย์หลวงสมัยรัชกาลที่ 5 มาช่วยเสริมด้วย
เมื่อป่วยเป็นไข้ จะใช้ยาฤทธิ์ร้อนไม่ได้ ต้องใช้ยาฤทธิ์เย็นเข้าช่วย ก็เลยต้องใช้วิธีห่มผ้าให้เหงื่อออก งดอาหาร ดื่มน้ำร้อน แล้วใช้ยาฤทธิ์เย็น เช่น ฟ้าทะลายโจร หรือตำรับยาขาว ท่านผู้ชมครับ อาจารย์ปานเทพ และคณะแพทย์แผนไทย เคยนำยาขาวไปพร้อมกับยาผสมใบมะขาม และน้ำนมราชสีห์ ไปใช้ในกลุ่มประชาชนที่ต้องเข้าพักในการกักตัวหลายจังหวัด ได้แก่ ปัตตานี หาดใหญ่ บุรีรัมย์ พบว่ากลุ่มคนที่ได้รับทั้งหมด ไม่มีใครติดเชื้อโควิดเลยแม้แต่คนเดียว
นี่คือเคล็ดลับของชีวิตผม เมื่อเช้าผมตื่นมาตีสี่ ผมทานน้ำมันมะพร้าว 4 ช้อนโต๊ะ แล้วท่านผู้ชมรู้ไหมว่าช่วงหลังผมทานน้ำมันมะพร้าว ผมบีบมะนาว 1 ซีก ใส่เข้าไป คือความเปรี้ยวมันไปช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้แรงขึ้น เสร็จแล้วผมก็ทานน้ำขิง 1 ถ้วย ต้มมาร้อนๆ เลย เสร็จแล้วผมก็จะเตรียมตัว แปรงฟัน ล้างหน้า อ่านข่าวเสร็จเรียบร้อย อาบน้ำอาบท่า แต่งตัว แล้วก็มาที่ทำงาน ผมจะมาถึงที่ทำงานประมาณ 05.15 น. ออกจากบ้านประมาณตีห้า สิ่งแรกที่ผมจะทำคือผมจะไหว้พระก่อน จะไหว้องค์จตุคามรามเทพ อยู่ทางขวาของผม จะไหว้พระอุปคุต จะไหว้พระแม่ธรณี จะไหว้พระเจ้าตากสินมหาราช แล้วก็จะไหว้ศาลเพียงตา ศาลตายาย แล้วผมก็ขึ้นมาข้างบน ซึ่งประเดี๋ยวผมจะพาไปดูว่าผมไหว้อะไรบ้าง
พอผมไหว้พระเสร็จเรียบร้อยแล้ว เวลาไหว้พระก็ตั้งจิตอธิษฐาน แล้วผมก็เริ่มสวดมนต์ ก่อนสวดมนต์ผมก็จะอาราธนา หรืออัญเชิญดวงวิญญาณคนต่างๆ ที่ผมต้องการให้เข้ามารับบุญรับกุศลกับผมจากการสวดมนต์และทำสมาธิภาวนา
เดี๋ยวผมจะเปลี่ยนสถานที่ไปที่ห้องพระ แล้วผมจะมีรายการไหว้พระ ให้พรกับท่านผู้ชม โดยผมจะเป็นคนนำสวดให้ มีคาถาอยู่ 2-3 บท ที่ผมจะท่องและจะนำสวดให้ เป็นการให้พรกับท่านผู้ชม
พอผมไหว้พระเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมก็จะเริ่มนั่งสมาธิ กว่าผมจะไหว้พระเสร็จ แล้วผมก็ลงไปทานน้ำผลไม้ แล้วผมก็ขึ้นมา ผมเริ่มนั่งสมาธิประมาณ 6 โมงครึ่ง ท่านผู้ชมครับ ผมนั่งสมาธิ 50 นาที ผมจะตั้งนาฬิกาไว้เลย ตั้งนาฬิกาปลุกไว้จากมือถือเลย 50 นาที พอถึง 50 นาที เรียกปั๊บ ผมก็ออกจากสมาธิ
มีท่านผู้ชมถามผมมามากว่า ผมเรียนสมาธิมาจากไหน ผมจะเรียนเคล็ดลับให้ฟังอย่างหนึ่งท่านผู้ชม เชื่อก็เชื่อ ไม่เชื่อก็แล้วไป ผมเป็นคนที่ไม่ได้เรียนสมาธิมาจากใครเลย นอกจากผมฟังพ่อแม่ครูอาจารย์บอก อย่างหลวงตามหาบัว ว่าให้นั่งอย่างไร ท่านก็บอกให้เอาเท้าขวาทับเท้าซ้าย ให้สูดลมหายใจ ท่านบอกว่า เอาง่ายๆ สนธิ พอสูดลมหายใจเข้าจมูก ให้รู้สึกถึงลมที่สัมผัสจมูกที่เข้าไป แล้วพอถอนหายใจ ให้รู้สึกลมที่ผ่านจมูกออกมา ก็คือ เข้านะ ออกนะ ก็คือพุท โธ นั่นเอง พุท-เข้า โธ-ออก
ผมทำอย่างนี้มาหลายปี มีท่านผู้ชมถามผมมาว่า ผมถึงขั้นไหนแล้ว ฌานของผม ท่านผู้ชมครับ ผมเป็นคนที่ไม่โลภมาก ผมเป็นคนสมถะ เมื่อผมเริ่มปฏิบัติธรรม ผมก็ตั้งจิตอธิษฐานถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พ่อแม่ครูอาจารย์ ที่อยู่ในที่ๆ ผมต้องการจะนั่งสมาธิและสวดมนต์ ผมบอกว่า ผมเพียงแต่มักน้อย ขอให้การทำสมาธิของผมทำให้จิตผมสงบ ผมพอใจแล้ว ผมไม่ต้องการถอดจิต ผมไม่ต้องการหลับตาแล้วเห็นโน่นนี่ มีนิมิต ผมไม่ต้องการ ผมต้องการให้ผมนิ่ง แล้วจากการนิ่งของผมหลายๆ ครั้งก็มีอาการที่เขาเรียกว่า หูดับ ก็คือไม่ได้ยินอะไรเลย แต่จิตผมสว่างและเงียบ ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ผมมีความสุขมากที่สุด อ๋อ แน่นอนที่สุด ถ้าท่านผู้ชมจะทำแบบผม ท่านจะเจอมารผจญ ทุกวันนี้ผมก็ยังเจออยู่ มารอะไรรู้ไหมท่านผู้ชม ? จิตเรามันเหมือนลิง มันหนีเราไปตลอดเวลา ระหว่างที่เรานั่ง เวลานั่งก็ขอให้นั่งนิ่งๆ เอาเท้าขวาทับเท้าซ้าย หลายคนบอกว่าเอามือขวาทับมือซ้าย ไม่จำเป็นต้องเป็นอย่างนั้นเสมอไป ผมประสานมือไว้อย่างนี้ แล้วผมเอามือวางทับไว้ แค่นี้ ให้รู้สัมผัส รู้ตัวเราเอง
ท่านผู้ชมครับ พอจิตเราสงบแล้ว พอเราออกจากสมาธิแล้ว เราอุทิศส่วนกุศลให้กับคนต่างๆ ที่เราอัญเชิญมารับกุศลผลบุญจากการสวดมนต์และนั่งสมาธิ เพราะฉะนั้นถ้าถามว่าฌานของผมถึงขั้นไหนแล้ว ผมไม่ทราบ ผมทราบแต่ว่า เมื่อผมนั่งสมาธิแล้วผมสงบ เมื่อผมสงบแล้ว ผมออกจากสมาธิแล้ว ผมสดชื่น ผมมีความรู้สึกว่าผมมีกำลังใจในการทำงาน มีความรู้สึกว่าปัญหาต่างๆ ที่ผมคิด มันหมด เหมือนกับผมได้ล้างสมองของผมที่มันวุ่นวายสับสนไปหมด จนกระทั่งจบสิ้น แล้วผมทำอย่างนี้ทุกเช้า ไม่มีวันหยุด จันทร์ อังคาร พุธ พฤหัสฯ ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ผมทำที่ห้องพระบ้านพระอาทิตย์ เดี๋ยวผมจะพาไปดูว่าผมทำอย่างไร
ผมคิดว่าที่หลายท่านถามผมมาว่าผมเคารพพ่อแม่ครูอาจารย์แล้วผมเคยเห็นปาฏิหาริย์อะไรหรือเปล่า ผมคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องอวดอุตริ ผมขออนุญาตไม่พูดลงลึกดีกว่า แต่ผมสรุปง่ายๆ อย่างนี้ดีกว่า ผมเชื่อในพระพุทธเจ้า และผมเชื่อในคำสอนของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านเป็นปรมาจารย์ทางสายกรรมฐานในประเทศไทย
ท่านเป็นปรมาจารย์ของพระสายพระป่า สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต และผมก็เชื่อในพ่อแม่ครูอาจารย์ที่ผมเคารพ คือ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน บาปบุญคุณโทษ ผมอ่านเรื่องราวของหลวงปู่มั่น ผมอ่านเรื่องราวของหลวงตามหาบัว หลวงตามหาบัวสอนผมหลายเรื่อง ท่านเล่าให้ฟัง ผมไม่เคยตั้งคำถามถามเลยแม้แต่นิดเดียว ว่าสิ่งที่ท่านพูดนั้นจริง หรือไม่จริง หลวงปู่มั่น บอกว่า นรกมีจริง สวรรค์มีจริง หลวงปู่มั่นพูดนะครับ หลวงปู่มั่น บอกว่า เวลาสวดมนต์ ถ้าเราสวดในใจ วิญญาณต่างๆ เทพเทวดาจะได้ยิน แต่ไม่มาก แต่ถ้าเราเปล่งเสียง อย่างเช่น เราสวดรัตนปริตร ยานีธะ ภูตานิ สะมาคะตานิ ภุมมานิ วา ยานิวะ อันตะลิกเข ... หลวงปู่มั่น บอกว่า เสียงที่เราเปล่งออกมาจะลงไปสู่ 15 ชั้นดิน ลงไปสู่ผีเปรต ลงไปสู่นรกทุกขุมที่มีคนรับใช้กรรมอยู่ แล้วพวกนั้นก็จะได้บุญจากเรา 16 ชั้นฟ้าก็ได้ยิน เทพเทวดาก็ได้ยิน หลวงปู่มั่น หลวงตาเคยบอกว่า สนธิ เวลานั่งปฏิบัติธรรม สวดมนต์ ถ้าขนลุกขึ้นมาทั้งตัว แสดงว่ามีเทวดามาขอร่วมฟังธรรมด้วย ขออุทิศส่วนกุศลด้วย
ท่านผู้ชมครับ หลวงตามหาบัว ท่านเคยมาที่นี่ ที่บ้านพระอาทิตย์ ท่านเคยมาแสดงธรรมเทศนาที่นี่ทุกปี สมัยที่ร่างกายท่านยังแข็งแรงอยู่ ผมเคยเดินตามท่านไป ท่านมาครั้งแรกสุดท่านไม่เข้าไปในออฟฟิศ ท่านผู้ชมเชื่อไหม ท่านบอกว่า สนธิ พาเราไปเดินดูรอบๆ ที่ทำงานหน่อย
ผมก็พาท่านไปดู ท่านมาถึงมุม สมมุติว่าเป็นมุมหลังคาตรงนี้ ท่านยืนนิ่งเลย แล้วท่านก็มองขึ้นไป สักพักหนึ่งท่านก็เดินไปอีก ไปแต่ละมุมแต่ละจุด จุดไหนก็ตามที่ท่านยืน ท่านเดิน ผมก็เลยถามพระอาจารย์น้อย ซึ่งเป็นพระเลขาฯ ว่าอะไรหรือครับ พระอาจารย์น้อย บอกว่า หลวงตากำลังแผ่เมตตาให้ดวงวิญญาณที่ยังไม่ได้ไปผุดไปเกิด แต่อยู่แถวๆ นี้ แล้วก็ให้ไปผุดไปเกิดเสีย แล้วเวลาท่านจะแสดงธรรมเทศนาทีไร พอท่านนั่งบนแท่นเทศนา ซึ่งอยู่ข้างหลังสวน หลังบ่อน้ำ ถ้าใครที่เคยมาบ้านพระอาทิตย์จะเห็นว่าสมัยก่อนจะไม่มีฉากไม้กั้น จะตั้งแท่นธรรมาสน์ไว้สุดริมกำแพงเลย แล้วคนที่นั่งฟังท่านอยู่ เป็นลูกศิษย์เอกของท่าน ก็คือหลวงปู่เพียร วิริโย ซึ่งท่านก็เป็นพระอรหันต์ไปแล้ว ท่านอยู่ที่อุดรฯ ท่านมรณภาพไปแล้ว
เวลาหลวงตาท่านจะเริ่มแสดงธรรมเทศนา ท่านผู้ชมเชื่อไหมว่า หมาแถวนี้ มาจากไหนก็ไม่รู้ หอนกันลั่นเลย หอนจริงๆ หอนตลอดเวลา ไม่หยุดเลย แล้วพอท่านเริ่มแสดงธรรมเทศนาปั๊บ หมาจะหยุดหอน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ฝนจะตก เหมือนน้ำมนต์ พรำๆ เหมือนกับเทวดากำลังพรมน้ำมนต์ นี่ก็แล้วแต่ท่านผู้ชมจะคิดว่าเป็นปาฏิหาริย์หรือเปล่า เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือเปล่า ผมไม่รู้ รู้แต่ว่าทุกครั้ง เป็นอย่างนี้ทุกที แล้วสมัยที่ผมประท้วงทักษิณ ชินวัตร อยู่ ท่านก็จะเป็นคนที่เรียกผมมา
ท่านผู้ชมครับ ผมโดนยิงวันที่ 17 เมษายน 2552 ประมาณ 10 วันก่อนผมโดนยิง ประมาณวันที่ 7 พระอาจารย์ปิ๋ว ซึ่งเป็นพระเลขาฯ ของหลวงตามหาบัว ต่อจากท่านอาจารย์น้อย โทรศัพท์มาหาผมว่า คุณสนธิ หลวงตาเรียก เพราะผมเป็นคนที่จะไม่ไปสอพลอหรือออเซาะ หรือไปแสดงหน้าแสดงตา ถ้าหลวงตาไม่เรียกไป ผมก็ไม่ไป แล้วปรากฏว่าพระอาจารย์ปิ๋วเรียก ผมก็เลยต้องขึ้นไป เพราะพระอาจารย์ปิ๋วบอกว่า หลวงตาถามว่าคุณสนธิ อยู่ที่ไหน แค่นี้ล่ะ เป็นที่รู้กันว่าผมต้องขึ้นไปล่ะ ผมจะอยู่ที่ไหนก็จะตามตัวผมหมดเลย ผมต้องรีบจับเครื่องขึ้นไป ผมจำได้ว่าผมเดินไปกราบท่านที่กุฏิ มีคนไปรายงานว่า คุณสนธิ มาแล้วหลวงตา ท่านก็บอก เรียกขึ้นมา ผมก็ขึ้นไปแล้วคลานไปกราบเท้าท่าน ท่านเรียก มานี่ ให้กราบเราที่ตัก ผมก็ลงไปกราบท่านที่ตัก ท่านก็จับหัวผม แล้วท่านก็บริกรรมคาถา สักพักหนึ่ง แล้วท่านก็ถุยน้ำหมากที่ท่านเคี้ยวอยู่ ใส่หัวผม ท่านขยี้หัวผม แล้วท่านก็บอก ปลอดภัยแล้ว ไม่ตาย นั่นคือประมาณวันที่ 10 หรือวันที่ 7 ประมาณนั้น 10 วัน หรือ 7 วันก่อนผมโดนยิง แล้วหลังจากนั้น ผมก็โดนยิงวันที่ 17 ตอนประมาณ 05.45 น. ที่ข้างๆ ธนาคารแห่งประเทศไทย ตรงกันข้ามกับวัดเอี่ยมวรนุช
ปรากฏว่าวันนั้นที่ผมโดนยิง ธรรมดาท่านอยู่ที่กุฏิ จำได้ตอนนั้นท่านไม่เดินบิณฑบาตแล้ว เพราะว่าท่านเดินไม่ไหว ท่านจะลงมาที่ศาลาข้างล่างเพื่อลงมาฉัน ท่านจะลงมาประมาณ 7 โมงครึ่ง หลังจากที่พระได้บิณฑบาตมาแล้ว แต่วันนั้น 8 โมงครึ่ง ท่านยังไม่ลง ทุกคนก็บอกว่า หลวงตาเป็นอะไร สักพักหนึ่งท่านก็เดินลงมา พอท่านเดินลงมา ลูกศิษย์บอกว่าดูแล้วเหมือนกับท่านเหน็ดเหนื่อยมาก เหมือนกับท่านทำอะไรก็ไม่รู้ ท่านอ่อนเพลียมาก หน้าตาท่านโทรม เสร็จเรียบร้อยแล้ว หลวงตาจะมีโยมอุปัฏฐากคนหนึ่ง ทำตัวเหมือนเป็นเลขาฯ ฝ่ายฆราวาส เป็นผู้กำกับ ท่านผู้กำกับท่านเป็นอดีตตำรวจ ผู้กำกับโรงพักที่อุดรธานี แล้วมาเป็นลูกศิษย์หลวงตา ลาออกจากราชการ มาคอยรับใช้ คอยรับเงินรับทอง คนบริจาคมา รับเก็บเอาไว้แล้วถวายหลวงตา ผู้กำกับท่านก็บอก หลวงตาครับ คุณสนธิโดนยิง หลวงตาท่านพูดบอกว่า เรารู้แล้ว เขารอดแล้ว เขาไม่ตายหรอก เพราะเราช่วยเขาทั้งคืน
ท่านผู้ชมครับ นี่จะเรียกว่าปาฏิหาริย์หรือเปล่า แต่อันนี้เป็นความจริงที่เกิดขึ้น ท่านผู้ชม ผมบวช 2 ครั้ง ครั้งแรกผมบวชกับหลวงพ่อญาท่าน ที่วัดกุดโพนทัน จ.หนองบัวลำภู วัดป่าเหมือนกัน
ครั้งที่สองก็คือ บวชที่วัดโพธิสมภรณ์ ที่อุดรธานี แล้วมาจำวัดกับหลวงตามหาบัว ท่านผู้ชม มีหลายเรื่องที่ถ้าเล่าไปแล้วก็จะกลายเป็นการอวดอุตริ แต่ว่าผมจำได้
หลวงตาจะมีที่พำนักสงฆ์ที่หนึ่ง อยู่ที่พุทธมณฑล เรียกว่า สวนแสงธรรม หลวงตาจะนั่งรถลงมาที่สวนแสงธรรม แล้วก็มาพำนักอยู่ที่นั่น แล้วผมก็จะแวะไปหาหลวงตาที่สวนแสงธรรมตอนกลางคืน หลังจากที่ญาติโยมกลับหมดแล้ว ผมไปหาเจ๊หมวย เจ๊หมวยนี่เหมือนเป็นพี่สาวของผม เป็นโยมอุปัฏฐากหลวงตามหาบัว ทำอาหารถวายท่านมาตลอด เป็นสิบๆ ปีแล้ว เจ๊หมวยจะรับผิดชอบเรื่องอาหารการกินของหลวงตา เป็นบ้านไม้สองชั้น ชั้นล่างว่างโล่ง สำหรับผูกเปลเอาไว้นอน วางข้าวของ ผมกับเจ๊หมวยกับญาติโยมที่เป็นลูกศิษย์ จะนั่งคุยกัน หลวงตาท่านก็จะเดินมา เดินจากกุฏิของท่าน เดินออกกำลังกายมา พวกเราก็คุกเข่าแล้วก้มลงกราบ แล้วก็พนมมือ ตรงนั้นเป็ที่เราสนทนาธรรมกัน
ท่านผู้ชม วันนี้เป็นวันปีใหม่ ผมจะเล่าอะไรให้ฟังที่ท่านผู้ชมอาจจะไม่เคยได้ยินมาก่อน เจ๊หมวยเป็นพยานได้ เจ๊หมวยเป็นคนถามเอง หลวงตาขา คุณทักษิณ ชีวิตจะเป็นอย่างไร หลวงตาพูดอย่างไรรู้ไหมท่านผู้ชม ตอนนั้นทักษิณ ยังเป็นนายกฯ หลวงตาบอกว่า ทักษิณ จะไม่มีแผ่นดินจะอยู่ เงินทองที่มีอยู่ก็จะหมดไป แม้แต่ชีวิตก็จะรักษาไม่ได้ในที่สุด นี่เป็นคำพูดจากหลวงตา ขณะซึ่งทักษิณ ยังเป็นนายกรัฐมนตรี ทักษิณ จะไม่มีแผ่นดินอยู่
นี่คือตำนานเล็กๆ น้อยๆ ที่ผมเล่าให้ท่านผู้ชมฟัง มีอีกเยอะแยะไปหมด แต่อย่าให้ผมพูดเลย คือทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่เราสัมผัสได้จากฌานของพ่อแม่ครูอาจารย์ เวลาผมทำงานอะไร ท่านก็บอกเลย สนธิ ให้เอาธรรมนำหน้า "ธรรม" คือความถูกต้อง "ธรรม" คือความจริง ให้ใช้ "ธรรม" นำหน้า จะไม่มีวันพ่ายแพ้ ไม่ต้องไปกลัวอะไรทั้งสิ้น ให้เอา "ธรรม" นำหน้า ถ้าเป็น "ธรรม" แล้ว ไม่ต้องไปกลัว ไม่มีใครในโลกนี้ที่ใหญ่ไปกว่า "ธรรม" อาจจะอยู่ใน DNA ผมไปแล้ว เพราะฉะนั้นแล้ว ท่านผู้ชมที่ดูรายการผมจะเห็นว่า ถ้าผมจำเป็นต้องวิพากษ์วิจารณ์ใคร โดยผมใช้ธรรมในการวิพากษ์วิจารณ์ ไม่ว่าจะเป็นธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ทักษิณ ชินวัตร หรือคนอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผมก็เอาธรรมนำหน้า คือถ้าทำไม่ถูกต้อง ผมเอาธรรมเข้าไปจับ เอาความถูกต้องเข้าไปจับ นั่นคือที่มาว่าทำไมผมถึงกล้าพูด ก็พอจะตอบคำถามท่านผู้ชมที่สนใจในเรื่องของศาสนาได้พอสมควร
ทีนี้ ก็มีคำถามอีกชุดหนึ่งที่ถามมา ในเรื่องครอบครัว สิ่งที่ผมเสียใจที่สุดในชีวิตมีอยู่ 2 เรื่อง ท่านผู้ชมหลายท่านที่เคยฟังผมอาจจะเคยได้ยินมาแล้ว เรื่องแรก คือการเสียชีวิตของคุณแม่ผม
คุณแม่ผมเป็นมะเร็ง ตอนนั้นรู้สึกจะเป็นขั้นสุดท้ายแล้ว อยู่ที่โรงพยาบาลพญาไท 1 ผมจำได้ว่าคุณแม่บอกผมและภรรยาผม อาจารย์ปุ๊ ซึ่งเสียชีวิตไปแล้ว บอกว่า เห็นว่าจองจะไปเที่ยวที่ภูเก็ตไม่ใช่หรือ เราบอก ไม่เป็นไร อยู่ที่นี่ เราไม่ไปแล้ว แม่พูดว่าอย่างไรรู้ไหมท่านผู้ชม แม่บอก ไปเถอะ แม่ยังไม่เป็นไรหรอก อุตส่าห์จองแล้ว พาหลานไปเที่ยว คือลูกชายผม ปั๊บ และภรรยาผม ปรากฏว่าเราเห็นแม่หน้าตายังสดใสอยู่ ก็เลยขึ้นเครื่องไป พอถึงปั๊บ ยังไม่ทันจะอยู่ได้ข้ามคืน ก็มีโทรศัพท์มาว่าคุณแม่ใกล้เสียแล้ว ให้รีบกลับมา เรารีบกลับมาเลย กลับมา น้องสาวยืนอยู่ข้างๆ เตียง แล้วบอกว่า โกตั๊บ คือผมเป็นคนไหลหลำ โก คือ พี่ โกตั๊บ เหนี่ย (คือแม่) รอโกตั๊บอยู่ ผมเข้าไปจับมือแม่ ผมรู้ว่าแม่บีบมือผม พอบีบปั๊บ แม่หมดลมหายใจ ท่านผู้ชมครับ คิดถึงเรื่องนี้ทีไร น้ำตาผมคลอ ผมโกรธตัวเอง เสียใจที่สุดในชีวิต ถ้าแม่บอกว่าให้ไปเที่ยวเถอะ ไม่ต้องเป็นห่วงแม่ ยิ่งถ้าพูดอย่างนั้น ยิ่งต้องไม่ไป ท่านผู้ชม ไปไม่ได้ เพราะว่าแม่เรานอนอยู่บนเตียง แล้วหมอบอกว่าขั้นสุดท้ายแล้ว นี่คือความเลวทรามของผมที่ผมไม่เคยให้อภัยตัวผมเองเลย นี่คือการเสียใจครั้งแรก นี่คือบทเรียนอย่างหนึ่งที่ทุกคนต้องจำ เวลาเรามีแม่ เราจะพูดจาอะไรก็ตาม หลายๆ คนไม่คำนึงถึงสภาพจิตใจของแม่ พูดจาให้แม่เสียใจ
ผมจำได้ บ้านผมอยู่สุทธิสารซอย 41 แต่ก่อนนี้ ผมกลับมาจากที่ทำงาน ดึกแล้ว สามทุ่มกว่า แม่ยังนั่งรออยู่ที่ห้องรับแขก เอ้า เหนี่ย ทำไมไม่นอน - ก็รอกลับบ้านอยู่ - ไม่ต้องรอ - ก็เตรียมกับข้าวเอาไว้ เอาไว้เผื่อหิว - เหนี่ย ทำไมต้องทำ ทีหลังไม่ต้อง ... อารมณ์ของขึ้น แต่ของขึ้นเพราะว่าไม่อยากให้แม่มารอ แต่ลืมนึกไปว่านั่นคือความรักที่เขาให้เรา ท่านผู้ชม อย่าลืมความรักที่แม่ให้เรา ลูกหลานทั้งหลายอย่าลืม แม่ทุกคนรักลูกหมด อะไรที่แม่ทำให้เรา แล้วเราดูว่ามันเป็นความรำคาญ แต่เบื้องหลังความรำคาญที่เราคิดนั้น คือความบริสุทธิ์ใจที่แม่รักเรา ท่านผู้ชม อย่าลืมเป็นอันขาด
การเสียใจครั้งที่สองของผมคือ เสียใจที่ปุ๊ อาจารย์จันทน์ทิพย์ ลิ้มทองกุล เสียชีวิตในระหว่างที่ผมอยู่ในเรือนจำ ผมเข้าเรือนจำวันที่ 6 กันยายน ปุ๊เสียชีวิตเดือนตุลาคม ต้นเดือน เสียใจมาก เสียใจจริงๆ มีบทเรียนเรื่องผมกับภรรยาไว้ ดังนี้
เวลาเรามีภรรยาแล้ว บางครั้งเราจะเห็นว่าภรรยาเราขี้บ่น ภรรยาเราจู้จี้ แต่จริงๆ แล้วทั้งหมดนี้คือความรักที่เขาให้เรา เขาเป็นห่วงเรา แต่เรามักจะเอาความเป็นห่วง เอาความจู้จี้ของเขามาเป็นประเด็นหลัก พอวันหนึ่งเขาไม่อยู่ ที่ผมเสียใจคือ แม้กระทั่งงานศพและงานเผาผมก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะได้ออกมางานศพเขา หรือมาเผาศพเขา นี่คือความเสียใจที่น้ำตาไหล นี่น้ำตาก็เริ่มรื้นแล้ว ตาเริ่มคลอแล้ว
ท่านผู้ชมครับ ท่านผู้ชมที่เป็นผู้ชาย หรือเป็นเด็ก ลูก วัยรุ่น มีพ่อมีแม่ บางครั้ง บางสิ่งบางอย่างเราชอบไปคิดว่าเป็นของตายของเรา กลับมาบ้านแม่ต้องอยู่ เมียต้องอยู่ ยังไงเมียก็ไม่ไปไหน จนกระทั่งเราเสียของรักของหวง เราถึงจะรู้ว่านั่นคือความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต
ทุกวันนี้ผมเข้ามาที่ตึกที่ทำงาน ใครที่เคยมาบ้านพระอาทิตย์จะจำได้ พอเข้าประตูปั๊บ ทางซ้ายมือจะมีรูปแม่ผม วาดโดยอาจารย์จักรพันธ์ โปษยกฤต ผมต้องไหว้แม่ผม ตั้งนะโม 3 จบ อัญเชิญดวงวิญญาณแม่ผมมาเตรียมตัวรับกุศลผลบุญจากการปฏิบัติธรรม สวดมนต์ ทำสมาธิภาวนา ในเช้าวันนี้ และขอให้แม่จงมีความสุขความเจริญ
แล้วผมก็ไปอีกห้องหนึ่ง ก็คือห้องที่มีรูปภรรยาผม ที่ลูกชายผมไหว้วานให้คุณตี๋ ชิงชัย เป็นคนวาด ท่านผู้ชมที่เป็นพันธมิตรฯ คงรู้จักคุณตี๋ ชิงชัย ผมก็ไปไหว้ ตั้งนะโม 3 จบ กับปุ๊ แล้วบอกว่า เดี๋ยวจะปฏิบัติธรรม สวดมนต์ทำสมาธิภาวนา แล้วจะอุทิศส่วนกุศลนี้ให้ปุ๊ ขอให้ปุ๊จงมีความสุขความเจริญ ทำเป็นประจำทุกวัน
ท่านผู้ชมครับ เรื่องพวกนี้อยู่ที่ใจ อย่าลืมนะครับ คีย์เวิร์ดของเรื่องคุณแม่ผม และภรรยาผม ก็คือ อย่าไปคิดว่าทุกอย่างเป็นของตาย หลายคนไม่เคยใส่ใจ ไม่เคยแสดงความรักที่มีต่อแม่ แล้วไม่เคยใส่ใจความห่วงใยที่เมียมีต่อเรา ไม่เคยคิดที่จะพาเขาไปซื้อของ เดินจูงมือเขา แต่พอวันหนึ่งเขาไม่อยู่แล้ว ไม่มีแล้ว ท่านผู้ชม ไม่มีจริงๆ เพราะฉะนั้นแล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ ถ้าจะเป็นประเด็นในครอบครัว ก็จะพูดเรื่องพวกนี้ให้ฟัง เพราะฉะนั้นแล้ว ลูกหลานทั้งหลาย เด็กๆ ทั้งหลายที่มีพ่อมีแม่ ให้รู้ว่าคุณมีตัวมีตนอยู่ได้ทุกวันนี้ ก็เพราะว่าพ่อและแม่คุณ แต่ด้วยความเคารพ ผมเป็นผู้ชาย ผมเชื่อในความรักที่แม่มีต่อลูก มากกว่าที่พ่อมีต่อลูก นี่ความเชื่อส่วนตัวของผม แม่จะรักและทุ่มเท ความรักที่แม่มีให้เราเป็นความรักที่บริสุทธิ์ พ่อก็บริสุทธิ์ แต่บางทีพ่อก็มีนอกมีใน นี่ก็ต้องพูดกันตรงๆ ไม่เหมือนแม่ วันนี้คุณกอดแม่หรือยัง วันนี้ดูรายการนี้จบ ถ้าไม่ได้อยู่กับแม่ รีบโทรศัพท์ไปหาแม่ แล้วบอก แม่ หนูคิดถึงแม่ ผมคิดถึงแม่ ผมรักแม่มาก คิดถึงแม่มาก คุณจะยุ่งแค่ไหนก็ตาม อย่าลืมแม่ อย่าลืมแม่เป็นอันขาด
ผมถึงเข้าใจไง ความจริงผมไม่ควรจะเข้าใจมากกว่านี้ แต่ว่ามีเรื่องที่มีคนเข้าใจมาก วันที่สมเด็จย่าสิ้นพระชนม์ แล้วพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 พระองค์ท่านเสียพระทัยมาก เพราะว่าสมเด็จย่าเลี้ยงพระองค์ท่านอยู่ที่สวิส ดูแลปกป้องพระองค์ท่าน กับพี่ชายพระองค์ท่าน และพระพี่นางฯ แล้วสมเด็จย่าก็อยู่เคียงข้างพระองค์ท่าน วันที่สมเด็จย่าไม่สบาย พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ต้องไปเฝ้าไข้ทุกวัน ท่านผู้ชมครับ ถ้าจะมีอะไรวันนี้ที่เป็นเนื้อหาสาระ และเป็นคีย์เวิร์ด ผมอยากจะกราบเรียนท่านผู้ชมว่า ให้รักแม่มากๆ และก็ให้รักเมียน้อยลงมาหน่อย แต่ก็ยังรักเช่นกัน ท่านผู้ชมครับ นี่คือภาระครอบครัว
แล้วเด็กๆ ทั้งหลาย ไม่ว่าคุณจะสามนิ้วหรือไม่สามนิ้ว ถ้าคุณคิดว่าพ่อกับแม่มีหน้าที่เพียงให้คุณเกิดแล้วก็เลี้ยงคุณ ส่วนคุณจะเป็นอะไรเรื่องของคุณ อย่ามายุ่ง ถ้าคุณพูดกับผมต่อหน้า ผมจะตบปากคุณให้ฉีกเลย ไอ้เด็กเวรตะไล คุณจะไปรู้อะไร ท่านผู้ชม สมัยเราเด็กๆ เราขี้เปื้อนเต็มกางเกง วิ่งร้องไห้ แม่เอาผ้าอ้อมออก ล้างก้นเรา ป้อนข้าวเรา นอนแล้วก็ร้องไห้ หิวจะกินนมก็ร้องไห้ สมัยเราเด็กๆ พอมายุคหนึ่ง พ่อแม่อายุ 80 ปี พ่อแก่แล้ว แม่แก่แล้ว แม่เกิดปัสสาวะแตก อุจจาระแตก ไปรังเกียจพ่อกับแม่ คิดได้อย่างไรแบบนี้ สมัยยังเด็กพ่อแม่ดูแล แต่พอพ่อแม่แก่แล้ว คุณต้องไปดูแลพ่อแม่คุณ เพราะถ้าไม่มีเขาสองคนแล้ว คุณอยู่มาถึงวันนี้ไม่ได้ นี่พูดอย่างคนอายุ 73 ผมนี่น้ำตาจะไหล
ท่านผู้ชม ผมเป็นคนที่มีอิสระเสรีภาพ ผมจะอยู่ที่ๆ หนึ่ง คนเดียวเลย แต่ไหนแต่ไรแล้ว ภรรยาผม อาจารย์ปุ๊เขารู้ว่าผมเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวสูง เขาจะอยู่บ้านเขา เขาอยู่กับแม่ พอภรรยาผมเสียชีวิตไป สี่ปีที่แล้ว แล้วผมอยู่ในคุก ผมใกล้จะออก คนที่บอกผมว่า ป๋าครับ ปั๊บสร้างบ้านใหม่ขึ้นมา จะเอาป๋าไปอยู่ด้วย คือลูกชายผม
ข้างในผมนี่ร้องไห้ ที่ผมร้องไห้เพราะผมรู้ว่าเขาพูดด้วยจิตที่บริสุทธิ์ และเขาพูดด้วยความรักผม เขาพูดต่อหน้าผม ป๋าครับ ปั๊บมีพ่อคนเดียว ปั๊บไม่ดูแลได้อย่างไร เป็นหน้าที่ปั๊บต้องดูแลป๋า บ้านที่เขาสร้าง ในซีกปีกที่ผมอยู่ เขาคิดหมด เขามีแม้กระทั่งลิฟต์ขึ้นชั้้น 2 เพื่อไม่ให้ผมเดิน ทางเดินมีราวให้ผมเดินจับ นี่คือความรักที่ลูกต้องการจะดูแลพ่อเมื่อพ่อแก่ตัวแล้ว ท่านผู้ชมครับ นี่คือความจริง
เดี๋ยวเราค่อยไปพูดต่อในอีกหลายเรื่องในห้องพระ ท่านผู้ชมครับ วันนี้ผมจะสวดมนต์ตอนจบ สวดมนต์ให้พรท่านผู้ชม ถ้าท่านผู้ชมจะสวดตามผมด้วยก็ได้ หรือจะไม่สวดตามก็ได้ ไม่เป็นไร แต่ผมจะให้ทีมงานเขาโพสต์คาถาบทที่สวดให้ ผมจะสวดหลักๆ แค่ 4 บท บทหนึ่ง คือ บทสรรเสริญพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อีกบทหนึ่งก็คือ บทรัตนปริตร อีกบทคือบทพาหุง แล้วก็คาถาชัยมงคล และบทสุดท้ายที่จะสวดให้ ก็คือบทพระธารณปริตร แล้วจบลงด้วยเมตตากรณียสูตร ก็คือบทแผ่เมตตาบทใหญ่ เดี๋ยวเราเข้าไปข้างในกันดีกว่า
ท่านผู้ชมครับ วันนี้เราได้เดินจากนอกตึกกลับเข้ามาในห้องแล้ว เมื่อกี้นี้ผมก็พาตัวเองไปไหว้ ระลึกถึงคุณแม่ รูปคุณแม่ที่เล่าให้ฟัง แล้วก็รูปของปุ๊ อาจารย์จันทน์ทิพย์ ภรรยาของผมที่เสียชีวิตไปเมื่อ 4 ปีกว่า เกือบ 5 ปีแล้ว วันนี้เราจะมาพูดต่อหลายๆ เรื่องที่ท่านผู้ชมถามมา แต่ก่อนที่จะพูดเรื่องนี้ มีท่านผู้ชมเยอะเลยถามมาว่า วัตถุมงคลที่อยู่ข้างหลังผมนี้ คืออะไรบ้าง ? ผมจะพยายามอธิบายให้ฟังนะครับ เริ่มแรกจากรูปของหลวงตามหาบัวก่อน รูปนี้ผมได้มานานแล้ว เป็นพ่อแม่ครูอาจารย์ที่ผมเคารพรักมาก แล้วก็มีรูปปั้นของท่านอยู่ข้างล่างนี้
รูปนี้ก็เป็นรูปของหลวงตามหาบัวนะครับ ข้างหลังนี่คือหลวงปู่สงบ ซึ่งท่านอยู่ที่ราชบุรี ท่านเป็นลูกศิษย์เอกของหลวงตาเหมือนกัน ว่ากันว่าท่านเองก็มีฌาน น่าจะใกล้ๆ ถึงหลวงตามหาบัว แล้ว
วัตถุมงคลที่สำคัญมาก นี่ก็คือ อาหารที่หลวงตาท่านเคยฉัน นานแล้ว แล้วท่านก็ให้โอนมาให้ผม ผมก็ไม่ทาน ผมเก็บเอาไว้ ผมก็แบ่งให้ญาติโยมที่อยู่ข้างๆ ตัวหมด แล้วผมก็เก็บส่วนนี้เอาไว้ ใส่ไว้ในนี้ ท่านผู้ชมครับ ตอนนี้กลายเป็นหินไปหมดแล้ว และผมเชื่อว่าทิ้งไว้อีกสักพักหนึ่งก็จะกลายเป็นพระธาตุ
นี่ก็เป็นพระธาตุของหลวงตามหาบัว ซึ่งก็เริ่มแปลงจากกระดูกกลายมาเป็นพระธาตุทีละนิดๆ แล้ว
นี่เป็นอัฐิธาตุของหลวงพ่อสุดใจ วัดป่าบ้านตาด ที่ท่านโดนไฟไหม้และท่านมรณภาพไป มีคนเอามาให้ผม
นี่คือพระอรหันต์ธาตุ ที่ได้ที่เขาสามร้อยยอด จ.ประจวบคีรีขันธ์ ข้างบนภูเขา คนเก็บมาแล้วก็ว่ากันว่า ข้างบนนั้นเป็นที่นิพพานของพระอรหันต์หลายรูป ก็เอามามอบให้ผม
ทีนี้ ผมมีครุฑ เป็นครุฑทอง คนที่เอาครุฑองค์นี้มาให้ผม ชื่อ ท่านพระยาอัครนิรุธ แล้วก็ล่าสุด เป็นท่านพญาสุบรรณสีทันดร
ท่านครุฑพญาสุบรรณสีทันดร องค์นี้มาจากวัดขุนอินทประมูล จ.อ่างทอง คนที่มามอบให้ผมคือ ท่านอาจารย์ธนทัศน์ ทองเนียม ท่านอาจารย์ธนทัศน์ บอกว่า ได้มีความเห็นร่วมกันของผู้สร้าง ให้นำครุฑพญาสุบรรณสีทันดร มามอบให้คุณสนธิ เนื่องเพราะติดตามมาโดยตลอด และเห็นตรงกันว่า คุณสนธิ เป็นผู้ยึดมั่น ศรัทธาในสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นเช่นนี้ตั้งแต่แรกและตลอดมา และคุณสนธิ ก็เป็นผู้ที่มีความเข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว ฝ่าฟันอุปสรรคนานัปการโดยไม่ย่อท้อ เพื่อสร้างคุณงามความดีให้ชาติและแผ่นดิน
พญาสุบรรณสีทันดร องค์ที่อยู่กับผมนี้ มีขนาดความสูงจากฐาน ถึงยอดปีก 16 นิ้ว หล่อด้วยโลหะบรอนซ์ออสเตรเลีย ที่สำคัญ องค์นี้เป็นสีพิเศษ เรียกว่าองค์กรรมการ หมายเลขขององค์ก็คือ AP999 ซึ่งมีอยู่แค่ 5 องค์ เท่านั้น ท่านครุฑพญาสุบรรณสีนทันดร ได้ทำการปลุกเสกที่วัดขุนอินทประมูล จ.อ่างทอง พิธีพุทธาภิเษก ประธานพิธีก็คือ ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี หรือที่เขาเรียกกันว่า สมเด็จธงชัย จากวัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร นัยของครุฑพญาสุบรรณสีทันดร ก็คือว่า คติโบราณเชื่อว่าครุฑ เป็นครึ่งคนครึ่งนกอินทรี แล้วสีทันดร คือแม่น้ำ เป็นแม่น้ำที่กว้างมาก กว้างมหาศาล แล้วก็ไม่มีใครที่จะข้ามแม่น้ำนี้ได้นอกจากพญาครุฑ
สีทันดร หรือมหานทีสีทันดร อยู่ในคัมภีร์ไตรภูมิพระร่วง ความกว้างใหญ่ของมหานทีสีทันดรนี้่มีแต่พญาสุบรรณ ที่มีพละกำลังมหาศาลเท่านั้น จึงสามารถบินข้ามมหานทีสีทันดรไปได้ จึงเป็นอนุสติให้กับผู้ที่มีความเข้มแข็ง อดทน ไม่ย่อท้อในการทำความดี แม้จะเจออุปสรรคขวากหนามใหญ่หลวงเพียงใดก็ตาม นี่คือตำนานที่มาของครุฑ พญาสุบรรณสีทันดร ท่านผู้ชมก็คงจะเข้าใจดีแล้ว
นอกจากนั้นแล้ว ก็ยังมีของเล็กๆ น้อยๆ ที่ผมได้มา แล้วผมก็เก็บเอาไว้ น่าสนใจก็มีเหรียญของหลวงตามหาบัว ที่ทำอยู่ ที่ทำขึ้นมาแล้วผมก็เอามาวางใต้ฐานท่าน ภาวนาตลอดเวลา แล้วก็มีที่ได้มา ก็อย่างเช่น ธนบัตรของหลวงตามหาบัว ชื่อธนบัตรขวัญถุง ใบละ 1 ล้านบาท พวกนี้ผมก็เก็บเอาไว้ใต้ฐานท่าน ขอความเมตตาจากท่านให้ท่านเพิ่มพลังให้ รวมทั้งเหรียญต่างๆ ด้วย ก็มีอยู่เพียงแค่นี้ ข้างหลังที่ผมจะต้องชี้แจงให้ฟัง
ท่านผู้ชมครับ ก่อนที่ผมจะตอบคำถามหลายคำถาม ผมขอแยกนิดหนึ่ง มีคำถามหลายคำถามที่ส่งมาให้ผม แล้วผมคิดว่าไม่บังควรที่จะตอบในรายการ แต่เอาเป็นอย่างนี้ก็แล้วกัน เดี๋ยวผมจะบอกชื่อไป แล้วคุณสามารถจะส่งที่อยู่ที่ติดต่อมาให้ผมได้ใน inbox ส่งมาทาง inbox แล้วผมจะตอบให้เป็นส่วนตัว คนที่มีชื่อคนแรก คือ คุณ Che Serpico ให้ส่งที่อยู่มาให้ผม แล้วผมจะตอบ ผมจะตอบเป็นลายลักษณ์อักษรเลย แล้วผมจะส่งไปให้ คนที่สอง คือ คุณ Natchaya Sawangjit คนที่สาม คือคุณ Apple Ple คนที่สี่ คงไม่ต้อง อันนี้ผมตอบให้ได้เลย คือคุณ Ram Scan ถามมาว่า ขอเรื่องข้อเขียนประวัติศาสตร์ของคุณณัฐพล ใจจริง ที่พูดถึงการแทรกแซงที่สถาบันพระมหากษัตริย์มีต่อรัฐบาล จอมพล ป. ว่าจะมีองคมนตรีเข้าไปประชุมด้วย แล้วคุณไชยันต์ ไชยพร เปิดโปงว่าเป็นการกุเรื่อง ไม่มีอ้างอิง ทางณัฐพล กับฟ้าเดียวกัน ก็โต้ว่าแก้ไขแล้ว จะเอาอะไรอีก ทำไมไม่อ่านว่าเขาแก้ไขแล้วบ้าง ?
อันนี้ตอบให้ได้เดี๋ยวนี้เลยว่า ที่อาจารย์ไชยันต์ พูดนั้น ถูกต้อง แล้วผมจะเรียนให้ทราบว่า ไม่ต้องกังวลครับ เรื่องของคุณณัฐพล ใจจริง นั้น อดทนรอสักนิด เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก ที่เขาเขียนหนังสือเรื่อง "ขุนศึกศักดินาพญาอินทรี" ผมจะจัดรายการ 1 รายการ เพื่อจะชี้ให้เห็นว่า คุณณัฐพล ใจจริง นั้น ตรงไหนบ้างที่ไม่ได้พูดความจริง มีข้อผิดพลาดตรงไหนบ้าง คุณ Ram Scan ครับ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ใหญ่มาก ไม่ใช่เรื่องเล็กเลย เรื่องใหญ่ระดับชาติ เพราะว่าถ้าไม่จริงขึ้นมา คุณณัฐพล ใจจริง จะต้องรับผิดชอบ รวมทั้งอาจารย์ที่ปรึกษาของคุณณัฐพล ใจจริง ก็ต้องรับผิดชอบในการที่อนุมัติวิทยานิพนธ์ ทั้งปริญญาโท และปริญญาเอก ของคุณณัฐพล มีโอกาสมากที่คุณณัฐพล อาจจะต้องมีปัญหาในเรื่องการชี้แจง ใจเย็นๆ ครับ คุณ Ram Scan ตอบสั้นๆ ก็แล้วกันเรื่องที่คุณถามมา สิ่งที่อาจารย์ไชยันต์ ไชยพร พูดนั้นถูกต้อง
อีกคนหนึ่ง คุณ Tasanee Khunthong ส่งมานะครับ ทาง inbox ส่งที่อยู่มานะครับ
ส่วนอันนี้ ก็สั้นๆ แล้วกัน คุณหทัยรัตน์ คงวชิรไพบูลย์ ลงทุนธุรกิจรัฐวิสาหกิจชุมชนกัญชามีอนาคตไหม ? มีมากครับ มีมากเลย ใจเย็นๆ นิดหนึ่ง ลงทุนไปเถอะ รับรองว่าไม่ผิดพลาดแน่นอน เพราะว่าในที่สุดแล้วกัญชาต้องเปิดแน่นอน
อีกอันหนึ่ง คุณนิลพันธุ์ ถามว่า คุณสนธิ อาชีพการดูไพ่ยิปซีจะเวิร์กไหมคะ ในปี 2564 ? อาชีพอะไรก็เวิร์กทั้งนั้น ขอให้เป็นอาชีพที่มีคุณภาพ ท่านผู้ชม ถ้าคุณจะทำก๋วยเตี๋ยวขาย ก๋วยเตี๋ยวคุณต้องอร่อย สะอาด โลเกชันไม่สำคัญ เหมือนกัน ถ้าคุณจะดูไพ่ยิปซี คุณมั่นใจแค่ไหนว่าไพ่ยิปซีของคุณถึงขั้นที่เรียกว่า ค่อนข้างที่จะแม่นยำเยอะมากๆ ก็อยู่ได้แน่นอน
ก็เอาเฉพาะพวกนี้ก่อนแล้วกัน ที่ผมบอกแล้วว่า หลายๆ ท่านถามมาแล้วผมตอบให้ไม่ได้ ไม่บังควรจะตอบในที่แบบนี้ ทีนี้ เรื่องราวที่ถามผมมา ก็มีทางศาสนา ก็อธิบายไปแล้ว ผมพูดเป็นข้อๆ ไป
มีคุณ วิน วนา ถามว่าสร้อยข้อมือของผมเป็น แมละไคท์ (Malachite) หรือหยก สีสดมาก ผมไม่รู้เหมือนกัน สร้อยข้อมือสองเส้นนี้ผมได้มาจากหลวงปู่เจริญ ราหุโล วัดป่าพระธาตุเขาน้อย อ.บ้านคา จ.ราชบุรี หลวงปู่เจริญ เป็นพ่อแม่ครูอาจารย์ที่ผมเคารพนับถือสูง สมัยที่ผมยังไม่เข้าคุก ท่านจะมาเป็นประธานในเรื่อง 2 เรื่อง เรื่องแรกก็คือ ในวันระลึกที่ 7 ตุลาคม ที่พันธมิตรฯ ถูกยิงเสียชีวิต แล้วเรทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ทุกปี วันที่ 7 ตุลาคม อีกวันหนึ่งคือวันเกิดผม 7 พฤศจิกายน ท่านก็จะมาเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ในการสวดให้พรผม
ตอนที่ผมเข้าไปในเรือนจำอยู่ถึงสามปีนั้น ปี 59-60-61 แล้วก็ผมออกมาปี 62 ผมเข้าไปวันที่ 6 กันยายน 2559 กันยายน 59-60-61 สามปีนี้หลวงปู่ท่านไม่มาเลย มีการทำบุญพันธมิตรฯ ที่เสียชีวิตไป ท่านก็ไม่มา พอปี 62 ที่ผมออกมาเดือนกันยายน วันที่ 4 กันยายน 62 พอตุลาคม วันที่ 7 ปี 62 ท่านมาเลย มาเป็นประธานให้ แล้วท่านก็ดีใจมากที่ได้เจอผม แล้วท่านก็ควักเอาสร้อยสองเส้นนี้จากย่ามท่านมาใส่ข้อมือผม แล้วท่านก็บอกว่า หลวงปู่เตรียมมาให้หลายปีแล้ว ตั้งแต่ไม่อยู่ ผมก็ไม่รู้ว่าทำด้วยอะไร ทำด้วยหยกหรือเปล่า ผมรู้แต่ว่าพ่อแม่ครูอาจารย์มอบให้ผม ก็เลยใส่ข้อมือมาตลอด
เดี๋ยวผมจะตอบคำถามอะไรบางอย่างสั้นๆ สำหรับท่านที่ถามมา ตอบเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมค่อยอธิบายเรื่องราวที่เป็นภาพรวมหลายๆ เรื่องให้ฟังนะครับ
มีท่านผู้ชมบางท่านถามมาเรื่องปัญหาเศรษฐกิจ ตอบยากเหมือนกันนะครับ อย่างเช่น ธุรกิจเล็กๆ ที่น่าลงทุนในปีหน้าสำหรับคนที่อยากมีกิจการเป็นของตัวเอง ควรเป็นธุรกิจแบบไหนดีครับ ? คำถามคือ เล็ก เล็กแบบไหน แล้วเงินทุนคุณมีแค่ไหน
คุณวธาสินธ์ สุยา เราควรเก็บเงินสด หรือที่ดิน หรือทองคำ ดีครับ ในอนาคตข้างหน้า และสถานการณ์แบบนี้ ? ผมคิดว่าในที่สุดแล้ว ก็คงหนีไม่พ้นเงินสดและที่ดิน แต่ว่าเงินสดสำคัญกว่าที่ดิน เพราะว่ายามที่มีปัญหามากขึ้น หรือว่ายามที่เครียด หรือยามที่มีวิกฤต เงินสดจะใช้ได้ดีที่สุด ถ้ามันมีวิกฤตขึ้นมา ที่ดินก็จะขายไม่ออก คนมาเล่นทองคำเยอะ แต่ท่านผู้ชมทราบใช่ไหมครับ เวลามีวิกฤตแล้วคนเอาทองคำไปเทขาย ร้านทองไม่มีปัญญารับซื้อ
คุณพิรัชต์ ก่อแก้ว ถ้าเราจะลงทุนสำหรับมือใหม่ แต่มีงบประมาณไม่เกิน 3 หมื่น จะลงทุนทำอะไรดีครับ ? อันนี้ผมคิดว่าง่ายที่สุด ไปเลือกซื้อหุ้นสักตัวหนึ่ง ซื้อแล้วทิ้งไว้เลย มีบางตัว ตัวที่คิดว่าน่าซื้อที่สุด ผมไม่ได้เชียร์ใครนะครับ คือบริษัท ศรีสวัสดิ์ ยอด 3 หมื่น อาจจะซื้อได้ไม่มาก แต่ทิ้งเอาไว้ ผมเชื่อว่าภายใน 1 ปี น่าจะขึ้นประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ 30-50 เปอร์เซ็นต์
ผมจะพยายามตอบอะไรที่มันสั้นๆ ก็แล้วกันนะครับ เดี๋ยวผมจะดูให้ คำถามมีเยอะเหลือเกิน
ข้อดี-ข้อเสียของการซื้อพันธบัตรธนาคารออมสิน ? มีข้อดีและข้อเสีย ข้อดี คือ มั่นคง ข้อเสีย คือ ผลตอบแทนมันน้อยเหลือเกิน ผมเป็นคนที่ไม่ยุยงส่งเสริมให้คนเล่นหุ้น แต่ผมคิดว่าถ้าจะซื้อหุ้น เอาเงินไปซื้อหุ้น แล้วก็ทิ้งเอาไว้เลย อย่าไปสนใจมัน ซื้อหุ้นพื้นฐานดีๆ วิธีซื้อ ผมจะแนะนำให้ ก็คือ รอให้หุ้นมันตก เหมือนกับที่ประกาศโควิดมาคราวที่แล้ว เมื่อ 1-2 อาทิตย์ที่แล้ว หุ้นตกไป 80 กว่าจุด วันรุ่งขึ้นตกอีก 10 กว่าจุด รอวันที่สอง พอตกปั๊บก็ไปซื้อหุ้นเลย ก็ไปเลือกซื้อหุ้นที่พื้นฐานดีๆ ทิ้งเอาไว้ แล้วก็ทิ้งไปเลย ผมเชื่อว่า 10-20 เปอร์เซ็นต์ ภายใน 1 ปี ต้องได้แน่นอน จากดอกเบี้ยที่ให้ไม่เกิน 1-2 เปอร์เซ็นต์
เรื่องราคาน้ำมันครับ เอาจริงๆ ว่าเราแพงมากจริงไหม และเพราะอะไร ? อีกคนหนึ่งก็ คุณ หนุ่มกะแอน ครอบครัวบักหุ่งเหิม ช่วยพูดถึง ปตท. หน่อยครับ ทำไมน้ำมันแพง ? น้ำมันแพง เดี๋ยวผมจะมีคำตอบให้ เชื่อไหมว่าน้ำมันที่มันแพง มันแพงมาด้วยการมีมติ ครม. เมื่อปี 2534 แล้วผมจะเอาความจริงมาเปิดเผยให้ดูว่า เหตุน้ำมันแพงมันเริ่มจากตรงนั้น แล้วท่านทราบไหมว่าใครเป็นนายกรัฐมนตรีในปี 2534 เซอร์ไพรส์! คุณอานันท์ ปันยารชุน ครับ จะมีอะไรใหม่ๆ เข้ามาอีกหลายครั้งนะครับ
หลายๆ คำถาม เรื่องโตโยต้า ว่ารถ EV สร้างมลภาวะมากกว่ารถยนต์ ผู้บริหารโตโยต้าบางท่าน จากคุณ Tawatchai Tritragarn ผมก็ไม่แน่ใจว่าโตโยต้าพูดถูกหรือเปล่า หรือเป็นคนพูดจริงหรือเปล่า เพราะว่าแน่นอนที่สุด รถ EV จะสร้างมลภาวะได้อย่างไร มันต้องไม่มีมลภาวะ ส่วนรถยนต์นั้นที่ใช้สันดาป ถ้าคุณถามใหม่ว่า ระหว่างรถ EV ใช้ไฟฟ้า กับรถที่ใช้พลังขับเคลื่อนน้ำไฮโดรเจนที่โตโยต้ากำลังคิดอยู่ อันไหนดีกว่ากัน ? อันนี้เป็นคำถามที่ควรถาม แต่ผมจะไม่ตอบตอนนี้นะครับ
คุณอดุลวิทย์ ชาญธนวงศ์ ปตท. กับ กฟผ. จะเจ๊งไหมครับ ? อนาคตรถไฟฟ้าและพลังงานแสง โซลาร์เซลล์ จะมาแทนที่ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ไหมครับ อยากถามความคิดเห็นคุณลุงสนธิ ? - เจ๊ง คงไม่เจ๊งครับ ผมคิดว่า ปตท.น่าจะอยู่รอด เพราะว่า ปตท.เขาปรับตัวได้เร็ว ในขณะนี้เขามีบริษัทในเครือ ซึ่งลงทุนทางด้านแบตเตอรีแล้ว และผมเชื่อว่า ปตท. ความคิดทางธุรกิจเขาเก่งกว่า กฟผ. ร้อยเท่าพันเท่า
กฟผ. มีความเคยชินกับการเป็นรัฐวิสาหกิจที่ผูกขาดในการผลิตไฟฟ้าแต่ผู้เดียว ก็เลยมีความลืมตัว ไม่เคยคิดที่จะปรับตัว ถึงแม้ว่าจะมีการประกาศการปรับตัวในเร็วๆ นี้ แต่ผมอ่านแล้วก็ไม่มีอะไรใหม่ เพราะฉะนั้นแล้ว กฟผ. จะเจ็บหนักมากกว่า ปตท.เยอะ และ ปตท.ในที่สุดแล้วก็จะไปได้ดีกว่า
คุณอัมพร บุญเกษม - คุณสนธิ ทราบไหมครับว่าทำไมประวัติศาสตร์จึงมักซ้ำรอย ? คุณอัมพรครับ ในชีวิตของคุณ คุณเคยทำอะไรผิดซ้ำแล้วซ้ำอีกไหม ? เคย ผมก็เคย เพราะอะไรรู้ไหม ? เพราะเราไม่มีสติ เราไม่เคยจำบทเรียนต่างๆ เวลาเรามีความสุข เราจะลืมความทุกข์ที่มันจะเกิดขึ้น แต่พอความทุกข์มันตามความสุขมา เราก็มีความรู้สึกว่า ทุกข์อีกแล้ว แหม เราเคยทำมาแบบนี้นี่ ผมเคยพูดกับทุกๆ คน หลายๆ คน รวมทั้งคนที่ใกล้ชิด ลูกหลานผม ผมอายุ 73 แล้ว ผมบอกว่า นี่ ลุงจะพูดอะไรให้ฟังนะ สิ่งที่ลุงกลัวที่สุดในชีวิต คือคำพูดว่า "แหม ถ้ากูรู้อย่างนี้..." นึกออกไหมครับ คำว่า "แหม ถ้ากูรู้อย่างนี้..." ก็คือว่า จริงๆ ก็รู้อยู่แล้ว แต่ก็ไม่จำ พอผิดพลาดขึ้นมาก็บอกว่า "แหม ถ้ากูรู้อย่างนี้ กูจะไม่ทำอีก" เหมือนคนที่อยู่ในความรัก พออกหักครั้งหนึ่งแล้ว หลังจากนั้นพอเจอผู้หญิงที่สวยขึ้นคนหนึ่ง หรือว่าเจอผู้ชายที่หล่อขึ้นอีกคนหนึ่ง ก็ลืมถึงความชอกช้ำที่เกิดขึ้น วัดคนด้วยความผิวเผิน ด้วยความหล่อ ความสวย
ท่านผู้ชมถามเรื่องหลายๆ เรื่องมา ซึ่งเดี๋ยวผมจะพูดเรื่องการเมืองการปกครองสักนิดหนึ่ง แต่เรื่องที่ท่านผู้ชมถามมาหลายท่าน ท่านผู้ชมก็ถามว่า คุณสนธิครับ คุณสนธิมีวิธีการไหนที่จะทำงานออกรายการทุกอาทิตย์ ใช้วิธีการอย่างไร ? ข้อแรก สิ่งที่ผมทำก็คือ เผอิญผมเป็นคนชอบในเรื่องข้อมูลข่าวสาร และผมชอบในเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตนั้นมันทำให้ผมตื่นเต้นมาก ผมชอบถามตัวผมเองด้วยว่าทำไมถึงเป็นอย่างนี้ อาจจะเป็นเพราะว่าผมเรียนจบมาทางนี้มั้ง ผมก็เลยตั้งคำถามถาม
การที่ผมชอบ ก็เลยทำให้ผมกลายเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือมาก ท่านผู้ชมคงไม่รู้ว่าผมตาซ้ายบอดไปแล้ว เป็นต้อหิน หลายท่านก็บอกว่าเหตุผลเกิดจากที่ผมโดนยิงตรงนี้ มันก็เลยทำให้เส้นประสาทตามีปัญหา ต้อหิน เป็นต้อที่รักษาไม่ได้ แล้วในช่วงที่ต้อหินกำลังจะเริ่มขยายตัวไป ผมก็เข้าไปอยู่ในเรือนจำ เกือบสามปี ก็เลยทำให้ต้อหินที่แทนที่จะได้รับการรักษา ซึ่งไม่หายอยู่แล้ว แต่ไม่ถึงกับขั้นบอด จะพร่า ก็เลยทำให้รักษาช้าไป เพราะว่าเงื่อนไข กติกามันลำบากมาก มีคน 2 คน ที่เป็นหมอรักษาต้อให้ผม จำเป็นต้องเอ่ยชื่อและขอบคุณในที่นี้ คนหนึ่งเป็นหมอตาที่โรงพยาบาลตำรวจ ชื่อ คุณหมอผกาพร คุณหมอผกาพร เป็นคนที่น่ารักมาก ตัวเล็กๆ น่าจะเป็นคนสิงห์บุรี คือเป็นคนที่เอาใจใส่ ถึงผมจะเป็นนักโทษไปรักษาตาที่โรงพยาบาลตำรวจ ก็จะแต่งชุดกึ่งๆ นักโทษไป หมอผกาพร ไม่เคยแสดงความรังเกียจ ทั้งๆ ที่โดนแพทย์ใหญ่ ณ เวลานั้น กดดันหนัก รวมทั้งหัวหน้าจักษุแพทย์ของโรงพยาบาลตำรวจ กดดัน คือในทำนองว่า ถ้านัดผมแล้วต้องไม่นัดอีกในระยะเวลาใกล้ๆ ต้องนัดไปไกลๆ เลย ทั้งๆ ที่ตาผมกำลังมีปัญหา แต่คุณหมอผกาพร ก็พยายามที่จะนัดผมเดือนเว้นเดือน หรือเดือนละครั้ง ทุกเดือนจะนัดครั้งหนึ่ง จนกระทั่งถูกกดดันหนัก
เหตุผลที่กดดันหนัก เพราะว่ามีอดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนหนึ่ง เผอิญมีอิทธิพลมากในโรงพยาบาลตำรวจ กดดันมา ผมจะไม่มีวันลืมพระคุณที่คุณหมอผกาพร ให้
อีกท่านหนึ่ง คือท่านอาจารย์ปริญญ์ อยู่ที่โรงพยาบาลจุฬาฯ ซึ่งท่านเป็นแพทย์ที่ผ่าตัดตาข้างขวาผม ก็คือเป็นต้อกระจก อาจารย์ปริญญ์ ถึงจะยุ่งขนาดไหน แต่อาจารย์ปริญญ์ ก็ยินดีเสียสละเวลา ตั้งแต่ผมเป็นนักโทษ จนกระทั่งผมออกมาแล้ว อาจารย์ปริญญ์ ก็ยังดูแลตาขวาผมอยู่เป็นอย่างดี รวมทั้งตาซ้ายด้วย
ด้วยเหตุนี้ ผมเป็นคนชอบอ่านหนังสือ ถึงแม้ตาจะไม่ดี ก็จะใช้ตาขวา ผมก็เลยอ่านหนังสือมาก หนังสือทุกประเภท ผมอ่าน หลายคนถามผมว่า ผมชอบอ่านหนังสืออะไร ? ผมชอบอ่านหนังสือกำลังภายใน และหนังสือธรรมะ ผมชอบอ่านหนังสือชีวประวัติของพ่อแม่ครูอาจารย์ ผมก็มีตัวอย่างเอามาให้ดูว่าพ่อแม่ครูอาจารย์ที่ผมอ่าน เป็นใครบ้าง
หนังสือกำลังภายในก่อน ปัจจุบันนี้ผมอ่านอยู่หลายๆ เล่ม เป็นหนังสือของเครือสยามอินเตอร์บุ๊คส์ เล่มนี้อ่านประจำ ชื่อ "พลิกฟ้าท้ามาตุภูมิฮั่น" พูดถึงผู้ชายคนหนึ่งกลับชาติมาเกิดในยุคฮั่น
ยุคฮั่น คือยุคอะไร ปฐมกษัตริย์ราชวงศ์ฮั่น ก็คือ หลิวปัง หลิวปัง ชิงแผ่นดินจีนกับเซี่ยงอวี่ เซี่ยงอวี่ เป็นอ๋องคนหนึ่งซึ่งอยู่แคว้นฉู่ ตอนนั้นลูกของจิ๋นซีฮ่องเต้ จิ๋นซีฮ่องเต้เสียชีวิตไปแล้ว ลูกจิ๋นซีฮ่องเต้มีอำนาจอยู่ พวกนี้ก็เลยโค่นล้มราชวงศ์จิ๋นซี จิ๋นซีฮ่องเต้ รู้สึกจะมีกษัตริย์เปลี่ยน 2 หรือ 3 องค์เท่านั้นเอง แล้วก็จบราชวงศ์นั้น แต่ว่าคุณูปการที่จิ๋นซีฮ่องเต้ทำ ก็คือ เป็นการรวมแคว้น 6 แคว้น ให้มาเป็นประเทศจีน แล้วก็คิดภาษาเดียวกัน ใช้ระบบการเงินแบบเดียวกันหมด ทุกอย่างใช้กฎหมายเหมือนกันหมด
คนที่กลับชาติมาเกิดนี้ ก็เลยเอาวิทยาการใหม่ๆ ของสมัยโลกยุคปัจจุบัน เอาไปสอนคนที่อยู่ในยุคราชวงศ์ฮั่น ก็คือร่วมสองพันปีแล้ว น่าสนใจมาก เขาเกิดมาในยุคของจักรพรรดิที่ชื่อ หลิว เช่อ แล้วก็มีตัวละครที่คนที่เรียนประวัติศาสตร์จีนจะรู้จักดี อย่างเช่น จอมพลเว่ย จิง แล้วก็จอมพลหัว ชิปิง สองคนนี้เป็นสองคนที่ขยายอาณาเขตราชวงศ์ฮั่นออกไปทางตะวันตก ขึ้นไปทางมองโกล รุกคืบเข้าไปทำลายล้างกลุ่มคนเถื่อนที่ใช้ชื่อว่า ซงหนู สนุกสนานมากครับ ผมอ่านแล้วผมได้ข้อคิดทางประวัติศาสตร์ ได้ข้อคิดหลายๆ อย่าง คือคนเขียนพยายามอธิบายว่าสมัยนั้น หลิวเช่อ คิดอย่างไร คนชาวฮั่นคิดอย่างไร ก็คือเอามาจากประวัติศาสตร์นั่นล่ะ ผมก็เลยซึมซับจากเขามาอีกทีหนึ่ง ทำให้มาเสริมความรู้ทางประวัติศาสตร์จีนของผมเพิ่มมากขึ้น นิยายกำลังภายใน เป็นนิยายกำลังภายในที่ ถ้าอิงประวัติศาสตร์ ถ้าท่านผู้ชมรู้เรื่องประวัติศาสตร์พอสมควรแล้ว มันจะยิ่งทำให้เข้าใจประวัติศาสตร์จีนได้อีกหลายๆ มิติ
เรื่องที่สอง ชื่อ "เจ้ารัตติกาลแผ่นดินเถื่อน" แต่งโดยคนที่ชื่อ เยี่ยกวน พระเอกในเรื่องนี้ชื่อ เย่เสี่ยวเทียน เป็นอดีตเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์อยู่ที่เมืองหลวง แล้วจับพลัดจับผลูถูกส่งมา เรื่องนี้เป็นเรื่องของชุมชนของชนกลุ่มน้อยที่มณฑลกุ้ยโจว สมัยก่อนมณฑลกุ้ยโจว เป็นมณฑลที่ไกลปืนเที่ยง ฮ่องเต้ไม่สนใจ ฮ่องเต้จะให้หัวหน้าต่างๆ ของชนเผ่าเป็นผู้ปกครอง แล้วก็แต่งตั้ง ที่เขาเรียกว่า ถู่ซือ ถู่ซือ ก็เป็นหัวหน้าเผ่า จะมีอำนาจสืบเนื่องต่อไป
เยี่ยกวน เป็นคนที่แต่งเรื่อง "พยัคฆราชซ่อนเล็บ" สนุกสนานมาก แล้วก็แต่งเรื่อง "ย้อนเวลากลับมาเป็นอ๋อง" เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ใช้ได้
เรื่องสุดท้ายเป็นเรื่องแฟนตาซี "สุประยุทธ์ทะลุฟ้า" แต่งโดยคนที่ชื่อ เทียนฉานถู่โต้ว ที่ผมบอกว่าเป็นแฟนตาซีก็เพราะว่า คนๆ นี้เขียนหนังสือขั้นเทพ สามารถจะพล็อตเรื่องไว้ล่วงหน้า เขาพล็อตเรื่อง พล็อตตัวคนเอาไว้ตั้งแต่เล่ม 1 เล่ม 2 แล้ว แล้วคนพวกนี้เริ่มมามีบทบาทในเล่มที่ 29-30-31 เป็นคนที่มีความคิดสร้างสรรค์สูงมากเลย ตอนนี้ผมอ่านมาถึงเล่ม 31 แล้ว
ท่านผู้ชมครับ ค่อนข้างจะสุดโต่งนะครับ จากหนังสือแฟนตาซี กำลังภายใน ผมชอบอ่านหนังสือ เล่มล่าสุดที่ผมอ่านจบไปคือ "หลวงปูชอบ ฐานสโม พระอรหันต์ ผู้ทรงฤทธิ์แห่งยุค"
หลวงปู่ชอบ ท่านคือลูกศิษย์คนหนึ่งที่เป็นลูกศิษย์ต้นๆ ของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต หลวงปู่ชอบ ตำนานในหนังสือบอกว่า เป็นผู้ที่อยู่สายพญานาค หลวงปู่ชอบ เป็นคนพูดเอง หลวงปู่ชอบ ท่านเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว ท่านเป็นคนพูดเองว่า ในโลกนี้ ที่อีสานมีพญานาคจริง ท่านเล่าถึงประสบการณ์ชีวิตของท่านว่าท่านเคยเจอพญานาคแปลงมาเป็นคน ไม่มีเหตุผลใดที่ผมจะไม่เชื่อหลวงปู่ชอบ เพราะฉะนั้นแล้ว ผมเชื่อว่าในโลกนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทย มีพญานาคจริง แล้วพญานาคคือคนที่คอยดูแล ปกป้อง รักษาพระพุทธศาสนา พญานาคคือคนที่รักษาสมบัติ ใครที่บูชาพญานาค หรือเป็นสายพญานาค ขอพรดีๆ ก็อาจจะได้สมบัติ คำชะโนด ท่านผู้ชมรู้จัก คำชะโนดคือแหล่งพญานาค ซึ่งหลวงปู่ชอบ ก็พูดในนี้ว่า คำชะโนด มีพญานาค พญานาคระดับใหญ่ ระดับศรีสุทโธพญานาคเลย
หนังสือเล่มนี้เป็นประวัติของหลวงปู่ชอบ ซึ่งหลวงปู่ชอบ ท่านเล่าให้ฟังหมดเลยว่าท่านเจออะไรบ้าง แล้วก็มีคนถามหลวงปู่ชอบ คือหลวงปู่ชอบ ท่านเป็นคนที่ระลึกชาติได้ สมมุติว่าท่านมองผม หรือมองใครก็ได้ ท่านจะบอกเลยว่าชาติก่อนเป็นอะไรๆๆ หลายๆ ครั้ง ท่านมีตำนานของท่านที่เขียนในนี้ ว่าคนไทยในอเมริกาที่เป็นลูกศิษย์ท่าน นิมนต์ท่านไปเพื่อเยือนที่อเมริกา แล้วท่านเห็นผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้าไปในห้องน้ำ ท่านบอก คนนี้จะต้องไปแล้ว พูดแค่นี้ แล้วผู้หญิงคนนั้นก็ไปตายในห้องน้ำ แล้วท่านก็เล่าให้ฟังว่าคนนี้จะไปเกิดใหม่ แล้วเช็กไปเช็กมามันก็เป็นจริง ก็เลยมีคนถามหลวงปู่ชอบ นี่เป็นคำพูดในบันทึกเลยนะครับ ว่าหลวงตามหาบัว ชาติก่อนเป็นใคร หลวงปู่ชอบ ท่านก็หัวเราะ ท่านบอกชาติก่อนหลวงตามหาบัว คือ สมเด็จพระนเรศวรมหราช แล้วหลวงปู่ลี วัดถ้าผาแดง หลวงปู่ลี คือลูกศิษย์เอกของหลวงตามหาบัว ชาติที่แล้วเป็นอะไร ? หลวงปู่ชอบ บอก หลวงปู่ลี เป็นช้าง ที่หลวงตามหาบัวขี่ ด้วยเหตุนี้จึงผูกพันกันมา เกิดมาชาตินี้ก็เลยมาเป็นลูกศิษย์อยู่ที่วัดถ้ำผาแดง อุดรธานี ก็เลยไม่มีอะไรน่าประหลาดใจ เพราะหลวงปู่ลี จะเป็นคนที่เข้ามากราบไหว้บูชาหลวงตามหาบัว ทุกวัน นั่งรถจากวัดถ้ำผาแดง มานั่งฟังหลวงตาเทศน์ หลวงปู่ลี ธัมมธโร วัดถ้ำผาแดง แล้วคนก็ถามหลวงปู่ชอบ ว่า แล้วหลวงปู่ชอบ ชาติก่อนโน้นท่านเป็นอะไร ท่านบอกท่านเป็นทหารพม่า แล้วถูกฆ่าตาย
น่าสนใจครับหนังสือเล่มนี้ ถ้ามีโอกาสหามาอ่านได้ ก็หามาอ่าน สนุกสนานมาก เพราะว่าหลุดออกมาจากปากหลวงปู่ชอบ หลวงปู่ชอบ ท่านไปเจอใครบ้าง ท่านไปเจอพญานาคอย่างไร นั่นคือเล่มนี้
อีกเล่มหนึ่งซึ่งผมชอบอ่านมากเลย คือ "ปฏิปทาพระธุดงคกรรมฐาน สายท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ" คนเขียนคือ อาจารย์พระมหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี หลวงตาท่านเขียนประวัติ ชีวประวัติของหลวงปู่มั่น มหัศจรรย์พันลึกมาก ผมยังอ่านไปได้ไม่มาก แต่ผมจะมีเวลา เวลาผมชิลๆ แล้วผมนั่งเงียบๆ อากาศดีข้างนอก ผมก็จะเอาหนังสือเล่มนี้มานั่งอ่าน มีสมาธิดี
อีกเล่มหนึ่งที่อ่านมาประจำคือ "74 ปี คดีสวรรคต" ของคุณกังวาฬ พุทธิวนิช คุณกังวาฬ เป็นคนที่ทำงานบริษัทโตโยต้า เป็นวิศวะ แต่สนใจประวัติศาสตร์มานานแล้ว คุณกังวาฬ บอกว่าในเรื่องคดีสวรรคตนั้น ลูกตุ้มมันจะแกว่งไปซ้ายที ขวาที แกว่งไปทางซ้ายแรก ก็คือว่า ท่านปรีดี พนมยงค์ ท่านถูกกล่าวหาว่าท่านเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังในการสวรรคตของรัชกาลที่ 8 เสร็จเรียบร้อยแล้ว พอหลังจากนั้นแล้ว พอเรื่องมันซา ลูกตุ้มก็แกว่งมาทางขวา ก็ไปกล่าวหาว่ามีราชวงศ์เดียวกันลอบปลงพระชนม์รัชกาลที่ 8 คำกล่าวหานี้มาจากใครล่ะ ? ก็มาจากฝ่ายพวกอาจารย์ฝ่ายสามนิ้วทั้งนั้นเลย ทั้งพวกเครือเดียวกับสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล รวมไปจนถึงหนังสือหลายๆ เล่มที่ออกมา ที่ผมเพิ่งพูดไปเมื่อกี้ ว่าเดี๋ยวผมจะชำระประวัติศาสตร์ให้ดูอีกสักครั้ง
คุณกังวาฬ พุทธวนิช ก็เลยสนใจใช้หลักวิทยาศาสตร์ หลักนิติวิทยาศาสตร์ออกมา ออกมาเพื่อพิสูจน์ว่าไม่ใช่ทั้งท่านปรีดี พนมยงค์ และก็ไม่ใช่ทั้งราชวงศ์อีกคนหนึ่งเป็นคนทำ ไม่ใช่ เพราะหลักนิติวิทยาศาสตร์พิสูจน์ชัดเจนว่าไม่ใช่ ผมคิดว่าแม้กระทั่งข้อมูลหนังสือเล่มนี้ คนอย่างคุณสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล เอง ก็ยังลงในเฟซบุ๊ก ยอมรับว่าเป็นหนังสือที่มีข้อมูลที่หนักแน่นมาก นี่คือหนังสือ 4-5 เล่มที่ออกมา
ท่านผู้ชมครับ เรื่องที่ผมได้รับคำถามมาก คือเรื่องการเลี้ยงลูก คุณสนธิ ผมจะเลี้ยงลูกอย่างไร ? แล้วลูกจะไปเรียนต่อที่ธรรมศาสตร์ แต่ดิฉันกลัวเหลือเกิน จะไปเรียนคณะเดียวกับคุณรุ้ง ปนัสยา ผมก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ผมพูดเอาเป็นหลักง่ายๆ ก็แล้วกัน ลูกจะเป็นอะไรก็ตาม หรือจะเชื่ออะไรก็ตาม เราต้องรู้ทันลูก แต่สังคมไทยในสมัยนี้ พวกเรา ผู้หลักผู้ใหญ่ ผมนี่เป็นข้อยกเว้น เพราะว่าผมอยู่ในแวดวงนี้ ผมอธิบายให้ลูกผมฟังได้ ถ้าจำเป็นต้องอธิบาย แต่เผอิญพ่อแม่หลายคนไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้
ทีนี้พอลูกเราไปได้ข้อมูลจากอีกฝั่งหนึ่ง ซึ่งเป็นข้อมูลเท็จ มีข้อมูลจริงสัก 50 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือเท็จหมด เหมือนกับว่าเอาเอกสารมาลง แล้วเว้นคำพูดไปประโยคหนึ่ง ความหมายก็เปลี่ยนไปแล้ว แต่ถ้าใส่คำพูดนั้นลงไป ที่มันมีปรากฏในเอกสาร ซึ่งตัวเองจงใจไม่เอามาลง มันก็จะเป็นอีกเรื่องหนึ่งทันทีเลย ท่านผู้ชมเข้าใจใช่ไหมครับ ลงข้อมูลในเอกสารนั้น คำพูดหนึ่งประโยค เรื่องออกไปทางซ้าย ไม่เอาลง เรื่องจะออกไปทางขวาทันที นี่คือปัญหาใหญ่ที่ผมไม่รู้ว่าสังคมจะแก้ไขอย่างไร ต้องมีคนลุกขึ้นมาแก้ไข ผมคิดว่าผมจะพยายามเป็นคนๆ นั้นในที่สุด ผมจะทำก่อนที่ชีวิตผมจะตาย ผมจะทำให้ดูเลยว่า สิ่งที่พวกม็อบสามนิ้วได้รับปลูกฝังมาจากพวก ... ผมขี้เกียจจะพูดหยาบ เพราะวันนี้เป็นวันปีใหม่ ถือว่าเป็นการให้เกียรติก็แล้วกัน ผมจะล้างให้ดูเป็นข้อๆ ว่าพวกคุณโกหกอย่างไรบ้าง เหมือนกับที่ผมเอาเรื่องคณะราษฎร 2475 ว่าไม่ใช่คณะราษฎรหรอก แต่เป็นคณะโจร หรือ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ไม่ใช่วีรบุรุษ แต่เป็นมหาโจร แล้วคณะราษฎร 2475 ก็ถูกยืนยันโดยลูกหลานของท่านขุนนิรันดรชัย ไปแล้วไม่ใช่หรือ ว่าพ่อตัวเองนั้นปล้นทรัพย์สินของทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ไป เห็นไหมท่านผู้ชม เท่ากับตอกฝาโลงในสิ่งที่ผมพูดไปแล้ว
เพราะฉะนั้นแล้ว ผมพูดกันตรงๆ ว่า ผมไม่รู้ว่าจะช่วยแก้ปัญหานี้ได้อย่างไร เพราะว่าคนที่จะแก้ได้คือตัวพวกคุณ แต่เผอิญพวกคุณไม่ได้อยู่ในแวดวงนี้ แล้วคุณจะไปหาข้อมูลอย่างไร บางคนทำงานอยู่ เป็นบริษัท เป็นสมุหบัญชี บางคนเป็นผู้จัดการการเงิน บางคนทำธุรกิจส่วนตัว แล้วจะไปรู้เรื่องต่างๆ พวกนี้ได้อย่างไร วิธีหนึ่งที่ผมจะแนะนำให้ก็คือว่า หลีกเลี่ยงธรรมศาสตร์ วันนี้ธรรมศาสตร์เป็นสถาบันการศึกษา สำหรับผมแล้ว ทางสังคมศาสตร์ ทางประวัติศาสตร์ ทางรัฐศาสตร์ น่ากลัวมาก เพราะถูกสอนโดยอาจารย์ที่ส่วนใหญ่จะมีแนวความคิดไปในทางเดียวกันหมดเลย คืออาจารย์พวกนี้จะได้ข้อมูลที่ค่อนข้างจะผิด เพราะฉะนั้นถ้าหลีกเลี่ยงได้ อย่าให้ลูกสอบเข้าธรรมศาสตร์ เข้าที่อื่นเถอะ คณะสังคมศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ ศิลปากรก็ได้ มหิดลก็ได้ หรือหลายๆ แห่งก็ได้ที่เป็นมหาวิทยาลัยรัฐ แต่ไม่ใช่ธรรมศาสตร์ ถ้าจะเข้าธรรมศาสตร์ ก็อย่าไปเข้าคณะพวกนี้ เปลี่ยนคณะไปเข้าซะ เรียนทางด้านประชากรศาสตร์ก็ได้ เรียนทางโน้นทางนี้ อย่าไปเรียนเรื่องสังคมศาสตร์ เชื่อผม นี่คือสิ่งที่ผมจะแนะนำให้ได้
คุณวิส แทน ถามผมว่า ภาพยนตร์เรื่องล่าสุดที่ชมในโรงภาพยนตร์ของผมคือเรื่องอะไร ? คือผมไม่ค่อยได้ดูหนังเท่าไร แต่ถ้าดูล่าสุด ในโรงภาพยนตร์ไม่ได้ดู แต่ผมดูผ่าน Netflix ถ้าดูผ่าน Netflix ผมก็จะดูภาพยนตร์เก่าๆ มากกว่า เพราะว่ามันแก่แล้ว มันดูแบบคนวัยรุ่นไม่ได้
ผมคิดว่าผมพยายาม ... ท่านผู้ชมตั้งใจฟัง ผมพยายามทำเพจ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ให้เป็น Netflix ทางปัญญา ท่านผู้ชมเข้าใจไหมครับ จะมีความหลากหลายเลย ในเรื่องการให้ปัญญาคน การให้ความรู้คน เพราะว่าผมมีชีวิตอยู่ ผมไม่รู้ ถ้าไม่มีอะไรผิดปกติ ถ้าฟ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่เรียกผมกลับไป ออกจากโลกนี้ไป ผมก็อาจจะอยู่ได้ถึงประมาณสัก 80-80 กว่า หรือ 90 แต่ตราบใดที่ยังมีลมหายใจอยู่ จะเอาปัญญาต่างๆ มาให้
มีคนถามว่า คุณสนธิ อายุ 73 แล้ว อยากจะทำอะไรมากที่สุด ท่านผู้ชมครับ อยากอยู่เงียบๆ (ไม่ต้องมายุ่งกับกูมากนัก) เพราะว่าผมเบื่อ ท่านผู้ชมดูรายการเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว ท่านผู้ชมจำได้ใช่ไหมที่ผมบอกว่า พล.อ.ประยุทธ์ ท่านบอกว่าท่านจะจัดการคนชั่วที่ทำเรื่องเกี่ยวกับค้ามนุษย์ เอาพวกพม่าเข้ามา ถามว่าโอเคมั้ย แล้วผมตอบว่า ผมไม่โอเคครับ ก็มันมีเรื่องแบบนี้ในสังคมไทยมาไม่รู้ตั้งกี่เรื่อง แล้วก็ โอเคมั้ย แล้วทุกเรื่องในที่สุดก็ไม่โอเคสักเรื่องเลย ท่านผู้ชมเห็นใจผมหรือยัง
เวลาก็ผ่านไปมากพอสมควรแล้ว คำถามส่วนใหญ่แล้ว ผมก็พยายามตอบในภาพรวม เอาว่า การศึกษา การเลี้ยงลูก อย่าเลี้ยงด้วยเงิน เลี้ยงด้วยปัญญาถ้ามีปัญญา เวลาลูกจะอ่านอะไร ให้ลูกอ่าน แต่เราต้องถามว่าลูกอ่านเรื่องอะไรอยู่ เล่าให้พ่อเล่าให้แม่ฟังหน่อยได้ไหม ได้ข้อมูลนี้มาเมื่อไร ได้มาอย่างไร แรกๆ ที่เด็กจะเริ่มสัมผัสข้อมูลที่ผิดๆ จะเริ่มเล่า พอเล่าให้ฟังแล้ว พยายามจับประเด็น แล้วพยายามใช้ความสามารถของตัวเองหาข้อมูลเพิ่มเติม หรือหากไม่สามารถจะหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ ผมยินดีช่วย ส่ง inbox มาให้ผม ว่าลูกอ่านหนังสือเล่มนี้ เขาว่าอย่างนี้ๆ คุณสนธิ ว่าอย่างไร เดี๋ยวผมจะตอบให้
ผมมีเพื่อนสนิทคนหนึ่ง เพื่อนรุ่นน้อง เอ่ยชื่อก็ได้ครับ คุณคำนูณ สิทธิสมาน มีลูกชาย 2 คน รูปหล่อทั้งคู่เลย ก็เป็นคนที่มีแนวความคิดไปทางคนรุ่นใหม่แบบพวกพรรคก้าวไกล ก้าวหน้า เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว เราทานข้าวเช้าก่อนออกรายการ คุณคำนูณ มาเยี่ยมผม คุณคำนูณ บอก พี่ๆ ลูกผมสองคนมันบอกว่าพี่เป็นขวาที่เก่งฉิบหาย คือเรียกผมว่าเป็นขวาจัด เก่งฉิบหาย ผมบอก เฮ้ย มันก็เข้าใจพูดนะ เก่งยังไง - มันบอกแต่ละเรื่องที่พี่พูด ไม่มีใครกล้าโตพี่ทุกเรื่องเลย เป็นขวาที่เก่ง มันก็คือหลานที่ผมเห็นตั้งแต่ตัวยังเล็กๆ อยู่ แต่ว่าก็เป็นคนรุ่นใหม่ คำถามก็คือว่า ท่านผู้ชมทุกๆ คนที่มีลูกๆ ก็คงจะไม่ได้มีองค์ความรู้มากเท่าผมที่จะไปตอบลูกของตัวเองได้ แต่ถ้าท่านดูรายการผมดีๆ หลักๆ แล้วไม่มีอะไร เรื่องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ซึ่งผมพูดอยู่ทุกๆ อาทิตย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องสถาบันกษัตริย์ ท่านเอาคลิปนั้นมาดูซ้ำแล้วซ้ำอีก แล้วท่านอาจจะจำอะไรหลายๆ อย่างที่ผมพูดออกไปได้ หรือให้ลูกดูก็ได้ หรือถ้าจำเป็น บอกเอามั้ย มาเจอลุงสนธิไหม ลุงสนธิพร้อมจะเจอให้ มาพูดเลย มาเจอหน้ากันเลย ผมยินดีที่จะทำให้
ส่วนเรื่องที่จะให้ผมแก้นั้น มันเป็นเรื่องในครอบครัว ผมแก้อะไรให้ไม่ได้ ไม่รู้จะแก้อย่างไร มันก็มีทางออกอยู่เพียงแค่นี้
ท่านผู้ชมครับ สำคัญที่สุด ตอนนี้ ท่านผู้ชมต้องจำเอาไว้ ที่ผมพูดมาตั้งนานแล้ว หลายครั้งแล้ว แล้วก็พยายามพูดอีกว่า พยายามให้ลูกยืนอยู่บนข้อเท็จจริง อย่าไปยืนอยู่บนความเชื่อ ลำพังวิวัฒนาการ พัฒนาการของกลุ่มที่ประท้วง ไม่ว่าจะเป็นเพนกวิน ไม่ว่าจะเป็นรุ้ง ที่พัฒนาการไปจากโน่นจากนี้ไปเรื่อยๆ จนในที่สุดแล้วเลอะเทอะเปรอะเปื้อนไปหมด ลำพังเพียงแค่นี้ ท่านก็ศามารถจะชี้ให้ลูกเห็นได้แล้วว่าจุดยืนเป็นอย่างไร
เอา 10 ข้อ เรื่องการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ที่ผมเอามาฉีกเป็นชิ้นๆ ว่าไม่ใช่เป็นการปฏิรูป แต่เป็นการทำลายสถาบันกษัตริย์ อธิบายให้ลูกฟัง หรือให้ลูกฟังเองก็ได้
ถ้าลูกถามว่ากษัตริย์จำเป็นต้องมียังไง เราก็ถามต่อว่า ถ้าอย่างนั้น ปู่กับย่าก็ไม่มีความจำเป็นต้องมีในโลกนี้สิ ทุกอย่างมันต้องมีที่มาที่ไป ต้นตระกูลต้องมี ประเทศนี้ ประเทศไทยถูกสร้างโดยกษัตริย์ กษัตริย์คืออดีตนักรบ รบป้องกันแผ่นดิน รบเพื่อที่จะไม่ให้ประชาชนในแผ่นดินไทยถูกรังแก
สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ถูกจับตัวไปเป็นตัวประกัน กลับมาแล้วต้องการเรียกร้องเอกราชให้กับประเทศไทย เพราะไม่ต้องการให้คนไทยเป็นข้าทาสของพม่า นั่นคือยุคหลายร้อยปีที่ผ่านมา แต่พอมายุคนี้แล้ว มันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เพราะว่ายุคนี้ก็คือ เปลี่ยนจากศัตรูที่เป็นพม่า ที่ต้องขี่ช้าง ขี่ม้า ถือหอก ถือดาบ มาเป็นองค์กรเอกชนของฝรั่ง อย่างเช่น NED อย่างเช่นพวก CIA
อย่างเช่นพวกโน้นพวกนี้ที่เข้ามาแทรกซึมแล้วก็มาปั่นหัวเด็กไทย เพื่อให้ล้มล้างกษัตริย์ เพราะว่าสังคมที่มีกษัตริย์ที่แข็งแรง สังคมที่มีกษัตริย์ที่ประชาชนส่วนใหญ่ 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ รักและเคารพนั้น วิธีจะเปลี่ยนแปลงสังคมได้ ต้องโค่นล้มสถาบันกษัตริย์ให้ได้ ท่านผู้ชมอธิบายในหลักการพวกนี้ไป
ท่านผู้ชมครับ ความจริงแล้ววันนี้ก็เยอะแล้วนะ ร่วมสองชั่วโมงแล้ว ผมคิดว่าเดี๋ยวเอากันแค่นี้ก่อนดีกว่า ถือว่าเป็นกรณีพิเศษ เดี๋ยวผมจะพาไปชมพระ แล้วผมจะสวดมนต์ต้อนรับวันปีใหม่ให้ ท่านผู้ชมก็คอยฟังดีๆ หรือจะนั่งภาวนาตามผมก็ได้ แล้วผมจะให้ทางทีมงานเขาโพสต์บทสวดมนต์ให้กับท่านผู้ชม และท่านผู้ชมอาจจะเปิดเทปนี้อีกครั้งหนึ่ง ผมเชื่อว่าเดี๋ยวทางทีมงานเขาจะตัดเรื่องการสวดมนต์ออก แยกเป็นพิเศษนะครับ
ท่านผู้ชมครับ ผมมีห้องพระ 2 ห้อง ห้องนี้เป็นห้องที่ผมเอารูปปั้นของพ่อแม่ครูอาจารย์มา
ตรงนี้เป็นสมเด็จโต พรหมรังสี วัดระฆัง นี่เป็นพระของผม พระสมเด็จ มีตั้งแต่พิมพ์ใหญ่ ฐานคู่ ทรงเจดีย์ มีเกศค มีทรงเทวดา เส้นด้าย ทะลุซุ้ม มีอกครุฑ มีไกเซอร์ แล้วก็มีพิมพ์ A แล้วก็มีพระรอด พระรอดนี่เป็นของกรุมหาวัน กรุมหาวัน ก็คือที่ลำพูน 1,300 กว่าปีแล้ว
ท่านผู้ชมครับ นี่คือหลวงปู่ทวด ข้างหลังหลวงปู่ทวด ก็คือหลวงปู่เทพ โลกอุดร อาจารย์ณัฐ จุลสุวรรณ ให้ผมมา ท่านไปได้มาจากในถ้ำบนเขา ซึ่งตำนานมีบอกว่า หลวงปู่เทพ โลกอุดร ท่านเป็นอาจารย์ใหญ่ของหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า มาเรียนวิชาจากท่าน แต่บางท่านก็บอกว่า หลวงปู่เทพ โลกอุดร นั้น ก็มาเกิดเป็นหลวงปู่ทวด แล้วเกิดมาเป็นสมเด็จโต พรหมรังสี ก็ว่ากันไป
ท่านผู้ชมครับ จำได้ไหมครับ นี่คือไอ้ไข่ ผมได้มา 6 เป็นรูปปั้นไอ้ไข่ ซึ่งถูกทำพิธีมาเรียบร้อยแล้ว แล้วผมก็มีเหรียญไอ้ไข่ ซึ่งมีคนเอามาให้ผม เป็นเหรียญรุ่นที่ทำตั้งแต่ปี 2526 แล้วก็ยังมีเหรียญไอ้ไข่ที่ปลุกเสกโดยวัดมหาธาตุ ที่นครศรีธรรมราช ก็ไม่รู้ แต่ว่าไม่ได้ซื้อล็อตเตอรี่ ก็เลยไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร แต่ผมก็กราบไหว้บูชา กราบหลวงพ่อโต เวลาผมจะท่องคาถาชินบัญชร ผมก็อาราธนาท่านมาเป็นประธานในการสวดคาถาชินบัญชร แล้วผมก็สวดเคารพบูชา นะโม โพธิสัตโต อาคันติมายะ อิติ ภะคะวา อิติ อิติ โพธิสัต อิติ อิติ โพธิสัต อิติ อิติ โพธิสัต คือหลวงปู่ทวด แล้วเผื่อแผ่ไปถึงไอ้ไข่ด้วย
ส่วนที่เหลือก็เป็นพ่อแม่ครูอาจารย์ทั้งหลาย นี่ก็คือหลวงปู่ทวด ส่วนใหญ่ของผมจะเป็นรุ่น 2497 คือรุ่นแรก รุ่นที่หลวงปู่ทิมเป็นคนปลุกเสก นี่ก็เป็นชุดของหลวงตามหาบัว
องค์นี้คือหลวงปู่บุญมี โชติปาโล ท่านก็เป็นพระอริยสงฆ์องค์หนึ่ง วัดสระประสานสุข จ.อุบลราชธานี องค์นี้คือสมเด็จพระสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ วัดบวรนิเวศฯ องค์นี้ที่เป็นรูปจีวร คือหลวงปู่ดุลย์ อดุโล จ.สุรินทร์ เป็นพระอริยสงฆ์ แล้วนี่คือหลวงปู่ลี ที่คนเขาถามหลวงปู่ชอบ แล้วหลวงปู่ชอบบอกว่าหลวงปู่ลี ชาติก่อนเป็นช้าง ให้หลวงตามหาบัวขี่ ในฐานะที่เป็นพระนเรศวรมหาราช นี่ก็เป็นองค์จตุคามรามเทพ
ส่วนองค์ไม้องค์นี้ คือหลวงปู่ครูบาศรีวิชัย ไม้องค์นี้เป็นไม้จากท่อนใหญ่ เขาตัดออกมาเป็นท่อนๆ แล้วเอามาแกะสลักเป็นรูปหลวงปู่ครูบาศรีวิชัย
คนที่เอามาแกะสลักแล้วเอามามอบให้ครูบาศรีวิชัย ทั้งหมดมี 10 ท่อน 10 องค์ ท่านก็ทำพิธี ท่านก็ปลุกเสก แล้วท่านก็มอบให้ทั้ง 10 องค์ ให้คนที่เป็นลูกศิษย์ใกล้ชิด ใกล้ชิดที่สุด 10 คน 10 ครอบครัว นี่นานมาแล้วนะ แล้วหลังจากนั้น ครอบครัวที่เป็นเจ้าขององค์นี้ปรากฏว่าเก็บรักษาไม่ได้ เป็นหนี้เป็นสิน ผมจำได้ เอามาขายให้ผม ผมก็เลยซื้อมา แล้วผมก็มาบูชาต่อ นี่คือห้องพระ ซึ่งเป็นห้องที่ผมจะเข้ามาสวดมนต์ก่อน สวดมนต์แล้วก็อาราธนาทุกท่าน รวมจนกระทั่งถึงสมเด็จโต พรหมรังสี วัดระฆัง ที่จะสวดคาถาชินบัญชร พอจบแล้วผมก็ย้ายตัวเองมา ระหว่างนั้นผมก็จะอัญเชิญท่านเจ้าพระยาวรพงศ์พิพัฒน์ ซึ่งท่านเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้
ผมจะอัญเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เจ้าพระยาวรพงศ์ฯ ท่านเป็นเจ้าที่เจ้าทาง ให้ท่านลงมา เพื่อมารับกุศลผลบุญจากการสวดมนต์และทำสมาธิภาวนาของผม แล้วผมก็กราบหลวงตามหาบัว อัญเชิญหลวงตามหาบัวมาประทานพรอนุโมทนาบุญกับผมด้วย
เสร็จแล้วผมก็มาที่โต๊ะหมู่บูชานี้ ซึ่งประกอบด้วย สมเด็จพระนเรศวรมหาราช สมเด็จพระเจ้าตากสินฯ รัชกาลที่ 5 รัชกาลที่ 9 แล้วก็มีเจ้าแม่กวนอิม นี่คือเจ้าแม่กวนอิมที่ผมเหลืออยู่ หลังจากที่ให้ไปแล้ว สองแถวนี้คือเจ้าแม่กวนอิม ทำด้วยหยกแดง หยกเขียว และนี่คือพระสังกัจจายน์ ที่ผมเก็บเอาไว้ ตลอดจนเป็นเจ้าแม่กวนอิมหยกที่มีสร้อยอยู่ด้วย
ผมก็กราบไหว้บูชา สวด นำโม ไต่ชือ ไต่ปุย กิวโคว กิวหลั่ง กวงไต๋เล่งก๊ำ กวงสีอิมผู่สัก อะไรพวกนี้ ผมต้องสวดก่อน แล้วก็รัชกาลที่ 6 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว แล้วผมก็เข้ามาในห้องนี้ ห้องนี้ผมไม่แน่ใจว่ารูปนี้ใครให้ผม ไม่รู้ว่าเป็นพระนเรศวรมหาราช หรือเป็นพระเจ้าตากสินมหาราช น่าจะเป็นพระนเรศวรมหาราชมากกว่า
ผมก็มาถวายดอกไม้ อัญเชิญท่านมารับกุศลผลบุญจากการปฏิบัติธรรมสวดมนต์ทำสมาธิภาวนา แล้วก็อาวุธสองอันนี้ นี่คือง้าว และหอกโบราณ ทั้งง้าวและหอกสองเล่มนี้พม่าสังเวยชีวิตไปมากมายมหาศาล ว่ากันว่ายังมีดวงวิญญาณติดอยู่ในนี้ คนที่เอามาให้ผม คือคุณอภิชาติ ฟุ้งลัดดา ต้นตระกูลฟุ้งลัดดา ดั้งเดิมเลยเป็นทหารเอกของสมเด็จพระเจ้าตากสิน
หลังจากนั้นผมก็จะมาที่ห้องสวดมนต์ โดยที่พระประธานของผมก็คือ สมเด็จพระพุทธนาคปรก ผมก็สวดมนต์อยู่ที่นี่ ที่เห็นโถพวกนี้ คือโถบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และนี่คือเหล็กไหลที่มีอยู่
วันนี้ผมก็จะสวดมนต์สัก 2-3 บท มอบให้กับท่านผู้ชม ผมขออนุญาตจุดธูป เทียน เผอิญเมื่อเช้าสวดมนต์ไปแล้ว ปรากฏว่าเทียนหมด ก็เอาเป็นว่าเอาแค่ธูปก็พอ
ผมจะตั้งอะระหังฯ
อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา พุทธัง ภะคะวันตัง อภิวาเทมิ (กราบ)
สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม, ธัมมังนะมัสสามิ (กราบ)
สุปะฏิปปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, สังฆัง นะมามิ (กราบ)
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุท ธัสสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุท ธัสสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุท ธัสสสะ
อิติปิโส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจะระณะสัมปันโน สุขโต โลกะวิทู อนุตตะโร ปุริสสะทัมมะสาระถิ สัตถา เทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ
สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูฮีติ
สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
ยะทิทัง จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐปุริสปุคคะลา เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเนยโย อัญชะลีกะระณีโย อนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ (กราบ)
ในการสวดมนต์นั้น ผมจะเริ่มด้วย นะโมการสิทธิคาถา คือ สัมพุทเธ อัฏฐะวีสัญจะ ทวาทะสัญจะ สะหัสสะเก ฯ
พอจบบทนี้แล้ว ผมก็สวดนโมการอัฏฐกคาถา
นะโม อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ มะเหสิโน
นะโม อุตตะมะธัมมัสสะ สวากขาตัสเสวะ เตนิธะ
นะโม มะหาสังฆัสสาปิ วิสุทธะสีละทิฏฐิโน ฯ
แล้วผมก็ต่อด้วยรัตนสูตร
ผมจะสวดนโมการอัฏฐกคาถา เอาไว้แล้วกัน
นะโม อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ มะเหสิโน, นะโม อุตตะมะธัมมัสสะ สวากขาตัสเสวะ เตนิธะ, นะโม มะหาสังฆัสสาปิ วิสุทธะสีละทิฏฐิโน, นะโม โอมาตยารัทธัสสะ ระตะนัตตยัสสะ สาธุกัง, นะโม โอมะกาตีตัสสะ ตัสสะ วัตถุตตยัสสะปิ, นะโมการัปปะภาเวนะ วิคัจฉันตุ อุปัททะวา, นะโมการานุภาเวนะ สุวัตถิ โหตุ สัพพะทา, นะโมการัสสะ เตเชนะ วิธิมหิ โหมิ เตชะวา ฯ
แล้วผมจะต่อด้วยรัตนสูตร
ยานีธะ ภูตานิ สะมาคะตานิ
ภุมมานิ วา ยานิวะ อันตะลิกเข
สัพเพ วะ ภูตา สุมะนา ภะวันตุ
อะโถปิ สักกัจจะ สุณันตุ ภาสิตัง
ตัสมา หิ ภูตา นิสาเมถะ สัพเพ
เมตตัง กะโรถะ มานุสิยา ปะชายะ
ทิวา จะ รัตโต จะ หะรันติ เย พะลิง
ตัสมา หิ เน รักขะถะ อัปปะมัตตา ฯ
ยังกิญจิ วิตตัง อิธะ วา หุรัง วา
สัคเคสุ วา ยัง ระตะนัง ปะณีตัง
นะ โน สะมัง อัตถิ ตะถาคะเตนะ
อิทัมปิ พุเธ ระตะนัง ปะณีตัง
เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ ฯ
ขะยัง วิราคัง อะมะตัง ปะณีตัง
ยะทัชฌะคา สักยะมุนี สะมาหิโต
นะ เตนะ ธัมเมนะ สะมัตถิ กิญจิ
อิทัมปิ ธัมเม ระตะนัง ปะณีตัง
เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ ฯ
ยัมพุทธะเสฏโฐ ปะริวัณณะยี สุจิง
สะมาธิมานันตะริกัญญะมาหุ
สะมาธินา เตนะ สะโม นะ วิชชะติ
อิทัมปิ ธัมเม ระตะนัง ปะณีตัง
เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ ฯ
เย ปุคคะลา อัฏฐะ สะตัง ปะสัฏฐา
จัตตาริ เอตานิ ยุคานิ โหนติ
เต ทักขิเณยยา สุคะตัสสะ สาวะกา
เอเตสุ ทินนานิ มะหัปผะลานิ
อิทัมปิ สังเฆ ระตะนัง ปะณีตัง
เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหนตุ ฯ
เย สุปปะยุตตา มะนะสา ทัฬเหนะ
นิกกามิโน โคตะมะสาสะนัมหิ
เต ปัตติปัตตา อะมะตัง วิคัยหะ
ลัทธา มุธา นิพพุติง ภุญชะมานา
อิทัมปิ สังเฆ ระตะนัง ปะณีตัง
เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ ฯ
ยะถินทะขีโล ปะฐะวิง สิโต สิยา
จะตุพภิ วาเตภิ อะสัมปะกัมปิโย
ตะถูปะมัง สัปปุริสัง วะทามิ
โย อะริยะสัจจานิ อะเวจจะ ปัสสะติ
อิทัมปิ สังเฆ ระตะนัง ปะณีตัง
เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ ฯ
เย อะริยะสัจจานิ วิภาวะยันติ
คัมภีระปัญเญนะ สุเทสิตานิ
กิญจาปิ เต โหนติ ภุสัปปะมัตตา
นะ เต ภะวัง อัฏฐะมะมาทิยันติ
อิทัมปิ สังเฆ ระตะนัง ปะณีตัง
เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ ฯ
สะหาวัสสะ ทัสสะนะสัมปะทายะ
ตยัสสุ ธัมมา ชะหิตา ภะวันติ
สักกายะทิฏฐิ วิจิกิจฉิตัญจะ
สีลัพพะตัง วาปิ ยะทัตถิ กิญจิ
จะตูหะปาเยหิ จะ วิปปะมุตโต
ฉะ จาภิฐานานิ อะภัพโพ กาตุง
อิทัมปิ สังเฆ ระตะนัง ปะณีตัง
เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ ฯ
กิญจาปิ โส กัมมัง กะโรติ ปาปะกัง
กาเยนะ วาจายุทะ เจตะสา วา
อะภัพโพ โส ตัสสะ ปะฏิจฉะทายะ
อะภัพพะตา ทิฏฐะปะทัสสะ วุตตา
อิทัมปิ สังเฆ ระตะนัง ปะณีตัง
เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ ฯ
วะนัปปะคุมเพ ยะถา ผุสสิตัคเค
คิมหานะมาเส ปะฐะมัสมิง คิมเห
ตะถูปะมัง ธัมมะวะรัง อะเทสะยิ
นิพพานะคามิง ปะระมัง หิตายะ
อิทัมปิ พุทเธ ระตะนัง ปะณีตัง
เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ ฯ
วะโร วะรัญญู วะระโท วะราหะโร
อะนุตตะโร ธัมมะวะรัง อะเทสะยิ
อิทัมปิ พุทเธ ระตะนัง ปะณีตัง
เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ ฯ
ขีณัง ปุราณัง นะวัง นัตถิ สัมภะวัง
วิรัตตะจิตตายะติเก ภะวัสมิง
เต ขีณะพีชา อะวิรุฬหิฉันทา
นิพพันติ ธีรา ยะถายัมปะทีโป
อิทัมปิ สังเฆ ระตะนัง ปะณีตัง
เอเตนะ สัจเจนะ สุวัตถิ โหตุ ฯ
ยานีธะ ภูตานิ สะมาคะตานิ
ภุมมานิ วา ยานิวะ อันตะลิกเข
ตะถาคะตัง เทวะมะนุสสะปูชิตัง
พุทธัง นะมัสสามะ สุวัตถิ โหตุ ฯ
ยานีธะ ภูตานิ สะมาคะตานิ
ภุมมานิ วา ยานิวะ อันตะลิกเข
ตะถาคะตัง เทวะมะนุสสะปูชิตัง
ธัมมัง นะมัสสามะ สุวัตถิ โหตุ ฯ
ยานีธะ ภูตานิ สะมาคะตานิ
ภุมมานิ วา ยานิวะ อันตะลิกเข
ตะถาคะตัง เทวะมะนุสสะปูชิตัง
สังฆัง นะมัสสามะ สุวัตถิ โหตุ ฯ
ธรรมดาแล้วผมจะต้องสวดคาถาขันธปริตร ต่อ แต่วันนี้เนื่องจากว่าเวลามีน้อย ผมคิดว่าผมเอามาที่บทที่คิดว่าสำคัญมาก แล้วก็บทนี้ไม่ค่อยมีใครสวด พระสงฆ์ไม่ค่อยมีใครรู้จัก บทนี้ผมได้มาจากพระทางพม่า พม่าใช้สวดมาก ก็คือพระธารณะปริตร
พุทธานัง ชีวิตัสสะ นะ สักกา เกนะจิ, อันตราโย กาตุง ตถา เม โหตุ
อตีตังเส พุทธัสสะ ภควโต อัปปฏิหะตัง ญานัง,
อนาคะตังเส พุทธัสสะ ภควโต อัปปฏิหะตัง ญานัง,
ปัจจุปปันนังเส พุทธัสสะ ภควโต อัปปฏิหะตัง ญานัง
อิเมหิ ตีหิ ธัมเมหิ สะมันนาคะตัสสะ พุทธัสสะ ภควโต
สัพพัง กายะกัมมัง ญาณะปุพพังคะมัง ญาณานุปริวัตตัง,
สัพพัง วจีกัมมัง ญาณะปุพพังคะมัง ญาณานุปริวัตตัง,
สัพพัง มโนกัมมัง ญาณะปุพพังคะมัง ญาณานุปริวัตตัง,
อิเมหิ ฉะหิ ธัมเมหิ สะมันนาคะตัสสะ พุทธัสสะ ภควโต
นัตถิ ฉันทัสสะ หานิ
นัตถิ ธัมมะเทสะนายะ หานิ
นัตถิ วีริยัสสะ หานิ
นัตถิ วิปัสสะนายะ หานิ
นัตถิ สมาธิสสะ หานิ
นัตถิ วิมุตติยา หานิ
อิเมหิ ทวาทะสะหิ ธัมเมหิ สะมันนาคะตัสสะ พุทธัสสะ ภควโต
นัตถิ ทวา, นัตถิ รวา
นัตถิ อัปผุตัง
นัตถิ อัพยาวะฏะมโน,
นัตถิ อัปปฏิสังขานุเปกขา
อิเมหิ อัฏฐาระสะหิ ธัมเมหิ สะมันนาคะตัสสะ
พุทธัสสะ ภควโต นโม สัตตันนัง สัมมาสัมพุทธานัง
นัตถิ ตถาคะตัสสะ กายะทุจจะริตัง,
นัตถิ ตถาคะตัสสะ วจีทุจจะริตัง,
นัตถิ ตถาคะตัสสะ มโนทุจจะริตัง,
นัตถิ อตีตังเส พุทธัสสะ ภควโต ปฏิหะตัง ญาณัง,
นัตถิ อนาคะตังเส พุทธัสสะ ภควโต ปฏิหะตัง ญาณัง,
นัตถิ ปัจจุปปันนังเส พุทธัสสะ ภควโต ปฏิหะตัง ญาณัง,
นัตถิ สัพพัง กายะกัมมัง ญาณาปุพพังคมัง ญานัง นานุปริวัตตัง,
นัตถิ สัพพัง วจีกัมมัง ญาณาปุพพังคมัง ญานัง นานุปริวัตตัง,
นัตถิ สัพพัง มโนกัมมัง ญาณาปุพพังคมัง ญานัง นานุปริวัตตัง,
อิมัง ธาระนัง อะมิตัง อะสะมัง,
สัพพะสัตตานัง ตาณัง เลณัง,
สังสาระภยะภีตานัง อัคคัง มหาเตชัง.
อิมัง อานันทะ ธารณะปริตตัง,
ธาเรหิ วาเจหิ ปริปุจฉาหิ,
ตัสสะ กาเย วิสัง นะ กเมยยะ อุทะเก นะ ลัคเคยยะ
อัคคิ นะ ฑเหยยะ, นานาภยะวิโก,
นะ เอกาหาระโก, นะ ทวิหาระโก, นะ ติหาระโก,
นะ จตุหาระโก,
นะ อุมมัตตะกัง, นะ มูฬหะกัง,
มนุสเสหิ อะมนุสเสหิ นะ หิงสะกา
ตัง ธารณะปริตตัง ยะถา กตะมัง
ชาโล, มหาชาโล
ชาลิตเต, มหาชาลิตเต
ปุคเค, มหาปุคเค
สัมปัตเต, มหาสัมปัตเต,
ภูตังคัมหิ ตะมังคะลัง,
อิมัง โข ปนานันทะ ธารณะปริตตัง สัตตะสัตตะติ สัมมาสัมพุทธะโกฏีหิ ภาสิตัง,
วัตเต, อะวัตเต, คันธะเว, อะคันธะเว,
โนเม, อะโนเม, เสเว, อะเสเว,
กาเย, อะกาเย, ธาระเณ, อะธาระเณ,
อิลลิ, มิลลิ, ติลลิ, มิลลิ,
โยรุกเข, มหาโยรุกเข,
ภูตังคัมหิ, ตะมังคะลัง,
อิมัง โข ปนานันทะ ธารณะปริตตัง นวะนวุติยา สัมมาสัมพุทธะโกฏีหิ ภาสิตัง,
ทิฏฐิลา, ทัณฑิลา,
มันติลา, โรคิลา,
ขะระลา, ทุพภิลา,
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ
โสตถิ เม โหตุ สัพพะทา.
ยังมีอีกหลายคาถา แต่วันนี้ผมคงจะไม่สวดให้หมด ผมคิดว่าเอาสุดท้าย พาหุง แล้วก็ชัยยะมังคะละคาถา
พาหุง สะหัสสะมะภินิมมิตะสาวุธันตัง
ครีเมขะลัง อุทิตะโฆระสะเสนะมารัง
ทานาทิธัมมะวิธินา ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคลานิฯ
มาราติเรกะมะภิยุชฌิตะสัพพะรัตติง
โฆรัมปะนาฬะวะกะมักขะมะถัทธะยักขัง
ขันตีสุทันตะวิธินา ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิฯ
นาฬาคิริง คะชะวะรัง อะติมัตตะภูตัง
ทาวัคคิจักกะมะสะนีวะ สุทารุณันตัง
เมตตัมพุเสกะวิธินา ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิฯ
อุกขิตตะขัคคคะมะติหัตถะสุทารุณันตัง
ธาวันติโยชะนะปะถังคุลิมาละวันตัง
อิทธีภิสังขะตะมะโน ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิฯ
กัตวานะ กัฏฐะมุทะรัง อิวะ คัพภินียา
จิญจายะ ทุฎฐะวะจะนัง ชะนะกายะมัชเฌ
สันเตนะ โสมะวิธินา ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิฯ
สัจจัง วิหายะ มะติสัจจะกะวาทะเกตุง
วาทาภิโรปิตะมะนัง อะติอันธะภูตัง
ปัญญาปะทีปะชะลิโต ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิฯ
นันโทปะนันทะภุชะคัง วิพุธัง มะหิทธิง
ปุตเตนะ เถระภุชะเคนะ ทะมาปะยันโต
อิทธูปะเทสะวิธีนา ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิฯ
ทุคคาหะทิฏฐิภุชะเคนะ สุทัฏฐะหัตถัง
พรัหมัง วิสุทธิชุติมิทะพะกาภิธานัง
ญาณาคะเทนะ วิธินา ชิตะวา มุนินโท
ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ
เอตาปิ พุทธะชะยะมังคะละอัฏฐะคาถา
โย วาจะโน ทินะทิเน สะระเต มะตันที
หิตวานะเนกะวิวิธานิ จุปัททะวานิ
โมกขัง สุขัง อะธิคะมยยะ นะโร สะปัญโญ ฯ
มหาการุณิโก นาโถ หิตายะ สัพพะปาณินัง ปูเรตวา
ปาระมี สัพพา ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ
โหตุ เต ชะยะมังคะลังฯ
ชะยันโต โพธิยา มูเล สักยานัง
นันทิวัฑฒะโน เอวัง ตะวัง วิชะโย โหหิ ชะยัสสุ ชะยะมังคะเล
อะปะราชิตะปัลลังเก สีเส ปะฐะวิโปกขะเร อะภิเสเก สัพพะ
พุทธานัง อัคคัปปัตโต ปะโมทะติฯ สุนักขัตตัง สุมังคะลัง
สุปะภาตัง สุหุฏฐิตัง สุขะโณ สุมุหุตโต จะ สุยิฏฐัง พรัหมะ
จารีสุ ปะทักขิณัง กายะกัมมัง วาจากัมมัง ปะทักขิณัง ปะทักขิณัง
มโนกัมมัง ปะณิธี เต ปะทักขิณา ปะทักขิณานิ กัตวานะ ละภันตัดเถ ปะทักขิเณฯ
ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา
สัพพะพุทธา นุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เต
ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา
สัพพะธัมมา นุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เต
ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา
สัพพะสังฆา นุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เต
ข้าพเจ้าขอตั้งจิตอธิษฐาน ขออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลในการปฏิบัติธรรมสวดมนต์ในวันนี้ ขออุทิศให้กับทุกๆ ท่าน ท่านผู้ชมทั้งหลายที่กำลังดูรายการนี้อยู่ ขอให้มีแต่ความสุขความเจริญ ความเป็นสิริมงคลในชีวิต ขอให้ปีใหม่นี้ 2564 เป็นปีที่สมหวัง สมประสงค์ ขอให้มีพลัง มีพลานุภาพ มีอานุภาพ มีเมตตามหานิยม และมีลาภ และขอให้ชีวิตมีแต่ความสุข ความสว่าง และความสำเร็จในทุกๆ ประการด้วย เทอญ