xs
xsm
sm
md
lg

[คำต่อคำ] ขบวนการ “ปล้น” ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์

เผยแพร่:



“สนธิ”เชื่อนโยบายต่างประเทศสหรัฐยุค “โจ ไบเดน” จะต่างจากยุค “ทรัมป์”ที่อเมริกามาก่อน ไม่สนใจพันธมิตรฯ โดยไบเดนจะใช้วิธีดึงพันธมิตรฯ เข้ามาร่วมมากขึ้นแต่มีสหรัฐฯ เป็นผู้นำ รวมทั้ง NED ที่อยู่เบื้องหลังการประท้วงทั่วโลกจะมีบทบาทมากขึ้น ส่วนการเชือดเฉือนกับจีนจะยังเหมือนเดิม เพราะทรัมป์ขีดเส้นไว้ให้แล้ว รวมทั้งสหรัฐฯ ต้องหยุดการขยายอิทธิพลของจีน ตามที่ไบเดนพูดว่าจะไม่ให้จีนเป็นผู้กำหนดกติกาการค้าโลก ตั้งคำถามมาตรฐานบีบีซียกให้ “รุ้ง ปนัสยา” เป็น 1 ใน 100 ผู้หญิงที่สร้างแรงบันดาล ทั้งที่เป็นบุคคลในความขัดแย้ง และมีพฤติกรรมก้าวร้าว จาบจ้วงสถาบัน พร้อมเล่าความเป็นมาสำนักทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ เดิมคืนเงินถุงแดงที่พระมหากษัตริย์ในอดีตได้มาจากการค้าขายและสะสมไว้ใช้ในยามวิกฤติ จนหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 เมื่อรัชกาลที่ 7 ทรงสละราชสมบัติ คณะราษฎรทูลเชิญรัชกาลที่ 8 ซึ่งยังทรงพระเยาว์ขึ้นครองราชย์ และตั้งคณะผู้สำเร็จราชการ ดำเนินการแทนพระองค์ ถ่ายโอนทรัพย์สินส่วนพระองค์ไปเป็นของบุคคลต่างๆ ที่เป็นสมาชิกของคณะราษฎร ด้วยวิธีการนำที่ดินของตัวเองมาขายให้สำนักงานทรัพย์สินฯ ในราคาแพง ขณะเดียวก็ซื้อที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินไปเป็นของตัวเองในราคาถูก ปัจจุบันทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ได้กลับเข้าไปอยู่ภายใต้การบริหารจัดการของในหลวงรัชกาลที่ 10 ถือเป็นการคืนทรัพย์สินของพระองค์ที่ถูกคณะราษฎรปล้นไป และพระองค์ก็ได้พระราชทานทรัพย์สินนั้นเพื่อประโยชน์ของประชาชนแล้วจำนวนมาก แต่ก็ยังมีคนจำนวนหนึ่งที่เคยทำมาหากินกับสำนักงานทรัพย์สินฯ ทั้งผ่านธนาคารไทยพาณิชย์และเครือซิเมนต์ไทย เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงก็เหมือนถูกตัดท่อน้ำเลี้ยง คนพวกนี้คอยให้ร้ายในหลวงและอยู่เบื้องหลังการประท้วงของม็อบเด็ก

วันที่ 27 พ.ย.63 เวลา 09.00 น. นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ไลฟ์สด “SONDHI TALK” ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ คุยทุกเรื่องกับสนธิ และช่องยูทูป Sondhitalk โดยวันนี้จะมาพูดถึงเรื่องราวกลุ่มราษฎร 2563 เชิดชูเป็นต้นเเบบ แท้จริงเเล้วคณะราษฎร 2475 ทำอะไรไว้บ้าง รวมถึงมาดูความจริงของการปล้นทรัพย์สินพระมหากษัตริย์สมัยนั้นว่าเป็นอย่างไร และเรื่องนโยบายต่างประเทศของอเมริกาในยุค โจ ไบเดน จะแตกต่างจากยุคโดนัลด์ ทรัมป์ อย่างไร และ สี จิ้นผิง จะเดินเกมอย่างไรต่อจากนี้... มาติดตามเรื่องม็อบกลายพันธุ์ เริ่มรุนเเรงขึ้นทุกวัน จุดจบจะเป็นอย่างไร ติดตามได้ใน SONDHI TALK : ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง Ep.61 คณะราษฎรมหาโจร 2475 - ขบวนการ “ปล้น” ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์


คำต่อคำ SONDHI TALK [27 พ.ย. 63] : ขบวนการปล้นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์

วันนี้ผมจะมาบอกให้ฟังว่าช่องทางการติดต่อของ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" หรือ SONDHI TALK ได้ทางไหนบ้าง ทางแรกคือทางเฟซบุ๊ก ให้กด Like หรือกด Follow แล้วกดติดตาม แล้วเลือก See First ไปเลยในเพจ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" เมื่อชมแล้วก็ช่วยกันแชร์ออกไปมากๆ เพื่อให้บางคนที่ยังไม่ได้อยู่ดูได้ความรู้กับสิ่งที่ผมพูด แล้วเดี๋ยวนี้เราก็ไลฟ์สดผ่านยูทูปเช่นกัน ให้เข้าไปใน YouTube ค้นหาคำว่า SONDHI TALK กด Subscribe เอาไว้ เปรียบเสมือนห้องสมุดเคลื่อนที่ รวบรวมทุกอย่างตั้งแต่รายการในอดีต "มองโลก มองเรา กับสนธิ" "บันทึกลับบ้านพระอาทิตย์" จนมาถึงรายการ "SONDHI TALK"

สำหรับแฟนรายการคนไหนอยากดูเนื้อหา ตลอดจนการถอดคำพูดเป็น text ก็ให้เข้าไปที่ www.sondhitalk.com เพราะจะรวมไว้ในเว็บไซต์โดยแยกเป็นแต่ละหมวดหมู่ครบทุกเรื่องทีเดียวครับ

สุดท้าย สำหรับท่านผู้ชมที่ไม่อยากเห็นหน้าผม แต่อยากฟังเสียงผม อยากฟังเรื่องราวที่ผมพูด ก็เข้ามาฟังที่ podcast ถ้าท่านที่ใช้ iPhone - iOS ก็เข้าไปที่แอปฯ podcast เมื่อกดเข้าไปแล้วก็ search คำว่า SONDHI TALK ก็จะมีให้ทุกรายการ ส่วนท่านผู้ชมที่ใช้โทรศัพท์ระบบ android ก็กดเข้าไปเหมือนกัน แต่จะมีคำว่า Podbean แล้วก็กดเข้าไป










สวัสดีครับท่านผู้ชม วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563 ก็เหมือนเช่นเดิมนะครับ ทุกๆ วันศุกร์ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" และผม สนธิ ลิ้มทองกุล มาเจอกัน เราจะพูดกันทุกๆ เรื่อง และเรื่องที่น่าสนใจ และเรื่องที่ท่านผู้ชมควรที่จะได้รับรู้จากผม

ศุกร์นี้จะมีหลายเรื่องที่ผมจะต้องพูด เพราะว่ามีเรื่องราวต่างๆ ที่มีความสำคัญมาก แต่ก่อนจะพูดเรื่องวันนี้ ขอย้อนกลับมาในเรื่องของเหตุการณ์เมื่อวันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน

วันที่ 24 พฤศจิกายน มีคนที่ใช้วาจาหยาบคายเขียนมาคอมเมนต์ผม ทั้งหมด 5 คน และก็เข้ามาติดต่อทนายความ หลังจากที่ได้ขึ้นศาลแล้ว มาขอขมาผม ทั้งห้าคนนี้ ผมก็เอาคำพูดที่ผมพูดสั่งสอนพวกเขาลงในคลิป ในเพจ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" แล้วคนที่เข้ามาดูในเพจนี้ก็ร่วม 3 ล้านคนแล้ว แต่ละคนก็มีความเห็นต่างๆ นานา แต่โดยหลักๆ แล้วก็คือตำหนิติเตียนคนที่เข้ามาขอขมา

ท่านผู้ชมครับ ผมมีเรื่องที่จะต้องพูดในเรื่องของคอมเมนต์ ผมทำรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" หลักๆ ก็คือเป็นการเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ท่านผู้ชมที่ไม่เคยรู้เรื่องต่างๆ เหล่านี้ หรือว่ารู้แล้ว แต่ยังไม่ลึกซึ้งนัก ผมพยายามใช้องค์ความรู้ของผมที่มีผมมีอยู่ ตั้งแต่หนุ่มแน่น อ่านหนังสือ พบปะผู้คน พิจารณาเรื่องราวต่างๆ ใช้หลักคิดที่ผมมีกรอบความคิดและวิธีการความคิดของผม และเล่าเหตุการณ์ต่างๆ ให้ฟัง ผมถึงตั้งฉายาตัวผมเองว่าเป็น "ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง"

ทีนี้ การเล่าเรื่อง มันก็มีเรื่องในอดีต เรื่องในปัจจุบัน และบางเรื่องผมก็ทำนายถึงอนาคตจากประสบการณ์ที่ผมมีอยู่ มันก็เลยทำให้ความหลากหลายของรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" นั้น มันมีมากมาย และหลายเรื่องมันไม่ได้จบแค่เรื่องๆ เดียว หรือคนๆ เดียว บางครั้งเรื่องบางเรื่องมันโยงถึงเครือข่ายต่างๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งท่านผู้ชมหลายท่าน เป็นส่วนใหญ่ จะคิดไม่ถึงว่ามันมีเครือข่ายเช่นนี้ด้วยหรือ ผมก็มีหน้าที่จะอธิบายถึงเครือข่าย

ทั้งหมดที่ผมพูดให้ท่านผู้ชมฟังนี้ ก็คือว่า ผมเป็นคนพยายามเอาความรู้มาให้ ถามว่ามีข้อผิดพลาดบ้างไหม ? มีครับ แต่ว่าไม่ใช่เป็นข้อผิดพลาดหลัก บางที พ.ศ.ผิดบ้าง ยุคสมัยผิดบ้าง เพราะว่าบางทีการพูดการจานั้นมันต้องใช้สมาธิและใช้ความจำ ตลอดจนใช้ประสบการณ์ในชีวิต ในการที่เราพูดออกมานั้น เราก็เปิดโอกาสให้ท่านผู้ชมหรือประชาชนที่เข้ามาชมรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ได้แสดงความคิดเห็นออกมา การแสดงความคิดเห็นนั้นก็เป็นสิทธิที่ผมจะอนุญาต เพราะว่าเป็นหน้าเพจของผม ผมอนุญาตให้แสดงความคิดเห็นได้

ในการแสดงความคิดเห็นนั้น ผมได้พบปะคนอยู่ 3 ประเภท ในการแสดงความคิดเห็น ประเภทแรก รับไม่ได้กับข้อความหรือคำพูดที่ผมพูด เพราะว่าคำพูดที่ผมพูดนั้น ไปกระทบกับความเชื่อของเขาในตัวบุคคลบางท่าน อย่างเช่น บางคนยังเชื่อและยังรักคุณทักษิณ ชินวัตร อยู่ ผมไม่ว่าอะไรกันทั้งสิ้น หรือบางเรื่องที่ผมพูดไปนั้น เขาก็มีเพื่อนฝูงของเขาอยู่ตรงนั้น ผมก็ไม่ว่าอะไร แต่ประเด็นของคนที่โดนกระทบในเรื่องความคิด ว่า เฮ้ย! มาว่าคนที่ฉันรักได้อย่างไร หรือว่ามีอคติเป็นส่วนตัวมาตั้งนมตั้งนานแล้ว บางคนอาจจะเป็นกลุ่มเสื้อแดงตั้งแต่ตั้งต้น พอผมพูดเรื่องบางเรื่อง ทนผมไม่ไหว กลุ่มคนพวกนี้จะใช้ชุดภาษาคล้ายๆ กัน เช่น "มึงก็ดีแต่โม้" สอง "ไม่มีอะไรจะพูดแล้วหรือ ไม่มีใครเขาฟังมึงแล้ว สมัยนี้" สาม "เหม็นขี้ฟัน กลับบ้านไปเลี้ยงลูกเลี้ยงหลานเถอะ" กลุ่มคนพวกนี้เป็นกลุ่มที่ไม่รู้จะเอาอะไรมาเถียง ไม่สามารถออกความเห็นได้ เพียงแต่หมั่นไส้และเหม็นขี้หน้าผม ก็เลยแสดงความคิดเห็นออกไป ผมไม่ว่าอะไรทั้งสิ้น (มึงสบายดีหรือ ? ดูท่าทางมึงจะไม่สบายนะ ไม่มีใครฟังมึงแล้วสมัยนี้ มึงพูดออกไปทำไม" ผมเฉยๆ ไม่ว่าอะไร










แต่กลุ่มอีกสองกลุ่มที่เกิดขึ้นตามมา ก็เป็นกลุ่มที่เริ่มใช้คำหยาบคาย เหมือนอย่างที่ให้ของลับผม (ขอประทานโทษนะครับ) "มึงกลับบ้านไปเลีย hee เมียมึงซะ" ขอโทษที่ต้องพูด เพราะนี่เป็นคำพูดที่เขาเขียนโพสต์ออกมา หรือ "มึง ไอ้ขี้โกง มึงโกงเงินธนาคาร มึงติดคุกแล้วมึงยังมีหน้ามาพูดอีก" คนพวกนี้เป็นคนพวกที่หยาบคาย สถุล ไม่มีสกุลรุนชาติ หลายต่อหลายคน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของโกงธนาคาร ซึ่งผมฟ้องไปแล้วทุกคน มาขอขมาผมหมด เพราะผมถามว่า คุณว่าผมโกงธนาคาร คุณเอาข้อมูลมาจากไหน ที่ผมเข้าเรือนจำผมไม่ได้ผิดข้อหาฉ้อโกงธนาคาร แต่ผมผิดข้อหา ผิดพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ ระหว่างผิดพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ กับฉ้อโกงธนาคาร มันคนละเรื่องกัน เพราะฉะนั้นแล้ว เขากล่าวคำหมิ่นประมาทถึงผม คดีนี้ก็เลยต้องขึ้นศาลอาญา ขอขมาผมหมดทุกคน จนกระทั่งเดือนธันวาคมนี้ ก็มีอีกคดีหนึ่งที่กล่าวหาผมในทำนองนี้เช่นกัน

นอกจากนั้นแล้ว ก็เป็นประเภทที่ ไม่ยอมใส่คำว่า "ไม่มีใครเชื่อมึงแล้ว" แต่ออกอาการ ออกอาวุธที่หยาบคายมาก ให้ของลับผม ด่าโคตรพ่อโคตรแม่ผม คนพวกนี้คือคนประเภทที่ผมจำเป็นต้องดำเนินคดี เพื่อเป็นตัวอย่าง ท่านผู้ชมคงจำได้ว่าเพจ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" เป็นเพจแรกในประเทศไทย ผมกล้าพูด ที่ตัดสินใจจัดการกับพวกเกรียนคีย์บอร์ดทั้งหลาย ที่ใช้คำหยาบคาย ถ้าพูดลอยๆ ว่าไม่มีใครเขาเชื่อมึงแล้ว ผมยังเฉยๆ บางคนเรียกผมว่า "ไอ้ส้นตีน" ผมก็ยังเฉยๆ แต่ถ้าลงมาถึงขั้นให้ของลับแล้ว ผมเฉยไม่ได้

ทีนี้ ผมให้อภัยคนมาตลอด เหมือนกับคลิปที่ผมให้ดูคราวนี้ ปรากฏว่าคนที่มาว่าผมนี่ พวกหาเช้ากินค่ำทั้งนั้น บางคนเป็นวินมอเตอร์ไซค์ บางคนรับจ้างซักรีด บางคนทำสวน บางคนไม่มีอาชีพ บางคนตกงาน แต่เกิดอารมณ์ บางคนบอกว่ากินเหล้าเมายาแล้วมีอารมณ์ขึ้นมา ไม่ได้ตั้งใจ เอาล่ะ ไม่เป็นไร ผมให้อภัยครั้งนี้

ประเภทที่สาม ประเภทสุดท้าย ก็คือประเภทที่ไม่เห็นด้วยกับผม แต่ใช้คำพูดที่สุภาพ "คุณสนธิ ข้อมูลที่คุณพูดนั้น ...." ไม่เป็นไร ว่ากันมา ผมยอมรับได้ เหมือนล่าสุดมีคนเขียนมา กล่าวหาว่า "คุณสนธิ คุณไปว่าบีบีซีไทย เขาเลือกข้าง ก็คุณเองพูดไม่ใช่หรือว่าสื่อเดี๋ยวนี้เลือกข้างทุกคน เพราะฉะนั้นบีบีซีเขาเลือกข้าง แล้วเขาผิดตรงไหน" ท่านผู้ชมครับ ผมขี้เกียจที่จะไปโต้เถียง แต่ผมต้องอธิบายให้ฟัง อธิบายให้ฟัง คนที่เขียนอย่างสุภาพมาหาผม เป็นสุภาพบุรุษ ผมขอบคุณในคำพูดที่สุภาพ แต่ประเด็นมันอยู่ที่ว่า คุณจับประเด็นผิด คุณฟังไม่ได้ศัพท์ จับไม่ได้กระเดียด คุณไม่ได้ฟังทั้งโปรแกรม แล้วคุณวิเคราะห์ตามที่ผมพูด ผมบอกว่า บีบีซีไทย มันเป็นเพจข่าวที่อ้างว่าตัวเองเป็นกลาง เป็นมืออาชีพ ตรงนี้ต่างหากที่ผมจับขึ้นมาชูว่า ถ้าคุณเป็นกลาง และคุณมีความเป็นมืออาชีพ คุณย่อมไม่เข้าข้างแบบนี้ เพราะฉะนั้นแล้ว คุณคือสื่อเข้าข้าง ประเด็นก็คือว่า คุณทะลึ่งมาอวดอุตริ อวดอ้าง อวดโอ่ โอหังมมังการว่าคุณเป็นสื่อมืออาชีพ แต่การกระทำของไม่มืออาชีพ ตรงนี้ต่างหากที่ผมชี้ให้ดู แล้ววันนี้ก็ชัดเจนแล้วว่า บีบีซีไทย เป็นสื่อเลือกข้างเช่นกัน เพราะฉะนั้นแล้ว ผมก็เลยเอ่ยในคำพูดของผม หรือทุกวันนี้ผมก็เตือนไปว่า บีบีซีไทย อย่ามาอ้างว่าตัวเองเป็นกลาง หรือเป็นมืออาชีพ

ทั้งหมดนี้คือคน 3 ประเภทที่เข้ามาคอมเมนต์ ซึ่งผมก็เตือนไปแล้ว ถามว่าผมดูเว็บไซต์ บีบีซีไทย ไหม ? ตอบว่าไม่ดู ทำไมผมไม่ดู ? เพราะผมรู้ว่าเขาเลือกข้าง และเขาเลือกข้างอย่างชนิดหน้าด้านๆ ผมไม่เสียเวลาไปดู ฉันใดฉันนั้น ท่านผู้ชมที่ฟังเรื่องนี้แล้วไม่ใช่พวกผม เกลียดผม ถ้าท่านไม่ชอบผม ท่านเข้ามาดูทำไม เสียเวลา หนักสมอง หรือท่านต้องการเข้ามาดูแล้วก็พิมพ์ด่าผม ท่านผู้ชมครับ ผมบอกไว้แล้วว่า ชุดนี้จะเป็นชุดสุดท้ายที่ผมให้อภัย เข้ามาขอขมา จากนี้ไปไม่ต้องติดต่อเข้ามาขอขมา ผมจะให้ศาลพิพากษาไปเลย ออกมาอย่างไร ก็อย่างนั้น ถ้าผมไม่พอใจคำพิพากษา เพราะว่ายังรอลงอาญาอยู่ ผมต้องการให้ติดคุก ผมจะอุทธรณ์ ผมจะฎีกาไปเรื่อยๆ ผมจะลากคุณขึ้นศาล 5-6 ปี จนถึงฎีกา คุณรอรับเอาไว้ก็แล้วกัน ชีวิตคุณไม่มีความสุขอย่างแน่นอน ผมไม่ให้อภัยใครอีกต่อไปแล้ว

เพราะฉะนั้น ท่านผู้ชมครับ มีหลายท่านที่เข้ามาประจำ แล้วรู้ว่าผมเอาจริง ก็ระวังตัว แต่หลายท่านทะเล่อทะล่าเซ่อซ่ามาจากไหนก็ไม่รู้ แล้วเข้ามาแสดงความเป็นเกรียนคีย์บอร์ด เพราะฉะนั้นแล้ว จำเป็นที่จะต้องจัดมาตรฐาน จัดระเบียบของการออกความเห็น และผมก็ดีใจที่หลายๆ คนก็เลียนแบบผม ไม่ว่าจะเป็นคุณแมท ก็ตัดสินใจฟ้อง สมัยก่อนไม่มีใครกล้าฟ้อง พอผมทำให้เป็นตัวอย่าง ตอนนี้ก็เลยฟ้องกันใหญ่ ผมกังวลว่าศาลจะปวดหัวกับเรื่องพวกนี้ และผมเชื่อว่าจะต้องถึงวันๆ หนึ่ง ในเวลาไม่นานนี้ ศาลอาจจะพิจารณาตั้งศาลพิเศษเฉพาะคดีพวกนี้ เพื่อพิจารณาคดีพวกนี้ เพราะคดีพวกนี้เป็นคดีหมิ่นประมาท คดีพูดจาคำหยาบคาย โทษอย่างมากที่สุดก็คือลงโทษจำคุก 3 เดือน แต่โทษให้รอลงอาญา แต่คำถามว่า จะรออาญาหรือเปล่า ? ผมในฐานะผู้เสียหาย อาจจะไม่ยอม แต่ท่านผู้ชมครับ ผมไม่ได้ฟ้องเฉพาะคำฟ้องในเรื่องการหมิ่นประมาท ผมฟ้องเรียกสินไหมด้วย หมายความว่า ถ้าผมเรียกสินไหม ถ้าเป็นศาลแขวง สินไหมผมเรียกไม่เกิน 3 แสนบาท ทำให้ผมเสียหาย พร้อมกับคดีอาญา ถ้าเป็นศาลอาญา สินไหมผมเรียกไม่เกิน 5 แสนบาท แต่ผมต้องวางเงินมัดจำไว้ ผมไม่ขัดข้องในการวางเงิน ผมพร้อมจะวางเงิน แต่ถ้าคุณแพ้คดีผม สิ่งที่คุณต้องทำ 2 อย่าง อย่างแรก ในคำฟ้องนั้นผมระบุเลยว่า คุณต้องลงโฆษณา ถ้าคุณสารภาพผิดนะ คุณต้องลงโฆษณา และผมไม่ให้ลงที่ไหน ลงในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ลงในผู้จัดการสุดสัปดาห์ ลงในเว็บไซต์ ผมคิดว่าค่าโฆษณาอย่างเดียว 3 แห่ง คุณต้องเสียประมาณแสนกว่าบาท คุณมีเงิน คุณก็เตรียมตัวมาเสีย คุณไม่มีเงิน คุณก็ไปกู้เงินกู้ทองมาจ่ายก็แล้วกัน เพราะถ้าคุณไม่ลง คุณต้องติดคุก










ท่านผู้ชม ผมเตือนเอาไว้แล้วนะครับ ผมเตือนไว้แล้วนะ ถ้าเกิดศาลพิพากษาออกมาว่า ตามที่โจทก์ (คือผม) เรียกค่าสินไหมเป็นเงิน 3 แสนบาท ศาลเห็นว่าจำนวนนั้นมากเกินไป ให้ลดเหลือแค่ 5 หมื่นบาท ท่านผู้ชมครับ ท่านผู้ชมที่คิดจะทะเลาะกับผม อยู่ดีๆ มาเสียเงิน 5 หมื่นบาท เพราะความคึกคะนอง ความทะลึ่ง มันคุ้มหรือไม่คุ้ม ? มีอยู่รายหนึ่ง ผมยืนยัน เป็นข้าราชการกรุงเทพมหานคร ด่าผมในรายการ ผมสัมภาษณ์รายการ "คนในข่าว" กับคุณนพรัฐ พรวนสุข แล้วคอมเมนต์บอกว่า "ไอ้เจ๊กลิ้มหน้า hee มึงแน่จริง มึงฟ้องกูมาสิ กูจะรอรับหมาย" ท่านผู้ชมครับ ถ้าท่านผู้ชมรู้จักไอ้หมอนั่น ให้บอกไอ้หมอนั่น และมันด้วย ว่ามาแล้วของจริง ยื่นฟ้องศาลแล้ว จะมีการไต่สวนเร็วๆ นี้ แล้วรอรับหมาย แล้วไม่ใช่รอรับแค่นี้นะ พอศาลพิพากษา มันผิดแน่นอน อยู่ดีๆ มาเรียกผมว่า ไอ้หน้า hee ได้อย่างไร เพราะฉะนั้นแล้ว ยังไงก็ผิด เมื่อผิดแล้ว ถึงศาลจะรอลงอาญา ผมก็จะทำเรื่องร้องเรียนไปที่ผู้ว่าฯ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ให้ผู้ว่าฯ ลงโทษทางวินัย ทีนี้คุณมึงสนุกไหมล่ะ แล้วไม่ต้องมาเจรจาขอประนีประนอม

ท่านผู้ชมครับ นี่คือเรื่องที่ผมต้องเตือนก่อน และสิ่งที่ผมทำมา เพราะฉะนั้นแล้ว ท่านผู้ชมที่เสียดายที่ผมมัวให้อภัย หมดแล้

ท่านผู้ชมครับ วันนี้ผมมีเรื่องหลายเรื่องที่จะพูดกับท่านผู้ชม เป็นเวลานานแล้วที่เราไม่ได้พูดถึงเรื่องโควิด-19 ผมจะมาอัปเดตให้ท่านผู้ชมฟังว่าโควิด-19 วันนี้ไปถึงไหนแล้ว มีผู้คนล้มหายตายจากไปอย่างไร แล้วที่ไหน ประเทศไหน กำลังหนักหนาสาหัส

ต่อจากนั้นผมจะพูดเรื่องนโยบายต่างประเทศของอเมริกา ในยุคโจ ไบเดน ท่านผู้ชมครับ ผมไม่ค่อยได้พูดถึงการเลือกตั้งของสหรัฐอเมริกา จนกระทั่งวันนี้แล้วค่อนข้างจะ 100 เปอร์เซ็นต์ แล้วว่า โจ ไบเดน ได้เป็นประธานาธิบดีแน่นอน และจากการวิเคราะห์ของผม ตัวบุคคลที่โจ ไบเดน เลือกมา ผมพอจะเห็นลางๆ แล้วว่าทิศทางนโยบายต่างประเทศของโจ ไบเดน จะเป็นอย่างไร และที่สำคัญที่สุด ทีมโจ ไบเดน จะมีผลอย่างไรกับกลุ่มเด็กที่ประท้วงในประเทศไทย NED จะมีบทบาทเหมือนเสือกติดปีกอย่างไร ฟังผมพูดก็แล้วกัน

แล้วเรื่องต่อมาที่เป็นเรื่องที่โจ ไบเดน จะต้องเผชิญ และนโยบายต่างประเทศที่โจ ไบเดน ต้องเผชิญหน้า ก็คือจีน ผมก็เลยจะเล่าให้ฟังแล้ว คราวนี้ โจ ไบเดน ขึ้นมาอย่างนี้ แล้วทิศทางก็คือว่า พร้อมจะเผชิญหน้ากับจีน แล้วจีนตอนนี้เตรียมตัวรับอย่างไรบ้าง ซึ่งผมมีข้อมูลมาพร้อมแล้ว และผมก็ได้วิเคราะห์เรื่องนี้ภายในกับทีมงานของผม อธิบายให้ฟัง ว่าจีนได้เตรียมตัวมานานแล้ว และวันนี้ผมก็จะมาเล่าให้ฟัง รวมไปจนถึงการที่จีนเตรียมตัวที่จะเข้า CPTPP หลังจากจีนได้อยู่เบื้องหลังการก่อตั้ง RCEP ท่านผู้ชมรอฟังต่อไป

เรื่องต่อไป เป็นเรื่องที่ผมพูดครั้งนี้ถือว่าเป็นภาคสอง ท่านผู้ชมจำได้ไหมว่าผมเคยพูดว่า คณะราษฎร 2745 นั้น เป็นคณะราษฎร หรือคณะโจร ? วันนี้เป็นตอนสองครับ เป็นความจริงของการปล้นทรัพย์สินของพระมหากษัตริย์ และก็เป็นเรื่องที่มีหลักฐาน มีข้อพิสูจน์ให้เห็นชัดเจน ที่น่าสนใจที่สุด คณะราษฎร ในปี 2475 จนถึง 2485 สิบปี ใช้อำนาจที่ตัวเองล้มกษัตริย์ แล้วก็ใช้อำนาจที่ตัวเองมีอยู่นั้น ผ่องถ่าย ซื้อทรัพย์สินของกษัตริย์มา ในราคาถูก เอาทรัพย์สินของตัวเองขายคืนให้พระคลังข้างที่ในราคาแพง อย่างเช่น ที่ดิน ไร่ละ 15 บาท ขายให้ 35 บาท แพงไป 150 เปอร์เซ็นต์ แต่ในขณะเดียวกัน ท่านผู้ชมตามผมมาในรายการตอนท้ายๆ พฤติกรรมคณะราษฎร 2475 กับพฤติกรรมที่เกิดขึ้นกับทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ก่อนที่รัชกาลที่ 10 พระองค์ท่านจะเข้ามาครองราชย์ ลักษณะเหมือนกันครับท่านผู้ชม ก็คือ ลักเล็กขโมยน้อยในบางกรณีกับทรัพย์สินของกษัตริย์ บางครั้งก็คือปล้นสะดมเลย ในนามของคณะผู้ทำงานของทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ติดตามผมมาก็แล้วกัน

รวมไปจนถึงการที่ม็อบจะไปที่สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ แล้วย้ายจากตรงนี้ไปที่ธนาคารไทยพาณิชย์ ทำไมต้องเป็นธนาคารไทยพาณิชย์ ? เดี๋ยวเรามาตามกัน










ท่านผู้ชมครับ สถานการณ์โควิด-19 ทั่วโลก เอาเป็นทั่วโลกก่อนนะครับ แล้วเราค่อยเจาะลงไปในประเทศที่ใหญ่ๆ ตอนนี้มีคนติดเชื้อทั่วโลกทะลุ 60 ล้านคนแล้ว ไม่ใช่เรื่องเล็กแล้วนะครับ เพราะฉะนั้นแล้ว โควิด-19 ก็เข้าไปสู่ยุคของการระบาดทั่วโลกไปเรียบร้อยแล้ว เป็นโรคระบาดของโลก คล้ายๆ กับไข้หวัดสเปนเมื่อประมาณเกือบร้อยปีที่แล้ว หรือร้อยกว่าปีที่แล้ว ที่มีคนติดเชื้ออย่างมากมายมหาศาล ยอดเสียชีวิตของคนทั่วโลก 1.4 ล้านคน ดูแล้วก็ไม่ได้น่ากลัวอะไรนัก เพราะว่าคนในโลกนี้มีประมาณ 7 พันล้านคน 1.4 ล้านคน มัน 0.0.. เท่าไร ไม่รู้ แต่แชมป์ที่ติดโควิด-19 ก็ยังคงเป็นอเมริกาเหมือนเดิม เหมือนกับว่าจะตอกย้ำ ยืนยันในคำว่า America first ของโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งกำลังจะเป็นอดีตประธานาธิบดีแล้ว หลังวันที่ 20 มกราคม

อเมริกามีคนติดเชื้อโควิด-19 แล้ว 13 ล้านคน เสียชีวิตไปแล้ว 260,000 กว่าคน รองลงมา คือ อินเดีย อินเดียมีประชากร 1,300 ล้านคน มีคนติดเชื้อ 9 ล้านกว่าคน เฉียด 10 ล้านแล้ว แล้วก็เสียชีวิต 130,000 คน หลายคนก็บอกว่า อินเดียมีประชากร 1,300 ล้านคน น่าจะแซงอเมริกาไปแล้ว แต่บางคนเขาก็บอกว่า เนื่องจากว่าภูมิคุ้มกันของคนเอเชียในเรื่องโควิด-19 ค่อนข้างจะดีกว่าคนทางตะวันตก จริงหรือไม่จริงก็ต้องว่ากันไป

อันดับที่ 3 คือ บราซิล บราซิลมีคนติดเชื้อ 6 ล้านคน แต่ยอดตายเยอะ แค่ 6 ล้านคน ตายไป 170,000 อินเดียติดเชื้อ 10 ล้าน มากกว่าบราซิล 4 ล้านคน แต่คนตายแค่ 130,000 เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้ามองถึงอัตราส่วนของคนตายแล้ว บราซิลเป็นประเทศที่น่ากลัวมาก










มันมีข้อคิดอยู่นิดหนึ่งที่น่าสนใจมากๆ คือ ทีมงานของผมเขาเอาตัวเลขมาวิเคราะห์ดู อ่านแล้ว ถ้าคิดให้รอบด้านแล้ว น่ากลัวจริงๆ เพราะว่าการติดเชื้อ ฝีก้าวการติดเชื้อรายใหม่ในอเมริกากำลังน่ากลัว ท่านผู้ชมครับ อเมริกามีคนติดเชื้อเพิ่มจาก 9 ล้านคน เป็น 10 ล้านคน เขาใช้เวลาสิบวัน สิบวัน มีคนติดเชื้อเพิ่มจาก 9 ล้าน เป็น 10 ล้านคน พอจาก 10 ล้านคน เป็น 11 ล้านคน ใช้เวลาน้อยลง แค่ 8 วันเอง แล้วพอจาก 11 ล้านคน เป็น 12 ล้านคน ใช้เวลา 6 วัน แล้วล่าสุด จาก 12 ล้านคน เป็น 13 ล้านคน ใช้เวลาแค่ 5 วัน

ท่านผู้ชมตามผมมา เข้าใจใช่ไหมครับว่า ตอนเพิ่มจำนวนคนติดเชื้อ 9 ล้าน เป็น 10 ล้าน จำนวน 1 ล้าน ใช้เวลา 10 วัน แล้วเพิ่มอีก 1 ล้าน จาก 10 ล้าน เป็น 11 ล้าน ใช้เวลาลดลงเหลือ 8 วัน จาก 11 ล้าน มาเป็น 12 ล้าน หนึ่งล้านคนใช้เวลา 6 วัน จาก 12 ล้าน เป็น 13 ล้าน ใช้เวลา 5 วัน ก็หมายความว่า ถ้าเรานับวันที่เพิ่มจาก 9 ล้าน เป็น 10 ล้าน ใช้เวลา 10 วัน มาจนถึงวันนี้ 10 วันนั้น เหลือแค่ 5 วันแล้ว คือ 5 วันติดเชื้อได้เยอะขนาดนั้น 










ท่านผู้ชมครับ น่ากลัวมาก แล้วโควิดตรงนี้ไม่มีทิศทางที่จะลดน้อยอะไรลงไป แม้กระทั่งมีคนให้ความหวังกับวัคซีนมาก ไม่ว่าจะเป็นของไฟเซอร์ ไม่ว่าจะเป็นของแอสตราเซเนกา ไม่ว่าจะเป็นของเจ้าโน้นเจ้านี้ มันก็ยังไม่ได้แน่นอน เพราะว่าประการแรกที่สำคัญที่สุด ที่คนกลัวมากที่สุด คนกลัวมากที่สุด รวมทั้งผมด้วย คือผมไม่รู้ว่าผลข้างเคียงตอนนี้ เขาบอกผลข้างเคียงไม่มี เพราะเขาทดลองกับคนประมาณ 1 ล้านคน 5 แสนคน 3 แสนคน 2 แสนคน สุดแล้วแต่ แต่หมายความว่าจากนี้ไปอีกหลายปีต่อไปในชีวิตนี้ พวกเราจะกลายซอมบี้หรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะวัคซีนบ้านี่ เพราะว่ามันอาจจะไม่ได้ออกผลทันที แต่พอใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ แล้ว มันมีวัคซีนนี้อยู่ในตัว มันจะเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมในตัวเรา อะไรหรือเปล่า อันนั้นเป็นเรื่องที่ไม่มีใครตอบได้

แต่ที่อเมริกาตอนนี้ ศูนย์ควบคุมการป้องกันโรคของสหรัฐฯ (CDC) เขากลัวมากที่สุด คือเรื่องอะไรรู้ไหม ? เขากลัวจนขนหัวลุกเลยก็คือว่า ในวันที่ 20 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา มีคนอเมริกันเดินทางโดยเครื่องบินกว่า 1 ล้านคน ถือว่าเป็นครั้งที่สองนับตั้งแต่เกิดโควิด วิกฤตโรคระบาด ที่ตัวเลขนักเดินทางเกิน 1 ล้านคน แล้วในขณะนี้ปรากฏว่าพวกผู้ว่ามณฑลต่างๆ หรือว่าคนที่มีอำนาจปกครองในรัฐต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกรีพับลิกันที่เชื่อนายทรัมป์ ตอนนี้เขาเรียกว่าประสาทรับประทานไปแล้ว คือเริ่มกลับมาเอาจริงเอาจังกับการใส่หน้ากาก ห้ามไม่ให้ออกนอกบ้าน เพราะฉะนั้นแล้ว ปัญหาของการควบคุมโควิด-19 ก็ไม่ใช่ว่าจะสะดวกสบายไปตลอดเวลา










ทางด้านยุโรป นายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน ของอังกฤษ เตรียมประกาศยกเลิกมาตรการล็อกดาวน์ทั่วประเทศในวันที่ 2 ธันวาคม ที่กำหนดไว้ แล้วก็เปลี่ยนเป็นการใช้มาตรการจำกัด 3 ขั้น โดยพิจารณาตามเหตุผลต่างๆ ท่านผู้ชมครับ นายเดวิด นาบาร์โร ผู้แทนองค์การอนามัยโลก ออกมาตำหนิว่า ยุโรปจะเผชิญกับการระบาดระลอกสาม ต้นปีหน้า น่ากลัวไหมท่านผู้ชม ? ผ่านไปแล้วระลอกหนึ่ง ระลอกสองกำลังจะจบ กำลังจะเริ่มระลอกสามปีหน้า เขาบอกว่าถ้าภาครัฐ ก็คือประเทศต่างๆ ยังคงล้มเหลวในการใช้มาตรการที่จำเป็นในการสกัดการระบาดเหมือนในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้ไวรัสโคโรนากลับมาระบาดรอบสองในขณะนี้ และในขณะนี้ซึ่งเป็นช่วงฤดูหนาว แล้วโควิด-19 จะแพร่กระจาย ระบาดในช่วงอากาศเย็นได้มีประสิทธิภาพ ประสิทธิผลมากกว่าในช่วงอากาศร้อน

ท่านผู้ชมครับ เตรียมตัวเอาไว้นะครับ เลิกคิดไปได้เลยที่จะไปทัวร์ยุโรป หรือว่าจะไปเรียนต่อที่อังกฤษ หรือเลิกคิดไปเลยที่คนต่างประเทศที่จะบินเข้ามาเมืองไทย มาเที่ยว อย่าไปฝันหวานตอนกลางวัน เหมือนอย่างที่ผมพูดให้ฟังว่า อย่าไปฝันหวานตอนกลางวัน ผมเคยเตือนไว้หลายครั้งแล้ว ท่านผู้ชมจำได้ใช่ไหม ผมเคยพูดเรื่องการบินไทย ผมพูดมาแล้วว่า แผนฟื้นฟูที่การบินไทยทำนั้น อย่าไปฝันหวานว่าเศรษฐกิจจะฟื้นฟูภายในต้นปีหน้า กลางปีหน้า ล่าสุดการบินไทยออกมายอมรับแล้วนี่ ว่าต้องลดคนลงไป 50 เปอร์เซ็นต์ จากเดิมทีลดแค่ 30 กลายเป็น 50 ซึ่งเป็นข้อเสนอของผมตั้งแต่ต้น นอกจากนั้นแล้วผมก็บอกว่า ให้ขายเครื่องบินทิ้งไปซะ เพิ่งจะประกาศขายเครื่องบิน 34 ลำ คำถามก็คือว่า ใครจะซื้อเครื่องบิน ? ท่านผู้ชมครับ นี่คือโควิด

เรื่องบางเรื่องมันแค่เส้นผมบังภูเขา ดึงเส้นผมออกมานิดหนึ่งจะเห็นภูเขาที่ชัดเจน ว่ามันเป็นอย่างนี้ มันก็เป็นอย่างนี้ อิทัปปัจจยตา เพราะมันเป็นเช่นนี้ มันถึงต้องเป็นอย่างนี้ มันมีเหตุอย่างนี้ มันก็เลยมีผลอย่างนี้ เรื่องโควิด ก็มีเพียงแค่นี้

ท่านผู้ชมครับ เราไม่ได้พูดเรื่องต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการเลือกตั้งในสหรัฐอเมริกามานานพอสมควรแล้ว ผมคิดว่าตอนนี้ต้องมาอัปเดตข่าวล่าสุดกันใหม่ แล้วก็มานั่งวิเคราะห์ บางเรื่องผมคิดว่าท่านผู้ชมควรจะรับทราบและรับรู้เอาไว้










ก็อย่างที่เรารู้กันจากข่าวในหนังสือพิมพ์ว่า นายทรัมป์ ไม่ยอมแพ้ และยังไม่ยอมประกาศการพ่ายแพ้ การที่นายทรัมป์ ไม่ยอมประกาศการพ่ายแพ้ ก็เลยทำให้กระบวนการของนายโจ ไบเดน ซึ่งตามหลักแล้วได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี และคณะ ไม่สามารถที่จะดำเนินการเข้าสู่กระบวนการเปลี่ยนผ่าน ที่อเมริกาเขามีว่า พอหลังเลือกตั้งเสร็จเรียบร้อยแล้ว เมื่อผลออกมาว่าใครชนะแล้ว ประธานาธิบดีซึ่งยังดำรงตำแหน่งอยู่ ประกาศเป็นผู้ยอมแพ้ว่ายอมแพ้แล้ว ก็จะมีองค์กรหนึ่ง เขาเรียกว่า GSA (General Services Administration) เป็นองค์กรรัฐที่เกี่ยวพันกับทุกๆ เรื่องในสหรัฐอเมริกา










GSA จะเป็นคนที่จัดงบประมาณก้อนหนึ่ง จัดสถานที่ รวมทั้งเปิดประตูหลายๆ ประตูให้กับทีมผู้ชนะสามารถเข้าไปใช้สถานที่ อาจจะมีสถานที่ๆ หนึ่งที่ทีมนั่งทำงานกัน ประชุมกัน วางแผนงานว่าเมื่อเข้าไปอยู่ในทำเนียบขาวแล้วต้องทำอะไรบ้าง แล้วต้องมีงบประมาณก้อนหนึ่ง เท่าที่ทราบก็ประมาณ 6-7 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 200 กว่าล้านบาท เพื่อเอาไปจับจ่ายใช้สอยในช่วงนี้

ช่วงเปลี่ยนผ่าน ช่วงนี้ล่ะ จะเปลี่ยนผ่านจนกระทั่งเขาเตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว จนกระทั่งถึงวันที่ 20 มกราคม นั่นคือวันสุดท้ายของประธานาธิบดีที่ยังดำรงตำแหน่งอยู่ และพ่ายแพ้การเลือกตั้ง จะต้องออกมาจากทำเนียบขาว ถ้าท่านผู้ชมจำได้ ในยุคที่นายทรัมป์ ชนะ ฮิลลารี คลินตัน บารัก โอบามา ก็แสดงความเป็นสุภาพชน เชิญนายทรัมป์ เข้ามาที่ทำเนียบขาว มารู้จักกัน แนะนำกัน จับไม้จับมือกัน เดินชมทำเนียบขาว










แต่จากการซึ่งนายทรัมป์ ไม่ยอม เมื่อไม่ยอมแล้ว กระบวนการเปลี่ยนผ่านก็ไม่มี ทุกคนไม่มีที่นั่ง เขาต้องหาที่นั่งกันเอง แล้วพวกคณะต่างๆ ที่ต้องทำงานทางด้านสายต่างประเทศ สายความมั่นคง ก็ไม่สามารถที่จะเข้าไปคุยกับผู้อำนวยการข่าวกรองแห่งชาติ คุยกับ CIA และตามปกติแล้วทุกๆ วัน สำนักงานข่าวกรองแห่งชาติของสหรัฐอเมริกาจะต้องมีรายงาน เขาเรียก briefing เขาเรียก daily briefing คือรายงานเป็นประจำวันว่ามีข่าวลับอะไรบ้างที่เขาหามา และเขาต้องรายงานประธานาธิบดี และถ้ามีการเปลี่ยนผ่าน ก็จะมีการรายงานคนที่จะมาเป็นประธานาธิบดีพร้อมกันเลย ก็คือทั้งสองคนจะรับรู้ด้วยกัน

นายทรัมป์ ดึงเรื่องนี้มาเป็นสองอาทิตย์ จนกระทั่งในที่สุดผลการเลือกตั้งออกมา แล้วนายทรัมป์ หลังจากที่ส่งทนายความไปยื่นฟ้องข้อหาว่ามีการฉ้อโกงการเลือกตั้ง แล้วศาลยกฟ้องหมดเลย จนกระทั่ง แม้กระทั่งสมาชิกพรรครีพับลิกันของนายทรัมป์ เอง ก็ยังออกมาตำหนินายทรัมป์ ว่า ถึงเวลาแล้วที่คุณต้องยอมให้โจ ไบเดน สามารถจะเข้าสู่กระบวนการเปลี่นยนผ่าน ก้าวไปสู่การเป็นประธานาธิบดีเต็มตัวในวันที่ 21 มกราคม ในที่สุดแล้ว นายทรัมป์ ทนความกดดันไม่ไหว ก็สั่งการให้คุณเมอร์ฟี ซึ่งเป็นหัวหน้า GSA คุมเรื่องกระบวนการเปลี่ยนผ่าน ซึ่งเป็นคนของนายทรัมป์ บอกว่าให้ดำเนินการจัดการเรื่องกระบวนการเปลี่ยนผ่านได้ ตอนนี้ชุดของนายโจ ไบเดน ก็เลยสามารถที่จะเข้าไปสู่แหล่งข้อมูลต่างๆ ได้










ที่ผมจะมาพูดให้ท่านผู้ชมฟังวันนี้ มันมีประเด็นว่า ถ้านายโจ ไบเดน ขึ้นมา ในขณะนี้ไม่ว่าจะเป็นแหล่งข่าว ไม่ว่าจะเป็นอัลจาซีรอ ซีเอ็นเอ็น ไม่ว่าจะเป็นบีบีซี ไม่ว่าจะเป็นวอชิงตันโพสต์ ต่างลงเหมือนกันเป๊ะเลยว่า นายโจ ไบเดน ได้เลือกใครบ้างดำรงตำแหน่งที่สำคัญๆ เช่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้เลือกใครบ้าง ผู้อำนวยการสำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ ซึ่งสำคัญมาก เป็น Director ของ National Intelligence Agency แล้วใครบ้างที่จะมาเป็นผู้อำนวยการสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ ก็คือที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาตินั่นเอง แล้วใครบ้างที่จะมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งสำคัญมาก เพราะในกฎหมายรัฐธรรมนูญของอเมริการะบุชัดเจนเลยว่า ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับประธานาธิบดี คนที่จะเป็นประธานาธิบดีต่อไปทันทีเลย ก็คือรองประธานาธิบดี แต่ถ้ารองประธานาธิบดีไม่อยู่ หรือเป็นอะไรไป คนที่จะเป็นต่อ ก็คือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หรือที่เขาเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Secretary of Department of State ของอเมริกาเขาเรียกว่า Department of State หรือ State Department ก็คือกระทรวงการต่างประเทศนั่นเอง

ทีนี้ ก่อนที่ผมจะลงไปสู่ตัวบุคคล ผมจะเล่าถึงปรัชญาของนายไบเดน นิดหนึ่ง นายไบเดน เปิดแถลงข่าวอย่างชัดเจน เขาพูดคำหนึ่ง เขาบอกว่า อเมริกากลับมาแล้ว ต่างกับที่นายทรัมป์ พูด ว่าอเมริกาเป็นที่หนึ่ง America First เพราะฉะนั้นปรัชญาของคนสองคนนี้จะไม่เหมือนกันแล้ว หรืออีกนัยหนึ่งก็คือว่า นายไบเดน จะทำทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับการต่างประเทศ ตรงกันข้ามกับที่นายทรัมป์ ทำ นายทรัมป์ เลี้ยวซ้าย นายไบเดน จะเลี้ยวขวา เพราะฉะนั้นแล้ว เราจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงอะไรต่ออะไรหลายอย่าง สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือว่า นายไบเดน เป็นคนที่มีความรู้ทางด้านการต่างประเทศอย่างลึกซึ้่ง ซึ่งไม่ค่อยมีใครรู้ เพราะสมัยที่เขาเป็นวุฒิสมาชิกอยู่ที่วุฒิสภา นายไบเดน เป็นประธานรรมาธิการการต่างประเทศ เขาเป็นมา 40 ปี เพราะฉะนั้นแล้วเส้นสนกลในเรื่องต่างประเทศ เขาไปเจอผู้นำ เขาเคยไปเจอเติ้ง เสี่ยวผิง มา เขาเคยเจอสี จิ้นผิง ตั้ง 2-3 ครั้ง เขาเจอหู จิ่นเทา อดีตประธานาธิบดีของจีน เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้าพูดถึงความเก๋าของเขาแล้ว เขาเก๋ากว่านายทรัมป์ เยอะ










เพียงแต่ว่า นายไบเดน กับนายทรัมป์ แตกต่างกันที่บุคลิก 2 บุคลิก นายทรัมป์ คือประเภทห้าวเป้ง ส่วนไบเดน จะเป็นสุภาพชน ไบเดน จะเชื่อในการกลับไปรวบรวมพันธมิตรเก่าๆ ไม่ว่าจะเป็นอียู ไม่ว่าจะเป็นอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็นเยอรมนี ไม่ว่าจะเป็นฝรั่งเศส ไม่ว่าจะเป็นหลายต่อหลายประเทศ ออสเตรเลีย แคนาดา หลายต่อหลายประเทศ กลับมาเป็นพันธมิตรที่จับมือกันเหมือนเดิม เพราะสมัยก่อน ที่นายทรัมป์ ขึ้นมาตั้งแต่ปี 2016 ช่วงนั้น 2559 นายทรัมป์ ทิ้งหมดทุกคนเลย ถีบกระเด็นหมด สิ่งแรกที่นายทรัมป์ ทำก็คือ ปฏิเสธองค์กรระหว่างประเทศที่ทุกคนในโลกนี้ หรือกลุ่มคนที่มีอิทธิพลตั้งขึ้นมาเพื่อมาแก้ปัญหา อย่างเช่น โลกร้อน ที่ประชุมกันที่กรุงปารีส นายทรัมป์ ออกมาประกาศถอนตัวเลย ไม่เอา โลกร้อนเป็นเรื่องโกหก เขาพูดอย่างนี้ ว่าเป็นเรื่องไม่มีหลักฐาน ถ้าเราเข้าไปในโลกร้อน คนที่เสียเปรียบก็คือสหรัฐอเมริกา อีกเรื่องหนึ่งที่นายทรัมป์ ไม่เอา ก็คือทะเลาะกับจีนในเรื่องของโควิด-19 กล่าวหาว่าองค์การอนามัยโลกเข้าข้างจีน นายทรัมป์ ก็เลยให้อเมริกาถอนตัวออกมาจากองค์การอนามัยโลก ไม่สนใจ

นายทรัมป์ ลงไปบี้องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติก (นาโต) โดยนายทรัมป์ อ้างว่า สมาชิกนาโตทุกคนไม่ยอมเอาเงินควักจ่ายลงไปตามสัดส่วนที่ตัวเองลง อเมริกาเป็นคนที่ลงเงินก้อนมากที่สุด เพราะฉะนั้นแล้ว อเมริกาจะต้องบังคับให้ทุกคนลงด้วย ถ้าไม่ลง อเมริกาจะถอนทหาร จะถอนกำลังต่างๆ ออกมา ให้ยุโรปเผชิญหน้ากับรัสเซีย โดยที่ไม่มีอเมริกา

อีกหลายต่อหลายเรื่องที่นายทรัมป์ ทำ ซึ่งตรงกันข้ามกับสิ่งที่บารัก โอบามา ทำ หรือนายไบเดน กำลังจะทำ อย่างเช่นกรณีผู้อพยพ บอกเลยคนที่อพยพมาอยู่ที่อเมริกาแล้วยังไม่ได้สถานภาพที่จะอยู่ได้อย่างถาวร แต่มีช่วงระยะเวลา 2 ปี ที่เขามีกฎหมาย ข้อกำหนด ที่เขาตั้งเอาไว้ว่ายังอยู่ได้ เด็กที่เกิดขึ้นมา โดยหลักการแล้วต้องเป็นคนอเมริกัน ถือสัญชาติอเมริกัน นายทรัมป์ ไม่ให้ แล้วก็ไล่คนพวกนี้ออก แล้วนายทรัมป์ ก็จะไปสร้างกำแพงระหว่างอเมริกากับเม็กซิโกขึ้นมา เพื่อป้องกันไม่ให้คนเม็กซิโกเข้ามาในประเทศ หรือนายทรัมป์ ไปรื้อข้อตกลง สนธิสัญญาการค้าระหว่างอเมริกาเหนือ ซึ่งมีแคนาดา เม็กซิโก และอเมริกา ที่เขาเรียกว่า นาฟต้า (NAFTA : North America Free Trade Agreement) คือนายทรัมป์ ก็จะบอกว่าสนธิสัญญาเก่ามันไม่แฟร์ ทำให้อเมริกาเสียเปรียบ อเมริกาไม่มีทางที่จะได้เปรียบอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะฉะนั้นแล้ว ยกเลิกๆ มานั่งคุยกันใหม่ เจรจากันใหม่ ซึ่งก็ได้ทำไป

อีกเรื่องหนึ่งก็คือเรื่องอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่าน เพราะว่าก่อนที่นายทรัมป์ จะเข้ามา บารัก โอบามา และกลุ่มทางยุโรป ผ่านทางสหประชาชาติ ได้เจรจากับอิหร่านเรียบร้อยแล้ว และอิหร่านก็ยอมทำตาม ก็คือว่า อิหร่านจะลดการผลิตอาวุธนิวเคลียร์ หรือปฏิกรณ์นิวเคลียร์ให้มันน้อยลงที่สุด เพื่อแลกกับการที่ประเทศทางตะวันตก หรือสหรัฐอเมริกา จะไม่บอยคอตเศรษฐกิจอิหร่าน นายทรัมป์ ถอนออกเลย ไม่สนใจ แล้วมิหนำซ้ำนายทรัมป์ ยังไปแซงก์ชัน หรือไปบอยคอต ตั้งเงื่อนไขว่าไม่ให้ค้าขายอะไรกับอิหร่าน ควบคุมการเงินอิหร่าน บริษัทไหนก็ตามถ้ามีธุรกรรมทางการเงินกับอิหร่าน อเมริกาจะบอยคอตหมด ก็เลยทำให้อิหร่านถูกปิดกั้นทางเศรษฐกิจหมด อิหร่านก็เลยโกรธ อิหร่านก็เลยเร่งพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์อย่างมหาศาล จนกระทั่งถึงขั้นที่เรียกว่า สามารถที่จะพัฒนาจรวดข้ามทวีปได้ หรือกำลังจะได้ ตรงนี้ที่นายไบเดน บอกว่า เขาเข้ามา หนึ่ง เขาจะต้องเอาอเมริกากลับเข้าไปสู่องค์กรโลกที่ทุกคนยอมรับ กลับเข้าไปสู่การประชุมปารีสในเรื่องโลกร้อน ไปเป็นสมาชิกเหมือนเดิม กลับเข้าไปเป็นสมาชิกขององค์การอนามัยโลก และกลับเข้าไปคุยกับอิหร่านเสียใหม่ ว่าอิหร่านจะต้องยอมตามที่ข้อตกลงเดิมที่มีเอาไว้ แล้วอเมริกาก็จะทำโน่นทำนี่ทำนั่น

เพราะฉะนั้นแล้ว จะเห็นได้ชัดว่านโยบายของไบเดน ก็คือว่า ที่เขาบอกว่า "อเมริกากลับมาแล้ว" หมายความว่า ใจเย็นๆ นะ ผมกำลังจะกลับมาเป็นผู้นำคุณอีกครั้งหนึ่ง คอนเซปต์ของไบเดน คือว่า พันธมิตรทุกคนมาร่วมมือกัน แต่ฉันต้องเป็นหัวโจกนะ เป็นคนนำ และฉันไม่ห้าวเป้งเหมือนทรัมป์ ฉันจะทำอะไร ฉันจะคุยกับพวกเธอก่อน เพราะฉะนั้นแล้ว นั่นคือยุทธวิธีที่ไบเดน ใช้

ทีนี้ เรามาดูคนที่ไบเดน ตั้งกันสักนิดหนึ่ง ไบเดน งวดนี้รายชื่อ ครม. มีผู้หญิงเข้ามาหลายคน และมีคนที่ไม่ใช่คนผิวขาวเข้ามาก็หลายคน นายไบเดน ได้เอาอดีตประธานเฟด หรือผู้ว่าธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกา เป็นผู้หญิง ชื่อ เจเน็ต เยลเลน










เจเน็ต เยลเลน (Janet Yellen) เคยเป็น chairman ของเฟด FED Chairman ก็คือ Federal Reserve ก็คือธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกา เจเน็ต เยลเลน เป็นในยุคบารัก โอบามา แล้วต่อมาถึงนายทรัมป์ แล้วเกษียณอายุไป นายทรัมป์ ก็เลยตั้งคนใหม่เข้ามา เจเน็ต เยลเลน มาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ต้องถือว่าเป็นผู้หญิงคนแรกในประวัติศาสตร์อเมริกา ที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

คนที่สอง น่าสนใจมาก คนที่สองที่นายไบเดน เอาเข้ามา เป็นผู้อพยพ เกิดที่กรุงฮาวานา ประเทศคิวบา ชื่อ ฮเลฮานโดร มายอร์กัส (Alejandro Mayorkas) ฮเลฮานโดร มายอร์กัส เป็นคนอพยพเข้ามาอยู่ที่อเมริกา หนีการเมืองจากคิวบาเข้ามาอยู่ แล้วก็มาเรียนหนังสือจบกฎหมาย แล้วก็ทำงานอยู่ที่ Department of Homeland Security คือกระทรวงความมั่นคง










กระทรวงความมั่นคงของอเมริกานั้น ดูแลเรื่องเกี่ยวกับการตรวจคนเข้าเมือง ดูแลเรื่องศุลกากร และดูแลเรื่องยาเสพติด เขาเคยเป็นรองรัฐมนตรี DHS ก็คือกระทรวงความมั่นคง สมัยที่บารัก โอบามา เป็นประธานาธิบดี เขาเป็นคนที่ทำงานเก่งและอยู่ในสายของการปราบปรามมาตลอด และเขาเป็นคนที่ออกแบบกฎคนเข้าเมืองว่า ถ้าใครก็ตามเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย แต่ระหว่างที่รอให้ถูกกฎหมายนั้น จะให้ระยะเวลา 2 ปี กว่าเรื่องจะเสร็จ สามารถอยู่ในอเมริกาได้ แล้วเด็กที่เกิดขึ้นระหว่างนั้น ก็สามารถเป็นคนสัญชาติอเมริกันได้ ซึ่งตรงนี้ นายทรัมป์ ยกเลิกหมดแล้ว เพราะฉะนั้นแล้ว อเลฮานโดร มายอร์กัส เมื่อเข้ามาแล้วก็คงจะกลับไปใช้นโยบายเดิม ก็คือว่า ทุบตีทุกอย่างที่นายทรัมป์ เคยออกมา










คนที่สาม ก็คือ นางลินดา โธมัส-กรีนฟิลด์ (Linda Thomas-Greenfield) ลินดา โธมัส-กรีนฟิลด์ เธอเป็นคนผิวดำ เคยทำงานอยู่ที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา 35 ปี แล้วเกษียณอายุไปเมื่อปี 2560 (2017) ไบเดน เอาลินดา โธมัส-กรีนฟิลด์ มาเป็นทูตสหรัฐอเมริกาในสหประชาชาติ แล้วไบเดน ก็ปรับสถานภาพทูตสหรัฐอเมริกาที่อยู่ในสหประชาชาติ กลายเป็นระดับรัฐมนตี ก็คือมีสิทธิ์ที่จะเข้าประชุมคณะรัฐมนตรีได้ ลินดา โธมัส-กรีนฟิลด์ เป็นคนที่เก่ง หลายคนชอบ










อีกคนหนึ่งที่สำคัญมาก คือ คุณเจก ซัลลิวัน (Jake Sullivan) เป็นคนหนุ่ม ถูกตั้งมาเป็นผู้อำนวยการสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ (NSA : National Security Agency) เจก ซัลลิวัน เคยทำงานร่วมกับฮิลลารี คลินตัน คือเป็นเหมือนกับมือขวาของฮิลลารี คลินตัน เลย เขามาคุมสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ

อีกคนหนึ่งซึ่งสำคัญมาก แต่ยังไม่สำคัญที่สุด แต่สะท้อนให้เห็นถึงเนื้อหาของคณะรัฐมนตรีไบเดน ว่าทิศทางที่มีต่อต่างประเทศ ทิศทางที่มีต่อจีนจะเป็นอย่างไร ทิศทางที่จะมีต่อเกาหลีเหนือจะเป็นอย่างไร ทิศทางที่จะมีต่ออิหร่านจะเป็นอย่างไร คนนี้ชื่อ เอฟริล เฮนส์ (Avril Haines) เป็นผู้หญิง เก่งมาก










ถูกแต่งตั้งมาเป็นผู้อำนวยการสำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ (Director of National Intelligence) เขาเป็นผู้หญิงคนแรกที่มานั่งตำแหน่งนี้ อดีตเขาเคยเป็นรองผู้อำนวยการ CIA มาก่อน และอดีตเขาก็เคยเป็นรองผู้อำนวยการสำนักงานความมั่นคงฯ นั่นคือ National Security Agency ที่นายเจก ซัลลิวัน ได้เป็นผู้อำนวยการ

เอฟริล เป็นคนสายเหยี่ยว ประเภทห้าวเป้ง ชนก็ชน เอฟริล เคยให้สัมภาษณ์ก่อนที่จะมารับตำแหน่งนี้ พูดถึงเรื่องการคุกคามของประเทศจีนที่มีต่อทะเลจีนตอนใต้ เขาพูดถึงขนาดที่ว่า ถ้าต้องรบกับจีน ก็ต้องรบ เขาพูดในทำนองนั้น เขาส่งสัญญาณออกไปในทำนองนั้น เพราะฉะนั้นแล้วจะเห็นได้ชัดว่า นี่คือสิ่งที่คณะรัฐมนตรีที่สำคัญมากที่จะเกี่ยวพัน คือผู้อำนวยการสำนักงานความมั่นคงฯ เขาจะไม่ได้สนใจความมั่นคงภายในประเทศ เพราะความมั่นคงภายในประเทศจะมี FBI และมี Homeland Security กระทรวงความมั่นคง อยู่แล้ว แต่พวกผู้อำนวยการสำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ กับผู้อำนวยการสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ สองกลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มที่พิจารณาถึงเรื่องราวในต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นสงครามในตะวันออกกลาง ไม่ว่าจะเป็นสงครามในเยเมน ไม่ว่าจะเป็นสงครามระหว่างอิรักกับอิหร่าน หรือซาอุดีอาระเบียกับอิหร่าน หรือว่าประเทศจีนกับทะเลจีนตอนใต้ คนพวกนี้จะเป็นคนที่หาข้อมูลข่าวสารมา เพราะคนพวกนี้จะคุม CIA อีกระดับหนึ่ง เพราะฉะนั้นเขาสามารถจะสั่ง CIA ได้ ให้ CIA รายงานมาถึงเขา โน่นนี่นั่น คือพูดง่ายๆ ว่า สถานภาพของนางเอฟริล เฮนส์ สถานภาพสูงกว่าผู้อำนวยการ CIA เจก ซัลลิวัน ก็สถานภาพที่สูงกว่า CIA เช่นกัน

ท่านผู้ชมจะเห็นได้ชัดแล้วว่า ในขณะซึ่งหลายๆ คนบอกว่า นายโจ ไบเดน ออกมาไม่ห้าวเป้งเหมือนทรัมป์ แต่ลูกน้องของโจ ไบเดน แต่ละคน ล้วนแล้วแต่เป็นมือเก่ามือแก่ ท่านผู้ชมครับ คนสุดท้ายที่ผมอยากจะเน้นและอธิบายให้ฟัง คือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไบเดน ชื่อ แอนโธนี บลินเกน (Anthony Blinken)










แอนโธนี บลินเกน คือใคร ? โลกรู้จักเขาน้อยมาก คนในอเมริการู้จักเขาดี แต่คนในโลกนี้ไม่ค่อยมีใครรู้จักเขา เพราะว่าแอนโธนี บลินเกน มีชื่อในอเมริกา เขาเป็นคนที่เคยอยู่ใกล้ชิดกับฮิลลารี คลินตัน แล้วทำงานร่วมกันสมัยที่ฮิลลารี คลินตัน เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เขาสนิทสนมและรู้เส้นสนกลในของกระทรวงการต่างประเทศเต็มไปหมดเลย ตลอดจนเขาเคยอยู่ในคณะกรรมการหลายๆ ชุดที่เกี่ยวกับภารกิจของต่างประเทศ










ที่สำคัญ แอนโธนี บลินเกน เป็นเพื่อนสนิท เพื่อนคู่ใจ ที่ปรึกษาของโจ ไบเดน มาตลอด ทุกปี ตั้งแต่สมัยโน้นมาจนถึงสมัยนี้ และจะต่อไปสมัยโน้นอีกที เพราะฉะนั้นแล้วจะเห็นได้ชัดว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนนี้จะไม่เหมือนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนเก่าๆ สมัยก่อน ที่ฮิลลารี คลินตัน เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เวลาตัดสินใจอะไร ยังจะต้องถามบารัก โอบามา ในฐานะประธานาธิบดี

เร็กซ์ ทิลเลอร์สัน (Rex W. Tillerson) ซึ่งอดีตเป็นผู้อำนยการใหญ่ของบริษัทน้ำมันเอ็กซอน ที่นายทรัมป์ เอามาเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศคนแรก ลาออกไปแล้ว เพราะทนนายทรัมป์ ไม่ไหว กับไมก์ พอมเพโอ (Mike Pompeo) ทั้งสองคนนี้จะทำอะไรยังต้องถามนายทรัมป์ ตลอด แต่ผมเชื่อว่า แอนโธนี บลินเกน สามารถที่จะไปคุยกับสี จิ้นผิง สามารถที่จะไปคุยกับรัฐมนตรี สามารถที่จะไปคุยกับผู้นำประเทศโน้นประเทศนี้ โดยที่เขาสามารถจะยกหูโทรศัพท์หาไบเดน ได้ทันที เรื่องนี้ผมจะเอาอย่างนี้นะ ท่านว่าอย่างไร เพราะฉะนั้นแล้ว แอนโธนี บลินเกน จะเป็นคนที่มีศักยภาพสูงมาก แต่ผมจะมีข้อพูดอยู่นิดหนึ่ง

เมื่อไบเดน ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีแล้ว ไบเดน จะเน้นในการสร้างพันธมิตร เข้ามาจับมือร่วมกัน จะคุยกับเยอรมนี จะคุยกับฝรั่งเศส จะคุยกับอังกฤษ จะคุยกับแคนาดา จะคุยกับประเทศทางอียู ไม่ว่าจะเป็นเนเธอร์แลนด์ หรือเบลเยียม หรือกลุ่มประเทศอียูทั้งหลาย หรือประเทศที่เขาเรียกว่า Five Eyes คือประเทศที่พูดภาษาอังกฤษ จะคุยกับออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เพื่ออะไร ? เพื่อที่จะเป็นแนวร่วมกันทั้งหมด ออกไปกดดันจีนและรัสเซียพร้อมกัน และที่สำคัญที่สุด คนพวกนี้จะชูธงของสิทธิมนุษยชน และผมเชื่อว่า ประเด็นสูงที่สุดที่เขาจะชูเรื่องสิทธิมนุษยชน คือเรื่องปัญหาอุยกูร์ ที่ประเทศจีนมีอยู่ ตอนนี้ประเทศจีนถูกกล่าวหาว่าจับคนเชื้อชาติอุยกูร์มากักบริเวณเป็นล้านคน ซึ่งจีนก็ปฏิเสธว่าไม่ได้กักบริเวณ ให้เขาอยู่ ตรงนี้ล่ะจะเป็นจุดอ่อนของจีน เป็นจุดอ่อนของจีนจริงๆ แล้วคนพวกนี้จะชูเรื่องสิทธิมนุษยชน เหมือนกับกลุ่ม NGO หลายกลุ่มที่ชูเรื่องสิทธิมนุษยชน เสรีภาพ ในประเทศไทยและทุกๆ ประเทศ และผมจะพูดต่อเนื่องไปด้วยว่า โจ ไบเดน แอนโธนี บลินเกน จะให้ความสำคัญกับบทบาทของ NED










NED ที่อยู่เบื้องหลังการประท้วงในโลกนี้ ของทุกๆ ประเทศ ถ้าทุกๆ ประเทศนี้ไม่ได้ยึดถือหลักประชาธิปไตยที่ NED รับทราบมาจากอเมริกา มาที่ประเทศนี้ ยกเว้นประเทศจีน เพราะ NED เข้าไม่ได้ รัสเซีย NED ถูกห้ามไม่ให้เข้า แต่ผมเชื่อว่าบทบาท NED ที่มีอยู่ในประเทศไทย บทบาท NED ที่มีอยู่ในหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเขมร ผมไม่รู้ว่าฮุน เซน จะยังให้เข้าอยู่หรือเปล่า หรืออยู่ในเวียดนาม หรืออยู่ในหลายประเทศในโลกนี้ที่เขาต้องการที่จะพัฒนาและให้ประเทศนั้นก้าวเข้าไปสู่การเมืองในระบอบของตะวันตกที่เขาจะสามารถควบคุมได้ง่าย บทบาทของ NED จะสูงมากแล้วคราวนี้ เผลอๆ ผมเชื่อว่าอาจจะได้งบประมาณมากกว่าเก่า เพราะสมัยที่นายทรัมป์ อยู่ นายทรัมป์ ไม่ได้สนใจ NED เลยแม้แต่นิดเดียว เมื่อไม่ได้สนใจ NED เลยแม้แต่นิดเดียว NED ก็ยังทำงานไปตามเนื้อผ้าที่ตัวเองได้รับงานมา แต่ตอนนี้ NED เหมือนเสือติดปีกแล้ว เพราะว่ามีประธานาธิบดีอยู่ข้างหลัง มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งเห็นด้วย อยู่ข้างหลัง แล้วก็ที่สำคัญ มีผู้อำนวยการสำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ อยู่ข้างหลัง และมีผู้อำนวยการสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ อยู่ข้างหลัง เพราะฉะนั้นแล้ว อาวุธทั้งหมด คนที่มีกำลังทั้งหมด ก็จะหนุนหลังอยู่ข้างหลัง NED เพราะฉะนั้น บทบาท NED ที่จะเข้ามาก้าวก่ายและแทรกแซงการเมืองในประเทศของหลายๆ ประเทศ รวมทั้งประเทศไทยด้วย ก็จะมากขึ้นๆ

ยังไม่ทันไรเลย ท่านผู้ชม สถานทูตอเมริกาเปิดในประเทศไทย เปิดรับสมัครแล้ว NGO ใครก็ตามที่สนใจจะเข้าไปฝึกอบรมในการที่จะเข้าไปพัฒนาชุมชนให้ก้าวสู่การช่วยตัวเอง ในการที่จะมีประชาธิปไตย ให้ติดต่อไป โดยอเมริกาจะเอาคนที่เข้ามาสมัครนี้และผ่านการเลือกแล้ว ส่งไปอบรม 3 เดือน ก็คือพูดง่ายๆ ว่า ส่งคนพวกนี้กลับมาเพื่อยุยงปลุกปั่นชุมชนต่างๆ ตามพื้นที่ข้างล่างที่จะให้ ยังไม่ทันไรเลย ท่านผู้ชมเห็นไหม เริ่มแล้ว อีกหน่อยเงินทองก็ออกมา ตามให้ทีหลัง ใครจะทำโครงการอะไร ใครจะทำโครงการส่งเสริมประชาธิปไตย ใครจะทำการพัฒนาประชาธิปไตย ใครจะทำการในเรื่องของการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ NED ก็จะมีเงินให้ พวกนี้ก็จะไปหาเสียง พวกนี้ก็จะไปแทรกซึมในมหาวิทยาลัย แน่นอนที่สุด บรรดาอาจารย์ทั้งหลาย อาจจะมีทุน มีการจัดสัมมนา เอาเงินให้อาจารย์ไปโน่นไปนี่

เผอิญมันมีข่าวชิ้นหนึ่งที่เกิดขึ้นมา ผมจะยกตัวอย่างให้ดู บีบีซีไทย เพจที่้ผมไม่ดู เพราะผมรู้ว่าอคติมากๆ ผมไม่อยากจะเข้าไปให้รกสมองผม ก็มีข่าวว่าเลือกคุณรุ้ง ปนัสยา เป็น 1 ใน 100 ผู้หญิงผู้สร้างแรงบันดาลใจและทรงอิทธิพล ประจำปี 2020 เป็น #BBC100Women ก็คือ บีบีซีใหญ่ เขาก็ให้ประเทศแต่ละประเทศเสนอชื่อเข้าไป แน่นอนที่สุด ตัวแทนของ บีบีซีไทย รวมทั้งผู้บริหารของ บีบีซีไทย ก็คงจะสุมหัวกัน แล้วก็เสนอคุณรุ้ง ปนัสยา คุณกชกร ซึ่งเป็นสถาปนิก ได้รางวัลในเรื่องของภูมิสถาปัตย์ และคุณซินดี้ ซึ่งเป็นอดีตมิสไทยแลนด์เวิลด์ และทำงานทางด้านสิทธิสตรี










ผมไม่ได้ขัดข้อง แต่ที่ บีบีซีไทย พูดออกมาว่า เป็นคนที่ต้องการให้ทุกคนในสังคม คุณรุ้ง มีศักดิ์ศรีและสิทธิความเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียมกัน คุณรุ้ง อายุน้อย 22 ปีเอง เป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 3 ของคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คุณรุ้ง เป็นคนที่ริเริ่ม เป็นคนที่อ่านการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ 10 ข้อ ซึ่งผมได้เคยแจกแจงให้ท่านผู้ชมดูแล้วว่า ข้อเสนอของคุณรุ้ง ซึ่งมีเบื้องหน้าเบื้องหลังอยู่ที่คุณสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล เสนอข้อเสนอ 10 ข้อนั้น แต่ละข้อเมื่อฉีกออกมาเป็นชิ้นๆ แล้ว ก็จะเป็นการต้องการที่จะล้มล้างสถาบันกษัตริย์

คุณรุ้งนี่ ผมไม่ได้มีความขัดข้องอะไรถ้าคุณรุ้ง จะได้เป็น แต่ผมกำลังถามมาตรฐานของ บีบีซี ว่าทำไมมาตรฐานต่ำเช่นนี้ ผมคิดว่า บีบีซี ในส่วนกลาง ก็คงจะไม่รู้เรื่องหรอก แต่น่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ที่ดูแลคนไทย ดูแล บีบีซีไทย เป็นคนเลือกคุณรุ้ง ปนัสยา










คุณรุ้ง ปนัสยา อ่านข้อเรียกร้อง 10 ข้อ บนเวทีม็อบธรรมศาสตร์ ทั้งจาบจ้วง ล่วงละเมิดสถาบันเบื้องสูง มุ่งล้มหนึ่งในสถาบัน ของชาติ คือสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นเสาหลักของประเทศไทยที่ควรจะได้รับการเชิดชู ท่านผู้ชมครับ แล้วนี่ ไม่ได้เรียกว่า บีบีซีไทย เป็นสำนักข่าวล้มเจ้า แล้วจะเรียกว่าอะไร ? จริงๆ แล้ว คุณรุ้ง ในสถานภาพตัวคุณรุ้ง บทบาทของเขา เขาต้องเป็นคนที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า controversial คือมีเรื่องโต้เถียงกัน ฝ่ายหนึ่งก็บอกว่าคุณรุ้ง ดี อีกฝ่ายก็บอกคุณรุ้ง ไม่ดี จริงๆ แล้วสำหรับคนที่มีคำถาม ทั้งสองฝ่าย ควรจะระงับ ไม่ควรจะได้รับเลือก แต่คุณก็จงใจเลือกมา แล้วข้อที่สอง บีบีซีไทย คุณรุ้ง คือผู้หญิงที่โพสต์อวัยวะเพศชาย (ขอโทษนะครับท่านผู้ชม) คุณรุ้ง เป็นคนที่โพสต์ ค ว ย ให้กับท่านชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา อดีตนายกรัฐมนตรีสองสมัย คนอย่างนี้ ได้รับเลือกจาก บีบีซี ซึ่งแน่นอน คนคัดเลือกมาก็คือ บีบีซีไทย นั่นเอง

ถ้ามาตรฐาน บีบีซี เป็นอย่างนี้ นายลุค แองเจล ชาวเมืองซิลโซ ในเบตฟอร์ดเชียร์ ปี 2553 เคยส่งอีเมลไปยังทำเนียบขาว แล้วเรียกนายบารัก โอบามา ว่า 'A prick' ก็คือของลับชายนั่นเอง ซึ่งเป็นศัพท์แสลงแทนที่ของลับชาย ตอนหลัง นายลุค ก็ถูกขึ้นบัญชีดำเป็นบุคคลต้องห้ามเดินทางเข้าสหรัฐฯ ก็ควรที่จะได้รับการยกย่องเชิดชูด้วยไม่ใช่หรือ ว่า คุณลุค น่าจะเป็นบุคคลแห่งปี ในจำนวนผู้ชาย 100 คน ในโลกนี้ ก็ควรจะได้รับการยกย่อง เพราะว่าคุณลุค ก็ให้ของลับบารัก โอบามา คุณรุ้ง ก็ให้ของลับท่านประธานฯ ชวน หลีกภัย แล้วทำไมคุณรุ้ง ได้รับการเลือก แล้วทำไมนายลุค ไม่ได้รับการเลือก ผมถึงบอกว่ามาตรฐาน บีบีซี แม่งโคตรต่ำเลย ผมอยากให้ใครแปลคำพูดของผมส่งไปให้นายทิ เดวี หน่อย นายใหญ่ของ บีบีซี

แล้วล่าสุด คุณรุ้ง ปนัสยา โพสต์เรื่องเกี่ยวกับการแก้รัฐธรรมนูญ โพสต์ว่าอย่างไร ? โพสต์ว่า สภาต้องรับร่างรัฐธรรมนูญของ ไอลอว์ (iLaw) เท่านั้น แล้วตามด้วยแฮชแท็ก เขียนว่า #กูสั่งให้มึงอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ คนที่ติดตามเรื่องนี้ก็รู้ ผู้หญิงที่ทำตัวอยู่เหนือกฎหมาย สั่งสมาชิกรัฐสภาให้ปฏิบัติตาม แล้วตามด้วยข้อความข่มขู่กษัตริย์ เรียกร้องประชาธิปไตย แล้วก็ให้ของลับประธานสภาผู้แทนราษฎรของประเทศไทย สมควรที่จะได้รับเลือกหรือเปล่า ? ผมไม่ได้อิจฉาคุณรุ้งเลย










อีกคำถามหนึ่ง แล้วที่คุณรุ้ง พูดว่า "กูสั่งให้มึงอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ" นั้น ขึ้นมึงขึ้นกูกับใครครับ ? ท่านผู้ชมเอาไปคิดให้ดีๆ ผมว่าพวกคนที่ดูแล บีบีซีไทย คุณใช้ไม่ได้จริงๆ และผมคิดว่า นายทิม เดวี ผมคิดว่าเราต้องรวมตัวกันแล้วร้องเรียนไปที่นายทิม เดวี เพราะว่าการเลือกผู้หญิงที่มีอิทธิพลในโลกนี้ 100 คน คุณรุ้ง ไม่ได้มีอิทธิพลอะไรต่อผมเลยแม้แต่นิดเดียว คุณรุ้ง ไม่ได้มีอิทธิพลอะไรในประเทศไทยเลยแม้แต่นิดเดียว มีแต่เป็นเด็กที่หยาบ จาบจ้วง ไม่รู้จักกาลเทศะ แล้วคุณก็เลือกเขามา มันเออออห่อหมกกันระหว่างเจ้าหน้าที่ คุณนพพร ที่บีบีซีไทย ที่ลอนดอน คุณแน่ ผมยอมรับ ทุกเม็ดเลย คุณโชว์ออกมาทันทีเลยว่าคุณมีทัศนคติอย่างไรกับประเทศไทย

ท่านผู้ชมจำคำพูดผมไว้ เรากำลังจะเผชิญภยันตรายแบบนี้อีกต่อไป ท่านผู้ชมครับ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ผมไม่ได้พูดเล่น ท่านผู้ชมที่เคยติดตามรายการผมมานานแล้ว ผมจะเป็นคนทำนายอะไรล่วงหน้าได้ตลอดเวลา และเรื่องนี้ก็จะเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ผมจะทำนาย เพราะว่านายไบเดน งวดนี้ต้องออกมาเผชิญหน้ากับจีน ในการหาเสียง เป็นกระแสในอเมริกาแล้วว่า คนอเมริกาไม่เอาจีน เพราะนายทรัมป์ เป็นคนที่ก่อให้เกิดกระแสนี้ขึ้นมา แม้กระทั่งสมาชิกพรรคเดโมแครต ก็ยังเห็นด้วยกับสมาชิกพรรครีพับลิกัน ไบเดน ถูกกระแสบีบ จนกระทั่งในระหว่างการหาเสียง ตั้งฉายาของ สี จิ้นผิง ว่า กุ๊ย ก็คือ thug แปลเป็นไทยก็คือ กุ๊ย ไบเดน หาเสียงและกล่าวหาประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ว่าเป็นกุ๊ย แล้วนายทรัมป์ ก็วางยานายไบเดน ในเรื่องจีนไว้เยอะ ในเรื่องของการค้าขาย ตั้งกำแพงภาษี โน่นนี่นั่น ในขณะเดียวกัน ห้าวเป้งกับจีนตลอดเวลา เพราะฉะนั้น ไบเดน จะไปอ่อนช้อยกับจีนไม่ได้แล้วงานนี้ เพราะว่าถูกนายทรัมป์ บีบไว้แล้วนี่ มันตีกรอบให้เรียบร้อยแล้ว ถ้าสมมุติว่าเกิดไปยอมจีนเรื่องโน้นเรื่องนี้ปั๊บ ถ้าไปยอมจีนเรื่องหัวเว่ย นายทรัมป์ ก็ออกมาด่า คนที่เป็นสมาชิกพรรครีพับลิกัน ที่เชียร์นายทรัมป์ ก็จะบอกว่า เห็นไหม พี่ทรัมป์ ดีกว่า พี่ทรัมป์ เอาจีนจริง ไบเดน ไม่แน่จริง เพราะฉะนั้น ไบเดน จะถูกมัดมือชกในเรื่องนี้ ทำให้นโยบายที่เขามีต่อจีนนั้น เขาก็คงจะไปร่วมมือกับพันธมิตร แต่การกดดันจะกดดันหนักขึ้นๆๆ หนักขึ้นมากๆ เพราะฉะนั้นทิศทางที่เราจะเห็นอย่างแน่ชัดที่สุดในขณะนี้ จะเป็นทิศทางที่ประเทศไทยจะต้องรู้จักวางตัวแล้วคราวนี้ ว่าจะเอาอย่างไร










ท่านผู้ชมครับ ต้องจำไว้อย่างหนึ่งนะ นายไบเดน มา 4 ปี แล้วก็จากไป ใครก็ไม่รู้จะขึ้นเป็นประธานาธิบดีต่อไป นายไบเดน อายุ 78 ปีแล้ว ปีนี้ เขาบอกเขาจะอยู่ได้อย่างมากก็เทอมเดียว ก็คือ 82 มีข่าวเล่ามาว่า นายทรัมป์ ปี 2024 ถ้าไม่ติดคุกเสียก่อนนะ ตอนนี้ เพราะโดนคดีเยอะเหลือเกิน แต่ว่าจะอย่างไรก็ตาม คะแนนเสียงที่นายทรัมป์ ได้ เราต้องยอมรับข้อเท็จจริงว่า คน 47-48 เปอร์เซ็นต์ ของคนอเมริกันที่ลงคะแนนเสียงให้กับทรัมป์ เป็นพวกรีพับลิกัน เป็นพวกผิวขาว และเป็นคนที่ชอบคนลักษณะอย่างนายทรัมป์ เพราะฉะนั้นแล้ว ถึงทรัมป์ จะเป็นอะไรไป จะมีตัวตายตัวแทนของทรัมป์ เกิดขึ้นมา และหนีไม่พ้นแล้วว่าจะต้องมีการปะทะกัน เผชิญหน้ากันกับจีนอย่างแน่นอนที่สุด เพราะยิ่งวันจีนยิ่งใหญ่ขึ้น โตขึ้น ที่สำคัญ ผมอยากจะรู้ว่าพันธมิตรระหว่างเกาหลีเหนือ จีน อิหร่าน และรัสเซีย จะยังคงอยู่ในรูปร่างเหมือนเดิมหรือเปล่า และผมเองก็หวั่นเกรงว่าการเผชิญหน้าในทะเลจีนตอนใต้จะรุนแรงมากขึ้นหรือเปล่า ซึ่งผมเชื่อว่าอาจจะมีความรุนแรงมากขึ้น และผมก็คิดว่า นายไบเดน ก็อาจจะดำเนินการตามนโยบายต่อจากนายทรัมป์ ในเรื่องเกี่ยวกับไต้หวัน ก็คือแอบสนับสนุนไต้หวัน ส่งอาวุธ ขายอาวุธให้ไต้หวัน ทั้งหมดนี้ ท่านผู้ชมครับ ผมมองในโลกแห่งความเป็นจริงว่า นายไบเดน ขึ้นมา โอกาสที่จะปะทะกัน หรือเกิดสงครามย่อยๆ มีสูงพอสมควร แต่นายไบเดน ได้ชี้แจงชัดเจนแล้วว่า นโยบายต่อตะวันออกกลางนั้น เขาจะเป็นนโยบายที่เป็นจุดๆ ไป อย่างเช่น ต่อประเทศเยเมน ซึ่งรบกันอยู่ทุกวันนี้ โดยที่เบื้องหลังก็มีประเทศซาอุดีอาระเบียสนับสนุนกลุ่มรัฐบาลเยเมน อิหร่านสนับสนุนกบฏฮูดี (Houthi) ซึ่งอยู่ในประเทศเยเมน อเมริกาบอกชัดเจนเลยว่า อเมริกาจะไม่สนับสนุนซาอุดีอาระเบียที่เยเมน เพราะว่าคนตายไปเยอะเหลือเกิน










ในขณะเดียวกัน ไบเดน ก็พูดว่า อเมริกาต้องไม่ละทิ้งพันธมิตรที่ร่วมรบมา เขาหมายถึงชนกลุ่มชาวเคิร์ด ชาวเคิร์ดที่เคยช่วยอเมริการบกับกลุ่มไอเอส แล้วพออเมริกาถอนตัวออกมาปั๊บ ก็เลยโดนตุรกีไล่กระทืบ ไล่ฆ่าชาวเคิร์ด ชาวเคิร์ดก็กล่าวหาว่าอเมริกาใช้ชาวเคิร์ดไปรบ ตายเป็นร้อยเป็นพัน แล้วพอถึงเวลาก็ทิ้งชาวเคิร์ด ไบเดน พูดออกมาแล้วว่า เราจะไม่ทิ้งเพื่อนเก่า และเขาหมายถึงชาวเคิร์ดด้วย ก็หมายถึงความขัดแย้งระหว่างอเมริกา ก็อาจจะมีต่อตุรกี เพราะตุรกีไม่เอาชาวเคิร์ด เพราะฉะนั้นแล้ว การต่างประเทศมีความอ่อนไหว ละเอียดอ่อนทุกๆ จุด มันไม่ได้ง่ายอย่างที่ท่านผู้ชมเห็น

เพราะฉะนั้นแล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจที่จะตามติดต่อไป แล้ววันหลังผมจะมีเรื่องเล่าให้ฟังต่อไปอีก

ท่านผู้ชมครับ ตอนนี้เรามาพูดถึงเรื่องจีนบ้าง เพราะในที่สุดแล้วผมเชื่อว่าภารกิจที่ยิ่งใหญ่ทางต่างประเทศของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของโจ ไบเดน และพรรคพวกของเขา ที่ผมได้อธิบายไปแล้ว จะมีความหมายมากกับประเทศจีน เพราะว่าจริงๆ แล้ว คนที่อเมริกา หรือรัฐบาลอเมริกาจะต้องเผชิญหน้า กลับไม่ใช่รัสเซีย รัสเซียจะโดนพวกทางยุโรปเป็นคนที่ขวางทางเอาไว้ เนื่องจากจีนได้ทำอะไรหลายต่อหลายอย่าง ซึ่งทำให้อเมริกาสูญเสียความเป็นผู้นำออกไป










ยุคนายทรัมป์ ที่นายทรัมป์ ห้าวเป้งแบบนี้ แล้วไม่สนใจโลกเลย มันก็เลยทำให้บทบาทของ สี จิ้นผิง กลายเป็นผู้นำโลกไปในช่วงวิกฤต ซึ่งท่านผู้ชมครับ ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมานี้ สี จิ้นผิง ได้กลายเป็นผู้นำโลกไปโดยพฤตินัยจากการแสดงออกของนาย สี จิ้นผิง นายทรัมป์ ถอนตัวออกจากองค์การอนามัยโลก สี จิ้นผิง เอาเงินของจีนเพิ่มเติมทดแทนในส่วนที่ขาดไปบางส่วนให้กับองค์การอนามัยโลก แล้ว สี จิ้นผิง ก็เน้นว่า เราต้องไม่ทิ้งองค์กระหว่างประเทศ ใช้องค์กรระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างประเทศทุกประเทศในโลก เพื่อที่จะมาแก้ไขโควิด-19 ตลอดจน เรื่องโลกร้อน ซึ่ง สี จิ้นผิง ก็ยังสนับสนุนที่จะลดคาร์บอนไดออกไซด์ในโลกนี้ออกมา สี จิ้นผิง มีนโยบายในประเทศจีนในเรื่องเกี่ยวกับอุตสาหกรรมรถไฟฟ้าที่ชัดเจน และในที่สุด ล่าสุดมีการตั้งชมรม สมาคมการค้า RCEP










RCEP มีทั้งหมด 10 ประเทศ มีประเทศอาเซียน 10 ประเทศ และมีอีก 5 ประเทศคู่เจรจา ซึ่งประกอบด้วย จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ การเกิดขึ้นของ RCEP ทำให้ โจ ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา คนที่ 46 ถึงออกมาพูดเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา โจ ไบเดน เขาพูดเลยนะ การเกิดขึ้นของ RCEP เขาพูดว่าอย่างนี้ครับ ผมจะแปลออกมาให้ฟัง โจ ไบเดน บอกว่า "เรา (หมายถึงอเมริกา) จะไม่ยอมให้จีนเขียนกติกาการค้าของโลกเป็นอันขาด" เรามาวิเคราะห์ทีละประโยค ท่านผู้ชมครับ การพูดในโลกนี้ ต้องฟังคำพูดของผู้นำ อย่างเช่น ผู้นำรัสเซีย ผู้นำจีน ผู้นำอเมริกา แล้วเราต้องแปลความหมายระหว่างบรรทัดให้ชัดเจน "เราจะไม่ยอมให้จีนเขียนกติกาการค้าของโลกเป็นอันขาด" RCEP จีนเข้ามาเกี่ยวข้องแล้ว อเมริกาไม่ได้เกี่ยวข้องเลย 15 ประเทศที่ร่วมกัน ไม่มีประเทศอเมริกาเข้ามาร่วม เพราะฉะนั้นแล้ว RCEP ก็เลยเป็นกลุ่มการค้าเสรีที่ใหญ่มากๆ เผลอๆ จะใหญ่ที่สุด ณ ปัจจุบันนี้ โดยที่ไม่มีอเมริกาเข้ามา

ท่านผู้ชมอย่าลืมว่า จีนนั้นมีความยิ่งใหญ่ ขนาดเศรษฐกิจของจีนเป็นอันดับ 2 ของโลก แล้วเขาบอกว่าไม่เกิน 5 ปีนี้ อย่างเร็ว หรือช้าสุดไม่เกิน 10 ปี ผมคิดว่าไม่เกิน 5 ปี เศรษฐกิจจีนจะต้องเป็นอันดับ 1 ของโลก เพราะอะไร ? เพราะในขณะที่เศรษฐกิจของโลกทั้งโลกในขณะนี้ เศรษฐกิจถดถอยหมด มีประเทศจีนประเทศเดียวที่เศรษฐกิจเป็นบวก ถึงจะบวกแค่ 2.6-3.6 แต่ก็ถือว่าเป็นบวก แล้วก็มีแนวโน้มจะบวกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

โจ ไบเดน พูดถึงบทบาทจีนชัดเจน ก่อนหน้านี้ โจ ไบเดน พูดว่า จากนี้ต่อไปถ้าจีนมาขโมยเทคโนโลยีอเมริกาอีก ผมไม่ยอม หรือพูดง่ายๆ เป็นภาษานักเลง คือ มึงกับกูได้เสียกันแน่ถ้ามึงยังทำแบบนี้ต่อไป เอาล่ะ ผมจะอ่านประโยคต่อไปของ โจ ไบเดน

โจ ไบเดน บอกว่า "เราจะไม่ยอมให้จีนเขียนกติกาการค้าของโลกเป็นอันขาด" โจ ไบเดน พูดต่อ ว่า "อเมริกาต้องเป็นคนเขียนกฎกติกาเอง" เพราะว่า โจ ไบเดน ใช้ปรัชญาในการแสดงออก ในการเป็นประธานาธิบดีของอเมริกา บอกว่า America is back เรากลับมาแล้วนะ และจะมาเป็นผู้นำของโลกเหมือนเดิม ต่างกับทรัมป์ ที่บอกว่า America first กูต้องมาก่อน คนอื่นฉิบหายช่างมัน ไม่เป็นไร แต่ตอนนี้ ไบเดน มาบอกว่า อเมริกากลับมาแล้วนะ แล้วไบเดน ก็พูดให้พันธมิตรทุกคนรู้ว่ากลับมาแล้ว มาร่วมมือทำงานกัน แต่ ... วงเล็บนะครับ เขาไม่ได้พูด แปลได้เลยว่า แต่อเมริกาต้องเป็นหัวโจกนะ










ไบเดน พูดต่อว่าทำไมอเมริกาต้องเป็นคนเขียนกติกาเอง ไบเดน บอกว่า "เพราะเราครองสัดส่วนการค้าโลกถึง 25 เปอร์เซ็นต์ และถ้าเราหาแนวร่วมประเทศประชาธิปไตยอื่นๆ มากกว่า 25 เปอร์เซ็นต์ (อย่างเช่นอียู) เราก็จะเป็นผู้ตั้งกฎกติกา กำหนดถนนสายนี้ได้ แทนที่จะให้จีนและคนอื่นมากำหนดโดยเราไม่มีทางเลือก"

คือบุคลิกของ โจ ไบเดน ดูแล้วเหมือนจะประนีประนอมมากกว่าทรัมป์ แต่เนื้อหาในนโยบายการค้าเพื่อแข่งจีน เข้มข้น เพราะสหรัฐฯ จะไม่ยอมให้จีนเป็นผู้ที่แซงนำอเมริกาในเรื่องการค้า การลงทุน และการเมืองโลก เราจะเห็นได้ชัดว่า ประธานาธิบดีคนใหม่อย่างเป็นทางการของอเมริกา ก็คือ โจ ไบเดน จะเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม 2564 ก็เลยต้องกดดันให้ ไบเดน ต้องดึงปัญหาการเมือง เศรษฐกิจ และการค้าระหว่างประเทศกับจีน เป็นตัวกลบปัญหาภายใน และพยายามกลับมาเป็นผู้นำบนเวทีระหว่างประเทศอีกครั้ง

ท่านผู้ชมครับ ท่านผู้ชมคิดดูแล้วกัน จีนก็ปรับตัวต่อสู้เรื่องนี้ ไม่เคยมีใครคิด ผู้นำจีน สี จิ้นผิง จู่ๆ ออกมาประกาศว่า "เราต้องการส่งเสริมเศรษฐกิจระดับภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง และมุ่งมั่นที่จะจัดตั้งเขตการค้าเสรีเอเชียแปซิฟิกให้เกิดขึ้นโดยเร็ว" ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง กล่าวถึงเจตจำนงครั้งแรก เป็นครั้งแรกเลยนะ ที่จีนพร้อมจะเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ CPTPP หลังจากที่มันล่มสลายไปแล้ว ที่อเมริกาไม่ร่วม แล้วญี่ปุ่นเป็นหัวโจกขึ้นมา










เป็นครั้งแรกที่ สี จิ้นผิง ส่งสัญญาณถึงจุดยืนและแนวทางเข้าร่วมข้อตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก ที่มีมูลค่าเกินกว่าครึ่งหนึ่งของการค้าโลก หลังจากที่อเมริกาถอนตัวจาก CPTPP ตามนโยบาย America first ของประธานาธิบดีทรัมป์

เพราะฉะนั้นแล้ว ท่านผู้ชมจะเห็นว่า พอ RCEP เกิดขึ้นมาปั๊บ อเมริกาก็เลยเสียความเป็นผู้นำคุมกฎ และอเมริกาถอนตัวตามทรัมป์ จาก TPP ซึ่งกลายเป็น CPTPP ญี่ปุ่นก็เลยต้องเป็นหัวโจกแทน และต้องการใช้เจรจาต่อรองกับแต่ละชาติแบบทวิภาคี ก็คือแต่ละประเทศคุยกันเอง อเมริกาคุยกับไต้หวันเพื่อสร้างหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ หลังจากที่ทรัมป์ ถอนตัวจาก TPP ญี่ปุ่นก็รับธงเดินหน้า CPTPP ต่อไป










ท่านผู้ชมครับ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นยืนยันแล้วว่า คุณสมบัติของ CPTPP เข้มงวดกว่า RCEP มากในหลายเรื่อง อย่างเช่น RCEP ไม่มีมาตรฐานสิ่งแวดล้อม แต่ CPTPP ต้องมีมาตรฐานสิ่งแวดล้อม ต้องโปร่งใส ชัดเจน และ จีน สี จิ้นผิง บอกว่าพร้อมรับ

แล้วก็ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น กับประธานาธิบดี สี จิ้นผิง กำลังเริ่มเจรจาซึ่งกันและกันแล้ว โดยที่ไม่รออเมริกาเลยนะตอนนี้ กำลังเริ่มเจรจา เพราะฉะนั้นบทบาทของผู้นำโลกในขณะนี้ สี จิ้นผิง ยังคงดำรงอยู่ จนกว่าไบเดน ขึ้นมา ก็ต้องเป็นหลังวันที่ 20 มกราคม แล้วไบเดน ต้องมีทีท่าที่ชัดเจนกับ TPP ซึ่งกลายเป็น CPTPP ไปแล้ว ท่านผู้ชมอย่าสับสนนะครับ CPTPP แต่ก่อน ก็คือ TPP ภาษาอังกฤษเรียกว่า Trans-Pacific Partnership เพราะฉะนั้นแล้ว แม้ว่าผู้นำ สี จิ้นผิง สั่งสมบารมี วางตนดีมาก ไม่ประกาศเป็นศัตรูกับอเมริกาโดยตรง สี จิ้นผิง จะพูดในเชิงประนีประนอมตลอด แม้กระทั่งนายทรัมป์ ในยุคนั้น ด่าจีนตลอด จีนก็ยังนิ่ง แต่เดินหน้านโยบายระหว่างประเทศ จนวันนี้จีนกลายเป็นศูนย์กลางความเคลื่อนไหวของโลก จีนสร้างบารมีทางเศรษฐกิจจากความสำเร็จในการจัดการโควิด-19 มีระดับการเจริญเติบโต จีดีพีทั้งปี ซึ่งคาดว่าประมาณ 2 เปอร์เซ็นต์กว่า และธนาคารโลกคาดว่าจีดีพีของอเมริกาปีนี้จะติดลบ 6

ท่านผู้ชมครับ ผมอธิบายเรื่องเกี่ยวกับแหล่งการค้า ตลอดจนสมาคมการค้า กลุ่มการค้าต่างๆ แต่ผมยังไม่ได้อธิบายให้ท่านผู้ชมฟังว่าจริงๆ แล้วจีนเตรียมตัวอะไรบ้าง

ท่านผู้ชมเชื่อหรือเปล่าว่า จีนเตรียมตัวที่จะชนกับทางตะวันตกมานานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งมา ถ้าท่านผู้ชมสังเกตให้ดีๆ ซึ่งผมไม่ทราบว่าท่านผู้ชมได้สังเกตเหมือนผมหรือเปล่า ผมเป็นคนชอบฟังผู้นำแต่ละชาติปราศรัย เพราะสิ่งที่ผู้นำแต่ละชาติปราศรัยนั้นมันซ่อนด้วยแนวนโยบายที่เขาคิดอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้นำจีน เพราะผู้นำจีนจะพูดอะไรแต่ละเรื่อง หมายความว่าเขาคุยกันภายในเรียบร้อยแล้ว เมื่อเขาคุยกันภายในเรียบร้อยแล้ว เขาก็จะออกมาแสดงจุดยืนในเรื่องดังต่อไปนี้ หนึ่ง เรื่องนี้ จะแสดงจุดยืนแบบนี้ๆๆ เพราะว่าจีนค่อนข้างจะมีความรวดเร็วในการประชุม เขามีกรมการเมือง ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Politburo มีอยู่ 11-12 คน หรือ 8-9 คน ผมจำไม่ได้แล้ว กลุ่มคนพวกนี้คือกลุ่มคนที่กำหนดทิศทางของประเทศจีนที่จะเดินหน้าต่อไป

เมื่อเขากำหนดเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาเอาทิศทางที่เขากำหนดไว้เรียบร้อยแล้ว มาประชุมสภาประชาชน ซึ่งปีหนึ่งเขาประชุมกันครั้งหนึ่ง ซึ่งจริงๆ เหมือนเป็นสภาตรายางน่ะ ก็คือเขาก็จะแถลงว่า จีนจากนี้ไปใน 5 ปีข้างหน้า ต้องทำอย่างนี้ๆๆ สภาประชาชนก็ยกมือ เห็นด้วยๆ แต่หลักๆ แล้วที่ประชุมกันก็คือ กรมการเมืองของจีน ก็คือ Politburo นั่นเอง และ สี จิ้นผิง ได้ประชุมไปเรียบร้อยแล้ว

ท่านผู้ชมครับ สี จิ้นผิง รู้อยู่แล้วว่าวันหนึ่งจีน ... เนื่องจากจีนมีปัญหาหลายปัญหาที่จีนต้องแก้ ปัญหาแรก คือเรื่องฮ่องกง จีนไม่ยอมเรื่องฮ่องกง เพราะเขาถือว่านี่คือพื้นที่ของเขา ความมั่นคงของจีน และความมั่นคงของฮ่องกง ต้องไปด้วยกัน นั่นคือที่มาของการที่เขาเทคโอเวอร์ฮ่องกง แล้วใช้กฎหมายความมั่นคงไป และผลของกฎหมายความมั่นคงก็คือ จับ โจชัว หว่อง เรียบร้อยแล้ว ที่ท่านผู้ชมรู้จากข่าว แต่จะพิพากษาให้ติดคุกกี่ปี ต้องรอวันที่ 2 ธันวาคม ศาลถึงจะนัดฟังคำพิพากษา แต่ศาลก็ไม่ได้ให้ โจชัว หว่อง และพรรคพวก ประกันตัว










อันที่สอง จีนมีปัญหาในเรื่องของการแบ่งแยกดินแดน จีนมีปัญหาในเรื่องของไต้หวัน ซึ่งไต้หวันกลายเป็นเด็กดื้อ ไม่ยอม และแอบอเมริกาเข้ามาหนุนหลัง ไม่ว่าจะเป็นการซื้อขายหุ้นให้ไต้หวัน หรือไปตั้งฐานทัพบางประการเป็นการลับๆ ในไต้หวัน เพื่อยันประเทศจีน

เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้าใครก็ตามจะมาหนุนให้ไต้หวันปีกกล้าขาแข็ง หรือ ไบเดน อาจจะมีข้อตกลงกับไต้หวันเป็นกรณีพิเศษ ว่าไต้หวันจะให้สหรัฐฯ ตั้งฐานทัพอยู่ในไต้หวัน เอาล่ะ ยุ่งล่ะสิท่านผู้ชม หลายท่านที่ศึกษาการเมืองระหว่างประเทศอาจจะบอกว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ผมจะเตือนอย่างหนึ่ง "ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่เป็นไปไม่ได้"










อันที่สาม จีนมีปัญหาเรื่องทะเลจีนตอนใต้ ซึ่งปัญหานี้คือปัญหาที่หนักอกจีน และเป็นปัญหาที่อ่อนไหวกับจีนมาก เพราะจีนทะลึ่งอ้างกรรมสิทธิ์บนเกาะแก่งแห่งที่ในทะเลจีนตอนใต้ว่าเป็นของจีนทั้งหมด ทีนี้จีนไม่ได้ทะเลาะกับประเทศเดียวแล้วสิ จีนทะเลาะกับเวียดนาม จีนทะเลาะกับมาเลเซีย จีนทะเลาะกับหลายประเทศ บรูไนก็ยังมี ทะเลาะกับฟิลิปปินส์ก็มี เพราะว่าเกาะแก่งในทะเลจีนตอนใต้นั้น จีนได้อ้างประวัติศาสตร์ตั้งแต่ราชวงศ์หมิง ราชวงศ์ซ้อง คือพูดง่ายๆ ว่า ทางประเทศที่เขาอยู่และเขายืนยันกันตรงนี้ เขาไม่ยอมรับ เหมือนกับจีนก็มีการทะเลาะเบาะแว้งกับประเทศญี่ปุ่นในเรื่องของเกาะเซนซากุ หรือที่จีนเรียกว่า เตี้ยวอี๋ว์ เกาะเตี้ยวอี๋ว์ ซึ่งญี่ปุ่นยืนยันว่าเป็นของญี่ปุ่น จีนก็ยืนยันว่าเป็นของจีน เพราะฉะนั้นแล้ว นี่คือที่มาว่าทำไมจีนถึงสร้างกองทัพเรืออย่างมหาศาลขึ้นมา เรือบรรทุกเครื่องบิน 2 ลำแล้ว อีก 3 ลำ จะสร้างภายในไม่เกิน 5 ปีนี้ อีก 5 ปีข้างหน้า จีนจะมีเรือบรรทุกเครื่องบิน 5 ลำ ซึ่งไม่ต้องทำอะไร ท่องทะเลจีนตอนใต้










อเมริกาก็ต้องดึงกองเรือที่ 6 กองเรือที่ 7 กองเรือที่ 5 มาผสมกัน เพื่อที่จะมาเผชิญหน้า คำถามมีอยู่ว่า สภาวะเศรษฐกิจอเมริกาที่กำลังตกต่ำอยู่นี้ สถานภาพเงินดอลลาร์อ่อนแรงลงไปอย่างมาก อเมริกาสามารถที่จะสนับสนุนให้มีการลงทุนทางด้านการทหารได้อีกมากน้อยแค่ไหน ไม่มีใครรู้ แต่ อเมริกาได้เปรียบ ได้เปรียบในเรื่องความชอบธรรม เพราะอเมริกาบอกว่า ทะเลจีนตอนใต้ หรือทะเลจีนตอนเหนือ หรือทะเลใดก็ตาม อะไรก็ตามถ้าพ้นฝั่งไปจำนวนกี่ไมล์ ตามกฎหมายทางทะเลแล้ว ทางเดินเรือนั้นเป็นทางเดินเรือที่อิสระเสรี จีนไม่มีสิทธิ์ที่จะกำกับได้ เพราะฉะนั้น อเมริกาก็มีสิทธิ์ที่จะเอาเรือรบวิ่งไปได้ โดยตราบใดที่จะไม่เข้าไป










ท่านผู้ชมครับ เฮนรี คิสซิงเจอร์ (Henry Kissinger) อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสมัยประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน อายุเกือบ 100 ปีแล้ว วันนี้ ได้ไปกล่าวสุนทรพจน์ แล้วเตือนอเมริกาไว้ บอกให้ระวังให้ดีๆ นะ เหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างจีนกับอเมริกาที่กำลังจะเกิดขึ้น และเกิดขึ้นอยู่ทุกวันนี้ อาจจะมีข้อผิดพลาด มีพลาดได้ ระวังจะมีการลั่นกระสุนคนแรก โดยใครก็ไม่รู้ และจะลุกลามไป เฮนรี คิสซิงเจอร์ พูดเลยนะว่า เป็นลักษณะของสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

ท่านผู้ชมครับ ตอนนี้ท่านผู้ชมเริ่มเห็นแล้วว่า อีกประการหนึ่ง จีนก็สร้างเส้นทางหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง เชื่อมต่อไปในโลก พูดง่ายๆ ก็คือ จีนกำลังบอกว่า จากนี้ไป ถ้าเส้นทางนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ฉันมีท่าเรืออยู่ที่จิบูตี แอฟริกา ฉันมีท่าเรืออยู่ที่พม่า 2 แห่ง ฉันมีท่าเรืออยู่ที่ศรีลังกา คือมีหมด










จีนก็จะเน้นไปทางนี้แล้ว ไม่สนใจอเมริกา แล้วอเมริกาก็ไม่มีทางที่จะเข้าเอเชียกลางได้ อเมริกาไม่ยอม เพราะว่า โจ ไบเดน พูดชัดเจนแล้ว โจ ไบเดน บอกว่า ฉันกลับมาแล้วนะ อเมริกากลับมาแล้วนะ I am back! ท่านผู้ชมเข้าใจหรือยังครับ

เพราะฉะนั้น ใครบอกว่า โจ ไบเดน เป็นผู้ที่ประนีประนอม ผมคิดว่าถึงจุดๆ หนึ่ง การประนีประนอมอาจจะไม่เวิร์กอีกต่อไป

ท่านผู้ชมครับ ที่ผมเล่าให้ฟังนี้ อธิบายความว่า ทำไม สี จิ้นผิง ช่วงหลัง รวมทั้งกรมการเมืองของประเทศจีน ถึงพูดคุยกันในเรื่องของการพึ่งพาตัวเอง จีนช่วงหลังนี้พยายามใช้นโยบายพึ่งพาตัวเอง หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ "เศรษฐกิจพอเพียง" นั่นเอง เพราะว่าจีนมีประชากรอยู่ 1,300 ล้านคน กำลังซื้อของคน 1,300 ล้านคน เป็นกำลังซื้อที่ใหญ่ที่สุดในโลก อินเดียยังสู้ไม่ได้เลย ไม่มีประเทศไหนสู้ได้ คนจีนจับจ่ายใช้สอยซึ่งกันและกัน เศรษฐกิจจีนถึงโตถึง 2 เปอร์เซ็นต์ ไง ในขณะซึ่งทั่วโลกติดลบหมด ก็เพราะว่าการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศ และจีน โดย สี จิ้่นผิง ชี้ เน้นเลยว่า จะเน้นการพึ่งพาตัวเอง และจะเน้นการจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศ และจะเน้นเรื่องเทคโนโลยี










นอกจากนั้นแล้วฉันยังมีทางบก ซึ่งจะเชื่อมต่อไปยังเอเชียกลาง ผ่านประเทศสถานทั้งหลาย ปากีสถาน ทาจิกิสถาน คาซัคสถาน เติร์กเมนิสถาน เขาเรียกเอเชียกลาง แล้วเข้าไปในยุโรป ไปถึงแฟรงก์เฟิร์ต ไปถึงฮัมบูร์ก อเมริกาก็โกรธสิ แปลว่าอะไร ? แปลว่าอีกหน่อยถ้าปล่อยให้เรื่องนี้มันสำเร็จได้ในที่สุดแล้ว การค้าของ
ท่านผู้ชมครับ การที่นายทรัมป์ ใช้นโยบายแข็งกร้าวกับจีนในเรื่องเทคโนโลยี อ๋อแน่นอนที่สุด จีนขโมยเทคโนโลยีอเมริกา ไม่ต้องพูดถึง ผมยอมรับว่าเป็นจริง การขโมยเทคโนโลยีไม่ใช่เรื่องใหม่นะท่านผู้ชม สมัยก่อนญี่ปุ่นก็ขโมยเทคโนโลยีของอเมริกา เกาหลีใต้ก็ขโมยเทคโนโลยีของญี่ปุ่น ไต้หวันก็ก๊อปปี้เขาแหลกราญไปหมดเลย ทุกอย่าง แล้วก็พัฒนาเทคโนโลยีของตัวเอง จีนก็เช่นกัน นั่นคือการเรียนลัด

แต่ในช่วงทรัมป์ เนื่องจากว่าความเจริญก้าวหน้าในยุคดิจิทัลมันเร็วมาก สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือว่า ในเรื่องของโทรศัพท์มือถือ ในเรื่องของการสื่อสารการโทรคมนาคม ในเรื่องของอวกาศ ในเรื่องของแพลตฟอร์มต่างๆ มันต้องใช้เทคโนโลยีบางอย่าง และมันต้องใช้วัตถุดิบ อย่างเช่น ชิป










แล้วปรากฏว่าชิป ที่มีความเร็ว แรงสูงนั้น คนที่เป็นเจ้าของคืออเมริกา นั่นคือเหตุผลหนึ่งว่าทำไม หลังจากที่นายทรัมป์ ห้ามไม่ให้บริษัทชิปในอเมริกาค้าขายกับหัวเว่ย ค้าขายกับจีน ยอดขายหัวเว่ยก็ตก แต่ ไม่มีใครที่ครองเทคโนโลยีอันใดอันหนึ่งไปตลอดชีวิตได้ ที่แน่ๆ จีนเร่งพัฒนาชิป เร่งพัฒนาเทคโนโลยีทางด้านนี้เยอะมากในขณะนี้ และ สี จิ้นผิง รวมทั้งข่าวที่ออกมาจากประเทศจีน เคยบอกว่า ไม่เกิน 3-4 ปี จีนจะก้าวทันเทคโนโลยีทางด้านนี้ โดยที่ไม่ต้องพึ่งทางตะวันตกอีกต่อไป

นี่คือประเด็น และนี่คือทิศทางวิสัยทัศน์ที่ สี จิ้นผิง มองให้กับจีน ถ้าจีนพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเองได้ โดยที่ไม่ต้องพึ่งตะวันตก ค้าขายในประเทศของตัวเองได้ โดยที่ไม่สนใจ ส่วนการส่งออก หรือการสั่งของเข้า จีนก็จะค้าขายเฉพาะประเทศที่ตัวเองอยากจะค้าขาย ถ้าเขาต้องการสินค้าทางการเกษตร เขาติดต่อกับลาว ติดต่อเขมร ติดต่อประเทศไทย ซื้อขายกันไปซื้อขายกันมา หรือถ้าเขาต้องการจะท่องเที่ยว ...

ท่านผู้ชมครับ การท่องเที่ยว อีกอันหนึ่ง ตอนนี้จีนยังปิดประเทศอยู่ เป็นเวลาตั้งแต่ปีที่แล้ว เดือนมีนาคม จนกระทั่งอีกไม่กี่เดือนจะมีนาคม ก็จะครบ 1 ปี จีนไม่ไปไหนเลย แล้วก็ไม่รับใครเข้าด้วย แล้วคนจีนไม่ได้เดือดร้อนนะท่านผู้ชม เพราะประเทศแผ่นดินใหญ่จีนมันกว้างเหลือเกิน มีที่ท่องเที่ยวเยอะ ไม่ว่าจะเป็นพระราชวังต้องห้าม ไม่ว่าจะเป็นจิ่วจ้ายโกว ที่เสฉวน ไม่ว่าจะเป็นที่โน่นที่นี่ ภูเขาเหอเหมย หรือภูเขาไท่ซาน










หรือแม่น้ำแยงซีเกียง แม่น้ำฮวงเหอ เขามีหมด คนจีนไปเที่ยวกัน ไปดูสิครับ เทศกาลต่างๆ พระราชวังต้องห้ามคนจีนแน่นเอี้ยดเลย คนต่างชาติไม่มี เพราะฉะนั้นเขาอยู่ของเขาได้ จีนอาจจะเปิดประเทศแล้วบอกว่า พวกคุณสามารถจะออกนอกประเทศได้แล้ว ถ้าไทยกับจีนตกลงกัน จีนก็บอก ประเทศไทยก็ดีกับจีน ถ้าอย่างนั้นให้คนจีนมาเที่ยวประเทศไทย วันนี้คนจีนไม่มีใครไปเที่ยวอเมริกา และนักเรียนที่เคยไปเรียนอเมริกา ก็หนีจากอเมริกากลับมาประเทศจีน แล้วก็ไม่เรียนออสเตรเลียด้วย เพราะจีนทะเลาะกับออสเตรเลีย เพราะออสเตรเลียเป็นลูกไล่ของอเมริกา คนจีนที่เรียนออสเตรเลียก็กลับมา ที่อังกฤษก็กลับมา ปรากฏว่ามาโผล่อยู่แถวสิงคโปร์และประเทศไทย ท่านผู้ชมเห็นหรือยัง เพราะฉะนั้น จีนเขาเตรียมพร้อมเรื่องพวกนี้มาแล้ว เขาก็รอดู

และในขณะเดียวกัน นอกจากพัฒนาเทคโนโลยีแล้ว เขาก็พัฒนาแสนยานุภาพทางทหารของเขา อย่างที่ผมเรียนให้ทราบว่า อีกไม่เกิน 5 ปี เขาจะมีเรือบรรทุกเครื่องบินอีก 3 ลำ แล้วจีนพัฒนาเทคโนโลยีทางอวกาศ เขากำลังจะยิงจรวดไปดวงจันทร์อีกครั้งหนึ่ง เพื่อไปเก็บก้อนหินในดวงจันทร์กลับมา










ถ้าเขาทำสำเร็จ เขาจะเป็นประเทศที่สองที่ทำสำเร็จได้ ถัดจากสหรัฐอเมริกา เพราะฉะนั้นเทคโนโลยีเขาไปไกลมาก แล้ว สี จิ้นผิง รู้ว่าสักวันหนึ่งเขาต้องถูกกดดัน ถ้าไปกดดันเขาเรื่องอุยกูร์ เขาก็จะบอกว่าเขาไม่ได้ทำอะไรผิด เขายืนยัน แล้วจะไปแซงก์ชัน ไปบอยคอตอะไรเขา เยอรมนีก็ต้องการพึ่งจีน ค้าขายกับจีน เพราะฉะนั้นแล้ว สิ่งที่ โจ ไบเดน หวัง จะไม่ง่าย ว่าจะรวมพันธมิตรให้มากดดัน

ออสเตรเลียตอนนี้สูญเสียรายได้จากการส่งออก จากประเทศออสเตรเลียเข้าประเทศจีน รายได้จากการส่งออกของออสเตรเลียหายไป 30-40 เปอร์เซ็นต์ สมมุติว่าเคยส่งออกได้ 100 บาท นี่ก็หายไปแล้ว 30-40 บาท ท่านผู้ชมว่าน้อยไปหรือเปล่า ? ไม่น้อย เยอะมากๆ คนที่อยู่ในออสเตรเลียกำลังลำบากกันอย่างมากๆ เพราะฉะนั้นแล้ว การเผชิญหน้าระหว่างจีนกับอเมริกาจะเผชิญหน้าอย่างแน่นอนที่สุด มาในยุคไบเดน จะเผชิญหน้าในอีกรูปแบบหนึ่ง แต่ยุทธศาสตร์ของอเมริกาไม่ได้เปลี่ยนแปลง เหมือนอย่างที่ผมพูดให้ฟัง เหมือนที่ผมพูดให้ฟังว่า นายไบเดน พูดจาชัดเจน ว่า ทำไมจะต้องให้จีนเป็นคนกำหนดกติการค้า อเมริกาต้องเป็นคนกำหนด










ไบเดน พูดไว้แล้วท่านผู้ชม อเมริกาต้องเป็นคนกำหนด ให้จีนกำหนดไม่ได้ นี่ก็คือการบอกว่า สี จิ้นผิง ลื้ออยู่ของลื้ออย่างสงบนะ อั๊วกำหนดกติการค้าอย่างไร ลื้อต้องเล่นตามอั๊วนะ ไม่อย่างนั้นลื้อลำบากนะ เห็นหรือยังท่านผู้ชม

ท่านผู้ชม ถ้าอ่านตรงนี้ให้ดีๆ ท่านผู้ชมจะเห็นได้ชัด ผมอ่านให้ฟังอีกที เผื่อท่านผู้ชมจะลืม ผมไม่อยากให้ลืมตรงนี้ มันเป็นความในใจและเป็นจุดยืนที่ผมเชื่อว่าอเมริกาก็จะใช้จุดยืนตรงนี้เป็นตัวที่เอามาใช้กับการค้ากับจีน ทุกวันนี้ ท่านผู้ชมรู้ไหมว่า ถึงแม้จีนจะลดระดับของการเกินดุลกับอเมริกาไป แต่ยอดเกินดุลก็ยังตกเดือนละแสนกว่าล้านเหรียญสหรัฐ เดือนที่แล้วที่ผ่านมา 160,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เพราะฉะนั้นแล้วท่านผู้ชมจะเห็นว่า เรื่องการค้าในที่สุดแล้วจะเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก เพราะว่าจีนก็ไม่ยอม อเมริกาก็ไม่ยอม ทำไมประเทศจีนจู่ๆ จะมาเข้า CPTPP ได้อย่างไร ?

ท่านผู้ชมครับ ผมจะพูดประโยคของ โจ ไบเดน อีกครั้งหนึ่ง เพื่อจะได้จำเอาไว้ "เราจะไม่ยอมให้จีนเขียนกติกาการค้าของโลกเป็นอันขาด อเมริกาต้องเป็นคนเขียนกฎกติกาเอง เพราะเราครองสัดส่วนการค้าโลกถึง 25 เปอร์เซ็นต์ และถ้าเราหาแนวร่วมประเทศประชาธิปไตยอื่นๆ มากกว่า 25 เปอร์เซ็นต์ เราก็จะเป็นผู้ตั้งกฎกติกา กำหนดถนนสายนี้ได้ แทนที่จะให้จีนและคนอื่นมากำหนดโดยไม่มีทางเลือก" เพียงแค่นี้ ท่านผู้ชมคงจะมองเห็นอนาคตแล้วใช่ไหม ว่าลักษณะการเผชิญหน้าของจีนกับอเมริกาในยุคไบเดน ไม่ได้ต่างกว่ายุคทรัมป์ เป็นเพียงแต่วิธีการจะไม่เหมือนกัน แต่ยุทธศาสตร์จะเหมือนกัน

ทั้งหมดนี้ผมเล่าให้ฟังแล้วว่าจีนกำลังเตรียมตัวปรับตัวอย่างไรบ้าง เพราะฉะนั้นแล้ว ท่านผู้ชมอย่าไปเชื่อว่า พอไบเดน มาแล้ว ความสัมพันธ์จะดีขึ้น ไม่ใช่ ความสัมพันธ์อาจจะดีขึ้นในภาพ แต่การเชือดเฉือนกันอย่างถึงลูกถึงคนก็ยังคงจะต้องมีอยู่เหมือนเดิม คำถามคือ ประเทศไทยจะยืนอยู่ตรงไหน ?










ท่านผู้ชมครับ เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน ม็อบคณะราษฎร 2563 ได้เปลี่ยนเส้นทางจากการจะไปชุมนุมประท้วงที่สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ แถวเทเวศร์ จู่ๆ ก็เปลี่ยนไปชุมนุมที่สำนักงานใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ นัยของสำนักงานใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ แท้ที่จริงๆ แล้ว ลึกๆ ก็คือ มีคนเสี้ยมสอนกลุ่มพวกนี้ว่า เนื่องจากทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์นั้นถือหุ้นอยู่ในธนาคารไทยพาณิชย์ เข้าไปโจมตีธนาคารพาณิชย์ ก็เท่ากับโจมตีสถาบันกษัตริย์โดยตรง เรื่องนี้มีอะไรที่ลึกลับซับซ้อนมาก ข้อมูลหลายอย่างที่เอามาเปิดเผยนั้น เป็นข้อมูลที่คนในธนาคารไทยพาณิชย์ หรือคนบางคนที่เคยเป็นใหญ่ในธนาคารไทยพาณิชย์ แล้วไม่ได้เป็นใหญ่อีกต่อไป หลังจากที่รัชกาลที่ 10 ขึ้นมา น่าจะเป็นคนที่ป้อนข้อมูลต่างๆ เหล่านี้ให้กับม็อบราษฎร 63










แต่ไม่เป็นไรครับท่านผู้ชม เดี๋ยวเราจะมีอะไรที่เปิดตัวออกมาเรื่อยๆ ทีละนิดๆ ท่านผู้ชมสบายใจได้ และคนที่อยู่เบื้องหลังหลายคน พวกคุณก็สบายใจได้ เรื่องของผมที่กำลังจะพูด ถึงตัวคุณแน่นอน สักวันหนึ่ง อีกไม่นาน เป็นตอนๆ ไป

คือถ้าเราพูดถึงสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ หรือทรัพย์สินที่เป็นของกษัตริย์นั้น เราต้องกลับเข้าไปในยุคสมัยรัชกาลที่ 1

รัชกาลที่ 1 สมัยนั้นได้มีการส่งสำเภาไปค้าขายกับต่างประเทศ ซึ่งหลักๆ ก็คงเป็นประเทศจีน หรือไม่ก็เป็นประเทศในภูมิภาคนี้ กำไรจากการค้าขาย ก็เลยเอามาแบ่งจับจ่ายใช้สอยให้กับแผ่นดินไทย เพราะตอนนั้นเงินในแผ่นดินไทยไม่พอจ่ายราชการ ก็เลยต้องเอาเงินกำไรจากตรงนี้มาจ่าย ต่อเนื่องมาจนถึงรัชกาลที่ 2

ท่านผู้ชมครับ ขอนอกเรื่องนิดหนึ่ง วันนี้พวกเด็กๆ ทุกคนออกมาบอกว่า เอาเงินของกูคืน ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์นั้นเป็นเงินของกู ของราษฎร ผมฟังแล้วผมก็อึ้งเหมือนกันว่าทำไมคิดกันไม่เป็น คนที่โวยวายพวกนี้ คุณรุ้ง ตระกูลคุณก็มีเชื้อจีน ทราบมาว่าครอบครัวคุณก็ขายของชำ คุณเพนกวิน ตระกูลคุณเคยรบชิงแผ่นดิน เคยรบปกป้องกับพม่าสมัยรัชกาลที่ 1 หรือก่อนรัชกาลที่ 1 หรือเปล่า ? ก็ไม่ใช่ ผมก็ลูกเจ๊ก ปู่ผมมาจากเมืองจีน เกาะไหหลำ คุณย่าผมเป็นคนไทย แม่ผมก็มาจากเมืองจีน แต่ผมเห็นว่าครอบครัวผมมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารของพระบารมีของพระมหากษัตริย์ไทย พ่อกับแม่สั่งสอนตลอดเวลาว่าให้รู้จักบุญคุณของพระมหากษัตริย์ไทย ซึ่งถ้าพูดถึงบุญคุณของพระมหากษัตริย์ไทยแล้ว มันต้องย้อนยุคไปตั้งแต่สมัยโบราณนู่น เขาสู้กันมาตลอด เขาสู้กับศัตรูที่ต้องการที่จะมายึดประเทศไทย ถึงกับพระนเรศวรมหาราช ถูกจับไปเป็นตัวประกัน ส่วนในขั้นตอนของการพัฒนาจากราชวงศ์ต่อราชวงศ์นั้น จะมีเรื่องฉาวโฉ่ หรือจะมีเรื่องที่มันขัดแย้งกัน เมื่อตอนผลัดแผ่นดินนั้น เป็นเรื่องธรรมชาติ ปกติธรรมดา ในทุกประเทศมีกัน ไปดูประเทศจีนสิ ฮ่องเต้แต่ละองค์ พอหมดยุคฮ่องเต้องค์นี้ปั๊บ ฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นมา ก็มีการปราบปรามกำจัดของข้าราชบริพารคนรุ่นเก่า เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องหลักสำคัญ เรื่องหลักสำคัญก็คือว่า ไม่ว่าฮ่องเต้ หรือกษัตริย์ไทย ล้วนแล้วแต่ปกป้องดินแดนไทยเอาไว้ เพราะฉะนั้นแล้ว คำพูดที่บอกว่า เอาทรัพย์ของกูคืนมา มึงเอาตรรกะอะไรมาพูด มึงดูตัวมึงเองบ้างหรือเปล่า ว่าต้นตระกูลของมึงมีส่วนในการปกป้องแผ่นดินไทยหรือไม่ นี่ไงท่านผู้ชม นี่คือปัญหาใหญ่ที่เด็กรุ่นหลังไม่มีราก แล้วคนที่สั่งให้กระทรวงศึกษาธิการไม่ต้องสอนประวัติศาสตร์อีกต่อไป ชื่อ จาตุรนต์ ฉายแสง จำชื่อคนๆ นี้เอาไว้ จาตุรนต์ ฉายแสง










คนเราไม่มีรากได้อย่างไร ผมยังรู้รากเลยว่าปู่ผมมมาจากไหน ย่า ย่าทอง เป็นลูกกำนัน อยู่ที่ จ.สุโขทัย ผมรู้ ทำไมคนไทยถึงไม่รู้ราก

ท่านผู้ชมครับ พอย่างมาถึงรัชกาลที่ 3 จากรัชกาลที่ 1 มาถึงรัชกาลที่ 3 รัชกาลที่ 3 พระองค์ท่านเป็นคนที่ค้าขายเก่งมาก เมื่อเป็นคนที่ค้าขายเก่งมาก ท่านค้าขายตั้งแต่สมัยยังเป็นพระเจ้าลูกยาเธอ แล้วท่านก็ชอบ ... เขาเรียกพระองค์ท่าน รัชกาลที่ 3 คือสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ว่าเป็น เจ้าสัว ก็คือร่ำรวย ก็คือแต่งสำเภาของตัวเองออกไป แล้วก็เอาไปขาย ขายข้าว ขายของ เพราะฉะนั้นแล้ว พอท่านมีกำไรขึ้นมา ท่านก็เอากำไรส่วนที่ท่านมีกำไรนี้ใส่ไว้ในถุง เขาเรียก "ถุงแดง"










อันนี้ต้องถือว่าเป็นเงินส่วนพระองค์ ที่พระองค์ท่าน รัชกาลที่ 3 เก็บไว้ ส่วนท่านจะพระราชทานใครก็ได้ อะไรก็ได้ ท่านมีสิทธิ์ แต่ท่านพยายามเก็บหอมรอมริบเอาไว้เพื่อจะให้เป็นสมบัติของแผ่นดินไว้ใช้ในยามยาก แล้วก็ได้ใช้ในยามยากจริงๆ

เพราะฉะนั้นแล้ว ท่านมีเงินอยู่ในถุงแดง รวมเบ็ดเสร็จแล้วประมาณ 4 หมื่นชั่ง ถ้าผมจำไม่ผิด 1 ชั่ง = 80 บาท ถ้า 4 หมื่นชั่ง คือ 3.2 ล้านบาท ท่านผู้ชมครับ 3.2 ล้านบาท เมื่อร่วมๆ 2 ร้อยปี เกือบๆ 2 ร้อยปีที่แล้ว มูลค่า ณ วันนี้มันเท่าไร มันน่าจะเป็น 3 หมื่นล้านล้าน หรือ 3 แสนล้าน

ท่านบอกว่า เอาอย่างนี้แล้วกัน ท่านบอกว่า ไหนๆ มีเงินอยู่ 4 หมื่นชั่ง ก่อนที่พระองค์ท่านจะสวรรคต ท่านก็บอกว่า ขอเก็บเอาไว้ 1 หมื่นชั่ง ก็แล้วกัน สำหรับคนที่จะครองราชย์ต่อจากพระองค์ท่าน พระองค์ท่านไม่ระบุว่าให้ใคร แต่ว่าท่านบอกว่า 1 หมื่นชั่ง เอาไปสร้างวัดวาอาราม ให้เป็นกุศลผลบุญ ส่วนที่เหลือ 3 หมื่นชั่ง เอาไปใช้ในแผ่นดินต่อไป คือท่านไม่ได้พระราชทานให้กับองค์ใดองค์หนึ่งเป็นพิเศษ พระราชทานเงินที่ท่านค้าขายมา 4 หมื่นชั่ง ท่านบอกว่า 3 หมื่นชั่ง เอาไปใช้ในแผ่นดิน อีก 1 หมื่นชั่ง ให้ใครก็ตามที่จะขึ้นครองราชย์ต่อจากพระองค์ท่าน เอาไปสร้างวัดสร้างทุกอย่างให้จบ










พอต่อมา ถึงรัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าอยู่หัว เผอิญพระองค์ท่านผนวชอยู่ 27 พรรษา คือถ้านับยุคสมัยนี้ก็อย่างน้อยเท่ารุ่นเกจิอาจารย์แล้ว พระองค์ท่านเป็นพระมาตลอด ก็เลยไม่ได้สะสมเงินทองอะไรเหมือนกับรัชกาลที่ 3 ที่พระองค์ท่านค้าขายส่วนตัว เอาสำเภาล่องออกไป ตั้งแต่สมัยยังเป็นพระเจ้าลูกยาเธอ พระคลังข้างที่ก็ค่อนข้างจะร่อยหรอลง

เอาล่ะ ท่านผู้ชมตามผมมา พอมาถึงสมัยรัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ท่านทรงแยกทรัพย์ส่วนพระองค์ออกจากทรัพย์สินแผ่นดินโดยเด็ดขาด เพราะว่ายุคของพระองค์ท่าน ยุครัชกาลที่ 5 เป็นยุคของการปฏิรูปและการพัฒนาประเทศในทุกๆ ด้าน พระองค์ท่านโปรดเกล้าฯ ให้มีการปฏิรูประบบการคลังใหม่ มีการจัดทำเป็นครั้งแรก งบประมาณแผ่นดิน เพื่อให้รายรับ-รายจ่ายแผ่นดินเป็นไปอย่างมีระเบียบ ซึ่งในการจัดทำงบประมาณในครั้งนี้ได้มีการแยกทรัพย์สินส่วนพระองค์ ออกจากทรัพย์สินของแผ่นดิน อย่างเด็ดขาด ไม่เกี่ยวกันเลย พระองค์ท่านแยกให้เสร็จเรียบร้อยเลย อันนี้ของฉันนะ ของเก่า ของเก่าที่ส่งคืนมาตั้งแต่รัชกาลที่ 1 ต่อ 2 ต่อ 3 ต่อ 4 แล้วมาถึงฉัน อีกส่วนเป็นของชาติบ้านเมือง เอาไป










ส่วนแรก ทรัพย์สินของแผ่นดิน ที่เขาเรียกว่า Nation Property อะไรบ้างล่ะท่านผู้ชม ที่ดินราชพัสดุ ที่ดินของรัฐทั้งหมดอยู่ภายใต้การดูแลของกรมธนารักษ์ นั่นล่ะคือทรัพย์สินของชาติ ส่วนที่สอง คือ ทรัพย์สินของพระมหากษัตริย์ ที่เขาเรียกว่า Royal Property มีไว้เพื่อใช้ในการส่วนพระองค์ โดยทรัพย์สินส่วนของพระองค์ที่จัดตั้งขึ้นมาเป็น "กรมพระคลังข้างที่" ซึ่งต่อมาพัฒนาเป็นสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์

ท่านผู้ชมครับ นี่คือกระบวนการ ขั้นตอน ที่ตรวจสอบได้ในประวัติศาสตร์ ถูกต้องหมด เพราะฉะนั้นท่านผู้ชมจะเห็นได้ว่า ทรัพย์สินของพระมหากษัตริย์ กับทรัพย์สินของแผ่นดินนั้น ได้แบ่งแยกกันออกมาอย่างชัดเจน ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 แล้ว กรมพระคลังข้างที่ ที่เป็นผู้จัดการดูแลพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ กล่าวคือ เมื่อรายได้ของแผ่นดินมากขึ้น จากการปฏิรูปกาเรงินเมื่อปี พ.ศ.2433 พระองค์ท่านก็เลยจัดตั้งกระทรวงการคลังขึ้นมาเป็นครั้งแรก เมื่อกระทรวงการคลังเกิดขึ้นมาแล้ว เศรษฐกิจดีขึ้น ก็เลยมีการจัดสรรเงินทองมาที่กรมพระคลังข้างที่เพิ่มเช่นกัน

ในช่วงแรก รายได้กรมพระคลังข้างที่ ที่นำไปเป็นค่าใช้จ่ายของพระองค์ท่าน และพระบรมวงศานุวงศ์ ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาพระราชวัง ค่าใช้จ่ายในการเสด็จฯ ไปศึกษาต่อต่างประเทศ ให้พระราชโอรสเป็นหลัก เมื่อรายได้มากขึ้น ก็เลยมีเงินเหลือจากค่าใช้จ่ายดังกล่าว ก็เลยเกิดการริเริ่มที่จะใช้ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ มาพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ก่อสร้างอาคาร ซื้อที่ดิน สร้างอาคารเป็นที่อยู่อาศัยให้ประชาชน ให้โอกาสคนทำมาค้าขาย นอกจากนั้นแล้ว ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ก็ยังเอาเงินไปลงทุน สร้างตลาดขึ้น นำค่าบำรุงตลาดไปใช้จ่ายพัฒนาเพื่อต่อยอดกับระบบสุขาภิบาล สาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ในเขตศูนย์กลางเมืองต่างๆ เหล่านี้ ควบคู่กับการตัดถนนของกรมโยธาธิการ

ท่านผู้ชมครับ หยุดตรงนี้ก่อน เงินที่ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เอาไปสร้างตลาดต่างจังหวัด จริงๆ พระองค์ท่าน กษัตริย์ไม่ได้หวังว่าจะร่ำรวยจากตรงนั้น แต่ใช้เป็นพื้นฐาน Infrastructure ให้เกิดขึ้นตามจังหวัดต่างๆ โดยใช้เงินส่วนพระองค์ท่านเอง เมื่อมีชาวบ้านมาเช่าตลาด ได้เงินค่าบำรุงตลาด พระองค์ท่านก็เอาเงินก้อนนี้ไปลงทุนพัฒนาระบบสุขาภิบาลและสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน เช่น ถนนหนทาง ก็คือเอาเงินทรัพย์สินส่วนพระองค์ เอาไปลงทุนเพื่อก่อให้เกิดการค้าขาย แต่กำไรนั้นเอาไปสร้างประโยชน์ให้กับแผ่นดิน










แล้วท่านผู้ชมรู้ไหมครับ เหตุการณ์วิกฤตแห่งชาติ ร.ศ.112 หรือ พ.ศ. 2436 สมัยรัชกาลที่ 5 ตอนนั้นไทยเกือบจะสูญเสียเอกราชแล้ว เพราะฝรั่งเศสเจ้าปัญหา ประเทศฝรั่งเศสที่คนอย่างปิยบุตร แสงกนกกุล ไปเรียนมา แล้วก็ไปซึมซับประวัติศาสตร์ชั่วๆ แล้วเอามาใช้กับประเทศไทย ฝรั่งเศสนี่ล่ะ ล่องเรือเข้ามาถึงปากน้ำ หันปืนใหญ่ ปืนน้อย จังกาเข้าสู่พระบรมมหาราชวัง วัดพระแก้ว ฝรั่งเศสยื่นคำขาดให้กับรัฐบาลสยาม มีอยู่ข้อหนึ่ง ให้จ่ายเงิน 3 ล้านฟรังก์ โดยชำระเป็นเงินเหรียญทันที เป็นการชดใช้ค่าเสียหายต่างๆ โดยกำหนดให้จ่ายให้ภายใน 48 ชั่วโมง ไม่อย่างนั้นแล้วกองทัพเรือฝรั่งเศสจะปิดอ่าวไทยทันที และสั่งทูตฝรั่งเศสแห่งสยาม สยามก็อาจจะตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสก็ได้ ตอนนั้น

ท่านผู้ชมครับ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ไม่เป็นอันเสวยหรือบรรทม หรือแถวบ้านผมเขาเรียกว่า กินไม่ได้ นอนไม่หลับ ประชวรหนัก เพราะความที่เจ็บช้ำน้ำพระทัย ขมขื่น ระทมทุกข์จากชาติฝรั่งเศสที่เข้ามารุกรานแผ่นดินสยาม ท้อพระทัยว่าพระนามพระองค์จะถูกลูกหลานในอนาคตติฉินนินทาไม่รู้จบสิ้น เปรียบเสมือนสองกษัตริย์ทวิราชที่สูญเสียเศวตฉัตรแห่งแผ่นดินกรุงศรีอยุธยาให้แก่กรุงอังวะ ในปี 2310 และเป็นที่ทราบดีว่า วิกฤตการณ์ปี ร.ศ.112 เป็นจุดเริ่มแห่งความเจ็บช้ำน้ำพระทัย










พระองค์ทรงตัดสินใจที่จะต่อสู้ หาเงินหาทองไปจ่ายฝรั่งเศส 3 ล้านฟรังก์ ท่านผู้ชมครับ การจะหาเหรียญเทียบเท่ากับ 3 ล้านฟรังก์ จำนวนมากใน 48 ชั่วโมง เส้นตายที่ให้มานั้น เงินในพระคลังไม่เพียงพอกับจำนวนที่ฝรั่งเศสเรียกร้อง แต่ว่ามีพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่เตือนให้ทราบถึง "เงินพระคลังข้างที่" สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว สะสมไว้จำนวนหนึ่งใน "ถุงแดง" ถุงแดงที่ตั้งไว้ข้างๆ ที่บรรทม คือสมัยก่อนก็เป็นถุงแดง มัดเอาไว้ ถ้าเป็นพัฒนาต่อมาเรื่อยๆ สิ่งที่จะเห็นก็คือว่า เอาใส่กระสอบ ใส่ลังไม้ ขุดดินลงไปแล้วก็ฝังดิน เหมือนกัน










เงินถุงแดง ก็เลยถูกนำมาใช้สมทบเป็นค่าปรับที่ฝรั่งเศสเรียกร้อง โดยนำไปสมทบกับเงินในท้องพระคลังหลวงที่มีอยู่ นำไปเป็นค่าปรับสงครามให้กับฝรั่งเศส ก็ยังไม่พอ 3 ล้านฟรังก์ เจ้านายชั้นผู้ใหญ่ทุกคน พระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการ บริจาคเพชรพลอย บริจาคสร้อยเพชรนิลจินดา จนกระทั่งครบ ขนเงินก้อนนั้นออกจากพระบรมมหาราชวังทางประตูต้นสน ไปยังท่าราชวรดิฐ (ท่าราชวรดิฐ ก็อยู่แถวๆ ธรรมศาสตร์นั่นล่ะครับ) ทั้งวันทั้งคืน ออกไปหลายเที่ยว เนื่องจากมีเวลาเพียง 48 ชั่วโมง น้ำหนักของเงินเเหรียญที่ใส่ออกรถไปหลายเที่ยว คำนวณมาแล้วมีน้ำหนักถึง 21 ตัน ท่านผู้ชมเห็นหรือยัง










กษัตริย์ที่มีความรักชาติ รักบ้านรักเมือง ปกป้องประเทศ ควักแม้กระทั่งเงินส่วนตัวออกมา เพื่อแก้ปัญหาวิกฤตของชาติ เพื่อไม่ให้ชาติตกเป็นอาณานิคมของประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเป็นประเทศที่ให้การศึกษาคนอย่างนายปิยบุตร แสงกนกกุล ที่ตอนนี้ต้องการที่จะปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ หรือ (ล้มล้างสถาบันกษัตริย์)

เพราะฉะนั้นแล้ว พอมาถึงยุครัชกาลที่ 7 พอมาถึงยุคพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของประเทศไทย ในวันที่ 24 มิถุนายน 2475 คณะราษฎร 2475 ที่คนอย่างนายเพนกวิน หรือรุ้ง หรือทุกคน พากันเทิดทูน เชิดชู ก็เข้ามายึดอำนาจ แล้วเปลี่ยนระบบจากสมบูรณาญาสิทธิราช มาเป็นระบบรวบอำนาจให้กับกลุ่มพวกตัวเอง ผมไม่ได้เรียกว่าระบบประชาธิปไตย เพราะในข้อเท็จจริงมันรวบอำนาจ มันตั้งสภาก็ตั้งด้วยตัวของมันเอง มันพอใจจะตั้งใครก็ตั้ง สภาของมัน ล้วนแล้วแต่เป็นคนของมันทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นแล้ว ไอ้พวกนี้มันไม่ต้องการที่จะมีระบบประชาธิปไตยจริงๆ ด้วยเหตุนี้ รัชกาลที่ 7 พระองค์ท่านทนไม่ไหว้ พระองค์ท่านทรงสละราชสมบัติเลย










ทีนี้ พอพระองค์ท่านสละราชสมบัติ ทรัพย์สินส่วนพระองค์ของพระองค์ท่านก็ตกอยู่กับพระองค์ เมื่อพระองค์กลายเป็นสามัญชนแล้ว คณะราษฎรยอมไม่ได้ เพราะพระองค์ท่านกลายเป็นสามัญชน แล้วทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ก็เป็นของพระองค์ท่านแล้วสิ ไม่ผิดนี่ ใช่ไหม ผมเปลี่ยนเรียบร้อยแล้ว มาเป็นสามัญชน เพราะฉะนั้นแล้วเงินต่างๆ ก็เป็นของผม คณะราษฎร ไม่ยอม เพราะคณะราษฎร มีจุดมุ่งหมายที่แฝงเร้น ซ่อนเร้น ก็เลยต้องมีกษัตริย์สืบทอดต่อไป ในรัชกาลที่ 7 เพื่อส่งต่อทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์นั้น เข้าไปสู่รัชกาลที่ 8 ต่อไป










แต่เผอิญ รัชกาลที่ 8 พระองค์ท่านตอนนั้นทรงเป็นยุวกษัตริย์ อายุ 11 ปี ศึกษาอยู่ในต่างประเทศ คณะราษฎร หรือคณะโจร 2475 มันกุมเสียงในสภา มันก็เลยใช้มติสภาตั้งคณะผู้สำเร็จราชการ ดำเนินการแทนรัชกาลที่ 8 ในทุกเรื่อง ท่านผู้ชมฟังให้ดีๆ คณะผู้สำเร็จราชการดำเนินการแทนพระองค์ในทุกเรื่อง คณะผู้สำเร็จราชการยุคที่เข้ามาดำเนินการนี้ ถ่ายโอนทรัพย์สินส่วนพระองค์ ได้แก่ พระองค์เจ้า อาทิตย์ ทิพอาภา










เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) พล.อ.เจ้าพระยาพิชเยนทรโยธิน คณะผู้สำเร็จราชการแทน ประกาศพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ กำหนดให้กรมพระคลังข้างที่ ลดบทบาทมาเป็น สำนักงานพระคลังข้างที่ อยู่ภายใต้การดูแลของนายกรัฐมนตรีโดยตรง ต่อมามีการแยกบัญชี "ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์" ออกจาก "ทรัพย์สินส่วนพระองค์" และมีการตั้งสำนักงานทรัพย์สินฯ ขึ้นมาดูแลทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ มีสถานะเป็นกรม สังกัดกระทรวงการคลัง มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานที่ปรึกษา










ท่านผู้ชมครับ อย่าไปฟังให้มันสับสนนัก ผมจะแนะนำให้ คณะผู้สำเร็จราชการฯ ที่ทำการแทนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 นั้น ประกาศพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ ซึ่งผมอธิบายไปแล้วว่า แยกทรัพย์สิน ซึ่งเดิมทีเป็นของกษัตริย์ คือกษัตริย์ ตั้งแต่รัชกาลที่ 5 พระองค์ท่านแยกทรัพย์สินออกมาตั้งนานแล้ว ว่าส่วนไหนเป็นของรัฐ เอาไปเลย ส่วนไหนเป็นของพระองค์ท่าน ท่านก็เอามาจัดการ ส่งเสียลูกหลานไปเรียนต่างประเทศ ค่าใช้จ่ายบำรุงรักษาพระบรมมหาราชวัง ตลอดจนเอาเงินนี้ เมื่อมีเงินมากขึ้นก็ไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ สร้างตึก สร้างอาคารให้คนเช่าอยู่ ในราคาถูก แล้วก็เอาเงินก้อนนี้ไปสร้างตลาดตามต่างจังหวัด เมื่อมีเงินกำไรเข้ามา ก็เอาเงินกำไรนั้นไปพัฒนา ไปปรับปรุงระบบสุขาภิบาล ไปทำโครงการขั้นพื้นฐาน สร้างถนนหนทาง เพราะฉะนั้นแล้ว ทรัพย์สินพวกนี้มันชัดเจนในตัวมันเองอยู่แล้ว แต่มันเริ่มมาวุ่นวายก็เพราะคณะราษฎร มหาโจร 2475 นี่ล่ะ เป็นตัวการ เพราะว่ามันไม่ต้องการให้รัชกาลที่ 7 ซึ่งทรงสละราชสมบัติ เป็นสามัญชนแล้วเอาทรัพย์สินนั้นกลับคืนไปหาพระองค์ท่าน มันต้องหากษัตริย์มาอีกคนหนึ่งเพื่อจะโอนทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์นั้น เข้าไปอยู่ในนามของกษัตริย์องค์นี้ แล้วมันก็มาสร้างองค์กรต่างๆ จับแยกทรัพย์สินต่างๆ ออกหมด เพื่อมันจะได้มีโอกาสเข้าไปควบคุม ไม่ว่าจะเป็นตั้งสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ออกจากทรัพย์สินส่วนพระองค์ ตั้งสำนักงานทรัพย์สินฯ มาดูแลทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ มีสถานะเป็นกรม สังกัดกระทรวงการคลัง มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นที่ปรึกษา คือทำทุกอย่าง และทุกอย่างที่ทำนั้นเป็นการจัดการโอนย้ายทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ให้อยู่ในความรับผิดชอบของผู้สำเร็จราชการแทน จากคณะราษฎร

แต่ท่านผู้ชมครับ รู้ไหม ในที่สุดแล้ว คณะราษฎร มหาโจร ส่วนใหญ่มันทำอะไรบ้าง มันก็เริ่มปล้นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ที่มันจับแยกออกมา ในระหว่างที่มันมีสำนักงานผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนเลย ในส่วนของพระคลังข้างที่ ได้มีขบวนการ ก็คือพระคลังข้างที่ มีเงิน พวกที่มีอำนาจใน 2475 มันเอาที่ดินส่วนตัวของมันไปขายพระคลังข้างที่ นี่ผมเล่าคร่าวๆ ก่อนแล้วกัน แล้วเดี๋ยวจะลงรายละเอียดให้ฟัง ขายยังไง ? สมมุติว่ามีที่ๆ หนึ่ง ซื้อมาไร่ละ 15 บาท แต่มันขายให้พระคลังข้างที่ 35 บาท ก็เอาเงินก้อนนั้นมา กำไร 20 บาท กี่เปอร์เซ็นต์ล่ะ ไม่ใช่กำไร 15 บาท กำไร 15 บาท ก็เท่ากับ 100 เปอร์เซ็นต์แล้ว ขาย 35 บาท แต่ต้นทุนแค่ 15 บาท กำไร 20 บาท ก็ 100 กว่าเปอร์เซ็นต์

เสร็จเรียบร้อยแล้ว คนที่มีอำนาจในคณะราษฎร เดี๋ยวผมจะเปิดเผยชื่อให้หมดเลย เป็นตัวตนให้ดู ก็ผ่องถ่ายทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ออกมา ให้ตัวเองเป็นคนซื้อในราคาถูก ทำกันเป็นขบวนการเลย จนกระทั่งมี ส.ส.คนหนึ่งที่อยู่ในสภา ส.ส.อุบลราชธานี ชื่อ คุณเลียง ไชยกาล และนายไต๋ ปาณิกบุตร ผู้แทนจังหวัดพระนคร เขาขอเปิดอภิปรายทั่วไป พร้อมกับสมาชิกอีกหลายท่าน เขาอภิปรายว่าอย่างไรรู้ไหมท่านผู้ชม ผมจะยกตัวอย่างให้ฟัง










"จะกล่าวถึงความคิดเห็นในเรื่องการตั้งคณะกรรมการราคา (คณะกรรมการราคา คือ เขาจะมีคณะกรรมการเป็นพวกคณะราษฎร เป็นคนกำหนดราคาขาย ราคาซื้อ) กรรมการที่ตั้งขึ้นเวลานี้ คณะกรรมการราคา คือ ขุนลิขิตสุรการ และนายประจวบ บุรานนท์ คนทั้งสองนี้ได้ซื้อที่ดินไว้ในมือแล้วทั้งหมด ก็คือปล้นมาเรียบร้อยแล้ว

ตัวอย่างที่หนึ่ง ยกตัวอย่างให้ฟัง กรมพระคลังข้างที่ โดยคณะผู้สำเร็จราชการ ได้ซื้อที่ดินของพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้า อาทิตย์ ทิพอาภา ประธานผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแทนพระองค์ในรัชกาลที่ 8 คือซื้อที่ดินโรงเรียนการเรือน (มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต) ในราคา 35 บาทต่อตารางวา แต่ขณะที่ราคาที่ดินข้างเคียงราคาเพียง 15 บาท กำไร 20 บาทต่อตารางวา










นอกจากนั้นแล้ว ข้าราชการในกรมราชเลขานุการ สำนักพระราชวัง คณะกรรมการกำหนดราคาที่ดิน สำนักพระราชวัง ผู้ใกล้ชิด ผู้สำเร็จราชการ ข้าราชการอื่นๆ ในสำนักพระราชวัง กลับซื้อที่ดินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นของตัวเองในราคาถูกๆ กลุ่มนี้ ไม่ใช่ซื้อเฉพาะโฉนดที่ดินที่กรมพระคลังข้างที่ที่เป็นเจ้าของเท่านั้น แต่ยังได้ซื้อโฉนดที่ดิน ซึ่งเป็นพระนามของพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 และรัชกาลที่ 7 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว

วิกฤตตรงนี้เป็นผลทำให้หัวหน้าคณะราษฎร พันเอก พหล ต้องลาออก แต่เนื่องจากว่าสภานั้นเสียงส่วนใหญ่เป็นของคณะราษฎร ก็เลยเลือก พันเอก พหล กลับมาอีกทีหนึ่ง มาเป็นนายกรัฐมนตรีเช่นเดิม

ทีนี้ มันมีบัญชีรายชื่อคณะราษฎร ที่เข้าไปเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ แต่ไม่ได้มีใครเปิดเผยว่ามีใครบ้างในคณะราษฎรที่ได้ซื้อที่ดินพระคลังข้างที่ในราคาใดบ้าง และที่ดินแปลงใดบ้าง แต่ว่าจากการอภิปรายแล้ว มี พันเอก พหล ที่ท่านพูดออกมาว่า ท่านไม่ได้ซื้ออะไรเลย










ท่านผู้ชมครับ นายไต๋ ปาณิกบุตร สมาชิกสภาผู้แทนฯ จังหวัดพระนคร อภิปรายว่า รู้ข่าวว่า พันเอก หลวงพิบูลสงคราม (แปลก พิบูลสงคราม) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ซื้อที่ดินดังกล่าวเช่นกัน ประมาณ 5 แปลง แต่หลวงพิบูลสงคราม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้โอนคืนกลับก่อนการอภิปรายในวันนั้น จะเกิดขึ้นประมาณ 2-3 เดือน

ที่โอนคืนไม่ใช่อะไรหรอก เพราะว่าที่ๆ ซื้อนั้นเป็นที่ชุมชน ไปไล่เขาลำบาก ถ้าไม่ใช่ที่ชุมชน ไม่มีทางคืนหรอก

เพราะฉะนั้นแล้ว เขายื้อทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ที่กำลังจะย้ายไปสู่กระทรวงการคลัง เพื่อเอื้อพรรคพวกตัวเองถ่ายโอนที่ดินเกือบ 4 เดือน ทีนี้ ก่อนที่กฎหมายฉบับนี้จะประกาศก็ได้มีการโอนที่ดินซึ่งเป็นทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ ให้บุคคลหลายคน การโอนนั้นเป็นการโอนอย่างกะทันหัน และเป็นการโอนที่เรียกว่า ภาษาที่เขาพูดสุภาพ "ไม่งาม" แต่ภาษาแถวบ้านผมเขาเรียกว่า "ทุเรศ และบัดซบที่สุด"

ท่านผู้ชมครับ ผู้แทนพระองค์ที่อยู่ในฝ่ายผู้สำเร็จราชการ มีอยู่ 3 ท่าน ใน 3 ท่าน ได้รับประโยชน์บ้าง บางท่านไม่ได้รับประโยชน์ ผลการอภิปรายครั้งนั้น อย่างที่ผมเรียนให้ทราบ พันเอก พหล ต้องลาออกไป ปรากฏว่าหลังจากนั้นเรื่องก็เงียบไป ที่สำคัญ อาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ไปเจอหนังสืองานศพของ พันเอก พหล พลพยุหเสนา










น่าสนใจมาก ในหนังสืองานศพมีแทรกไว้ด้วยรายละเอียด ชื่อบุคคลต่างๆ ที่ขโมย ที่ลักลอบซื้อที่จากพระคลังข้างที่ และซื้อที่จากทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ในราคาที่ถูก ผมยกตัวอย่างบางตัวอย่างให้ดูก็แล้วกัน

เมื่อเร็วๆ นี้ วันที่ 9 พฤศจิกายน 2561 พล.ท.สรภฎ นิรันดร อดีตรองเจ้ากรมยุทธการทหารบก บิดาชื่อ ขุนนิรันดรชัย หรือชื่อทหารก็คือ พันตรี สเหวก นิรันดร เป็นเจ้าของที่ดินย่านธุรกิจใน กทม. กว่า 90 แปลง










ท่านผู้ชม ขุนนิรันดร เป็นแค่ร้อยเอก สมัย 2475 แต่ตอนตายไปมีที่ดินอยู่ใน กทม. 90 แปลง มูลค่าหลายหมื่นล้านบาท ว่ากันว่าที่เขาประเมินกันคร่าวๆ น่าจะ 5-6 หมื่นล้านบาท ถ้าประเมินราคาปัจจุบันน่าจะเป็นแสนล้านบาท เขาเป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายธรรมนูญ นิรันดร พี่ชายต่างมารดา นายธรรมรัชต์ นิรันดร บุตรชายคนกลางของนายธรรมนูญ นางเยาวณี นิรันดร บุตรสาวคนโตของนายธรรมนูญ และบริษัท 31 สาธร จำกัด เป็นจำเลยที่ 1-4 ต่อศาลแพ่ง ขอให้เพิกถอนนิติกรรมแบ่งทรัพย์มรดกจำนวนทุนทรัพย์ 59,927,678 บาท










ท่านผู้ชมครับ นี่คือการทะเลาะกันในตระกูล นิรันดร ซึ่งต้นตระกูลคือ ขุนนิรันดร ที่เป็นคนที่มีบทบาทและมีอำนาจในคณะผู้แทนพระองค์

ท่านผู้ชมครับ ทายาทตระกูล นิรันดร ก็เลยไม่พอใจที่มีการแต่งตั้งคุณธรรมนูญ นิรันดร เป็นผู้จัดการมรดก และคุณธรรมนูญ นิรันดร ก็เสียชีวิตไปแล้ว ก็เลยฟ้องร้องคุณปราณี ภรรยาของคุณธรรมนูญ คุณเยาวณี บุตรสาวคนโต คุณธรรมรัชต์ บุตรชายคนกลาง ต่อศาลแพ่ง และอาญา ในข้อหายักยอกทรัพย์ ในขณะนี้อยู่ในการพิจารณาของศาล










ท่านผู้ชมครับ คุณธรรมนูญ เสียชีวิตไปแล้ว ปัจจุบันน่าจะอายุประมาณ 88 ปี คุณธรรมนูญ เป็นบุตรชายของ ขุนนิรันดรชัย ผู้ก่อตั้งธนาคารนครหลวงไทย ท่านผู้ชมครับ ผมตั้งคำถามนะ เป็นแค่ร้อยเอก ยศในคณะราษฎร 2475 แต่พอตายลงไปแล้ว มีทรัยพ์สมบัติวันนี้ประเมินได้ประมาณ ... เท่าที่ลูกหลานเขาฟ้องร้องกันอยู่นะ 5-6 หมื่นล้านบาท แล้วยังก่อตั้งธนาคารนครหลวงไทย อีกต่างหาก คำถามมีอยู่ว่า ขุนนิรันดรชัย เอาเงินมาจากไหน ?










ที่น่าสนใจ ทายาทบางคนที่กำลังมีเรื่องฟ้องร้องกันอยู่ เคยยอมรับ เขาพูดอย่างนี้ "อาจเป็นเพราะบาปกรรม เพราะที่ดินพวกนี้ คณะราษฎรยึดมาจากพระมหากษัตริย์ ทำให้ครอบครัวต้องสาป หลายคนเป็นเส้นเลือดในสมองแตก ป่วย ในตระกูลมีลูกหลานสืบสกุลน้อยมาก" ท่านผู้ชมเห็นหรือยังครับ เพราะฉะนั้นถ้าดูกันจะๆ จริงๆ แล้ว นี่คือตัวอย่างหนึ่งที่มีการเอาทรัพย์สินของพระมหากษัตริย์มาขายให้กับพวกตัวเองทั้งหมด

เอาล่ะ ผมจะมีตัวอย่างให้ดูแล้วกัน เผื่อที่จะได้เห็นได้ชัดๆ ว่าที่ผมพูดนั้นผมไม่ได้พูดโดยที่มโนเอา ท่านผู้ชมครับ มีอีกหลายตัวอย่างนะครับ

วันที่ 1 กรกฎาคม สำนักพระราชวัง พระคลังข้างที่ เป็นเจ้าของที่ดินผืนนี้ คนซื้อคือใครรู้ไหมครับ ? พระยาฤทธิ์อัคเนย์ ผู้ซื้อ โฉนเลขที่ 3243 ที่ไหน ? อำเภอบางรัก ซื้อเท่าไร ? 8 พันบาท










พันเอก พระยาฤทธิ์อัคเนย์ ชื่อ สละ เอมะศิริ เป็น 1 ใน 4 หัวหน้าคณะราษฎร ในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ถูกตั้งกระทู้ถาม วันที่ 1 กรกฎาคม เช่นกัน 2480 พระยาฤทธิ์อัคเนย์ เป็นผู้ซื้อโฉนดเพิ่ม เลขที่ 3130 อำเภอบางรัก ในราคา 700 บาท

วันที่ 1 กรกฎาคม 2480 พระยาฤทธิ์อัคเนย์ ซื้อที่ดินจากพระคลังข้างที่ โฉนดเลขที่ 2160 อำเภอบางรัก ราคา 1,300 บาท










ท่านผู้ชมครับ เอาล่ะ มาที่ทรัพย์สินของพระปกเกล้าพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 นายนเรศร์ธิรักษ์ เป็นผู้ซื้อโฉนดเลขที่ 4101 อำเภอบางซื่อ อาจจะเป็นแถวๆ ปูนซิเมนต์ไทย อยู่ นายนเศร์ธิรักษ์ ชื่อจริง ชื่อ นายแสวง ชาตรูปะวณิช ปัจจุบันตอนนี้ถูกตั้งกระทู้ถาม เป็นปลัดกรม แผนกสารบรรณ สำนักพระราชวัง










วันที่ 15 กรกฎาคม 2480 นายวิลาศ โอสถานนท์ ซื้อโฉนดเลขที่ 3845 ที่ไหน ? อำเภอบางรัก ราคา 6,000 บาท นายวิลาศ โอสถานนท์ เป็นผู้ก่อการคณะราษฎร 2475 สายพลเรือน

วันที่ 15 กรกฎาคม 2480 พระพิจิตรราชสาส์น ชื่อ สอน วินิจฉัยกุล คนที่นามสกุล วินิจฉัยกุล ก็มีเยอะ เคยเป็นรัฐมนตรีคลังมาแล้วก็มี นี่น่าจะเป็นต้นตระกูล วินิจฉัยกุล ซื้อโฉนดเลขที่ 4243 อำเภอบางซื่อ ราคา 5,945 บาท










วันที่ 16 กรกฎาคม 2480 หลวงนิเทศกลกิจ ชื่อ กลาง โรจนเสนา ซื้อโฉนดเลขที่ 586 อำเภอพระนคร อยู่แถวๆ ที่ผมอยู่นี้ ราคา 7,000 บาท ท่านเป็นผู้ก่อการคณะราษฎร 2475 สายทหารเรือ










วันที่ 16 กรกฎาคม 2480 นายเอก ศุภโปดก ซื้อโฉนดเลขที่ 1336 อำเภอบางกอกใหญ่ ราคา 2,488 บาท นายเอก เป็นผู้ก่อการคณะราษฎร 2475 สายพลเรือน

17 กรกฎาคม 2480 หลวงชำนาญนิติเกษตร์ ชื่อ นายอุทัย แสงมณี เป็นผู้ก่อการคณะราษฎร 2475 สายพลเรือน ซื้อโฉนดเลขที่ 3849 ที่ไหน ? อำเภอบางรัก ในราคา 9,231 บาท ท่านผู้ชม 9,231 บาท ต้องมีเนื้อที่ 1-2 ไร่ อำเภอบางรัก วันนี้ 1-2 ไร่ ราคาเท่าไร ? นี่ผมแค่ยกตัวอย่างเล่นๆ ตัวเลขง่ายๆ แถวนั้นน่าจะมีวาละ 1 ล้าน 1 ไร่ ก็ 400 ล้านบาท 2 ไร่ ก็ 800 ล้านบาท

ต้นตระกูลนั้นซื้อมาจากพระคลังข้างที่ ในยุคที่ต้นตระกูลตัวเองนั้นเป็นผู้ก่อการ 2475 ใช้อำนาจพวกนี้มาปล้นทรัพย์ออกไป










วันที่ 17 กรกฎาคม นายแสวง มหากายี ซื้อโฉนดเลขที่ 522 อำเภอบางรัก ในราคา 4,070 บาท แสวง มหากายี เป็นบุตรชายคนโตของมหาอำมาตย์ตรีพระยานครพระราม (สวัสดิ์) เลขานุการประจำพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา ประธานคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในรัชกาลที่ 8 ก็คือว่าพวกนี้ ตั้งรัชกาลที่ 8 ขึ้นมา แล้วเห็นว่าเป็นเด็ก ก็ถือโอกาสตั้งเลย เพื่อจะรับทรัพย์สิน ทรัพย์สมบัติ จากรัชกาลที่ 7 ที่สละราชสมบัติไปเป็นสามัญชน เข้ามาอยู่ในอ้อมอกรัชกาลที่ 8 แล้วพวกนี้ก็ออกกฎหมายแยกโน่นแยกนี่ แล้วก็รุมยำทรัพย์สมบัติของพระเจ้าอยู่หัว เอามาซื้อขายแบ่งสรรปันส่วนกันให้กับบรรดาผู้ที่เป็นผู้ก่อการใน 2475

นายสอน บุญจูง ซื้อโฉนดเลขที่ 2383, 2395, 2400 ราคา 5,584 บาท ท่านผู้ชมรู้ไหม โฉนด 3 ชิ้นนี้ อยู่ที่ไหน ? สำเพ็งครับ 3 ผืน ซื้อที่สำเพ็งในราคา 5,584 บาท 2480 ยังไม่ถึง 100 ปีเลย

นายสอน บุญจูง เป็นใคร ? เป็นผู้ก่อการคณะราษฎร 2475 สายพลเรือน

ท่านผู้ชมครับ วันที่ 17 กรกฎาคม สำนักพระคลังข้างที่ เจ้าของ นายนรราช เป็นผู้ซื้อโฉนดเลขที่ 2110 อำเภอบางรัก ในราคา 6,614 บาท

วันที่ 17 กรกฎาคม หลวงอรรถสารประสิทธิ์ ซื้อโฉนดเลขที่ 3473 อำเภอบางรัก ราคา 10,724 บาท หลวงอรรสารประสิทธิ์ หรือชื่อ ทองเย็น หลีละเมียร เป็นผู้ก่อการคณะราษฎร 2475 สายพลเรือน

ที่ดินของรัชกาลที่ 6 ก็โดนซื้อไป คนซื้อ ชื่อ นายประจวบ บุรานนท์ ซื้อโฉนดเลขที่ 6943 อำเภอบางซื่้อ ราคา 11,790 บาท นายประจวบ บุรานนท์ เป็นหนึ่งในคณะกรรมการกำหนดราคาที่ดินพระคลังข้างที่ คือพูดง่ายๆ ว่า ตั้งราคาเอง ซื้อเอง

เยอะแยะไปหมด ผมไม่รู้จะพูดอย่างไร ยังมีอีกครับ ยังมีอีก ยกตัวอย่าง เอาให้เห็นกันง่ายๆ ก็แล้วกัน ร้อยเอก กระวี สวัสดิบุตร ในวันที่ 17 กรกฎาคม เป็นผู้ซื้อโฉนดเลขที่ 380, 489, 530 อำเภอดุสิต ในราคา 5,480 บาท










ร้อยเอก กุหลาบ กาญจนสกุล ซื้อโฉนดเลขที่ 560, 2569 ราคา 6,734 บาท ท่านผู้ชมครับ ที่ดินนี้อยู่ที่สำเพ็ง ร้อยเอก กุหลาบ กาญจนสกุล หรือกำลาบ กาญจนสกุล เป็นผู้ก่อการคณะราษฎร 2475

หลวงยุทธศาสตร์โกศล ซื้อโฉนดเลขที่ 6128 น่าจะเป็นผืนใหญ่มาก ราคา 10,303 บาท หลวงยุทธศาสตร์โกศล ชื่อ ประยูร ศาสตระรุจิ เป็นทหารเรือ เป็นทีมงานของคณะราษฎร 2475

พระดุลย์ธารณปรีชาไวท์ เป็นผู้ซื้อโฉนดเลขที่ 24886 ราคา 14,000 บาท น่าจะเป็นผืนใหญ่ ท่านผู้ชมครับ ผืนนี้อยู่ที่สำเพ็ง พระดุลย์ธารณปรีชาไวท์ ชื่อ ยม สุทนุศาสน์

เพราะฉะนั้นแล้ว นี่คือ trick เล่ห์กลของคณะราษฎรในการปอกลอก ลักขโมยที่ดิน และทรัพย์สินของพระมหากษัตริย์นั้น สารพัดสารพัน ทุกรุปแบบ ขายของตัวเองไปแพงให้พระคลังข้างที่ เพื่อเอากำไรมาเยอะๆ ซื้อถูก ซื้อถูกกว่าเช่า ตั้งราคาซื้อเอง ให้ลูกน้องมาซื้อ

ท่านผู้ชมครับ หลักฐานมีหมด แล้วพวกที่ผมเอ่ยชื่อมา เผอิญรายละเอียดทั้งหมดนี้ มีชื่อ มีคนซื้อ รายละเอียดทั้งหมดนี้ อาจารย์ปานเทพ เป็นคนไปค้นมา ไม่ได้มโน สรุปง่ายๆ ว่า คณะราษฎร 2475 ที่คณะเรี่ยราด 2563 ภูมิอกภูมิใจนัก ชมนักว่าเป็นผู้ที่มีคุณูปการต่อชาติบ้านเมือง ใช่สิ ก็เพราะว่าคุณจงใจจะล้มล้างสถาบันกษัตริย์ คุณก็เลยมองข้ามเรื่องที่คณะราษฎรส่วนใหญ่ที่เลวทรามต่ำช้าพวกนี้ ยกเว้นท่านปรีดี พนมยงค์ และพันเอก พหล พลพยุหเสนา และบางคนแค่นั้น จำนวนน้อยมาก ไม่เกี่ยวข้อง แต่นอกจากนั้นแล้วทำมาหารับประทาน ไม่ได้ต่างอะไรกับนักการเมืองยุคนี้ เพราะฉะนั้นแล้ว จึงไม่มีอะไรน่าประหลาดใจที่รัชกาลที่ 7 ทรงสละราชสมบัติ เพราะพระองค์ท่านทรงรับไม่ได้กับความชั่วของคนพวกนี้ที่มีอยู่

ท่านผู้ชมครับ เห็นหรือยัง นี่คือไอดอลของเด็ก เชิดชูคณะราษฎร เป็นพระโพธิสัตว์ออกมาเปลี่ยนแปลงการปกครอง มันก็แค่สมบัติผลัดกันชม ที่สำคัญมันไม่ใช่สมบัติของพวกมึง เป็นสมบัติของพระเจ้าแผ่นดินแล้วมึงเอามายำ เอามาแบ่งขายกัน ท่านผู้ชมเข้าใจหรือยัง จงใจตั้งรัชกาลที่ 8 ขึ้นมา เพราะพระองค์ทรงพระเยาว์ อายุแค่ 11 ปี เพราะถ้าไม่ตั้งมา ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะผ่องถ่ายทรัพย์สินพระมหากษัตริย์เข้าไปสู่รัชกาลที่ 8 แล้วพวกตัวเองเข้าไปยำสมบัติต่างๆ เหล่านี้

ท่านผู้ชมครับ ที่น่าสนใจอย่างหนึ่ง วันนี้ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ได้กลับเข้าไปสู่ภายใต้การบริหารจัดการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 พระองค์ท่านมีสิทธิ์เต็มที่ พูดตามภาษานักเลงก็คือ สมบัติของเขาน่ะ มึงไปเสือกอะไรด้วย และที่สำคัญคือ เมื่อเป็นสมบัติของเขาแล้ว เขาทำอะไรกับสมบัตินี้บ้าง ท่านผู้ชมครับ รัชกาลที่ 9 พระราชทานที่ดินทำกินให้ประชาชนไป 5 หมื่นไร่ ท่านผู้ชมคิดว่ามันน้อยหรือ 5 หมื่นไร่ ยังไม่นับที่พระองค์ท่านเสด็จ ฯ ไปตามที่ต่างๆ สอนประชาชนให้ทำมาหากิน

รัชกาลที่ 10 ล่ะ ? ไม่ค่อยมีใครแถลง สำนักพระราชวังไม่แถลง รัฐบาลไม่แถลง พระองค์ท่านขึ้นครองราชย์ปี 2560 ท่านผู้ชมรู้ไหมว่า รัชกาลที่ 10 พระราชทานที่ดินไปแล้ว ในกรุงเทพฯ อย่างเดียว 300 กว่าไร่ พระราชทานไปแล้วนะ สวนดุสิตก็ได้ กองทัพบกก็ได้ ตำรวจก็ได้ ในต่างจังหวัดพระราชทานไปแล้ว 3,950 ไร่ รวมเบ็ดเสร็จพระราชทานไปแล้วร่วม 4 พันไร่










ท่านผู้ชมจำได้ไหม เงินที่มีผู้บริจาคถวายเป็นพระราชกุศล งานพระบรมศพรัชกาลที่ 9 ทั้งหมด 2,378 ล้านบาท พระองค์ท่านเอาเงินก้อนนี้บริจาคให้โรงพยาบาลทั่วประเทศ 26 แห่ง นอกจากนั้นแล้วพระองค์ท่านยังทยอยบริจาคเพิ่มเติมให้โรงพยาบาลต่างๆ ทั่วประเทศอีกกว่า 223 ล้านบาท รวมเบ็ดเสร็จแล้ว 2,600 ล้านบาท ที่ได้บริจาคไป พระองค์ท่านพระราชทานเงิน สิ่งของช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย 300 กว่าล้านบาท และที่สำคัญ ไม่ค่อยมีใครรู้ พระองค์ท่านช่วยเหลือโครงการเครื่องช่วยหายใจ เครื่องมือแพทย์ เพื่อรับมือโควิด ชุด PPE รถพยาบาลกู้ชีพ รถตรวจเชื้อ เบ็ดเสร็จแล้ว 490 กว่าล้านบาท แม้กระทั่งกรณีทีมฟุตบอลหมูป่าติดถ้ำขุนน้ำ-นางนอน ก็พระราชทาน 7.9 ล้านบาท รวมพระราชทานเงินไปแล้ว 3,400 ล้านบนาท










วันนี้เราไม่ได้เอาอะไรมาพูดเพื่อที่จะอวยเจ้าหรืออะไรทั้งสิ้น แต่เราเอาข้อมูลข้อเท็จจริงมาให้ดู ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เมื่อกลับมาอยู่ภายใต้การบริหารจัดการของรัชกาลที่ 10 ก็เท่ากับคืนทรัพย์เดิมที่ถูกคณะราษฎรปล้นไป แล้วทรัพย์เดิมมาอย่างไร ผมเล่าให้ฟังแล้วไง ตั้งแต่รัชกาลที่ 3 ทำมาหากิน มาถึงรัชกาลที่ 5 มีกระทรวงการคลัง มีสำนักงบประมาณ เศรษฐกิจดีขึ้น มีเงินเข้าพระคลังข้างที่มากขึ้น ก็เอาเงินพระคลังข้างที่นั้นไปลงทุนตามที่ต่างๆ

ท่านผู้ชมครับ ยังมีที่ดินอีกเยอะแยะในประเทศไทยที่ชาวบ้านเช่าอยู่ในราคาที่ถูกแสนจะถูก ถ้าคุณจะไปประท้วงที่ SCB ทำไมคุณไม่ไปประท้วงตามพื้นที่ ... แถวๆ นี้ บางลำพู ไปดูสิ ข้างๆ ออฟฟิศผม เป็นตึกสองชั้น ที่ทรัพย์สินฯ ทั้งนั้น ราคาเท่าไร คุณมาประท้วงสิ เอาบ้านกูคืนมา ทรัพย์สินของกูคืนมา กูมาทวงทรัพย์สินของกู ช่วงหลังมันมีกลุ่มคนจำนวนหนึ่ง กลุ่มคนจำนวนนี้เป็นกลุ่มคนที่ทำมาหารับประทานกับทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ กลุ่มคนจำนวนพวกนี้ซึ่งผมไม่อยากจะพูดว่าผมรู้ว่ามีใครบ้าง แต่รอเอาไว้วันดีคืนดีค่อยๆ เปิดไพ่แง้มมา มีบทบาททั้งธนาคารไทยพาณิชย์ ทั้งปูนซิเมนต์ไทย ทั้งทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ สร้างเครือข่ายขึ้นมา แถวบ้านผมเขาเรียกว่าทำมาหาแดกกับทรัพย์ที่ไม่ใช่ของตัวเอง

พอจู่ๆ แล้วเกิดมีการเปลี่ยนแปลง รัชกาลที่ 10 ขึ้นมา พระองค์ท่านตัดท่อน้ำเลี้ยงพวกนี้ไปหมดเลย แล้วพระองค์ท่านเข้ามาบริหารจัดการเรื่องราวต่างๆ ของพระองค์ท่านเองในลักษณะที่โปร่งใส และในลักษณะที่ถึงมือประชาชน คนที่เคยทำมาหากิน ทำมาหารับประทานก็หมดสิทธิ์ เมื่อหมดสิทธิ์แล้ว ก็เกลียด กลุ่มคนพวกนี้เป็นกลุ่มคนที่คอยให้ร้ายพระเจ้าอยู่หัวตลอดเวลา ตามเครือข่ายที่ตัวเองมีอยู่ แล้วก็เคลื่อนไหว แล้วกลุ่มคนพวกนี้่อยู่เบื้องหลังเด็กในการประท้วงครั้งนี้

ท่านผู้ชมครับ เรื่่องทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องธรรมดา ผม สนธิ ลิ้มทองกุล กล้าพูดออกมา แล้วผมยังมีทีเด็ดอีกเยอะ










ก่อนจะจบเรื่องนี้ ผมขอฝากข้อคิดให้คุณบรรยง พงษ์พานิช นิดหนึ่ง คุณบรรยง พงษ์พานิช เป็นอดีตศิษย์เก่าโรงเรียนวชิราวุธ คุณบรรยง พงษ์พานิช ได้โพสต์เฟซบุ๊กและให้สัมภาษณ์ บีบีซีไทย ผมคิดว่าไม่สวยงาม คุณบรรจง พูดในทำนองว่า ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์นั้น ให้ดีที่สุด คือย้อนกลับไปสมัยรัชกาลที่ 9 ควรจะเป็นอย่างนั้นดีกว่า ก็คือว่ามีคณะผู้บริหาร โน่นนี่นั่น เผอิญจังหวะหรืออย่างไรก็ไม่รู้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 พระองค์ท่านได้พระราชทานที่ดินในกรุงเทพฯ คืนให้กับโรงเรียนวชิราวุธ ที่นั้นอยู่ที่ไหน ? ซอยมหาดเล็ก 1 มหาดเล็ก 2 มหาดเล็ก 3 ประมาณหกสิบกว่าไร่ ที่อยู่แถวๆ สี่แยกราชประสงค์ หกสิบกว่าไร่ คิดเป็นเงินแล้ว โรงเรียนวชิราวุธ มีราคาที่ดินเป็นแสนล้านบาท คุณบรรยงครับ ถ้าคุณบรรยงเชื่อในเรื่องแบบนี้ว่าให้โยนกลับไปที่เก่า คุณบรรยงน่าจะไปทำหนังสือถึงคณะกรรมการโรงเรียนวชิราวุธ ซึ่งคุณเป็นกรรมการด้วย ถ้าผมจำไม่ผิด บอกว่า ไม่มีความประสงค์จะรับบริจาคที่ดินนี้มาเป็นของโรงเรียนวชิราวุธ ทำหน่อยน่ะ คุณอย่ามาเท่ อย่ามาพูดเท่ๆ โดยที่คุณไม่พิจารณาข้อเท็จจริง แล้วคุณชอบเปรียบเทียบว่าสถาบันกษัตริย์ควรจะเลียนแบบสำนักงานทรัพย์สินที่อังกฤษ อังกฤษเขากิน fish & chip นะ เมื่อเช้าผมเพิ่งกินข้าวคลุกกะปิ คนละบริบท คนละสิ่งแวดล้อม คุณเลิกโชว์โง่ได้แล้วคุณบรรยง










ท่านผู้ชมครับ วันนี้ค่อนข้างยาว แต่ได้น้ำได้เนื้อ ท่านผู้ชมคอยต่อไป ผมมีทีเด็ด ผมจะเล่าเรื่องของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งเป็นไอดอลของคุณเพนกวิน พริษฐ์ ชิวารักษ์ ให้สักตอนหนึ่ง แล้วท่านผู้ชมตัดสินใจเอาเองว่าสิ่งที่ผมพูดนั้นถูกหรือไม่ถูก วันนี้เอาเพียงแค่นี้ก่อน สวัสดีครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น