xs
xsm
sm
md
lg

[คำต่อคำ] SONDHI TALK : “ประเทศไทย” จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

เผยแพร่:



“สนธิ”ชี้กรณีตั้งภรรยาประธานบอร์ดการบินไทยเป็น ผอ.ฝ่ายกิจกรรมองค์กร สะท้อนว่าการบินไทยไม่เคยมีธรรมาิบาลแม้แต้ในยามที่บริษัทเจ๊งไปแล้ว ถือว่า “ชาญศิลป์” พูดอย่างทำอย่าง ตอนเข้ามาก็บอกอย่าให้มีการเล่นพรรคเล่นพวก แต่กลับทำเสียเอง เป็นการซ้ำเติมวิกฤติ ส่วนกรณีผู้ชุมนุม 14 ต.ค.ล้อมขบวนเสด็จ พร้อมชู 3 นิ้วใส่ และตะโกนถ้อยคำหยาบคาย แสดงให้เห็นว่าม็อบไม่ได้เสนอการปฏิรูปสถาบันอย่างจริงใจ แต่เป็นการแสดงความอาฆาตมาดร้ายและการชุมนุมครั้งนี้แทนที่จะชนกับรัฐบาล กลายเป็นชนกับสถาบันโดยตรง และเรื่องนี้ถือว่าตำรวจบกพร่องที่ปล่อยให้ม็อบไปอยู่ที่ข้างทำเนียบขณะมีขบวนเสด็จ นายกฯ ต้องสั่งย้าย ผบ.ตร.ในฐานะผู้นำหน่วย และตั้งกรรมการสอบ อย่าเห็นแก่พวกพ้อง ถ้ารักสถาบันจริงนายกฯ ต้องลงโทษ ผบ.ตร. เพราะความผิดพลาดครั้งนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่สุด เป็นเรื่องที่น่าเศร้า ต่อไปนี้ประเทศไทยจะไม่เหมือนเดิมแล้ว เมื่อเห็นม็อบเด็กออกมาแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อสถาบัน

วันที่ 16 ต.ค.63 เวลา 09.00 น. นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ไลฟ์สด “SONDHI TALK” ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ คุยทุกเรื่องกับสนธิ และช่องยูทูป Sondhitalk โดยวันนี้สิ่งที่จะพูดคงไม่พ้นเรื่องการชุมนุม 14 ตุลา เมื่อคุณสนธิมองดูเเล้วจากเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น ต้องยอมรับว่า “ประเทศไทยจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป” จะเป็นอย่างไรพรุ่งนี้พบกัน รวมถึงเรื่องความเศร้าของคนการบินไทย สายการบินแห่งญาติ ในขณะที่ทุกคนช่วยกันทำเพื่อองค์กร แต่ก็มีผู้ใหญ่บางคนไม่สนใจ พูดอย่างทำอีกอย่าง ติดตามได้ใน SONDHITALK : ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง Ep55 ประเทศไทยจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป



คำต่อคำ SONDHI TALK [16 ต.ค. 63] : ประเทศไทยจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป


วันนี้ผมจะมาบอกให้ฟังว่าช่องทางการติดต่อของ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" หรือ SONDHI TALK ได้ทางไหนบ้าง ทางแรกคือทางเฟซบุ๊ก ให้กด Like หรือกด Follow แล้วกดติดตาม แล้วเลือก See First ไปเลยในเพจ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" เมื่อชมแล้วก็ช่วยกันแชร์ออกไปมากๆ เพื่อให้บางคนที่ยังไม่ได้อยู่ดูได้ความรู้กับสิ่งที่ผมพูด แล้วเดี๋ยวนี้เราก็ไลฟ์สดผ่านยูทูปเช่นกัน ให้เข้าไปใน YouTube ค้นหาคำว่า SONDHI TALK กด Subscribe เอาไว้ เปรียบเสมือนห้องสมุดเคลื่อนที่ รวบรวมทุกอย่างตั้งแต่รายการในอดีต "มองโลก มองเรา กับสนธิ" "บันทึกลับบ้านพระอาทิตย์" จนมาถึงรายการ "SONDHI TALK"


สำหรับแฟนรายการคนไหนอยากดูเนื้อหา ตลอดจนการถอดคำพูดเป็น text ก็ให้เข้าไปที่ www.sondhitalk.com เพราะจะรวมไว้ในเว็บไซต์โดยแยกเป็นแต่ละหมวดหมู่ครบทุกเรื่องทีเดียวครับ


สุดท้าย สำหรับท่านผู้ชมที่ไม่อยากเห็นหน้าผม แต่อยากฟังเสียงผม อยากฟังเรื่องราวที่ผมพูด ก็เข้ามาฟังที่ podcast ถ้าท่านที่ใช้ iPhone - iOS ก็เข้าไปที่แอปฯ podcast เมื่อกดเข้าไปแล้วก็ search คำว่า SONDHI TALK ก็จะมีให้ทุกรายการ ส่วนท่านผู้ชมที่ใช้โทรศัพท์ระบบ android ก็กดเข้าไปเหมือนกัน แต่จะมีคำว่า Podbean แล้วก็กดเข้าไป

สวัสดีครับท่านผู้ชม วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2563 วันนี้มีเรื่องราวหลายเรื่อง และเรื่องที่สำคัญที่สุดที่ท่านผู้ชมคงจะรอรับฟังก็คือว่า ประเทศไทยจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว แต่ก่อนที่จะเข้าเรื่องราวต่างๆ ที่ผมอยากจะคุยด้วย ผมอยากจะเชิญชวนท่านผู้ชมหน่อยว่า วันที่ 18 นี้ คือวันอาทิตย์นี้ เรา โดยที่ผมจะทำหน้าที่เป็นประธานฝ่ายฆราวาสในการทอดกฐินให้กับวัดป่าภูแปก ญาณสัมปันโน ที่บ้านกกบก อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย ซึ่งเมื่อปีที่แล้วเราก็ได้ไปทอดที่วัดนี้เช่นกัน


วันที่ 17 กับ 18 กฐินงวดนี้มีพิเศษนิดหนึ่ง คือจะมีการเททองหล่อรูปเหมือนของหลวงปู่เสาร์ กันตสีโล ท่านผู้ชมครับ หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล นั้นเป็นอาจารย์ของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง เป็นต้นแบบปรมาจารย์คนเริ่มแรกของวัดป่า สายพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล เป็นบูรพาจารย์แรกในสายพระกรรมฐาน

รูปหล่อที่จะหล่อนี้ มีหน้ากว้างประมาณ 119 เซนติเมตร ตีสัก 120 ก็แล้วกัน คิดเป็นฟุต ก็คือหน้าตักกว้าง 4 ฟุต ก็ถือว่าเป็นพระรูปเหมือนที่องค์ใหญ่มาก ส่วนสูงตั้ง 145 เซนติเมตร ก็เกือบ 5 ฟุต ก็ประมาณเมตรกว่าๆ

โดยกำหนดการนั้น วันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2563 เวลา 9 โมงเช้า จะมีการตั้งองค์กฐินที่ศาลาเมตตาญาณสัมปันโน แล้วเปิดรับบริจาคทั่วไป

16.39 น. จะประกอบพิธีเททองหล่อรูปเหมือนองค์หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล

18.00 น. พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์เย็น และรับฟังโอวาทธรรมกัน

วันอาทิตย์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2563 เช้า 07.00 น. ตอนเช้า พระสงฆ์จะออกบิณฑบาตรอบศาลาเมตตาญาณสัมปันโน และถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์

10.00 น. คณะศิษยานุศิษย์และญาติธรรมพร้อมกันที่ศาลาเมตตาญาณสัมปันโน เพื่อทอดกฐินสามัคคี กรวดน้ำ พระสงฆ์อนุโมทนา ทั้งหมดเป็นอันเสร็จพิธี

ขอเชิญชวนท่านผู้ชมที่พอจะมีเวลาและอยากจะไปร่วมทำบุญด้วยตัวเอง ก็เชิญไปได้นะครับ พบกันที่วัดป่าภูแปก ญาณสัมปันโน บ้านกกบก อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย ในวันเสาร์ที่ 17 และวันอาทิตย์ที่ 18 ตุลาคม 2563

ท่านผู้ชมครับ อาทิตย์นี้มีเรื่องราวหลายเรื่องที่อยากจะพูดกับท่านผู้ชม เรื่องที่สำคัญที่สุดก็คงจะเป็นเรื่องประเทศไทยไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว แต่เรื่องนี้เอาไว้ตอนท้าย มีเรื่องราวต่างๆ ที่ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ควรรู้หลายเรื่อง เรื่องแรกที่อยากจะพูดก็เป็นเรื่องสั้นๆ เรื่องวัคซีนโควิดที่เกิดปัญหา มีอุปสรรคบางประการ ทำให้ไม่สามารถจะออกได้ในระยะเวลาที่เคยกำหนดเอาไว้

เรี่องที่สอง ก็คือเรื่องการที่รัสเซียได้คิดค้นขีปนาวุธระบบไฮเปอร์โซนิค เร็วกว่าเสียง 8 เท่า แล้วมันก็โยงไปถึงเรื่องที่ผมเคยพูดให้ฟังก่อนล่วงหน้า เรื่องเกี่ยวกับขีปนาวุธ จะเล่าให้ฟังเพื่อจะได้รับทราบว่าตอนนี้เหตุการณ์ก็เป็นไปอย่างที่ผมได้พูดไว้ทุกประการ

เรื่องที่สาม ก็คือเรื่องของคุณหมอชาญชัย คุณหมอชาญชัยเป็นอดีตผู้อำนวยการโรงพยาบาลที่ขอนแก่น แล้วก็มีเรื่องมีราวโดนย้ายเข้ากระทรวง แล้วก็ถูกตั้งกรรมการสอบ แล้วคุณหมอชาญชัยก็ไปร้องเรียนกับคุณอนุทิน ชาญวีรกูล หลังจากที่ปลัดกระทรวงสาธารณสุขคนเก่าเกษียณอายุไป คนใหม่มา ก็ย้ายคุณหมอชาญชัยกลับไปนั่งที่โรงพยาบาลขอนแก่น แต่ว่านั่งอยู่ได้ไม่กี่วันก็ถูกย้ายอีกที หรือพูดง่ายๆ ว่าถูกเตะกระเด็นไปที่โรงพยาบาลที่ร้อยเอ็ด เบื้องหน้าเบื้องหลังเป็นอย่างไร ? ผมคิดว่าน่าสนใจมาก ผมก็เลยเอาเรื่องราวต่างๆ มาเล่าให้ฟัง

เรื่องที่สี่ คือเรื่องของการบินไทย ซึ่งผมพูดมาแล้วไม่รู้กี่ครั้ง พูดจนเบื่อที่จะพูด แต่ครั้งนี้จำเป็นต้องพูด เพราะว่าเป็นเรื่องที่สำคัญ ที่แสดงให้เห็นธรรมาภิบาลของการบินไทยที่ไม่เคยมีเลย ทั้งๆ ที่ก่อนเจ๊ง และขณะที่เจ๊งก็ยังไม่มีเหมือนเดิม

เรื่องสุดท้าย ก็แน่นอนที่สุด เป็นเรื่องของม็อบวันที่ 14 ตุลาคม และอะไรทำให้ผมคิดว่าประเทศไทยไม่เหมือนเดิมแล้ว

ท่านผู้ชมครับ ขอคั่นนิดหนึ่ง คือมีเรื่องสั้นๆ แต่คิดว่าต้องเล่าให้ท่านผู้ชมฟัง เรื่องวัคซีนของโควิด-19 ตอนนี้โลกทั้งโลกกำลังรอดูผลของการค้นคว้าวัคซีน และการทดลองของบริษัทที่ผลิตวัคซีน ของประเทศจีนก็มี ของยุโรปก็มี ของอเมริกาก็มี


แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือว่า ในขณะนี้มีแนวคิดอยู่ 2 ทาง ทางหนึ่งก็คือว่า หลายประเทศ อย่างเช่นประเทศจีนนั้น ทางตะวันตกก็บอกว่ายังทดลองได้ไม่สุด คำว่า "สุด" หมายความว่าต้องทดลองกับประชากรเป็นหมื่นคน เพื่อจะดูว่ามันมีผลข้างเคียงไหม ประเทศจีนก็ได้ส่งไปทดลองที่หลายประเทศ ส่งไปทดลองที่บราซิล ส่งไปที่ทดลองที่ตะวันออกกลาง ไปอีกหลายๆ แห่ง ส่วนสหรัฐอเมริกานั้น ก็ร่วมทดลอง

ทีนี้ ทดลองขั้นสุดท้าย ในขณะนี้มีอยู่ 2 บริษัทที่มีชื่อเสียงมากในโลกนี้ แล้วสองบริษัทนี้เป็นสองบริษัทที่ประธานาธิบดีทรัมป์ กดดันมากที่จะให้ผลิตวัคซีนออกมาให้ใช้ให้ได้ ถึงแม้ว่าจะต้องข้ามขั้นตอนของการทดลองกับคนจำนวนมาก โดยประธานาธิบดีทรัมป์กดดันไปทางองค์การอาหารและยา ก็คือ FDA ที่เขาเรียกว่า Food and Drug Administration


แต่ปรากฏว่าองค์การอาหารและยาก็ไม่ยอม เพราะว่าประธานาธิบดีทรัมป์ต้องการที่จะให้วัคซีนที่จะออกมาโดยสองบริษัทนี้ ซึ่งคิดค้นสำเร็จแล้ว และทดลองขั้นที่ 1 ขั้นที่ 2 ไปแล้ว เหลือขั้นที่ 3 คือทดลองกับคน ให้รีบผลิตออกมาก่อนวันเลือกตั้ง วันที่ 4 เดือนพฤศจิกายน เพื่อที่จะได้คะแนนเสียงจากเรื่องนี้

ทีนี้มันก็มีการถดถอยอยู่ เพราะว่าล่าสุดเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม ที่ผ่านมานี้ ก็คือประมาณวันอังคารที่ผ่านมานี้ บริษัท จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ซึ่งเป็นบริษัทยาที่มีชื่อมากในอเมริกา


แล้วก็กำลังทดลองวัคซีนนี้อยู่ ปรากฏว่าเขาประกาศว่าเขาจะระงับการทดลองทางคลินิกวัคซีนโควิด-19 เพราะเขาไปค้นพบว่า เขามีคนที่นำวัคซีนนี้ไปทดลองแล้วเกิดอาการป่วยที่ไม่สามารถอธิบายได้ ของอาสาสมัครผู้ทดลองรายหนึ่ง เพราะฉะนั้นเขาเลยต้องหยุดทดลอง เมื่อหยุดทดลองแล้ว แน่นอนที่สุด เขาก็ต้องมาทบทวนดูว่าที่ทำไปนั้นมีข้อบกพร่องตรงไหนบ้าง และที่แน่ๆ หุ้นของจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ร่วงลงไปกว่า 2 เปอร์เซ็นต์ แล้วยังมีบริษัทคู่แข่งที่สำคัญของจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน คือแอสตราเซเนกา พีแอลซี (AstraZeneca PLC) ซึ่งใช้เทคโนโลยีคล้ายๆ กับจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน


แอสตราเซเนกา พีแอลซี นั้นเป็นการร่วมมือระหว่างบริษัทผลิตวัคซีนที่อยู่ในอเมริกา และที่มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ซึ่งบริษัทนี้ถูกระงับการทดลองมาตั้งเดือนหนึ่งแล้ว แล้วส่วนผสมของวัคซีนจะมีส่วนคล้ายๆ กับของบริษัท จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ที่ถูกระงับไป เพราะฉะนั้นแล้ว มีผู้อาสาสมัครรายหนึ่งที่อังกฤษ ก็ล้มป่วยลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ก็เลยชี้แจงเมื่อวันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม ว่า อาการป่วยกำลังได้รับการตรวจสอบจากคณะกรรมการที่ควบคุมในเรื่องนี้


ทางจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน อยู่ในกระบวนการเกณฑ์อาสาสมัครเข้าร่วมทดลองวัคซีนให้ครบจำนวน 6 หมื่นคน ในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้า เพียงแต่ผู้ป่วย 1 ท่านเกิดป่วยขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ ก็เลยทำให้ต้องระงับ


บรรดาผู้เชี่ยวชาญทางสาธารณสุขแสดงความกังวลว่า ทรัมป์อาจจะสร้างความกดดันแก่องค์การอาหารและยาสหรัฐฯ และผู้ผลิตยา ให้เร่งรีบป้อนวัคซีนที่ไม่มีความปลอดภัยเข้าสู่ตลาด เพื่อเพิ่มโอกาสให้ได้รับชัยชนะในศึกเลือกตั้งของเขา เพราะฉะนั้นแล้ว โอกาสที่จะได้รับวัคซีนที่ใช้ภายในวันที่ 4 นั้น ก็คงจะเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าบริษัท แอสตราเซเนกา เมื่อเดือนที่แล้วได้ระงับการทดลองขั้นสุดท้ายของวัคซีนทดลองโควิด-19 ที่เขาร่วมพัฒนากับมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด เพราะเขาเจอเหมือนกับที่จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน เจอ ก็คือว่า เกิดเจอผู้ที่ฉีดวัคซีนเกิดอาการป่วยอย่างรุนแรงโดยไม่ทราบสาเหตุในอาสาสมัครรายหนึ่งในอังกฤษ ก็เลยต้องหยุดไป เท่ากับเป็นความล่าช้าที่เกิดขึ้น


ท่านผู้ชมครับ สองกรณีที่เกิดขึ้นนี้ จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน กับแอสตราเซเนกา มันเป็นบทพิสูจน์อย่างหนึ่งงว่า การที่จะมีวัคซีนออกมานั้น ต้องทดลองในจำนวนคนหลักหลายๆ หมื่น หรือที่ถูกต้องเขาบอกว่าต้องเป็นแสนเสียด้วยซ้ำ แต่เขาคงจะไม่ไปถึงแสน เอาแค่หลักหมื่นก่อน ในขณะทดลองก็ยังเกิดปัญหานี้ เพราะฉะนั้นแล้ว ท่านผู้ชมครับ ถึงแม้จะมีวัคซีนออกมา ก็ไม่ได้เป็นการรับประกันว่าจะไม่มีอาการข้างเคียงเกิดขึ้น อันนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมากท่านผู้ชม เพราะว่าวัคซีนจะใช้ได้ผลก็ต่อเมื่อมีการทดลองแล้วทดลองอีก ทดลองแล้วทดลองอีก แต่วัคซีนโควิด-19 นั้น เป็นการเร่งกระบวนการอย่างเร็วที่สุด ทุกประเทศเอาเงินทุ่มไป ต้องการเงินในการค้นคว้าเท่าไร บอกมา เอาเงินใส่ให้ๆ แต่นั่นก็ยังไม่ได้รับประกันว่า ถึงแม้จะผ่านแล้วก็ตาม เมื่อฉีดเข้าร่างกายมนุษย์แล้ว ใครจะไปรู้ อาจจะเป็นผม อาจจะเป็นท่าน หรืออาจจะเป็นใครก็ตาม เกิดมีอาการที่ผิดปกติขึ้นมา เพราะเมื่อมีอาการผิดปกติขึ้นมา เขาก็ต้องมาไล่ทีละขั้นทีละตอนว่ามีปัญหาอะไรหรือเปล่า โดยเอาคนไข้คนนี้มาทดสอบ ทำย้อนศรกลับมา เพราะฉะนั้นแล้ว โอกาสที่จะมีวัคซีนในเร็วๆ นี้ หรือที่เร็วที่สุด ต้นปีหน้า ก็อาจจะต้องเลื่อนต่อไปอีก นี่ต้องถือว่าเป็นข่าวร้ายของวงการธุรกิจที่กำลังรอวัคซีนเรื่องนี้อยู่


ท่านผู้ชมครับ เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2563 เมื่อประมาณ 4 เดือนกว่าที่แล้ว ในรายการ SONDHI TALK หรือ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ผมได้พูดในหัวเรื่องสหรัฐฯ ดึงไต้หวันเป็นไฟขัดแย้งจีน ผมกำลังอธิบายเรื่องความเป็นไปได้ของการพัฒนาอาวุธขีปนาวุธที่ทางรัสเซียและจีนกำลังเร่งพัฒนากัน ที่มีความเร็วกว่าเสียง

ทีนี้ ในช่วงนั้น นายทรัมป์ได้โม้ออกมาว่า อเมริกาสามารถผลิตขีปนาวุธซึ่งมีความเร็ว เรียกว่า ไฮเปอร์โซนิค เร็วกว่าเสียง 27 เท่า ซึ่งผมเคยเล่าให้ท่านผู้ชมฟังแล้วว่า เมื่อผมเข้าไปในเว็บไซต์เรื่องอาวุธทางเทคโนโลยีทางสงครามแล้ว ก็ปรากฏว่า มีรายงานข่าวว่าจีนและรัสเซียมีขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิคมานานหลายปีแล้ว และขีปนาวุธของจีนและรัสเซียนั้น เร็วกว่าเสียงประมาณ 17 เท่า เพราะฉะนั้นแล้ว คนเขียนบทวิเคราะห์ซึ่งเป็นฝรั่ง ค่อนข้างจะมั่นใจว่า สิ่งที่นายทรัมป์พูดว่า 27 เท่านั้น คือการโม้


แต่ท่านผู้ชมครับ เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม สี่เดือนกว่าให้หลัง วันที่ 7 รัสเซีย โดยที่เสนาธิการใหญ่ของกองทัพรัสเซีย นายพลวาเลรี เกราซีมอฟ เขาได้เปิดเผยว่า รัสเซียได้ประสบผลสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ในการยิงถล่ม ใช้ขีปนาวุธยิงถล่ม ในความเร็วเหนือเสียงถึง 8 มัค คือเร็วกว่าเสียง 8 เท่า โดยที่เขาใช้เรือฟริเกต Admiral Gorshkov เป็นฐานในการยิง ยิงพวกนี้ขึ้นไปเป็นครั้งแรก ขีปนาวุธดังกล่าวตามรายงานข่าวของแหล่งข่าวรัสเซียทางสถานีโทรทัศน์ยืนยันว่า ได้ทำลายเป้าหมายด้วยการโจมตีโดยตรงเพียงครั้งเดียว

ท่านผู้ชมครับ ขีปนาวุธชุดนี้เขาเรียกว่า เซอร์คอน (Tsirkon) เซอร์คอนนี้ทะยานไปไกลกว่า 450 กิโลเมตร ยิงขึ้นไป แล้วขีปนาวุธนี้เดินทางด้วยความเร็วเกิน 8 มัค 8 มัค ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าเท่าไร ? คือเกือบๆ 10,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง


ระบบเซอร์คอน จะนำไปติดตั้งบนเรือดำน้ำและเรือผิวน้ำของรัสเซีย หลังจากเสร็จสิ้นการทดสอบ ท่านผู้ชม นัยตรงนี้มีสูงมาก เมื่อรัสเซียคิดได้ จีนก็ต้องมี อเมริกาก็ต้องมี แปลว่าอะไร แปลว่าสมการในเรื่องของการตั้งประจันหน้ากันพวกต่างๆ เหล่านี้ ณ เวลานี้ ไม่มีใครได้เปรียบหรือเสียเปรียบใครทั้งสิ้น จะมีอยู่อย่างเดียวเท่านั้นเอง เนื่องจากว่าในการวางกำลังที่ผมชี้ให้ดูเมื่ออาทิตย์ที่แล้วนั้น ลักษณะการวางกำลังของจีน รัสเซีย เกาหลีเหนือ และอิหร่านนั้้น เป็นการวางกำลังแบบหมากล้อม เอามาล้อมหมากรุก ซึ่งอเมริกาวางกำลังเอาไว้ เพราะฉะนั้นแล้วจะเห็นได้ว่า ยังไม่ทันไรเลย ผมพูดเมื่อ 4 เดือนกว่าที่แล้ว วันที่ 7 ตุลาคม ที่ผ่านมา รัสเซียได้พิสูจน์ชัดแล้วว่า เขามีขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิค ซึ่งถูกยิงด้วยความเร็วเกิน 8 มัค (1 มัค คือความเร็วของเสียงหนึ่ง 8 มัค คือ 8 เท่าของความเร็วเสียง) เพราะฉะนั้นแล้วผมไม่ประหลาดใจว่าใน 1-2 ปีนี้ เขาคงจะพัฒนาได้จนถึงสิบกว่ามัค แล้วความเร็วที่วิ่งก็คือ ชั่วโมงละเกือบๆ 1 หมื่นกิโลเมตร เพราะฉะนั้นแล้วจะเห็นได้ชัดว่า การซ้อมรบ ยิงขีปนาวุธร่อนความเร็วเหนือเสียงซึ่งใช้ชื่อว่า "เซอร์คอน" ของรัสเซีย เป็นการคอนเฟิร์ม ยืนยันว่ารัสเซียมีการวิจัยและพัฒนาขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิคมานานหลายปีแล้ว


ทีนี้ก็เลยต้องย้อนกลับมาหาพี่คิม จอง-อึน ของผมนิดหนึ่ง คราวที่แล้วที่ผมพูดถึง พี่คิม จอง-อึน ของผม จริงๆ แล้วสัปดาห์ที่ผ่านมาผมเพิ่งเล่าให้ท่านผู้ชมฟังว่า เกาหลีเหนือ นำโดยพี่คิม จอง-อึน มีหน้าที่เตรียมขีปนาวุธไว้สกัดญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ตามยุทธศาสตร์หมากล้อมของจีน เรียกว่า พี่คิมไม่พอใจอะไรก็กดปุ่มลูกเดียวล่ะ คราวนี้

สัปดาห์ก่อนผมจัดรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ตอนอเมริกา-จีน หมากรุกกับหมากล้อม" เมื่อวันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม ท่านผู้ชมครับ ผ่านไปวันเดียว คือวันที่ 10 ตุลาคม พี่คิมเขาก็โชว์ทันทีเลยว่าเขามีขีปนาวุธข้ามทวีปตัวใหม่ โดยมีข่าวว่ากองทัพเกาหลีเหนืออวดโฉมขีปนาวุธข้ามทวีปเคลื่อนที่ใหม่ระหว่างพิธีสวนสนามเมื่อวันเสาร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2563 เพื่อเฉลิมฉลองในโอกาสครบรอบ 75 ปี ของพรรคแรงงานเกาหลี ขีปนาวุธตัวนี้ เขาเอามาโชว์ 4 ลูก ถูกบรรทุกโดยยานพาหนะปล่อยจรวด มี 11 เพลา จรวดเหล่านี้คล้ายๆ กับ Hwasong 15


Hwasong 15 เป็นขีปนาวุธที่ร้ายแรงมากของเกาหลีเหนือ ทดสอบครั้งแรกเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2560 เมื่อสามปีที่แล้ว Hwasong 15 มีระยะการยิง 13,000 กิโลเมตร จะเห็นได้ชัดว่า เฉพาะ Hwasong อย่างเดียว วิ่งไป 13,000 กิโลเมตร จะต้องถึงอเมริกาได้


ทีนี้ ปรากฏว่าขีปนาวุธตัวใหม่นี้ ที่คิม จอง-อึน เอามาแสดงนี้ พลานุภาพสูงกว่า Hwasong 15 สูงกว่า ก็คือว่าไปได้ไกลกว่า 13,000 กิโลเมตร หมายความว่าอย่างไร ? หมายความว่าพิสัยของ Hwasong ตัวนี้ ก็สามารถที่จะไปถึงอเมริกาได้คลุมหมดเลย ทั้งนิวยอร์ก ยิงถึงนิวยอร์กได้ ยิงถึงวอชิงตัน ดี.ซี. ได้ พวกทางฝั่งตะวันตกของอเมริกา แคลิฟอร์เนีย หรือฮาวาย มันเรื่องจิ๊บจ๊อยแล้ว แค่ Hwasong ก็ยิงได้แล้ว แต่ตัวนี้มันยิงไกลกว่า Hwasong หมายความว่าอย่างไร ? หมายความว่ามันสามารถที่จะย้อนมาที่นี่ได้เลย จะเห็นได้ชัดเลย แปลว่าอะไร ? แปลว่าตอนนี้สิ่งที่อเมริกากลัว กำลังเกิดขึ้นแล้ว ก็คือว่าอเมริกาไม่ได้กลัวจีน หรือกลัวรัสเซีย เพราะคิดว่าจีนกับรัสเซียพอจะคุยกันได้ จีนกับรัสเซีนพอจะเข้าใจการบลัฟกันไป บลัฟกันมา แต่ที่สำคัญที่สุด ที่อเมริกากลัว ใครก็ตามที่ลั่นกระสุนนัดแรก เขาเกรงว่าพี่คิมจะกดปุ่มทันที ถ้าพี่คิมกดปุ่มทันที ท่านผู้ชมลองดูก็แล้วกัน ตูม! มันจะทำให้บาลานซ์ สมดุลของการประจันหน้ากันมันต้องพลิกผันไปเลย กลายเป็นสงครามเต็มรูปแบบ

และที่สำคัญอีกอันหนึ่ง อยากจะให้ท่านผู้ชมเห็นว่า ตอนนี้ ท่านผู้ชมครับ ผมเอาแผนที่ใหญ่ออกมาให้ดู เกาหลีเหนืออยู่ตรงนี้ เพราะฉะนั้นแล้ว ขีปนาวุธตัวใหม่ที่เหนือกว่า Hwasong 15 สามารถจะยิงข้ามตรงนี้ไปได้ คลุมได้ทุกจุดของอเมริกา ฟังแล้วน่ากลัวไหม แล้วท่านผู้ชมเชื่อหรือเปล่าว่า ถ้ารัสเซียคิดถึงไฮเปอร์โซนิคได้ ขีปนาวุธที่ใช้ความเร็วเหนือเสียงได้ ของเกาหลีเหนือ ในที่สุดก็คงจะได้เทคโนโลยีจากรัสเซียแล้วเอามาใช้ได้เช่นกัน ที่ร้ายกาจที่สุด ไม่มีใครพูด คือมีเว็บไซต์ที่มีคนวิเคราะห์เรื่องอาวุธนิวเคลียร์ โดยเมลิสซา แฮนแฮม (Melissa Hanham) เขายอมรับว่าขีปนาวุธรุ่นใหม่ของเกาหลีเหนือเป็นเหมือนปิศาจตัวหนึ่ง ปีศาจอย่างไร ? ก็คือว่า ธรรมดาแล้วมันจะมีขบวนการต่อต้านขีปนาวุธ สมมุติว่ามีการยิงขีปนาวุธซึ่งความเร็วเหนือ 13,000 กิโลฯ แล้วถ้าสมมุติว่าเกาหลีเหนือได้เอาความเร็วในเรื่องไฮเปอร์โซนิคเข้ามาประกบในขีปนาวุธตัวใหม่นี้ ความเร็วที่ยิงออกไปใน 1-2 ปีข้างหน้านี้ น่าจะเกิน 10,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ก็เท่ากับว่าภายใน 1 ชั่วโมง ไม่เกิน 1 ชั่วโมง ขีปนาวุธของเกาหลีเหนือสามารถจะยิงไปสู่อเมริกาได้


ที่ร้ายกาจที่สุด เมื่อขีปนาวุธยิงผ่านเข้ามาแล้ว จรวดที่ต่อต้านก็จะยิงขึ้นมาเพื่อทำลายขีปนาวุธนี้ แต่อย่างที่นางเมลิสซา แฮนแฮม พูด ขีปนาวุธตัวใหม่ของเกาหลีเหนือนี้เป็นปิศาจตัวหนึ่ง ก็คือว่าเมื่อยิงเข้าไปแล้ว แล้วมีจรวดยิงขึ้นมาต่อต้าน หัวขีปนาวุธจะแตกเลย จะกลายเป็นขีปนาวุธย่อยอีก 3-4 ตัว กระจายลงมาทันทีเลย เพราะฉะนั้นแล้ว จรวดที่ยิงเข้าไป มันกะเล็งไว้ที่ตัวนี้ แต่พอใกล้ๆ จะถึง มันแตกปั๊บ อีก 3-4 ตัววิ่งเข้ามา ป้องกันไม่ทันแล้ว นี่ผมกำลังพูดให้ฟังนะครับ


ถามว่าผมกลัวไหม ? ผมก็กลัว บางท่านผู้ชมก็อาจจะบอกว่า ถ้าอย่างนั้นแล้ว เราไม่ควรให้คิม จอง-อึน มีขีปนาวุธติดหัวรบนิวเคลียร์ใช่ไหม ? ถ้าตอบอย่างเป็นกลางและด้วยเหตุด้วยผล เราก็ต้องตอบว่า อินเดียก็มี จีนก็มี อเมริกาก็มี อังกฤษก็มี ฝรั่งเศสก็มี รัสเซียก็มี แล้วทำไมพี่คิม จอง-อึน เกาหลีเหนือจะมีไม่ได้ เขาก็บอกว่า คิม จอง-อึน นั้นเป็นผู้นำบ้าบอคอแตก พูดไม่ค่อยรู้เรื่อง ผมก็จะถามกลับว่า วันนี้ไอ้ทรัมป์บ้ามันพูดรู้เรื่องหรือเปล่า เข้าใจหรือยังท่านผู้ชม


เราไปเคยชินกับกระบวนการโฆษณาชวนเชื่อของสื่อทางตะวันตก วันนี้สื่อทางตะวันตกโจมตีคิม จอง-อึน เป็นปิศาจร้าย แต่คิม จอง-อึน ยังไม่เคยทำร้ายอะไรใคร นอกเหนือจากประเทศเกาหลีเหนือ คิม จอง-อึน เขาสร้างขีปนาวุธขึ้นมาเพื่อป้องกันตัวเอง และเพื่อเพิ่มอำนาจในการต่อรอง เพราะคิมพูดชัด เหมือนกับหนังสือกำลังภายใน บอกว่าไม่สำคัญอะไร สำคัญหมัดใครแข็งกว่า คนนั้นชนะ เพราะฉะนั้นแล้วก็เท่ากับว่าตอนนี้คิม จอง-อึน มีเรื่องที่จะต่อรองได้แล้ว จากนี้ไปแล้ว ถ้าจะไปเจรจากับคิม จอง-อึน จะยากเย็นยิ่งกว่าสมัยก่อน เพราะคิม จอง-อึน ก็จะนั่งกระดิกเท้าแล้วบอกว่ากูมีขีปนาวุธที่วิ่งได้ไปถึงวอชิงตัน ดี.ซี. จากเมืองเปียงยาง ทำไมฉันจะต้องเจรจา

มีอีกเรื่องหนึ่งที่เป็นเรื่องที่จะต้องชี้แจงให้ฟัง ก็คือว่า ในขณะเดียวกัน เกาหลีเหนือก็ได้คิดค้น ทดสอบ จรวดบรรจุอยู่ในเรือดำน้ำ ชื่อว่า SLMB เป็นจรวดพิสัยกลาง ก็ไม่กลางเท่าไร อาจจะต้นๆ ยิงได้ 450 กิโลเมตร แปลว่าอะไร ? 450 กิโลเมตรนี้ มันแปลได้ชัดเจนเลยว่า สามารถที่จะจอดห่างจากชายฝั่งทะเลญี่ปุ่นประมาณ 300-400 กิโลเมตร แล้วก็ถล่มญี่ปุ่น ถล่มเกาหลีใต้ได้ทันที


เพราะฉะนั้นแล้วท่านผู้ชมจะเห็นได้ชัดว่าสิ่งที่ผมพูด นี่คือ หมากรับ ที่ทางจีน รัสเซีย และอิหร่าน วางไว้ ก็คือเกาหลีเหนือ เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ชัดว่าความสัมพันธ์ระหว่างเกาหลีเหนือ กับรัสเซีย เกาหลีเหนือกับจีน เกาหนีเหลือกับอิหร่านนั้น แนบแน่นตลอดเวลา เกาหลีเหนือสมัยก่อนถูกบอยคอตทุกอย่าง แต่เขาไม่เดือดร้อน เพราะเขาสามารถที่จะเอาของที่เขาต้องการได้จากจีน เอาของที่ต้องการได้จากรัสเซีย เอาของที่ต้องการได้จากอิหร่าน เช่นเดียวกับอิหร่านที่ถูกกั๊กเอาไว้ บอยคอต ไม่ให้ค้าขายกับใครทั้งสิ้น แต่อิหร่านเมื่อ 2-3 เดือนที่ผ่านมา เซ็นสัญญาสันติภาพกับจีน 25 ปี ให้ความร่วมมือในเรื่องการทหาร การค้า การเศรษฐกิจ แปลว่าอะไร ? แปลว่าจีนซื้อน้ำมันจากอิหร่าน และในขณะเดียวกัน อิหร่านถ้าไม่สามารถจะซื้ออุปกรณ์สิ่งที่สำคัญจากยุโรป หรือจากอเมริกาได้ อิหร่านก็สามารถจะซื้อจากจีนได้


จีนในขณะนี้ก็มีเทคโนโลยีในเรื่องเครื่องบินโดยสาร โดยที่ไม่จำเป็นต้องซื้อแอร์บัส หรือไม่ต้องซื้อโบอิ้ง เพราะจีนนั้นผลิตเครื่องบินโดยสารพิสัยระยะบินประมาณ 5-6 ชั่วโมง ได้อยู่แล้ว และตอนนี้จีนก็ใช้เครื่องบินนี้ในประเทศ ฉะนั้นจะเห็นได้ชัดว่า ตอนนี้ 4 ประเทศจับมือร่วมกันแล้ว เขาพึ่งพาซึ่งกันและกัน จะเห็นได้ชัดว่า ตัวนี้ ท่านผู้ชมอย่าไปประมาท ตัวนี้คือตัวที่กั๊กเอาไว้ ที่ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ในกรณีที่มีความขัดแย้งและเกิดมีการปะทะกันเกิดขึ้น จะเห็นได้ชัดว่า ขณะนี้ความสมดุลในเรื่องของแต่ละกลุ่ม แต่ละประเทศนั้น เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามวิถีที่มีการคิดค้นอาวุธรุ่นใหม่ๆ เกิดขึ้นมา ท่านผู้ชมอย่าลืมเรื่องนี้นะครับ ก็เอาเป็นข้อมูลพิเศษเข้ามาให้ฟังกันในอาทิตย์นี้

ท่านผู้ชมครับ มีเรื่องๆ หนึ่งที่ผมคิดว่าทั้งผมและท่านผู้ชมก็คงจะไม่ค่อยจะเข้าใจ คือเรื่องของการโยกย้ายนายแพทย์ชาญชัย จันทร์วรชัยกุล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลขอนแก่น เรื่องนี้จริงๆ แล้วหลายคนติดตามข่าวมา รวมทั้งผมด้วย ฟังไปฟังมา ตอนแรกก็นึกว่าขัดแย้งกันธรรมดา แต่พอเช็กไปเช็กมาแล้ว มันมีความขัดแย้งกันที่ลงลึก อาจจะเป็นเพราะว่านายแพทย์ชาญชัย จันทร์วรชัยกุล นั้น หรือคุณหมอชาญชัย อดีตผู้อำนวยการโรงพยาบาลขอนแก่นนั้น เป็นคนที่แข็ง ไม่ยอมคนง่ายๆ


คุณหมอชาญชัยเคยถูกย้ายมาแล้ว 2 ครั้ง ครั้งแรก ในสมัยที่ยังมี สนช.อยู่ในตอนนั้น คือย้ายออกไปเลยจากโรงพยาบาลขอนแก่น แล้วจากโรงพยาบาลขอนแก่น เสร็จเรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นเขาก็ตั้งคุณหมอเกรียงศักดิ์ คุณหมอเกรียงศักดิ์ คือใคร ? คุณหมอเกรียงศักดิ์ คืออดีตประธานแพทย์ชนบท แล้วคุณหมอเกรียงศักดิ์ เท่าที่ทราบอยู่นั้น ไม่เผาผีกับคุณหมอชาญชัย จะเป็นเพราะเรื่องอะไร ผมก็ไม่รู้นะ ผมรู้แต่ว่าคุณหมอชาญชัยนั้น พอโดนย้ายไปปั๊บ คุณหมอเกรียงศักดิ์ก็ถูกส่งตัวกลับมาดูแลรักษาการเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลขอนแก่น แต่ไม่นานนัก ก็มีคุณ ... รู้สึกว่ายุคนั้นจะเป็นยุคที่ท่านอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขยุค คสช. ท่านก็ย้ายคุณหมอชาญชัยกลับมาอีกที นั่นก็เป็นครั้งแรกที่มีความขัดแย้ง ที่ทำให้เรามองเห็นได้อย่างเด่นชัด

ทีนี้ ต่อมาว่ากันว่า ท่านอดีตปลัดกระทรวงสาธารณสุขคนที่แล้ว เป็นคนที่สนิทสนมกับคุณหมอเกรียงศักดิ์มาก คือเป็นอดีตประธานแพทย์ชนบท ตอนที่คุณหมอชาญชัยโดนย้ายครั้งแรก นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ก็สั่งย้ายคุณหมอชาญชัยกลับมาทำหน้าที่ ผอ.โรงพยาบาลศูนย์ขอนแก่น ตามเดิม นั่นก็คือในยุค 2561 แล้วจู่ๆ มาถึงยุคที่คุณอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข แล้วก็มีนายแพทย์สุขุม กาญจนพิมาย ซึ่งเป็นอดีตปลัดกระทรวงสาธารณสุข ในยุคนั้น


ก็ย้ายนายแพทย์ชาญชัยอีกครั้งหนึ่ง โดยตั้งข้อหาแล้วคราวนี้ ไม่ได้ย้ายปกติธรรมดาแล้ว ตั้งข้อหาว่าคุณหมอชาญชัยเรียกรับเงินร้อยละ 5 จากบริษัทยา เข้าบัญชีกองทุนพัฒนาโรงพยาบาลขอนแก่น และถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง กรณีรับเงินบริจาคจากบริษัทยา เข้าสู่กองทุนพัฒนาโรงพยาบาลขอนแก่น ซึ่งอ้างว่าขัดต่อข้อกำหนดของ ป.ป.ช. และคุณหมอสุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงฯ ก็ย้ายมาเพื่อเปิดทางให้กับคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง


ซึ่งในการชี้แจงข้อเท็จจริงนั้น คุณหมอชาญชัยก็ชี้แจงเป็นข้อๆ ไป ยกตัวอย่างให้ฟังง่ายๆ ผมคงไม่เล่ารายละเอียดให้ฟังก็แล้วกัน เอาเป็นให้ทราบว่ามีความขัดแย้ง อย่างเช่น กองทุนพัฒนาโรงพยาบาลขอนแก่น คุณหมอชาญชัยก็บอกว่าเปิดมาตั้งแต่ปี 2560 แต่มติคณะรัฐมนตรีซึ่งเสนอโดย ป.ป.ช. ออกมาในเดือนมีนาคม 2561 และระเบียบเงินบริจาคออกช่วงเดือนมิถุนายน 2561 ก็คือพูดง่ายๆ ว่า เรื่องตั้งกองทุนพัฒนาฯ นี้ ตั้งมาก่อนที่ระเบียบของ ป.ป.ช. จะออก แต่คุณหมอชาญชัยก็ชี้แจงว่า ซึ่งเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2561 ก็ได้ปิดกองทุนทุกกองทุนของโรงพยาบาลฯ ไปอยู่ในกองทุนบริจาคโรงพยาบาลขอนแก่น โดยการบริจาคทำตามระเบียบอย่างเคร่งครัด และคุณหมอชาญชัยก็ยังชี้แจงว่า ตัวเองนั้นได้ช่วยรักษาเงินของค่าซื้อยา โดยให้ทางกลุ่มเภสัชกรไปต่อรองราคากับบรรดาผู้ค้ายาทั้งหลาย จนกระทั่งประหยัดเงินได้ 100 กว่าล้านบาท


อีกทีหนึ่ง คุณหมอชาญชัยก็เดินทางมายื่นเอกสารขอความเป็นธรรมกับนายอนุทิน ชาญวีรกุล หลังจากนั้น วันที่ 6 สิงหาคม ปีนี้เอง สิงหาคม กันยายน ตุลาคม 3 เดือนที่แล้ว คุณหมอชาญชัยก็เลยให้ทนายความยื่นฟ้องคุณหมอสุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมกับพวก รวม 7 คน ผิดข้อหาประมวลกฎหมายอาญา 157 ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่

ทีนี้ ข้อกล่าวหาที่คุณหมอชาญชัยฟ้องปลัดกระทรวงฯ ก็คือว่า คุณหมอสุขุม ปลัดกระทรวงฯ ตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงไม่เป็นไปตามกฎเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติที่เกี่ยวกับการร้องเรียนกล่าวโทษ กล่าวคือ ถ้าเป็นบัตรสนเท่ห์ ซึ่งเป็นบัตรสนเท่ห์อยู่แล้ว ให้พิจารณาเฉพาะรายที่ระบุหลักฐานกรณีแวดล้อมปรากฏชัดแจ้ง ตลอดจนชี้พยานบุคคลแน่นอนเท่านั้น จึงจะตั้งกรรมการสอบสวนได้ ซึ่งตามข้อเท็จจริง ตามหลักฐานของบัตรสนเท่ห์นั้น พิสูจน์ได้ชัดว่า พยานหลักฐานแวดล้อมไม่ปรากฏชัด ไม่ชี้พยานบุคคลที่แน่นอน และนายแพทย์ชาญชัยไม่ได้สั่งให้เรียกเก็บเงินจากบริษัทยาและร้านค้า และไม่ได้ข่มขู่ ตามที่กล่าวอ้าง


ทีนี้ เรื่องนี้ก็เลยกลายเป็นเรื่องที่โยกกันไปโยกกันมา และในที่สุดแล้ว ข้าราชการ บุคลากรทางการแพทย์ที๋โรงพยาบาลศูนย์ขอนแก่นนั้นก็รวมตัวกันเรียกร้อง เดินทางมาเรียกร้องกับท่านรองนายกรัฐมนตรี คุณอนุทิน ชาญวีรกูล ซึ่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขด้วย เรื่องก็เงียบไปสักพักหนึ่ง จนกระทั่งจู่ๆ ปลัดกระทรวงคนใหม่ คือ นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุขคนใหม่ ก็ลงนามคำสั่งกระทรวงสาธารณสุข ให้นายแพทย์ชาญชัย จันทร์วรชัยกุล กลับมาปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการโรงพยาบาลขอนแก่น ตามเดิม ซึ่งถ้ามองตามหลักการแล้ว ก็คือว่า น่าจะ คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ตรวจสอบแล้วน่าจะ นายแพทย์ชาญชัยไม่มีความผิดอะไร ถึงย้ายกลับมาที่ขอนแก่นได้


แต่พอกลับมา ไม่ถึง 10 วัน วันที่ 9 ตุลาคม ท่านปลัดกระทรวงฯ คนนี้ล่ะ มีคำสั่งให้คุณหมอชาญชัย ผู้อำนวยการโรงพยาบาลขอนแก่น ย้ายไปดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาลร้อยเอ็ด โดยมีนางนางตยา มิลส์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลบึงกาฬ รับตำแหน่ง ผอ.โรงพยาบาลขอนแก่น แทน ตรงนี้ล่ะครับ ก็เลยเป็นเรื่องขึ้นมา พอเป็นเรื่องขึ้นมาปั๊บ ก็เลยมีการเคลื่อนไหวต่างๆ จากบรรดาคณะแพทย์ต่างๆ และเภสัชกรที่อยู่โรงพยาบาลขอนแก่น ว่าเกิดอะไรขึ้น ทุกคนก็งงเป็นไก่ตาแตกว่าเกิดอะไรขึ้น เพิ่งจะย้ายไปเมื่อไม่นานมานี้เอง แล้วถูกย้ายกลับมาที่โรงพยาบาลขอนแก่น แล้วไม่ถึง 7 วัน 8 วัน หรือไม่ถึง 10 วันเสียด้วยซ้ำ เตะจากขอนแก่น ไปที่ร้อยเอ็ด ก็เลยรวมตัวแสดงจุดยืนต่อสู้คำสั่งโยกย้ายที่ไม่เป็นธรรม แล้วทั้งแพทย์ ทั้งพยาบาล เภสัชกร โรงพยาบาลขอนแก่น ต่างก็ชื่นชมจริยธรรมของนายแพทย์ชาญชัยว่าเป็นคนตรงไปตรงมา ยอมหักไม่ยอมงอ แล้วก็ทำงานเพื่อส่วนรวมจริงๆ ประหยัดเงินประหยัดทองให้กับโรงพยาบาลขอนแก่น แล้วบุคลากรที่อยู่ในโรงพยาบาลนั้นก็มีกำลังใจที่จะทำงาน

แล้วก็มีอยู่เล็กๆ น้อยๆ ซึ่งเป็นเกร็ด เผอิญมันมีตระกูลอยู่วิทยา คือตระกูลของคุณบอส วรยุทธ อยู่วิทยา แต่นี่คนละสายกันนะ อย่าเอามารวมกันนะ มีกองทุนเฉลียว อยู่วิทยานุสรณ์ ซึ่งคนดูแลกองทุนนี้ชื่อคุณปนัดดา อยู่วิทยา


เขาได้เตรียมตัวบริจาคเงิน 500 ล้านบาท เพื่อสร้างอาคาร 11 ชั้น ให้กับโรงพยาบาลขอนแก่น โดยกำหนดว่า ชั้น 11 ของตึกนี้จะทำเป็นหอสงฆ์ ก็คือจะทำเป็นที่พำนักรักษาสงฆ์ต่างๆ ที่อยู่ทางภาคอีสาน อนึ่ง ก็เหมือนกับสร้างโรงพยาบาลสงฆ์อีกแห่งหนึ่ง แต่ไม่ใช่เป็นทั้งโรงพยาบาล เป็นชั้น 11 แต่ว่าเผอิญมีเงื่อนไข เงื่อนไขว่า คุณหมอชาญชัยต้องอยู่ที่นี่นะ ถ้าไม่อยู่ก็จะไม่ให้ ปรากฏว่าคุณหมอชาญชัยโดนย้ายไปครั้งนั้น กองทุนอยู่วิทยานุสรณ์ก็เลยยุติ ไม่บริจาคเงินก้อนนี้ให้ พอตอนนี้ย้ายกลับมา แบบตึกเสร็จแล้ว ทางกระทิงแดงระงับโครงการไปรอบหนึ่ง แต่พอคุณหมอชาญชัยกลับมา ก็เดินหน้าต่อ วันที่ 9 ตุลาคม พอหมอชาญชัยถูกย้ายด่วน ก็ได้ข่าวว่าทางกระทิงแดงก็สั่งระงับโครงการไปอีก


ท่านผู้ชมครับ เรื่องนี้มันต้องมีเบื้องหน้าเบื้องหลังอย่างแน่นอนที่สุด คือถ้าเราพิจารณาจากเนื้อแล้ว เนื้อหาแท้จริงแล้ว ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขท่านไม่ควรที่จะหูเบา ท่านน่าจะรู้ว่ามีความขัดแย้งกันระหว่างหมอชนบท กับนายแพทย์ชาญชัย แล้วหมอชนบทในช่วงหลังนี้ก็เที่ยวมีความขัดแย้งกับชาวบ้านเขาไปทั่ว เพราะว่ามีลักษณะโอหังมมังการพอสมควร เหมือนกับว่ามีสิทธิมีเสียง มีอิทธิพลในกระทรวงสาธารณสุข แล้วนายแพทย์เกรียงศักดิ์ ท่านก็เป็นคนหนึ่งซึ่งอดีตเป็นประธานนายแพทย์ชนบท และก็ไม่ถูกกับนายแพทย์ชาญชัย แล้วเผอิญนายแพทย์เกรียงศักดิ์นั้น ท่านสนิทสนมกับท่านปลัดกระทรวงคนเก่าอย่างมาก มันก็เลยทำให้อดคิดไม่ได้ว่า นายแพทย์ชาญชัย ถูกย้ายในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง


ทำไมผมถึงพูดว่าเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง ? ท่านผู้ชมครับ เงินที่นายแพทย์ชาญชัย หักออกจากค่ายา การขายยามา 5 เปอร์เซ็นต์ ก็คือพูดง่ายๆ ว่าเขาลดให้ 5 เปอร์เซ็นต์เป็นพิเศษ แล้วเอา 5 เปอร์เซ็นต์ ก้อนนี้ เขาไม่ได้เอาไปใช้ส่วนตัว เขาเอามาใช้อีกกองทุนหนึ่ง แต่เป็นกองทุนที่เอามาพัฒนาโรงพยาบาลขอนแก่น ไม่ได้เข้ากระเป๋าคุณหมอชาญชัย ไม่ได้เข้ากระเป๋าใครเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ทางกระทรวงอ้างว่าผิดระเบียบ ซึ่งคุณหมอชาญชัยบอกว่า ระเบียบนี้มีขึ้นมาทีหลัง ซึ่งเขาทำก่อน และพอระเบียบนี้ออก เขาก็ไม่มีกองทุนนี้แล้ว เขาก็รวมเอาทุกกองทุนมาอยู่ตรงกลาง ผมคิดว่าตรงนี้ถ้าใช้วิจารณญาณ ใช้ความเป็นธรรม ใช้จริยธรรม และใช้ข้อเท็จจริงมาพิจารณา จะเห็นว่านายแพทย์ชาญชัย ถึงแม้ว่าจะผิดระเบียบ ก็ควรที่จะแค่ว่ากล่าวตักเตือนเท่านั้นเอง เพราะว่าเจตนาของนายแพทย์ชาญชัย ไม่ได้ต้องการคดโกงในเงินก้อนนี้ ผมคิดว่าเท่าที่ผมทราบมาก็คือว่า เนื่องจากว่ามีการต่อรองกันกับนายแพทย์ชาญชัย ว่าจะย้ายกลับไปที่โรงพยาบาลขอนแก่นเหมือนเดิมนะ แต่เมื่อย้ายกลับไปที่โรงพยาบาลขอนแก่นแล้ว นายแพทย์ชาญชัย ต้องถอนฟ้องท่านอดีตปลัดกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งคุณหมอชาญชัยฟ้องในข้อหาที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ เข้าใจว่าหมอชาญชัยคงไม่ยอมถอนฟ้อง เมื่อไม่ยอมถอนฟ้องแล้ว เข้าใจว่าคุณอนุทิน ชาญวีรกูล ก็คงคิดว่า เอาล่ะ พูดกันดีๆ ไม่รู้เรื่อง (ขอโทษนะครับ) ก็ย้ายแม่งอีกทีแล้วกัน ก็กระโดดจากโรงพยาบาลขอนแก่น เตะไปอยู่ที่โรงพยาบาลร้อยเอ็ด ทันทีเลย


คนที่อยู่ในวงในเขาก็บอกว่า คุณชาญชัยเขาจะไปถอนฟ้องได้อย่างไร ก็ในเมื่อพวกคุณยังฟ้องคุณหมอชาญชัยอยู่ในกรณีที่ไปหักเงินร้อยละ 5 จากบริษัทยา และเอามาใส่กองทุน ก็ยังดำเนินคดีฟ้องเขาอยู่โดยที่ไม่ยอมยุติ ในทำนองที่ว่า ถ้าคุณจะแฟร์ คุณจะให้ผมถอนฟ้อง คุณก็ต้องเลิกเรื่องนี้ เพราะว่าผมไม่ผิด เมื่อคุณไม่เลิก ผมจะไปถอนฟ้องได้อย่างไร


ทีนี้ ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ก็อาจจะเป็นเพราะว่าคุณอนุทิน ชาญวีรกูล อาจจะกลัว กลัวกรณีคุณถวิล เปลี่ยนศรี ท่านผู้ชมจำได้ไหมใช่ไหมครับ ท่านถวิล เปลี่ยนศรี อดีตเลขาธิการ สมช. สมัยคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี คือคุณถวิล ยุคนั้นเป็นเลขาธิการ สมช. แต่เนื่องจากคุณยิ่งลักษณ์ ต้องการจะเอา พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ขึ้นมาเป็น ผบ.ตร. แต่คนที่เป็น ผบ.ตร. ในตอนนั้นก็เผอิญเป็น พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ก็เลยต้องย้าย พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี มานั่งเลขาฯ สมช. อ้าว แล้วคุณถวิล ยังนั่งเลขาฯ สมช. อยู่ ก็เลยต้องย้ายคุณถวิล ออกไปอยู่สำนักนายกฯ เพื่อที่จะให้ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี สามารถจะลุกจากเก้าอี้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แล้วมานั่งเลขาฯ สมช. เพื่อที่จะดันให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ขึ้นมาเป็น ผบ.ตร. ตรงนี้ต่างหาก ผมคิดว่าคุณอนุทินกลัวว่าพอขึ้นศาลแล้ว ฟ้องไปฟ้องมาแล้ว เมื่อนำสืบแล้ว ถ้าเผื่อคุณชาญชัยชนะคดีเรื่องนี้ ก็จะพาดพิงมาถึงคุณอนุทิน ชาญวีรกูล ในฐานะที่เป็นผู้บังคับบัญชาสูงที่สุด ในฐานะเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข

คุณอนุทินครับ พี่หนูที่ผมรู้จักครับ จริงๆ แล้วเรื่องนี้ไม่ควรจะเป็นเรื่องเลย เรื่องที่ไม่เป็นเรื่องพวกนี้ ถ้าใช้หลักรัฐศาสตร์เข้าเจรจาบริหาร ถ้าสมมุติว่าเขามาร้องเรียนแล้ว คุณไปชี้แจงเขา บอกว่าคุณไปบอกปลัดกระทรวง เรื่องนี้ผมดูแล้วไม่มีอะไร ผมว่าแค่ว่ากล่าวตักเตือนแล้วก็จบไปเลยดีกว่า และเอาคุณหมอชาญชัย กลับไปอยู่โรงพยาบาลขอนแก่นเหมือนเดิม เรื่องก็จบ แต่อาจจะเป็นเพราะคุณอนุทิน คิดว่าตัวเองเป็นรัฐมนตรีฯ สาธารณสุข เมื่อสั่งแล้ว เมื่อขอแล้ว เมื่อตกลงรับปากกันแล้ว แล้วยังไม่ทำตาม ก็ต้องย้าย (แม่ง) ไปตามที่ๆ กูต้องการ


คุณอนุทินครับ คุณอนุทิน เป็นรัฐมนตรีฯ สาธารณสุข มาแล้วจากไป หมอชาญชัยเขายังคงอยู่ต่อไป และใครก็ตามที่โดนฟ้อง แล้วถ้าทำผิด ผมเชื่อว่าคุณหมอชาญชัยไม่ได้ทำอะไรผิด และผมก็เชื่อ เพราะว่าดูจากประวัติของคุณหมอชาญชัย จันทร์วรชัยกุล แล้ว เป็นคนที่ซื่อสัตย์สุจริต และตั้งใจทำงานเพื่อส่วนรวมจริงๆ การที่เขาอยู่โรงพยาบาลขอนแก่น นั่นก็เป็นการที่เขาสร้างความเจริญให้กับโรงพยาบาล ให้กำลังใจกับบุคลากรต่างๆ คุณอนุทินครับ ต้องเอาความขัดแย้งระหว่างคุณหมอชาญชัย กับคุณหมอเกรียงศักดิ์ เข้ามาพิจารณาด้วย และคุณหมอเกรียงศักดิ์ ท่านก็สนิทสนมกับท่านปลัดกระทรวงคนเก่าที่เพิ่งเกษียณอายุไป เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้าอ่านเกม คุณอนุทินเป็นคนที่ฉลาด ลึกล้ำ เกมการเมืองนี่อ่านทะลุหมด เกมแค่นี้ยังอ่านไม่ทะลุ แล้วคุณจะต้องมาเปลืองตัว เมื่อคุณย้ายเขาไปร้อยเอ็ดแล้ว คุณคิดว่าวิธีการแบบนี้จะทำให้คุณหมอชาญชัย ซึ่งเป็นคนที่แข็ง ยอมหักไม่ยอมงอ เขาจะยอมคุณหรือ เพราะเขาเป็นถึงผู้อำนวยการโรงพยาบาล อย่างมากคุณก็ย้ายเขาไปอยู่โรงพยาบาลโน้น โรงพยาบาลนี้ หรือก็เรียกกลับมาประจำที่กระทรวง เขาไม่เดือดร้อน ผมคิดว่าเมื่อเขาสู้ เมื่อสู้แล้วเลือดเข้าตา จะเป็นอะไรก็เป็นกัน ทีนี้ คุณอนุทิน ชีวิตคุณคุ้มหรือเปล่า เพียงแต่คุณหมอชาญชัย หรือคนขอนแก่น เขาอาจจะบอกว่า นี่ฝีมือของพรรคภูมิใจไทย แล้วกระจายข่าวกันไปเรื่อยๆ ในจังหวัดขอนแก่น ภูมิใจไทย ที่อาจจะมี ส.ส. ในขอนแก่น ก็อาจจะต้องลำบากในงวดหน้า เพราะเท่าที่ผมทราบ ทั้งประชาชน ทั้งบุคลากรทางการแพทย์ ต่างเชียร์คุณหมอชาญชัย ด้วยอารมณ์เพียงเล็กน้อย ผมคิดว่าเรื่องนี้ควรจะจบมาตั้งแต่ต้นแล้ว ผมคิดว่าการที่คุณหมอชาญชัยเขาจะฟ้องปลัดกระทรวงคนเก่านั้น ถ้าจะให้เขาถอนฟ้อง คุณก็ต้องให้กระทรวงนั้นพิจารณาที่กระทรวงกำลังเล่นงานเขาอยู่ และเมื่อพิจารณาจากเนื้อหาแล้ว มันไม่ได้ร้ายแรงอะไร และเขาไม่ได้ผิด เขาไม่ได้เอาเงิน 5 เปอร์เซ็นต์นั้น ไปเข้ากระเป๋าเขาเอง เขามาทำเพื่อโรงพยาบาล


นี่ล่ะครับท่านผู้ชม นี่คือเบื้องหลังทั้งหมด และผมคิดว่าที่ผมคิดออกมา แล้วเช็กออกมา ตรวจสอบออกมา ไม่ได้มีอะไรผิดปกติ ไม่ได้มีผิดพลาดไปมากกว่านี้อีกเลยแม้แต่นิดเดียว


เรื่องที่ผมจะพูดต่อไปนี้ เป็นเรื่องที่ผมเบื่อมาก ไม่ค่อยอยากจะพูดเลย เพราะพูดมาสิบปีแล้ว และสิบปีที่ผมพูด ก็เป็นความจริงทุกกรณี ทุกประการ ไม่ว่าใครจะออกมาโต้อย่างไรก็ตาม จนกระทั่งในที่สุดแล้ว ผู้หลักผู้ใหญ่ในรัฐบาล คุณถาวร เสนเนียม ก็ออกมายอมรับว่าการบินไทยมีปัญหา มีการทุจริตอย่างมากมายมหาศาล ยอดทุจริตสูงถึง 135,000 ล้านบาท ซึ่งถ้าหากเอาไปหักกลบลบหนี้กับยอดเจ้าหนี้แล้ว ก็จะเห็นว่าการบินไทยก็สามารถจะอยู่ได้


แต่วันนี้ผมจำเป็นต้องพูดอีกครั้งหนึ่ง เพราะว่ามันมีเรื่องบางเรื่อง เหตุการณ์บางเหตุการณ์มันเกิดขึ้น ซึ่งผมคิดว่าท่านผู้ชมควรจะรับทราบเอาไว้ เพราะมันตอกย้ำสิ่งที่ผมพูดมาตลอด ท่านผู้ชมคงจำได้ว่าการบินไทยนั้น ตั้งแต่แรกสุดแล้ว เมื่อมีวิกฤตเกิดขึ้นมา ผมเป็นคนที่มองโลกแห่งความเป็นจริง ผมบอกว่าการบินไทยต้องล้มละลาย จะฟื้นฟูไม่ได้ เพราะถ้าไม่ล้มละลายแล้ว จะแก้ปัญหาอะไรไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการปรับโครงสร้างต่างๆ หรือในการที่เราจะปรับปรุงตัวเราเอง คือพูดง่ายๆ ว่าต้องเหมือนนกฟีนิกซ์ ที่โดนไฟเผาแล้วก็ฟื้นขึ้นมาอีกที

ก็แน่นอนที่สุด ทุกคน หลายคนที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นพรรคภูมิใจไทย ซึ่งดูแลการบินไทยอยู่ ตั้งแต่คุณศักดิ์สยาม หรือท่านรองนายกรัฐมนตรี คุณอนุทิน ชาญวีรกูล ก็ล้วนแล้วแต่อยากให้มีการฟื้นฟูกันขึ้นมาทั้งสิ้น ท่านผู้ชมครับ ตอนนี้หนี้สินการบินไทยเมื่อคิดแล้ว ประมาณ 21 เท่าของทุน ถ้าพูดง่ายๆ ว่าหลักในการพิจารณาของการอยู่รอดขององค์กรแล้ว ถ้าหนี้สิน 21 เท่าของทุนแล้ว เขาต้องถือว่าเจ๊งเรียบร้อยแล้ว และผมก็เคยพูดว่าการฟื้นฟูนั้น แค่ยืดเวลาเจ๊งไปเท่านั้นเอง ท่านผู้ชมครับ ทำไมผมถึงพูดเช่นนั้น เดึ๋ยวผมมีเรื่องบางเรื่องที่ผมจะเล่าให้ฟัง


ที่ผมพูดเช่นนั้นก็เพราะว่า ผมมองว่าในขณะนี้ธุรกิจอะไรก็ตามมันต้องมีอุปสงค์ มันต้องมีดีมานด์ ในขณะนี้ธุรกิจอุตสาหกรรมการบินไม่มีดีมานด์ แม้กระทั่งไออาต้า (IATA) ซึ่งเป็นคนดูแลอุตสาหกรรมการบินทั่วโลก ยังออกมาประกาศเลยว่า โอกาสที่อุตสาหกรรมการบินจะกลับมาอีกครั้งหนึ่งได้ ต้องรอไปอีก 4 ปี ซึ่งมันสวนทางกับคำพูดของคณะกรรมการฟื้นฟูบางคน ที่ออกมาอย่างอหังการมมังการ โชว์ออฟตลอดเวลาว่าอีกไม่นานเราก็อยู่ได้แล้ว ไม่เกิน 3-4 ปี อยู่ไม่ได้หรอกครับ ดูไปทั่วโลก ก่อนที่ผมเข้ารายการนี้มา ผมก็สำรวจข่าวคราวเรื่องเกี่ยวกับอุตสาหกรรมการบินทั่วโลก ท่านผู้ชมครับ เจ๊งหมด ไม่มีเหลือ ไม่มีเหลือจริงๆ แต่ละคนลดคนไปหมื่นกว่าคน ยูไนเต็ดแอร์ไลน์ ลดไป 19,000 คน บริษัทเล็กๆ อย่างเช่น เวอร์จินแอร์ฯ ลดไป 1,500 คน

ทีนี้ การบินไทยก็เลยใช้วิธีโยกไปย้ายมา เหมือนเล่นแม่งูเอ๋ย ขยับไปซ้ายที ขยับไปขวาที มันไม่จบหรอก น่าสงสารคนการบินไทย ผมคิดว่าทำอะไรในขณะนี้ไม่ชัดเจนเลยแม้แต่นิดเดียว ผมคิดว่าคนการบินไทยเริ่มทำใจได้แล้วในขณะนี้ เยอะเลย เป็นเพียงแต่ว่า เขากำลังถามว่าแล้วจะทำอย่างไรกับสถานภาพของเขาอย่างนี้ จะให้เขาออก จะจ่ายเงินเขาอย่างไร ในที่สุดการบินไทยก็เลยมีแผนของการที่จะมี ... แผน 1 แผน 2 แผน 3 แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นหลัก


ประเด็นหลักคือว่า สมมุติว่าคุณจัดการเรียบร้อยแล้ว แล้วคุณจะอยู่ต่อไปได้อย่างไร เพราะว่าการบินไทยนั้น การบินทั่วโลกไม่มีใครอยู่ได้ในขณะนี้ สิงคโปร์แอร์ไลน์ก็ตัดคน คาเธ่ย์แปซิฟิคก็ตัดคน ประเดี๋ยวผมจะเอาลิสต์รายชื่อบริษัท 10 บริษัทดีที่สุดของสายการบินที่สำนักข่าว Skytrax ได้ลิสต์มาว่ามีบริษัทอะไรบ้าง แล้วแต่ละบริษัทที่บอกว่าดี ตอนนี้ใกล้เจ๊งกันทุกคนเลย


ท่านผู้ชมครับ สิ่งที่ผมจะพูดวันนี้ เป็นสิ่งที่ตอกย้ำให้เห็นถึงปัญหาการบินไทยในอดีต ซึ่งที่น่าเศร้าใจและน่าเสียดายมากๆ ก็คือว่า ทั้งๆ ที่รู้ว่าเรื่องนี้ เรื่องเล่นพวกเล่นพ้อง เอาเมียผู้ใหญ่ ลูกผู้ใหญ่เข้ามา เข้ามาดำรงตำแหน่ง ไม่มีความสามารถ ไม่มีคุณสมบัติพอ เหตุผลเพราะว่าเป็นเมียผู้ใหญ่หรือเป็นลูกของผู้ใหญ่นั้น สมัยก่อนมันเป็นอย่างไร สมัยนี้แม้กระทั่งในภาวะการณ์ที่มันเจ๊ง ก็ยังทำกันอยู่ เมื่อมันเป็นเช่นนี้แล้ว การบินไทยจะมีอนาคตได้อย่างไร ผมดูลิสต์รายชื่อคน และดูตำแหน่งแล้ว จนวันนี้การบินไทยไม่ได้บินไปไหนเลย เรายังมีตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการตั้ง 7 คน จริงๆ โครงสร้างการบินไทย ณ วันนี้ นอกจากมีดีดีคนหนึ่งแล้ว มีแค่รองอีกไม่เกิน 3 คน ก็พอแล้ว หรือ 2 คน ก็ยังพอ แต่ไม่ ก็ยังอยู่เยอะเหมือนเดิม ทุกคนก็ยังหวังว่าเมื่อการบินไทยไปได้แล้ว ทุกคนขอดิ้นรน วิ่งเต้นเพื่อจองสิทธิ์ ท่านผู้ชมจำคำว่า "จองสิทธิ์" ได้ใช่ไหมครับ


ท่านผู้ชมครับ เขาไม่เคยทำเรื่องที่มันแสดงความโปร่งใสออกมา แม้กระทั่งการทำแผนฟื้นฟู ผมเชื่อว่าทางกรรมการบอร์ดชุดใหม่ หรือรักษาการดีดี ถ้าต้องการมีความจริงใจในการแก้ปัญหาการบินไทย ต้องถึงเวลาที่ต้องยกเลิกสิทธิ์ สิทธิ์บอร์ดทั้งหลาย สิทธิ์ที่เคยได้บิน first class ทุกคนรู้ว่าไม่ได้บินตอนนี้ แต่ขอเก็บสิทธิ์เอาไว้ก่อน นี่คือนิสัยคนไทย เพราะฉะนั้นแล้วจะเห็นได้ชัดเลยว่าการบริหารงาน การทำอะไรก็ตาม ในขณะนี้ผมยังคิดว่ายังไม่มีความโปร่งใสมากพอ แล้วเรื่องพวกนี้ เวลาเราลำบาก ท่านผู้ชมเห็นด้วยกับผมไหม เวลาองค์กรลำบาก ถ้าทุกคนพร้อมใจกันลำบากด้วยกัน พร้อมใจกันเลยนะครับ ลำบากด้วยกัน ปากกัดตีนถีบ มีข้าวต้มจานหนึ่ง มาแบ่งกันกิน มีปลาแห้งคนละชิ้นแบ่งกันกิน แล้วก็ตั้งใจทำมาหากิน ผมคิดว่าตรงนี้คือกำลังใจที่ทุกคนพร้อมจะให้ แต่คำถามคือว่า ทั้งบอร์ด และทั้งฝ่ายบริหาร ได้ทำตัวอย่างที่ผมบอกหรือเปล่า

คือตอนนี้ผู้บริหารบางคนในการบินไทย ผมไม่อยากจะเอ่ยชื่อ ยังทำตัวเหมือนกับว่าการบินไทยไม่ได้เจ๊ง ยังลันล้าอยู่ ถึงแม้ว่าจะไม่มีค่ารถให้ตอนนี้ ไม่เป็นไร แต่ทุกคนยังลืมตัว ทุกคนยังวาดฝันและเพ้อฝัน และเพ้อเจ้อ และมโนว่าการบินไทยจะต้องกลับมายิ่งใหญ่อีก ก็เพราะว่าคุณไปหวังน้ำบ่อหน้าว่าการบินไทยจะต้องกลับมายิ่งใหญ่ คุณก็เลยไม่คิดที่จะออกมาปากกัดตีนถีบกับพวกเด็กที่ทำงาน คุณก็โอบล้อมป้องกันสิทธิประโยชน์ของคุณ ท่านผู้ชมเห็นหรือยังที่ผมพูด ไม่ได้มีอะไรต่างกว่าตอนก่อนการบินไทยจะเจ๊ง เหมือนกันเป๊ะเลย ที่สำคัญก็คือว่ามันเกิดขึ้นมาในช่วงที่ปากกัดตีนถีบ เลือดซิบๆ การบินไทยไม่มีงานทำกัน ต้องมาขายปาท่องโก๋กัน ปรากฏว่าไม่มีใครสนใจอะไรทั้งสิ้น คนที่อยู่ข้างบนไม่มีใครสนใจเลย ทุกคนตอนนี้ ... ผมคิดว่าคนที่อยู่การบินไทยเป็นคนที่น่าสงสารที่สุดในขณะนี้


สายการบินแห่งชาติที่อดีตเคยอยู่อันดับ 1 ตกมาเรื่อยๆ 2..3..4..5..6..7..8.. จนกระทั่งปี 62 Skytrax บอกมีอยู่ 10 อันดับ การบินไทยอยู่อันดับ 10 แล้วทุกคนชิลๆ สบายๆ ผมไม่ได้หมายถึงพนักงานทุกคนนะครับ คนที่มีอำนาจ มีวาสนา มีตำแหน่งแห่งที่ ยังชิลๆ สบายๆ วางแผนกันทุกวันนี้ ถ้าเปิด route ลอนดอนแล้ว ถ้าบินไป-มา โน่นนี่ เปิด route แฟรงก์เฟิร์ตแล้ว เปิด route โน้น route นี้แล้ว คำถามคือ คุณรู้ได้อย่างไรว่าคุณมีอุปสงค์ตรงไหน ดีมานด์คุณอยู่ตรงไหน ผมไหว้ล่ะ คุณบอกผมหน่อย ตอนนี้ที่คุณบินได้ทุกวันก็คือ บินขาเดียว ก็คือเอาคนที่จะไปอังกฤษ หรือคนที่ตกค้างอยู่ขึ้นเครื่องไป นักเรียนที่จะไปเรียนหนังสือ จ่ายเงินไป แล้วก็บินไปถึงนั่น แล้วคุณก็บินกลับมา อาทิตย์ละไฟลต์ ผมให้คุณกลับไปอีก 30 เปอร์เซ็นต์ ของยอดที่คุณเคยมีก่อนจะมีโควิด-19 คุณก็ยังอยู่ไม่ได้ ท่านผู้ชมที่ติดตามผมพูดมาตลอด จะเห็น ผมใช้ภาษาที่ง่ายๆ ใช้หลักสามัญสำนึกเข้ามาพิจารณาแต่ละเรื่อง เรื่องอะไรบ้างล่ะ ?


ถ้าคุณมีเครื่องบินอยู่ 108 ลำ แล้วจู่ๆ คุณลดเหลือ 60 ลำ คุณหายไป 48 ลำ โดยหลักการแล้ว คุณก็ต้องคิดให้ดีๆ ว่า เครื่องบินมีเหลืออยู่ 68 ลำ ต้องใช้กัปตันลดลงมาเหลือกี่คน ใช้ลูกเรือที่บริการบนเครื่องเหลือกี่คน ใช้โน่นใช้นี่เหลือกี่คน ที่เหลือ คุณต้องยอมรับว่า ในขณะนี้บริษัทกำลังลำบาก เครื่องบินเหลืออยู่ 68 ลำ จำนวน 68 ลำนั้น ใช้คนเพียงแค่นี้เอง ที่เหลือก็ต้องปล่อยเขาไป คุณก็ต้องหาทาง ในขณะนี้ถึงแม้การบินไทยไม่ได้เป็นรัฐวิสาหกิจแล้ว แต่ว่าผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของคุณก็คือกระทรวงการคลัง ยังถืออยู่ ในเมื่อรัฐบาลเป็นคนบอกให้ทำแผนฟื้นฟู คุณสามารถที่จะไปคุยกับรัฐบาลได้ทันทีว่าขอเงินกู้มาก้อนหนึ่งได้ไหม เงินกองทุน หรือผู้ถือหุ้นซึ่งเป็นหน่วยลงทุนของรัฐบาล สามารถที่จะให้เงินกู้มาก้อนหนึ่งไหม เพื่อที่จะจัดการจ่ายเงินจ่ายทองให้กับพนักงานที่มีส่วนเกินทั้งหลาย ให้เขากลับไปบ้าน ได้เงินก้อนไปคนละก้อน เขาจะได้ไปทำมาหากิน บางคนอาจจะเปิดร้าขายข้าวแกง บางคนอาจจะเปิดร้านกาแฟ บางคนอาจจะไปทำสวนทำไร่ หรือบางคนอาจจะทำค้าขายออนไลน์ แล้วคุณก็จะมีจำนวนคนที่พอดีๆ อยู่ ที่บริหารอยู่ คุณก็ไม่ทำ


คุณก็คิดอยู่ตลอดเวลา อย่างเช่น โครงการที่จะให้พนักงานลาออกโดยสมัครใจ แล้วคุณก็จะคัดเลือกมา คณะกรรมการที่คัดเลือกมีใครบ้าง แล้วคุณก็ให้เงินชดเชยเขาตามกฎหมายแรงงาน คือ 12 เดือน แล้วคุณก็บวกให้เขาอีก 1 เดือนกว่า เป็น 13-14 เดือน แต่คุณก็บอกว่ายังไม่ต้องจ่ายเงินตอนนี้นะ อาจจะจ่ายเป็นรายเดือนไปตั้งแต่มกราคม-กุมภาพันธ์-มีนาคม-เมษายน ถ้าคุณมีเงินเดือนพอจ่ายจนถึงสิ้นเดือนเมษายน ท่านผู้ชมครับ คุณจำได้หรือเปล่าครับ สิ้นเดือนเมษายน หลังจากนั้นแล้วคุณจะเอาเงินที่ไหนมา ก็ไม่ได้อีกเหมือนกัน

เพราะฉะนั้นแล้ว การแก้ไขปัญหาการบินไทยมันต้องเริ่มด้วยการยอมรับข้อเท็จจริง ว่าวันนี้และพรุ่งนี้และมะรืน ตลอดจนปี 63 ทั้งปี และ 64 ทั้งปี ไออาต้าบอกว่าอุตสาหกรรมการบินจะฟื้นอีกทีต้อง 4 ปีให้หลัง คือ 2024 เอาสี่ปีบวก 63 คือ 2567 อีกสี่ปีนี้คุณจะต้องอยู่ให้ได้ และผมก็พูดมาตลอดเวลาว่าผมไม่เชื่อว่าแผนฟื้นฟูนี้จะอยู่รอดตลอดไป แล้วผมเชื่อว่าแผนฟื้นฟูคือการยืดเวลาเจ๊ง


แต่วันนี้ผมมีเรื่องที่จะพูดให้ฟัง เพื่อพิสูจน์ให้เห็นชัดเจนว่าการบินไทยไม่เคยมีธรรมาภิบาลเลย และครั้งนี้ก็ไม่มีธรรมาภิบาล จะเป็นก่อนโควิด หลังโควิด หรือระหว่างที่มีโควิด ไม่เคยมีธรรมาภิบาล ท่านผู้ชมตามผมมาครับ


ท่านผู้ชมครับ ผมไม่ได้ต้องการที่จะมาโจมตีคุณชาญศิลป์ แต่ผมจำเป็นจะต้องพูดเรื่องนี้ เพราะเรื่องนี้มันคาใจคนการบินไทยเยอะมาก และในขณะเดียวกันมันก็คาใจผม ในฐานะที่เป็นคนนอก และเมื่อผมรู้เรื่องราวนี้แล้ว ผมก็รู้สึกไม่สบายใจ


คุณชาญศิลป์ เมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2563 คุณชาญศิลป์พูดอย่างนี้ "อย่าปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไป อดีตช่างมัน ทำอะไรไม่ได้ แต่ข้างหน้าคุณอย่าปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไป คุณอย่าให้มีการทุจริต คุณอย่าให้มีการเล่นพรรคเล่นพวก ไม่ว่านามสกุลอะไร มาอยู่ในการบินไทย มีศักดิ์ศรี มีคุณค่าเท่ากัน มีโอกาสเท่ากัน" ท่านผู้ชมมาดูจดหมายแต่งตั้ง

จดหมายล่าสุดที่แต่งตั้งขึ้นมานี้ เมื่อเร็วๆ นี้ได้มีการตั้งผู้หญิงคนหนึ่งขึ้นมา จริงๆ แล้วมันก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษหรอกครับ แต่เผอิญผู้หญิงคนนี้เป็นเมียของท่านประธานการบินไทย แล้วก็เมียคนนี้ ผู้หญิงคนนี้ ท่านเคยทำงานอยู่ระดับ 8 การบินไทยนี่รู้สึกจะมีอยู่ 11 ระดับมั้ง ถ้าผมจำไม่ผิด 11 หรือ 12 ระดับ นี่อยู่ระดับ 8 สามีท่านก็คือดีตผู้บัญชาการทหารอากาศ เมื่อสามีท่านเป็นอดีตผู้บัญชาการทหารอากาศ ตอนนั้น ตอนที่ท่านอยู่ระดับ 8 สามีท่านก็เข้ามาเป็นรองประธานบอร์ดการบินไทย รองประธานบอร์ดการบินไทยนั้น


... อันนี้เป็นข่าวซึ่งผมไม่ยืนยันนะครับว่าจริงหรือไม่จริง แต่ว่าเขาพูดกันเยอะเหลือเกิน ก็ต้องฟังหูไว้หู แต่ก็ต้องดูข้อเท็จจริงว่าได้เกิดอะไรขึ้น

สามีของท่านก็เข้ามาเป็นรองประธานบอร์ดการบินไทย แล้วสามีของท่าน ข่าวว่ากัน ผมไม่ยืนยันเรื่องนี้นะครับ ข่าวว่ากันว่าท่านก็ได้แจ้งให้กับผู้ใหญ่คนนหนึ่งซึ่งอยู่ในกองๆ หนึ่ง เขาเรียกว่ารองผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายปฏิบัติการบิน (ดีโอ) ก็คือคุมพวกกัปตัน ใครจะบินก็ขึ้นอยู่กับคุณคนนี้ สามีท่านคือ พล.อ.อ.ชัยพฤกษ์ ดิษยะศริน


ภรรยาของท่านคือ คุณพงศ์อุมา ดิษยะศริน ตอนที่สามีท่านมาเป็นรองประธานบอร์ดการบินไทย ท่านก็ (อันนี้ข่าวผมไม่ยืนยันนะครับ) ท่านก็ไปแจ้งกับผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายปฏิบัติการบิน ซึ่งเป็นทหารอากาศเหมือนกัน ก็คือพูดง่ายๆ ว่าเป็นสีเดียวกัน ช่วยหาตำแหน่งระดับ 9 เพื่อให้ภรรยาของท่านซึ่งอยู่ระดับ 8 ได้เลื่อนมาเป็นระดับ 9 เขาก็หาตำแหน่งระดับ 9 ให้ ระดับ 9 ก็ดูเรื่องของความปลอดภัย โน่นนี่นั่น แล้วก็ระดับ 9 ในฝ่ายความปลอดภัยและความมั่นคงและมาตรฐานการบิน พอท่านได้เลื่อน พอคุณพงศ์อุมาได้ขึ้นเป็นระดับ 9 ปั๊บ ก็ได้ทั้งตำแหน่งได้ทั้งเงินเดือนและสิทธิ์พิเศษต่างๆ

ท่านผู้ชมครับ แต่ว่าปี 2562 ปีที่แล้ว คุณพงศ์อุมากลับไม่ได้ทำงานตามหน้าที่และตามความเหมาะสมหรือความสามารถที่ตัวเองจะต้องทำ ในระดับ 9 ทำไมถึงไม่ได้ทำ ? ก็เพราะว่าท่าน พล.อ.อ.ชัยพฤกษ์ ดิษยะศริน ท่านเกิดขึ้นไปเป็นผู้บัญชาการทหารอากาศ ภรรยาท่าน คือคุณพงศ์อุมา ก็เลยโดยอัตโนมัติเป็นนายกสมาคมแม่บ้านทหารอากาศ ไม่มีอะไรผิด


ที่ผิดก็ตรงที่ว่า ถ้ามันเป็นเรื่องจริง ท่าน พล.อ.อ.ชัยพฤกษ์ ต้องเป็นคนที่ตัดสินใจแล้วบอกให้ภรรยาลาออกเสีย เพราะมาเป็นแม่บ้านทหารอากาศแล้ว คุณจะไปทำงานที่การบินไทยได้อย่างไร คุณต้องมาเป็นแม่บ้านทหารอากาศ ต้องติดตามสามี ต้องดูแลบรรดาจัดกิจกรรมกับภรรยาของทหารอากาศทั้งหลาย แต่ปรากฏว่าคุณพงศ์อุมา ไม่ได้ลาออก ยังทำงานอยู่ แต่วิธีทำงานก็คือว่า ตอนเช้าตรู่ก็นั่งรถโฟล์กสวาเกนสีดำมา พร้อมกับทหารใกล้ชิดอีก 2-3 คน ผู้ชาย 2 ผู้หญิง 1 ไปประมาณหกโมงกว่า ไปทำอะไรรู้ไหมท่านผู้ชม ? ไปตอกบัตร ตอกบัตรเสร็จแล้วท่านก็หายไปเลย แล้วท่านก็กลับมาอีกทีตอนเย็น สี่โมงครึ่ง มาตอกบัตรออก คือท่านมาตอกบัตรเข้า แล้วท่านหายไป แล้วตอนเย็นตอกบัตรออก ท่านทำอย่างนี้เกือบทั้งปี จนกระทั่งสามีหลุดจากตำแหน่งผู้บัญชาการทหารอากาศ เกษียณอายุไป เพราะฉะนั้นแล้ว ผมคิดว่าตรงนี้คือความไม่โปร่งใสเริ่มแรกสุด มันตรงกันข้ามกับสิ่งที่คุณชาญศิลป์ พูด "คุณอย่าให้มีการเล่นพรรคเล่นพวก ไม่ว่านามสกุลอะไร มาอยู่ในการบินไทย มีศักดิ์ศรี มีคุณค่าเท่ากัน มีโอกาสเท่ากัน" ไม่ใช่แล้วงานนี้


แล้วที่ผมต้องตำหนิ ผมต้องตำหนิท่านประธานการบินไทยคนปัจจุบัน พล.อ.อ.ชัยพฤกษ์ ดิษยะศริน ความจริงแล้วท่านต้องรู้ว่าเมื่อท่านเป็นผู้บัญชาการทหารอากาศแล้ว ภรรยาต้องไปเป็นแม่บ้านทหารอากาศ ที่รัก เธอลาออกดีกว่า เดี๋ยวจะเสียหมด ไม่ใช่ไปหลับตาข้างหนึ่ง ถ้าเป็นความจริงอย่างที่ว่า ไม่ใช่ไปหลับตาข้างหนึ่งแล้วให้ภรรยาไปตอกบัตรเข้า แล้วก็ตอกบัตรออก เพื่อรักษาตำแหน่งเอาไว้ ท่านผู้ชมเห็นหรือยัง นี่ไง เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เกิดขึ้นครั้งแรกในการบินไทยนะ ในอดีตก็มีหลายแบบ แบบนี้เช่นกัน แต่เผอิญมาเกิดขึ้นในยุคที่การบินไทยมีวิกฤต แล้วที่มันกว่านั้นคือ เมื่อท่านได้ตำแหน่ง 9 แล้ว สามีท่านก็เกษียณอายุจากกองทัพอากาศแล้วได้ขึ้นมาเป็นประธานบอร์ดการบินไทย คุณพงศ์อุมา เหลืออายุการทำงานการบินไทยอีกหนึ่งปีกับสองเดือน หลังจากท่านอยู่ระดับ 9 มาหนึ่งปีแล้ว ซึ่งปกติแล้วถ้าอยู่ระดับ 9 มาหนึ่งปี แล้วได้เลื่อนขึ้นเป็นระดับ 10 ต้องถือว่าเร็วอิ๊บอ๋ายแล้วนะ เร็วมากๆ

แต่ไม่เป็นไร เมื่อท่านอยู่ครบหนึ่งปีแล้ว น่าจะมีกติกา ระเบียบว่า อยู่ครบหนึ่งปีแล้วถึงจะเลื่อนตำแหน่งได้ เผอิ๊ญ... เผอิญ เมื่อท่านอยู่ครบหนึ่งปีแล้ว อายุการทำงานการบินไทยของท่านยังเหลืออีกหนึ่งปีกับสองเดือน เมื่ออยู่อีกหนึ่งปีกับสองเดือน ก็หมายความว่าท่านต้องรีบขึ้น 10 เพราะว่าท่านอยู่รอต่อไปแล้วถ้าอายุงานท่านเหลือต่ำกว่า 1 ปี ท่านจะไม่ได้ขึ้น 10 ก็เลยกระโดดจาก 9 ต่อไปที่ 10 เดิมทีตอนที่กระโดดไป ไปอยู่อีกตำแหน่งหนึ่ง แต่เผอิญมีคนคัดค้านมาก ก็เลยทำให้ต้องเก็บเรื่องนี้เอาไว้ เพราะฉะนั้นแล้ว รอสักพักหนึ่ง รอให้เสียงนินทาว่าร้าย หรือเสียงต่อว่าจากคนในการบินไทยเงียบเสียก่อน เพราะตำแหน่ง 10 ที่เขาจะโยกย้ายท่านไป คือตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายการบุคคลของฝ่ายการพาณิชย์ ควบคุมผู้จัดการการบินไทย หรือตำแหน่ง AA ทั่วโลก


คุณวิวัฒน์ ปิยะวิโรจน์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่สายการพาณิชย์ ตอนนั้นกำลังปวดหัว เพราะว่าอาจจะหลุดจากเก้าอี้นี้ ก็อาจจะเป็นไปได้ว่าต้องการจะเอาใจท่านประธานบอร์ด พล.อ.อ.ชัยพฤกษ์ ก็เลย offer ตำแหน่งนี้ ตำแหน่ง 10 ผู้อำนวยการฝ่ายการบุคคลของการพาณิชย์ให้กับคุณพงศ์อุมา แต่เรื่องนี้ถูกสื่อมวลชน คือหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ และหนังสือพิมพ์แนวหน้า ตีแผ่เสียก่อน ผู้บริหารการบินไทยในยุคนั้นก็เลยไม่กล้า เก็บเรื่องเข้าลิ้นชักไว้ แต่เงื่อนไขเวลามันบีบ เพราะอายุงานของคุณพงศ์อุมา เหลือเพียงแค่หนึ่งปีสองเดือน เพราะการจะเลื่อนตำแหน่งต้องมีอายุงานหนึ่งปีเป็นอย่างน้อย จึงได้มีการเร่งรัดแต่งตั้งให้เธอเลื่อนจากผู้จัดการขึ้นมาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการให้ได้ จนสมหวังที่สุดในช่วงเดือนตุลาคม ปี 2563 ตามจดหมายของการบินไทยที่ผมลงให้ดู ในยุคของคุณชาญศิลป์ เป็นรักษาการดีดี และอยู่ในระหว่างที่การบินไทยประสบภาวะวิกฤตสุดๆ

ท่านผู้ชมครับ ถ้าเป็นจริงอย่างที่ว่า นี่คือการใช้เส้นสายในขณะที่ฝุ่นกำลังตลบ เพราะการบินไทยกำลังส่อแววอิ๊บอ๋ายแล้ว ในไม่ช้าก็ยังมีข่าวอีกหลายกรณี แต่งตั้งระดับ 9 ระดับ 10 เป็นระดับ 11 อีกหลายคน แต่กรณีนี้โจ๋งครึ่มจนคนข้างใน พนักงานที่เขากำลังปากกัดตีนถีบ ทอดปาท่องโก๋ขายหาเงินเลี้ยงบริษัท เขารับไม่ได้


มีการ์ตูนของบัญชา คามิน ออกมาชิ้นหนึ่งเมื่อวันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม ถ้าท่านผู้ชมดูแล้วท่านผู้ชมจะเห็นว่าการ์ตูนนี้มันเจ็บปวดหัวใจมาก เพราะว่ามีคนๆ หนึ่งไปซื้อปาท่องโก๋ของการบินไทย แล้วรูปปาท่องโก๋เป็นรูปของตัวคน 2 คน อ้าว ทำไมปาท่องโก๋เดี๋ยวนี้ไม่เหมือนเดิม มันเป็นรูปคน รูปหนึ่งก็เป็นรูปประธานบอร์ดการบินไทย อีกรูปหนึ่งเป็นรูปภรรยา ผมจะเล่าตำนานเรื่องปาท่องโก๋ให้ฟัง ท่านผู้ชมเคยฟังมาแล้วหลายครั้ง

ประวัติศาสตร์จีนในสมัยยุคราชวงศ์ซ่งใต้ หรือซ้องใต้ มีขุนพลราชวงศ์ซ้องใต้ ชื่อ งักฮุย ภาษาจีนกลางเรียกว่า เยี่ยเฟย คนๆ นี้เป็นทหาร รักษาชาติ รักษาบ้านรักษาเมืองมา ต่อสู้มากับอริราชศัตรู คือฝ่ายชนเผ่ากิม ประมาณ 917 ปีที่แล้ว


แล้วก็สู้เก่งจนกระทั่งตีพวกฝ่ายกิมร่นไปจนกระทั่งจะถึงเมืองหลวงของฝ่ายกิม ก็ปรากฏว่า ฝ่ายกิมก็เลยติดต่ออัครมหาเสนาบดีของซ่งใต้ (ซ้องใต้) ชื่อ ฉินฮุ่ย กับภรรยาแซ่หวัง เอาทรัพย์สินเงินทองและเอาประโยชน์ให้ ฉินฮุ่ยก็เลยไปกราบบังคมทูล เพ็ดทูลให้กับจักรพรรดิฮ่องเต้ว่างักฮุยนั้นผิด ผิดโน่นผิดนี่ จักรพรรดิหูเบา ก็เลยออกพระบรมราชโองการเรียกงักฮุยกลับมา ฉบับที่ 12 งักฮุยถึงต้องกลับ ทนไม่ไหวแล้ว ยอมตายเพื่อชาติ พอกลับเข้ามาแล้วงักฮุยก็เลยถูกดำเนินคดี ปรากฏว่าหาหลักฐานไม่เจอ เมื่อหาหลักฐานไม่เจอแล้ว คนซึ่งเป็นขุนนางบุ๋น ซึ่งรักชาติ รักบ้านรักเมือง ก็ถามว่า หลักฐานที่บอกว่าผิด อยู่ที่ไหน อัครมหาเสนาบดีฉินฮุ่ยก็เลยพูดคำพูดหนึ่ง ซึ่งเป็นสัจจะวาจาว่า อาจจะมีก็ได้ หลักฐานอาจจะมีก็ได้ ในที่สุดแล้ว งักฮุยก็เลยโดนประหารชีวิต เมื่อโดนประหารชีวิตเสร็จเรียบร้อยแล้ว ปรากฏว่าวันที่งักฮุยถูกประหารชีวิต มีพลเมืองที่ดีรู้เรื่องและรักเคารพในตัวงักฮุย ก็ไปเอาศพมาเพื่อมาตั้งหลุมฝังศพไว้ที่ทะเลสาบซีหู ที่เมืองหังโจว


อย่างไรก็ตาม ในที่สุดแล้ว ซ่งใต้ก็เลยล่มสลาย ก็ปรากฏว่า เขาก็เลยคิดว่าจะทำอย่างไรจะให้คนรุ่นหลังได้รู้ถึงความชั่วของฉินฮุ่ย เขาก็เลยคิดปาท่องโก๋ขึ้นมา โดยเอาแป้งสองตัวประกบกันแล้วก็ทอด แล้วก็เอามากิน ปาท่องโก๋เขาเรียกว่า โหยวจ๋ากั่ว หรือว่า น้ำมันทอดฉินฮุ่ย ให้คนกินกัน แล้วในศาลเจ้าของงักฮุยที่อยู่ที่ซีหูนั้น ก็จะมีรูปงักฮุยยืนถือดาบถือง้าวอยู่อย่างสง่าผ่าเผย แล้วก็มีเมีย นางหวัง แล้วก็ฉินฮุ่ย คุกเข่าอยู่ข้างหน้ารูปปั้นนั้น ปรากฏว่าก่อนหน้าที่เขาจะสร้างรั้วป้องกัน ปรากฏว่าคนจีนที่ไปเที่ยว ถุยน้ำลายใส่รูปปั้นกันตลอด จนกระทั่งเขาต้องสร้างรั้วป้องกัน นี่คือที่มาของการ์ตูนปาท่องโก๋


เพราะฉะนั้นแล้ว ผมไม่ได้กล่าวหาว่าท่าน พล.อ.อ.ชัยพฤกษ์ หรือคุณพงศ์อุมา เป็นฉินฮุ่ย และนางหวัง ภรรยาของฉินฮุ่ย แต่ผมจะยกตัวอย่างให้ฟังว่า แม้กระทั่งการ์ตูน ยังเอาเรื่องนี้มา ท่านผู้ชมเห็นหรือยัง


ด้วยเหตุนี้ ท่านผู้ชมครับ ผมมีความจำเป็น เพราะว่าคุณชาญศิลป์ท่านชี้แจงเหตุผลในการตั้งภรรยาของ พล.อ.อ.ชัยพฤกษ์ ท่านชี้แจงว่า ข้อแรก "ท่านไม่ไดตัดสินใจคนเดียว มีรองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่อีก 7 คน ร่วมตัดสินใจด้วยก่อนลงนามคำสั่งแต่งตั้ง เพราะตนเองเพิ่งมารับตำแหน่งรักษาการได้เพียง 3 เดือน 4 วัน" ท่านผู้ชมฟังเหตุผลหน่อยนะครับ รองทั้ง 7 ทั้งหลาย ก็อาจจะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะว่า Acting DD คือคุณชาญศิลป์ เป็นคนนำเสนอประเด็นนี้ด้วยตัวเอง วัฒนธรรมไม่ขัดผู้ใหญ่ รักษาหน้าผู้ใหญ่ ความเกรงใจในเรื่องไม่ถูกต้อง คือหนึ่งปัจจัยของการล่มสลายของสายการบินแห่งชาติ ท่านอย่าหาพวกมารับผิดชอบในสิ่งที่ท่านชงเอง ตบเอง มันน่าละอาย ท่านบอกเองว่าท่านเพิ่งมารับตำแหน่งได้ 3 เดือน 4 วัน แต่ทำไมท่านจึงดึงดันเสนอแบบมั่นใจ ไม่ฟังเสียงพนักงานส่วนใหญ่เลย

ข้อที่สอง คุณชาญศิลป์บอกว่า "ปีนี้การบินไทยมีคนการบินไทยเกษียณ 497 คน ผมเซ็นแต่งตั้งไปแค่ 60 คน ไม่ถึง 12 เปอร์เซ็นต์ ด้วยซ้ำ ซึ่งน้อยมาก" ท่านผู้ชมครับ ปริมาณไม่สำคัญเท่าคุณสมบัติที่เหมาะสม หรือคุณภาพ ท่านอย่ามาอ้างจำนวนเปอร์เซ็นต์น้อยที่คิดว่าจะแหกตาคนได้ พนักงานการบินไทยกินข้าวอยู่กับองค์กรมาหลายสิบปี เขาจะไม่รู้เรื่องเชียวหรือ


ข้อที่สาม "คุณสมบัติการเป็นภรรยาอดีตผู้บัญชาการทหารอากาศเคยทำภารกิจด้านภาพลักษณ์องค์กรอยู่สายงานนี้ในการบินไทยมา 30 ปี จะช่วยเรื่องปูพื้นฐานงาน CSR ได้ ไม่แปลกที่คนมี Career Path จะเป็นแบบนั้นแบบนี้ เช่น กัปตัน อาจไม่ได้เป็นนักบินได้อย่างเดียว อาจไปทำการตลาดก็ได้ และยืนยันการลงนามแต่งตั้งไม่มีเรื่องได้สิทธิ์บินฟรี ตั๋วชั้นเฟิร์สคลาสการบินไทยหลังเกษียณ เป็นการ Re-organize องค์กรตามปกติ ส่วนการแต่งตั้งเป็นรักษาการผู้อำนวยการฝ่ายฯ ถ้าหากเจ้าหนี้ไม่เห็นด้วยตอนส่งแผนฟื้นฟูกิจการการบินไทยรอบแรกปลายปี 2563 หรือต้นปี 2564 ก็อาจจะพิจารณาใหม่ได้" ท่านผู้ชมครับ ระหว่างคุณสมบัติการเป็นภรรยาประธานบอร์ด กับคนที่มีคุณสมบัติเหมาะสมและพร้อมที่จะปฏิบัติหน้าที่ในภาวะฟื้นฟูกิจการเช่นนี้ ท่านคิดว่าอะไรคือธรรมาภิบาล ภรรยาประธานบอร์ดเลื่อนตำแหน่งเกษียณอายุได้ตามใจชอบหรือ ? สิทธิการนั่งเฟิร์สคลาสมันมาพร้อมกับตำแหน่งระดับ 10 ตำแหน่ง Director นะท่าน เรื่องนี้ท่านไม่รู้จริงๆ หรือแกล้งโง่โชว์สื่อว่ารักษาการยังไม่ได้สิทธิประโยชน์ดังกล่าว ท่านคิดว่าทุกคนคงจะลืมเรื่องนี้หลังผ่านไป 3 เดือน ท่านคิดผิด บอกไว้เลย


ข้อที่สี่ คุณชาญศิลป์ บอกว่า "คนนามสกุลนี้ (ดิษยะศริน) ก็เคยสร้างประโยชน์ให้ประเทศมากมาย" ท่านผู้ชมครับ ผมก็สร้างประโยชน์ให้กับประเทศไทยมากมาย พนักงานตัวเล็กๆ ยืนหน้าเคาน์เตอร์การบินไทยก็สร้างประโยชน์ให้กับประเทศไทยมากมายเช่นกัน ทำไมจะต้องเอาเรื่องนี้ คนที่ซื่อสัตย์สุจริต นามสกุลไม่ดัง ไม่มีเส้น ที่เป็นคนส่วนใหญ่ของการบินไทย ฝากถามมาว่า แล้วลูกหลานทหาร ตำรวจ ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เสียสละอวัยวะและชีวิต ท่านจะรับพิจารณาไหม


อีกข้อหนึ่ง ข้อที่ห้า "กระแสข่าวที่เกิดขึ้น มาจากคนบางคนอาจจะผิดหวังในตำแหน่ง แล้วไม่สมหวัง จึงออกมาเคลื่อนไหว เป็นเรื่องปกติ แต่ก็มีคนการบินไทย 80-90 เปอร์เซ็นต์ ยังพร้อมร่วมมือทำงานกับผู้บร้ิหารชุดต่อไปเป็นอย่างดี" ท่านผู้ชมครับ คุณชาญศิลป์ครับ มีคนท้าว่า ท่านให้ซูเปอร์โพลของอาจารย์นพดล กรรณิกา มาทำโพลเรื่องนี้ด่วนเลยว่า พนักงานเห็นด้วยกับเรื่องนี้หรือไม่ อย่าอ้างลอยๆ พนักงานพร้อมแล้ว ท่านพร้อมหรือยัง ?


ท่านบอกว่า "ตั้งแต่รับตำแหน่งเคยจัดประชุมพนักงานการบินไทยหลายครั้ง รวมทั้งไม่เคยถูกตั้งคำถามในที่ประชุมฝ่ายช่างเรื่องดังกล่าว เพราะในเวลานั้นผมไม่ได้พูดว่าจะตั้งใครหรือไม่ตั้งใคร แล้วตอนนั้นผมก็ประชุมฝ่ายช่างไปเมื่อ 2 เดือนก่อน โดยไม่ได้พูดเรื่องนี้ เรื่องที่บอกว่าจะไม่แต่งตั้งภรรยาประธานบอร์ด แต่ประเด็นนี้เป็นการพูดคุยกันเป็นการคุยกันผ่านทางไลน์ของพนักงานด้วยกันเอง" ท่านผู้ชมครับ คนการบินไทยเขาอัดคลิปไว้ เอามาเปิดดูว่าจริงเท็จอย่างไร เพราะพนักงานเขารู้กันหมดมานานแล้วว่าท่านมุ่งมั่นตั้งใจจะแต่งตั้งให้ได้ เพียงแต่ท่านรอเวลาให้พนักงานเซ็นยินยอมขอลดเงินเดือนให้เรียบร้อยก่อน ท่านจึงสั่งประกาศนี้ออกมา


เพราะฉะนั้นแล้ว กรณีของคุณพงศ์อุมา ดิษยะศริน ประธานบอร์ดการบินไทย ที่ผมเล่าให้ฟังนี้ มันเป็นแค่ยอดภูเขาน้ำแข็งที่เกิดขึ้น ถ้าเรื่องนี้เป็นจริง


ท่านผู้ชมครับ เรื่องนี้เกิดในภาวะการณ์ปกติที่ไม่มีวิกฤต ก็ยังดูไม่ได้ ไม่จืด ไม่สง่างาม แล้วมาเกิดขึ้นในยุคที่การบินไทยมีวิกฤต แล้วต้องพึ่งแผนฟื้นฟูของศาล ยังไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะเจ๊งหรือไม่เจ๊ง แล้วยังมาใช้วิธีนี้ ผมคิดว่าคุณชาญศิลป์ครับ เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ ถ้าเป็นจริง รวมทั้งท่าน พล.อ.อ.ชัยพฤกษ์ ดิษยะศริน และคุณพงศ์อุมา ดิษยะศริน ถ้าเป็นจริงเรื่องนี้ ไม่มีความสง่างามเลยแม้แต่นิดเดียว ผมไม่อยากจะพูดอะไรให้มันแรงกว่านี้


ท่านผู้ชมเห็นหรือยังครับว่า ประเทศไทย องค์กรแบบการบินไทย ก็ยังมีอยู่หลายองค์กร แล้วคนที่มีอำนาจในองค์กรต่างๆ ก็ไม่ได้มีอะไรที่ปรับเปลี่ยนอะไรให้มันดีขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว วิกฤตการบินไทยจะถูกซ้ำเติมด้วยการกระทำแบบนี้ ซึ่งถ้าเป็นความจริงขึ้นมา ผมคิดว่าผมคนหนึ่งล่ะที่รับไม่ได้ และผมเชื่อว่าพนักงานการบินไทยก็รับไม่ได้ วันนี้ผมต้องพูดเรื่องนี้ และผมยกตัวอย่างเรื่องนี้เพื่อเป็นตัวอย่างให้ ท่านผู้ชมจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับผม ลองว่ากันมาก็แล้วกัน


ท่านผู้ชมครับ เรื่องที่ผมจะพูดต่อไปนี้ เป็นเรื่องที่ผมเศร้าใจ และผมไม่เคยคิดว่าชีวิตผม ซึ่งต้องถือว่าเป็นช่วงของตะวันตกดินแล้ว ผม ปีนี้ พฤศจิกายนี้ก็จะย่าง 73 แล้ว ผมไม่เคยคิดว่าในยุคผมจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นมา ผมจะเล่าเรื่องม็อบให้ท่านผู้ชมฟังอย่างไรดี ถึงจะอธิบายความรู้สึกของผมได้


ผมจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับผมในวันที่ 13 ตุลาคม และในวันที่ 14 ตุลาคม ดีกว่า เพราะบางทีการใช้ชีวิตของผมและความคิดของผมในระหว่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่ 13 และ 14 มันจะอธิบายเรื่องราวต่างๆ ในสังคมได้ดีพอสมควร

ท่านผู้ชมครับ ท่านผู้ชมที่รู้จักผมมานานแล้ว ก็พอจะรู้ว่าผมเป็นคนที่รักพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 อย่างมากๆ ผมไม่กล้ามาแอบอ้าง แต่ผมเชื่อว่าผมเป็นคนแรกๆ ที่กล้าลุกขึ้นมาแล้วต่อสู้ปกป้องพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ในช่วงที่ทักษิณ ชินวัตร พลพรรคเพื่อไทยบางคน ตลอดจนเครือข่ายของทักษิณ ชินวัตร อย่างเช่น จักรภพ เพ็ญแข และอีกหลายต่อหลายคนที่หนีอยู่ต่างประเทศ ได้กระทำการเพื่อเป็นการจาบจ้วง นอกจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 แล้ว ยังมีสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ด้วย ซึ่งขณะนั้นถ้าท่านผู้ชมติดตามผมมาตลอด หรือมีส่วนร่วม จะจำได้ว่าทั้งตำรวจ ทหาร ไม่มีใครสนใจอะไรเลยที่จะออกมาปกป้องพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งในยุคนั้นคนที่เป็นผู้บัญชาการทหารบก ก็คือ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา แล้วคนที่เป็นแม่ทัพภาคที่ 1 ก็ชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา


ท่านผู้ชมคงจำได้ว่าผมใส่เสื้อสีเหลือง ที่คาดหน้าอกเรียกว่า "เราจะสู้เพื่อในหลวง" หลายคนตอนนั้นไม่เคยเห็นภัยนี้เกิดขึ้นมา ก็พากันกระแนะกระแหน ที่กระแนะกระแหนได้ก็กระแนะกระแหนไป และที่กระแนะกระแหนไม่ได้ ก็เที่ยวพูดไปว่าผมบ้า ผมยังจำได้เลยว่าปีนั้น ปี 2548 ซึ่งเหตุการณ์ที่พระองค์ท่านถูกจาบจ้วงอยู่นั้นเกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 2546 แล้ว เกิดมาหลายปีแล้ว แต่ไม่มีใครสนใจ รวมทั้งการไปทำพิธีในวัดพระแก้ว ที่ทักษิณ ชินวัตร นั่งเป็นประธานในพิธี เหมือนเป็นพระบรมวงศานุวงศ์องค์หนึ่ง แล้วก็คุณวิษณุ เครืองาม ก็อยู่ในส่วนกระบวนการนี้ด้วย ที่จะสร้างความชอบธรรมให้กับคุณทักษิณ ชินวัตร ผมยังจำได้ดี และผมก็เอาเรื่องราวต่างๆ มาพูดให้ฟัง ตลอดจนคนที่ชื่อ ดา ตอปิโต ตั้งเวทีที่สนามหลวง แล้วก็พูดจาหยาบคาย จาบจ้วงสมเด็จพระนางเจ้าฯ และผมก็ลุกขึ้นมา ทั้งๆ ที่เขาพูดมาเป็นวันๆ หลายวัน เจ้าหน้าที่รัฐไม่มีใครสนใจเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่ว่าจะเป็นทหาร ไม่ว่าจะเป็น พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ ผมทนไม่ได้ ท่านผู้ชม ผมต้องลุกขึ้นมา แล้วผมก็มาฟ้องประชาชนบนเวทีของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ท่านผู้ชมครับ ทบทวนประวัติศาสตร์ตรงนี้กันนิดหนึ่ง จะได้รู้ว่าผมมีความรู้สึกอย่างไรบ้าง


ในช่วงที่ฝนตกหนัก หนักมาก เดือนสิงหาคม ซึ่งเป็นวันพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ 12 สิงหาคม ผมยังจำได้ติดตา ว่าเราได้จัดงานเฉลิมพระชนมพรรษาให้กับสมเด็จพระนางเจ้าฯ บนเวทีพันธมิตรฯ ฝนตกหนัก ยังจำได้ และผมก็ยังเป็นผู้ที่นำในการสวดมนต์ถวายพระพรให้กับพระองค์ท่าน

หลังจากนั้นแล้ว เป็นที่ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณเป็นอย่างยิ่ง ท่านผู้ชมครับ หลังจากที่ได้มีการใช้ตำรวจและใช้กำลังอาวุธมาปราบปรามประชาชนชาวพันธมิตรฯ ที่ร่วมประท้วงที่หน้ารัฐสภา เหตุผลก็เพราะว่า ตอนนั้นเรากำลังบีบบังคับให้ผู้ที่มีอำนาจในรัฐให้ลาออกเสีย หลายต่อหลายอย่างคล้ายๆ กับการประท้วงในวันนี้ของเด็กและของคนที่อยู่เบื้องหลัง ต่างกันตรงที่ว่า ในวันนั้นเราประท้วงเพื่อเอาคนซึ่งรัฐบาลที่ทุจริต เห็นแก่พวกพ้องตัวเอง และสืบทอดอำนาจกัน สืบทอดอำนาจกันในตระกูลของชินวัตร จากทักษิณมา เรื่อยๆ มาจนถึงสมัยสมัคร สุนทรเวช มาถึงสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และต่อมาจนกระทั่งถึงยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แต่มาวันนี้กลับกลายมีการประท้วงเพื่อล้มล้างสถาบันกษัตริย์ ท่านผู้ชมครับ ความรู้สึกผมจะเป็นอย่างไร

ผมจำได้ว่าวันนั้นผมขึ้นไปพูด เมื่อผมพูดจบแล้ว ผมทบทวนสิ่งที่ดา ตอปิโด พูดบนเวทีที่สนามหลวง ว่านี่คือการหมิ่นและจาบจ้วงสมเด็จพระนางเจ้าฯ อย่างรุนแรงที่สุดที่ไม่เคยมีใครพูดมาก่อน เมื่อผมเปรียบเทียบกับสิ่งที่ดา ตอปิโด พูดในวันนั้น กับวันนี้ที่ม็อบได้พูดถึงสถาบันกษัตริย์ ไม่ว่าจะเป็นที่ลานพญานาค ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในวันที่ 10 สิงหาคม หรือต่อมาภายหลังในวันที่ 19 สิงหาคม และต่อมาภายหลังจนกระทั่งวันนี้ ดา ตอปิโด พูดถึงสมเด็จพระนางเจ้าฯ เมื่อเทียบกับสิ่งที่เขาพูดกันทุกวันนี้ และวันที่เกิดเหตุกันที่ข้างๆ ทำเนียบรัฐบาล ที่คนแสดงอาการอะไรที่หยาบคายต่อสมเด็จพระราชินี และพระองค์เจ้าทีปังกร คนละเรื่องกันเลย ยุคนี้หยาบคาย สถุล และเป็นเรื่องราวที่ไม่น่าจะเป็นคนไทยเลยแม้แต่นิดเดียว


ท่านผู้ชมครับ ผม วันนั้นพูดจบ ก็ปรากฏว่ามีการขยับเขยื้อนจากฝ่ายทหารว่าได้ไปแจ้งความแล้วนะ โน่นนี่นั่น ซึ่งถ้าผมไม่พูด ก็ไม่มีใครไปแจ้งความ ตอนนั้นถ้าผมไม่พูด คนก็ไม่เริ่มสังเกตว่าจักรภพ เพ็ญแข เป็นอย่างไร หลายต่อหลายคนเป็นอย่างไร ท่านผู้ชมครับ วันนั้นผมโดนข้อหามาตรา 112 โดยกลุ่มลูกน้องคุณเนวิน ชิดชอบ ซึ่งตอนนั้นเป็นเนื้อเดียวกันกับคุณทักษิณ ชินวัตร ไปแจ้งความร้องทุกข์ผมที่สถานีตำรวจนางเลิ้่ง

วันนี้ขออนุญาตเล่าให้ฟังนิดหนึ่ง วันนั้นข่าวมาว่าถ้าผมไปมอบตัวแล้วเขาจะไม่ให้ประกันตัว เมื่อเขาไม่ให้ประกันตัวแล้ว เขาก็จะส่งตัวผมออกไป และอะไรก็จะเกิดขึ้นกับผมได้ เพราะตอนนั้นผมเป็นหนึ่งในหัวหอกที่สำคัญในการประท้วงคุณทักษิณอยู่ ปรากฏว่าผมรู้ว่าเรื่องนี้มา ก็เลยต้องหลบออกมา เมื่อผมหลบออกมาแล้วก็ปรากฏว่า มีอดีตเลขาธิการของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย คุณสุริยะใส กตะศิลา โทรศัพท์มาหาผม พี่ พี่อยู่ไหน พี่อย่ามามอบตัวนะ พี่จะหนีไหม ผมเพิ่งพูดกับพี่ป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา พี่ป๊อกบอกผมว่า บอกสนธิให้หนีไปเถอะ ถ้าหนีแล้วเดี๋ยวจะพาหนีเอง ท่านผู้ชม วันนี้ผมต้องเปิดเผยความจริงอันนี้ขึ้นมา ผมนึกในใจ ถ้าผมไปด้วย ผมโดนฆ่าตายแน่นอนเลยงานนี้ ผมก็เลยปฏิเสธ วันรุ่งขึ้นผมก็เลยไปมอบตัวที่สถานีตำรวจนครบาล ถ้าท่านผู้ชมอยู่กับผมจะจำได้ ว่าพวกเราขนกันไปเป็นร่วมหมื่นคน ไปจนกระทั่งโรงพัก ตรงสถานีตำรวจนครบาลแทบแตก ผมเข้าไปในห้องสอบสวน ท่านผู้ชมครับ ตำรวจที่ถูกมอบหมายให้มาดูแลผม ดูแลแล้วก็ควบคุมตัวผม และให้ความปลอดภัยกับผม ชื่อ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา และ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ตอนนั้นยศพลตำรวจโท เป็นผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เป็นผู้ดำเนินคดีสอบสวนผม


โดยประธานก็เป็นพลตำรวจเอกคนหนึ่ง ภาณุพงศ์ สิงหรา ซึ่งเป็นพวกคุณทักษิณ ชินวัตร นั่งเป็นประธานอยู่


อธิบดีกรมตำรวจตอนนั้นคือ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ก็สอบสวน ผมก็ปฏิเสธ แล้วผมก็ยื่นประกัน


ท่านผู้ชมครับ เขาจะไม่ให้ผมประกันตัว ตอนนั้น ด้วยเหตุนี้ คุณภาณุพงศ์ถึงมานั่งหัวโต๊ะ ถ้าไม่ให้ประกันตัว ก็ต้องควบคุมผมไปกักขัง ซึ่งก็จะใส่รถตู้ไป ใครนั่งไปด้วยผมก็ไม่รู้ ผมไม่ยอม ผมรู้ว่างานนี้เขาต้องฆ่าผมแน่นอน ท่านผู้ชม แล้วผมก็ขึ้นศาล ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าผมไม่ผิด เพราะไม่ได้มีเจตนา ยกฟ้อง ศาลอุทธรณ์บอก ถึงไม่มีเจตนา แต่ว่าได้กระทำความผิด สั่งจำคุกผม 6 ปี หรือ 4 ปี ผมฎีกา ศาลฎีกายกฟ้องหมด ทุกข้อหา บอกว่าผมไม่มีเจตนา ท่านผู้ชมครับ นี่คือความรู้สึกของผม ความรู้สึกว่าผมสู้เพื่อสถาบันกษัตริย์ ผมสู้เพื่อแผ่นดิน และผมไม่ได้หวังลาภยศอะไรทั้งสิ้น จนกระทั่งผมถูกยิง 200 นัด ในวันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2552 เหตุผลเพราะว่าผมลุกขึ้นมาสู้และปกป้องสถาบันกษัตริย์ โดยที่ผมวิพากษ์วิจารณ์ทั้งทหารและตำรวจที่ไม่ยอมทำหน้าที่ของตัวเองในการปกป้องสถาบันกษัตริย์

ท่านผู้ชมครับ ไม่ต้องสงสัยในความจงรักภักดีที่ผมมีต่อสถาบันกษัตริย์ เพราะผมเชื่อตามที่พ่อและแม่สอนผมมาตลอด ปู่ผมเป็นคนจีน มาจากเกาะไหหลำ ย่าผมเป็นคนไทย อยู่ที่จังหวัดสุโขทัย แม่ผมเป็นคนจีน พ่อผมเป็นไทยและจีน ทุกคนสอนให้ผมไหว้พระเจ้าอยู่หัว ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ถ้าไม่มีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่มีสถาบันกษัตริย์ พวกเราจะอยู่เมืองไทยได้อย่างไม่สงบสุข ผมไม่รู้ว่าต้นตระกูลของคุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ก็ซึ่งเป็นคนจีน 100 เปอร์เซ็นต์ ไม่มีส่วนผสมของคนไทยเลย ไม่เหมือนผม ยังมีเศษคนไทยอยู่บ้าง จะคิดอย่างผมหรือเปล่า


การที่คุณธนาธร สนับสนุนหนังสือฟ้าเดียวกันออกมาจาบจ้วงสถาบันกษัตริย์ ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 9 แล้ว เป็นอย่างนี้มาตลอด ผมไม่ทราบว่าพวกตระกูลจึงรุ่งเรืองกิจ มีความสุขอยู่หรือเปล่า คุณก็ลูกเจ๊ก ผมก็ลูกเจ๊ก

แล้วพอมาวันที่ 13 ตุลาคม ผมจะเป็นคนที่ตักบาตรทุกวันเสาร์และอาทิตย์ ที่วัดบวรนิเวศฯ ทำไมต้องเป็นวัดบวรนิเวศฯ เพราะสมเด็จญาณสังวร เป็นสหายธรรมกับองค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน พ่อแม่ครูอาจารย์ผม องค์หลวงตามหาบัว เคยบอกผมว่า สนธิต้องออกไปสู้ให้สมเด็จญาณ นะ เพราะว่าสมเด็จญาณ ฯ ถูกรังแก ถูกรังแกโดยคุณวิษณุ เครืองาม และคุณทักษิณ ชินวัตร ในการที่แต่งตั้งสมเด็จเกี่ยว พุฒาจารย์ วัดสระเกศฯ ให้เป็นรักษาการสมเด็จพระสังฆราช ด้วยข้ออ้างที่ว่า สมเด็จญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ เพราะป่วย ในขณะซึ่งประกาศแต่งตั้งนั้น สมเด็จญาณฯ ยังนั่งแจกประกาศนียบัตรให้กับพระภิกษุสงฆ์อยู่เลย เห็นได้ชัดเจนว่าขบวนการต้องการจะตั้งสมเด็จเกี่ยวขึ้นมา ผมก็เลยผูกพันกับสมเด็จญาณฯ


อีกประการหนึ่ง พี่ชายของผม คือนายแพทย์ศักดิ์ชัย ลิ้มทองกุล ซึ่งก็เป็นหนึ่งในคณะแพทย์ที่รักษาสมเด็จญาณฯ มา ความผูกพันก็เลยมี ผมก็เลยไปตักบาตรที่วัดบวรฯ ตลอด และวัดบวรฯ ก็เป็นวัดที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 พระองค์ท่านทรงผนวชที่วัดนั้น แล้วเมื่อพระองค์ท่านสิ้นพระชนม์ อัฐิอังคารของพระองค์ท่านส่วนหนึ่งก็เก็บไว้ที่วัดราชบพิธฯ อีกส่วนหนึ่งก็เก็บเอาไว้อยู่ข้างหลังพระพุทธชินสีห์ ในอุโบสถของวัดบวรนิเวศฯ ผมก็เลยผูกพัน

ธรรมดาผมจะตักบาตรวันเสาร์และวันอาทิตย์ แต่วันอังคารที่ 13 ตุลาคม ผมต้องไปตักบาตรด้วยตัวผมเอง พระ 9 รูป เพราะว่าเป็นวันครบรอบสวรรคตครบ 4 ปี ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ผมไม่ตักบาตรไม่ได้ ผมต้องทำบุญให้พระองค์ท่าน ทุกวันที่ผมไหว้พระ สวดมนต์ ผมสวดพระปริตรทั้งชุด ทุกเช้า เมื่อสวดเสร็จ ผมต้องนั่งสมาธิ 50 นาที เป็นประจำ ทุกครั้งผมต้องแผ่เมตตาให้กับพันธมิตรฯ ที่เสียชีวิตไป และให้กับศรัณยู วงษ์กระจ่าง ให้หลังจากนั้นก็เพิ่มคุณเติมศักดิ์ จารุปราณ และอุทิศส่วนกุศลแผ่เมตตาให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เป็นประจำทุกวัน ผมพูดแล้วผมยังขนลุกเลย


เพราะฉะนั้นแล้ว วันที่ 13 ก็เป็นวันที่มีความหมายกับผมมาก ที่ท่านเสด็จสวรรคต ทำไมถึงมีความหมายกับผมมาก ? เพราะว่าผมเข้าไปอยู่ในเรือนจำวันที่ 6 กันยายน 2559 วันที่ 3 ตุลาคม อีกเกือบ 1 เดือน ภรรยาของผมเสียชีวิตที่โรงพยาบาล และตั้งศพที่วัดมกุฏกษัตริยาราม ผมไม่มีสิทธิ์ที่จะได้ออกไปงานศพของภรรยาผม แล้ววันที่ 13 รัชกาลที่ 9 ท่านเสด็จสวรรคต เป็นการเสียใจสองเด้ง เด้งแรก ภรรยาผมเสียชีวิตในขณะที่ผมอยู่ในคุก ผมไม่มีโอกาสที่จะได้ออกมางานศพของปุ๊เขา วันเผาก็ไม่มีโอกาส นั่งน้ำตาไหลอยู่ในห้องขัง แล้วจู่ๆ วันที่ 13 ก็ได้ข่าวว่าพระองค์ท่านสวรรคตอีก ผมก็ร้องไห้อีก ท่านผู้ชม แล้วที่อยู่ในคุกก็นั่งใฝ่ฝัน นั่งเฝ้าว่าจะมีโอกาสไหม ชีวิตนี้ ที่จะได้มาเคารพพระศพของพระองค์ท่าน ไม่มี จนกระทั่งศพของพระองค์ท่านจบ เรียบร้อยหมด เมื่อผมออกมา ระหว่างอยู่ในคุกก็ทำได้อย่างเดียวคือสวดมนต์ นั่งสมาธิแผ่เมตตาให้พระองค์ท่าน ออกมาก็เลยทำบุญตักบาตรทุกเสาร์-อาทิตย์ ก็แผ่เมตตา ทำบุญให้พระองค์ท่านทุกๆ เสาร์-อาทิตย์เช่นกัน มีวันที่ 13 วันเดียวเท่านั้นเองที่ถวายบุญกุศลทั้งหมดให้พระองค์ท่านพระองค์เดียว เพราะไม่อย่างนั้นแล้วจะแบ่งบุญทุกเสาร์-อาทิตย์ให้กับพ่อ แม่ ภรรยา ให้กับพันธมิตรฯ ให้กับคนโน้นคนนี้ แต่ 13 มอบให้พระองค์ท่าน


เป็นวันที่ผมเศร้า ผมตักบาตรเสร็จ ผมไปกราบพระพุทธชินสีห์ในอุโบสถ แล้วผมขอเจ้าหน้าที่เขาขึ้นไปข้างบน หลังพระพุทธชินสีห์ เพื่อไปกราบอัฐิธาตุของพระองค์ท่าน บอกพระองค์ท่านว่า ข้าพระพุทธเจ้า สนธิ ลิ้มทองกุล ประชาชนของพระองค์ท่าน ยังรักและคิดถึงพระองค์ท่านอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าพระองค์ท่านจะอยู่ที่ไหน พระองค์ท่านจะอยู่ในหัวใจของข้าพระพุทธเจ้า แล้วผมก็ออกมา มานั่งทำงาน แล้วผมก็ดูเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น

อย่าถามผมว่าผมรู้สึกอย่างไรกับคนที่ลุกขึ้นมาแล้วด่าว่า เหยียบย่ำสถาบันกษัตริย์ ท่านผู้ชมครับ เหมือนกับมาเหยียบย่ำหัวใจผม ผมไม่ได้หมกมุ่นและบ้าคลั่ง กับการมีกษัตริย์หรือไม่มีกษัตริย์ แต่สำหรับผมแล้ว สังคมไทยจำเป็นต้องมีสถาบันกษัตริย์ เพราะเป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชน และผมเชื่อว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในประเทศไทยนั้น จะทำให้ประเทศไทยอยู่รอดได้ เพราะผมเชื่อในคำสอนของพ่อแม่ครูอาจารย์ของผม องค์หลวงตามหาบัว พูดกับผมตลอดเวลา ท่านสอนผม ท่านสั่งผม ท่านบอกว่า สนธิ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ถ้าพระมหากษัตริย์ไม่ดี ศาสนาก็ไม่ดี ชาติก็อยู่ไม่ได้ ถ้าศาสนาไม่ดี พระมหากษัตริย์ก็แย่ ผมจำคำสอนของพ่อแม่ครูอาจารย์ได้


แต่เหตุการณ์วันที่ 14 ตุลาคม เหตุการณ์ที่ขบวนเสด็จออกมาแล้วโดนกลุ่มพวกม็อบชูสามนิ้วไล่ พูดจาหยาบคาย และพูดจาในทำนองที่เหยียดหยามและหมิ่น อาฆาตมาดร้าย ตอนนี้ไม่ใช่เรื่องปฏิรูปสถาบันกษัตริย์แล้ว ท่านผู้ชมครับ กลายเป็นอาฆาตมาดร้ายกับสถาบันกษัตริย์ ต้องขอบพระทัยสมเด็จพระราชินี ที่พระองค์ท่านมีความใจเย็น ยิ้ม ไม่หวั่นไหว แต่ผมเห็นใจองค์ทีปังกร พระองค์ท่านยังเด็กอยู่

นอกจากนั้นแล้ว ยังมีคำพูดที่หลุดออกมาในคลิปที่ผมนึกไม่ออกเลยว่า ในชีวิตที่ผมเกิดมาจนเจ็ดสิบกว่าแล้ว ลูกชายผมสี่สิบกว่า สี่สิบสี่ สี่สิบห้าแล้ว หลานผมก็โตแล้ว ผมจะได้ยินคำพูดแบบนี้ออกมาจากเด็กรุ่นใหม่ ซึ่งมีผู้ใหญ่อยู่เบื้องหลัง ซึ่งมีคนอย่างเช่น สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล


ปวิน ชัชชวาลพงศ์พันธ์ หรือคนที่ทำตัวเป็นอีแอบ อย่างเช่น ปิยบุตร แสงกนกกุล หรือธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ






คุณต้องการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ผมเห็นด้วย เพราะว่าทุกอย่างเมื่อโลกมันเปลี่ยนไป เทคโนโลยีมันเปลี่ยนไป สังคมมันเปลี่ยนไป สถาบันต่างๆ ก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับเหตุการณ์ แต่ลักษณะการแสดงออกของพวกคุณ และลักษณะการที่พวกคุณอยู่เบื้องหลังเด็กทั้งหลายนี้ มันไม่ใช่การปฏิรูป มันคือการอาฆาตแค้น แล้วเด็กๆ ที่ออกมาชูสามนิ้วกัน แล้วก็พูดจาหยาบคายใส่สมเด็จพระราชินี ในขบวนเสด็จที่กำลังจะเสด็จฯ ไปทอดกฐินที่วัดราชโอรสฯ และต่อด้วยวัดอรุณฯ ไม่ใช่ลักษณะของคนที่มีการศึกษาและคนที่มีความจริงใจในการที่จะเสนอในการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์


ท่านผู้ชม ผมก็เลยต้องถามว่าเมืองไทยมันเป็นไปอย่างนี้ได้อย่างไร มันเปลี่ยนไปหมดแล้ว มันไม่ใช่เมืองไทยอีกต่อไปแล้ว แล้วผมก็เชื่อว่าคุณเป็นคนกลุ่มน้อยส่วนหนึ่ง แต่เผอิญคุณกล้าหาญ บ้าบิ่น แต่คุณกล้าหาญในทางที่ผิดๆ การปฏิรูปสถาบันกษัตริย์นั้น คุณสามารถจะเสนอทุกเรื่องในการปฏิรูปด้วยเหตุด้วยผล ไม่ใช่ด้วยอารมณ์ และไม่ใช่ด้วยใจที่คุณต้องการ และก็ไม่ใช่ด้วยสิ่งที่คุณกำลังที่จะแสดงความอาฆาตเคียดแค้นด้วยคำพูดของคุณ

ท่านผู้ชมครับ นี่คือความในใจของผม ผมไม่รู้ว่าผมจะพูดว่าผมเจ็บช้ำน้ำใจแค่ไหน แต่ผมเจ็บช้ำน้ำใจมากๆ แล้วคนอย่างผม ซึ่งถูกลูกปืนไป 200 นัด ยังไม่เจ็บช้ำน้ำใจ แต่มาเจ็บช้ำน้ำใจเรื่องนี้ ขอให้เชื่อว่ามันเจ็บจริงๆ มันเจ็บจนไม่อยากจะพูดอะไรแล้ว และผมก็ไม่เข้าใจว่าพวกคุณเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร และผมก็ไม่เข้าใจ ผมเข้าใจเพียงอย่างเดียวว่าพวกคุณก็มีคนอยู่ส่วนหนึ่ง รัฐบาลก็มีคนอยู่ส่วนหนึ่ง พวกคุณอยากให้มีเรื่องทั้งนั้น เพราะพวกคุณอยากให้รัฐบาลปราบ รัฐบาลก็ใจเย็นๆ แต่รัฐบาลโดนพวกคุณโจมตี รัฐบาลก็ฉลาด ก็พลิกประเด็น เอาพวกคุณมาชนกับสถาบันกษัตริย์แทน รัฐบาลก็เอาตัวรอดมา ผมไม่เข้าใจ คุณไปล้อมทำเนียบฯ


คุณอานนท์ นำภา คุณกล่าวปราศรัยอยู่ตอนกลางคืน คุณพูด คุณโจมตีรัฐบาล คุณจะต้องแก้รัฐธรรมนูญ โน่นนี่นั่น ไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย สี่ทุ่มคุณอานนท์ลุกขึ้นมา แล้วก็เริ่มมาวิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์ทันทีเลย


ท่านผู้ชมครับ ผมไม่ต้องการเห็นกลุ่มคนที่ชุมนุมอยู่ถูกปั่นหัวเพื่อมาชนกับสถาบันกษัตริย์ ซึ่งอยู่เฉยๆ ไม่ได้ทำอะไร ถ้าคุณต้องการจะโจมตีรัฐบาล คุณวิ่งตรงไปที่รัฐบาล แต่ทำไมวิ่งไปวิ่งมาแล้วรัฐบาลกลับรอดตัว กลับไปเจอสถาบันกษัตริย์แทน กลายเป็นว่าคู่กรณีตอนนี้กลายเป็นพวกเด็ก พวกม็อบ กับสถาบันกษัตริย์ รัฐบาลหายไปแล้ว ไม่เกี่ยวข้องแล้ว ท่านผู้ชมเริ่มเข้าใจสิ่งที่ผมพูดหรือยัง เห็นด้วยกับที่ผมพูดไหม

และผมก็ไม่เข้าใจเรื่องบางเรื่อง ผมมีแผนที่บางอย่างที่จะพูดให้ดู ผมไม่เคยเข้าใจ พอผมเห็นขบวนเสด็จแล้ว แล้วผมก็เห็นเส้นทางเสด็จ ผมเห็นจำนวนคน ผมก็ไม่ใช่คนโง่ ผมก็มานั่งศึกษาดู ผมจะเปิดให้ท่านผู้ชมดู ว่ามันเกิดแบบนี้ขึ้นมาได้อย่างไร (ในจอ) นี่คือพระบรมรูปทรงม้า เด็กชุมนุมกันอยู่ที่นี่ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ทำเนียบรัฐบาลอยู่ตรงนี้ ในการเดินขบวนของเด็กนั้น เริ่มเดินขบวนจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย มาที่สะพานผ่านฟ้า มาเรื่อยๆ ลงมาทางนางเลิ้ง ผ่านธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร มาถึงแยกนางเลิ้ง ก็คือเป็นสนามม้า ถ้าเลี้ยวมาทางซ้ายก็คือทำเนียบรัฐบาล สะพานชมัยมรุเชฐ และนี่ เส้นสีแดงคือการเดินขบวนของเด็ก การเดินขบวนของเด็กถูกตำรวจบล็อกไว้ตรงนี้ บล็อกไว้จนกระทั่งถึงห้าโมงเย็น (17.00 น.)


ตามปกติแล้ว ขบวนเสด็จจะเสด็จฯ ไปที่ไหน จะมีหมายให้ก่อนล่วงหน้า จะมีเส้นทางที่ตายตัว เส้นทางนี้ ถนนราชดำเนิน เส้นทางนี้เป็นเส้นทางที่เดิมทีเป็นเส้นทางที่เสด็จฯ มา ฝั่งหนึ่งก็จะเป็นฝั่งพวกม็อบ อีกฝั่งหนึ่งก็เป็นฝั่งเสื้อเหลือง ประจันกัน ตรงนี้ก็สามารถที่จะผ่านไปได้เพราะว่าตำรวจอยู่ตรงกลาง กันเอาไว้ และขบวนเสด็จของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็เสด็จฯ ผ่านไป โดยที่ไม่มีเรื่องไม่มีราวอะไรทั้งสิ้น


มาดูขบวนของสมเด็จพระราชินี ปรากฏว่ามาถึงตรงนี้ปั๊บ ก็มีเด็กกลุ่มของพวกม็อบอยู่ตรงนี้สองข้าง จำนวนไม่มาก น้อย หลักร้อย คำถามมีอยู่อย่างนี้ คำถามมีว่า ทำไมไม่มีตำรวจเลย น้อยมาก มีตำรวจออกมาในตอนหลัง ตอน 17.20 น. เพราะนั่นคือหมาย 17.20 น. ตำรวจออกมา 17.20 น. เมื่อขบวนออกมาเรียบร้อยแล้ว ก็เลยไปติดกลุ่มคนพวกม็อบอยู่ข้างหน้า ขบวนขยับต่อไม่ได้ พวกคนที่อยู่ข้างๆ ก็เลยถือโอกาสกล่าวคำหยาบ พูดจาอาฆาตมาดร้าย






ท่านผู้ชมครับ ถ้าเขาไม่กล่าวคำหยาบ ถ้าใครสักคนเอาขวดน้ำขว้างเข้าไป ท่านผู้ชมว่าอะไรจะเกิดขึ้น หรือเปลี่ยนจากขวดน้ำเป็นก้อนหิน งานนี้ท่านนายกรัฐมนตรีท่านปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ ในฐานะที่ท่านเป็นประธาน กอร. ท่านก็จะปกป้อง ผบ.ตร. พล.ต.อ.สุวัฒน์ ไม่ได้เช่นกัน


งานนี้คนที่ต้องรับผิดชอบ คนที่เป็นผู้นำองค์กร ก็คือ พล.ต.อ.สุวัฒน์ ผบ.ตร. จะต้องรับผิดชอบอย่างเต็มตัว ไม่ใช่ไปปลด หรือไม่ใช่ไปสั่งย้ายนายพล 4-5 คน นายพลที่เกี่ยวข้องอยู่แถวๆ นี้ ท่านนายกฯ ท่านต้องย้าย ผบ.ตร.เข้าประจำสำนักนายกฯ ก่อน และเรื่องนี้ต้องตั้งคณะกรรมการสอบสวน ต้องสอบสวน ผบ.ตร. ไม่ใช่ให้ ผบ.ตร.มาสอบสวนลูกน้อง เพราะว่าแผนปฏิบัติการ ท่านผู้ชม เขาเอาตำรวจมา 99 กองร้อย ตีว่า 1 หมื่นคน 1 หมื่นคนนี่ไว้ตรงไหนกันบ้างล่ะ ดูการวางกำลังหน่อย ผมยังไม่รู้เลย แค่นี้ เอามาสักพันคน ข้างละ 500 คน มันก็บล็อกได้หมดแล้ว คุณบล็อกพวกม็อบชุดใหญ่อยู่ตรงนี้่ได้ แล้วคุณก็รู้ว่าตรงนี้จะมีขบวน 17.20 น. คุณบล็อกเขาประมาณ 17.00 น. แล้วพอหลังจาก 17.20 น. คุณก็ปล่อยเขาเข้ามา แต่นี่มีคนไม่กี่ร้อยคน ทำไมคุณไม่บล็อกเขาไม่ให้เขาเข้ามาเลย เพื่อให้ขบวนเสด็จ เสด็จ ฯ ไปให้เรียบร้อยก่อน ท่านผู้ชมว่ามันทะแม่งๆ ไหม ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ไทยนะท่านผู้ชม 2475 มาถึงวันนี้ ไม่เคยมีนะ


ถ้าเป็นสมัยก่อนนี้นะ ตัดคอแล้ว สมัยนี้ไม่ต้องตัดคอหรอก ลงโทษทางวินัยก็ได้ ต้องย้ายท่าน ผบ.ตร.ไปก่อน ตั้งกรรมการสอบสวน สอบผลออกมาเรียบร้อยแล้ว ท่าน ผบ.ตร.ต้องโดนโทษทางวินัย ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลต้องโดนโทษทางวินัย ผู้การที่รับผิดชอบตรงพื้นที่นี้ก็ต้องโดนโทษทางวินัย เด็กโดนโทษทางวินัยได้ แต่ ผบ.ตร.ไม่โดนโทษทางวินัย เป็นไปได้อย่างไรท่านนายกฯ ท่านผู้ชมเห็นด้วยกับผมไหม

ท่านผู้ชมครับ เรื่องของวันที่ 13-14 ผมมีแต่เรื่องเจ็บช้ำน้ำใจ แล้วผมมาดูการทำงาน ผมมาดูขบวนเสด็จ ที่โดนอาฆาตมาดร้าย โดนดูถูกเหยียดหยามแบบนี้ ที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ ผมไม่สนใจว่าจะเป็นยุคไหน แต่ไม่เคยมีใครทำเช่นนี้เลย แล้วผมมาดูหน้าที่ของตำรวจที่ทำอยู่ ผมรับไม่ได้ และผมดูการกลบเกลื่อนเรื่องราวโดยการย้ายระดับรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ย้ายผู้การ แล้วท่าน ผบ.ตร.ท่านไม่โดนบ้างเลยหรือ


ท่านนายกฯ ครับ อย่าเล่นพวกเล่นพ้องมากสิครับท่าน ถ้าท่านจะทำเพื่อชาติบ้านเมืองและท่านจะทำเพื่อสถาบันกษัตริย์ ถ้าท่านรักพระเจ้าอยู่หัวจริง เรื่องนี้ท่านต้องเรียกท่าน ผบ.ตร.เข้ามา แล้วบอกว่า เฮ้ย งานนี้คุณผิดนะ คุณต้องรับไป ผมต้องลงโทษคุณนะ คุณไปอยู่สำนักนายกฯ ก่อน ช่วยราชการ ผมจะตั้งกรรมการสอบคุณ แล้วก็ตั้งกรรมการสอบพวกลูกน้องคุณอีกหลายคนที่รับผิดชอบ แต่คุณเป็นหัวหน้า คุณต้องรับผิดชอบเพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก เป็นเรื่องที่ใหญ่ที่สุด ถ้าเขาไม่ได้พูดจาหยาบคายด้วยปากอย่างเดียว เขาเอาขวดน้ำขว้าง เขาเอาก้อนหินขว้าง ใครจะรับผิดชอบ ท่านนายกฯ ครับ

ท่านผู้ชมเห็นด้วยกับผมไหม ถ้าเห็นด้วย ช่วยกันเรียกร้องหน่อย เพราะว่าถ้าเราปล่อยคนที่รับผิดชอบให้ลอยนวลได้ โดยไม่ผิดอะไรทั้งสิ้น ในฐานะเป็นผู้นำหน่วย มันเป็นจุดเริ่มต้นของความเสื่อมแล้ว ท่านผู้ชม


ท่านผู้ชมครับ วันนี้ รายการนี้ เรื่องนี้ มีแต่เรื่องที่เศร้า และมีแต่เรื่องที่ทำให้ผมเห็นว่าประเทศไทยไม่เหมือนเดิมแล้ว ผมดูบทบาทตำรวจที่มีต่อขบวนเสด็จ ผมก็รู้ว่าประเทศไทยไม่เหมือนเดิมแล้ว ผมดูเด็กที่ออกมาแล้วก็มาโจมตีสถาบันกษัตริย์แบบอาฆาตมาดร้าย ผมก็รู้ว่าเมืองไทยไม่เหมือนเดิมแล้ว ผมไม่อยากจะพูดว่า 6 ปีที่ผ่านมานี้ ประเทศไทยแตกออกเป็นเสี่ยงๆ แล้ว โอกาสปรองดองไม่น่าจะมีเหลืออีกต่อไปแล้ว เด็กพวกนี้อีกหน่อยก็จะไปเป็นผม พวกผมก็ตายไป เราจะแก้ปัญหาอย่างนี้กันอย่างไร วันนี้เอาเพียงแค่นี้ก่อนท่านผู้ชม แล้วพบกันวันศุกร์หน้า สวัสดีครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น