xs
xsm
sm
md
lg

เอสโซ่อัดงบปีหน้า 1.2-1.5 พันล้าน ลงทุนโรงกลั่น-ขยายปั๊มน้ำมันเพิ่ม

เผยแพร่:



“เอสโซ่” ตั้งลงทุนปี 64 ราว 1.2-1.5 พันล้านบาท ใกล้เคียงปีนี้ เพื่อใช้ลงทุนในการขยายสถานีบริการน้ำมันเพิ่มและธุรกิจโรงกลั่น ยอมรับปีนี้ยอดขายน้ำมันวูบ 7-8% สอดคล้องตัวเลข GDP ติดลบจากผลกระทบโควิด-19 ส่วนด้านโรงกลั่นเอสโซ่หยุดผลิตน้ำมันอากาศยานตั้งแต่ มิ.ย.แล้ว แต่หันไปผลิตดีเซลและเบนซินเพิ่มขึ้นแทน หวั่นปัญหาการเมืองไทยส่งผลต่างชาติเมินลงทุนไทย

นายอดิศักดิ์ แจ้งกมลกุลชัย ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ ESSO เปิดเผยว่า บริษัทฯ ตั้งงบลงทุนในปี 2564 ใกล้เคียงปีนี้อยู่ที่ 1,200-1,500 ล้านบาท เพื่อใช้ในการขยายสถานีบริการน้ำมันใหม่เพิ่ม และลงทุนโรงกลั่นน้ำมัน โดยปี 2564 คาดว่าบริษัทจะมีสถานีบริการน้ำมันเอสโซ่เพิ่มขึ้นเกินกว่า 700 แห่ง จากสิ้นปีนี้มีสถานีบริการน้ำมันเอสโซ่รวม 690 แห่งทั่วประเทศ

ขณะที่ผลกระทบโควิด-19 ทำให้ยอดขายน้ำมันอากาศยาน (Jet) ลดลง 70-80% เนื่องจากมีการหยุดบินระหว่างประเทศ ดังนั้น โรงกลั่นน้ำมันเอสโซ่จึงได้ปรับกระบวนการกลั่นใหม่โดยไม่มีการผลิตน้ำมันอากาศยานมาตั้งแต่เดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา แล้วหันไปผลิตน้ำมันดีเซลและเบนซินเพิ่มขึ้นแทน ซึ่งปัจจุบันโรงกลั่นเอสโซ่มีกำลังการกลั่นเฉลี่ย 117,000 บาร์เรล/วัน

ส่วนยอดขายปลีกน้ำมันผ่านสถานีบริการในช่วงครึ่งปีหลังนี้พบว่ามียอดขายน้ำมันดีขึ้นตามความต้องการใช้น้ำมันที่กลับขึ้นมาอยู่ระดับ 90% ก่อนเกิดโควิด-19 ทำให้ยอดขายน้ำมันค้าปลีกโตต่อเนื่องโดยผ่านจุดต่ำสุด เม.ย.ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม แม้ว่าปริมาณการขายน้ำมันฟื้นตัวดีขึ้นแต่มาร์จินไม่แข็งแกร่ง ขึ้นอยู่กับอุปสงค์และอุปทานน้ำมันโลก โดยล่าสุดบริษัท FGE ที่มีความชำนาญการด้านปิโตรเลียมได้วิเคราะห์ว่า ค่าการกลั่นน้ำมันตลาดสิงคโปร์ติดลบ 1-2 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ต่อเนื่องไปจนถึงเดือน ก.พ. 2564 โดยมีส่วนต่างราคาน้ำมันดีเซลกับน้ำมันดิบ (Crack spread) อยู่ที่ 3-4 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากเดิมอยู่ที่ 14-15 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และส่วนต่างน้ำมันเบนซินกับน้ำมันดิบอยู่ที่ 5-6 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากเดิมเคยอยู่ที่ 12-14 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เนื่องจากความต้องการใช้น้ำมันโลกลดลง

สำหรับยอดขายน้ำมันเอสโซ่ในปีนี้คาดว่าจะลดลง 7-8% เมื่อเทียบจากปีก่อน สอดคล้องกับตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของประเทศ โดยปีนี้คาดว่า GDP ไทยติดลบ 7-8% โดยปัจจุบันบริษัทฯ มีส่วนแบ่งการตลาดค้าปลีกน้ำมันอยู่ที่ 11.8% เป็นอันดับ 4 ของประเทศ 

นอกจากนี้ ในบริษัทฯ ยังได้สร้างรายได้อื่นผ่านพันธมิตรธุรกิจโดยร่วมมือกับพันธมิตรร้านค้าและบริการในสถานีบริการน้ำมัน เช่น เบอร์เกอร์คิง แมคโดนัลด์ เคเอฟซี สตาร์บัคส์ ร้านกาแฟราบิก้า ร้านกาแฟดิเอโร่ ฯลฯ ล่าสุดจับมือกับกลุ่มไมเนอร์ฟู้ดเปิดร้านกาแฟใหม่ ชื่อ Coffee Journey ซึ่งจะเป็นร้านกาแฟที่เปิดในสถานีบริการน้ำมันเอสโซ่เท่านั้น โดยขณะนี้เปิดให้บริการแล้ว 2 แห่ง คาดว่าสิ้นปีนี้จะเปิดเพิ่มเป็น 12-15 แห่ง

นายอดิศักดิ์กล่าวต่อไปว่า จากสถานการณ์ความเปราะบางทางการเมืองไทยในช่วงนี้มีผลกระทบต่อการตัดสินใจลงทุนของต่างชาติเช่นเดียวกับการแพร่ระบาดโควิด-19 ทำให้ทางบริษัทแม่คือ เอ็กซอน โมบิล คอร์ปอเรชั่น ได้ชะลอการลงทุนโครงการปิโตรเคมีในไทยมูลค่า 3 แสนล้านบาทออกไปก่อน เพราะเศรษฐกิจทั่วโลกหดตัวและต้องปรับลดค่าใช้จ่ายลงจากผลกระทบโควิด-19 โดยยังไม่มีกำหนดว่าจะตัดสินใจลงทุนเมื่อใด
กำลังโหลดความคิดเห็น