xs
xsm
sm
md
lg

[คำต่อคำ] SONDHI TALK : เบื้องหลังแผ่นดินไหวที่ช่อง 5 - เปิดดีลลับ “โจ ไบเดน-ยูเครน” - เกมเตะตัดขาสกัดดาวรุ่ง!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



วันที่ 1 เม.ย. 65 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ไลฟ์สด “SONDHI TALK” ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ คุยทุกเรื่องกับสนธิ ช่องยูทูป Sondhitalk และแอปพลิเคชัน Sondhi App โดยประเด็นเล่าในวันนี้ เริ่มจาก ออสการ์สะเทือน เมื่อวิลล์ สมิธ ตบหน้า คริส ร็อก อย่างจัง เรื่องนี้ใครผิด ใครถูก?
- แผ่นดินไหวช่อง5 สะเทือนท็อปนิวส์ เบื้องหลังคืออะไร?
- การสร้างกงสุลสหรัฐฯ มูลค่าเกือบ 1 หมื่นล้าน ที่ จ.เชียงใหม่ อุปทูตออกมาแถลงข่าว  แต่ทำไมคนไม่เชื่อเลย
- แล็ปท็อปจากนรก! เปิดมหากาพย์ดีลลับ กับสงครามยูเครน ผลประโยชน์ทับซ้อนและธาตุแท้ของสื่อตะวันตก
- จากรถไฟฟ้าสายสีเขียวถึงจับกัญชา 1 ต้น เกมเตะตัดขาและการเอาคืน ภูมิใจไทย เกมการเมืองที่เหยื่อก็คือ ชาวบ้านตาดำๆ



คำต่อคำ SONDHI TALK EP. 131 [1 เม.ย. 65] : เบื้องหลังแผ่นดินไหวที่ช่อง 5

ช่องทางการรับชมรับฟัง "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" หรือ SONDHI TALK
แอปพลิเคชัน:SONDHI APP
ระบบ iOS ดาวโหลดได้ที่ AppStore : https://apps.apple.com/th/app/sondhi-app/id1588046647.
ระบบ Android ดาวโหลดได้ที่ Google Play : https://play.google.com/store/apps/details?id=com.sondhitalk.asia.android
เฟซบุ๊กแฟนเพจ:คุยทุกเรื่องกับสนธิ
YouTube:Sondhitalk
เว็บไซต์:www.sondhitalk.com
Podcast หรือ podbean:SONDHI TALK

สวัสดีครับท่านผู้ชม วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 1 เมษายน เป็นวันแรกของเดือนเมษายน อีกไม่กี่วันก็สงกรานต์แล้ว ผ่านไปอีกสักพักหนึ่งก็จะเข้าวิสาขบูชา อาสาฬหบูชา และเข้าพรรษา เวลาผ่านไปเหมือนโกหก

ท่านผู้ชมครับ วันนี้เป็นวันแรกที่ท่านผู้ชมที่ยังไม่ได้จ่ายค่าสมาชิกสำหรับการรับชม Sondhi App จะเข้าดูไม่ได้แล้ว หลังจากที่เราเปิดให้รับชมได้ฟรีเป็นเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เดือนมกราคม 2565 ท่านผู้ชมครับ ถ้าใครยังประสบปัญหา หรือมีข้อสงสัยประการใดในการสมัครสมาชิก กรุณาแอดไลน์ (LINE) มาที่ @sondhitalk จะมีเจ้าหน้าที่คอยอำนวยความสะดวก

แอปฯ Sondhi App จะมีความหมายมากต่อไปในอนาคต เหมือนอย่างที่ท่านผู้ชมคงจะรับทราบมาแล้ว ผมจะพูดในรายการวันนี้ เรื่องการที่มีการบีบช่อง 5 ไม่ให้เอาข่าวอีกด้านหนึ่งออกมาเสนอเพื่อให้ท่านผู้ชมได้มีปัญญามากขึ้นกว่าเก่า ก็คือให้เสพเฉพาะข่าวทางตะวันตก ตอนนี้เรื่องข่าวสารข้อมูลต่างๆ นั้น ตะวันตกกำลังปิดกั้น อะไรที่ไม่เป็นผลประโยชน์กับฝ่ายตะวันตก ก็จะปิดกั้น ใช้อำนาจ ตลอดจนอำนาจในการติดต่อรัฐบาลแต่ละประเทศเพื่อปิดกั้นข่าวทันที


และอีกประการหนึ่ง มีอีกหลายๆ ข่าวที่อาจจะลงในเฟซบุ๊กไม่ได้ เพราะขัดต่อนโยบายของเฟซบุ๊ก ของยูทูป แต่ว่าท่านผู้ชมจะได้ดูใน Sondhi App ท่านผู้ชมครับ Sondhi App คือทางเลือกจริงๆ ไม่แพงหรอกครับ วันละ 3.30 บาท เดือนละ 99 บาท ถ้าเป็นสมาชิกทั้งปี 12 เดือน แค่ 990 บาท ได้ดูฟรี 2 เดือน ไม่ผิดหวังครับ ทุกรายการเต็มเปี่ยมไปด้วยปัญญา Sondhi App คือ Netflix ทางปัญญาครับ

ท่านผู้ชมครับ อย่าลืมนะครับ มีข้อสงสัยอะไรให้แอดไลน์มาเลยที่ @sondhitalk จะมีคนอำนวยความสะดวกตลอดเวลา


ท่านผู้ชมครับ ท่านผู้ชมจำน้องพลอยเพชร ได้ไหม เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว น้องพลอยเพชร ด้วงเขียว มาพร้อมคุณพ่อคุณแม่ แวะเข้ามาที่บ้านพระอาทิตย์ น้องพลอยเพชร เอาถ้วยรางวัลจากการแข่งขันเทนนิสชิงแชมป์ประเทศไทย ซึ่งเป็นรายการใหญ่ของเทนนิสในปีนี้มาฝากพวกเรา ท่านผู้ชม และผม ซึ่งเป็นผู้ที่อุปการะน้องพลอยเพชร มาตลอด สำหรับถ้วยรางวัลที่เธอเอามาให้นั้นมี หนึ่ง ถ้วยแชมป์หญิงเดี่ยว รุ่นอายุไม่เกิน 10 ปี จากรายการใหญ่ของปีนี้ รายการการแข่งขันเทนนิสเยาวชนเพื่อความชนะเลิศแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 60 ประจำปี 2565 เป็นถ้วยพระราชทานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี แข่งที่เมืองทองธานี ศูนย์พัฒนากีฬาเทนนิสแห่งชาติ นั่นคือถ้วยแรกที่น้องพลอยเพชร ได้


ถ้วยที่สองคือ ถ้วยแชมป์หญิงคู่ รุ่นอายุไม่เกิน 10 ปี ในการแข่งขันเทนนิสเยาวชนเพื่อความชนะเลิศฯ ครั้งที่ 60 ประจำปี 2565 ก็เหมือนกันครับ ชิงถ้วยพระราชทานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

อีกถ้วยหนึ่งคือ ถ้วยแชมป์หญิงเดี่ยว อายุไม่เกิน 12 ปี เธอข้ามรุ่นไปตีไม่เกิน 12 ปี เธอได้แชมป์หญิงเดี่ยวจากรายการ LTO Junior Championship 2022 ครั้งที่ 1


นอกจากการกีฬาที่เด่นแล้ว ยังมีข่าวดีในเรื่องการเรียนว่า เธอได้รับการคัดเลือกเป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับรางวัล "เพชรแห่งแผ่นดิน" ครั้งที่ 1 ซึ่งเป็นรางวัลร่วมกันของกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงวัฒนธรรม และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เพื่อคัดเลือกนักเรียนที่มีความเพียบพร้อม 4 ด้าน วิชาการ คุณธรรม-จริยธรรม สังคม และกิจกรรม โดยได้รับโล่ประทานจากพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ อีกด้วย


ท่านผู้ชมครับ ตั้งแต่น้องพลอยเพชร ได้รับการสนับสนุนจากรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" และแฟนๆ รายการอย่างอบอุ่น ได้เข้าร่วมการฝึกซ้อมกับคุณดนัย อุดมโชค และทีมโค้ชมืออาชีพ ที่สนามฝึกซ้อมย่านอินทามระอย่างสม่ำเสมอ คุณดนัย อัปเดตผมว่า น้องพลอยเพชร มีพัฒนาการดีขึ้นมากๆ ในทุกๆ ด้าน โดยเฉพาะเรื่องอารมณ์ที่นิ่งขึ้น การเคลื่อนไหวที่ดีขึ้น และเทคนิคการเล่นเทนนิสที่แพรวพราวมากขึ้น

นอกจากนี้ ในปีการศึกษา 2565 และ 2566 ที่จะถึงนี้ น้องพลอยเพชร จะมีอายุครบ 10 ปี เธอจะย้ายมาอยู่กรุงเทพมหานครพร้อมครอบครัวแล้ว และเธอได้รับความกรุณาจากโรงเรียนอมาตยกุล ได้เข้าเรียนกลางคันที่ชั้น ป.5 ซึ่งต้องขอขอบคุณ รศ.ดร.เกียรติวรรณ อมาตยกุล หรือ อาจารย์กบ ผู้อำนวยการโรงเรียนอมาตยกุล ที่ให้ความกรุณา และได้รับปากว่าจะดูแลน้องพลอยเพชร ทั้งในเรื่องการเรียนและกีฬา

ท่านผู้ชมครับ ขอให้แฟนๆ รายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" เป็นกำลังใจให้น้องพลอยเพชร ต่อไปนะครับ เป็นการตัดสินใจที่ไม่ผิดพลาดเลยที่พวกเรา (พวกเราคือ ผม รายการ และท่านผู้ชมทั้งหลาย) ได้รับน้องพลอยเพชร เข้ามาอุปการะและดูแล จากศักยภาพว่านี่คือ "เพชรในตม" ตอนนี้เพชรในตมเริ่มออกจากตมแล้ว และเริ่มส่องแสง ส่งประกายออกมาให้พวกเราได้เห็น และให้พวกเราได้ร่วมกันภูมิใจ


ท่านผู้ชมครับ อีกเรื่องหนึ่ง ผมกำลังจะขอเชิญท่านผู้ชมทั้งหลายมาร่วมทำบุญใหญ่กัน ปีนี้ เดือนนี้ วันที่ 5-6 เมษายน เป็นวาระครบรอบวันเกิดของหลวงปู่เฉลิม ธมฺมธโร ท่านผู้ชมจำหลวงปู่เฉลิม ได้ไหม ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดป่าภูแปก ญาณสัมปันโน ที่พวกเราเคยไปทำบุญกัน เคยไปทอดกฐินกัน เนื่องจากว่าเราจะมีงานมุทิตาสักการะอายุวัฒนะครบ 66 ปี ของหลวงปู่เฉลิม ธมฺมธโร หลวงปู่เฉลิม ตั้งใจจะมีการวางศิลาฤกษ์สร้างพระพุทธรูปใหญ่ ปางเชียงแสนสิงห์ 1 ขนาดหน้าตัก 16 เมตร พร้อมอาคารพิพิธภัณฑ์ ในวันที่ 5 และ 6 เมษายน

16 เมตร เป็นพระพุทธรูปที่ใหญ่มาก ไม่ใช่เล็กๆ การทำบุญสร้างพระพุทธรูปนั้นเป็นการทำบุญใหญ่ที่จะมีอานิสงส์นำความเจริญรุ่งเรือง นำความเป็นสิริมงคล ให้กับผู้ที่ทำบุญ ให้กับครอบครัวของคนที่ทำบุญ ตามจิตอธิษฐานที่ตั้งไว้

จะมีพิธีวางศิลาฤษ์วันพุธที่ 6 เมษายน พระภิกษุสงฆ์ 7 โมงเช้า ออกรับบิณฑบาต 9 โมงห้าสิบ จะร่วมวางศิลาฤกษ์ วันพุธที่ 6 เมษายน นะครับ สร้างพระพุทธรูปใหญ่พร้อมอาคารพิพิธภัณฑ์


หากท่านผู้ชมต้องการจะเป็นเจ้าภาพและร่วมทำบุญสร้างพระพุทธรูปใหญ่พร้อมอาคารพิพิธภัณฑ์ สามารถทำได้ที่บัญชี วัดป่าภูแปก เลขบัญชี 528-256323-0 ธนาคารไทยพาณิชย์ และท่านผู้ชมที่ต้องการจะไปร่วมทำบุญด้วยตัวเอง ท่านสามารถสอบถามการทำโรงทานและที่พักได้ที่ คุณครูอาภรณ์ บุษบา หมายเลขโทรศัพท์ 089-5145201 และได้ที่ แม่ปุย 085-6038516

อย่าลืมนะครับท่านผู้ชม การทำบุญร่วมกันสร้างพระพุทธรูปขนาดใหญ่ หน้าตัก 16 เมตร ไม่ใช่สามารถจะทำกันได้บ่อยๆ นี่คือบุญใหญ่นะครับ แล้วแต่ศรัทธาก็แล้วกัน

ท่านผู้ชมครับ อาทิตย์นี้เป็นอาทิตย์ที่จะว่าวุ่นวาย ก็วุ่นวาย จะว่าเฉยๆ ก็เฉยๆ เพราะว่าทุกอาทิตย์ผมมีความรู้สึกว่ามีแต่เรื่องวุ่นวายทั้งนั้น จนกระทั่งเรื่องวุ่นวายทั้งหลาย สำหรับผมกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาไปแล้ว


อาทิตย์นี้ท่านผู้ชมคงได้เห็นข่าวเรื่องดารานักแสดงผิวสีของสหรัฐอเมริกา ชื่อ วิล สมิธ ได้ตบหน้า คริส ร็อก พิธีกรในรายการแจกรางวัลออสการ์ สั่งสอนการประกาศผลออสการ์ หลักๆ ก็คือว่า ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ คำถามคือ สิ่งที่ วิล สมิธ ทำนั้นถูกหรือผิด ? ผมมีข้อคิดให้หลายๆ ข้อคิด ท่านผู้ชมติดตามมานะครับ

เรื่องที่สอง กับเบื้องหลังของการที่ ททบ.5 โทรทัศน์ช่อง 5 ได้ถอดรายการของท็อปนิวส์ ซึ่งคุณปอง อัญชะลี ไพรีรัก น้องสาวผม และคุณกิติมา ซึ่งเคยอยู่กับผมทั้งคู่ เป็นพิธีกร ปรากฏว่าถูกถอดกลางคัน จนกระทั่งทั้งสองคนนั้นลาออกไป สืบไปสืบมา ท่านผู้อำนวยการช่อง 5 ท่านก็ถือโอกาสลาออก พ้นจากตำแหน่งนี้ไป เบื้องหน้าเบื้องหลังสนุกมาก และมีข้อคิดให้ฟังเยอะ ผลงานในการถอดรายการนี้มาจากหมา 2 ตัว พันธุ์ชิวาว่า ผมไม่ต้องพูดท่านผู้ชมคงนึกออก แต่จะมาเล่าให้ฟังถึงเบื้องหน้าเบื้องหลังกัน

เรื่องที่สาม กรณีการสร้างกงสุลสหรัฐฯ ที่ จ.เชียงใหม่ แล้วท่านอุปทูตออกมาแถลงข่าวสร้างกงสุลใหม่เกือบหมื่นล้าน เพื่อดูแลคนอเมริกันทางภาคเหนือถึง 17,000 คน มาฟังกันนิดหนึ่ง การแถลงของท่านอุปทูต ปรากฏว่าที่น่าสนใจมาก ท่านอุปทูตแถลงออกมา คอมเมนต์ที่เข้ามา ทุกคนไม่เชื่อเลยแม้แต่นิดเดียวกับสิ่งที่ท่านอุปทูตพูด ในทำนองที่ว่าโกหก ตอแหล ซึ่งตอนนี้เป็นปัญหามากกับประเทศสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยิ่งมีสงครามยูเครนกับรัสเซียขึ้นมา ทำให้คนเริ่มรู้แล้วว่าข่าวต่างๆ ที่มาจากทางตะวันตกนั้นเชื่อถือไม่ได้

เรื่องที่สี่ เป็นเรื่องที่สำคัญมาก สื่อมวลชนไทยไม่ค่อยมีใครรายงาน อย่าว่าแต่สื่อมวลชนไทยเลย ในอเมริกาเองก็มีเองก็มีเฉพาะโทรทัศน์ช่องฟ็อกซ์นิวส์เท่านั้นเอง และหนังสือพิมพ์แทบลอยด์ ชื่อ นิวยอร์กโพสต์ เป็นคนรายงาน ก็คือว่า มีข้อตกลงลับ สองพ่อ-ลูกไบเดน ประธานาธิบดีโจ ไบเดน และลูกชาย ชื่อ ฮันเตอร์ ไบเดน กับสงครามยูเครน มันมีผลประโยชน์ทับซ้อน และธาตุแท้ของสื่อตะวันตก เป็นอย่างไรติดตามมา รายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" เป็นเจ้าเดียวที่เอาเรื่องนี้มาเล่าให้ฟัง เท่าที่ทราบ ตอนนี้เอฟบีไอกำลังดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง และจัดการกับลูกชายไบเดน ว่าถ้าทำผิดกฎหมายแล้วก็คงจะต้องโดนแน่

เรื่องสุดท้าย คือเรื่องของการเมืองไม่มีมิตรแท้-ศัตรูถาวร เกมเตะตัดขาพรรคภูมิใจไทย เรื่งอของที่มาที่ไปของพรรคประชาธิปัตย์ และความแตกแยกที่ดูแล้วแตกร้าวไม่มีวันที่จะประสานได้อีกต่อไป

เมื่อวันที่ 29 มีนาคม พวกเราคงได้เห็นรายการที่ช็อกคนไปทั่วโลกเลย กลางเวทีการประกาศรางวัลออสการ์ครั้งที่ 94 ประจำปี 2565 ที่ช็อกคือ มีหนุ่ม ดาราดัง ผิวสี ชื่อ วิล สมิธ เดินเข้าไปตบหน้าดาราตลก คริส ร็อก ซึ่งในขณะนั้นทำหน้าที่เป็นพิธีกรของการแจกรางวัลออสการ์


เรื่องของเรื่องคือ วิล สมิธ มีภรรยาคนหนึ่ง ซึ่งรักกันมาก ชื่อ จาดา พิงค์เก็ต สมิธ ดาราคนนี้คือเมียของ วิล สมิธ วิล สมิธ เขาทุ่มเทความรักทุกอย่างให้กับจาดา แม้กระทั่งในสมัยที่ยังหนุ่มๆ สาวๆ อยู่ เมื่อเธอแต่งงานกับ วิล สมิธ ใหม่ๆ แล้วเธอแอบนอกใจไปกับเด็กหนุ่มคนหนึ่งซึ่งอายุน้อยกว่าเธอ 21 ปี วิล สมิธ ก็ยังให้อภัย ก็คือต้องการความอบอุ่น ต้องการความสงบสุขในครอบครัว และเขามีลูกกัน 2 คน

เอาเป็นว่า วันนั้น วิล สมิธ เขาไปเพราะเขาได้รับเชิญไป เนื่องจากภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง ชื่อ King Richard คือเป็นเรื่องประวัติของดารานักเทนนิสชื่อดัง 2 คน ก็คือตระกูลวิลเลียมส์ ผู้หญิงผิวสี


ซึ่ง วิล สมิธ เล่นบทเป็นพ่อซึ่งคอยปกป้องลูกตลอดเวลา และเขาก็ได้รับรางวัลออสการ์จากเรื่องนี้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือว่า คริส ร็อก นั้นโดยพื้นฐานเป็นดาวตลกเก่า สมัยที่เขาเริ่มอาชีพใหม่ๆ นายคริส ร็อก เป็นคนที่เรียกว่า Comedy Stand Up ก็คือ เดี่ยวไมโครโฟน ก็คือจะพูดจาตลกขบขัน เผาคนโน้นที เผาคนนี้ที แล้วก็มีชื่อ ได้รับรางวัล Grammy ถึง 2 ครั้ง จากการเดี่ยวไมโครโฟนของเขา

เรื่องของเรื่องก็คือว่า จาดา พิงค์เก็ต สมิธ เขาเป็นโรคผมร่วง รักษาเท่าไรก็ไม่หาย ก็เป็นเรื่องที่ทำให้ภรรยาของ วิล สมิธ กลุ้มใจมาก เพราะเธอเป็นโรคผมร่วงเป็นหย่อมๆ ภาษาแพทย์เขาเรียกว่า Alopecia Areata เป็นตั้งแต่ปี 2561 (สี่ปีที่แล้ว) เธอทุกข์ทรมานใจมาก เธอเป็นอดีตนักแสดง เป็นคนรักสวยรักงาม การที่ผมร่วงแบบนี้ทำให้เธอทุกข์ใจ เจ็บปวดมาก เธอพยายามจะแก้ด้วยการฉีดสเตียรอยด์ ใช้ผ้าโพกคลุมหัวตลอด แต่ไร้ผล ทำให้ยิ่งรู้สึกแย่ เธอก็เลยตัดสินใจที่จะโกนหัวแทน


ทีนี้ นายคริส ร็อก ก็แซว จาดา ว่า กำลังรอดู G.I. Jane ภาค 2 นัยก็คือว่า กำลังดู G.I. Jane ภาค 2 ก็คือว่าเป็นรูปผู้หญิง ซึ่งต้องโกนหัว ตรงนั้นก็เลยทำให้ วิล สมิธ ทนไม่ไหว ขึ้นไปบนเวที ตบหน้า คริส ร็อก ฉาดใหญ่เลย ซึ่งท่านผู้ชมหลายท่านที่ติดตามข่าวก็คงจะเห็นคลิปนี้แล้ว แล้วตะโกนจากที่นั่งแถวหน้าซ้ำๆ ว่า "อย่าพูดชื่อเมียของกูจากปากเวรๆ ของแกอีก" ซึ่งภาษาอังกฤษเขาพูดว่า "Keep my wife's name out you fucking mouth" คริส ร็อก ก็เลยบอกว่า "ฉันไม่พูดแล้ว โอเคไหม"


แต่ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นมันจะมีปฏิกิริยาของคน 2 ด้าน ฝ่ายแรก เห็นด้วยว่า คริส ร็อก ปากเสีย สมควรโดนสั่งสอน และ วิล สมิธ ทำถูกต้องแล้วในฐานะสามีที่ปกป้องการที่ภรรยาถูกเหยียดหยาม อีกด้านหนึ่งก็ไม่เห็นด้วย มีความเห็นว่าการที่ไปตบหน้าคนอื่นแบบนั้นเป็นความรุนแรง ควรแก้ปัญหาด้วยวิธีอื่น เพราะว่าการ Roast ของอเมริกาก็คือการเล่นมุกเผาเพื่อน ฝรั่งเขาจะมีอะไรที่เพี้ยนๆ เหมือนกับ โจ ไบเดน เพี้ยน ที่ไปใช้ตัวตลก เซเลนสกี เพื่อที่จะก่อความวุ่นวายทั่วโลก

อเมริกามีรายการเรื่องของ Roast ก็คือเขาจะเชิญใครก็ตามที่เขาจะ roast มาเผาคนนี้ มานั่งเป็นประธาน แล้วจะมีคนเข้ามาเอ่ยเรื่องราวต่างๆ เป็นการเผา มันอยู่คู่วงการบันเทิงอเมริกาอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นแล้วก็เลยมีเสียงเรียกร้อวว่า เฮ้ย ธรรมดาการ roast มันก็มีอยู่แล้วเป็นประจำ เป็นเรื่องที่ยอมรับกันได้ ก็เลยมีเสียงเรียกร้องให้ดึงรางวัลออสการ์คืนจาก วิล สมิธ ผู้จัดก็บอกว่าทางสถาบันออสการ์ก็พยายามที่จะพิจารณาเรื่องนี้ว่านี่เป็นการทำร้ายร่างกายอย่างชัดเจน และทุกคนพากันช็อก เพราะเป็นความรู้สึกที่กระอักกระอ่วน คิดว่า วิล สมิธ คงไม่คืนรางวัลหรอก

สมัยก่อนนั้น สถาบันออสการ์ได้เคยถอดชื่อและเรียกรางวัลคืนมาก่อน อย่างเช่น ผู้ชายคนหนึ่งซึ่งตายไปแล้ว ชื่อ ฮาร์วีย์ ไวน์สตีน ถูกถอดถอนชื่อจากสถาบันหลังจากมีความผิดเรื่องการล่วงละเมิดทางเพศและการข่มขืน


ที่มันออกมาก็คือ ต่อจากนั้น วิล สมิธ รู้สึกตัว ก็ขอโทษ เขาก็บอกว่า ขอโทษอย่างจริงจัง ผมล้ำเส้นเกินไป ผมผิด ผมรู้สึกอับอาย ... ก็ว่ากันไป ส่วนคริส ร็อก ก็ใจกว้าง ว่าตัวเองก็ทำไม่ถูกเหมือนกัน ปฏิเสธที่จะแจ้งความเอาผิดกับ วิล สมิธ แล้วเขาก็พูดออกมา ขอความเห็นใจว่า ในฐานะที่เขาเป็นดาวตลก มันเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจ เรื่องไหนสามารถเล่นได้ เรื่องไหนเล่นไม่ได้ เมื่อคืนนี้ผมได้ข้ามเส้นที่ไม่ควรข้าม รวมทั้งมีราคาที่ต้องจ่าย นั่นคือชื่อเสียงของความเป็นดาราตลกของผม วิล สมิธ ก็ตอบขอโทษอีกครั้งหนึ่ง ก็คือพูดง่ายๆ ว่า ขอโทษกันไปขอโทษกันมา

ทั้งหมดนี้ ผมเอาเรื่องนี้มาเล่า มันไม่ใช่ข่าวใหม่นะครับ เป็นข่าวเก่า ก็ไม่เก่าเท่าไรนัก แต่ว่าทุกคนรู้หมด แต่เบื้องหลังก็คือว่า คริส ร็อก เขาเคยกระแซภรรยาของ วิล สมิธ มาแล้ว อย่างเช่นตอนที่ใส่มุกเผา จาดา เพราะว่ามีอยู่ช่วงหนึ่ง ในปี 2559 เมียของ วิล สมิธ ประกาศบอยคอตออสการ์ เพราะมองเห็นว่ามีแต่คนผิวขาวที่ถูกเสนอชื่อเข้าชิง ที่สำคัญคือ วิล สมิธ สามีเธอที่มีชื่อเข้าชิง Golden Globe จากเรื่อง Concussion แต่กลับไม่มีชื่อติดเป็น 1 ใน 5 ที่เข้าชิง ในฐานะนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม แล้ววันนั้น ในปี 2559 คริส ร็อก ก็แซว (roast) จาดา สมิธ ว่า จาดา บอยคอตออสการ์ ก็เหมือนผมบอยคอตกางเกงในของริฮานนา (Rihanna) นั่นล่ะ เพราะผมไม่ได้ถูกเชิญ มันไม่แฟร์หรอกที่ วิล เล่นได้ดีขนาดนั้นแล้วยังไม่ถูกเสนอเข้าชิง แต่มันก็ไม่แฟร์เหมือนกันที่ วิล ได้เงินค่าเล่นตั้ง 20 ล้านดอลลาร์ ในการเล่นหนังเก่าเรื่องหนึ่ง คือ Wild Wild West


พฤติกรรมของ คริส ร็อก ทำให้กลุ่มดารานักแสดงที่เป็นคนผิวดำบางคนตำหนิ ว่าในขณะที่คนผิวดำกำลังรณรงค์ว่าออสการ์นั้นเหยียดผิว ให้เฉพาะคนผิวขาว แทนที่คุณจะเข้ามาร่วมโครงการรณรงค์ด้วย คุณกลับมาแซวคนผิวดำด้วยกัน

ความสัมพันธ์ของ วิล สมิธ กับ จาดา พิงค์เก็ต สมิธ แต่งงานกันปี 2540 หรือยี่สิบห้าปีที่แล้ว มีลูกชาย 2 คน คือ เจเดน และวิลโลว์


อย่างที่ผมเล่าให้ฟังว่า อยู่กันเกิน 20 ปี แต่ในปี 2563 คือแต่งงานกันแค่ประมาณ 23 ปี เธอได้ไปมีความสัมพันธ์กับผู้ชายคนหนึ่งซึ่งเด็กกว่าเธอ 21 ปี ชื่อ ออกัส อัลซินา แต่สุดท้ายแล้ว วิล สมิธ ให้อภัย เขาเขียนความในใจว่า ภาพครอบครัวที่สมบูรณ์แบบและการแต่งงานที่เพอร์เฟกต์มันเผาไหม้ไปหมดแล้ว แต่เราทั้งคู่ไม่มีใครอยากหย่า เราทั้งสองคนรักกัน ความสัมพันธ์ของเรามันมหัศจรรย์ แต่ว่าบางจังหวะในชีวิตมันอาจจะทำให้เราสองคนไม่รู้จะไปต่อกันอย่างไร

ท่านผู้ชมครับ ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องดรามาขึ้นมา แล้วผมเอาเรื่องนี้มาพูดทำไม ? ผมจำเป็นต้องพูด ท่านผู้ชมถามว่าผมเข้าข้าง วิล สมิธ ไหม ? ผมเข้าข้าง ใครก็ตามมาว่าภรรยาผมแบบนั้น ผมต้องขึ้นไปตบหน้ามัน หรือว่าเป็นอะไรเป็นกัน นี่ผมไม่ได้พูดเป็นมุกตลกนะครับ ผมพูดจริงจังเลย เพราะว่าผัวเมียสองคนถ้ารักกันจริงๆ แล้ว ผัวรักเมียมาก ให้เกียรติเมีย และเมียก็รักผัวมาก แล้วมีบุคคลที่สามมาดูถูกเหยียดหยามภรรยาของท่านในที่สาธารณะ เหมือนกับเรานั่งกินข้าวอยู่ในร้านอาหารร้านหนึ่ง มีผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาชี้หน้าเมียเราแล้วก็ด่าเมียเรา อย่างนี้มันต้องโดนไม้หน้าสามอย่างแรง หรืออย่างต่ำก็เข้าไปผลักอกแล้วก็บอกว่า เฮ้ย! มึงมาว่าเมียกูทำไม แล้วก็ชกโครมเข้าไปเลย

ท่านผู้ชมครับ บางครั้งคนเรารักกัน ความรักที่เราทุ่มเทให้ภรรยาเรา เรานึกถึงช่วงที่เราลำบาก เขาอยู่กับเรามาตลอด เขาไม่เคยทิ้งเรา เขาดูแลเรา เราไม่สบาย เขามาประคบประหงมเรา เราจิตตก เขาให้กำลังใจเรา เขารู้ว่าเราลำบาก เขาก็ยอมลำบากกับเรา เมื่อเราสบาย เขาก็พร้อมจะสบายกับเรา แต่ขณะเดียวกัน ถ้าเราลำบากอีก เขาก็พร้อมจะลำบาก นี่คือความรักที่แท้จริง แต่ผมคิดว่าผมไม่ถือสา และผมก็คิดว่าผมยืนข้าง วิล สมิธ ผมคิดว่า คริส ร็อก สมควรแล้ว ถึงแม้ วิล สมิธ จะมาขอโทษบอกว่าทำเกินไป แต่ผมไม่ตำหนิ วิล สมิธ ในฐานะที่ผมก็เป็นสามีคนหนึ่ง แต่เผอิญภรรยาของผมเสียชีวิตไปแล้ว แต่ในช่วงที่อาจารย์ปุ๊ ยังมีชีวิตอยู่ เชื่อผมเลย ถ้าใครก็ตามมาดูถูกอาจารย์ปุ๊ แบบนี้ มันกับผมต้องมีเรื่องกันทันทีเลย เพราะเรารู้ว่าเมียเราเป็นคนดี และเรารู้ว่าเขาเป็นคนที่ไม่เคยเป็นพิษเป็นภัยกับใคร แล้วมาว่าเมียกูทำไม เพราะฉะนั้นแล้ว มันต้องมีเรื่องแน่นอน ฉะนั้นงานนี้ที่บอกว่า วิล สมิธ ทำแรงไป สำหรับผมแล้วไม่แรง สมเหตุสมผล แต่ผมจะฝากข้อคิด วิล สมิธ จะต้องเจริญรุ่งเรืองตลอดไปทั้งชีวิต เพราะอะไร ? เพราะคนรักเมีย เทิดทูนเมีย จะเจริญทุกคนครับท่านผู้ชม


ท่านผู้ชมครับ เมื่อต้นสัปดาห์ที่แล้ว วันที่ 28 มีนาคม 2565 ในวงการสื่อมวลชนและทั่วไป มีเรื่องมีราวขึ้นมา จากการเปิดเผยของเว็บไซต์ MGROnline คือกรณีถอนตัวจากช่อง 5 ของทีมข่าวท็อปนิวส์ ในนามบริษัท กาแล็กซี่ มัลติมีเดีย คอร์ปอเรชั่น จำกัด ที่นำโดย คุณปอง อัญชะลี ไพรีรัก คุณกนก รัตน์วงศ์สกุล คุณธีระ ธัญไพบูลย์ ทั้งๆ ที่เพิ่งทำข่าวให้ช่อง 5 มาได้เพียง 3 เดือนเท่านั้น เรื่องนี้ฮือฮามากในวงการสื่อมวลชนว่าเกิดอะไรขึ้น ? เรามาลองไล่เรียงดูเหตุการณ์สักนิดหนึ่ง ทางช่อง 5 แล้วน่าจะได้คำตอบ

สัปดาห์ที่แล้ว วันที่ 21 มีนาคม พล.อ.รังษี กิติญาณทรัพย์ กรรมการผู้อำนวยการช่อง 5 ยกทีมไปคุยกับเอกอัครราชทูตรัสเซียประจำประเทศไทย


พร้อมลงนามความร่วมมือในการเสนอข่าวที่เกี่ยวข้องกับสงครามรัสเซีย กับยูเครน หวังจะถ่วงดุลยภาพการเสนอข่าวของสื่อในประเทศไทยที่มักจะเสนอข่าวตามสื่ออเมริกัน และสื่อตะวันตก จนกลายเป็นเหยื่อสงครามข่าวสารและเกิดเฟกนิวส์มากขึ้น แต่ความเคลื่อนไหวดังกล่าวของ ผอ.รังษี และ ททบ.5 เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการเลือกข้างและไม่เป็นกลาง สวนทางกับนโยบายของลุงตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และรัฐบาล ที่อ้างว่าจะวางตัวเป็นกลาง


ข้อเท็จจริงก็คือ มันมีหมาชิวาว่าตัวหนึ่งไปฟ้อง พล.อ.ประยุทธ์ ว่า ถ้าทำเช่นนี้แล้วจะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับอเมริกาไม่ดี อเมริกาโวยวายมา ข้อที่สอง จนในเวลาต่อมา ทาง พล.อ.รังษี ต้องยกเลิกการแถลงข่าว เดิมทีจะแถลงข่าวว่ามีการร่วมมือกัน เพื่อชี้แจงกรณีลงนามความร่วมมือด้านการแลกเปลี่ยนข่าวสารของสำนักข่าวจาก 3 ประเทศ มีรัสเซีย จีน อิหร่าน ในวันพฤหัสบดีที่ 24 มีนาคม และจริงๆ แล้วสถานทูตยูเครนก็ติดต่อมาช่อง 5 ว่าขอร่วมในการทำความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนข่าวสาร ซึ่ง พล.อ.รังษี ท่านก็เห็นด้วย เตรียมพร้อมแล้วที่จะเอาสถานทูตยูเครนเข้ามาแถลงข่าวพร้อมกัน ตอนนี้ก็เลยต้องแก้เกมด้วยการไปเจรจากับทุกเจ้าเพื่อที่จะมีการแถลงข่าวให้เกิดความเป็นกลาง

ในระหว่างนั้นมีข่าวว่าผู้ใหญ่ในรัฐบาลไม่สบายใจจากการเสนอข่าวของ ททบ.5 ซึ่งเป็นสื่อกองทัพบก เป็นหน่วยงานของรัฐบาล จึงมีคำสั่งให้ ททบ.5 งดการเสนอข่าว

จากข้อมูลเชิงลึกในช่อง 5 ก็คือ การวิเคราะห์ข่าว ห้ามพูดถึงรัสเซีย และยูเครน โดยเด็ดขาด ท่านผู้ชมว่ามันตลกไหม เขารบกันจะตายโหงตายห่าแล้วมาห้ามไม่ให้พูดถึงสงคราม ทั้งๆ ที่ ททบ.5 เป็นทีวีที่เสนอข่าว


พอวันจันทร์ 28 มีนาคม ก็มีการบล็อกข่าวที่คุณอัญชะลี ไพรีรัก และคุณกิตติมา ธารารัตนกุล อยู่หน้าจอ จอมืดไปเลย ไม่มีการให้สัญญาณว่าจะเกิดอะไรขึ้น การตัดสัญญาณ การเซ็นเซอร์ดังกล่าวก่อให้เกิดความไม่พอใจและวิพากษ์วิจารณ์มาว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทีมข่าว ท็อปนิวส์ ก็เลยขอถอนตัวแบบกะทันหัน

อังคารที่ 29 มีนาคม ก็มีข่าวว่าผู้บัญชาการทหารบก มีคำสั่งให้ พล.อ.รังษี พ้นจากหน้าที่ แล้วให้ พล.ท.วิสันติ สระศรีตา เจ้ากรมยุทธศึกษาทหารบก ทำหน้าที่แทน ตั้งแต่วันที่ 7 เมษายน เป็นต้นไป พล.ท.วิสันติ ท่านจะเกษียณอายุในวันที่ 30 กันยายนนี้ และท่านเป็นนักเรียนนายร้อยรุ่นเดียวกับ พล.อ.รังษี ด้วย


ทำความเข้าใจให้ตรงกัน พล.อ.รังษี ท่านเป็นคนบอก ผบ.ทบ. เองว่าท่านขอออกจากตำแหน่งนี้ ท่านไม่ได้ถูกปลด ทำความเข้าใจตรงนี้ก่อนนะครับ กลายเป็นข่าวทั้งหมดบอกว่าท่านถูกปลด ไม่ใช่ ท่านเป็นคนแจ้ง ผบ.ทบ. เองว่าท่านขอออกจากตำแหน่งนี้ ให้คนอื่นมาแทน ประเด็นจริงๆ แล้วมันไม่ใช่ความขัดแย้งของกองทัพบก กับบริษัทเอกชนที่สื่อมวลชนรับมาทำข่าว แต่เป็นความขัดแย้งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น

ภาพสะท้อนทางความคิดที่ขัดแย้งกันระหว่างกองทัพบก กับรัฐบาล ที่น่าขบคิด สะท้อนจุดยืนการดำเนินนโยบายต่างประเทศและความมั่นคง ที่ฝั่งกองทัพ นี่เป็นเรื่องที่ต้องชื่นชมกองทัพบก ผมชื่นชมกองทัพบกมาก เพราะว่าเป็นกองทัพที่เปิดกว้าง มีวิสัยทัศน์ ต้องการสร้างสมดุลทางข่าวสารข้อมูล ซึ่งทุกวันนี้ข่าวสารข้อมูลเรื่องสงครามยูเครน-รัสเซียนั้น ถูกชี้นำโดยสื่อตะวันตกฝ่ายเดียว แล้วสื่อมวลชน พิธีกรต่างๆ รวมทั้งประเภทไลฟ์เฟซบุ๊กสด ก็ดึงเอาข้อมูลจาก CNN, CNBC, BBC เข้ามา ซึ่งข้อมูลทางสื่อตะวันตก ณ วันนี้ มีการพิสูจน์แล้วจากหลายๆ จุด หลายๆ ข้อมูลว่าเป็นเฟกนิวส์ ทำเพื่อให้ความชอบธรรมของอเมริกาและนาโตที่ต้องการจะปราบรัสเซียนั้นมีความชอบธรรมมากขึ้น แต่สื่อมวลชนตะวันตกไม่ยอมพูดถึงเหตุผลที่มาที่ไปว่าทำไมวลาดิมีร์ ปูติน ถึงจำเป็นที่จะต้องเข้าไปปราบปรามและยึดยูเครน

อิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปบาท ก็คือว่า มันมีเหตุนี้เกิดขึ้น ถึงมีเหตุนี้เกิดขึ้น ถึงมีเหตุนี้เกิดขึ้น แต่สื่อมวลชนตะวันตกไม่พูดถึง ดรามาเอาเฟกนิวส์ ไปถ่ายทำคนที่บ้านแตกสาแหรกขาด ทำเรื่องราวให้มันดูน่าสงสาร ทำให้เห็นว่ารัสเซียนั้นเหี้่ยมโหด เอาภาพตึกที่ถูกยิงถล่มไป ทั้งๆ ที่รัสเซียเอาอาหารการกินไปแจกประชาชน แต่สื่อตะวันตกไม่ยอมออกเลยแม้แต่นิดเดียว

ด้านรัฐบาลเอง ต้องการให้หน่วยงานภาครัฐดำเนินการข้อมูลข่าวสารที่เดินตามก้นอเมริกา ซึ่งอเมริกาวันนี้มีอิทธิพลเหนือคนในรัฐบาลและรัฐมนตรี จนถึงขั้นเข้าไปแทรกแซง ปิดหูปิดตาการนำเสนอข้อมูลข่าวสารอย่างรอบด้านของกองทัพ


พล.อ.ประยุทธ์ ท่านบอกว่าท่านไม่เกี่ยวกับช่อง 5 ไม่เกี่ยวกับท็อปนิวส์ ท่านไปสั่งไม่ได้ ท่านบอกว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้มีการพูดคุยแสดงความเป็นห่วง ท่านย้ำว่า ไม่ได้ไปยุ่ง ไม่ได้เกี่ยวข้อง ไม่สามารถสั่งการได้

ท่านผู้ชมครับ ประเด็นที่สำคัญที่สุด น่าเสียดายมาก น่าเสียดายวิสัยทัศน์ของท่านผู้บัญชาการทหารบก และวิสัยทัศน์ของ พล.อ.รังษี ททบ.5 เสียโอกาสในการพัฒนาไปข้างหน้า เพราะว่าตามจริงแล้ว ตั้งแต่ พล.อ.รังษี มาทำหน้าที่หัวเรือใหญ่ มีการเปลี่ยนแปลงจาก "ยักษ์หลับ" ให้ฟื้นตื่นขึ้น รวมไปถึงแนวทางการให้ข้อมูลข่าวสาร ในฐานะสื่อ ผมได้เห็นพัฒนาการที่ชัดขึ้น กรณีของสงครามรัสเซีย-ยูเครน เช่นกัน ททบ.5 มีจุดยืนที่ชัดเจนในการทำหน้าที่สื่อ บาลานซ์ข้อมูลทั้งฝ่ายตะวันตก และฝ่ายรัสเซีย แล้วใครได้ประโยชน์ ? พวกเราประชาชนคนไทยได้ประโยชน์

อีกฝ่ายหนึ่งก็กลัวว่าประเทศไทยจะมีปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจะบานปลาย ท่องคำว่า "เป็นกลาง" โดยที่ พล.อ.ประยุทธ์ พูดว่าทำไมเราต้องไปยุ่งเกี่ยวกับความขัดแย้งของเขา อ้าว!! พล.อ.ประยุทธ์ ครับ ท่านบอกว่าทางเราไม่ควรไปยุ่งเกี่ยว เราต้องเป็นกลาง ถ้าอย่างนั้นผมถามท่านว่า ที่อเมริกา นายโจ ไบเดน ใส่ชื่อประเทศไทยว่าเป็นหนึ่งในสมาชิกอินโด-แปซิฟิก ที่จะเข้ามาร่วมต่อต้านจีน ท่านเป็นกลางหรือเปล่า ? ท่านมีหน้าที่ที่จะให้หมาชิวาว่าบางตัวออกมาชี้แจง ว่ายังไม่มีข้อตกลงอะไรกัน แต่อเมริกากันชวนท่านไปปล้น และใส่ชื่อท่านไป ท่านก็ไม่ออกมาบอกว่าไม่เอานะๆ ประเทศไทยไม่พร้อม ประเทศไทยไม่ต้องการมีความขัดแย้งกับใคร ทำไมท่านไม่พูด ? นี่หรือความเป็นกลางของท่าน "กลาง" ของท่าน คือกลางใจอเมริกา ใช่ไหม ?

คนในรัฐบาลชุดนี้ ททบ.5 ถูกหมาชิวาว่า 2 ตัว ที่เลียแข้งเลียขา เลียก้นอเมริกา ดีดนิ้วมาเถอะ เดี๋ยวสนองให้ เมื่อหมาชิวาว่าออกฤทธิ์ พล.อ.รังษี จึงขอยุติบทบาท ททบ.5 ในสายตาผู้ชม ผมถือว่า พล.อ.รังษี เป็นผู้เสียสละที่แท้จริง ต้องชื่นชมน้องเพื่อน ผบ.ทบ. และเซฟช่อง 5 ไปด้วย และผมต้องขอชมวิสัยทัศน์ของผู้ใหญ่ระดับผู้บัญชาการทหารบก และ พล.อ.รังษี เพราะว่าผมเชื่อเลยว่าการเสนอข่าวทั้งสองด้านนั้น หลายๆ ด้านนั้น พล.อ.รังษี ต้องปรึกษาผู้บัญชาการทหารบก แน่นอนที่สุด ท่านผู้ชมเข้าใจหรือยังครับ ว่าข่าวช่อง 5 ที่เกิดแผ่นดินไหวนี้ มันเกิดจากหมาชิวาว่า 2 ตัว ส่วนหมาชิวาว่าสองตัวนั้นชื่ออะไรบ้าง ท่านผู้ชมที่เคยติดตามรายการของผม ก็จะรู้ว่าชื่ออะไรบ้าง คงไม่ต้องบอกก็คงพอจะรู้นะครับ


ท่านผู้ชมครับ ผมเป็นคนแรกที่เปิดเผยข้อมูลเรื่องที่กงสุลอเมริกาที่ตั้งอยู่ใน จ.เชียงใหม่ ไปซื้อที่มาแล้วใช้เงินลงทุนร่วมหมื่นล้านในการสร้าง ซึ่งก็เป็นกงสุลที่ใหญ่มาก ใหญ่จริงๆ ถึงแม้ว่าในเชียงใหม่จะมีกงสุลอยู่แล้ว 4-5 แห่ง แต่ไม่มีกงสุลไหนที่มาเทียบกับกงสุลใหม่ของอเมริกาได้ อุปมาอุปไมยเหมือนกับเป็นการสร้างตึก 50 ชั้น ในขณะที่กงสุลอื่นๆ นั้นอย่างมากก็ตึก 2 ชั้น

ปรากฏว่ามีท่านผู้ชมหลายท่านตั้งข้อสงสัยในเรื่องการลงทุนของกงสุลอเมริกาในเชียงใหม่ว่าทำไมลงทุนตั้งหมื่นล้าน มีอะไรหรือเปล่า มีอาวุธหรือเปล่า มีโน่นมีนี่หรือเปล่า การก่อสร้างก็เป็นความลับมาก ปิดหมดทุกอย่าง ไม่ให้คนข้างนอกเข้าไปดูหรือไม่ให้คนข้างในออกมาเจอ ค่อนข้างจะลึกลับซับซ้อน จนกระทั่งข่าวลักษณะแบบนี้ทำให้นายฌอน เค. โอนีลล์ กงสุลใหญ่ของอเมริกาที่เชียงใหม่ พร้อมนายไมเคิล โกรอาร์ค ซึ่งเป็นผู้อำนวยการโครงการก่อสร้างสถานกงสุลใหญ่สหรัฐอเมริกา ก็ออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงต่างๆ


กงสุลใหญ่ของอเมริกาแก้ตัวว่า ในเชียงใหม่นั้นมีกงสุลอยู่ 5 ประเทศ แล้วก็อ้างว่าตั้งอยู่ที่เชียงใหม่ 72 ปีแล้ว อเมริกาเป็นมิตรกับประเทศไทยมากว่า 200 ปี มีความร่วมมือกันทั้งด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม การศึกษา อย่างต่อเนื่อง และมีการอำนวยความสะดวกให้กับคนไทยถึง 12 ล้านคน ที่มาใช้บริการที่กงสุลแห่งนี้

ที่น่าสนใจ คอมเมนต์ที่ตามมากับการแถลงข่าวของกงสุลใหญ่นั้น เท่าที่ผมดูแล้ว กว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ไม่เชื่อคำพูดที่ท่านกงสุลชี้แจง

ที่ผมอยากจะพูดในมิติของผมก็คือว่า อเมริกา โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ทำอะไรแล้วก็ได้รับผลกระทบจากการกระทำทั่วโลกของอเมริกา มักจะอ้างความสัมพันธ์อันยาวนาน 200 ปี กับประเทศไทย มันเกี่ยวข้องอะไรกับค่าก่อสร้าง 9 พันล้านบาท ถ้าอย่างนั้น ประเทศที่มีความสัมพันธ์กับไทยยาวนาน ตั้งแต่สมัยสุโขทัย อยุธยา ก่อนมีอเมริกา ก็คงต้องสร้างกงสุลอลังการหลายหมื่นล้าน อย่างนั้นหรือ

ผมเปิดโปงเรื่องนี้ตั้งแต่ตอนที่ 52 ท่านผู้ชมครับ 25 กันยายน 2563 ปีกว่าๆ แล้ว ผมถามว่ากงสุลใหญ่ในเชียงใหม่จำเป็นต้องสร้างใหญ่ขนาดนี้ไหม ถ้าไม่ได้มีอะไรซึ่งเป็นเป้าหมายแอบแฝง


กงสุลใหญ่ นายฌอน เค. โอนีลล์ บอกว่า น่าแปลกใจว่าทำไมประชาชนคนไทยไม่ให้ความสนใจความร่วมมือด้านต่างๆ ที่อเมริกาให้กับหน่วยงานต่างๆ ด้านความมั่นคง ด้านการศึกษา สาธารณสุข ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านเศรษฐกิจ แต่ไปมองว่าสร้างกงสุลใหญ่แห่งใหม่ รวมว่าจ้างแรงงานก่อสร้างกว่า 400 คน จัดซื้อที่ดิน เป็นอาคารสำนักงานปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีเป้าหมายอย่างอื่น ก็ชี้แจงให้ฟังว่า ชั้นใต้ดินที่ขุดลงไปลึกมากนั้น เป็นระบบฐานที่ต้องแข็งแรง มีระบบบำบัดน้ำเสีย ไม่มีฐานเฮลิคอปเตอร์ และไม่มีที่จอดเฮลิคอปเตอร์อย่างแน่นอน ที่ต้องใช้งบประมาณมาก เพราะต้องสร้างป้องกันระเบิด และดูแลพลเมืองอเมริกันในประเทศไทยที่อยู่ทางภาคเหนือ 17,000 คน

ผมก็อยากพูดประเด็นที่สองว่า กงสุลใหญ่สหรัฐฯ ปฏิเสธว่า ไม่ได้มีการซ่องสุมอาวุธ ไม่มีลานจอดเฮลิคอปเตอร์ ปกปิดไม่ได้ แต่ไม่ได้พูดถึงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อสอดแนมสืบความลับ ไม่ยอมพูดเรื่องนี้เลย เพราะไม่ต้องบอกก็รู้ว่าอเมริกาลงทุนขนาดนี้เพื่อต้องการใช้งานสอดแนมสืบราชการลับอยู่แล้ว ถ้าแค่ดูคนอเมริกัน 17,000 คน ทางภาคเหนือ ถ้าอย่างนั้นถามหน่อยว่า ในจำนวนนี้ 17,000 คน ที่คุณบอกว่าอยู่ทางภาคเหนือ เป็น CIA กี่คน เป็นทหารอเมริกันกี่คน เป็นฝ่ายความมั่นคงกี่คน

นอกจากนั้นแล้ว สถานทูตอเมริกาในเชียงใหม่ทำไมคุณคิดว่าจะถูกโจมตี คิดจะทำอะไรในไทย จึงต้องมีการป้องกันการโจมตีระดับร้ายแรงเหมือนกับโดนยิงด้วยขีปนาวุธอย่างนั้น แถมยังมีหลุมหลบภัยให้กับพลเมืองอเมริกันหมื่นกว่าคน


ย้อนไปดูรายการผมเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2563 ตอนที่ 52 เกี่ยวกับกงสุลอเมริกา ผมพูดว่า ในขณะนั้นจีนมีการปิดกงสุลอเมริกาที่เมืองเฉิงตู เพื่อตอบโต้ที่อเมริกาสั่งปิดกงสุลจีนที่เมืองฮูสตัน เทกซัส และการที่อเมริกาทำเช่นนั้นก็เข้าทางจีนพอดี เพราะทำให้สหรัฐฯ ขาดหูขาดตาในการสอดแนมจีนจากทางตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งครอบคลุมไปถึงทิเบต และซินเจียง ตอนนั้นผมพูดอย่างนี้ครับท่านผู้ชม ผมตั้งข้อสงสัย เป็นไปได้ไหมว่าเขากำลังจะทำให้กงสุลอเมริกาในเชียงใหม่นั้นเป็นศูนย์ตรวจจับ เช็กความเคลื่อนไหวของประเทศจีนตอนใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางเสฉวน ทางกวางโจว หรือพูดง่ายๆ ว่า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ตั้งอยู่ที่กรุงเทพฯ นั้นไม่มีประโยชน์ เพราะมันไกล แต่ตั้งอยู่ที่เชียงใหม่ โดยใช้สถานกงสุลเดิม มันทำไม่ได้ เพราะมันเล็กเกินไป มันไม่พร้อม เพราะฉะนั้นแล้ว เมื่อลงทุนสร้างทั้งที 300 ล้านเหรียญสหรัฐ อย่าว่าแต่เมืองไทยเลย ไปสร้างที่อเมริกาก็ถือว่าใหญ่แล้ว 300 ล้านเหรียญสหรัฐ นับประสาอะไรกับการสร้างกงสุลที่เชียงใหม่ 9,500 ล้านบาท นี่คือเฉพาะโครงสร้างนะท่านผู้ชม ยังไม่นับอุปกรณ์ ซึ่งแน่นอนที่สุดทางอเมริกา จะเป็นกระทรวงกลาโหมอเมริกา หรือจะเป็น CIA ต้องส่งอุปกรณ์ต่างๆ พวกนี้เข้ามาประจำอยู่ในกงสุล เพราะฉะนั้นแล้ว กงสุลใหญ่ของอเมริกาที่ จ.เชียงใหม่ ผมสามารถจะฟันธงไปได้เลยว่า จะเป็นแหล่งสืบราชการลับ ความลับของประเทศจีนตอนใต้อย่างแน่นอนที่สุด ด้วยการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ทันสมัยที่สุด เพราะฉะนั้น จับตาดูให้ดีๆ

ท่านผู้ชมครับ ผมรำคาญจริงๆ ที่ชอบอ้างประโยชน์ที่อเมริกาให้เมืองไทย เท่าที่ผมดูมา ประโยชน์ที่อเมริกาทำให้เมืองไทย คือ ทำเมืองไทยให้เป็นศัตรูกับเพื่อนบ้าน ท่านกงสุลใหญ่ ท่านคงไม่ได้พูดถึงการที่พวกท่านมาเอาประเทศไทยเป็นฐานทัพ B-52 ที่อู่ตะเภา และที่อุดรฯ เพื่อไปทิ้งระเบิดฆ่าคนลาว ฆ่าคนเวียดนาม และฆ่าคนกัมพูชา ในสมัยสงครามเวียดนาม ทำไมท่านไม่พูดล่ะ และนี่คือคุณูปการที่ท่านทำให้ประเทศไทยด้วยใช่ไหม


ท่านมาพูดถึงเรื่องการศึกษา โน่นนี่นั่น ท่านไม่ต้องพูดหรอกครับ ไม่มีประโยชน์ เศรษฐกิจ ท่านช่วยอะไร ? ช่วงที่ประเทศไทยถูกกระทืบด้วยค่าเงิน แล้วใครเป็นคนกระทืบล่ะ ถ้าไม่ใช่จอร์จ โซรอส คนของอเมริกา ไอเอ็มเอฟเข้ามายึดประเทศไทย แล้วบริษัทอะไรล่ะที่เข้ามาสูบเลือดสูบเนื้อ ? คือบรรดาวาณิชธนกิจอีแร้งทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น โกลด์แมนแซคส์ มอร์แกน สแตนลีย์ ไม่ว่าจะเป็นจี แคปปิตอล นี่ไง ท่านมาช่วยเศรษฐกิจประเทศไทยด้วยการมากระทืบคนไทย เอาไปเอ็มเอฟเข้ามา แล้วสั่งปิดไฟแนนซ์ต่างๆ เมื่อปิดไฟแนนซ์แล้ว ท่านก็ให้ลูกน้องที่เลียเท้าท่าน เลียก้นท่าน ที่อยู่ในรัฐบาลไทย สั่งให้ปิดไฟแนนซ์ 13-14 แห่ง แล้วท่านเอาพวกบริษัทของท่านเอง บริษัทอเมริกันนะ มากว้านซื้อหนี้ที่ท่านอ้างว่าเป็นหนี้เสีย ในราคาถูก และท่านขายกลับให้คนไทยในราคาเท่าเดิม นี่หรือคือการช่วยเหลือทางเศรษฐกิจ ? ถ้าท่านคิดว่าท่านช่วยเหลือทางเศรษฐกิจแบบนี้ ท่านอย่ามา ท่านไม่ได้ช่วยเหลือหรอก ท่านชอบอ้างเหมือนกับที่พวกท่านชอบอ้างในโลกนี้ว่าท่านต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน เหม็นขี้ฟัน ท่านเลิกพูดได้หรือยัง เพราะคำว่า ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และ ต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน นั้น มันเป็นข้ออ้างของท่านในการเข้าไปรุกรานประเทศต่างๆ ผมขี้เกียจพูด ตัวอย่างเยอะมาก ประเทศของท่านเป็นประเทศที่หน้าด้านมากที่สุดในโลก ท่านสร้างสงครามให้คนตายเป็นสิบๆ ล้านคน ยี่สิบปีที่ผ่านมาท่านทิ้งระเบิดที่ไหนบ้าง ที่ผมพยายามต่อสู้เรื่องนี้ ผมไม่ต้องการให้ท่านมาทำประเทศไทยให้เป็นสมรภูมิที่ท่านต้องการจะต่อต้านจีน แล้วใช้แผ่นดินไทยเป็นเครื่องมือ

ข้อที่สาม จริงๆ แล้วถ้าท่านบริสุทธิ์ใจจริง เมื่อท่านสร้างเสร็จ ควรจะเปิดให้นักข่าวเข้าไปเอาความจริงมาถ่ายทอดให้ประชาชนรู้ เท่าที่ผมทราบ แม้แต่การแถลงข่าวของท่านครั้งนี้ นักข่าวท้องถิ่นเชียงใหม่หลายๆ สำนักถูกกีดกันไม่ให้เข้าฟัง เพราะไม่ได้รับเชิญ และไม่ได้มีการแจ้งข่าว กงสุลสหรัฐฯ หอบหิ้วนักข่าวจาก กทม. ซึ่งเป็นสุนัขรับใช้ท่าน เชิญนักข่าวท้องถิ่นบางคนที่สนิทสนมกัน เท่าที่ทราบมีแต่มติชน สยามรัฐ และเนชั่น โดยหลังเสร็จการแถลงข่าวแล้วได้พาคณะไปดูงานชายแดนทางเชียงรายอีก 3 วัน


ท่านกงสุลใหญ่ครับ ผมจะบอกท่านให้รู้นะว่า คำพูดและพฤติกรรมของท่านนั้นมันไม่เหมือนกัน ผมเชื่อว่าคนไทยจำนวนมากทุกวันนี้ไม่ได้โง่หรือหลงคารมฝรั่งไปเสียทุกคน ผมจะหยิบความเห็นคนไทยส่วนใหญ่ มากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ที่เขาไม่เชื่อ ออกมาแสดงทัศนะในเรื่องนี้หลังจากที่ท่านได้แถลงข่าวแก้ตัว ให้ได้ฟัง

ท่านลองฟังเหตุผลของพวกเขาดู ผมรวบรวมมาจากหลายแห่ง ทั้งเว็บไซต์ข่าว เฟซบุ๊กของสื่อในเชียงใหม่เอง และสื่อส่วนกลาง คุณเคท ทิสา ออกความเห็นว่า สถานกงสุล 12 ไร่ หนึ่งหมื่นล้าน เพื่อ ??? สถานกงสุลไม่ใช่ป้อมขบวนการใต้ดินหรือหน่วยปฏิบัติการลับ เป็นเราจะไม่ยอมป้องกันปัญหาภายหน้ามาแก้ปัญหาทีหลัง ไม่ง่ายนะ ช่วยกันสอดส่องระวัง เหมือนยูเครน ค่อยลามจนมีแล็บชีวภาพสามสิบกว่าแห่ง เกิดขึ้นได้อย่างไร เจออะไรก็แชร์ เรามีเพื่อนบ้านอยู่กันอย่างไว้เนื้อเชื่อใจ อย่าให้ระแวงกัน ต้องอยู่ด้วยกันทุกวัน เอาใจเขาใส่ใจเรา

พูดถึงห้องแล็บอาวุธชีวภาพ ผมมีข้อมูล ท่านกงสุล ว่าท่านกับหน่วยงานบางหน่วยงานในกองทัพบกไทย ท่านให้เงินสนับสนุนเพื่อให้หน่วยงานนี้วิจัยเรื่องห้องแล็บอาวุธชีวภาพอยู่ ผมมีข้อมูลหมดแล้ว แต่ผมยังไม่เปิดเผย

เพราะฉะนั้นแล้ว ท่านคือซาตาน อเมริกาคือซาตาน คนที่ทำลายล้างโลก

คุณเรียน วรรณวัลย์ คอมเมนต์ว่า สถานกงสุลบางแห่งทั่วโลกใช้บ้านพักส่วนตัวทำการเป็นกงสุลก็ได้ พื้นที่ มูลค่าก่อสร้าง 280 ล้านเหรียญ มันบอกถึงอาณาจักร จีนไม่ยินดีกับข่าวนี้ตั้งแต่แรก อเมริกามีความเป็นมิตรกับไทยด้วยนิสัยใจจริง จริงรึ เราอยากเป็นมิตรกับทุกฝ่าย การบีบให้เราเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง พวกฝรั่งต้องรู้จักคำพังเพย ขอประโยคที่ว่า เลือดเข้าตา คนไทยดูเหมือนจะเป็นคนรักสนุก ผูกมิตรง่าย อัธยาศัยเป็นกันเอง แต่ฝรั่งรู้จักคนไทยแบบคนบางระจันได้ลึกซึ้งแค่ไหน อย่าคิดว่าจะข่มง่าย ลืมแล้วหรือว่าฝรั่งตัวยักษ์ต้องหนีกระเจิง เก็บของไม่ทัน จากโฮจิมินห์ และพนมเปญ

คุณพงษ์ธร ออกความเห็นว่า ตอนนี้ยังไม่มีอาวุธ ผ่านไปอาจจะมีก็ได้ ค่อยๆ ทยอยส่ง เวลาผ่านไป ทั้งเรดาร์ ทั้งเครื่องทดลองกับชีววิทยาเขตร้อน ทดลองกันไปใต้ดินเงียบๆ ผ่านไปไม่มีผู้รับผิดชอบการกระทำของสถานทูตอเมริกา

พล.ต.ต.โกษม จันทรมณี ออกความเห็นว่า พวกขี้ทูตบอกไม่จริง คือจริง ไม่มีทางที่พวกมันจะยอมรับว่าเป็นความจริง ภารกิจสถานทูต สถานกงสุล ตั้งขึ้นมาเพื่อหาความลับในประเทศต่างๆ ที่ตั้งอยู่ เป็นที่รู้กันอยู่แล้ว

คุณสุรงค์ ทองยุน อาวุธไม่น่ามี แต่อุปกรณ์ไม่แน่ สภาพทางภูมิศาสตร์สามารถสอดส่องจีนได้เป็นอย่างดี ถ้าคิดว่าเพื่อคุ้มครองประชาชนของตน ฟังไม่ขึ้น ใครล่ะจะมาโจมตีรุกรานไทย ยังมองไม่เห็น ไม่มีโอกาสได้ตรวจสอบ ต้องศึกษากฎหมายให้ดี สถานกงสุลคือแผ่นดินของเขา

คุณไอยคุปต์ สยามประโคน หวังครอบครอง เห็นไทยเป็นเมืองขึ้น ที่เขาต้องมาปกครองหรือไม่ รัฐบาลไทย กระทรวงการต่างประเทศ ว่าไง เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ เหมือนยูเครนนะ จะบอกให้ ครอบงำและยึดครอง

สุดท้าย ขุนท้าว จึงสุวรรณ ไม่ต้องสาธยายเรื่องความสัมพันธ์ 200 ปี มึงเหยียบหัวคนไทย แสวงหาผลประโยชน์ ยุยง ปลุกปั่น หนุนให้มีการปฏิวัติเพื่อชี้นำทางการเมือง ปล้นสะดมทรัพยากรธรรมชาติไปจนไม่เหลืออะไรให้มันรีดอีกแล้ว เขารู้กันทั่วโลก ไอ้โจรมะกันเข้าที่ไหน ไปล่อทรัพยากรธรรมชาติของเขาจนหมด Sweet talk ตอแหลต่างๆ นานา ในความเป็นจริงแล้ว มันคือโจรปล้นบ้านเมืองอื่นเอาไปบำ7เรอคนในชาติมัน พอดีกว่า ถ้าจะให้ด่าไอ้กัน 7 วันก็ไม่หมด เอาเป็นว่ามหามิตรนั้นมันจอมปลอม

พอใจหรือยังครับท่านกงสุลใหญ่ ผมไม่ได้พูดนะครับ คนที่เขามาอ่านข่าวท่านนะ เขามีความเห็น และผมก็ไม่ใช่สำนักข่าวรัสเซียที่จะมาปิดได้ ไม่แน่ ท่านเจรจากับคุณดอน ดีๆ เดี๋ยวคุณดอน ก็จะไปบอกท่านนายกฯ ท่านนายกฯ ก็หาเรื่องหาราวที่จะมาแกล้งผม พอหรือยังครับท่านกงสุล ชัดเจนนะครับ



ท่านผู้ชมครับ เรื่องที่ผมจะพูดเรื่องนี้น่าสนใจมาก เพราะว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสงครามยูเครน กับรัสเซีย และเรื่องบทบาทของสหรัฐอเมริกา นายโจ ไบเดน ซึ่งเป็นผู้นำของอเมริกา ได้ปลุกปั่นและปั่นหัวยูเครน เพื่อให้ยูเครนมารับเวรรับกรรม รับเคราะห์ แล้วอเมริกาก็จะได้เป็นเจ้าโลกต่อไป แล้วก็ปลุกปั่นให้ประเทศทางยุโรปไม่สามารถจะทำอะไรได้ นอกจากต้องเล่นไปตามเกมอเมริกา

ยูเครน ผมสรุปง่ายๆ ณ วันนี้ ความสำเร็จของอเมริกาที่สำเร็จได้ดีมากเลย คือประการแรก สามารถจะทำลายความน่าเชื่อถือของประเทศรัสเซียลงไป รวมทั้งสามารถที่จะขายอาวุธเพิ่มเติมได้ และสามารถจะขายแก๊ส ที่บังคับหรือขู่เข็ญ หรือทำให้ประเทศทางยุโรปไม่มีทางเลือก ต้องเซ็นสัญญาซื้อแก๊สจากอเมริกาเป็นเวลา 8 ปี ขนส่งทางเรือ แล้วราคาแก๊สเมื่อมาถึงยุโรปจะแพงกว่าแก๊สรัสเซียประมาณ 3-5 เท่า

เอาล่ะ เราก้าวมาสู่ฝั่งอเมริกาบ้าง ตอนที่นายโจ ไบเดน เดินสายอยู่ที่เมืองนอก ทางยุโรป คือบินไปบินมาตลอดเวลา ภายในอเมริกาขณะนั้นก็มีข่าวที่อื้อฉาวใหญ่ข่าวหนึ่งในอเมริกา เกี่ยวกับครอบครัวของนายโจ ไบเดน ซึ่งสื่ออเมริกาส่วนใหญ่จะเข้าข้างพรรคเดโมแครต ไม่ค่อยพูดถึงสักเท่าไร หรือบางเจ้าอาจจะไม่พูดเลย อย่างเช่น CNN, NBC, ABC หรือว่าลิ่วล้อของอเมริกา อย่างเช่นสื่อ BBC ในอังกฤษ ก็พยายามจะรายงานเรื่องนี้ให้น้อยที่สุด ตรงกันข้ามกับสื่อฝั่งรีพับลิกัน ก็คือฝั่งของนายทรัมป์ อย่างเช่น ฟ็อกซ์นิวส์ สื่อกลางๆ อย่าง CBS หรือสกายนิวส์ ของออสเตรเลีย

สกายนิวส์ ของอังกฤษ และออสเตรเลียนั้น เป็นสื่อในเครือนิวส์คอร์ป ซึ่งเจ้าของคือ นายรูเพิร์ต เมอร์ด็อก เหมือนกับหนังสือพิมพ์รายวัน นิวยอร์กโพสต์ กลับหยิบเรื่องราวต่างๆ เหล่านี้มาเจาะข่าวและนำเสนอแบบค่อนข้างจะรอบด้าน

สื่อพวกนี้เขาพาดหัวข่าวว่า Laptop from Hell โน้ตบุ๊กจากนรก เรื่องมันเป็นอย่างไร ? เรื่องของเรื่อง แล้วเรื่องนี้คนไทยไม่ค่อยรู้เรื่องด้วย สื่อเมืองไทยก็ไม่มีใครรายงานเท่าไรนัก อาจจะเป็นเพราะ หนึ่ง เขาไม่สนใจ หรืออาจจะเป็นเพราะว่าเขาเคยชินแล้วกับการที่จะฟังสื่อ เช่น BBC, CNBC หรือ CNN เนื่องจากสื่อพวกนี้เขาไม่รายงานเรื่องนี้ เพราะมันเป็นการเสื่อมเสียชื่อเสียงของ โจ ไบเดน ที่ลูกชาย คือ นายฮันเตอร์ ไบเดน เป็นคนสร้างขึ้นมา


เรื่องของเรื่องคือ กลางเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา วันที่ 16 มีนาคม 2565 เมื่อประมาณสองอาทิตย์ที่ผ่านมา หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ ซึ่งเป็นสื่อที่ได้รับความเชื่อถืออย่างสูง ได้เผยแพร่รายงานข่าวชิ้นหนึ่งเกี่ยวกับ นายฮันเตอร์ ไบเดน บุตรชายวัย 52 ปี ของนายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ นิวยอร์กไทมส์เขาพาดหัวว่า 'Hunter Biden Paid Tax Bill, but Broad Federal Investigation Continues.' หรือแปลเป็นไทยว่า 'ฮันเตอร์ ไบเดน ยอมจ่ายภาษี แต่การสืบสวนสอบสวนรอบด้านก็ดำเนินต่อไป'

ในเนื้อข่าวเขาระบุว่า นายฮันเตอร์ ไบเดน ลูกชายคนรองของ โจ ไบเดน ยอมจ่ายภาษีมากกว่า 1 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยที่เขาไปกู้ยืมเงินมาจ่ายภาษี จากกรณีที่หลายปีก่อนเขาทำงานเป็นผู้บริหารและเป็นล็อบบี้ยิสต์ให้กับบริษัทต่างชาติ ทำให้นายฮันเตอร์ ไบเดน ได้ค่าตอบแทนมหาศาล กลับไม่ยอมเสียภาษี นอกจากนั้น อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับข้อหาร้ายแรง 2 ข้อ ข้อแรก คือ ล็อบบี้บริษัทต่างชาติ ข้อที่สอง คือ เป็นกฎหมายฟอกเงิน


ผมเอาภาพของหนังสือพิมพ์นิวยอร์โพสต์ที่นิวยอร์ก มาขึ้นให้ดู ก็คือ แลปท็อปฉาว กับผลประโยชน์ทับซ้อนของสองพ่อ-ลูก ไบเดน ท่านผู้ชมฟังเรื่องนี้แล้วท่านผู้ชมอาจจะมีความคิดว่า อ๋อ มิน่าล่ะ ทำไมโจ ไบเดน ถึงกระเหี้ยนกระหือรือเหลือเกินที่จะออกมาปกป้องยูเครน

ที่มาที่ไปของมหากาพย์ฉาวนี้ ต้องย้อนกลับไปเมื่อสามปีก่อน 2562 หรือ ค.ศ. 2019 ช่วงนั้นการเมืองอเมริการ้อนระอุมาก เดือนเมษายน 2562 เหตุเกิดจากความสะเพร่า นายฮันเตอร์ ไบเดน บุตรชายประธานาธิบดีไบเดน ได้นำแลปท็อป คือแมคบุ๊กโปร ของตัวเอง ไปทิ้งไว้ที่ร้านซ่อมคอมพิวเตอร์ ชื่อ The MAC Shop ในเมืองวิลมิงตัน รัฐเดลาแวร์ รัฐเดลาแวร์ เป็นฐานเสียงของตระกูลไบเดน แต่ว่านายฮันเตอร์ เอาไปซ่อมแล้วไม่รับคืน ตามกฎถ้า 90 วัน ไม่รับเครื่องคืน เจ้าของร้านคือ นายจอห์น พอล แม็ค ไอแสค เขาก็ถือว่าเป็นสิทธิ์ของเขาแล้ว เขาก็เลยเปิดเครื่องดู เขาค้นพบข้อมูลน่าตกใจหลายอย่าง มีภาพโป๊ ภาพการเล่นเซ็กซ์ มีการอีเมลติดต่อระหว่าง ฮันเตอร์ ไบเดน กับบริษัทต่างชาติหลายเรื่อง

ในเดือนกันยายน 2562 เจ้าของร้านซ่อมก็ส่งแลปท็อปไปให้กับเจ้าหน้าที่เอฟบีไอ แต่ขณะเดียวกันเขาก็ก๊อปปี้ไฟล์ข้อมูลของเครื่องส่งต่อให้สื่อดัง อย่างเช่น นิวยอร์กโพสต์ ก่อนที่เรื่องราวอื้อฉาวของฮันเตอร์ จะถูกเปิดเผยในปี 2563 ซึ่งเป็นปีที่มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ พอดี

การเปิดโปงและเจาะข่าวเรื่องนี้จึงมีที่มาที่ไปจากหนังสือพิมพ์นิวยอร์กโพสต์ ซึ่งนิวยอร์กโพสต์นั้นเป็นฝั่งตรงกันข้ามกับ โจ ไบเดน พรรคเดโมแครต อย่างที่ผมเรียนให้ทราบว่า นิวยอร์กโพสต์นั้น เจ้าของก็คือ รูเพิร์ต เมอร์ด็อก เจ้าของนิวส์คอร์ป นิวส์คอร์ป เป็นเจ้าของนิวยอร์กโพสต์ และเป็นเจ้าของวอลล์สตรีทเจอร์นัล ทางสื่อฝั่งเดโมแครตก็เลยว่าเป็นหนังสือพิมพ์ที่ไม่น่าเชื่อถือ ก็เลยไม่ติดต่อไป ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น


ผมเอาหนังสือพิมพ์นิวยอร์กโพสต์ขึ้นมาให้ดู เขียนว่า 'BIDEN SECRET E-MAILS' รายงานของนิวยอร์กโพสต์ระบุว่า ข้อมูลฮาร์ดดิสก์ของแลปท็อปของฮันเตอร์ ประกอบด้วยอีเมล และข้อความนับแสน และยังมีรูปภาพที่ไม่เหมาะสมอีก 2 พันรูป เอกสารทางการเงินของฮันเตอร์-ครอบครัว จำนวนมาก ซึ่งบ่งชี้ว่าลูกชายคนนี้ของประธานาธิบดีไบเดน ติดต่อธุรกิจและเป็นล็อบบี้ยิสต์ในต่างประเทศ เช่น พบความเชื่อมโยงนายฮันเตอร์ ไบเดน ติดต่อกับนายเดวอน อาร์เชอร์ อดีตที่ปรึกษารัฐมนตรีต่างประเทศ ผู้เคยร่วมงานกันในฐานะคณะกรรมาธิการบริษัท Burisma บริษัทพลังงานของยูเครน ซึ่งเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2565 อาร์เชอร์ ได้ถูกตัดสินจำคุกในคดีฉ้อโกง 60 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นเงินไทยเกือบ 2 พันล้านบาท อาร์เชอร์ ก็เลยยินยอมที่จะให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ในการสอบสวนกรณีของฮันเตอร์

ท่านผู้ชมฟังเรื่องมาถึงตอนนี้ สงสัยเหมือนผมไหมว่า แล้วยูเครนมาเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ด้วย ? ไฮไลต์ของเรื่องอยู่ตรงนี้ครับ

2557 (ค.ศ. 2014) ภายหลังเกิดปฏิวัติใหม่ในยูเครน หรือที่เขาเรียกว่า ยูโรไมดาน (Euromaidan) ซึ่งอเมริกาและชาติตะวันตกอยู่เบื้องหลังให้เกิดมีการปฏิวัติ ให้มีการโค่นล้มอดีตประธานาธิบดีวิกเตอร์ ยานูโควิช ซึ่งรัสเซียหนุนหลังอยู่ ได้ประสบผลสำเร็จ รัฐบาลสหรัฐฯ ในยุคนั้นนำโดยประธานาธิบดี ชื่อ บารัก โอบามา และรองประธานาธิบดีที่ชื่อ โจ ไบเดน ทั้งคู่นั้นดำรงตำแหน่งสูงสุดฝ่ายบริหารของอเมริกาในช่วงปี 2552-2560 (ค.ศ. 2009-2017) แปดปี


2557 หลังจากการรัฐประหาร นายฮันเตอร์ ซึ่งเป็นบุตรชายคนรองของ โจ ไบเดน ได้รับการเสนอให้เป็นกรรมการของบริษัท Burisma Holdings ซึ่งเมื่อกี้ผมเอาข้อมูลขึ้นมาว่า คนที่อยู่บริษัทนี้กำลังถูกดำเนินคดีเรื่องฟอกเงิน และฉ้อโกงเงินจำนวน 60 ล้านเหรียญสหรัฐ


Burisma Holdings คืออะไร ? คือบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ยูเครน คนที่เป็นเจ้าของบริษัทนี้เป็นมหาเศรษฐี ชื่อ Mykola Zlochevsky ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งเป็นอดีตรัฐมนตรีกระทรวงสิ่งแวดล้อมของยูเครน สมัยประธานาธิบดียานูโควิช เพิ่งถูกปฏิวัติด้วย

พอหลังจากการปฏิวัติยูโรไมดาน ในยูเครนเองก็เริ่มเพิ่มการเข้มข้นในการสืบสวนสอบสวนเรื่องการคอร์รัปชัน การหลีกเลี่ยงภาษี และการฟอกเงิน ซึ่ง Burisma Holdings และนาย Mykola Zlochevsky เป็นอดีตรัฐมนตรีในยุคนายกรัฐมนตรีคนเก่าที่ถูกโค่นล้มด้วยการปฏิวัติ เขาเคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี และยังเคยเป็นเจ้าของบริษัทพลังงานที่มีความใกล้ชิดกับฝั่งรัสเซีย ก็โดนเพ่งเล็งไปด้วย

 Mykola Zlochevsky
ต่อมา เดือนเมษายน 2557 ขณะที่ตอนนั้นรัฐบาลใหม่ของยูเครนกำลังกวาดล้างอิทธิพลของรัสเซีย กำลังดำเนินอยู่ Burisma Holdings กลับมีการแต่งตั้งนายฮันเตอร์ ไบเดน ให้เข้าไปเป็นคณะกรรมการบริหารบริษัท โดยข้อมูลระบุว่า ให้ค่าตอบแทนอย่างน้อยเดือนละ 5 หมื่นดอลลาร์ ปีละ 6 แสนเหรียญ ก็เกือบ 20 ล้านบาท

ฮันเตอร์ ไบเดน ดำรงตำแหน่งบอร์ดของ Burisma ระหว่างเมษายน 2557 - เมษายน 2562 เป็นเวลานานถึง 5 ปี รายได้ตกประมาณ 20 ล้านบาทต่อปี แหล่งข่าวระบุว่า ฮันเตอร์ ไบเดน ได้ค่าตอบแทนมากกว่านั้น คือเดือนละประมาณ 83,333 ดอลลาร์ หรือปีละ 1 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 33 ล้านบาท ฮันเตอร์ ไบเดน เป็นกรรมการบริษัท Burisma มา 5 ปี ได้ค่าตอบแทนไม่น้อยกว่า 100-160 ล้านบาท

สำนักข่าว ABC ได้ไปสัมภาษณ์ ฮันเตอร์ ไบเดน ในปี 2562 สามปีที่แล้ว หลังจากหมดวาระจากบอร์ดของ Burisma พ่อของเขา โจ ไบเดน กำลังจะลงชิงชัยในตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อถามว่าเขามีคุณสมบัติอะไรถึงได้ไปเป็นบอร์ดของบริษัทก๊าซในยูเครน เขาเลยตอบว่า เขาอ้างว่าเขาเคยเป็นรองประธานกรรมการบริษัท แอ็มแทร็ก (AMTRAK) เป็นบริษัทรถไฟใหญ่ของอเมริกา 5 ปี เป็นกรรมการองค์กรการกุศล World Food Programme เป็นนักกฎหมายในสำนักงานกฎหมายชั้นนำของโลก แต่พอนักข่าวถามว่า ไม่เห็นมีคุณสมบัติที่ระบุเรื่องความรู้ ประวัติความเชี่ยวชาญเรื่องก๊าซธรรมชาติ หรือธุรกิจพลังงานในยูเครนเลย ซึ่งฮันเตอร์ อ้างว่าเขามีความรู้มากพอๆ กับคนอื่นที่อยู่ในคณะกรรมการบริษัท Burisma นักข่าวหญิงคนนี้ไม่ยอมหยุด รุกต่อ ถามว่าถ้าคุณไม่ได้ใช้นามสกุล ไบเดน คุณคิดว่าคุณจะมีโอกาสได้รับเชิญเป็นกรรมการบริษัท Burisma ไหม ? ฮันเตอร์ พูดแบ่งรับแบ่งสู้ บอกว่า ผมไม่รู้เหมือนกัน อาจจะไม่ได้เป็นมั้ง ถ้าไม่ได้ใช้นามสกุล ไบเดน


ประเด็นแค่นี้ ข้อมูลค่อนข้างชัดเจนแล้วว่า ฮันเตอร์ ไบเดน สามารถเข้าไปเป็นกรรมการบริษัทพลังงานในยูเครนได้ เพราะบารมีและคอนเนกชันของพ่อ ซึ่งในปี 2557 นั้น เขาถูกแต่งตั้งไปในขณะนั้น พ่อของเขา คือ โจ ไบเดน ดำรงตำแหน่งเป็นรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยังได้รับมอบหมาย โจ ไบเดน ได้รับมอบหมายจาก บารัก โอบามา ให้ดูแลกิจการเกี่ยวกับยูเครนด้วย ปรากฏว่าหลักฐานสำคัญส่วนหนึ่งมีการค้นพบจากแลปท็อปของ ฮันเตอร์ ไบเดน คือข้อมูลในอีเมลจำนวนมหาศาลที่เขาใช้ติดต่อกับนักการเมือง นักธุรกิจต่างๆ ในยูเครน ในฐานะลูกชายรองประธานาธิบดี ได้แนะนำนักการเมือง นักธุรกิจ บุคคลสำคัญจำนวนหนึ่งในยูเครนให้ได้พบและพูดคุยกับพ่อของเขา ก็คือเป็นหน้าห้อง ใครอยากเจอพ่อ รองประธานาธิบดี มาหาเขา ซึ่งตอนนั้นดำรงตำแหน่งเป็นรองประธานาธิบดีและได้รับมอบหมายให้ดูแลยูเครน นี่อาจจะเป็นคำตอบว่าทำไม โจ ไบเดน ถึงจริงจังกับยูเครนมาก


ยกตัวอย่างนะ ท่านผู้ชมครับ อีเมลฉบับหนึ่งถูกส่งไปที่ นาย Vadym Pozharskyi ที่ปรึกษาคณะกรรมการ Burisma ถึงฮันเตอร์ ไบเดน ในวันที่ 17 เมษายน 2558 ภายหลังที่ฮันเตอร์ ไบเดน ได้รับแต่งตั้งเป็นบอร์ดราว 1 ปี เนื้อหาระบุว่า คุณฮันเตอร์ ครับ ขอบคุณที่เชิญผมมาที่วอชิงตัน ดี.ซี. ให้โอกาสผมได้พบกับพ่อของคุณ และใช้เวลากับเขาระยะหนึ่ง มันเป็นเกียรติและน่าพึงพอใจมาก


ในปีเดียวกัน 2557 สื่ออเมริกายังขุดคุ้ยไปด้วยว่า ฮันเตอร์ ไบเดน เป็นคนนัดหมายให้พ่อ คือ โจ ไบเดน ขณะดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดี ได้พบนักธุรกิจชาวรัสเซีย ยูเครน และคาซัคสถาน ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ซึ่งหนึ่งในนั้นมีชื่อของนาง Elena Baturina เป็นหนึ่งในมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยมากๆ แต่ปัจจุบันถูกอเมริกาคว่ำบาตรในวิกฤตยูเครนและรัสเซีย แต่ประเด็นนี้ถูกเชื่อมโยงไปช่วงก่อนหน้านั้นในปี 2557 พบว่า Elena โอนเงิน 3.5 ล้านเหรียญดอลลาร์ ให้กับบริษัทด้านการลงทุนที่มีชื่อฮันเตอร์ เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้ง พอนักข่าวไปถามโฆษกทำเนียบขาวคนปัจจุบัน โฆษกทำเนียบขาว บอกว่า ยังไม่ได้รับรายงาน

ท่านผู้ชมครับ อย่างที่ผมพูดไปแล้ว หลังรัฐประหารยูโรไมดาน ซึ่งสหรัฐฯ หนุนหลังอยู่นั้น บริษัท Burisma Holdings และนาย Mykola Zlochevsky เจ้าของ ถูกจับตา ตรวจสอบอย่างหนักเกี่ยวกับเรื่องปัญหาการคอร์รัปชัน การหลีกเลี่ยงภาษี และการฟอกเงิน ซึ่งการจัดการปัญหาการคอร์รัปชันและการประพฤติมิชอบ เป็นสิ่งที่เหล่านักการเมืองยูเครนฝ่ายตะวันตก และอเมริกา และชาติตะวันตกทั้งหลาย พยายามชี้ให้เห็นว่า มูลเหตุของการปฏิวัตินี้คือการคอร์รัปชัน ซึ่งรวมไปจนถึงนาย โวโลดิมีร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน ซึ่งในขณะนั้นยังเป็นดาราตลก ทำซีรีส์เรื่อง SERVANT OF THE PEOPLE มาเสียดสีนักการเมืองและปัญหาคอร์รัปชันในยูเครนด้วย มันเป็นเรื่องใหญ่ในยูเครนตอนนั้น


แต่กลับกลายเป็นว่า ลูกชายของรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในขณะนั้น และประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในขณะนี้ หนุนหลังการปฏิวัติ เรียกร้องให้ยูเครนแก้ปัญหาคอร์รัปชัน กลับได้รับการแต่งตั้งเข้ามาเป็นบอร์ดของบริษัทพลังงานที่มีปัญหาเรื่องการคอร์รัปชัน เลี่ยงภาษี และทำการฟอกเงินเสียเอง

ท่านผู้ชมครับ เรามาดูกันในข้อมูลในแลปท็อปนี้ ข้อมูลนี้แสดงให้เห็นถึงการแทรกแซงของสหรัฐฯ และไบเดน ต่อกรณี Burisma ที่ลูกชายเป็นกรรมการบริหาร

จริงๆ แล้วหลังการปฏิวัติยูโรไมดาน ณ ตอนนั้น มีตัวละครอีกตัวละครหนึ่งโผล่ขึ้นมา ชื่อ วิกเตอร์ โชกิน (Viktor Shokin) เป็นอดีตอัยการสูงสุดของยูเครน


เขาดำรงตำแหน่งอัยการสูงสุดในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2558 ถึง 29 มีนาคม 2559 เกือบๆ หนึ่งปี ในปี 2558 หลังจากโชกิน ขึ้นมาดำรงตำแหน่งอัยการสูงสุดในยูเครน เขาได้รับไม้ต่อกับการดำเนินคดีบริษัท Burisma เกี่ยวกับการคอร์รัปชัน เลี่้ยงภาษี ฟอกเงิน แต่ปรากฏว่า รัฐบาลนายบารัก โอบามา และหน่วยงาน NGO ทั้งหลาย กลับกล่าวหาว่า วิกเตอร์ โชกิน ไม่จัดการปัญหาคอร์รัปชันในยูเครนอย่างจริงจัง และปกป้องนักการเมืองทั้งหลาย และเป็นอุปสรรคต่อการแก้ปัญหาคอร์รัปชัน ท่านผู้ชมครับ ตามผมมา ...


จุดแตกหักและบ่งชี้ถึงการเข้าแทรกแซงทางการเมือง รวมทั้งกระบวนการยุติธรรมในยูเครนของอเมริกาอย่างโจ๋งครึ่ม คือการเข้าไปเยือนยูเครนของนายโจ ไบเดน เมื่อเดือนธันวาคม 2558 วันที่ 8 ธันวาคม 2558 โจ ไบเดน ตอนนั้นเป็นรองประธานาธิบดี ไปเยือนรัฐสภายูเครน โดยมีนายเปโตร โปโรเชนโก ประธานาธิบดี ปรบมือต้อนรับ


ธันวาคม 2558 ระหว่างเยือนกรุงเคียฟ ไบเดน ได้กล่าวเตือนเปโตร โปโรเชนโก ประธานาธิบดียูเครนในตอนนั้น ว่า ถ้าประธานาธิบดียูเครนไม่ปลด วิกเตอร์ โชกิน ออกจากตำแหน่งอัยการสูงสุด รัฐบาลโอบามาจะไม่ให้เงินกู้จำนวน 1 พันล้านดอลลาร์ อย่างนี้เรียกว่าแบล็กเมลได้หรือเปล่าท่านผู้ชม ?

หลายปีต่อมา ในช่วง 2561 วันที่ 23 มกราคม นายไบเดน ได้พูดถึงเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างเปิดเผย เขาพูดอย่างเปิดเผยเลยนะ ที่เวที The Council on Foreign Relations (CFR) ถ้าท่านผู้ชมติดตามรายการผม ผมเคยเล่าให้ฟังว่า CFR คืออะไร


ไบเดน พูดว่า ผมจ้องมองพวกเขา และพูดว่า ผมกำลังจะไป อีก 6 ชั่วโมง (หมายถึงจะกลับอเมริกา จากยูเครน) ถ้าอัยการโชกิน ไม่ถูกไล่ออก คุณจะไม่ได้เงิน แล้วลูกกะหรี่ คือ Son of a bitch นั้นก็ถูกไล่ออก ก็คือพูดง่ายๆ ว่า ยูเครนไล่อัยการโชกิน ออก ตามการแบล็กเมล์ของไบเดน ว่า ถ้าไม่ทำแล้วจะไม่ให้เงินกู้ 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ เหตุผลเพราะอัยการสูงสุด โชกิน กำลังตรวจสอบบริษัท Burisma ที่ลูกชายของโจ ไบเดน คือ นายฮันเตอร์ ไบเดน เป็นกรรมการบริหารอยู่

นายวิกเตอร์ โชกิน ถูกรัฐสภายูเครนปลดออกจากตำแหน่งในเดือนมีนาคม 2559 หลังดำรงตำแหน่งได้เพียง 1 ปี ซึ่งเวลาต่อมา อัยการสูงสุดยูเครนที่มาแทน วิกเตอร์ โชกิน ชื่อ Yuri Lutsenko แถลงว่าทางยูเครนไม่พบว่า ฮันเตอร์ ไบเดน กระทำผิดใดๆ ในฐานะเป็นบอร์ดของบริษัท Burisma

ท่านผู้ชมครับ นี่คือตำนาน ตอนนี้พอจะให้คำตอบหรือยังว่าทำไม โจ ไบเดน ถึงผูกพันมากกับยูเครน เอาเป็นเอาตายเลย ทั้งๆ ที่ยูเครนไม่มีอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว ออกมาตรการต่างๆ ทุกอย่า

พอมาถึงยุคประธานาธิบดีทรัมป์ ในช่วงเลือกตั้ง หาเสียง 2562-2563 นายฮันเตอร์ ไบเดน ลูกชายโจ ไบเดน กลายเป็นจุดอ่อนที่โดนัลด์ ทรัมป์ ขุดขึ้นมาบีบไข่โจ ไบเดน ในช่วงนั้น ทรัมป์ และคนในพรรครีพับลิกัน ตั้งคำถามเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนจากการที่ฮันเตอร์ ไบเดน ลูกชาย มีรายชื่ออยู่ในบอร์ดบริหารของบริษัท Burisma ในช่วงที่พ่อดำรงตำแหน่งเป็นรองประธานาธิบดี ในยุคของบารัก โอบามา จนกระทั่งกลายเป็นประเด็นหลักในกระบวนการถอดถอนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ครั้งแรก ช่วงปลายปี 2562 ต้นปี 2563 แต่วุฒิสภาสหรัฐฯ ตัดสินให้ทรัมป์ ไม่มีความผิด จากข้อกล่าวหาว่าที่เขาละเมิดกฎหมายด้วยการกดดันให้ผู้นำยูเครน นายโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ขุดคุ้ยข้อมูลสร้างความเสียหายต่อนายโจ ไบเดน

ท่านผู้ชมครับ ขออนุญาตฉีกหน้ากากความทุเรศทุรัง หน้าไหว้หลังหลอกของสื่อตะวันตก ข่าว CNN บอกว่ารายงานนิวยอร์กโพสต์ เรื่อง ฮันเตอร์ ไบเดน นั้นเป็นเฟกนิวส์ แล้วเจ้าหน้าที่ทางการสหรัฐฯ กำลังสืบว่าอีเมลนั้นเป็นข้อมูลเท็จที่รัสเซียใช้โจมตีนายโจ ไบเดน


ท่านผู้ชมครับ ถึงวันนี้เรื่องราวต่างๆ ปรากฏชัดแล้วว่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแลปท็อป การหลีกเลี่ยงภาษีจำนวนมหาศาล อีเมล รวมทั้งความสัมพันธ์เชื่อมโยงระหว่าง ฮันเตอร์ ไบเดน ที่ทำตัวเป็นล็อบบี้ยิสต์ พาคนไปพบ ทำความรู้จักกับพ่อของตัวเอง เป็นเรื่องจริงแทบทั้งหมด จากการยืนยันโดยข่าวที่เผยแพร่โดยนิวยอร์กโพสต์ ซึ่งออกมายืนยันเรื่องราวทั้งหมดว่าเป็นจริง เมื่อวันที่ 26 มีนาคม เพิ่งเดือนที่แล้วนี่เอง ทำให้เวลานี้สื่อที่ถูกดูถูกดูแคลนมาตลอดเวลา 2-3 ปี อย่างฟ็อกซ์นิวส์ นิวยอร์กโพสต์ ก็เริ่มออกมาซัดกลับบรรดาสื่อภาพลักษณ์ที่ดี ไม่ว่าจะเป็น CNN, POLITICO, NPR ที่รวมหัวกันปกปิดเรื่องราว โดยอ้างว่าเรื่องแลปท็อปที่เกี่ยวกับ ฮันเตอร์ ไบเดน นั้น เป็นข่าวปลอม เฟกนิวส์ของทางฝั่งรัสเซีย

ข่าวจาก POLITICO ระบุว่า เรื่อง ฮันเตอร์ เป็นเฟกนิวส์จากรัสเซีย แล้วยังลามไปถึงแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียทั้งหลาย มีทั้งทวิตเตอร์ เฟซบุ๊ก ที่ลบข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ทั้งหมด เมื่อนิวยอร์กโพสต์เอาเรื่องนี้มาเปิดเผย

วันพฤหัสบดีที่ 24 มีนาคม 2565 ประมาณ 7 วันที่แล้ว กระทรวงกลาโหมเปิดเผยว่า โรสมอนต์ เซเนกา นี่คือชื่อกองทุนนะครับ ชื่อ โรสมอนต์ เซเนกา (ROSEMONT SENECA)


กองทุนเพื่อลงทุนที่ปัจจุบันดูแลโดยนายฮันเตอร์ ไบเดน บุตรชายของประธานาธิบดีโจ ไบเดน จัดเงินทุนให้กับโครงการชีวภาพทางทหารของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ในยูเครน ทั้งนี้ สำนักข่าวซินหัวรายงานถ้อยแถลงของนายอิกอร์ คิริลลอฟ หัวหน้ากองกำลังป้องกันกัมมันตภาพรังสีสารเคมีชีวภาพของกองทัพรัสเซีย ว่า กองทุนดังกล่าวมีเงินรวมกัน 2,400 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 81,000 ล้านบาท

นายคิริลลอฟ ของรัสเซีย กล่าวว่า องค์กรเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ มูลนิธิจอร์จ โซรอส ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐฯ (CDC) ที่เกี่ยวข้องกับการให้เงินทุนและพัฒนาโครงการเหล่านี้เช่นเดียวกัน

นายคิริลลอฟ พูดต่อ เอกสารในมือทำให้เราติดตามรูปแบบการทำงานของหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ กับศูนย์ปฏิบัติการทางชีวภาพยูเครนได้ และเขาเสริมว่า กองทัพรัสเซียมีเอกสารอย่างเป็นทางการที่พิสูจน์ได้ว่า ห้องปฏิบัติการ 30 แห่งในยูเครน มีการดำเนินการเกี่ยวกับกิจกรรมอาวุธชีวภาพทางทหาร

ท่านผู้ชมครับ ประเด็นเกี่ยวกับห้องปฏิบัติการชีวภาพทางทหารเหล่านี้อีกเช่นกัน ที่สื่อตะวันตกไม่ยอมรายงาน BBC ก็ออกมาทำข่าวตรวจสอบข้อมูล เขาเรียกว่า Fact Checking บอกว่าเป็นข่าวปลอมจากรัสเซีย ทางจีน กับสื่อประเทศอื่นนั้น รายงานกันหมดแล้ว


ท่านผู้ชมครับ หลายสัปดาห์ที่ผ่านมา รายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" วันศุกร์ที่ 18 มีนาคม ที่ผมเล่า ชี้ให้ท่านผู้ชมได้เห็นแล้วว่าสงครามยูเครนได้เปิดเผยให้เห็นธาตุแท้และวาระซ่อนเร้นของใครหลายคน ไม่ว่าจะเป็นสื่อมวลชนไทย สื่อตะวันตก สื่อสาธารณะ สื่อระดับท้องถิ่น สื่อระดับโลก และสื่อในประเทศต่างๆ ว่ามีแนวคิด วิธีการ และเปิดสมรภูมิด้านข่าวสารข้อมูลเพื่อเปลี่ยนความคิดคนอย่างไร


ท่านผู้ชมครับ กรณีฮันเตอร์ ไบเดน ก็เช่นกัน ผลประโยชน์ทับซ้อนของสองพ่อ-ลูก ระหว่าง โจ ไบเดน กับลูกชาย ฮันเตอร์ ไบเดน ตอนที่พ่อเป็นผู้นำของประเทศมหาอำนาจ กับลูกชายที่เป็นล็อบบี้ยิสต์นั้น ชัดเจน แจ่มแจ้ง ชัดเจนจนไม่รู้จะอธิบายอย่างไรแล้ว แต่เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองและการต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจแล้ว เขาพร้อมจะทำทุกวิถีทาง ทำความจริงให้เป็นความเท็จ ทำเท็จให้เป็นจริง บิดเบือนข้อมูลข่าวสารทุกรูปแบบ ที่ผมอยากจะเน้นย้ำให้ท่านผู้ชมได้รับทราบ ได้เห็น ก็คือ นี่ล่ะคือความหน้าไหว้หลังหลอกและความตอหลดตอแหลของฝรั่งที่ปากอ้างเรื่องประชาธิปไตย สิทธิเสรีภาพ ต้านคอร์รัปชัน แต่พอถึงเวลาตัวเองทำในสิ่งที่ตัวเองไปบังคับให้ทุกคนทำ หน้าไหว้หลังหลอกที่สุด

ท่านผู้ชมครับ วันนี้มาอัปเดตเรื่องการเมืองหน่อย เพราะว่าไม่ได้อัปเดตมานานแล้ว เมื่ออาทิตย์ที่แล้วผมพูดเรื่องของอุ๊งอิ๊ง แต่วันนี้ผมจะพูดภาพรวมหลายๆ พรรค ให้เข้าใจ


เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 3-4 วันที่ผ่านมานี้ ศูนย์สำรวจความคิดเห็นนิด้าโพล เผยผลสำรวจของประชาชน เรื่อง "การสำรวจคะแนนนิยมทางการเมือง รายไตรมาส" ครั้งที่ 1/2565 ซึ่งเป็นการสำรวจระหว่างวันที่ 10-15 มีนาคม จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค รวมทั้งสิ้น 2,020 หน่วยตัวอย่าง ผลออกมาน่าสนใจมาก

ประชาชนส่วนใหญ่ 27.62 เปอร์เซ็นต์ ยังไม่เห็นมีใครเหมาะสมที่จะนั่งนายกฯ และไม่สนับสนุนพรรคการเมืองใดเป็นพิเศษ ปรากฏว่ามีคำถามเจาะลึกลงไปว่า ถ้าได้เลือกว่าใครเหมาะสม น่าสนใจครับ อันดับหนึ่งกลายเป็น พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้ 13.42 เปอร์เซ็นต์ อันดับสอง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตกลงมาเหลือ 12.67 เปอร์เซ็นต์ ต่ำกว่าพิธา อันดับสาม ผมอยากพูดถึงอันดับสาม น่ากลัวมาก อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ชินวัตร ได้ 12.53 เปอร์เซ็นต์ ห่างจากประยุทธ์ แค่ 0.14 เปอร์เซ็นต์ เท่านั้นเอง หรือพูดง่ายๆ ว่า อาจจะเหมารวมได้ว่าคะแนนเท่ากับประยุทธ์ ทั้งๆ ที่เพิ่งเข้ามาทางการเมืองใหม่ๆ อันดับสี่ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย 8.22 อันดับห้า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ 7.03 แล้วก็ไล่มาเรื่อยๆ โหล่สุด อันดับเก้า จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ พรรคประชาธิปัตย์ 2.58

ประเด็นคืออะไร ? เมื่อเปรียบเทียบกับการสำรวจปีที่แล้ว คะแนนนิยมในตัว พล.อ.ประยุทธ์ นั้นทรุดต่อเนื่อง ทรุดมาเรื่อยๆ เลย ขณะที่พิธา กับอุ๊งอิ๊ง กลับได้คะแนนเพิ่มขึ้นมาอย่างมีนัยสำคัญ เรามาดูผลสำรวจ 4 ครั้ง ในปี 2564 คะแนน พล.อ.ประยุทธ์ ครั้งที่ 1 เมื่อปี 2564 ได้ 28.79 เปอร์เซ็นต์ ครั้งที่ 2 ตกไป 9 เปอร์เซ็นต์ เหลือ 19.32 ครั้งที่ 3 ตกอีก เหลือ 17.54 ครั้งที่ 4 ตกเหลือ 16.93 และครั้งสุดท้าย 12.67 เปอร์เซ็นต์ ครั้งสุดท้ายเมื่อเทียบกับครั้งแรกปี 2564 แล้ว หายไปเกือบ 20 เปอร์เซ็นต์ น่าตกใจมาก

ที่สำคัญคือ พอถามว่าพรรคการเมืองที่ประชาชนสนับสนุน ที่ผมสนใจที่สุด ผมคิดว่าอันดับหนึ่ง คือ ไม่สนับสนุนพรรคใดเลย 28.86 เปอร์เซ็นต์ เกือบ 30 เปอร์เซ็นต์ นอกนั้นก็ถัวเฉลี่ยไป


ผลโพลนี้ของนิด้า ผมเคยเล่าให้ท่านผู้ชมฟังแล้วว่านิด้าเป็นโพลที่น่าเชื่อถือที่สุด ไม่เหมือนกับโพลที่รัฐบาลจัดตั้ง ทำขึ้นมาเองแล้วก็มาบอกว่าประชาชนยังชมชอบ พล.อ.ประยุทธ์ อยู่

ผลโพลในวันนี้พิสูจน์ว่าความนิยมของนายกฯ ประยุทธ์ และพลังประชารัฐ นับวันจะยิ่งสาละวันเตี้ยลง พรรคพลังประชารัฐนั้นตกมาจนถึง ถ้าเป็นพรรคที่คนเลือก อันดับห้า ต่ำกว่าประชาธิปัตย์ ประชาธิปัตย์ ได้ 7.97 เปอร์เซ็นต์ พลังประชารัฐ ได้ 7.03 เปอร์เซ็นต์

นอกจากนั้นแล้ว ยังมีสัญญาณชัดเจน คือ อันดับหนึ่ง อันดับสอง คะแนนนิยมทิ้งห่างอันดับ 3 กับ 4 ไกลมาก เพราะฉะนั้นแล้วจะเห็นว่าคะแนนนิยมของพรรค 2 พรรคฝ่ายค้านหลัก คือ เพื่อไทย และก้าวไกล รวมกันแล้ว 42 เปอร์เซ็นต์ พรรคพลังประชารัฐ กับประชาธิปัตย์ รวมกันแล้วได้แค่ 15 เปอร์เซ็นต์

พล.อ.ประวิตร ท่านก็บอกว่า คะแนนนิยมของบิ๊กตู่ ไม่ตก ท่านจะบอกว่าตกได้อย่างไร เพราะท่านกำลังต้องชูบิ๊กตู่ และท่านก็บอกต่อว่า "สำรวจเด็ก ได้เด็ก" ก็คือพูดง่ายๆ ว่า กล่าวหาว่านิด้าโพลนั้นเลือกคนที่มีอายุน้อยเข้ามาเพื่อสอบถามความเห็น เมื่อผมไปดูรายละเอียดในกลุ่มตัวอย่างที่นิด้าโพลสำรวจ ระบุว่าประชาชนที่อายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค กลุ่มตัวอย่างที่มีสัดส่วนในการสำรวจเยอะที่สุด อายุ 46-59 ปี 26.88 เปอร์เซ็นต์ รองลงมา คือ 60 ปีขึ้นไป 23.12 เปอร์เซ็นต์ อันดับสาม คือ กลุ่มคนอายุ 36-45 ปี 19.21 เปอร์เซ็นต์ ก็คือ อันดับหนึ่ง อันดับสอง อันดับสาม เป็นกลุ่มคนอายุ 36-45 ปี 60 ปีขึ้นไป 46-59 ปีขึ้นไป เพราะฉะนั้นแล้ว ไม่ใช่เรื่องของการถามเด็กก็ได้เด็ก อย่างที่ พล.อ.ประวิตร อ้าง ไม่ใช่เลย

แต่อย่างไรก็ตาม มีข้อสังเกต ถ้าเราจำแนกภูมิภาคของผู้ตอบแบบสอบถาม 2,020 คนนั้น พบว่า ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มากที่สุด คือ 33.27 ซึ่งภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คือพื้นที่ของพรรคเพื่อไทย ตรงนี้อาจจะมีข้อบกพร่อง เพราะว่าคนทางภาคอีสานได้รับการสอบถามมากที่สุด ก็เลยทำให้ทั้งเพื่อไทย และคุณพิธา ได้รับคะแนนสูง

ความเหลื่อมล้ำในสัดส่วนของผู้ตอบแบบสอบถามในแต่ละภาคข้างต้น อาจจะมีผลต่อคะแนนนิยม เพราะผู้ตอบแบบสอบถามเกินครึ่ง อยู่ในภาคอีสาน และภาคเหนือ ซึ่งเป็นฐานสำคัญของพรรคเพื่อไทย

ท่านผู้ชมครับ ท่านผู้ชมเห็นด้วยกับผมไหมว่า การเมืองไม่มีมิตรแท้ ศัตรูถาวร ตอนนี้เป็นเวลาที่กลุ่ม 3 ป. ประยุทธ์ ประวิตร และอนุพงษ์ เตะตัดขาพรรคภูมิใจไทย


ผมจะเล่าเบื้องหน้าเบื้องหลังให้ฟังนิดหนึ่ง เตือนความจำท่านผู้ชม กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ในรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ตอนที่ 124 วันศุกร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2565 ผมพูดถึงเหตุการณ์และปรากฏการณ์ทางการเมืองหนึ่ง ที่ 7 รัฐมนตรีของพรรคภูมิใจไทย พร้อมใจกันลาประชุม เพื่อคัดค้านที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นำเรื่องการพิจารณาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว เข้าเป็นวาระในการประชุม ครม. รายชื่อของรัฐมนตรีคงไม่ต้องเอามาเล่าให้ฟังแล้วนะครับ

ยิ่งกว่านั้น ส.ส. พรรคภูมิใจไทย ทั้งหมดก็ออกมาแถลงข่าวสนับสนุน เห็นด้วยกับรัฐมนตรีทั้ง 7 คนของพรรค ที่เดินออกมา เหตุผลเพราะว่าพรรคภูมิใจไทยต้องการแสดงออกถึงความเห็นที่ไม่เห็นด้วยกรณีกระทรวงมหาดไทย เสนอวาระเพื่อพิจารณาขอความเห็นชอบร่างสัญญาร่วมลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว กับกรุงเทพมหานคร เพื่อขยายสัญญาสัมปทานให้กับ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ หรือ บีทีเอส ออกไปอีก 30 ปี เรื่องดังกล่าวกระทรวงคมนาคมได้แสดงความคิดเห็นคัดค้านต่อการขยายสัญญาสัมปทานมาตลอด ใน 4 ประเด็นหลัก

ประเด็นแรก ความครบถ้วนตามหลักการของพระราชบัญญัติร่วมลงทุนของรัฐ-เอกชน 2562 ประเด็นการคิดค่าโดยสารที่เหมาะสมและเป็นธรรมแก่ผู้ใช้บริการ เพื่อส่งเสริมผู้มีรายได้น้อย ประเด็นการใช้สินทรัพย์ของรัฐที่ได้รับโอนจากเอกชนให้เกิดประโยชน์สูงสุด และข้อที่สี่ ประเด็นข้อพิพาททางกฎหมายซึ่งเกิดขึ้นจากที่ กทม. ได้ทำสัญญาจ้าง BTSC เดินรถส่วนต่อขยายที่ 1 และส่วนต่อขยายที่ 2 จนถึงปี 2585

ผลลัพธ์ก็คือ หลังจากการลาประชุม แรงกดดันทำให้ที่ประชุม ครม. ตีกลับวาระที่เสนอโดยกระทรวงมหาดไทย ที่ขอความเห็นชอบผลการเจรจาและเห็นชอบร่างสัญญาร่วมลงทุนโครงการ ให้กลับไปพิจารณาใหม่

ล่าสุด มีความเคลื่อนไหวที่น่าจะเชื่อมโยงกับการคัดค้านสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวของพรรคภูมิใจไทย ทั้งๆ ที่พรรคภูมิใจไทยไม่ได้มี ส.ส. ในกรุงเทพมหานคร แต่ต่อสู้ ต่อต้านรถไฟฟ้าสายสีเขียว ซึ่ง 1 ใน 4 ประเด็นที่ต่อต้านก็คือ ค่าโดยสารแพงเกินไป พรรคประชาธิปัตย์ หรือบรรดาใครก็ตาม แม้กระทั่งคนที่เริ่มสมัครเป็นผู้ว่าฯ กทม. อย่าง พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง กลับไม่ได้ต่อสู้ในเรื่องนี้ แล้วผมจะเล่าให้ฟังว่า พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ได้พูดอะไรบ้างในเรื่องค่ารถไฟฟ้าสายสีเขียว น่าจะเป็นพื้นฐานสำคัญในการที่ท่านผู้ชมได้พิจารณาว่าควรจะเลือก พล.ต.อ.อัศวิน เป็นผู้ว่าฯ กทม. คนต่อไปหรือไม่ ใจเย็นๆ นี่แค่กลิ่นอาหารที่ผมจะชง ผมจะทำ เราจะมีการวิเคราะห์คนสมัครผู้ว่าฯ กทม. ทุกคน แล้วผมจะมีบทสรุปที่ผมเชื่อว่าผมพูดออกไปแล้ว และหลักฐานที่ผมมีอยู่ จะทำให้ท่านผู้ชมเห็นด้วยกับผม

เพราะฉะนั้นแล้ว ตอนนี้กลุ่ม 3 ป. ก็เริ่มเอาคืนทางการเมือง โดยไม่ได้แยกแยะว่าเรื่องไหนเป็นเรื่องส่วนรวม เรื่องไหนเป็นเรื่องส่วนตัว พูดไปอย่างที่ไม่น่าฟังก็คือว่า เป็นการลุแก่อำนาจ


ยกตัวอย่างให้ฟังง่ายๆ "บริษัทก่อสร้างยักษ์ใหญ่งง ถูกการประปานครหลวง ซึ่งขึ้นอยู่กับกระทรวงมหาดไทย ทำแท้งโครงการประกวดราคาจ้างก่อสร้างขยายกำลังการผลิตน้ำโรงงานมหาสวัสดิ์" ท่านผู้ชมครับ 29 ตุลาคม 2564 ปีที่แล้ว การประปานครหลวง ออกประกาศเรื่อง ประกวดราคาจ้างก่อสร้างขยายกำลังการผลิตน้ำ ที่โรงงานผลิตน้ำมหาสวัสดิ์ ขนาด 8 แสนลูกบาศก์เมตรต่อวัน พร้อมงานที่เกี่ยวข้อง ด้วยการประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ ราคากลางอยู่ที่ 6,526 ล้านบาท พอถึงกำหนดยื่นข้อเสนอ e-Bidding ในวันที่ 15 ธันวาคม มีเอกชนยื่นข้อเสนอ 5 ราย ซื้อซองไปแล้ว 9 ปรากฏว่าบริษัทเสนอราคาต่ำสุดสามอันดับแรก ได้แก่ บริษัท วงษ์สยามก่อสร้าง เสนอราคา 6,150 ล้านบาท


อันดับสอง ซิโน-ไทย เสนอที่ 6,195 ล้านบาท


อันดับที่สาม บริษัท ไอทีดี คอนโซเตียม อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ และบริษัท อาควาไทย เสนอที่ 6,400 ล้านบาท


แต่ปรากฏว่า บริษัท วงษ์สยามก่อสร้าง ซึ่งเสนอราคาต่ำสุด ถูกตัดสิทธิ์ ไม่ได้รับการพิจารณา อ้างว่าคุณสมบัติไม่ครบถ้วน ไม่เป็นไปตามคุณสมบัติของผู้ยื่นข้อเสนอ ที่สำคัญ บริษัท ซิโน-ไทย อันดับสอง 6,195 ล้านบาท ก็ถูกตัดทิ้งไปเช่นกัน โดยข้อหา มีคุณสมบัติไม่ครบถ้วน เนื่องจากผลงานก่อสร้างที่ใช้ยื่นเป็นคุณสมบัติ ถูกตีความว่ามีขนาดน้อยกว่า 1 แสนลูกบาศก์เมตรต่อวัน ทำให้ บริษัท อิตาเลียนไทยฯ ซึ่งเสนอราคาอันดับที่สาม 6,460 ล้านบาท ชนะการประมูล

ท่านผู้ชมครับ บริษัทแรกเสนอ 6,100 กว่า บริษัท วงษ์สยาม บริษัทที่สอง ซิโน-ไทย 6,100 กว่าเหมือนกัน ถูกตีตก เพื่อเลือกบริษัทที่สาม ซึ่งเสนอ 6,460 ล้านบาท ท่านผู้ชมครับ มันน่าสงสัยไหมในจำนวนนี้จะมีบางส่วนสำหรับเป็นเงินค่าเลือกตั้งด้วยหรือเปล่า ... ผมไม่รู้

ก่อนประกาศให้บริษัท อิตาเลียนไทยฯ เป็นผู้ชนะการเสนอราคา เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2565 ขนาด 8 แสนลูกบาศก์เมตรต่อวัน ทั้งๆ ที่สองบริษัทมีใบรับรองผลงานจากหน่วยงานภาครัฐ และมีผลงานประจักษ์ชัดว่ามีความสามารถทำตาม TOR ผลิตน้ำประปา 1 แสนลูกบาศก์เมตรต่อวัน จากเทศบาล ครบถ้วน


ต่อมา บริษัท ซิโน-ไทย และบริษัท วงษ์สยาม ยื่นหนังสือขออุทธรณ์การจัดซื้อจัดจ้างโครงการประกวดราคาจ้างก่อสร้างขยายกำลังการผลิตโรงน้ำที่โรงงานผลิตน้ำมหาสวัสดิ์ โดยที่อ้างว่าหลังจากถูกตัดสิทธิ์ไม่ให้เข้าประมูล โดยคณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคาอ้างว่าทั้งสองบริษัทไม่มีคุณสมบัติตามประกาศ

นอกจากบริษัท วงษ์สยาม อุทธรณ์แล้ว ยังมีบริษัท ซิโน-ไทย ก็ทำหนังสือขออุทธรณ์ สาระสำคัญที่โต้แย้งคือ หนังสือรับรองผลงานจากเทศบาลเมืองนครราชสีมา ที่คณะกรรมการยกมาประกอบการกล่าวหานั้น บริษัทฯ ได้สืบค้นข้อมูลเพิ่มเติม พบว่าเทศบาลนครนครราชสีมา มีหนังสือแจ้งข้อมูลไว้ 2 ฉบับ ทั้งสองฉบับมีเนื้อความไปทางสนับสนุนว่าผลงานก่อสร้างโครงการแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภคของเมืองนครราชสีมา ที่ถูกนำมาใช้ยื่นเป็นประสบการณ์ที่มีความสอดคล้องกับการประกาศการประกวดราคาข้อที่ 11 และเอกสารประกวดราคาจ้าง ข้อ 2.11 ก็คือสรุปง่ายๆ ว่า ทำถูกต้อง คือพูดง่ายๆ ว่าหลังจากผ่านการคิดคำนวณเรื่องน้ำสูญเสียเสร็จแล้ว ปริมาณการผลิตจริงที่ทำได้ยังคงเป็น 1 แสนลูกบาศก์เมตรต่อวัน ตามหนังสือรับรองการก่อสร้างที่ออก

เพราะฉะนั้นแล้ว การที่การประปานครหลวงยังคงดึงดันจะรับฟังว่าผลงานผลิตน้ำประปาไม่ถึงแสนลูกบาศก์เมตรต่อวัน ก็จะขัดแย้งกับบรรดาเอกสารทั้งปวงที่บริษัทฯ ได้นำมาเสนอ และอาจจะเป็นการใช้ดุลพินิจที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ก็เลยต้องขออุทธรณ์

นี่ผมจะให้ท่านผู้ชมดู ผมทราบข้อมูลจากวงในว่า เกมเรื่องการประมูลครั้งนี้เป็นการเอาคืนกันทางการเมือง ระหว่าง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กับพรรคภูมิใจไทย ฝ่ายหลังดูแลกระทรวงคมนาคม ซึ่งคัดค้านเรื่องรถไฟฟ้าสายสีเขียว ออกมาต่อต้านสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว ที่กระทรวงมหาดไทย โดย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ทำไม่ถูกต้อง ทั้งในเชิงข้อกฎหมาย ทางธุรกิจ และส่งผลกระทบต่อประชาชน เนื่องจากจะทำให้ค่าโดยสารตลอดสายพุ่งสูงขึ้นถึง 65 บาท ก็มีความเป็นไปได้สูงที่การประปานครหลวง ซึ่งอยู่ในสังกัดกระทรวงมหาดไทย เห็นได้ชัดเลยว่าประธานบอร์ดคืออธิบดีกรมที่ดิน อาจจะรับงานมาจัดการกับบริษัทเอกชนที่เข้าร่วมประมูลโครงการ 6 พันล้านบาท ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่า ซิโน-ไทย คือกิจการที่ครอบครัวของ อนุทิน ชาญวีรกูล ถือหุ้นอยู่ด้วย

ท่านผู้ชมครับ อย่างที่ผมบอกไปว่า การเอาคืนกันทางการเมืองครั้งนี้ไม่ได้มีการแยกแยะว่าเรื่องไหนเป็นเรื่องส่วนรวม เรื่องไหนเป็นเรื่องส่วนตัว เป็นการลุแก่อำนาจริงๆ

การที่พรรคภูมิใจไทย ประท้วงในเรื่องของรถไฟฟ้าสายสีเขียวนั้น ข้อหา 4 ข้อที่พรรคภูมิใจไทยยื่นไปนั้น เป็นเรื่องของส่วนรวมทั้งสิ้น เป็นเรื่องของการต่อต้านราคาตั๋ว 65 บาท เป็นเรื่องของการใช้ทรัพย์สินที่ไม่สมประโยชน์ เป็นเรื่องของสัญญาที่ควรจะเป็นสัญญาร่วมทุน เป็นเรื่องส่วนรวมหมด แต่ข้ออ้างของ กปน. ซึ่งสังกัดกระทรวงมหาดไทย อยู่ภายใต้อาณัติของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ที่เพิ่งจะเจ็บช้ำน้ำใจจากการที่โดนประท้วงรถไฟฟ้าสายสีเขียว กลับยกเลิก 2 เจ้า คือ วงษ์สยาม และ ซิโน-ไทย ในข้ออ้างที่ว่า ไม่สามารถที่จะพิสูจน์ได้ว่าสามารถผลิตน้ำได้ 1 แสนลูกบาศก์เมตร แต่ทาง ซิโน-ไทย และ วงษ์สยาม ก็ยื่นเรื่องอุทธรณ์ว่าข้ออ้างของ กปน. นั้น เป็นข้ออ้างที่เลื่อนลอย ทั้งๆ ที่สองบริษัทนี้มีเอกสารรับรองว่าทำได้

ที่สำคัญ อันดับหนึ่ง 6,100 ล้านบาท อันดับสอง ก็ 6,100 ล้านกว่านิดๆ มาอันดับสี่ ตั้ง 6,460 ล้านบาท เจรจากันไปเจรจากันมา อันดับสี่ อิตาเลียนไทย ลดให้ 60 ล้าน เหลือ 6,400 ล้านบาท แพงกว่าอันดับหนึ่ง อันดับสอง ตั้ง 300 ล้านบาท นี่ผมคิดของผมเองนะ ไม่รู้ว่าข้อต่างของเงินขนาดนั้น หนึ่ง เป็นการเอาคืน และสอง ได้เงินเพิ่มอีก ไม่รู้ว่า อิตาเลียนไทย ซึ่งมีชื่อเสียงมากในเรื่องรับโครงการ งานต่างๆ ของราชการ และมีเส้นสายเยอะมาก แล้วอิตาเลียนไทย ก็เป็นคนที่ค่อนข้างใจถึง ใจถึงที่จะยื่นหมูยื่นแมวได้หลายๆ อย่าง เพราะฉะนั้นแล้ว การกระทำนี้ของ กปน. ผมคิดว่าควรที่จะมีคนเอาเรื่องนี้ไปร้อง ป.ป.ช. ได้ อ๋อ แน่นอน คงจะไม่ถึงท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย อย่างแน่นอน แต่ว่าท่านประธาน กปน. การประปานครหลวง คืออธิบดีกรมที่ดิน ต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้ ท่านจะรับงานจากใคร ผมไม่รู้ แต่ว่างานชิ้นนี้ในวงการเขาร้องยี้ และเขาทุเรศ เพราะว่าท่านไม่สามารถจะแยกเรื่องส่วนตัว กับเรื่องส่วนรวมออกมา ท่านหมั่นไส้พรรคภูมิใจไทย ท่านก็ถือโอกาสเตะตัดขาไปเลย เดี๋ยวยังมีอีกท่านผู้ชม

ท่านผู้ชมครับ เมื่อกี้นี้ผมพูดเรื่องของการประมูลที่การประปานครหลวง วันนี้ผมจะพูดเรื่องต่อไป คือการจับชาวบ้านปลูกกัญชา 1 ต้น เพื่อเป็นยารักษาโรค เบื้องหลังคือเกมการเมืองเช่นกัน อำมหิตมาก


23 มีนาคม รายงานจาก จ.ขอนแก่น ว่า พบยายวัย 70 ปี ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุม ปลูกกัญชา 1 ต้น ในบ้าน ถูกแจ้งข้อกล่าวหาว่าผลิตและมียาเสพติดให้โทษ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2565 ตกเป็นข่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

ก็คือพูดง่ายๆ ว่า ผู้กำกับ สภ.อุบลรัตน์ ชุดเจ้าหน้าที่จับกุม จับยายนาง และนางบุญเส็ง มีของกลางเป็นยาเสพติดประเภท 5 กัญชาสด ลักษณะเป็นต้น จำนวน 1 ต้น (ท่านผู้ชมฟังแล้วทุเรศไหม) สูงประมาณ 140 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 300 กรัม ปลูกที่บริเวณหน้าบ้าน ตำรวจถามว่า กัญชานี้ของยายใช่ไหม ยายก็บอกว่า อยู่หน้าบ้านยาย ก็ต้องเป็นของยาย ตำรวจบอกว่า ไม่รู้หรือว่าผิดกฎหมาย ยายบอกว่ารู้ดี แต่ที่ปลูกเพื่อต้มกิน ทำการรักษาโรค ตัวยายเองก็เป็นศูนย์รวมของโรค หลานที่โดนจับข้างบ้านก็เป็นโรค ปลูกไว้เอาใบมาต้มกินในตอนเช้า เพราะเป็นยาที่ดี


ท่านผู้ชมฟังแล้วทุเรศไหม ตำรวจไม่มีอะไรทำแล้วหรืออย่างไร ทุกวันนี้ ทำตามใบสั่ง ปลูกกัญชา 1 ต้น ไว้ที่หน้าบ้าน ถ้าเป็นตำรวจที่ต้องการรักษากฎหมาย ใช้หลักรัฐศาสตร์ก็ต้องบอก ยาย ถอนไปซะ อย่าปลูกเลย เพราะว่ายังไม่ถูกกฎหมายอยู่ ก็จบ นี่ไปจับมา พอไปถึงโรงพักตำรวจไม่ให้ประกันตัว พอคนโวยวายขึ้นมา ตำรวจก็อ้างว่าต้องสอบสวนก่อนทั้งคืนถึงจะให้ประกันตัววันรุ่งขึ้น คือจริงๆ งานนี้เป็นงานข่มขู่คนที่จะพึ่งพากัญชา เพราะทำไม ? นี่คืองานเตะตัดขาพรรคภูมิใจไทยอีกแล้ว เพราะพรรคภูมิใจไทยการันตีประชาชนว่าปลูกกัญชาได้


คุณศุภชัย ใจสมุทร นายทะเบียนพรรคภูมิใจไทย เปิดเผยว่า ประชาชนสามารถปลูกและใช้ประโยชน์จากกัญชาได้ หากถูกดำเนินคดี พรรคภูมิใจไทยยินดีส่งทนายความเข้าไปช่วย นอกจากนั้น คุณศุภชัย ยังออกมาย้ำด้วยว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ให้ความสนใจ หรือไม่ให้ความสำคัญต่อกฎหมายที่มีการปลดล็อกกัญชาออกจากการเป็นยาเสพติด เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2564 พร้อมบอกว่าตอนนี้มีคนร้องเรียนไปที่พรรคภูมิใจไทย 100 คดี จากทั่วประเทศ แสดงว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สนใจเลยว่าฝ่ายนิติบัญญัติได้ปลดกัญชาออกจากยาเสพติดแล้ว ยังคงมีการจับกุมดำเนินกับประชาชน แสดงถึงความไม่เข้าใจหรือเจตนาไม่เข้าใจของตำรวจ สะท้อนให้เห็นว่าเป็นปัญหาองค์กรตำรวจ โดยเฉพาะผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ไม่นำพานโยบายฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติ ปล่อยให้ผู้ใต้บังคับบัญชาดำเนินการจับกุม ดำเนินคดีกับประชาชน

ท่านผู้ชมครับ เรื่องนี้ถ้าดูแล้วก็ด่าตำรวจ แต่พอเราดูลึกๆ ไป ใครเป็นคนคุมตำรวจครับ ? ไม่ใช่สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข คนอย่างสุวัฒน์ แจ้งยอดสุข จะมาบอกให้ตำรวจ ผู้กำกับโรงพัก ให้ไปจับกัญชา 1 ต้น แล้วดำเนินคดียาย 2 คนแก่ๆ คนอย่างสุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ไม่ทำอย่างนี้หรอก นอกจากผู้ที่มีสิทธิ์ที่จะสั่งสุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ได้ ท่านผู้ชมคิดดูเอาเองก็แล้วกันว่าเป็นใคร

ท่านผู้ชมรู้สึกว่ามันมีอะไรผิดปกติไหม เรื่องนี้ ? ข้อที่หนึ่ง ทำไมเจ้าหน้าที่ตำรวจในกระบวนการยุติธรรมต้องเร่งจับกุมชาวบ้านที่เขาปลูกกัญชาเพียงแค่ 1 ต้น เพื่อใช้ประโยชน์ ใช้รักษาโรคในครัวเรือน ไม่ได้จำหน่ายจ่ายแจก หรือเป็นการค้าเสียด้วยซ้ำ สังเกตไหมท่านผู้ชม ข้อที่สอง พระราชบัญญัติประมวลกฎหมายอาญายาเสพติด 2564 ที่ยกเลิกกฎหมายเก่า กำลังจะมีผลบังคับใช้อีก 2 เดือนนี้ คือวันที่ 8 มิถุนายน 2565 ข้อที่สาม ซึ่งเมื่อพระราชบัญญัติประมวลกฎหมายอาญายาเสพติด 2564 มีผลบังคับใช้แล้ว เมื่อไปถึงศาลอุทธรณ์ คดีเหล่านี้ก็ต้องยกฟ้องหมด ถือว่าเป็นการทำให้เสียเวลา เสียบุคลากร และเสียทรัพยากรทุกอย่าง ไม่เกิดประโยชน์อะไรกับประเทศชาติเลย เพราะตอนนี้ดำเนินคดีอยู่ศาลชั้นต้น แล้วถ้ามีทนายแนะนำให้อุทธรณ์ต่อ พออุทธรณ์แล้ว อุทธรณ์ใช้เวลาเป็นปี มิถุนายนนี้ ก็ต้องปลดล็อกแล้ว ผ่านสภาฯ เรียบร้อย คดีนี้ก็ต้องยกไป แล้วจับทำไม ???

ประเด็นคนที่อยู่เบื้องหลังในการจับคนปลูกต้นกัญชา 1 ต้น อำมหิต เพราะประโยชน์เดียวที่กลุ่มพวกนี้จะได้ คือการดิสเครดิตทางการเมืองพรรคภูมิใจไทย ใช้ชาวบ้านและประชาชนเป็นเหยื่อ เพราะว่านโยบายเปิดเสรีกัญชาและปลูกกัญชาบ้านละ 6 ต้น เป็นนโยบายที่สำคัญที่สุดของพรรคภูมิใจไทย ที่เป็นเหตุให้พรรคภูมิใจไทยฟื้นตัวจากพรรคต่ำสิบ กลายเป็นพรรคขนาดกลาง และกำลังจะเป็นพรรคขนาดใหญ่ เพราะฉะนั้นแล้ว เพื่อสกัดการเจริญเติบโตของพรรคภูมิใจไทย ที่ผมพูดผมไม่ได้เข้าข้างพรรคภูมิใจไทยนะ แต่ผมกำลังเล่าเรื่องบางเรื่องซึ่งมันเกี่ยวพันกับการเมือง ซึ่งมันเกี่ยวกับการขบเหลี่ยมชิงดีชิงเด่นกัน

เพราะฉะนั้น เพื่อจะสกัดการเจริญเติบโตของพรรคภูมิใจไทย ก็ต้องเตะตัดขาเรื่องกัญชาเสรีตลอดเวลา จนถูกประชาชนทวงสัญญาเป็นประจำ ในขอบเขตทั่วประเทศ จนกระทั่งพรรคภูมิใจไทยทนไม่ไหว ประกาศเลยว่า ถ้าเรื่องนี้เดินหน้าไม่ได้ ก็จะถอนตัวออกจากรัฐบาล ในที่สุดแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ ไม่กล้าเสี่ยงกับการที่ตัวเองจะต้องตกเก้าอี้ ก็เลยทำให้มีการเปิดเสรีกัญชาตามนโยบายที่สัญญาไว้กับประชาชน แต่ยังไม่ทันไร เพราะต้องรอให้ผ่านสภาฯ เดือนมิถุนายน คนปลูกกัญชาถูกตำรวจจับ ศาลพิพากษาจำคุกและปรับ แต่ศาลยังเมตตา รอลงอาญา

ท่านผู้ชม ถามว่าต้นน้ำกระบวนการยุติธรรมอยู่ที่ไหน ? ก็คือตำรวจ ถ้าตำรวจไม่บ้าจี้จับคนปลูกกัญชา 1 ต้น ท่านผู้ชมครับ ทุเรศไหม จับกัญชา 1 ต้น จากยาย 2 คน แล้วถามว่าตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ใครดูแล ? คำตอบคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คนที่สั่งสุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ได้ ก็ชื่อ ประยุทธ์ จันทร์โอชา เรื่องนี้เลยเป็นเรื่องหัวเลี้ยวหัวต่อของพรรคภูมิใจไทยว่าจะตัดสินใจอนาคตทางการเมือง และจะเป็นพรรคที่เติบโตต่อไปอย่างไร

การลงมติอภิปรายไม่ไว้วางใจแบบลงมติในที่ประชุมสมัยหน้า เดือนพฤษภาคม พรรคภูมิใจไทยต้องตัดสินใจแล้ว นั่งๆ อยู่ตัวเองประท้วงเรื่องรถไฟฟ้าสายสีเขียว ตามหลักการ ตามประโยชน์ของส่วนรวม แต่ก็โดนเตะตัดขาตลอดกับนโยบายที่ตัวเองสร้างขึ้นมา และประชาชนกำลังรออยู่ เตะตัดขาตลอดเวลา พรรคภูมิใจไทย ถึงเวลาแล้วที่ต้องพิจารณาอย่างจริงจัง ผมว่าพฤษภาคมนี้ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ผมว่าถอนตัวจากรัฐบาลเลยดีกว่าในการลงคะแนนเสียงไม่ไว้วางใจ

ถ้าวันนี้ไม่พูดถึงพรรคประชาธิปัตย์ ที่ไม่นานคงจะแตก แล้วผมจะเอาเบื้องลึกของปัญหาภายในพรรคประชาธิปัตย์มาพูดให้ท่านผู้ชมฟัง

ท่านผู้ชมคงยอมรับว่าตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา ผมเป็นคนหนึ่งที่วิพากษ์วิจารณ์พรรคการเมืองอย่างพรรคประชาธิปัตย์ อย่างตรงไปตรงมา ไม่ใช่เพราะผมโกรธเกลียดกันเป็นส่วนตัว ผมสนิทสนมกับคนในพรรคประชาธิปัตย์หลายคน อย่างที่ผมเคยเล่าให้ฟังนะครับ บัญญัติ บรรทัดฐาน คุณพ่อของเขาก็รู้จักคุณพ่อผมดี หลายๆ คนที่อยู่พรรคประชาธิปัตย์ รักใคร่กันดี ไตรรงค์ สุวรรณคีรี กับผมก็รักใคร่กันดี แต่ผมบังเอิญเป็นคนที่รู้สันดานคนพรรคประชาธิปัตย์ พรรคเก่าแก่นี้ อย่างรู้ถึงไส้ถึงพุงที่สุดคนหนึ่ง เรียกว่ารู้ขี้รู้ไส้คงไม่ผิดนัก และผมยืนยันได้เลยว่า ประเทศไทยทุกวันนี้ฉิบหายถึงวันนี้ ส่วนสำคัญส่วนหนึ่งก็คือพรรคประชาธิปัตย์นั่นเอง ท่านผู้ชมตามผมมาดีกว่า




19 มีนาคม ที่ผ่านมา ไม่กี่วันนี้เอง คุณไตรรงค์ สุวรรณคีรี กล่าวบรรยายพิเศษกับ ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ สรุปง่ายๆ ว่า คุณไตรรงค์ บอกว่า คนที่ลาออกจากพรรคฯ รู้สึกว่ากลุ่มคุณจุรินทร์ นั้น คุณจุรินทร์ เป็นคนใจคับแคบ มีอำนาจแฝงชักใยอยู่เบื้องหลังที่มีอำนาจมากกว่า แต่เป็นสิ่งที่กินใจผมมาก ต้องแก้ไขปัญหาในพรรค ไม่ใช่ลาออกทิ้งพรรคไป คุณไตรรงค์ ยังหาทางประนีประนอมอยู่ แต่ผมจะลำดับเรื่องเหตุการณ์พรรคประชาธิปัตย์ ภายใต้การนำของจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ เฉลิมชัย ศรีอ่อน และนิพนธ์ บุญญามณี เดินทางมาสู่จุดตกต่ำนี้ได้อย่างไร

ท่านผู้ชมครับ ย้อนประวัติศาสตร์นิดหนึ่ง ไม่นานมานี่เอง ไม่กี่ปีนี้เอง ก่อนการเลือกตั้ง 2562 พรรคประชาธิปัตย์มีความเป็นเอกภาพมาก ต่อต้านเผด็จการ คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไล่ลงมาถึงกรรมการบริหารพรรค ประกาศว่าจะไม่สนับสนุนการสืบทอดอำนาจของ คสช. และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หลังจากการพ่ายแพ้อย่างหมดรูปของพรรคประชาธิปัตย์ในการเลือกตั้ง 24 มีนาคม 2562 ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์พ่ายแพ้อย่างหมดรูป สูญพันธุ์ใน กทม. สูญเสียที่นั่งภาคใต้และภาคอื่นๆ เรียกว่าจากพรรคขนาดใหญ่ กลายเป็นพรรคขนาดกลาง เพราะได้เพียง 53 เสียง ลดลงมากว่า 100 เสียง เรื่องการพ่ายแพ้นี้ ทำให้นายอภิสิทธิ์ ต้องลาออก


หลังจากนั้นมีข่าวว่าได้มีคนพรรคประชาธิปัตย์ประสานงานไปทางฝ่ายทหารว่า พรรคประชาธิปัตย์ยินดีสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ ด้วยการแลกตำแหน่ง โดยให้คุณชวน ต้องเป็นประธานสภาฯ ทั้งๆ ที่ตำแหน่งประธานสภาฯ ทหารได้มอบให้นักการเมืองคนอื่นไปแล้ว แต่เมื่อตกลงกันได้ ปชป. ก็มีการเจรจาร่วมกันที่บ้านป่ารอยต่อฯ วันนั้นส่งคุณจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ เฉลิมชัย ศรีอ่อน ไปเจรจาตกลงเข้าร่วมรัฐบาล ซึ่งตอนนั้นแต่ละคนกระโดดกันตัวยาว ไม่จริงๆๆ แต่นี่คือเบื้องหลังจริงๆ

เมื่อมีการเจรจาลงตัวระหว่างทหารกับพรรคประชาธิปัตย์ ก็เลยมีการดันคุณจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ เป็นหัวหน้าพรรค เฉลิมชัย เป็นเลขาฯ พรรค เลือกตั้งในวันที่ 15 พฤษภาคม 2562 ที่โรงแรมมิราเคิลแกรนด์ ท่านผู้ชมจำได้ไหมครับ ตอนนั้นมีการเสนอชื่อ อภิรักษ์ โกษะโยธิน จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค มีแบ็กเป็นฝั่งทหาร และกรณ์ จาติกวณิช แต่หลังจากลงคะแนนเสียง จุรินทร์ ได้รับชัยชนะด้วยคะแนนเสียง 50.5 เปอร์เซ็นต์ รองลงมา คือ พีระพันธุ์ ได้ 37.2 เปอร์เซ็นต์

เมื่อจุรินทร์ ได้ตัดสินใจนำพรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมรัฐบาล ทำให้ผู้บริหารและ ส.ส. ในพรรคแตกเป็นสองสาย คือ สายที่ไม่สนับสนุนทหาร คสช. กับสายที่้เข้ากับรัฐบาล กับทหาร อดีต คสช. สายที่ไม่สนับสนุนทหารก็เริ่มทยอยลาออกไป มีการยุบกลุ่มนิวเดม ซึ่งมีไอติม พริษฐ์ วัชรสินธุ หลานชายของอภิสิทธิ์ เป็นแกนนำ เหลือแต่นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ บุตรชายของนายศุภชัย พานิชภักดิ์ กับพ่อ ที่ยังคงเป็นที่ปรึกษา โดยในยุคนี้แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ประกอบด้วย 3 ประสาน คือ จุรินทร์ เฉลิมชัย และนิพนธ์

ท่านผู้ชมครับ ทั้งสองกลุ่มนี้ขัดแย้งกันหนัก กลุ่มนายจุรินทร์ ทราบดีว่ากลุ่มนายอภิสิทธิ์ ไม่เอาด้วยแน่นอน ก็เลยเตรียมส่งผู้สมัครพรรคฯ ในขณะที่นักการเมืองสายของอภิสิทธิ์ ก็ไม่ได้รับการสนับสนุนให้ลงสมัครในการเลือกตั้ง ทั้งในระดับชาติ และระดับท้องถิ่น ก็เลยมีการทยอยลาออก เหมือนเลือดไหลออกไม่หยุด กลายเป็นพรรคใหม่ ยกตัวอย่างเช่น กรณ์ จาติกวณิช ออกไปตั้งพรรคกล้า หรือที่เข้าไปร่วมกับฝั่งทหาร คือ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค จุรินทร์ ก็พยายามที่จะหาคนใหม่เข้ามาทดแทนตลอดเวลา

ท่านผู้ชมครับ การประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค จะไม่เชิญคนของฝั่งอภิสิทธิ์ เข้าร่วมประชุม ทำให้พวกนี้ออกไปตั้งกลุ่มประสานงานเป็นเอกเทศ ทำให้ความแตกแยกร้าวลึกลงไปเรื่อยๆ ขณะที่ฝั่งคุณชวน ซึ่งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แต่คุณชวน สนับสนุนคุณจุรินทร์ อยู่ และสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ แต่ก็พยายามสร้างภาพว่าตัวเองเป็นนักประชาธิปไตยที่แท้จริง


ล่าสุด 25 มีนาคม 2565 ในขณะที่สัญญาณการเลือกตั้งมาชัดเจน จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ กับเฉลิมชัย ศรีอ่อน จัดงานเลี้ยงใหญ่เพื่อแสดงกำลังและระดมทุน ชื่อ "Go Together, Go Further ไปด้วยกัน ไปได้ไกล" ที่โรงแรมเซ็นทรัลลาดพร้าว บีบีซีฮอล์ แกรนด์บอลรูม ในงานนั้นตั้งเป้าไว้ว่าจะระดมเงินประมาณ 210 ล้านบาท เดิมทีตั้งไว้ว่าระดมแค่ 160-180 ได้เงินเข้ามาตั้ง 210 ล้านบาท อ๋อ ทั้งหัวหน้าพรรค เลขาฯ พรรค คนหนึ่งก็เป็นรัฐมนตรีฯ พาณิชย์ อีกคนคือรัฐมนตรีฯ เกษตรฯ ต้องมีคนสนับสนุนอย่างมากมายจริงๆ งานนี้มีการทำป้ายพรีเซนเตอร์ อดีตหัวหน้าพรรค หัวหน้าพรรคในปัจจุบัน พร้อมเลขาธิการพรรค แต่แทบไม่มีภาพของนายอภิสิทธิ์ เลย มีก็เล็กมาก

ท่านผู้ชมครับ การเมืองไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร อภิสิทธิ์ เฉลิมชัย จุรินทร์ คือรอยร้าวของแก้วใบนี้ที่แตกไปแล้ว อภิสิทธิ์ ไม่ต้องการทหารเข้ามานำ จุรินทร์ กับเฉลิมชัย เข้าไปซบทหารเพื่อหวังตำแหน่งและผลประโยชน์ เลียน้ำลายที่ตัวเองเคยต่อสู้กับเผด็จการมา

ท่านผู้ชมครับ ประเด็นท่านผู้ชมชอบหรือไม่ชอบพรรคประชาธิปัตย์ ไม่สำคัญ ประเด็นคือ ถ้าท่านผู้ชมเจอพรรคที่ตระบัดสัตย์ กลับกลอก ปากพูดอย่างหนึ่ง หิวแสง แต่พอจำเป็นต้องมีผลประโยชน์ ก็กลับกลอกพูดอีกแบบหนึ่ง ท่านผู้ชมคิดว่าพรรคแบบนี้สมควรที่จะเป็นพรรคในหัวใจท่านหรือเปล่า

ท่านผู้ชมครับ เดือนเมษายน ผมขอเกริ่นเรื่องเด็ดๆ ที่เตรียมการเอาไว้ จะได้มาเรียบเรียงบอกเล่าให้ท่านผู้ชมได้เข้าใจแบบถ่องแท้ เรื่องแรก ผมจะพูดเป็นครั้งแรก และท่านผู้ชมจะไม่เคยฟังจากที่ไหนเลย การจัดระเบียบโลกที่กำลังเปลี่ยนไป ระเบียบโลกซึ่งแต่ก่อนอเมริกาเป็นเจ้า และมีอังกฤษเป็นหมารับใช้ ออสเตรเลียเป็นแกงการูหรือเป็นโคอาล่าที่คอยเข้ามาเอาอกเอาใจ แคนาดา และนิวซีแลนด์ ผมจะอธิบายให้ฟังว่าระเบียบโลกมันเริ่มเปลี่ยนแล้ว ท่านผู้ชมฟังแล้วจะเห็นภาพชัดเจนว่านี่คือเหตุผลว่าทำไมอเมริกา อังกฤษ ถึงหลังชนฝา ดิ้นรน

เรื่องที่สองคือ ผมจะวิเคราะห์การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ที่จะมีขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 22 พฤษภาคม 2565 ผมจะพูด 3 ครั้ง ครั้งแรกผมจะพูดว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ผู้สมัครแต่ละคนเป็นอย่างไร และผมจะวิเคราะห์ฐานเสียงใน กทม. เป็นอย่างไรบ้าง ครั้งที่สอง ผมจะเอาคน 2 คน มาเปรียบเทียบดู คนหนึ่งคือ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง อีกคนหนึ่งคือ รสนา โตสิตระกูล

คุณรสนา ที่ผมจะพูดเพราะคุณรสนา อยู่อันดับบ๊วย อันดับ 8 คุณอัศวิน ผมจะพูด ผมมีเรื่องจะพูดถึงคุณอัศวิน ใจเย็นๆ พูดแน่นอน ท่านผู้ชมฟังแล้วอาจจะเปลี่ยนความคิดเห็นหลายอย่าง แล้วผมจะพูดถึงบรรดาพี่น้องชาวมุสลิม โดยที่ผู้นำมุสลิมไปปรากฏตัวบนเวทีคุณอัศวิน ขวัญเมือง และผมจะพูดถึงชาวมุสลิมที่อยู่ในกรุงเทพมหานคร

เรื่องสุดท้ายที่ผมกำลังเตรียมข้อมูลอยู่ และสนุกแน่นอน เป็นเบื้องหน้าเบื้องหลังของคริปโทเคอเรนซี บิทคอยน์ ภาพลวงตา นักสร้างภาพ พ่อค้าหัวใสหลายๆ คน สร้างขึ้นมาเพื่อล่อลวงประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งล่อลวงคนรุ่นใหม่และผู้คน ใจเย็นๆ ครับ เรื่องบิทคอยน์ บิทคัพ จะเป็นเรื่องใหญ่ ท่านผู้ชมครับ ตั้งใจดีๆ นี่ผมทำหน้าที่เหมือน Netflix นะ ทุกๆ ต้นเดือนจะบอกว่าเดือนนี้จะมีอะไรบ้าง ท่านผู้ชม แล้วเราค่อยเจอกัน สวัสดีครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น