xs
xsm
sm
md
lg

[คำต่อคำ] SONDHITALK : ทางออก วิกฤตยูเครน - "แตงโม" อุบัติเหตุ หรือ ฆาตกรรม?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



วันที่ 4 มี.ค.65 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ไลฟ์สด “SONDHI TALK” ทางแอปพลิเคชัน Sondhi App เฟซบุ๊กแฟนเพจ คุยทุกเรื่องกับสนธิ และช่องยูทูป Sondhitalk โดยประเด็นที่ได้เล่าในวันนี้ เริ่มจากเรื่อง "แตงโม" อุบัติเหตุ หรือ ฆาตกรรม?
-สงครามในยูเครนปะทุขึ้นแล้ว หากดูตามหน้าสื่อตะวันตก และสื่อไทย นายวลาดิเมียร์ ปูติน ก็กลายเป็น “ผู้ร้าย” ถูกวาดภาพให้กลายเป็น อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ อดีตผู้นำเผด็จการของเยอรมนี ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว เป็นเรื่องตรงกันข้าม มาทำความรู้จัก และเข้าใจคนที่ชื่อ “วลาดิเมียร์ ปูติน” ว่าเขาเป็นคนอย่างไรกันแน่
-โครงการฟอกไตฟรี นโยบายดีที่ต้องสนับสนุน
- เปิดหลักฐานอเมริกาใช้ไทยเป็นฐาน อ้าง NGO ส่งทหารรบพิเศษข้ามจากฝั่งไทยเพื่อไปฝึกกับฝ่ายกบฏของรัฐบาลพม่า และ
- ชำแหละให้ถึงแก่น ทำไมละครไทยถึงไม่มีคนดู เปรียบเทียบระหว่างละครไทยกับซีรีส์เกาหลีที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก



SONDHITALK : ทางออก วิกฤตยูเครน - "แตงโม" อุบัติเหตุ หรือ ฆาตกรรม?

ช่องทางการรับชมรับฟัง "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" หรือ SONDHI TALK
แอปพลิเคชัน : SONDHI APP
ระบบ iOS ดาวโหลดได้ที่ AppStore : https://apps.apple.com/th/app/sondhi-app/id1588046647.
ระบบ Android ดาวโหลดได้ที่ Google Play : https://play.google.com/store/apps/details?id=com.sondhitalk.asia.android
เฟซบุ๊กแฟนเพจ :คุยทุกเรื่องกับสนธิ
YouTube :Sondhitalk
เว็บไซต์ :www.sondhitalk.com
Podcast หรือ podbean : SONDHI TALK

สวัสดีครับท่านผู้ชม วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2565 ก่อนจะเข้าสู่รายการ ขออนุญาต เมื่อสัปดาห์ก่อนผมพูดถึงร้านขนมปังญี่ปุ่นโชกุปัง ชื่อ SUN PAN ของคุณอิ่ง เจ้าของร้าน ที่ผมไปทานมา แฟนๆ ตามไปอุดหนุนเยอะมาก จนของหมดทั้งร้าน บางคนมาที่ร้านไม่มีของที่อยากจะได้ คุณอิ่ง เจ้าของร้าน ก็เลยแจ้งมาว่า ช่วงนี้อบขนมปังสดใหม่ มีสินค้าเข้าเติมทุกวัน เพื่อเป็นการขออภัยสำหรับลูกค้าจากแฟนเพจ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ตอนเก็บเงินถ้าแจ้งเคานต์เตอร์ว่าเป็นแฟนเพจ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" จะได้ลด 10 เปอร์เซ็นต์ ทันที คุณอิ่งเสนอมา เพราะว่าเป็นการชดเชยที่เมื่อเข้ามาที่ร้านแล้วของไม่มี ของหมด ลด 10 เปอร์เซ็นต์ นั้นมีเฉพาะศุกร์ เสาร์ อาทิตย์เท่านั้นนะครับ


สำหรับ "ยาลม ๓๐๐ จำพวก" ของอาจารย์ปานเทพ ที่คงค้างพรีออร์เดอร์ ตอนนี้ส่งไปให้หมดแล้ว และตอนนี้ก็มีของเหลือแล้ว ถ้าใครอยากจะได้โดยที่ไม่ต้องรอ ของมาเพียงพอสำหรับคนที่สั่งแล้ว ก็ได้ทันทีเลย สนใจก็เข้ามาทาง inbox ของเพจนี้เลยครับ

ในส่วนของ QUERCETIN C PLUS ZINC ของสมุนไพรบ้านพระอาทิตย์ ที่ผมแนะนำไป ตอนนี้ของก็เข้ามาแล้วเช่นกัน เพราะหมดไปแล้ว ใครสนใจ สั่งซื้อได้ผ่านทาง Shopee, Lazada

ท่านผู้ชมครับ อาทิตย์นี้จะมีหลายเรื่อง แน่นอนที่สุด ก็คงจะเป็นเรื่องของการจากไปของดาราสาว แตงโม นิดา และโครงการฟอกไตฟรี นโยบายดีที่ต้องสนับสนุน เรื่องที่สาม ก็คือ เปิดหลักฐานอเมริกาใช้ไทยเป็นฐาน อ้าง NGO ส่งทหารรบพิเศษข้ามจากฝั่งไทยเพื่อไปฝึกกับฝ่ายกบฏของรัฐบาลพม่า และเรื่องที่สำคัญที่สุดเรื่องหนึ่งก็คือ รากเหง้าทางออกของวิกฤตยูเครน ที่ท่านผู้ชมจะไม่เคยฟังมาจากที่ไหนมาก่อน อดทนฟังเรื่องนี้แล้วรับรองว่าจบประวัติศาสตร์ จบภูมิรัฐศาสตร์ในเรื่องรัสเซีย-ยูเครน และนาโต โดยที่ไม่ต้องไปเรียนคณะรัฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยใดทั้งสิ้น

เรื่องสุดท้าย เป็นเรื่องที่หลายท่านคงนึกไม่ถึง ผมมาชำแหละให้ถึงแก่นว่าทำไมละครไทยถึงไม่มีคนดู และผมจะเปรียบเทียบให้ดูระหว่างละครไทย กับซีรีส์เกาหลี ว่ามันเป็นอย่างไร


ท่านผู้ชมครับ นาทีนี้ เรื่องราวที่ฮอตที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องของการเสียชีวิตของแตงโม หรือ นิดา พัชรวีระพงษ์ หรือชื่อเดิม คือ ภัทรธิดา อายุ 37 ปี ผมคงไม่เล่ารายละเอียดให้ฟังก็แล้วกัน เพราะเรื่องนี้มีคนเล่ารายละเอียดกันเยอะแยะไปหมด เหมือนอย่างการ์ตูนของบัญชา คามิน ให้เห็นเลยว่า อีกด้านหนึ่งของโลกเขากำลังรบกันจะเป็นจะตาย แต่ประชาชนคนไทยไม่สนใจ กลับหันมาสนใจเรื่องแตงโม ว่าใครอยู่เบื้องหน้าเบื้องหลัง


เรื่องใครอยู่เบื้องหน้าเบื้องหลังนั้น ผมก็ตั้งข้อสังเกตง่ายๆ ดีกว่า แล้วเดี๋ยวผมค่อยเล่าให้ฟังว่าทำไมผมถึงพูดเรื่องแตงโม

คือผมคิดว่าคนที่อยู่ในเรือลำนั้นทุกคนมีส่วนผิดหมด เพราะว่าทั้งคนขับเรือ และคนที่ร่วมอยู่ในเรือนั้น เป็นมูลเหตุทำให้แตงโม นิดา นั้นต้องเสียชีวิต อันนี้ทุกคนต้องโดนโทษอย่างแน่นอนที่สุด ส่วนจะโดนมาก โดนน้อย ว่าจริงๆ แล้วเรื่องการที่แตงโมเสียชีวิต จากข้ออ้างว่าไปปัสสาวะท้ายเรือ โดยที่ใส่ชุดบอดี้สูทนั้น ซึ่งหลายต่อหลายคนก็บอกว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่ที่แน่ๆ ผมต้องขอชมเชยบรรดานักสืบโซเชียลทั้งหลาย ไม่ใช่ธรรมดาเลยท่านผู้ชม พยายามเอาข้อมูลข้อเท็จจริง ค้นหาข้อบกพร่อง จุดอ่อนต่างๆ ที่พยานแต่ละคนพยายามจะพูดให้ฟังว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างนี้ๆ ไม่น่าจะใช่ ร่างกายของผู้ชายบางคนยังมีแผลอยู่ตรงโน้นตรงนี้ มีการสั่งลบคลิปออกไป ตลอดจนมีข่าว "ปักหมุดข่าว" ของคุณนพรัฐ พรวนสุข ก็ออกมาชี้แจงว่า มีผู้ยิ่งใหญ่ที่ จ.นนทบุรี คนหนึ่งซึ่งสนิทสนมกับท่านผู้การจังหวัดนนทบุรี พยายามที่จะออกมาเพื่อที่จะช่วยเหลือคนที่ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนทำให้ แตงโม นิดา พัชรวีระพงษ์ เสียชีวิต ก็ว่ากันไปท่านผู้ชมครับ แต่อย่างไรก็ตาม ถึงที่สุดแล้ว ผมคิดว่าผมก็ยังเชื่อว่าตำรวจคงไม่เป่าคดีง่ายๆ หรอก ถ้าสมมุติว่าพิสูจน์ได้ชัดเจนว่ามีส่วนอะไรเกี่ยวข้องหรือไม่


แต่ผมจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับ "แตงโม" ให้ฟังอีกมิติหนึ่ง ท่านผู้ชมคงไม่รู้ว่าผมรู้จักกับแตงโม และคุณพ่อของแตงโม คุณโสภณ ตั้งแต่แตงโมยังเป็นเด็กเลย

คุณโสภณ พัชรวีระพงษ์ เป็นคนภูเก็ต มารดาของแตงโม ชื่อ ภนิดา ศิระยุทธโยธิน เป็นชาว จ.ลพบุรี สามี-ภรรยาคู่นี้หย่ากันเมื่อแตงโมอายุได้ 3 ขวบ แล้วแตงโมก็อยู่กับพ่อมาตั้งแต่ 3 ขวบ ผมเห็นแตงโมตั้งแต่ตัวน้อยๆ สมัยยังเป็นผู้ช่วยผู้จัดการโรงพิมพ์ตะวันออก ซึ่งสมัยก่อนเป็นของผม ตอนนี้ก็ผ่องถ่ายไปอยู่ในมือของคนอื่นแล้ว อยู่ในมือของคุณยุทธ ชินสุภัคกุล ซึ่งเป็นเพื่อนอัสสัมชัญศรีราชา รุ่นเดียวกับผม แล้วหุ้นส่วนใหญ่ของโรงพิมพ์ตะวันออก คือ คุณฉาย บุนนาค ซึ่งปัจจุบันโรงพิมพ์ตะวันออก ได้เบนธุรกิจหลักจากการเป็นโรงพิมพ์ กลายเป็นบริษัทพลังงานไปแล้ว โดยมีงานพิมพ์เป็นส่วนประกอบเล็กๆ น้อยๆ


โสภณ พัชรวีระพงษ์ ที่ผมรู้จักนั้น เป็นผู้ช่วยผู้จัดการโรงพิมพ์ตะวันออก ผมจำได้ว่าเขาเคยพาลูกเขามาที่โรงพิมพ์ แล้วก็มาสวัสดีผม

แตงโม ที่ผมเคยรู้จักตั้งแต่เด็กนั้น เป็นคนที่มีความคิดเป็นอิสระ และนิสัยค่อนข้างสุดโต่ง สุดโต่งก็คือว่า ถ้าเชื่ออะไรก็เชื่อ ถ้ารักใครก็รักแบบบ้าคลั่ง ก็ไปดูระหว่างแตงโม กับความรักของแตงโม กับโตโน่ ก็แล้วกัน ว่าระหว่างที่โตโน่ เลิกกับแตงโม นั้น แตงโมถึงกับพยายามฆ่าตัวตายด้วยการทานยานอนหลับ ซึ่งนี่ก็พิสูจน์ชัดเจน


ที่สำคัญที่สุด แตงโมเป็นคนที่รักพ่อมาก คุณโสภณ พัชรวีระพงษ์ นั้น เป็นคนที่แตงโมเทิดทูน รัก และทำทุกอย่างให้พ่อมีความสุข จากการที่พ่อไม่มีบ้านอยู่ แตงโมตอนนั้นเป็นคนที่มีชื่อเสียงโด่งดัง และเป็นคนที่อยู่ในวงการบันเทิง เป็นที่ต้องการในแวดวงการบันเทิงไม่ใช่น้อย เพราะฉะนั้นแตงโมก็เลยมีงานเข้ามาอย่างชนิดที่เรียกว่าไม่มีวันหยุดเลย เช้า สาย บ่าย เย็น กลางคืน แตงโมก็ต้องไปถ่ายละคร หรือไปออกงานต่างๆ ด้วยเหตุนี้แตงโมถึงลงทุนซื้อบ้านสองหลัง หลังหนึ่งเป็นของเธอเอง และอีกหลังหนึ่ง ให้พ่อ โดยที่คาดคะเนว่ารายได้ที่เธอมีอยู่นั้นน่าจะผ่อนบ้านสองหลังนั้นได้สบายๆ แต่คนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิต จุดแรกที่แตงโมค่อนข้างจะเสียทรง หรือเป๋ไป ก็คือเรื่องการเลิกกันระหว่างโตโน่ กับแตงโม


ตั้งแต่แตงโมรับประทานยาเกินขนาดเพื่อตั้งใจจะฆ่าตัวตาย ประกอบกับตอนหลัง แตงโมขับรถไปทำงานและรถคว่ำ เกิดอุบัติเหตุ ทำให้เธอเสียโฉม เธอต้องทำศัลยกรรมหน้า เรียกว่า โม่หน้าทั้งหมด โม่ร่างกายทั้งหมด เพื่อให้กลับไปสู่สภาพเดิมให้ได้ ซึ่งใช้เวลาตั้งปีกว่า กว่าเธอจะได้ฟื้นฟูขึ้นมา


จากวันนั้น ถึงวันที่เธอเริ่มหายดีขึ้นมา งานการที่เคยมีก็เริ่มหมดไป อีกประการหนึ่ง การที่เธอเป็นคนที่รักใครก็รักจริง และอีกอย่างหนึ่ง เธอก็เริ่มเข้าไปนับถือศาสนาคริสต์ นิกายคริสเตียน ที่ทำให้เธอค่อนข้างจะเทิดทูน และลุ่มหลง หลงใหลกับพระผู้เป็นเจ้าอย่างชนิดไม่ลืมหูลืมตา ก็คือพูดง่ายๆ ว่า เธอเชื่อในพระผู้เป็นเจ้าในศาสนาคริสเตียนของเธออย่างมาก ก็เลยทำให้คนหลายๆ คนเริ่มห่างเหินจากเธอ และอีกประการหนึ่ง ความที่เธอห่างออกจากวงการมาพอสมควร ทำให้งานเธอลดน้อยลง


สิ่งที่ทำให้เธอเจ็บปวดอย่างมากก็คือ วันที่พ่อของเธอเสียชีวิต คือ โสภณ พัชรวีระพงษ์ หลังจากที่เป็นมะเร็งมานานแล้ว เพราะว่าพ่อคือหัวใจของแตงโม เมื่อพ่อเสียชีวิตลงแล้ว แตงโมเหมือนคนที่เสียรูปเสียทรงเลย ไปไม่ถูก หลงทางไปเลยตอนนั้น เพราะฉะนั้นแล้ว งานนี้ก็เลยเป็นที่เข้าใจได้


แตงโมที่ผมรู้จักตั้งแต่สมัยเด็กนั้น เป็นคนไม่ชอบเรียนหนังสือ เธออายุ 37 เธอเพิ่งจะเรียนจบปริญญาตรีจาก ม.รังสิต และกำลังจะเรียนจบปริญญาโท ที่ ม.รังสิต เช่นกัน ก็แสดงว่าเธอเพิ่งจะมาเรียนหนังสือจริงๆ เมื่อตอนอายุมากแล้ว ระดับปริญญาตรี อย่างน้อยที่สุดเธอก็ได้ปริญญาตรีมา


ผมเคยถามโสภณ ว่า ทำไมไม่ให้ลูกสาวเรียนหนังสือ เพราะว่าตอนนั้นแตงโมยังเรียนหนังสืออยู่แค่จบ ม.ปลาย เท่านั้นเอง แต่ว่าแตงโมเป็นคนซึ่งอาร์ติสต์มาก และต้องการที่จะมุ่งมั่นที่จะเดินหน้าต่อ สานฝันในสิ่งที่เธอชอบ โดยเธอไม่สนใจว่าพื้นฐานการศึกษานั้นสำคัญหรือไม่สำคัญ ก็เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงสำหรับแตงโม และเข้าใจได้ดี เพราะว่าตอนที่เธอต้องเป็นลูกที่มีพ่อเลี้ยงเดี่ยว ส่วนแม่ก็สมรสใหม่เช่นกันกับนักการทูตไทยที่ประจำอยู่สวิตเซอร์แลนด์ แต่ก็ยังไปมาหาสู่เธออยู่เป็นระยะๆ เช่นกัน

แตงโมเรียนจบประถมศึกษาที่โรงเรียนคริสต์ธรรมศึกษา ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น เธอจบที่โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยรามคำแหง มัธยมศึกษาตอนปลาย เธอจบที่โรงเรียนเพ็ญสมิทธ์ จบผู้ช่วยพยาบาล บางกอก เอ็นเอ เมืองทองธานี จบการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาวิชาผู้นำทางสังคม ธุรกิจการเมือง วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม โดยเข้ารับประสาทปริญญา เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2565 ที่ผ่านมาหนึ่งเดือนกว่าๆ ก่อนที่เธอจะเสียชีวิต


แตงโม เข้ามาสู่วงการบันเทิงตั้งแต่จบ ม.1 เป็นคนที่น่ารัก สวย รูปร่างดี เป็นคนที่เข้าประกวดมิสทีนไทยแลนด์ ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 4 แล้วเธอก็ไปสมัครเล่นละครที่ช่อง 7 เธออยู่ช่อง 7 มา 11 ปี แล้วขอเลิกจากช่อง 7 ให้มาเป็นนักแสดงอิสระ แตงโมจะมีความล้มเหลวในชีวิตในเรื่องความรักหลายๆ ครั้ง


ส่วนแตงโมปัจจุบัน ก่อนที่จะเสียชีวิตนั้น คบหากับคนที่ชื่อเบิร์ด แฟนหนุ่มนอกวงการ แตงโมได้ฉายาว่าเป็นแมวเก้าชีวิต เพราะเธอผ่านเหตุการณ์ต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคมาหลายครั้ง แต่ด้วยหัวใจนักสู้ ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา ทำให้เธอลุกขึ้นมายืนได้

เมื่อประมาณ 2550 สิบห้าปีที่แล้ว แตงโมเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ ระหว่างขับรถกลับบ้านจากงานถ่ายละคร เธอขับรถโฟลก์สวาเกน เปิดประทุน บนทางด่วนด้วยความเร็วสูง ไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัย เกิดการหลับใน หักหลบรถ จนรถพลิกคว่ำ หลังจากนั้นแตงโมเสียทรงไปมาก ตั้งแต่เธอประสบอุบัติเหตุ ทำศัลยกรรมครั้งใหญ่ เธอต้องเผชิญกับโรคซึมเศร้า และอยู่ในความดูแลของหมอ ทานยามาตลอดสิบปี เพราะฉะนั้นแล้ว จะเห็นได้ชัดว่าสิบปีที่ผ่านมา ที่เธอต้องอยู่ภายใต้การดูแลของหมอ เป็นโรคซึมเศร้านั้น เธอแทบไม่มีงานเลย ภาระของเธอที่มีในเรื่องของการผ่อนบ้านของพ่อและของแตงโมเอง มันเป็นภาระที่หนักหนาสาหัสมาก ลำพังถ้ามีงานให้ทำเป็นประจำ แล้วมีรายได้ ก็ไม่เป็นไร แต่นี่สิบปีแทบจะไม่มีงานเลย


กันยายน 2563 คุณพ่อโสภณ เสียชีวิตไปด้วยโรคมะเร็ง ก็สร้างความเสียใจให้กับเธอมาก เพราะฉะนั้น ในช่วงหลังแตงโมพยายามจะดิ้นรนทุกอย่าง หลังจากพ่อก็เสียชีวิตไปแล้ว เป็นโรคซึมเศร้ามาสิบปี งานก็ไม่มี รายได้ขาด ก็เลยมีคนที่ชื่อ "กระติก" ที่เป็นผู้จัดการส่วนตัว ซึ่งผมก็ไม่อยากจะก้าวล่วงอะไรไปในเรื่องราวที่หมิ่นประมาทว่า กระติกพาแตงโมไปพบใครบ้าง แต่ผมก็ไม่ประหลาดใจ ถ้ากระติกเป็นคนที่ทำเช่นนั้น

ผมเคยคุยกับโสภณมานานแล้ว สมัยที่ลูกสาวยังเป็นสาววัยรุ่นอยู่ เรียนมัธยมอยู่ที่สาธิตฯ รามคำแหง ผมก็ถามเขาตรงๆ ว่า จะดีเหรอ ให้ลูกสาวเน้นไปในเรื่องการที่จะเป็นคนที่อยู่ในวงการละคร โดยไม่ให้ความสนใจในเรื่องของพื้นฐานการศึกษาเลย โสภณก็บอกว่า เจ้านาย (เขาเรียกผมว่าเจ้านาย) ผมห้ามเขาไม่ได้ เพราะเขาเชื่อของเขาอย่างนี้ และผมก็รักลูก ผมก็คิดว่าเขามีโอกาส มีศักยภาพ ผมก็เลยจำเป็นต้องสนับสนุนเขาไป


หลายคนบอกว่า เสียดายแตงโม ที่เสียชีวิตไป ผมก็เสียดายเพราะคนเราไม่ควรจะตายในวัยอันยังไม่บังควร แต่บางครั้งการเสียชีวิตของแตงโมครั้งนี้มันเหมือนกับสิ้นสุดความทรมานของแตงโมในหลายๆ เรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ต้องการจะหาประโยชน์จากแตงโม ในภาวะที่แตงโมกำลังเดือดร้อนหลายๆ เรื่อง

ท่านผู้ชมครับ ความเห็นส่วนตัวของผม ผมไม่เชื่อนะครับ คำให้การของพยานที่อยู่ในเรือลำนั้น ไม่ว่าจะเป็นกระติก ไม่ว่าจะเป็นปอ ไม่ว่าจะเป็นโรเบิร์ต หรือใครก็ตาม ผมเชื่อว่ามีการพยายามที่จะพูดคุย พาแตงโมไปบนเรือ โดยการแนะนำของกระติก เสร็จเรียบร้อยแล้วก็ไปกินไวน์กันอย่างเต็มที่ และอาจจะมีการนัดต่อไปขึ้นฝั่ง ส่วนจะไปทำอะไรนั้น ผมไม่สามารถจะสืบได้ และไม่อยู่ในสถานภาพที่จะพูดได้ และคงจะตกลงอะไรกันไม่ได้ หรืออาจจะมีการขืนใจแตงโม หรือฝืนใจ ก็เลยเกิดการผลักกันไปผลักกันมา แล้วทำให้แตงโมตกน้ำลงไป ผมยังเชื่อว่านี่คือ "ฆาตกรรมอำพราง" ครับ ท่านผู้ชม ก็เสียดายชีวิตที่แตงโมเสียไปก่อนวัยอันสมควร จากเด็กเล็กที่ผมเห็นวิ่งเล่นอยู่ที่โรงพิมพ์ตะวันออก และเคารพผมมาก และให้ผมหาทางที่จะสนับสนุนให้เธอมีชื่อเสียงโด่งดังเข้าไปในวงการ วันนี้แตงโมหลุดพ้นไปแล้วจากความขมขื่นในชีวิต ก็ขอให้ดวงวิญญาณของเธอไปสู่สุคตินะครับ

ท่านผู้ชมครับ ท่านผู้ชมมีใครบ้างไหมในครอบครัวที่เป็นโรคไต แล้วต้องมีความจำเป็นในการล้างไตโดยวิธีฟอกเลือด ถ้าไม่มีก็ถือว่าโชคดีไป แต่ถ้ามี แล้วฐานะทางบ้านของท่านผู้ชมยังไม่ดีพอ หรือคนที่อยู่ในระดับชนชั้นกลาง ที่จะต้องฟอกไต ล้างไตด้วยการฟอกเลือดนั้น ท่านผู้ชมคงรู้ใช่ไหมว่าค่าใช้จ่ายมันตกเท่าไร ?


ผมยังจำได้ดีเลย สมัยก่อน พี่ลอง คือ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง เคยทำคลินิกมูลนิธิพลตรีจำลอง ศรีเมือง ช่วยเหลือผู้ป่วยที่เป็นโรคไต มีความจำเป็นต้องล้างไตด้วยวิธีฟอกเลือด พล.ต.จำลอง นั้นสร้างมูลนิธิขึ้นมาเพื่อที่จะดำเนินการฟอกไต ให้ประชาชนเข้าถึงบริการได้ในราคาที่ถูกลง บางครั้งก็ฟรีเสียด้วยซ้ำ และมูลนิธิของ พล.ต.จำลอง นั้น มีเครื่องฟอกไตมากที่สุดในประเทศไทย ทำโดยไม่แสวงหากำไร ทำให้ราคาฟอกไตต่อครั้งลดลงจาก 2,000-4,000 บาท เหลือแค่ 800 บาท ลดมหาศาล ล่าสุด ลดเหลือแค่ 600 บาท นอกจากนั้น ยังมีกองทุนสนับสนุนการฟอกไตฟรีสำหรับคนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์

ท่านผู้ชมครับ เรื่องผู้ป่วยไตที่มีอาการไตวาย บางคนเป็นผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย ต้องฟอกเลือดอยู่เป็นประจำ สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ใช้เวลาครั้งละ 4-5 ชั่วโมง คำนวณง่ายๆ ท่านผู้ชมครับ สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง เดือนหนึ่งต้องฟอก 8-12 ครั้ง เสียค่าใช้จ่ายเฉลี่ยครั้งละ 2,500 บาท เดือนๆ หนึ่งต้องเสียเงินค่าฟอกไตถึง 20,000-30,000 บาท ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายในการเดินทางและอื่นๆ อีก ท่านผู้ชมครับ เงินทองขณะนี้ถือว่าเป็นภาระทางครอบครัว เสียเวลาและค่าใช้จ่ายอย่างมาก เรียกได้ว่า ทุกข์หนัก ทุกข์แสนสาหัส สำหรับผู้ป่วยที่เป็นไตวายเรื้อรังและครอบครัวอย่างแท้จริง


ท่านผู้ชมครับ เมื่อล่าสุด ต้นปีที่ผ่านมา เมื่อกุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ผมได้รับทราบข่าวมาว่า กระทรวงสาธารณสุข โดยคุณอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้ผลักดันให้มีการเดินหน้าโครงการ "เพิ่มทางเลือกให้ผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง" เลือกวิธีฟอกไตได้ฟรีโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เขาเริ่มไปแล้วตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ ถัดไปจากมูลนิธิของพี่ลอง หรือ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ที่ช่วยเหลือผู้ป่วยโรคไตวายอย่างจริงจัง ซึ่งถือว่าเป็นการทำบุญใหญ่ ได้กุศลมาก เพราะผู้ช่วยเหลือได้ช่วยเหลือผู้คนจำนวนมาก

ผมเพิ่งจะเห็นรายการของคุณอนุทิน ชาญวีรกูล ที่เป็นคนปากหมาในหลายๆ เรื่อง พูดจาไม่มีหูรูด ผมก็เลยนึกในใจว่าคนปากหมาแบบนี้ก็ยังทำงานใหญ่เป็น และทำประโยชน์ให้กับสังคมเป็น ขอประทานโทษท่านรองฯ อนุทิน นี่คือข้อเท็จจริงจากการที่ท่านเคยเบรกแตกมาหลายเรื่อง แต่พอมาเห็นโครงการฟอกไตฟรีให้กับประชาชนแล้ว ผมคิดว่าผมให้อภัยเรื่องความปากหมาของท่านได้ เพราะว่ามันผ่อนหนักเป็นเบาให้กับชาวบ้านจำนวนเป็นหมื่นๆ คนได้

เมื่อก่อนหน้านี้ ก่อนที่ผมจะออกรายการนี้ มีคนส่งคลิปเรื่องราวเกี่ยวกับเรื่องนี้มาให้ผมดู ผมได้ดูแล้วคิดว่าอยากให้ท่านผู้ชมได้ชมบ้าง ผมติดต่อไปกับผู้ผลิตคลิปแล้ว อยากนำมาเปิดในรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ให้ท่านผู้ชมได้รับรู้รับทราบไว้ เรื่องราวเป็นอย่างไร ไปลองชมดูกันครับ



ท่านผู้ชมครับ ช่วงปีกว่าๆ หลังจากเกิดการรัฐประหารในพม่า เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 ผมทยอยนำเรื่องราวต่างๆ ความคืบหน้า เรื่องเบื้องหน้าเบื้องลึกเบื้องหลังของเหตุการณ์ในพม่าที่เกี่ยวพันกับชนกลุ่มน้อย เกี่ยวพันกับประเทศไทย กับภูมิภาคอาเซียน และเชื่อมโยงกับการเมืองโลก ในภาพใหญ่มาอย่างต่อเนื่อง หลายต่อหลายตอน ไม่ว่าจะเป็น "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ตอนที่ 71 "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ตอนที่ 111 กุมภาพันธ์ 2564 ในภาพรวมของการเมืองระดับภูมิภาค ระดับโลก ผมได้หยิบหลักฐานให้ท่านผู้ชมได้เห็นมาอย่างต่อเนื่องแล้วว่า จริงๆ แล้วสถานการณ์ในพม่าก็ไม่ต่างกว่าสถานการณ์ในยูเครน ล้วนแล้วแต่เป็นหมาก เบี้ย ที่มหาอำนาจทางตะวันตก คืออเมริกา และยุโรป ใช้สัประยุทธ์กับมหาอำนาจทางฝั่งตะวันออก ก็คือ จีน กับรัสเซีย


ทั้งนี้ ทั้งพม่า และไทย อยู่ในจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญมากในการปิดล้อมจีนของอเมริกา โดยขณะที่เกิดความขัดแย้ง เกิดสงครามระหว่างรัฐบาลทหารพม่า กับกองทัพชนกลุ่มน้อย เกิดการประหัตประหารกันระหว่างรัฐบาลทหารกับประชาชนที่ลุกขึ้นมาจับอาวุธขึ้นสู้ ก่อวินาศกรรมต่างๆ

ท่านผู้ชมครับ ทั้งนี้ทั้งนั้น ปัจจุบันช่องทางในการแทรกแซงพม่านั้น เหลืออยู่ช่องทางเดียว คือประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสบียง อุปกรณ์ อาวุธยุทโธปกรณ์ รวมไปถึงบุคลากร เข้าไปดำเนินการปฏิบัติการต่างๆ ในพม่า ท่านผู้ชมทั้งหลายที่นั่งอยู่หน้าจออาจจะไม่เชื่อในสิ่งที่ผมพูด หาว่าผมเอาภาพเก่าๆ เอารูปเดิมมาใส่ร้ายอเมริกาว่าส่งทหารเข้าไปแทรกแซงในพม่า

ในรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ตอนที่ 111 วันศุกร์ที่ 12 พฤศจิกายน 2564 ตอน "ใครอยู่เบื้องหลังความวุ่นวายในพม่า" ผมเอาภาพๆ หนึ่งในพื้นที่กะเหรี่ยงมาให้ดู


ท่านผู้ชมดูในภาพครับ คนนั่งทางขวามือคือ พล.ท.บอจอแฮ รอง ผบ.กองทัพปลดปล่อยแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNLA) ผู้สูงอายุที่นั่งทางซ้าย เป็น ผบ.KNLA 5 ที่กำลังรบหนักอยู่ตรงข้ามชายแดน จ.แม่ฮ่องสอน ส่วนฝรั่งอีกสองคน ไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่ดูจากไทม์ไลน์ในเฟซบุ๊กแล้ว ได้เข้าไปสู่พื้นที่กะเหรี่ยงมาระยะหนึ่งแล้ว จากแผนภาพ ท่านผู้ชมจะยิ่งเห็นได้ชัดว่า ทางภาคเหนือ กับทางภาคตะวันตกของไทย ถือเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการที่ฝรั่งจะเข้ามาแทรกแซงสถานการณ์ในพม่า เพราะทางภาคเหนือของไทยนั้นติดกับรัฐฉาน และทางภาคตะวันตกนั้นติดกับรัฐกะเหรี่ยง ซึ่งเป็นหนึ่งในสามที่มั่นของฝ่ายซูจี ในการจับมือกับแนวร่วมกลุ่มในการต่อกรกับกองทัพพม่าของมิน อ่อง หล่าย


นอกจากนี้ ยังเป็นที่รับทราบและรับรู้กันแพร่หลายในกลุ่มชาวกะเหรี่ยงและ NGO ที่ทำงานด้านกะเหรี่ยงว่าอเมริกาเป็นผู้สนับสนุนตนอยู่

ล่าสุด สัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อไม่กี่วัน เกิดมีกรณีการแทรกแซงของทหารอเมริกาอีกครั้ง โดยการส่งอดีตนายทหารหน่วยรบพิเศษ ที่เขาเรียกว่า Ranger เข้าไปแทรกแซงในรัฐกะยา ซึ่งอยู่ติดกับประเทศไทย


ตั้งแต่วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2565 ต่อเนื่องหลายวัน จนถึงเมื่อวานนี้ บนทางหลวงหมายเลข 54 ช่วงระหว่างเมืองป๊าย (โมเบีย) ซึ่งอยู่จุดพรมแดนเชื่อมต่อระหว่าง จ.ลอยก่อ รัฐกะยา ไปยังเมืองฝายขุน (แผ่โข่ง) จ.ตองจี รัฐฉาน คลาคล่ำไปด้วยผู้อพยพอีกครั้งหนึ่ง เกือบทั้งหมดเป็นเด็ก สตรี คนชรา ส่วนมากมาจากหมู่บ้านหว่ารีซูไบล ซึ่งหมู่บ้านของพวกเขาเพิ่งถูกเผาจนราบเรียบไปทั้งหมู่บ้าน เนื่องจากกองกำลังผสมที่ประกอบด้วยกลุ่มติดอาวุธฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหารพม่า (PDF) ซึ่งสนธิกำลังจากหลายกลุ่ม ได้เปิดฉากสู้รบอย่างหนักกับทหารกองทัพพม่าในพื้นที่เมืองป๊ายอย่างต่อเนื่อง




ประเด็นอยู่ที่ไหน ? ประเด็นคือ ในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2565 มีการเผยแพร่คลิปวิดีโอ 2 ชิ้น โดยนายเดวิด ยูแบงก์ (David Eubank) ผู้ก่อตั้งและอำนวยการกลุ่ม Free Burma Rangers ซึ่งอ้างว่าเป็น NGO ปฏิบัติภารกิจด้านมนุษยธรรมในพม่า เข้าไปรายงานเหตุการณ์จากพื้นที่ซึ่งกำลังมีการสู้รบกันอย่างหนักในเมืองป๊าย ในคลิปวิดีโอมองเห็นกลุ่มควันที่กำลังเผาไหม้หมู่บ้าน ได้ยินเสียงปืนยิงรัวใส่กันอย่างชัดเจน แล้วเดวิด ยูแบงก์ คือใคร ?


เดวิด ยูแบงก์ เป็นอดีตนายทหารหน่วยรบพิเศษ Ranger ของกองทัพสหรัฐฯ ที่ออกมาตั้งกลุ่ม Free Burma Rangers ขึ้น เพื่อเข้าไปเคลื่อนไหวในพื้นที่ชายแดนไทย-พม่า ทางรัฐกะเหรี่ยง และกะยา โดยการลงพื้นที่ที่เมืองป๊ายเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมานี้ เดวิด ให้เหตุผลว่า เข้าไปปฏิบัติภารกิจเพื่อมนุษยธรรม

ผมเอารูปให้ดูนะครับ อดีตนายทหารหน่วย Ranger กองทัพอเมริกา ผู้ก่อตั้ง Free Burma Rangers เอาล่ะ เรามาดูประวัตินายเดวิด ยูแบงก์ กันหน่อย


นายเดวิด ยูแบงก์ เป็นอดีตทหารหน่วยรบพิเศษ Ranger ของกองทัพอเมริกา ชีวิตในวัยเด็กของเดวิด เติบโตขึ้นในประเทศไทย เพราะต้องติดตามพ่อซึ่งเป็นมิชชันนารีเข้ามาเผยแผ่ศาสนาคริสต์อยู่ตามชนบทและพื้นที่ชายแดนของประเทศไทย หลังปลดประจำการก็ได้องค์กร Free Burma Rangers ขึ้น และส่งอาสาสมัครข้ามชายแดนตะวันตกของไทยเข้าไปเคลื่อนไหวอยู่ในพม่า

ท่านผู้ชมครับ เรามาดูกันว่า NGO ใช้ชื่อ Free Burma Rangers อ้างว่าเป็นองค์กรเอกชนที่ทำเพื่อมนุษยธรรม สรุปแล้วทำเพื่อมนุษยธรรมหรือเปล่า ?


12 มกราคม 2565 เฟซบุ๊ก Free Burma Rangers ได้เผยแพร่ชุดกิจกรรมล่าสุด เป็นภาพของเหล่าผู้ที่สำเร็จการฝึกหลักสูตรผู้นำและการบรรเทาทุกข์ ซึ่งเป็นคนหนุ่มสาวทั้งนั้น เป็นชาวพม่าและชาติพันธุ์ต่างๆ โดย Free Burma Rangers ระบุว่า ผู้ได้เข้ารับการฝึกรุ่นนี้มีจำนวนมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ที่องค์การ NGO ซึ่งมักอ้างภารกิจหลักด้านมนุษยธรรมแห่งนี้เคยฝึกมาก่อน ท่านผู้ชมดูภาพก็แล้วกัน จากภาพที่ปรากฏดูเหมือนเป็นการฝึกรบ ฝึกการใช้อาวุธ และการดำรงชีพในป่า ซึ่งเป็นภารกิจทางทหารมากกว่าภารกิจด้านมนุษยธรรม

ในโพสต์มีรายละเอียดว่า กลุ่มผู้เพิ่งสำเร็จการฝึกเมื่อวันที่ 3 มกราคม 2565 (สองเดือนที่แล้ว) ประกอบด้วย ทหารป่า ทหารป่า Ranger 191 นาย ในนี้เป็นทหารใหม่ 32 ทีม อีก 30 ทีม เป็นผู้เข้ารับการฝึกเพิ่มเติม ทั้งหมดเป็นคนจาก 9 ชาติพันธุ์ ได้แก่ พม่า อารากัน คะฉิ่น กะเหรี่ยง กะเหรี่ยงแดง ปะโอ โปว์ ไทใหญ่ และทวาย หลังเสร็จสิ้นการฝึก คนเหล่านี้จะลงพื้นที่ปฏิบัติภารกิจให้ความช่วยเหลือประชาชนใน 3 จุด ซึ่งกำลังมีการสู้รบกันอย่างหนักกับกองกำลังพม่าอยู่ในขณะนี้

ท่านผู้ชมครับ สรุปแล้วองค์กรเอกชนที่บอกว่าทำเพื่อมนุษยธรรม ก็คือ ตั้งขึ้นมาเพื่อเข้าไปฝึกทหารให้กับชาวพม่าที่ต่อต้านรัฐบาลพม่า แล้วนายเดวิด ยูแบงก์ นั้น จู่ๆ จะควักเงินส่วนตัวเข้าไปช่วยเหรอ ? ไม่ใช่ งานนี้ CIA ของอเมริกา และกระทรวงกลาโหมอเมริกา อยู่เบื้องหลัง

Free Burma Rangers เป็นองค์กรเอกชน ตั้งขึ้นประมาณปี 2550 อ้างภารกิจให้ความช่วยเหลือแก่ผู้คนในพม่าที่ได้รับผลกระทบจากสงคราม โดยเฉพาะกลุ่มชาติพันธุ์ เขาส่งอาสาสมัครไปใช้ชีวิตร่วมกับชาวบ้านในรัฐชาติพันธุ์ เขาเน้นโดยเฉพาะรัฐกะเหรี่ยง และกะยา คือกะเหรี่ยงแดง ซึ่งมีพื้นที่ติดชายแดนตะวันตกของประเทศไทย เป็นระยะทางยาวตั้งแต่ จ.แม่ฮ่องสอน ตาก กาญจนบุรี ราชบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ลงไปจนถึงระนอง


ท่านผู้ชมดูรูปก็แล้วกันนะครับ นี่ไม่ใช่เพื่อมนุษยธรรม นี่คือการฝึกอาวุธ ฝึกกองทัพเลย ท่านผู้ชมครับ กรณีภาพการฝึกซ้อมทหารป่าในพม่าเมื่อเดือนมกราคม 2565 และคลิปสองคลิปข้างต้นของนายเดวิด ยูแบงก์ จาก Free Burma Rangers พยายามสร้างภาพ โดยสื่อว่าเขารออยู่นอกพื้นที่สู้รบเพื่อจะเข้าไปช่วยผู้บาดเจ็บ เป็นหลักฐานที่เห็นได้ชัดว่า ชาติตะวันตก โดยเฉพาะอเมริกา กำลังแทรกแซงการเมืองของพม่า นำคนมาฝึกอาวุธ ว่าดำเนินการผ่านองค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) ที่ปฏิบัติการด้านมนุษยชนจริงๆ แต่จริงๆ แล้วแฝงเร้นด้วยวัตถุประสงค์ เป้าหมายทางการทหาร แต่ประเด็นที่สำคัญที่ต้องพิจารณาวันนี้ คือ นายเดวิด ยูแบงก์ อาศัยอยู่ในประเทศไทย ใน อ.แม่สอด จ.ตาก


ชาวเมืองแม่สอดบอกว่า พบนายเดวิด เสมอ ในตัวเมืองแม่สอด แล้วจู่ๆ นายเดวิด ข้ามพรมแดนไปปรากฏตัวในรัฐกะยา ที่ห่างขึ้นไปจากแม่สอดหลายร้อยกิโลเมตรได้อย่างไร ท่านผู้ชมครับ ใช่หรือเปล่า ? เจ้าหน้าที่รัฐ ตำรวจ ทหาร ตามชายแดนไทย รู้เห็นเป็นใจให้ฝรั่ง อดีตทหารหน่วยรบพิเศษอเมริกา ข้ามไปข้ามมาระหว่างสองประเทศได้ง่าย เหมือนเดินอยู่ในบ้านของตัวเอง ตำรวจครับ ทหารครับ พล.อ.ประยุทธ์ ครับ ตอบคำถามผมเสียทีว่า นี่เป็นหนึ่งในเงื่อนไขข้อตกลงของคุณกับรัฐบาลอเมริกาหรือเปล่า ในการดึงไทยเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก

ท่านผู้ชมครับ นี่คือการชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้าน จะคล้ายๆ กับกรณียูเครนเข้าไปทีละนิดๆ แล้ว และในที่สุดแล้ว ถ้าทหารพม่า ซึ่งผมเชื่อว่าชนะศึกในการปราบปรามฝ่ายกบฏแล้ว รัฐบาลทหารพม่าจะมองประเทศไทยอย่างไร แน่นอนที่สุด เขาต้องมองว่าเราไปยุ่งกับเรื่องของเขา เราใช้ประเทศเราเป็นฐานให้อเมริกาส่งสายลับเข้าไปฝึกการก่อการร้าย ฝึกอาวุธ ฝึกยุทธวิธี แล้วนายเดวิด ยูแบงก์ จู่ๆ เข้าไปฝึกได้อย่างไร ควักเงินส่วนตัวหรือ ? ก็ไม่ใช่ ผมเชื่อว่ายังมีมากกว่านายเดวิด ยูแบงก์ อีกหลายคน อเมริกานั้นก็ใช้พวกทหารที่เกษียณอายุแล้ว หรือลาออกจากการเป็นทหารแล้ว และเอามาจ่ายเงินเดือน ให้ผลตอบแทน เพื่อส่งเข้าไปฝึกพวกทหารกบฏของพม่า และนี่คือความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า อเมริกาใช้ไทยเป็นฐาน อ้าง NGO เพื่อส่งทหารรบพิเศษแทรกแซงพม่า

นี่คือหลักฐานที่เปิดออกมาให้เห็นชัดๆ จะได้ไม่ต้องเถียงกัน ว่าภาพที่เห็นอยู่นั้นไม่ได้ปฏิบัติการในเชิงมนุษยธรรม แต่ปฏิบัติการในเชิงฝึกให้ชาวพม่า คนรุ่นหนุ่มรุ่นสาว เป็นทหารป่า เพื่อออกมาต่อต้านกับทหารพม่า

ท่านผู้ชมครับ ผมเคยพูดแล้วไม่ใช่หรือ ว่า เราไม่อยากจะไปยุ่งเรื่องการเมืองภายในประเทศ ถ้าพม่าจะทะเลาะกับอองซาน ซูจี หรือ มิน อ่อง หล่าย ก็ปล่อยให้เป็นเรื่องภายในของพม่าที่จะต้องทะเลาาะกัน ที่สำคัญ เราอย่าไปเป็นพื้นที่ที่ให้เขาใช้ประโยชน์จากฝ่ายหนึ่งเพื่อไปทำลายอีกฝ่ายหนึ่ง ท่านผู้ชมครับ นี่คือการเช็กบิลที่ชัดเจนอีกอันหนึ่งที่ยืนยันให้ท่านผู้ชมได้ว่า สิ่งที่ผมพูดไปแล้วนั้น ไม่ได้ผิดเลยแม้แต่นิดเดียว


ท่านผู้ชมครับ วันนี้เรามาพูดถึงเรื่องรากเหง้าและทางออกของวิกฤตยูเครน เราจะพูดกันแบบตั้งแต่ต้นจนถึงฟินาเล่ ผมเคยได้พูดไปแล้วเรื่องวิกฤตของยูเครน บางส่วนนั้นผมเคยพูดไปแล้ว แต่ผมจะมาทบทวนความจำให้ท่านผู้ชมฟังอีกทีหนึ่งในครั้งนี้ ที่สำคัญที่สุดที่วันนี้ผมจะพูด จะอธิบายเรื่องตัวละคร ตัวละครที่สำคัญมีอยู่ 2 ตัว ตัวแรก คือ วลาดิมีร์ ปูติน ประธานาธิบดีของรัสเซีย ตัวที่สอง คือ เซเลนสกี ประธานาธิบดีของยูเครน

ปูติน เป็นคนอย่างไร ? เซเลนสกี เป็นคนอย่างไร ? เมื่อท่านผู้ชมได้ฟังเข้าใจถึงเนื้อแท้ บุคลิกภาพ ปัญหาทางจิตวิทยาของทั้งสองคนแล้ว ก็จะเข้าใจเหตุการณ์ในยูเครนว่ามันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร และหวังว่าจะเข้าใจว่า ทำไมวลาดิมีร์ ปูติน ถึงตัดสินใจแบบนี้ โดยไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม

ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องราวที่เป็นบทเรียนสั่งสอนให้กับพวกเราคนไทยด้วย ว่าผู้นำประเทศอย่าทะลึ่งชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้าน และที่สำคัญที่สุด การอิงแอบกับคนที่ตัวใหญ่กว่าเรา คือ จีน ดีกว่าการไปพึ่งอันธพาลโลก อย่างเช่นอเมริกา เพราะวันนี้การที่อเมริกาทำกับยูเครนนั้น ไม่ได้ต่างกว่าที่อเมริกาทำกับอัฟกานิสถาน ถึงเวลาที่ตัวเองพ่ายแพ้ หรือตัวเองไม่มีทางที่จะได้ประโยชน์ ก็ทิ้งเฉย นายเซเลนสกี ประธานาธิบดีตัวตลก ก็เป็นคนที่ผ่านความรู้สึกนี้ไปแล้ว และรู้ซึ้งถึงขนาดที่เรียกว่าออกมาด่าประเทศทางตะวันตก ไม่ว่าจะเป็นอเมริกา หรือไม่ว่าจะเป็นอียู

ท่านผู้ชมครับ เรามาทบทวนความจำกันสักนิดหนึ่ง เมื่อสงครามในยูเครนเกิดขึ้นแล้ว แน่นอนที่สุด บ้านแตกสาแหรกขาด ถ้าเราดูตามหน้าสื่อตะวันตก และสื่อไทย วลาดิมีร์ ปูติน กลายเป็นผู้ร้าย ถูกวาดภาพให้กลายเป็นอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ อดีตผู้นำเผด็จการเยอรมนี ส่วนกองทัพรัสเซียถูกเสกสรรค์ปั้นแต่งให้กลายเป็นกองทัพนาซีจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ในข้อเท็จจริงแล้ว เป็นไปในทางตรงกันข้ามหมด


สงครามของยูเครน กับรัสเซียนั้น ถูกเสกสรรค์ปั้นแต่งโดยสื่อมวลชนทางตะวันตก โดยสื่อมวลชนทางตะวันตกปฏิเสธที่จะยอมรับความจริง และปฏิเสธที่จะยอมพูดว่าทำไมปูติน ถึงทำเช่นนั้น และปฏิเสธที่จะเอาประวัติศาสตร์มาเล่าให้ฟังว่าปูติน รอเรื่องนี้มา 30 ปีแล้ว

ท่านผู้ชมครับ การจะทำความเข้าใจกับการกระทำของรัสเซียในการบุกเข้าโจมตียูเครนนั้น เราต้องศึกษาบุคคลในประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วลาดิมีร์ ปูติน เขาเป็นประธานาธิบดีของรัสเซียมาถึง 20 ปี ผมจะเล่าแบ็กกราวนด์ให้ฟังเล็กๆ น้อยๆ รายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ตอนที่ 126 ในวันศุกร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ 2565 ที่ชื่อตอนว่า "วิกฤตยูเครน ชนวนสงครามโลก" ผมเล่าให้ฟังว่า รัสเซียสมัยก่อนนั้นเขาเรียกตัวเขาเองว่า สหภาพโซเวียต หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า โซเวียตรัสเซีย ก่อตั้งปี ค.ศ. 1922 ล่มสลายเมื่อปี ค.ศ. 1991 (2534) มีอายุแค่ 69 ปี ภายหลังการล่มสลายของกำแพงเบอร์ลิน ในปี ค.ศ. 1989 (2532)


ประวัติ ข้อเท็จจริง ที่รับทราบกันอยู่ คนที่สนใจในเรื่องข่าวต่างประเทศ หาข้อมูลนี้ได้หมด พอกำแพงเบอร์ลินล่มสลาย ผู้นำสหรัฐฯ คือ จอร์จ บุช ผู้พ่อ (พ่อของจอร์จ ดับเบิลยู บุช) ก็ส่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายเจมส์ เบเกอร์ ไปตกลงกับประธานาธิบดีมิคาอิล กอร์บาชอฟ ของสหภาพโซเวียีต


ว่า ถ้าโซเวียตล่มสลาย อเมริกาจะไม่ผลักดันให้มีการขยายประเทศสมาชิกภาพองค์กรสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) อีก เนื่องจากสงครามเย็นจะจบแล้ว เมื่อโซเวียตรัสเซียล่มสลาย แต่ข้อเท็จจริง หลังจากนั้นแล้ว นาโตกลับสยายปีก


นาโตถูกตั้งขึ้นมาตอนนั้น เพื่อเอามาปิดล้อมรัสเซีย เพราะทางยุโรปตะวันตก และอเมริกา มองว่ารัสเซียคือศัตรูของยุโรปตะวันตก และอเมริกา เพราะฉะนั้นแล้ว นาโต หลักๆ ก็จะมีประเทศทางยุโรปตะวันตก

หลังจากกำแพงเบอร์ลินล่มสลาย ตรงกันข้ามกับที่นายเจมห์ เบเกอร์ หรือ นายจอร์จ บุช สัญญากับกอร์บาชอฟ ว่า จะไม่มีการขยายตัวของนาโตอีกแล้ว เพราะไม่มีสงครามเย็นแล้ว สงครามที่เราเห็นในปีนี้ 2565 ต้องตรงกับสำนวนจีนที่บอกว่า "สิบปีล้างแค้นไม่สาย" แต่กรณีนี้ "สามสิบปีล้างแค้นก็ยังไม่สาย"


ท่านผู้ชมมาดูแผนที่กันนิดหนึ่ง จากสีเขียว และสีเหลือง ในแผนที่ คือชาติที่นาโตทยอยรับเข้ามาเป็นสมาชิกตั้งแต่ปี 2533 หรือ ค.ศ. 1990 เป็นต้นมา ปัจจุบันมีถึง 14 ชาติ นั่นก็คือว่า นาโตเก็บตกบรรดารัฐต่างๆ ที่ล่มสลายจากสหภาพโซเวียต ดึงเข้ามาเป็นพวกของตัวเอง โดยใช้หลักการล่อ โดยใช้เศรษฐกิจของทางตะวันตกล่อ ในขณะเดียวกัน ก็ใช้การเลือกตั้งเข้ามาล่อ เพื่อให้ประชาชนมีสิทธิ เอาสั้นๆ ก็แล้วกัน


2542 นาโตดึงสาธารณรัฐเช็ก ฮังการี โปแลนด์ 2547 ดึงบัลแกเรีย เอสโตเนีย ลัตเวีย ลิทัวเนีย สโลเวเนีย สโลวาเกีย 2552 ดึงแอลเบเนีย โครเอเชีย มอนเตเนโกร และ 2563 เมื่อสองปีที่แล้ว ดึงเอานอร์มาเซโดเนีย เข้ามา

การขยายสมาชิกนโตมาทางยุโรปตะวันออก (ประเทศต่างๆ ดังกล่าวข้างต้น) ล้วนแล้วแต่เป็นประเทศที่อยู่ในกลุ่มสหภาพโซเวียตเก่า ต้องถือว่าเป็นการผิดสัญญาที่สหรัฐฯ เคยให้ไว้กับผู้นำสหภาพโซเวียต

รัสเซียในปัจจุบัน เมื่อนายปูติน ขึ้นมามีอำนาจในช่วง 2543 นายปูติน รอเป็นเวลา 20 ปี เดินหน้าเอาคืนอเมริกาและนาโต ที่ทำตัวเป็นหอกข้างแคร่ของตัวเองมาตลอด


ก่อนที่เราจะพูดกันต่อไป เรามาดูกันก่อนว่า วลาดิมีร์ ปูติน เป็นคนอย่างไร ? วลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซียคนปัจจุบัน มีอำนาจมาแล้ว 20 ปี เกิดวันที่ 7 ตุลาคม 2495 ที่เมืองเลนินกราด ทุกวันนี้เขาเรียกว่า เมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ปัจจุบันอายุ 69 ปี เขาเป็นลูกคนสุดท้องจากทั้งหมด 3 คน ของ Vladimir Spiridonovich Putin และ Maria Ivanovna Shelomova ปู่ของปูติน คือ Spiridon Ivanovich Putin เป็นพ่อครัวส่วนตัวให้กับ Vladimir Ilyich Ulyanov หรือที่รู้จักกันในนามของ เลนิน (Lenin) รวมทั้งเป็นพ่อครัวให้กับ Joseph Stalin อีกด้วย ดูรูปนะครับ ปู่ทางซ้าย ปูตินและพ่อ ทางขวา


ปูติน เติบโตขึ้นมาในช่วงสงครามเย็น หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 พอสงครามโลกครั้งที่ 2 จบ ปูติน อายุ 17 ปี ไปเรียนที่มหาวิทยาลัยเลนินกราด สาขานิติศาสตร์ จบมา 2518 (ค.ศ. 1975) เขาทำงานกับคณะกรรมการความมั่นคงของรัฐ ชื่อย่อก็คือ KGB นั่นเอง คือหน่วยงานสืบราชการลับ เขาถูกส่งไปประจำที่ประเทศเยอรมนีตะวันออก


ปูติน อยู่ในคราบจารชนเต็มตัว ชีวิตที่ใช้อยู่ที่เมืองเดรสเดน เยอรมนีตะวันออก ภายหลังกำแพงเบอร์ลินล่มสลาย สงครามเย็นสิ้นสุด เยอรมนีรวมชาติในปี 2532 (ค.ศ.1989) ปูติน ก็ยังคงทำหน้าที่เป็นสายลับต่อจนถึงปี 2534 รวม 16 ปี จนกระทั่งสหภาพโซเวียตแตกออกเป็นเสี่ยงๆ สภาพการเมืองปั่นป่วนที่สุด เศรษฐกิจสังคมนิยมล่มสลาย ประชาชนหลายสิบล้านคนอดอยาก สาธารณรัฐต่างๆ ในวงวานว่านเครือแตกตัวออกไปเกิดใหม่ ในนั้นหลายแห่งก็เข้าสู่สงครามกลางเมือง

หลายปีก่อน ระหว่างพูดคุยตอบคำถามกับเด็กๆ ทางโทรทัศน์ มีเด็กหญิงคนหนึ่งถามนายปูติน ว่า สิ่งใดหรือเหตุการณ์ใดที่มีอิทธิพลต่อจิตใจท่านมากที่สุด ? ปูติน นิ่งไปพักหนึ่งแล้วตอบว่า "หนูถามคำถามของผู้ใหญ่ ชีวิตที่ผ่านมามีมากมายหลายเรื่อง แต่ถ้าจะมีสักอย่างที่มีอิทธิพลกับผมมากที่สุด คือการล่มสลายของสหภาพโซเวียต" นี่สะท้อนถึงความเจ็บช้ำน้ำใจของปูติน ที่สหภาพโซเวียตต้องล่มสลาย ตรงนี้เป็นจุดที่เราละเลยไม่ได้ เมินเฉยไม่ได้ นี่คือความรู้สึกของเขา


พอสหภาพโซเวียตล่มสลาย ปูติน ก็ลาออกจาก KGB อพยพไปที่มอสโก ปี 2539 (1996) แล้วทำงานเป็นผู้ช่วยของอดีตประธานาธิบดีบอริส เยลต์ซิน เติบโตขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ทำหน้าที่รักษาการประธานาธิบดีเมื่อ 31 ธันวาคม 2542 หลังจากที่เยลต์ซิน ลาออก


ปูติน ได้รับอิทธิพลจากบอริส เยลต์ซิน มาก เหตุผลเพราะว่าบอริส เยลต์ซิน โกรธอเมริกาที่หักหลังรัสเซีย หลังจากที่ไปรับปากกับกอร์บาชอฟ ว่า อเมริกาจะไม่ขยายนาโตอีกต่อไป แต่อเมริกากลับทำตรงกันข้าม บอริส เยลต์ซิน โกรธอเมริกามาก และตรงนี้ก็เป็นอิทธิพลหนึ่งที่เข้าสู่ชีวิตจิตใจของปูติน

ปี 2543 ปูติน ลงเลือกตั้ง ชนะด้วยคะแนนเสียง 53 ต่อ 30 ชนะคู่แข่งซึ่งพยายามจะนำระบบคอมมิวนิต์รัสเซียกลับคืนสู่อำนาจอีกครั้ง ต่อมา การเลือกตั้งปี 2547 พรรครัฐบาลก็เอาชนะพรรคคอมมิวนิสต์อย่างท่วมท้น ด้วยคะแนนโหวตคิดเป็น 72 เปอร์เซ็นต์ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากรัฐธรรมนูญรัสเซียบัญญัติให้ประธานาธิบดีดำรงตำแหน่งได้ไม่เกิน 2 วาระ ปูติน จึงเลือกให้นายดมิทรี เมดเวเดฟ ซึ่งเป็นเพื่อนและเป็นอดีตเสนาธิการเครมลินของเขา เป็นตัวแทนของเขาในการชิงตำแหน่งประธานาธิบดีแทน


ซึ่งเมดเดเวฟ ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี และเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 8 พฤษภาคม 2551 ซึ่งในวันเดียวกันนั้นเอง ปูติน ก็เลยได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีแทน ทำให้ปูติน ยังทรงอำนาจ อิทธิพลทางการเมืองการปกครองไว้

แสดงว่าลึกๆ แล้ว ปูติน ต้องการที่จะนำพารัสเซียไปสู่ความรุ่งโรจน์อีกครั้งหนึ่ง และเขารู้ว่าจากการปกครองของเขา การบริหารของเขา ความเด็ดขาดของเขา รัสเซียจะต้องผงาดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง แต่เพื่อป้องกัน เพื่อไม่ให้ผิดรัฐธรรมนูญ เขาก็เลยให้เพื่อนสมัครเป็นประธานาธิบดี และเขาก็กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีแทน

ในการประชุมสหรัสเซียในกรุงมอสโก ปี 2554 (2011) หรือประมาณสิบเอ็ดปีที่แล้ว ประธานาธิบดีเมดเวเดฟ ก็เลยเสนออย่างเป็นทางการว่าจะให้ปูติน ขึ้นเป็นประธานาธิบดีในปีถัดไป


ซึ่งได้มีการเตรียมการ จากเดิมที่เป็นประธานาธิบดีจาก 4 ปี เป็น 6 ปี เพื่อให้วลาดิมีร์ ปูติน สามารถดำรงตำแหน่งนานขึ้นจาก 8 ปี เป็น 12 ปี ทำให้วลาดิมีร์ ปูติน จะครบกำหนดการเป็นประธานาธิบดีในปี 2567 (2024) อีกสองปีข้างหน้า

สื่อตะวันตกก็พยายามจะโหมประโคมข่าวปูติน ว่า ปูติน ต้องการจะสร้างจักรวรรดิรัสเซียด้วยการดึงยูเครนกลับสู่ใต้ร่มการปกครองอีก ปูตินคิดอย่างนั้นหรือ ?

ท่านผู้ชมครับ การสั่งกองทัพรัสเซียบุกตะลุยเข้ายูเครนครั้งนี้ รวมถึงการบุกเข้าไปในรัฐจอร์เจีย ประเทศจอร์เจีย (2551) และไครเมีย (2557) นั้น เราต้องดูปูมหลังของเขา ครั้งหนึ่งเขาเคยกล่าวเอาไว้อย่างนี้ ว่า เขาเคยเล่าตำนานของเขาว่า 50 ปีที่แล้ว บนท้องถนนในเมืองเลนินกราด ตามกฎนักเลงที่ต้องถูกสั่งสอน สอนผมให้ผมเข้าใจข้อหนึ่งว่าถ้าการวิวาทนั้นหลีกเลี่ยงไม่ได้ คุณต้องเป็นคนชกก่อน นี่คือคำพูดของวลาดิมีร์ ปูติน เมื่อปี 2558


ท่านผู้ชมครับ พูดแล้วยังอดขำตัวผมเองไม่ได้เลย ผมเคยสอนน้องๆ บนโต๊ะกินข้าว เพราะผมเป็นเด็กโรงเรียนประจำ อัสสัมชัญศรีราชา ผมบอกว่า เฮ้ย พวกแกรู้ไหม สมัยพี่เป็นเด็กอยู่ที่อัสสัมชัญศรีราชา ไม่มีใครกล้ายุ่งกับพี่ ทุกคนจะมีแก๊งหมด แต่พี่ไม่มี เพราะไม่มีใครกล้ายุ่ง ทำไมถึงไม่กล้ายุ่ง รู้ไหม ? เพราะเวลาเถียงกัน ด่ากัน เอามือผลักอกกัน พี่ไม่ผลักนะ พี่ชกมันเลย พอชกโครม มันล้มลงไป เดี๋ยวก็มีคนเข้ามาห้าม ก็ถือว่าได้กำไรแล้ว คำถามมีอยู่ว่า นี่คือปรัชญาของปูติน

ถามต่อ แล้วปูติน จะทำการแบบโง่ๆ และเป็นเผด็จการที่ชั่วชาติเหมือนอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ อดีตผู้นำเยอรมนี จริงหรือเปล่า ? เรื่องนี้มีคนตอบคำถามไปเรียบร้อยแล้ว คนที่ตอบคำถามนี้คือใครรู้ไหมท่านผู้ชม ? โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีอเมริกา เขาพูดถึงมุมมองที่เขามองต่อปูติน


เสาร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2565 นายทรัมป์ กล่าวคำปราศรัยในที่ประชุมใหญ่ของฝ่ายอนุรักษ์นิยม ที่เมืองออร์แลนโด รัฐฟลอริดา เขาพูดว่า เมื่อวานนี้มีนักข่าวถามผมว่า ผมคิดว่าประธานาธิบดีปูตินนั้นฉลาดจริงหรือ ผมตอบไปว่า แน่นอนที่สุด เขาฉลาด ปัญหาคือ ไม่ใช่ว่าปูติน เป็นคนฉลาด ซึ่งในข้อเท็จจริงเขาเป็นคนฉลาดจริง แต่ปัญหาจริงๆ คือผู้นำเรามันโง่ (นายทรัมป์ กำลังด่าไบเดนฆ รวมไปถึงผู้นำในชาติสมาชิกนาโต ที่ไม่ค่อยฉลาดเท่าไรนัก นายทรัมป์ พูดต่อ ในเชิงยุทธศาสตร์ถ้าชาติสมาชิกนาโตและโลกมองถึงสิ่งที่เกิดขึ้น โดยไม่มองถึงผลกระทบ ภัยคุกคาม และอื่นๆ พวกเขาไม่ค่อยฉลาด ถ้าปูติน ยึดยูเครน พวกเราจะแซงก์ชันคุณ พวกเขาบอก แซงก์ชัน นี่เป็นคำประกาศที่ดูอ่อนปวกเปียก ปูติน ก็บอกว่า พวกเขาจะแซงก์ชันผม พวกเขาแซงก์ผมมาแล้วตั้งยี่สิบห้าปีที่ผ่านมาอยู่แล้ว ตอนนี้ผมจะยึดยูเครน แล้วพวกเขาก็จะแซงก์ชันผมอีก ผู้ที่อยู่ในที่ประชุมก็หัวเราะ

ทรัมป์ กล่าวต่อว่า แน่นอน การโจมตียูเครนของรัสเซียเป็นเรื่องโหดร้าย น่าสะพรึงกลัว ซึ่งไม่ควรจะเกิดขึ้น แต่ทรัมป์ ก็เหน็บแนมต่อว่า พวกคุณคือคนอเมริกัน มีประธานาธิบดีซึ่งไม่ได้รับความเคารพจากชาติอื่น โลกจะสับสนวุ่นวายอย่างมาก และโลกไม่เคยวุ่นวายอย่างนี้มาก่อนนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 นี่คือผู้ร้ายในสายตาของสื่อตะวันตก ในสงครามยูเครน


ตอนนี้เรามาทำความรู้จักกับพระเอกในสายตาของสื่อทางตะวันตกกันบ้างดีกว่า "โวโลดีมีร์ เซเลนสกี" ประธานาธิบดียูเครน พระเอกในสายตาของสื่อตะวันตก ชีวิตจริงเหมือนกับสำนวนที่กล่าวว่า "ชีวิตจริงยิ่งกว่าละคร" เซเลนสกี อายุเพียง 44 ปี เป็นคนยิว เกิดมาในครอบครัวชาวยิว ที่เมืองกรือวึยรีฮ์ เมืองใหญ่ทางตอนกลางของยูเครน ในยุคที่ยูเครนยังเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต เขาเกิดจากครอบครัวปัญญาชน พ่อเป็นศาสตราจารย์ในภาควิชา Cybermatic and Computing Hardware ในมหาวิทยาลัยเมืองกรือวึยรีฮ์ แม่ทำงานเป็นวิศวกร

ประวัติครอบครัว พ่อของไซมอน และพี่น้อง 3 คน ก็คือครอบครัวของเซเลนสกี ถูกสังหารโดยฮอโลคอสต์ โศกนาฏกรรมฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวของชาวนาซี


ประเด็น จากปูมหลังครอบครัวเหล่านี้ของเซเลนสกี ก็ได้ถูกสื่อตะวันตกหยิบยกขึ้นมาเชิดชูว่าเขาเป็นฮีโร่ตัวจริงในการต่อต้านเผด็จการและผู้นำบ้าอำนาจ เนื่องจากอีกฝั่งหนึ่งนั้น ชาติตะวันตกยกให้ปูติน เป็นผู้ร้าย เทียบเท่าฮิตเลอร์สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เลย ผมจะเอาโปสเตอร์ให้ดูว่าเขาแสดงออกว่ามีการเชียร์เซเลนสกี ให้เป็นฮีโร่อย่างไร


เขาเรียนจบกฎหมายเหมือนปูติน แต่จบแล้วเซเลนสกี มุ่งเข้าสู่วงการบันเทิง เซเลนสกี มีชื่อเสียงในฐานะโปรดิวเซอร์และนักแสดงตลก เขาถึงเรียกว่า ประธานาธิบดีตัวตลก แสดงภาพยนตร์มาแล้ว 8 เรื่อง ซีรีส์ละครโทรทัศน์อีก 3 เรื่อง ก่อนจะเข้าสู่สนามการเมืองเมื่อปี 2558-2562 เขาเป็นผู้อำนวยการสร้างและนักแสดงนำในซีรีส์เรื่อง SERVANT OF THE PEOPLE แปลเป็นไทยคือ ผู้รับใช้ปวงชน โดยในเรื่องนั้นเขารับบทเป็น Vasyl Petrovych Holoborodko ครูโรงเรียนมัธยมที่ตื่นมาตอนเช้าพบว่าตัวเองได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดียูเครน ด้วยคะแนนนิยมกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ เขาเป็นคนที่ชอบหิวแสง เขาจะวิพากษ์วิจารณ์การเมือง ต่อต้านการทุจริตอย่างดุเดือด เสียดสีการทุจริตในยูเครน และแสดงให้เห็นว่าประเทศจะเป็นอย่างไรถ้าเป็นประชาธิปไตย


ปลายปี 2561 เซเลนสกี ประกาศจะลงชิงชัยในการเลือกตั้งประธานาธิบดียูเครน คู่แข่งของเขาคือ นายเปโตร โปโรเชนโก ซึ่งรัสเซียหนุนหลังอยู่ เซเลนสกี สร้างแรงสะเทือนไปทั่วทั้งยูเครนด้วยคำปราศรัย ส่งสารผ่านโซเชียลมีเดียในรูปแบบของวิดีโอเซลฟี ทำให้เขาเป็นตัวแทนของความโกรธเกรี้ยวของประชาชนยูเครน และท้าทายต่อความก้าวร้าวของรัสเซีย เซเลนสกี ใช้ความแตกต่างของตัวเองเป็นจุดหาเสียง แทนที่จะชูนโยบายที่จับต้องได้อย่างผู้สมัครคนอื่นๆ ด้วยการเน้นนโยบาย เขาจะใช้นโยบายที่เป็นนามธรรมสูง เช่น การปราบปรามการโกงกิน คอร์รัปชัน ยุติความขัดแย้งกบฏที่อยู่ทางแคว้นตะวันออกของประเทศ คือแคว้นดอนบาส ทำให้เขาได้คะแนนกว่า 73 เปอร์เซ็นต์ เขาเลยเป็นประธานาธิบดีของยูเครน ขึ้นมาเป็นตำแหน่งประธานาธิบดียูเครน เดือนพฤษภาคม 2562


ท่านผู้ชมครับ อย่างที่ผมเคยกล่าวไปแล้วว่า ปัญหาการเมืองระดับโลก มันไม่ได้แก้ไขด้วยภาพลักษณ์ที่งดงาม วาทะที่สวยหรู หรือการใช้ลมปากในการจัดการเท่านั้น ทุกวันนี้คงเป็นเพราะว่า เซเลนสกี เคยเป็นนักแสดง ผู้อำนวยการสร้างหนัง สร้างละครมาก่อน เขาเลยถนัดเป็นพิเศษในการสร้างภาพ ประดิษฐ์คำพูดที่ดูเท่ท่ามกลางซากปรักหักพังของยูเครน และประชาชนชาวยูเครน ซึ่งมันเข้าทางสื่อทางตะวันตกและกองเชียร์อย่างมาก


ตัวอย่างเช่น เช้ามืดของวันพฤหัสบดีที่ 24 กุมภาพันธ์ 2565 ไม่กี่ชั่วโมงก่อนรัสเซียจะกรีฑาทัพเข้าสู่ยูเครน นายเซเลนสกี ได้โพสต์คลิปวิดีโอ บางส่วนเขาพูดภาษารัสเซียเรียกร้องให้ประธานาธิบดีปูติน หลีกเลี่ยงการก่อสงคราม วันนั้นนายเซเลนสกี ใส่สูทสีเข้ม ยืนอยู่หน้าแผนที่ยูเครน พร้อมกล่าวว่า สองประเทศไม่ต้องการสงคราม ทั้งสงครามเย็นและสงครามร้อน หรือไม่แม้แต่สงครามลูกผสม


เซเลนสกี เป็นคนที่ดรามามาก เขาชอบออกคำพูดที่กินใจคน "เมื่อคุณโจมตีเรา คุณเป็นหน้าเรา ไม่ใช่ข้างหลังเรา แต่เป็นใบหน้าของเรา" เมื่อถูกโจมตีขึ้นมา นายเซเลนสกี ออกคลิปใหม่ ใส่เครื่องแบบทหาร แสดงท่าทีขึงขัน มุ่งมั่นจะต่อสู้ แม้ว่าสงครามจะเปลี่ยน การที่คนธรรมดากำลังต่อกรกับยักษ์ใหญ่ ช่วงเย็นวันนั้นเขาออกสื่ออีก เขาเตือนผู้นำชาติตะวันตกว่า ถ้าไม่ให้ความช่วยเหลือกับยูเครนในวันรุ่งขึ้น สงครามจะไปเคาะประตูบ้านคุณ


นอกจากนั้นแล้ว เขาก็ยังทวีตกล่าวหารัสเซียว่า รัสเซียบุกยูเครนเหมือนนาซีเยอรมนีเคยบุกรุกรานประเทศทางยุโรป

วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2565 เซเลนสกี ออกมาคร่ำครวญว่า ยูเครนถูกปล่อยให้สู้รบกับรัสเซียด้วยตนเอง เขาบอกว่า เราถูกปล่อยให้ปกป้องประเทศของเราเองตามลำพัง ใครพร้อมสู้เคียงข้างเราบ้าง ? ไม่เห็นมีใครเลย ใครพร้อมมอบคำรับประกันกับยูเครนในฐานะสมาชิกนาโตบ้าง ? ทุกคนต่างกลัวกันหมด แทนที่ตัวเองจะรู้ว่าตัวเองนั้นถูกอเมริกา ยุโรปตะวันออก และกลุ่มนาโต หลอกให้ยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยว เขาก็ยังหน้าด้านและพยายามที่จะทำตัวเป็นขี้ข้าของนาโต เพราะฉะนั้นแล้ว เซเลนสกี ไม่ได้ต่างอะไรกับขี้ข้าฝรั่ง กับนักการเมืองที่อ้างคนรุ่นใหม่ที่อยู่เมืองไทย เช่น นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์


ยกตัวอย่างให้ฟังง่ายๆ ตั้งแต่เรื่องพม่าแล้ว พิธา ก็พูดออกมา และผมสั่งสอนไปทีหนึ่งแล้ว มาถึงยูเครนก็ยังไม่หยุด พิธา อ้างคำพูด โดยพูดว่า "ผมขอสะท้อนคำพูดของประธานาธิบดียูเครน ว่าสงครามเป็นการยกเลิกหลักประกันความมั่นคงของทุกฝ่าย ประชาชนจะเป็นผู้ที่เจ็บปวดมากที่สุด และผมขอเรียกร้องให้รัสเซียถอนกำลังทหารออกจากยูเครนทันที อย่างไม่มีเงื่อนไข

ท่านผู้ชมครับ ฟังคุณพิธา พูดแล้ว ผู้รู้ นักการทูต นักการต่างประเทศ จนถึงประชาชนทั้งหลาย เขาขำจนตกเก้าอี้ จนกระทั่ง cartoonist นักวาดการ์ตูนผู้จัดการ เลยหยิบยกมาเป็นแก๊กการ์ตูน


คุณพิธา กับ เซเลนสกี เหมือนกัน นึกว่าโลกนี้เป็นโรงลิเกส่วนตัว ตัวเอกหลงโรงอยู่ พอได้ยินเสียงปี่กลองกรับ ก็รีบออกมาเล่นบทออกมาห้ามทัพไม่ให้รัสเซียบุกยูเครน

เมื่อเราพูดถึงตัวละครวิกฤตยูเครนแล้ว ทั้งวลาดิมีร์ ปูติน เป็นคนอย่างไร นิสัยใจคอเป็นอย่างไร ประสบการณ์ในชีวิตของเขาเป็นอย่างไร เขาขมขื่น เขาเจ็บปวดกับการที่รัสเซียโดนชาติตะวันก โดยเฉพาะอย่างยิ่งอเมริกา ใช้นาโตเข้ามารุกรานรัสเซีย จนกระทั่งหลังชนกำแพง แล้วพูดถึง เซเลนสกี ประธานาธิบดีตัวตลก ที่เป็นคนไร้สาระ และเก่งในเรื่องวาทกรรมโดยไม่ดูข้อเท็จจริงในโลกแห่งความเป็นจริง วันนี้เรามาดูนักวิชาการที่เคยพูดเรื่องนี้มาตั้ง 6-7 ปีที่แล้ว


ศาสตราจารย์ด็อกเตอร์ จอห์น เมียร์ไชเมอร์ (John Joseph Mearsheimer) นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านการต่างประเทศ จากมหาวิทยาลัยชิคาโก เคยอธิบายเรื่องนี้โดยละเอียดมา 6-7 ปีที่แล้ว

กันยายน 2558 (7 ปีที่แล้ว) ดร.จอห์น เมียร์ไชเมอร์ ได้เคยเลกเชอร์ว่าทำไมเหตุการณ์ในยูเครนจึงเป็นความผิดพลาดของตะวันตก ดร.จอห์น เมียร์ไชเมอร์ ตำหนิทางตะวันตก คือเป็นต้นเหตุของการทำให้เกิดวิกฤตยูเครน

ประเด็นแรก คือภาพรวมในช่วง ค.ศ. 1900-2000 ดร.เมียร์ไชเมอร์ บอกว่าแกนผลประโยชน์ของยุทธศาสตร์ได้ตีความว่า ที่ๆ สหรัฐฯ พร้อมจะเข้าสู้รบและสละชีวิตของอเมริกานั้น นอกเหนือจากแผ่นดินเกิดของตัวเองแล้ว ทวีปอเมริกาเหนือแล้ว ก็คือยุโรป เอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ และอ่าวเปอร์เซีย หลังปี 2000 เป็นต้นมา มีความเปลี่ยนแปลงระดับความสำคัญ คือ อันดับหนึ่งกลายเป็นเอเชียแล้ว การผงาดของจีน สอง อ่าวเปอร์เซีย ความเชื่อมโยงระหว่างน้ำมัน เส้นทางไปทางเอเชีย และสาม ยุโรป

ประการที่สอง เมื่อดูความสำคัญของประเทศในยุโรปในเชิงความมั่นคง พบว่ามี 5 ประเทศเท่านั้นที่เรียงจากตะวันออก ไปตะวันตก ประกอบด้วย ฝรั่งเศส เยอรมนี โปแลนด์ ยูเครน และรัสเซีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเยอรมนี และรัสเซียนั้น เป็นสองประเทศที่มีความสำคัญมากตลอดห้วงประวัติศาสตร์ของศตวรรษที่ 20


ประการที่สาม เมื่อพิจารณาปัจจัยภายในของยูเครน ซึ่งผมอธิบายผ่านรายการนี้ไปหลายครั้งแล้วเช่นกัน ว่ามีความแตกแยกในยูเครนภายในอย่างสูง มีการแบ่งเป็น ยูเครนตะวันตก และยูเครนตะวันออก เชื้อชาติ วัฒนธรรม ภาษา เอื้อต่อการแทรกแซงของต่างชาติจากภายนอก


ประการที่สี่ ในเชิงทรัพยากรพลังงาน ประเทศต่างๆ ทางยุโรปต้องพึ่งพารัสเซียด้วยกันทั้งสิ้น จะมากหรือจะน้อยเท่านั้น โดยอียูนำแก๊สธรรมชาติจากรัสเซียคิดเป็นสัดส่วนมากถึง 40 เปอร์เซ็นต์ ของแก๊สธรรมชาติทั้งหมดที่อียูใช้ เพราะฉะนั้นแล้ว สามารถฟันธงได้เลยว่า จากสงครามในยูเครน ซึ่งอียูประกาศแซงก์ชันรัสเซียทุกช่องทาง จะนำสู่วิกฤตพลังงานในยุโรปแน่นอน


จากกราฟฟิกด้านบนที่ผมเอารูปให้ดู ชาติต่างๆ ในยุโรปล้วนแล้วแต่พึ่งพาแก๊สจากรัสเซียทั้งนั้น แตกต่างเพียงมากน้อยแค่ไหนเท่านั้นเอง แก๊สธรรมชาติ 40 เปอร์เซ็นต์ จากรัสเซียมายุโรป ส่งผ่านยูเครน เรามาไล่ดูทีละประเทศ

- เอสโตเนีย ลัตเวีย ลิทัวเนีย ฟินแลนด์ บัลแกเรีย พึ่งพาแก๊สจากรัสเซีย 100 เปอร์เซ็นต์
- โปแลนด์ เช็ก สโลวาเกีย สโลเวเนีย ออสเตรีย กรีซ พึ่งพาแก๊สมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ จากรัสเซีย
- เยอรมนี ฮังการี โครเอเชีย ลักเซมเบิร์ก เบลเยียม พึ่งพาประมาณ 25-50 เปอร์เซ็นต์ จากรัสเซีย
- ฝรั่งเศส อิตาลี โรมาเนีย พึ่งพาแก๊สจากรัสเซียน้อยกว่า 25 เปอร์เซ็นต์

ดร.เมียร์ไชเมอร์ ยืนยันว่า ชาติตะวันตกต้องรับผิดชอบต่อวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นในยูเครน ซึ่งก่อนการบรรยาย ศ.ดร.เมียร์ไชเมอร์ บรรยายในปี 2558 ก่อนหน้านั้นเกิดกรณีวิกฤตไครเมียขึ้น และปัจจุบันลุกลามไปเป็นสงครามเต็มรูปแบบทั้งประเทศยูเครน


ดร.เมียร์ไชเมอร์ พูดอย่างนี้ครับท่านผู้ชม นี่คือศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยชิคาโก ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัย 1 ใน 10 อันดับทอปเทนของอเมริกา ดร.เมียร์ไชเมอร์ บอกว่า ความวุ่นวายที่เกิดขึ้น ผู้ต้องรับผิดชอบโดยหลักคือบรรดาชาติตะวันตก ไม่ใช่รัสเซีย มุมมองนี้อาจจะไม่ใช่กระแสหลักในอเมริกา แต่เป็นที่ยอมรับว่า ชาติตะวันตกเป็นผู้ก่อให้เกิดวิกฤตนี้ ทั้งนี้ เพราะอเมริกา และพันธมิตรยุโรป ต้องการจะดึงยูเครนให้ออกจากวงจรของรัสเซีย และรวมยูเครนเข้าไปในเครือข่ายชาติตะวันตก โดยมีวัตถุประสงค์ใช้ยูเครนเป็นกำแพงกั้น ณ ชายแดนรัสเซีย ซึ่งคำตอบของรัสเซียก็คือว่า ไม่ได้ และไม่มีวันยอม ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมารัสเซียแสดงให้เห็นแล้วว่าพวกเขาทำทุกวิถีทางที่จะจัดการกับยุทธศาสตร์สกัดกั้นรัสเซียของอเมริกาและพันธมิตรในยุโรป


ปัจจัยสำคัญในยุทธศาสตร์สกัดกั้นรัสเซียของอเมริกาและชาติพันธมิตรหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มีหลักๆ อยู่ 3 ประการ ประการแรก ขยายจำนวนสมาชิกองค์การนาโตในเชิงการทหาร สอง ขยายจำนวนสมาชิกสหภาพยุโรป ซึ่งการผนวกยูเครน โปแลนด์ เช็ก สโลวาเกีย และเหล่ารัฐบอลติก เข้ากับระบบเศรษฐกิจของตะวันตกในเชิงเศรษฐกิจและสังคม สาม บ่มเพาะปฏิวัติสีส้มในยูเครน ซึ่งเป็นการบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์ของการสร้างความวุ่นวายเอาไว้ โดยอ้างคำว่า "ประชาธิปไตย" ท่านผู้ชมครับ คุ้นๆ ไหมกับการวุ่นวายในฮ่องกง หรือกับการวุ่นวายในเมืองไทยโดยกลุ่มชูสามนิ้ว และกลุ่มพรรคก้าวไกล

ดร.เมียร์ไชเมอร์ พูดต่อ มันยากนะที่จะต่อต้านคำว่า "ประชาธิปไตย" แต่ถ้าคุณเป็นปูติน อยู่ที่มอสโก หรือเป็นสี จิ้นผิง อยู่ที่ปักกิ่ง เมื่อใดก็ตามที่อเมริกาพูดถึงการสนับสนุนประชาธิปไตย นั่นหมายความว่า อเมริกาต้องการจะโค่นล้มอำนาจคุณ

ดร.เมียร์ไชเมอร์ กล่าวต่อว่า ยุทธศาสตร์พื้นฐานของอเมริกาคือโค่นล้มอำนาจชาติต่างๆ ทั่วโลก แต่ไม่ใช่ว่าพวกเรา (อเมริกัน) ชอบประชาธิปไตยนะ แต่เราเชื่อว่าใครก็ตามได้รับการเลือกตั้ง จะโปรตะวันตก เหมือนการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ทั้งนี้ การขยับขยายจะเพิ่มจำนวนสมาชิกไปประชิดกับรัสเซียมากขึ้นเรื่อยๆ นั้น มีหลายระลอก นับตั้งแต่การล่มสลายของสหภาพโซเวียตเป็นต้นมา

ท่านผู้ชมครับ ดร.เมียร์ไชเมอร์ พูดต่อ การขยับขยายก่อนหน้านี้ไม่ได้กระทบกระเทือนความมั่นคงของรัสเซียมากนัก จนกระทั่งเมื่อมีการประชุมสุดยอดของนาโตที่เมืองบูคาเรสต์ ณ กรุงบูคาเรสต์ ประเทศโรมาเนีย ระหว่างวันที่ 2-4 เมษายน 2551 (สิบสี่ปีที่แล้ว)


ในแถลงการณ์นั้น นาโตพูดชัดเจนว่า จะเอายูเครน จอร์เจีย เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของความทะเยอทะยานในการเป็นสมาชิกนาโต โดยวันนี้เรายืนยันแล้วว่าประเทศเหล่านี้จะเป็นสมาชิกนาโต ยินดีต้อนรับการปฏิรูปประชาธิปไตยในยูเครน และจอร์เจีย เพียงแค่การประกาศนาโตออกมาเสร็จ นายอเล็กซานเดอร์ กรุชโก รัฐมนตรีช่วยต่างประเทศรัสเซีย ออกมาให้สัมภาษณ์ทันที ว่าการดึงจอร์เจีย และยูเครน เข้าเป็นพันธมิตรนาโต เป็นความผิดพลาดทางยุทธศาสตร์ครั้งใหญ่ ซึ่งจะนำมาสู่ผลกระทบร้ายแรงที่สุดสำหรับความมั่นคงของยุโรป นายกรุชโก รัฐมนตรีช่วยต่างประเทศ พูดเมื่อเมษายน 2551


คล้ายคลึงกันเลย คล้อยหลังแถลงการณ์นาโตเพียง 4 เดือน สงครามรัสเซีย-จอร์เจีย ก็ปะทุขึ้นในเดือนสิงหาคม 2551 เป็นเวลา 12 วัน จบลงด้วยชัยชนะของฝ่ายรัสเซีย ซึ่งสนับสนุนพวกฝ่ายแบ่งแยกดินแดน คล้ายกับปัจจุบัน กรณียูเครน คือ 2 จังหวัดที่ภูมิภาคดอนบาส ที่รัสเซียรับรองว่าเป็นสาธารณรัฐอิสระแล้ว

ท่านผู้ชมครับ 19 กรกฎาคม 2561 (สี่ปีที่แล้ว) วลาดิมีร์ ปูติน ให้สัมภาษณ์อีกครั้งหนึ่งว่า การที่จอร์เจีย และยูเครน จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของนาโตนั้น เป็นภัยคุกคามโดยตรงต่อรัสเซีย เพราะฉะนั้นแล้ว ท่านผู้ชมจะเห็นได้ชัด เมื่อเราดูเหตุการณ์ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น นั่นคือความพยายามของนาโต และอเมริกา ที่จะรุกคืบเข้าไปติดพรมแดนรัสเซีย และรัสเซียก็เตือนแล้วเตือนอีก เตือนแล้วเตือนอีก บอกว่าอย่านะๆ ถึงขนาดที่เข้าไปยึดรัฐจอร์เจียแล้วตั้งรัฐบาลที่เป็นฝ่ายโปรรัสเซียขึ้นมา นี่ก็ยูเครนอีก ไม่ใช่รัสเซียไม่เตือน เพราะฉะนั้นแล้ว คนที่ซวยก็คือประเทศอย่างจอร์เจีย หรือประเทศอย่างยูเครน ประชาชนยูเครนที่มีประธานาธิบดีที่เป็นตัวตลก หิวแสง ไม่ได้ดูโลกแห่งความเป็นจริง ทั้งๆ ที่รู้ว่าอยู่ติดกับรัสเซีย ซึ่งตัวใหญ่กว่าเขาเยอะ มีอำนาจเหนือกว่าเขาเยอะ ยังทะลึ่งเชื้อเชิญอันธพาล คือนาโต และอเมริกา เข้ามาในประเทศตัวเองเพื่อที่จะมาปิดล้อมรัสเซีย ท่านผู้ชมเห็นหรือยัง


ท่านผู้ชมครับ ศ.ดร.เมียร์ไชเมอร์ ท่านเชื่อเลยว่า วลาดิมีร์ ปูติน เป็นคนฉลาด ไม่ใช่คนโง่ การเดินหมากทุกตาของวลาดิมีร์ ปูติน นั้นมีนัยทางยุทธศาสตร์ เช่น การบุกยึดไครเมีย เป็นการแสดงความประสงค์ไม่ให้นาโตมาตั้งฐานทัพใดๆ ในพื้นที่ดังกล่าว ดร.เมียร์ไชเมอร์ บอกว่า ปูติน จะไม่ยึดยูเครน เพราะสหภาพโซเวียตมีประสบการณ์อันเลวร้ายมาแล้ว จากการไปยึดอัฟกานิสถานในช่วงทศวรรษที่ 1970-1980 อเมริกาก็มีประสบการณ์มากแล้วในการยึดครองอัฟกานิสถาน อิรัก หรือชาติต่างๆ แต่ ดร.เมียร์ไชเมอร์ บอกว่า ที่ปูติน จะทำคือ รัสเซียจะทำลายยูเครนให้พินาศ เนื่องจากว่าเตือนแล้วเตือนอีกอย่าเอายูเครนเข้าเป็นสมาชิกนาโต ไม่ฟัง ดังนั้น ก็เลยเปิดสงครามทำลายยูเครนให้ย่อยยับ ให้กลายเป็นรัฐกันชน เหมือนก่อนปี 2557 ที่อเมริกา และนาโต ใช้ยูเครนเป็นเครื่องมือ และกลับมาเป็นหอกข้างแคร่ของรัสเซีย


เหตุผลง่ายๆ ของรัสเซีย ไม่น่าจะเข้าใจยากเลย ดร.เมียร์ไชเมอร์ บอก อเมริกาน่าจะเข้าใจดี เพราะอเมริกาเองก็มีลัทธิมอนโร ซึ่งเป็นลัทธิที่ เป็นแถลงการณ์ที่ตั้งตามชื่ออดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ เจมส์ มอนโร ได้แถลงการณ์ไว้เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม ค.ศ. 1823 แถลงการณ์นี้มีว่า อเมริกาจะไม่ยอมให้ประเทศใดประเทศหนึ่งในทวีปยุโรปเข้ามาแสวงหาอาณานิคมในทวีปอเมริกา ท่านผู้ชมเห็นหรือยังว่าความหน้าไหว้หลังหลอกของอเมริกาเป็นอย่างไร เหมือนกับใครก็ตาม เข้ามา แล้วมาสร้างฐานทัพขึ้นมาในพื้นที่ของทวีปอเมริกา อเมริกาอ้างลัทธิมอนโรบอก ไม่ได้ จะไม่ยอมให้ รัสเซียก็เช่นกัน


เพราะฉะนั้นแล้ว คนที่โกหกหลอกลวงชาวโลกจริงๆ รวมทั้งสื่อตะวันตก ไม่ว่าจะเป็น CNN, BBC หรือหลายๆ สื่อ ที่สื่อไทยทุกคนเคารพนับถือ ตราหน้าปูติน ว่าปูติน เป็นผู้ร้าย เซเลนสกี เป็นพระเอก กลับไม่เข้าใจประเด็นนี้เลยแม้แต่นิดเดียว

ดร.เมียร์ไชเมอร์ พูดต่อ คุณลองจินตนาการว่าอีก 20 ปีข้างหน้า ถ้าจีนเป็นพันธมิตรทางทหารกับแคนาดา และเม็กซิโก แล้วเคลื่อนพบมาซ้อมรบกับแคนาดา เม็กซิโก แล้วบอกชาวอเมริกาว่าไม่มีอะไร ไม่มีปัญหา กองทัพปลดแอกจีนไม่ได้มาทำอะไร แค่ซ้อมรบเฉยๆ ดร.เมียร์ไชเมอร์ ถามว่า อเมริกาจะยอมไหม ? ไม่มีทางยอมเด็ดขาด ท่านก็เลยบอกว่า วิกฤตยูเครน กับการตอบโต้ของปูติน และรัสเซีย ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจเลย และท่านยังยืนยันว่า ปูติน ไม่ใช่เป็นคนบ้าคลั่ง หรือไร้เหตุผล แต่เป็นคนกระทำทุกเรื่องอย่างมียุทธศาสตร์

ปัญหาสำคัญอีกประการหนึ่งคือ อเมริกายังทำตัวเป็นเจ้าโลกผู้อารี สร้างภาพว่าตัวเองจะเข้ามาสร้างเสถียรภาพให้กับยุโรป ซึ่งทั้งรัสเซีย จีน และอิหร่าน ไม่มีทางที่จะเห็นด้วยกับเรื่องนี้

ดร.เมียร์ไชเมอร์ ชี้ให้เห็นว่า ยิ่งอเมริกาและชาติตะวันตกเพิ่มแรงกดดันกับรัสเซียมากขึ้นเท่าไร โดยเฉพาะในประเด็นด้านเศรษฐกิจ และการแซงก์ชันต่างๆ ก็จะยิ่งพ่ายแพ้ ดร.เมียร์ไชเมอร์ บอกว่า เพราะเรื่องนี้เกี่ยวกับประเด็นทางเศรษฐกิจ กับประเด็นทางความมั่นคง ชาติตะวันตกส่วนใหญ่คิดว่าจะลงโทษรัสเซียด้วยประเด็นด้านเศรษฐกิจ แล้วรัสเซียจะยกมือยอมแพ้ แต่ผม (ผม คือ ดร.เมียร์ไชเมอร์) เห็นว่าเรื่องนี้ยูเครนเป็นแกนผลประโยชน์ทางยุทธศาสตร์ของรัสเซีย ซึ่งรัสเซียไม่มีวันที่จะยอม


ดร.เมียร์ไชเมอร์ พูดต่อ ชาติตะวันตก โดยเฉพาะในยุโรป กำลังเล่นเกมการพนันที่ยิ่งเล่นยิ่งเสีย เพราะจริงๆ เมื่อเทียบกับรัสเซียแล้ว ยูเครนไม่ได้มีความสำคัญกับชาติตะวันตกเท่าใดนักเลย ซึ่งข่าวล่าสุดก็ปรากฏแล้วว่าสมาชิกสภาในเยอรมนีหลายท่านก็เริ่มตั้งคำถามถามแล้ว ว่าไปยุ่งกับยูเครนทำไม เป็นเรื่องความปลอดภัยของรัสเซีย คือพูดง่ายๆ ว่า นายโอลัฟ ช็อลทซ์‎ นายกรัฐมนตรีของเยอรมนี เริ่มถูก ส.ส.ในพรรคตัวเองตั้งคำถามแล้ว นอกจากยูเครนไม่มีความสำคัญกับชาติตะวันตก ในทางกลับกัน รัสเซียยังมีความสำคัญต่อชาติตะวันตกกว่ายูเครนมากนัก ทั้งในเชิงพลังงาน เศรษฐกิจ และความมั่นคง

ท่านผู้ชมครับ แล้วทางออกวิกฤตยูเครนจะเป็นอย่างไรดี ? หนึ่ง ต้องนำพายูเครนกลับมาสู่สถานะแสดงความเป็นกลาง ให้กลายเป็นรัฐกันชนระหว่างนาโต กับรัสเซีย สอง ยกเลิกความคิดในการขยายพันธมิตรนาโต สาม ต้องมีแผนฟื้นฟูทางเศรษฐกิจให้กับยูเครนด้วยความร่วมมือของรัสเซีย อียู และไอเอ็มเอฟ

ศ.ดร.เมียร์ไชเมอร์ เห็นว่าคู่ปรับที่แท้จริงของอเมริกาในศตวรรษที่ 21 จะเป็นจีนอย่างแน่นอน ไม่ใช่รัสเซีย ซึ่งยุทธศาสตร์อเมริกาชัดเจนอยู่แล้วว่าอเมริกาได้ปักหมุดในเอเชีย นาโตจะถูกลดความสำคัญลงไปเรื่อยๆ ตอนนี้พันธมิตรในเอเชียกำลังจับตามองอเมริกาอยู่ ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น หรือไต้หวัน ว่าถ้ามีปัญหากับจีนจริงๆ อเมริกาจะเข้ามาช่วยพันธมิตรอเมริกาในเอเชียจริงหรือเปล่า

ดร.เมียร์ไชเมอร์ บอกว่า ผมคิดว่าชาติตะวันตกกำลังนำพายูเครนไปสู่เส้นทางหายนะ และท้ายที่สุด ยูเครนจะพังพินาศ ดร.เมียร์ไชเมอร์ พูดว่า ผมเชื่อว่าการนำยูเครนกลับมาสู่สาธารณรัฐแห่งความเป็นกลาง ไม่ต้องอยู่ระหว่างเขาควาย คือ โนาโต กับรัสเซีย ขณะเดียวกัน เร่งพัฒนาเศรษฐกิจขึ้นมา คือสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งทุกฝ่าย ทั้งยูเครน อียู และรัสเซีย จะได้ประโยชน์

ก่อนจะจบเรื่องนี้ ผมอยากจะเอาโพสต์หนึ่งของคนที่ใช้ชื่อว่า "เสธ.เขียว" โพสต์เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2565 ผมคิดว่าโพสต์นี้เป็นโพสต์ที่พูดจาแบบชาวบ้านๆ จริงๆ และท่านผู้ชมจะเข้าใจทุกเรื่องเลย ผมจะขออนุญาตเอาคำพูดของเขามาอ่านให้ฟังนะครับ


"สาเหตุที่รัสเซียต้องบุกยูเครน เพราะประธานาธิบดียูเครน โวโลดีมีร์ เซเลนสกี ตัวตลกข้างบ้าน ดันทะลึ่งไปคบหานักเลงอันธพาลต่างถิ่น แอบเอาอาวุธนิวเคลียร์ มิสไซล์ โดยเฉพาะที่มีความเร็ว เร็วกว่าเสียง มาไว้จ่อคอหอยชายแดนรัสเซีย มีอะไรตูมตามขึ้นมารัสเซียจะป้องกันตัวไม่ทัน แถมอยู่ข้างบ้านกันแท้ๆ จะไปเข้ากับอียู นาโต อี๋อ๋ออันธพาลอเมริกาจนออกนอกหน้า อยากเข้ามาเป็นสมาชิกอย่างกระสัน

ปูติน อ่านหมาก เมกา อียู นาโต ได้ทะลุขาด ไอ้พวกนี้อาศัย ยูเครนเป็นเบี้ย จะมารุกขุน ได้พยายามเจรจาก็แล้ว เกลี้ยกล่อมก็แล้ว ผ่านมาหลายปีก็ไม่สำเร็จ ซ้ำร้าย 2 รัฐอิสระ ดอแนตสก์ และลูฮันสก์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนรัสเซีย ไม่เห็นด้วยกับเซเลนสกี อยากแยกตัวมาอยู่ฝ่ายรัสเซีย เซเลนสกี ก็ใช้กำลังทหารเข้าเข่นฆ่า จนสองแคว้นนี้ต้องขอกำลังทหารรัสเซียไปคุ้มครอง

เมื่อพูดด้วยดีไม่ฟัง ก็ต้องใช้กำลัง และต้องโค่นเจ้าตลกร้าย เซเลนสกีให้ไดั และจะต้องไม่มีมิสไซล์เมกามาอยู่ติดชายแดน และยูเครนต้องอยู่ฝ่ายข้า ปูติน เท่านั้น และเป็นรัฐกันชนให้ข้า ไม่ใช่ไปฝักใฝ่ศัตรูข้า ทำตัวประดุจหอกข้างแคร่

กลยุทธ์ ในการบุก ปูติน ระดมพลกว่า 250,000 คน รถถัง จรวจนำวิถี เปิดซ้อมรบร่วมกับเบลารุส และเจรจาเซเลนสกี พร้อมแสดงแสนยานุภาพทางทหารเต็มกำลัง เพื่อข่มและต้องการให้เมกา และนาโต รู้ว่าอย่าแหยม กูไม่กลัวมึง

เมกา ยุโรป ต่างรู้ว่า ปูติน กล้าพอที่จะทำตามแผนที่กำหนด โดยมีพันธมิตรจีน อิหร่าน ที่แนบแน่นทรงพลัง ศัตรูคู่แค้นอเมริกาทั้งสิ้น พร้อมล้างแค้นร่วม ถ้าเมกา นาโต เสือกเข้ามา ยูเครนจึงถูกโดดเดี่ยว

สงครามจะจบในไม่ช้า ไม่ขยายวง ตลกเซเลนสกี จะไม่รอดในเร็ววัน สงครามจะยุติโดยเร็วแน่นอน และปูติน จะแต่งตั้งประธานาธิบดียูเครนคนใหม่ เชื้อสายรัสเซีย เพื่อบรรลุเป้าหมายให้ยูเครนเป็นรัฐกันชน ไม่ฝักใฝ่เมกา และอียู อีกต่อไป

ขอให้ติดตามสงครามจำกัด ครั้งนี้อย่างสบายใจ

บทเรียนการสงครามครั้งนี้ เมื่อจะขึ้นเป็นผู้นำ ต้องรอบรู้ ทั้งการศึก สงคราม และสถานการณ์ของโลกกว้าง เราประเทศเล็กๆ ข้างบ้านตัวโต กล้ามใหญ่ อิงแอบข้างบ้าน ผูกมิตรดีกว่า พึ่งได้แน่นอน ทะเลาะข้างบ้านย่อมอยู่ไม่เป็นสุข อย่าเซ่อ ไอ้ที่หลงเชื่ออันธพาลต่างถิ่นมาถล่มข้างบ้าน อย่าหวัง เจ็บตัวแน่นอน แค่เขาใช้เราเป็นเบี้ย และพร้อมสละเบี้ยได้ตลอดเวลา ..5555.."

เป็นภาษาชาวบ้าน แต่อธิบายเรื่องของยูเครนที่ชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้าน ได้ วันนี้คิดว่าท่านผู้ชมคงจะพอรู้เรื่องดีอย่างละเอียดแล้ว เรื่องที่มาที่ไปของวิกฤตยูเครน และผมได้เสนอทางออกให้ด้วย คลิปนี้อาจจะฟังดูน่าเบื่อ แต่ว่าถ้าท่านผู้ชมตั้งใจให้ดีๆ เรื่องยูเครน กับรัสเซีย เรื่องอียู เรื่องนาโต จะฝังอยู่ในสมองของท่านผู้ชม แล้วท่านผู้ชมจะเข้าใจว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นมาเพราะสื่อทางตะวันตก และประเทศอเมริกา กับยุโรป ที่ต้องการจะปิดล้อมรัสเซีย และรัสเซียไม่ยอม เมื่อไม่ยอมแล้ว ปูติน ก็เลยใช้ความสามารถของตัวเอง ความเด็ดขาดของตัวเอง การชกก่อนแล้วคุยทีหลังของตัวเอง ถึงแม้จะมีการแซงก์ชันอะไรก็ตาม ปูติน โดนแซงก์ชันมาแล้ว 25 ปี เขาไม่ได้กลัวการแซงก์ชันเลยแม้แต่นิดเดียว



ท่านผู้ชมครับ วันนี้เป็นตอนพิเศษที่ผมไม่เคยคิดว่าผมจะมาพูด คือเรื่องของซีรีส์เกาหลี กับ ละครไทย ความจริงผมเคยพูดไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่ผมสัมผัสเพียงผิวเผินเท่านั้นเอง

ผมเป็นคนที่ไม่ดูละครไทย เหตุผลเพราะว่ามันวนไปวนมา แล้วอาจจะเป็นเพราะว่าผมค่อนข้างมีอคติกับตัวแสดง ซึ่งเป็นนักแสดงของคนไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้หญิงหลายคนที่เป็นดาราที่มีชื่อเสียง

ผมคิดว่าทั้งหมดอาจจะมีแค่ไม่ถึง 5 เปอร์เซ็นต์ มั้ง ที่ผมคิดว่าตีบทได้แตกจริงๆ นอกนั้นแล้ว ผมเบื่อความที่ตัวเองคิดว่าตัวเองสวย คิดว่าตัวเองโด่งดัง และพฤติกรรมคนที่อยู่ในรายการของละครไทยนั้นจะเป็นพฤติกรรมที่ผมค่อนข้างจะรับไม่ได้ นอกจอ โปรโมตตัวเองหนักจนเกินไป วันดีคืนดีไม่มีอะไรให้เล่น ไม่มีละครให้เล่น หรือว่าตกยุคไปแล้ว ก็ชอบแต่งชุดบิกินีไปเดินแถวๆ ภูเก็ร เช่าเรือ แล้วก็ส่งรูปส่งข้อความไปลงในไลน์บ้าง ในอินสตาแกรมตัวเองบ้าง แล้วไลน์ก็ชอบพูดว่า แซ่บตัวจริง แซ่บจังแม่ เล่นเอาร้อนฉ่าไปเลย ก็คือแค่ใส่ยกทรงให้เห็นเนินอกเท่านั้นเอง ก็เลยกลายเป็นความร้อนฉ่าไป ไม่เป็นไรครับ ท่านผู้ชม

แต่คนที่ไม่ชอบละคร ผมกลับไปชอบละครเกาหลี ซีรีส์เกาหลี แปลก ผมเคยถามตัวผมเองว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมผมถึงชอบซีรีส์เกาหลีมาก ทั้งๆ ที่ผมเป็นคนที่ดูอะไรแล้ว ในเรื่องละครหรือภาพยนตร์ ผมเป็นคนค่อนข้างจะเข้าไปอินด้วยยากพอสมควร ผมไม่ปฏิเสธ ท่านผู้ชมครับ ช่วงหลังนี่ผมติดซีรีส์เกาหลี และที่สำคัญ ผมก็ติดซีรีส์ญี่ปุ่นเช่นกัน ซีรีส์จีนผมไม่ติดเลย ท่านผู้ชมรู้ไหมว่าเพราะอะไร ? เพราะว่าซีรีส์เกาหลีนั้น โดยเฉลี่ยแล้วจะมีลักษณะ 16 ตอนจบ พอจะกัดฟันดูได้สักวันหนึ่ง วันหนึ่งนี่ต้องดูแบบผ่านๆ ด้วยนะครับ อะไรที่พูดกันมากจนเยิ่นเย้อ ผมไม่ฟัง ผมก็ไล่ไปเรื่อยๆ ฟอร์เวิร์ดไปเรื่อยๆ ซีรีส์ญี่ปุ่นผมชอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงหลังๆ ซีรีส์ญี่ปุ่นมีเรื่องราวต่างๆ ที่ทันสมัยมาก และประชดสังคมเยอะมาก อย่างเช่นเรื่องล่าสุดที่ผมดู คือเรื่อง "เมียปลาทอง" ที่ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Fishbowl Wives เมียอ่างปลา


ซีรีส์ญี่ปุ่นจะดีอย่าง ประมาณ 5 ตอนจบบ้าง 8 ตอนจบบ้าง ไม่ยาวเท่าเกาหลี แต่ซีรีส์นั้น 40 ตอน 50 ตอน บางทีเลอะเทอะไปจนถึง 60 ตอน ผมไม่มีความอดทนที่จะอยู่ดูได้

คำถามมีอยู่ว่าผมต้องเอาตัวผมเป็นตัววัดแล้ว และผมเชื่อว่าความเห็นของผมไม่ได้ต่างกว่าความเห็นของคนทั่วๆ ไป ทำไมละครไทยถึงไม่มีคนดู คนจะดูก็ละครเกาหลี ซีรีส์เกาหลีมากกว่า

ท่านผู้ชมครับ ผมทดสอบ คือที่บ้านผม ผมจะมีคนที่อยู่ในบ้าน คอยดูแลผม ดูแลบ้านดูแลช่อง จะเรียกว่าเป็นแม่บ้านก็ได้ หรือว่าจะเป็นคนที่คอยรับผิดชอบในความเป็นอยู่ของผมในเรื่องของการเอาเสื้อผ้าไปซัก ในการรีดเสื้อผ้าบางตัว หรือเตรียมอาหารให้ผมกิน พวกนี้ผมจะให้เขาเป็นสมาชิก Netflix กันทุกคน ก็ปรากฏว่าคนที่ชอบดูละครไทยประเภทชาวบ้านๆ เพราะว่าคนซึ่งดูแลรับใช้ผมก็เป็นชาวบ้านๆ ธรรมดานี่เอง ไปๆ มาๆ กลับกลายเป็นคนที่ติดซีรีส์เกาหลี พอพูดถึงว่าดูละครไทยบ้างหรือเปล่า ช่วงนี้ ทุกคนสั่นหัว บอกว่าไม่ดูแล้วครับ/ค่ะ ไร้สาระ สู้เกาหลีไม่ได้ นี่คือประเด็นทางวัฒนธรรม ซึ่งเดี๋ยวผมจะอธิบายให้ท่านผู้ชมฟัง ว่าทำไมละครไทยถึงไม่มีใครชอบดู ทำไมซีรีส์เกาหลีคนถึงชอบดู ทั้งๆ ที่ประเทศเกาหลีเป็นประเทศที่ไม่มีความร่ำรวยทางวัฒนธรรมมากมายนัก

ความจริงแล้วเรื่องนี้ผมเคยพูดไปเมื่อปี 2564 ช่วงที่กระแสน้องลิซ่า ลลิษา มโนบาล กำลังดังสุดขีด ผมพูดในรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ตอนที่ 103


ท่านผู้ชมครับ งานบันเทิงของไทยนั้นมีกันน้อยมาก น้อยจริงๆ นับจำนวนได้ ที่ผลิตออกมาแล้วได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ และที่น่าสนใจอย่าง ที่ยอมรับได้ในระดับนานาชาตินั้น ไปๆ มาๆ คนสร้าง คนกำกับ ก็กลายเป็นคนที่หลงตัวเองไปเสียอีก คือพูดง่ายๆ ว่า จากนั้นแล้วทำละคร หรือทำภาพยนตร์ต่อไป ก็ทำแบบติสต์จริงๆ ทำแล้วเข้าใจอยู่คนเดียว คนดูไม่ค่อยรู้เรื่อง ไม่เข้าใจ

ความจริงแล้วงานวัฒนธรรมของแต่ละประเทศนั้น ต่อยอดไปในเชิงเศรษฐกิจได้อย่างมากมายมหาศาล ประเทศไทยนั้นมีจุดเด่นทางวัฒนธรรม ความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ถือว่าแข็งแกร่งมากในโลก ผมจะเอาตารางให้ดู

6 กันยายน 2564 ปีที่แล้ว ปลายปี เว็บไซต์ U.S. News & World Report ประกาศรายชื่อการจัดอันดับประเทศที่รุ่มรวยมรดกทางวัฒนธรรมมากที่สุดในโลก ประจำปี 2564 สำรวจคนดูตั้ง 17,000 คน 4 ภูมิภาค ประเด็นที่เขาพิจารณา คือ เข้าถึงวัฒนธรรมได้ มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน อาหารเลิศรส มีสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์และภูมิศาสตร์มากมาย

10 อันดับแรก ที่ร่ำรวยมรดกทางวัฒนธรรมมากที่สุด ประจำปี 2021 (1) สเปน (2) อิตาลี (3) กรีซ (4) ฝรั่งเศส (5) เม็กซิโก (6) อินเดีย และประเทศไทยอยู่อันดับ (7) ในอาเซียนเราอันดับ 1 (8) อียิปต์ (9) ตุรกี (10) ญี่ปุ่น เกาหลีใต้นั้นอยู่อันดับที่ 42 ขณะที่ประเทศไทยอยู่อันดับ 7


ท่านผู้ชมครับ ความฉลาดของเกาหลีใต้คือ แม้ว่าตัวเองจะไม่มีวัฒนธรรมที่รุ่มรวยมากมายนัก แต่สามารถหยิบวัฒนธรรมตัวอื่นเข้ามาดัดแปลง แผ่ขยายอิทธิพล K-Pop ของตัวเองได้

ท่านผู้ชมครับ เมื่อกี้ผมเกริ่น โหมโรงเรื่องบันเทิงไทย กับบันเทิงเกาหลี พอมาต้นปี 2565 ประเด็นเรื่องการเปรียบเทียบระหว่างวงการหนังไทย บันเทิงไทย กับวงการบันเทิงเกาหลี กลับกลายประเด็นที่หลายคนเข้ามาถกเถียงกันหนาหูอีก

10 กุมภาพันธ์ 2565 พระเอกต่อ ธนภพ ลีรัตนขจร พระเอกจากซีรีส์ฮอร์โมนของค่ายนาดาว ที่เพิ่งมีผลงานภาพยนตร์เรื่อง One for the Road วันสุดท้ายก่อนบายเธอ


ออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็น "คนไทยไม่ดูหนังไทย" ผ่านรายการหนึ่งในช่องยูทูป คุณต่อ พูดว่า "ทุกวันนี้ถามว่าพยายามทำให้ดีที่สุดไหม ใช่ พยายามทำให้ดีที่สุดในสิ่งที่มี แต่สุดท้ายพวกเราตั้งใจทำแค่ไหน ดันอยู่ที่คนดู มันคือการเวิร์กร่วมกัน เช่น อยากเห็นอะไรดีขึ้น ก็ต้องสนับสนุนกันหรือเปล่า แค่นั้นเอง บางครั้งแค่เป็นคำถามเล็กๆ ว่าเราผิดอะไร แบบไม่ดีอะไร คนรอบตัวเก่งหมดแล้ว เก่งจริงด้วย แต่แบบ มันมีบางอย่างที่คุณไม่รู้หรอกว่าเพราะอะไร ถ้าทำตรงนั้นได้ เราก็อยาก จบ"

ประเด็น ถ้านักแสดงไทยหลายคนเก่งจริง ทีมงานเบื้องหลังเก่ง ผู้กำกับเก่ง ที่สำคัญที่สุด ถ้ามีบทที่ดีจริงๆ ปัญหาอยู่ที่ไหน ? ปัญหาอยู่ที่ความซ้ำซากของพล็อตเรื่อง วนเวียนอยู่ไม่กี่เรื่อง ภาษาชาวบ้านที่เขาบอกว่าเป็นเรื่องน้ำเน่า เมียหลวง-เมียน้อยตบตีกัน แย่งชิงมรดก อาฆาตแค้นข้ามภพข้ามชาติ ละครรีเมก เรื่องผี


เรามามองดูฝั่งผู้กำกับ คุณนิติวัฒน์ ชลวณิชสิริ ที่ฉายาว่า กังฟู เป็นเจ้าของผลงานอย่างเช่นหนัง "กะปิ ลิงจ๋อไม่หลอกเจ้า" แสดงโดย หม่ำ จ๊กมก เทพ โพธิ์งาม ตุ๊กกี้ ชิงร้อย "ตี 3 อาฟเตอร์ช็อก" หนังผี 3 เรื่อง 3 ผู้กำกับ ละคร "ผู้กองยอดรัก" เวอร์ชันเต๋อ-มาร์กี้ ทางช่อง 3 ละคร "นางนาค สะใภ้พระโขนง" ล่าสุด


เรียกว่าคุณกังฟูกำกับมาครบพล็อตยอดนิยมของไทย มีทั้งตลก มีทั้งผี มีทั้งกะเทย ตอบคำถามที่ว่าทำไมละครไทยต้องมีฉากวิวาท กรี๊ดกร๊าดกันถึงขั้นลงไม้ลงมือ คุณกังฟู หรือคุณนิติวัฒน์ บอกว่า ทำไมต้องมีฉากตบตี ? ทำไมต้องมีฉากอย่างโน้นอย่างนี้ ? เราก็ต้องบอกว่ามันคือความบันเทิง จริงๆ ก็พยายามเลี่ยงให้มากที่สุด แต่บางอย่างต้องมีเพื่อให้เรื่องมันสนุก ตอนผมทำหนังก็เป็นแนวตลก ทำให้คนไทยดูง่าย ย่อยง่ายที่สุด" ซึ่งจริงๆ แล้วคุณกังฟู พูดอีกก็ถูกอีก ไม่มีอะไรผิดหรอก คนไทยดูง่าย ย่อยง่ายที่สุด

แต่ความจริงแล้ว ความบันเทิงที่คนดูชอบ ไม่จำเป็นต้องน้ำเน่า ไม่จำเป็นเลย คนที่บ้านผมพิสูจน์ชัด แต่ก่อนดูละครไทย ดูหนังไทย ติดหนังคุณกังฟู เสียด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้ไม่ติดเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะเขามีความรู้สึกว่าเขาไม่จำเป็นต้องชอบน้ำเน่า พล็อตอาชีพจริงจัง ดำเนินเรื่องที่มันเคร่งเครียด ก็สามารถได้รับความนิยมได้ ถ้ามีความสมจริง

ท่านผู้ชมเคยดูซีรีส์เกาหลี บทของเขาในหลายอาชีพ เขาเจาะลึกมาก ซีรีส์ของเกาหลีที่พูดในเรื่องของหมอ ผมฟังนักแสดงเกาหลีที่แสดงบทเป็นหมอ ทั้งๆ ที่ยังหนุ่มยังสาวอยู่ แต่พูดจาภาษาหมอ แม้กระทั่งหมอเองยังงงเลยว่าทำไมรู้ลึกนัก เพราะเขาเจาะลึกในสายอาชีพ เขาเจาะลึกในวิธีการ ขั้นตอนการทำงานแบบทะลุทะลวง เหมือนเช่นการผ่าตัด เราจะสังเกตว่าหลายฉาก เลือดไปอุดตันตรงนี้ จะต้องแก้ด้วยวิธีนี้ๆๆ คือคนเล่นพูดจาเหมือนกับเป็นหมอจริงๆ นั่นมันสะท้อนให้เห็นถึงคนเขียนบทและฝีไม้ลายมือการเขียนบท เหมือนกับเปิดโลกทัศน์ให้คนดูได้เข้าไปสัมผัส ได้เรียนรู้อาชีพต่างๆ ที่อาจจะไม่มีโอกาสได้เข้าไปเกี่ยวข้องในโลกความเป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นอาชีพเชฟ อาชีพหมอ ทนายความ อัยการ ตำรวจ นักข่าว ท่านผู้ชม หลายเรื่องเป็นเรื่องที่เครียด ไม่ได้เน้นเบาสมองเหมือนละครไทย แต่ทำไมได้รับความนิยมอย่างมาก ?


ผมยกตัวอย่างแล้วกัน ท่านผู้ชมหลายคนที่ดูซีรีส์เกาหลีคงจำเรื่องนี้ได้ คือ Vincenzo เป็นซีรีส์แนวสืบสวน แนวอาชญากรรม เกี่ยวกับทนาย 2 คน พระเอกเป็นทนายมาเฟียเกิดที่อิตาลี แต่เป็นชาวเกาหลี ชื่อ วินเชนโซ กาซาโน ส่วนนางเอกเป็นทนายความที่เกาหลี เรื่องนี้เป็นซีรีส์ที่ฮิตมากในปีที่แล้ว 2564 ที่สำคัญคือเนื้อหาของ Vincenzo นั้น สะท้อนให้เห็นถึงความเน่าเฟะของระบบธุรกิจในเกาหลี และมีความจำเป็นต้องใช้ทนายมาเฟียอย่างเช่นวินเชนโซ ที่ไม่ได้ใช้ความสามารถทางกฎหมายอย่างเดียว แต่ต้องใช้ความสามารถในลักษณะที่เป็นลูกนักเลง เล่นแบบสไตล์มาเฟียแก้ปัญหา หรือซีรีส์เรื่อง สเตรนเจอร์


หรือชื่อว่า Forest of Secret เป็นซีรีส์เกาหลีเรื่องการธุรกิจในแวดวงอัยการและตำรวจที่ใช้อำนาจหน้าที่ในทางที่ผิดเพื่อช่วยเหลือผู้มีอิทธิพลจนเกิดการฆาตกรรม และโศกนาฏกรรมตามมา

ซีรีส์เรื่อง สเตรนเจอร์ ได้รับการยกย่องจากหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ ว่าเป็นการแสดงซีรีส์ทางทีวีที่ดีที่สุดในปี 2017 หรือจะดูอีกเรื่องหนึ่ง คือ Partners for Justice


นำเสนอเรื่องสืบสวนสอบสวนของแพทย์นิติเวชและอัยการ ในสังคมเกาหลีนั้น อัยการเป็นเจ้านายตำรวจ เพราะฉะนั้นอัยการจะเป็นผู้นำในการสืบสวนสอบสวน ตำรวจจะเป็นลูกมือให้ ตรงข้ามกับเมืองไทย หรือซีรีส์ในเรื่อง ARGON ซีรีส์นักข่าว ทำให้รู้ว่านักข่าวนั้นต้องทำข่าวแข่งกับเวลา รวดเร็ว ฉับไว ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง แต่ต้องรักษาเรตติ้งรายการ ไม่ให้รายการโดนยุบ


ผมสามารถจะไล่ไปเรื่อยๆ Start-Up ซีรีส์เกี่ยวกับคนรุ่นใหม่ที่ร่วมกันก่อตั้งธุรกิจ Start-Up ขึ้นมา มีทั้งเรื่องราวของความรัก ความดรามาในเรื่องครอบครัวและธุรกิจ โดนใจคนหนุ่มคนสาวยุคนี้ที่มีความฝันอยากจะเริ่มทำธุรกิจของตัวเอง หรือตัวอย่างล่าสุด ที่กำลังออกอากาศ เรื่องใหม่ เรื่อง FORECASTING LOVE & WEATHER เรื่องราวพูดถึงกลุ่มคนที่ทำหน้าที่พยากรณ์อากาศในกรมอุตุนิยมวิทยาเกาหลี ความน่าสนใจคือการนำเรื่องราวของความรัก กับเรื่องราวของสภาพอากาศ มาบูรณาการและผูกเป็นเรื่องเป็นราว FORECASTING LOVE & WEATHER ในขณะนี้ถึงตอนที่ 6 แล้ว วันเสาร์นี้ หรือวันอาทิตย์ จะเป็นตอนที่ 7 อาทิตย์หน้าก็เป็นตอนที่ 8 เข้าใจว่าคงมี 16 ตอนจบ


เป็นการนำเสนอถึงการทำงานในสายงานที่เกี่ยวกับการพยากรณ์อากาศอย่างจริงจัง ในแต่ละตอนนั้น คนแสดงใช้ศัพท์เกี่ยวกับการพยากรณ์อากาศของกรมอุตุนิยมวิทยามาเป็นจุดเชื่อมในเรื่องความรัก เท่าที่ทราบ ทีมเขียนบทใช้เวลาศึกษาข้อมูล กว่าจะเรียบเรียงออกมาเป็นบทได้ นานถึง 3 ปี

อีกเรื่องหนึ่ง ผมจะยกตัวอย่างให้ฟัง ผมต้องยกตัวอย่างซีรีส์เกาหลีหลายๆ ตัวอย่างให้ฟัง แล้วเดี๋ยวผมจะสรุปให้ฟังว่าทำไมเกาหลีเขาทำได้ ประเทศไทยติดขัดตรงไหนถึงทำไม่ได้


เรื่อง LAWLESS LAWYER ชื่อไทยคือ ทนายสายเดือด พระเอกชื่อ อีจุนกิ เป็น "บงซัลพิล" นางเอก ชื่อ ซอเยจี เป็น "ฮาแจยี" เรื่องนี้เป็นเรื่องทนายมาเฟียอีกคนหนึ่ง พอโตมาจากมาเฟียแล้วมาเรียนกฎหมาย มีลุงเป็นมาเฟีย แต่ทนายมาเฟียคนนี้ตัดสินใจกลับมาที่บ้านเกิดเมืองนอนของตัวเอง เพราะว่าที่บ้านเกิดเมืองนอนของตัวเองนั้น มีหัวหน้าผู้พิพากษาจังหวัดนั้นเป็นคนที่ฉ้อราษฎร์บังหลวง รับสินบาทคาดสินบน แล้วสร้างภาพเพื่อให้ตัวเองได้ไปเป็นผู้พิพากษาฎีกาอยู่ในกรุงโซล ทนายคนนี้แฉทุกเรื่อง ฉีกหน้ากากของหัวหน้าผู้พิพากษาคนนั้นออกมา แล้วก็มีความสลับซับซ้อนถึงการที่ผู้พิพากษาคนนี้ไปโกหกและได้มีส่วนในเหตุฆาตกรรมที่ตัวเองปกปิดอยู่


หรือแม้กระทั่งเรื่อง MY NAME ชื่อภาษาไทยไม่มี นางเอกชื่อ "ฮันโซฮี" เป็นดาราคนที่แสดงเป็นนางเอกชื่อ "ยุนจีอู" พูดถึงเด็กคนหนึ่งเรียนโรงเรียนมัธยมปลาย จะจบแล้ว มีพ่อเป็นตำรวจซึ่งเป็นสายลับ แล้วกรมตำรวจส่งเข้าไปเป็นมาเฟีย แล้วพ่อก็ถูกฆ่าตาย เด็กคนนี้เป็นเด็กหัวแข็ง และมุ่งมั่นที่จะได้รับความรักจากพ่อ พอพ่อตายแล้วตัวเองก็ไม่ได้เรียนหนังสือ เข้าไปในวงการมาเฟียเพื่อสืบหาคนที่ฆ่าพ่อ จนกระทั่งได้ไปพบหัวหน้ามาเฟียตัวใหญ่ ซึ่งมาอุปการะเธอ เพื่อให้เธอเจริญเติบโตมาแล้วทำตัวเป็นสายให้กับตัวเขา โดยให้เด็กคนนี้เข้าไปเป็นตำรวจ และในที่สุดแล้วก็จบลงด้วยการที่เด็กคนนี้ก็ไปตัดสินความเป็นความตายกับหัวหน้ามาเฟียที่สนับสนุนเธออยู่ แล้วเธอก็เป็นตำรวจ กลับไปเป็นตำรวจอย่างสมศักดิ์ศรี

หรืออีกเรื่องล่าสุดก็คือเรื่อง "ปักหมุดรักฉุกเฉิน" ท่านผู้ชมหลายคนคงดูมาแล้ว ภาษาอังกฤษเขาเรียก "CRASH LANDING ON YOU" พระเอกชื่อ "ฮยอนบิน" นางเอกชื่อ "ซนเยจิน" ซึ่งเป็นคู่พระ-คู่นางที่โด่งดังมาก และพบรักกันในเรื่องนี้ คือนางเอกเป็นประธานกรรมการบริษัทที่มีอำนาจ ที่มีธุรกิจที่ใหญ่โตมโหฬาร แล้วก็ไปเล่นเครื่องร่อน แล้วปรากฏว่าร่อนลงไปในเขตของเกาหลีเหนือ และไปพบรักกับพระเอก ซึ่งพระเอกเป็นทหารเกาหลีเหนือ คือพล็อตดูเหมือนธรรมดา แต่ซับซ้อน แต่พล็อตที่ซับซ้อนนั้นก็ถูกนำออกมาเผยแพร่ในลักษณะที่ดูแล้วเข้าใจและอินกับเรื่องราว


ท่านผู้ชมครับ นี่ตัวอย่างที่ผมยกให้ดู ขณะที่บ้านเรา สิ่งที่เกิดขึ้นคือละครไทยมีแต่ความตื้นเขินเรื่องอาชีพตัวละคร จะสังเกตได้ว่าไม่มีละครไทยเรื่องไหนที่จะเน้นไปที่หน้าที่การงานของตัวละครหลัก ต่อให้มีก็เล่าแบบผ่านๆ เล่าแบบผ่านๆ จริงๆ เหมือนกับว่า คนเขียนบทขี้เกียจ หรือคนเขียนบทนั้นเข้าไม่ถึงบทที่ตัวเองเขียน แล้วตัวละครไทยก็เล่นประเภทสุกเอาเผากิน เอาง่ายเข้าว่า เพราะถ้าหากจะต้องลงรายละเอียด อย่างเช่นอาชีพหมอ จะต้องเข้าใจว่าเป็นหมอผ่าตัดหัวใจ จะมีประเด็นอะไร ผมคิดว่าดาราไทยอีกหลายคนคงปวดหัวกับเรื่องนี้ สู้เอาฉากจิกหัวแล้วก็ตบหน้ากัน แล้วก็ด่าทอกัน แล้วก็แย่งมรดก หรือเล่นเป็นผีมาหลอกชาวบ้าน มันดูง่ายกว่า

เท่าที่ดูแล้ว ปัญหาใหญ่ของเมืองไทยคือคนเขียนบท มือไม่ถึงสักคน มือไม่ถึง อาจจะเป็นเพราะสิ่งแวดล้อม การทำละครในเมืองไทยนั้น ที่ตลกที่สุดก็คือว่า เนื่องจากว่าละครในเมืองไทยจะกี่ช่อง จะช่อง 3 ช่อง 7 ช่องอะไรก็ตาม ช่อง ONE ละครจะต้องโด่งดังภายในไม่เกิน 2-3 ตอนแรก เพื่อเรียกเรตติ้ง จะได้มีโฆษณาเข้า แต่การปูพื้นฐานเรื่องเพื่อให้พื้นฐานมันแน่นหนา และสนุกสนาน ในลักษณะแวดวงพาณิชย์ของไทยนั้น ใช้การไม่ค่อยได้ เพราะว่าโฆษณาจะเข้าช้า เนื่องจากว่า เฮ้ย ละครเรื่องนี้สามตอนแล้ว เรตติ้งยังต่ำอยู่ จริงๆ มันอาจจะดังขึ้นมาตอนที่ 5 ตอนที่ 6 แต่เขามองว่าเขาเสียเวลาไป 5 ตอนแล้ว เขาไม่มีเงินเข้ามา เพราะฉะนั้นก็เลยไม่มีการศึกษา ค้นคว้า ทำข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับรายละเอียดของอาชีพแบบที่คนอาชีพนั้นๆ คนในวงการนั้นๆ ดูแล้วรู้สึกว่า เออ ใช่ มันทำออกมาได้สมจริง รู้จริงแฮะ สะท้อนเรื่องราวและปัญหาที่แท้จริง

ละครไทยนั้น ตัวละครชายก็อาจแค่ใส่สูท ผูกไท ตัวละครหญิง แต่งตัวสวยงาม เดินกรีดกรายเข้ามาในบริษัท แต่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการเจาะลึกของวิถีการทำงานในแต่ละอาชีพแบบจริงๆ ต่างจากละครซีรีส์เกาหลีที่ให้ความสำคัญในเรื่องดังกล่าว แทบจะเป็นอันดับต้นๆ ก็ว่าได้

แต่ท่านผู้ชมครับ ละครไทยนั้นติดอยู่ที่กรอบวัฒนธรรม ปัญหาการเสนออาชีพสายงานต่างๆ ของละครไทยลงลึกไม่ได้ จริงๆ แล้วอยู่ที่กรอบวัฒนธรรมบ้านเรา ในซีรีส์เกาหลี เราจะเห็นเรื่องราวของหมอชั่ว อัยการเลว ผู้พิพากษาขี้โกง ตำรวจเป็นโจรเสียเอง แม้กระทั่งนายกฯ ยังเป็นตัวโกง เลิฟซีนที่สมจริงสมจัง ซึ่งเมืองไทยเรื่องต่างๆ เหล่านี้เป็นกรอบที่แตะไม่ได้เลย มันก็เลยไม่สามารถสะท้อนให้เห็นภาพสังคมที่แท้จริง

ส่วนเกาหลีจะวิพากษ์วิจารณ์แบบตรงไปตรงมา แล้วประชาชนที่ดูนั้น ถ้าไม่ได้รับความยุติธรรมจากตำรวจ ก็ไม่ได้รับความยุติธรรมจากอัยการ แล้วก็เป็นที่เชื่อมั่นว่าคนที่อยู่ในอำนาจ มีอำนาจกฎหมายในมือ ตลอดจนรัฐมนตรี หรือ ส.ส. หรือนายกรัฐมนตรีนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นคนขี้โกง เมื่อเกาหลีเขาไปทำในเรื่องนี้ มันก็เลยทำให้โดนใจคน สะใจ ใครจะไปรู้ในเรื่อง LAWLESS LAWYER - ทนายเดือด เอาความฉ้อฉล ฉ้อราษฎร์บังหลวงของผู้พิพากษาออกมาเปิดเผยให้เห็นว่าจริงๆ แล้วผู้พิพากษาที่เลว ยังมีอยู่ ไม่ใช่ว่าไม่มี อัยการที่เลว ยังมี ไม่ใช่ว่าไม่มี แต่กรอบพวกนี้ในเมืองไทยเราทำไม่ได้ ทำไม่ได้เด็ดขาด เพราะมีกรอบอยู่ อาจจะเป็นตรงนี้ก็ได้


ผมยกตัวอย่างให้ฟังง่ายๆ ภาพยนตร์เกาหลี ซีรีส์ชื่อ Dr. Romantic แม้จะเป็นเรื่องชีวิตหมอในโรงพยาบาลต่างจังหวัด แต่เขาสอดแทรกความเหลื่อมล้ำ หมอที่เห็นแก่เงิน มองแต่ผลประโยชน์มากกว่าจรรยาบรรณของแพทย์

อีกเรื่องหนึ่ง คึอ ITAEWON CLASS เป็นเรื่องของการต่อสู้ทางธุรกิจ แต่สะท้อนความเอารัดเอาเปรียบ ความไม่เป็นธรรม และความเหลื่อมล้ำของคน ออกมาตีแผ่อย่างน่าเจ็บปวดที่สุด


อีกเรื่องหนึ่งซึ่งเป็นที่กล่าวขวัญกันมาก คือ สเตรนเจอร์ เป็นเรื่องของอัยการ กับตำรวจ ที่สะท้อนปัญหาคอร์รัปชันในวงการนักการเมือง ข้าราชการ รัฐบาล ได้อย่างถึงพริกถึงขิง เหมือนกรณีของหน้ากากอนามัยที่หายไปในเมืองไทย ถ้ามีการทำซีรีส์ออกมาอย่างชัดเจน แล้วเป็นเรื่องสมมุติขึ้นมา แต่เป็นเรื่องสมมุติที่ใกล้กับความเป็นจริง ผมเชื่อว่าคนจะชอบดูมาก แต่คำถามคือ จะมีใครกล้าทำบ้างล่ะ ? ลองทำขึ้นมาสิ คุณจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ พรรคประชาธิปัตย์ ก็ต้องโวยวายออกมาว่าดูถูกกระทรวงพาณิชย์ โน่นนี่นั่น แต่คนที่เข้าใจเรื่องราวและเห็นด้วย ก็จะเป็นคนดู อาจจะเป็นตรงนี้มั้งท่านผู้ชมครับ


ภาพยนตร์บางเรื่องโด่งดังมาก อย่างเช่น ชนชั้นปรสิต หรือที่เรียกว่า PARASITE เป็นภาพยนตร์ในเกาหลีใต้ที่คว้า 4 รางวัลออสการ์ในปี 2563 เป็นภาพยนตร์ยอดเยี่ยม Best Picture ผู้กำกับยอดเยี่ยม Best Directing ภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยม Best International Feature Film บทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม Best Original Screen Play ภาพยนตร์เรื่องนี้มีเนื้อหาสะท้อนเรื่องราวการเสียดสีสังคมที่โหดร้าย โดยมีการบอกเล่าผ่านตัวละคร จาก 2 ครอบครัวที่มีชนชั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ครอบครัวหนึ่งดำรงชีวิตอย่างยากจน อาศัยอยู่ภายในห้องใต้ดินขนาดเล็ก อีกครอบครัวมีชีวิตที่ร่ำรวย อาศัยอยู่ที่บ้านสุดหรูหลังใหญ่

ท่านผู้ชมครับ โดยสรุปแล้ว ผมคิดว่า ผมยังเชื่อว่าผู้กำกับไทย และนักเขียนบทไทย ที่ดีๆ ยังมีอยู่ เป็นเพียงแต่ว่าสิ่งแวดล้อมและกรอบวัฒนธรรมนั้น ไม่เอื้อให้คนพวกนี้ได้แสดงความสามารถ เหมือนอย่างกรณีการตายของนิดา ถ้าเป็นเกาหลี เป็นซีรีส์ออกมาอย่างแน่นอนที่สุด เล่าถึงชีวิต ประวัติของเธอ ว่าเป็นอย่างไรบ้างตั้งแต่เด็ก ในระหว่างทางโดนใครรังแกมาบ้าง โดนใครหลอกมาบ้าง เธอต้องทำงานเพื่อต่อสู้เพื่อให้พ่อของเธอมีความสุข ให้พ่อเธอสบาย และเธอต้องผ่านความขมขื่นในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นความรัก หรือการแต่งงาน แล้วมาจบสุดท้ายด้วยการเสียชีวิตของเธอ แต่เผอิญละครซีรีส์แบบนี้ มันจะไปกระทบกระเทือนคนหลายคน ท่านผู้ชมจำได้ไหม บางครั้งแค่ละครไทยบางเรื่องทำเรื่องขึ้นมาในศาล แล้วตำหนิอัยการ แค่นั้นก็เป็นเรื่องเป็นราวแล้ว อัยการตั้งทีมขึ้นมาต่อว่าต่อขานว่าจะฟ้องร้อง โน่นนี่นั่น นี่คือการหยุดยั้งและยับยั้งการเจริญเติบโตทางความคิดสร้างสรรค์ในการสร้างเนื้อหาสาระในเรื่องความบันเทิงที่อิงความจริง

เพราะฉะนั้นแล้ว ละครไทยก็เลยไม่ได้สะท้อนความจริงของสังคมไทย ในขณะที่ละครเกาหลีได้สะท้อนความเป็นจริงของสังคมเกาหลี และทำให้ประชาชนที่ดูได้อินกับเรื่องกับราว เหตุการณ์ อิงว่านายกรัฐมนตรีขี้โกงก็มี อิงว่า ส.ส.ขี้โกงก็มี อิงว่าอัยการรับเงินพวกแชโบล คือบริษัทใหญ่ๆ อย่างเช่น ซัมซุง แอลจี ฮุนได หรือประธานกรุ๊ปต่างๆ ที่เอาเงินซื้ออัยการ ซื้อตำรวจ ซื้อผู้พิพากษาได้ แต่เผอิญมาเจอนักสู้คนหนึ่งซึ่งเป็นทนายความและไม่ยอมแพ้


 แต่เมืองไทยทำแบบนี้ไม่ได้ อาจจะเป็นตรงนี้ก็ได้ที่ทำให้โอกาสที่ละครไทยเราจะก้าวไปในลักษณะแบบเดียวกับที่เกาหลีเป็นนั้น อาจจะยากมาก

แน่นอนที่สุด ท่านผู้ชมครับ ปัญหาสังคม ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ก็คือคนรวย-คนจน คนรวยคือคนที่มีเงิน และเป็นคนที่มีอิทธิพลในการใช้เงินใช้ทอง ถ้าเกิดไปทำกลุ่มคนรวยกลุ่มหนึ่งมาแล้วมีธุรกิจอยู่ทั่วประเทศไทย หรือยิ่งใหญ่มาก เดี๋ยวก็โดนตัดสปอนเซอร์ไปอีก ทีวีแต่ละช่องก็ไม่ยอมให้ออกอีก นักเขียนบทก็เขียนไม่ได้ เมื่อเขียนไม่ได้ ละครก็ไม่มีออก นักเขียนบทก็ตกงาน ก็เลยต้องเจออย่างคุณกังฟู เอาเรื่องตลก เอาเรื่องผี เอาเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกัน ขายทิ้่งไปวันๆ แล้วหาความบันเทิงให้คนดูง่าย เข้าใจง่าย และหัวเราะง่าย และร้องไห้ง่าย แค่นั้นจบ

เพราะฉะนั้นแล้ว ละครไทยจะไม่มีวันได้สะท้อนความเป็นจริงของสังคมไทยได้อย่างแน่นอนที่สุด เทียบไม่ได้เลยกับซีรีส์เกาหลี ด้วยเหตุนี้คงไม่ตำหนิผมว่าทำไมผมถึงชอบดูซีรีส์เกาหลี


ท่านผู้ชมครับ สำหรับท่านผู้ชมที่ดูผ่านยูทูป ท่านผู้ชมอย่าลืมกด SUBSCRIBE นะครับ และกดกระดิ่งแจ้งเตือนด้วย เวลามีไลฟ์หรือคลิปใหม่จะได้รับทราบทันที ส่วนเฟซบุ๊กนั้น ก็อย่าลืมกด FOLLOW แล้วก็เลือก See First ด้วย ส่วนท่านผู้ชมที่ดาวน์โหลด Sondhi App เอาไว้ทางแอปฯ มีระบบแจ้งเตือนคลิปใหม่ แบบรวดเร็ว ใครดาวน์โหลดแล้วสามารถเข้าไปดูไลฟ์ในแอปฯ ทันที ย้ำเตือนครับ แฟนๆ ที่ดาวน์โหลด Sondhi App ตอนนี้ระบบจ่ายเงินค่าสมาชิกเปิดเก็บค่าบริการแล้ว เดือนละ 99 บาท ถ้าท่านผู้ชมสมัครเป็นรายปี จะคิดแค่ 990 บาท ดูฟรี 2 เดือนนะครับ

ท่านผู้ชมครับ วันนี้รายการก็มีอยู่เพียงแค่นี้ อาทิตย์หน้าอาจจะมีเรื่องเยอะ แต่ยังไม่ทราบ ต้องดูเหตุการณ์ก่อนว่าจะมีเรื่องอะไรเข้ามาไหม แต่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม จะเป็นรายการให้ปัญญากับท่านผู้ชมตลอด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม สวัสดีครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น