xs
xsm
sm
md
lg

[คำต่อคำ]SONDHI TALK : “ตำรวจ-ทหาร-นักการเมือง กับขบวนการค้าแรงงานต่างด้าว” - “ฉีกหน้ากาก อีแอบ ขบวนการล้มล้าง”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



วันที่ 19 พ.ย.64 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ไลฟ์สด “SONDHI TALK” ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ คุยทุกเรื่องกับสนธิ และช่องยูทูป Sondhitalk โดยสิ่งที่จะเล่าในวันนี้ เริ่มจากการไว้อาลัยต่อการจากไปของ อ.สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ และ ยศ เอื้อชูเกียรติ, ฉีกหน้ากากม็อบล้มล้างการปกครองกับแก๊งอีแอบ การพบกันของสองผู้นำชาติมหาอำนาจ ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีน กับ โจ ไบเดน เป็นที่จับตาจากผู้คนทั่วโลกว่าจะมีผลลัพธ์ออกมาเช่นไร และสุดท้าย ขบวนการขนต่างด้าวเข้าเมือง เปิดประเทศปุ๊บ แรงงานต่างด้าวเถื่อนทะลักปั๊บ!! ลากไส้ทั้งขบวนการ ตำรวจ-ทหาร-ข้าราชการ-นักการเมือง แฉยันผู้มีอำนาจเบื้องหลัง ติดตามได้ใน SONDHI TALK : ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง Ep.112



คำต่อคำ SONDHI TALK [19 พ.ย. 64] : ตำรวจ-ทหาร-นักการเมือง กับขบวนการค้าแรงงานต่างด้าว

ช่องทางการรับชมรับฟัง "คุยทุกเรื่องกับสนธิ"หรือ SONDHI TALK
เฟซบุ๊กแฟนเพจ : คุยทุกเรื่องกับสนธิ
YouTube : Sondhitalk
เว็บไซต์ : www.sondhitalk.com
Podcast หรือ podbean : SONDHI TALK

สวัสดีครับท่านผู้ชม วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564 เผลอประเดี๋ยวเดียวก็เลยกลางเดือนพฤศจิกายน ไปแล้ว อีกไม่กี่วันก็จะขึ้นธันวาคม แล้วก็สิ้นปี

ท่านผู้ชมครับ วันนี้มีเรื่องราวหลายเรื่องราวที่จะเล่าให้ฟัง และผมอยากจะบอกให้ทราบกันนิดหนึ่งเรื่องเกี่ยวกับยอดเงิน เรื่องการทำบุญ ผมจะสรุปยอดกฐินและทำบุญประจำปี 2564 ตั้งแต่วันที่ 8 ตุลาคม จนถึงวันที่ 17 พฤศจิกายน 2564 เงินทั้งหมดที่บริจาคเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นรายเล็กรายน้อย หรือรายที่แลกกับพระ เท่าที่ทราบกัน ตลอดจนรายใหญ่ๆ บริษัทห้างร้านต่างๆ บุคคลต่างๆ รวมเงินเข้ามาทั้งสิ้น 31,037,732 บาท


เราได้ไปทำบุญที่ไหนบ้าง ? เราไปทำบุญที่วัดป่าบ้านตาด วัดของหลวงตามหาบัว ญาณสันปันโน 10.5 ล้านบาท วัดป่าภูแปก ญาณสัมปันโน จ.เลย 5 ล้านบาท วัดป่าวังศิลา จ.เชียงราย 3 ล้านบาท วัดป่าดอยลับงา เอาไปสร้างเจดีย์ของหลวงตามหาบัว 6 ล้านบาท กองทุนผ้าป่ามหากุศล โรงพยาบาลบึงสามพัน จ.เพชรบูรณ์ 3 ล้านบาท วัดเขาตะคร้อ จ.นครสวรรค์ 7 แสนบาท วัดเขาไกรลาส จ.ประจวบคีรีขันธ์ 5 แสนบาท


และเราก็เอาเงินนี้ไปร่วมทำบุญงานศพของอาจารย์สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ 1 แสนบาท เรามีค่าใช้จ่ายในการบรรจุและไปรษณีย์พระให้กับผู้ที่ร่วมทำบุญ 75,805 บาท สรุปแล้วเรายังมีเงินคงเหลือจากการทำบุญ 2,161,927.48 บาท ทั้งหมดนี้เราจะทำเป็น Info Graphic ขึ้นให้ท่านผู้ชมดู แล้วก็เป็น Info Graphic ที่แปะโพสต์ไว้ในรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" ทุกบาททุกสตางค์มีที่มาและมีที่ไปทั้งสิ้น ไม่มีขาดตกบกพร่องอะไรทั้งสิ้น

ท่านผู้ชมครับ อาทิตย์นี้เรามียอดการแจกฟ้าทะลายโจร (ฟทจ.) เหมือนเดิม ตอนนี้เราแจกไปร่วม 5 แสนกระปุกแล้ว หรือประมาณ 40 ล้านเม็ด ก็ถือว่าเยอะมาก สัปดาห์นี้เราส่งไปที่สมาคมธรรมเกษตรวิถีเพื่อชีวิตและสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน จังหวัดเชียงราย กองร้อยทหารราบที่ 2513 อำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา


อำเภอบ้านฝาง ขอนแก่น อำเภอนาทวี จังหวัดสงขลา อ่าวลึก จังหวัดกระบี่ อำเภอเมืองสงขลา อำเภอเมืองสตูล อำเภอนาบอน จังหวัดนครศรีธรรมราช อำเภอเมืองยะลา อำเภอสันทราย เชียงใหม่ อำเภอแม่แตง เชียงใหม่ และบุคคลทั่วไปที่ขอมา

ท่านผู้ชมครับ อาทิตย์นี้เรามีเรื่องราวที่เราจะพูดอยู่หลายเรื่อง ตามเรามาก็แล้วกันนะครับ เราจะพูดถึงเรื่องการสูญเสียของคน 2 คน ในอาทิตย์ที่ผ่านมานี้ คือ คุณสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และคุณยศ เอื้อชูเกียรติ ลองมาฟังดูว่ามันมีความเหมือนในความแตกต่างกันตรงไหน และความแตกต่างในความเหมือนอย่างไร

เรื่องที่สองก็คือ พูดถึงเรื่องเบื้องหน้าเบื้องหลังจริงๆ ของขบวนการที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าเป็นขบวนการล้มล้างการปกครองนั้น ผมแจกแจงรายละเอียด และผมเอาตรรกะและเหตุผล ประจักษ์พยาน มาชี้ให้เห็นว่าพวกนี้เป็นพวกที่ทำอะไรแล้วลืมตัว แล้วก็โกหก ไม่ได้พูดความจริงขึ้นมา โดยบอกว่าต้องการปฏิรูป ไม่ใช่ต้องการปฏิวัติ แต่ในหลักฐานข้อเท็จจริงแล้วมันไม่ใช่เช่นนั้น

เรื่องที่สาม เผอิญผมได้เห็นเรื่องเกี่ยวกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี มาสักพักหนึ่งแล้ว และผมก็มีความรู้สึกส่วนตัวของผม ก็จะอธิบายให้ท่านผู้ชมฟังวันนี้ เผอิญผมมีเรื่องที่เปรียบเทียบกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมจีน ฉบับที่ 14 เป็นระยะเวลา 5 ปี ซึ่งผมจะชี้ให้เห็นข้อแตกต่างว่าข้อแตกต่างระหว่างยุทธศาสตร์ 20 ปี ของเรา กับแผนพัฒนาฯ ของเขา ใน 5 ปีข้างหน้า มีอะไรบ้าง ที่มันชัดเจน จะเห็นได้ชัดว่าการทำงานที่แท้จริงนั้น เราสู้ชาติอื่นเขาไม่ได้เลย ของเรายังมัวมะงุมมะงาหราอยู่ในเรื่องเก่าๆ ในขวดเก่าๆ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่นิดเดียว แล้วผมจะชี้ให้ดูว่าทำไมยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ถึงออกมาแบบนี้

เรื่องที่สี่ เป็นเรื่องที่ทุกๆ คนอาจจะสนใจ จะสนใจมากหรือน้อยแล้วแต่ความสนใจของแต่ละคน คือเป็นการพบปะกันครั้งแรกของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐอเมริกา และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของประเทศจีน โดยพบปะกันทางออนไลน์ มีนัยอย่างไรบ้าง ผมจะอธิบายและแปลความหมายของการพบปะครั้งนี้ ต้องอธิบายความระหว่างบรรทัดที่แต่ละคนพูดออกมาว่าตกลงแล้วเขาคุยกันเรื่องอะไรบ้าง และอะไรบ้างที่เขาเห็นด้วยกัน และเห็นต่างกัน

และเรื่องสุดท้าย มันเป็นเรื่องที่เคยพูดมาแล้วหลายครั้ง แต่ครั้งนี้ก็เริ่มมีมากขึ้นกว่าเก่าเยอะ คือขบวนการค้าแรงงานต่างด้าวเถื่อน ซึ่งขณะนี้พุ่งปรี๊ดขึ้นมาอย่างมากมายมหาศาล จนกระทั่งน่าตระหนกตกใจ เป็นเพียงแต่ว่าท่านผู้ชมยังไม่รู้เลยว่าขณะนี้ขบวนการค้าแรงงานเถื่อนฟื้นฟูกลับมา และรุนแรงกว่าเก่าอีกมากต่อมากมาย


ก่อนที่จะเข้ารายการที่จะพูดนั้น ผมจะขอเตือนท่านผู้ชมนิดหนึ่งว่า ฝุ่น PM 2.5 กลับมาอีกแล้ว นี่เป็นหน้าหนาวแล้ว ตอนนี้ฝุ่นเยอะมาก ท่านผู้ชมครับ อย่าลืมที่ผมเคยเรียนให้ทราบ เครื่องกรองอากาศที่ผมใช้มาเป็นประจำ สิบกว่าปีแล้ว ชื่อ ManNature ติดต่อได้ รีบๆ สั่งซื้อครับ ตอนนี้ยอดเหลืออยู่ไม่มากแล้ว และผมก็เชื่อว่าฝุ่นจะมีมากกว่าเก่า เพราะเป็นช่วงฤดูกาลแห่งฝุ่นกลับมาอีกครั้งหนึ่งแล้ว

ท่านผู้ชมครับ เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ 14 พฤศจิกายน จนถึงเมื่อวานนี้ มีบุคคลอยู่ 2 คน ที่เสียชีวิตไป และทั้งสองคนนั้นเป็นคนที่ผมรู้จักอย่างดี เส้นทางชีวิตของคนสองคนนี้ ผมเชื่อว่าถ้าผมเอ่ยชื่อไปแล้ว ท่านผู้ชมส่วนใหญ่จะรู้จักดี เป็นเส้นทางชีวิตที่แตกต่างกันมาก สิ่งแวดล้อม การเจริญเติบโต ครอบครัว และประสบการณ์ เรียกว่าคนละแบบกันเลยครับ แต่ในที่สุดแล้วทั้งสองคนก็จบลงด้วยเป็นคนที่ดีทั้งคู่ สำหรับผมนะครับ ในสายตาผม เพราะว่าผมได้สัมผัสคนทั้งสองคนด้วยตัวผมเอง ทำให้ผมสามารถที่จะพูดแทนคนสองคนนี้ได้ คนแรกที่ผมจะพูดถึง คือ คุณสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ หรือที่ผมชอบเรียกแกว่า อาจารย์สมเกียรติ


อาจารย์สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ เป็นหนึ่งในแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นอกจากนั้นยังเคยเข้าไปร่วมเป็นแกนนำของ กปปส. ด้วย ในขณะที่ผมไม่ได้เข้าไปร่วม อาจารย์สมเกียรติ เสียชีวิตเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน ด้วยเลือดคั่งในก้านสมอง อาจารย์สมเกียรติ เป็นคนที่เคลื่อนไหวทางการเมืองมาตั้งนานแล้ว และท่านเป็นคนที่ตีนติดดิน เป็นคนที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นคนไทยที่อยู่ต่างจังหวัด และเป็นคนที่ต่อสู้มา จากพื้นบ้านขึ้นมาเรื่อยๆ จนกระทั่งเข้ามาสู่ระดับชาติ ก็คือการเป็นแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

อาจารย์สมเกียรติ เป็นคนด่านขุนทด นครราชสีมา เกิดประมาณ 2493 อาจารย์สมเกียรติ จบปริญญาตรีมาจาก มศว ศรีนครินทรวิโรฒ สาขาภาษาไทยและประวัติศาสตร์ จบปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยขอนแก่น ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต

ชีวิตอาจารย์สมเกียรติ ในช่วงต้นนั้น สามสิบกว่าปี เป็นประธานสภานิสิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ และเป็นประธานสภาคณาจารย์ของมหาวิทยาลัยราชภัฏ ซึ่งมีอยู่ 40 แห่ง อาจารย์สมเกียรติ สมรสกับคุณหน่อย หรืออาจารย์วัลลภา ซึ่งเคยเป็นครูเก่า มีบุตรสาว 2 คน

อาจารย์สมเกียรติ เป็นคนที่มีความภูมิใจในตัวเองว่ามีอยู่ 2 เรื่อง ที่ตัวเองได้ทำ คือ เป็นผู้ร่วมก่อตั้งและเป็นที่ปรึกษาของสมัชชาเกษตรกรรายย่อยภาคอีสาน และสมัชชาคนจน รวมทั้งสิ่งที่อาจารย์สมเกียรติ ภูมิใจ คือเป็นหนึ่งในห้าแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มีบทบาทอย่างสูงในการชุมนุมขับไล่รัฐบาลทักษิณ และรัฐบาลนอมินี สมัคร สุนทรเวช กับสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เมื่อปี พ.ศ. 2549 และ 2551


ชีวิตของอาจารย์สมเกียรติ เป็นชีวิตที่ไม่เคยทำอะไรเพื่อตัวเองสักเรื่องหนึ่ง เป็นคนที่ต่อสู้เพื่อมวลชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนผู้ยากไร้ อาจารย์สมเกียรติ ไม่รีรอเลยที่จะลุกขึ้นมาและนำมวลชนไปเรียกร้องสิทธิเสรีภาพ ที่สำคัญไปเรียกร้องความยุติธรรม มีอยู่ช่วงเดียว ประมาณปลายปี 2550 อาจารย์สมเกียรติ ได้ลาออกจากราชการ ลงสมัครรับเลือกตั้ง ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. ในระบบปาร์ตี้ลิสต์ ของพรรคประชาธิปัตย์ แล้วหลังจากปี 2554 จากการยุบสภาฯ อาจารย์สมเกียรติ ก็ได้ลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์

อาจารย์สมเกียรติ เข้าพรรคประชาธิปัตย์ เพราะว่าอาจารย์สมเกียรติ มีความสนิทสนมอย่างใกล้ชิดมากกับไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ ซึ่งในขณะนั้นก็เป็นผู้มีชื่อเสียง ได้รับการยอมรับ และเป็นคนที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่คนหนึ่งในพรรคประชาธิปัตย์เช่นกัน อาจารย์สมเกียรติ ในปี พ.ศ. 2556-2557 ได้ร่วมกันต่อต้านรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เป็นหนึ่งในแกนนำ กปปส. อาจารย์สมเกียรติ ถูกดำเนินคดีจากการเป็นแกนนำพันธมิตรฯ กปปส. จนถูกศาลพิพากษาจำคุก และยังมีคดีความในศาลอีกหลายคดี

ผมจำอาจารย์สมเกียรติ ได้ ในตอนแรกที่ได้มีการก่อตั้งพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในขณะนั้นอาจารย์สมเกียรติ จะมาในสายของคุณพิภพ ธงไชย คุณสมศักดิ์ โกศัยสุข ส่วน พลตรี จำลอง ศรีเมือง ท่านก็เป็นคนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับกลุ่มของอาจารย์สมเกียรติ หรือเกี่ยวข้องกับผม แต่การมาร่วมกันในยุคนั้นเพื่อก่อตั้งพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นั้น เราเห็นว่าการต่อสู้เพื่อความถูกต้อง เพื่อความยุติธรรมของสังคม มีความจำเป็นต้องรวมทุกๆ ฝ่ายกันเข้ามา


ในขณะนั้นผมเป็นคนเดียวที่ลุกขึ้นมาต่อสู้ ซึ่งอาจารย์สมเกียรติ ก็ลุกขึ้นมาต่อสู้เช่นกัน คุณพิภพ ก็ต่อสู้เช่นกัน แต่ว่าต่อสู้ในลักษณะที่มีจำนวนประชาชนที่เป็นตัวแทน ก็คือชาวบ้าน ชาวต่างจังหวัด สู้ในลักษณะเป็นแกนนำ NGO องค์กรอิสระ ส่วนผมนั้นสู้ในหลักการและมีกลุ่มชนชั้นกลางในกรุงเทพมหานครและทั่วประเทศไทยเข้ามาร่วมเป็นอันขาด ในที่สุดแล้ว คุณคำนูณ สิทธิสมาน เป็นคนเสนอความคิดขึ้นมาว่า ผมไม่ควรจะลุกขึ้นมาสู้ด้วยตัวผมเองคนเดียวตลอดไป ควรจะเอาหลายๆ คนเข้ามาร่วม หรือถ้าจะพูดตามภาษาที่นายธนาคารเรียกว่า ให้กระจายความเสี่ยง อย่าให้ภัยตกมาที่ผมคนเดียว ให้กระจายไปกับแกนนำทั้ง 5 คน แต่นั่นคือความคิดประเภทชั่วแล่นและสนุกสนานกัน

แรกๆ นั้นอาจารย์สมเกียรติ ไม่ค่อยไว้ใจผม เพราะว่าเราไม่เคยรู้จักกันมาเลย และอีกประการหนึ่งเขายังไม่รู้ว่าผมลุกขึ้นมาสู้ สู้เพื่อผลประโยชน์ หรือสู้ในหลักการจริงๆ แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป จากการประชุมร่วมกัน หลายๆ อย่าง ความคิดของแต่ละคนก็เริ่มออกมา และในที่สุดแล้ว เนื้อแท้ของแต่ละคน แต่ละคนก็สามารถจะมองเห็นได้ ในขณะนั้นคือการนำมวลชนขึ้นมาเพื่อต่อต้านอำนาจรัฐที่ทักษิณ ชินวัตร มีอำนาจอยู่ในรัฐบาล และก็มีอำนาจอย่างมากมายมหาศาล จนในที่สุดแล้ว แกนนำทั้งห้าคนก็เริ่มมความใกล้ชิดสนิทสนม


อาจารย์สมเกียรติ จะเป็นคนที่เด็ดขาด ก็คือพูดง่ายๆ ว่า จบกันเลย ได้เสีย อาจารย์สมเกียรติ เป็นคนลักษณะนี้ ก็มาเจอ พลตรี จำลอง ศรีเมือง ซึ่งเป็นคนระมัดระวังตัวมาก พลตรี จำลอง ศรีเมือง ก็เป็นคนที่ประสบการณ์ชีวิตมีมาก ก็เลยอยากให้ทำอะไรค่อยๆ ทำไป ไม่รีบร้อน อย่างเช่น มีการชักชวนในการเดินขบวนครั้งแรกนั้น กลุ่มอาจารย์สมเกียรติ ก็ยืนยันว่าน่าจะเดินไปแล้วปักหลักพักพิงเลย แต่ พลตรี จำลอง กลัวว่าประชาชนจะได้รับอันตรายจากคนที่กลั่นแกล้งหรืออำนาจรัฐ ก็บอกว่าเดินไปถึงที่แล้วก็เดินกลับมาก่อน ชิมลาง ลองเชิง

ตลอดเวลาที่คบกันนั้น ผม กับอาจารย์สมเกียรติ พูดซึ่งกันและกันน้อยมาก อาจจะเป็นเพราะว่า หนึ่ง คำพูดของผมและคำพูดของอาจารย์สมเกียรติ นั้น เป็นคำพูดที่เนื้อๆ ทั้งนั้น ไม่มีน้ำ เอาก็เอา ไม่เอาก็ไม่เอา ถ้าไม่เอาเพราะอะไร แล้วเราก็มาวิสัชนากันว่าเราจะเอาหรือไม่เอา ในที่สุดผลก็ออกมาตามมติที่เราตัดสินใจว่าเอาหรือไม่เอา ไม่ได้มีความขัดแย้งอะไรทั้งสิ้น เป็นเพียงแต่ว่าบางครั้งก็จะมีกลุ่มคนบางกลุ่มที่ติดตามอาจารย์สมเกียรติ มามาก แล้วถ้าอาจารย์สมเกียรติ ไปไหน ไปได้ ไม่ว่าจะไปอย่างไรก็ตาม ถึงจะมีคนติดตามไปน้อย อาจารย์สมเกียรติ ก็ไม่สนใจ ก็คือพูดง่ายๆ ว่า เป็นผู้กล้า ไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น

สุดท้าย อาจารย์สมเกียรติ เป็นคนที่สุขภาพไม่ค่อยดีมานานพอสมควร อาจารย์สมเกียรติ ช่วงหลังเวลาขึ้นศาลจะเห็นว่ามีลักษณะอาการเบลอ ก็คือพูดง่ายๆ ว่ามีเลือดอุดตันอยู่ที่ก้านสมองมานานแล้ว แล้วเกิดจู่ๆ วันดีคืนดี วันที่ 14 ตุลาคม ก็เกิดล้มลงมา เข้าโรงพยาบาล หมอก็บอกว่าเลือดคั่งในแกนสมอง อยู่ในขั้นที่ 4 ก็คืออันตราย ซึ่งตอนนั้น ในขณะนั้น ครอบครัวของอาจารย์สมเกียรติ ก็ทำใจไว้เรียบร้อยแล้ว แต่เผอิญกัลยาณมิตรของอาจารย์สมเกียรติ ทุกๆ คนที่ไปเยี่ยม ไม่ยอม ถึงแม้ว่าจะมีโอกาสแค่ 10 เปอร์เซ็นต์ ก็ต้องรักษากันอย่างสุดความสามารถ ก็เลยเอาอาจารย์สมเกียรติ ออกจากโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา มาสู่โรงพยาบาลกรุงเทพ นครราชสีมา แล้วก็มาผ่าตัด โดยทุกคน กัลยาณมิตรทั้งหลายก็ลงขันช่วยกัน แต่พอกลับมาอยู่บ้านแล้ว อาจารย์สมเกียรติ ก็อาการกำเริบอีกครั้งหนึ่ง แล้วก็ไปอยู่โรงพยาบาลมหาราชฯ ก็สิ้นชีวิตอย่างสงบ

ในช่วงที่ไม่มีคดีความหรืออะไรก็ตาม อาจารย์สมเกียรติ ก็จะเป็นคนที่ไปปฏิบัติธรรมเสมอ ที่สีมาอโศก ก็คือไปนั่งปฏิบัติธรรม ถวายอาหารพระ แล้วก็ไปนั่งพูดคุยกับคนใกล้ชิด ตลอดจนนั่งสมาธิที่นั่น

ผม กับอาจารย์สมเกียรติ โดนโทษจำคุกคนละ 8 เดือน โดยศาลฎีกาได้พิพากษาจำคุก กรณีที่เราบุกทำเนียบรัฐบาล โดยที่ไม่มีการรอลงอาญา นั่นก็คือสิ่งที่ผม กับอาจารย์สมเกียรติ ได้รับชะตากรรมพร้อมกัน


อาจารย์สมเกียรติ ถูกจำคุกอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ ส่วนผมนั้นถูกจำคุกอยู่ที่เรือนจำกลางคลองเปรม แต่ในที่สุดแล้ว 8 เดือนก็ผ่านไปเหมือนโกหก ก็ออกมาอีกครั้งหนึ่ง

คำวลีที่ติดปากอาจารย์สมเกียรติ อย่างมากก็คือ "ก็แล้วแต่" จริงๆ แล้ว คำว่า "ก็แล้วแต่" มันเป็นหลักธรรมขั้นสูง ก็คือพูดง่ายๆ ว่า "ยังไงก็ได้" ก็คือว่าไม่อินังขังขอบ หรือทำใจได้แล้วกับทุกๆ เรื่อง ถ้าเป็นเคราะห์ที่ตกมา อาจารย์สมเกียรติ ก็บอกว่า "ก็แหล่วแต๊" ก็คือพูดง่ายๆ ว่าเป็นคำของคนอีสานพูดกัน อาจารย์สมเกียรติ เป็นคนที่รักประชาชน รักชาติ รักศาสนา และรักพระมหากษัตริย์ อาจารย์สมเกียรติ เป็นคนที่พูดน้อย ไม่ค่อยพูด ซึ่งประจวบกับในการประชุมนั้น ผมก็เป็นคนที่พูดน้อย ก็เลยทำให้ เมื่อน้อยต่อน้อย แต่มีสาระด้วยกันทั้งคู่ ก็เลยเข้าใจกันดี

นี่ก็คือบทบาทของอาจารย์สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ผมได้ไปงานศพของอาจารย์สมเกียรติ ที่นครราชสีมา ไปแล้วก็รู้สึกเศร้า แต่ว่า "เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป" ก็เป็นปกติธรรมดาของสัจธรรม และเป็นอนิจจังจริงๆ แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าภูมิใจที่มีประชาชนมากเลย และหลายๆ คนก็มาจากกรุงเทพมหานคร เหมือนกับที่ผมมากัน คุณสุริยะใส กตะศิลา คุณพิภพ ธงไชย คุณปรีดา เตียสุวรรณ์ และหลายคน รวมทั้งคุณสำราญ รอดเพชร ก็โผล่ไปด้วย หลายๆ คนก็ไปเคารพศพอาจารย์สมเกียรติ


อาจารย์สมเกียรติ ได้บริจาคศพตัวเองให้กับโรงพยาบาลศรีนครินทร์ ของมหาวิทยาลัยขอนแก่น เพราะฉะนั้นก็เลยไม่มีการฌาปนกิจศพ เป็นผู้กล้าที่จากไป แต่ตำนานของผู้กล้านั้นก็ยังคงอยู่

ท่านผู้ชมครับ วันที่ 16 พฤศจิกายน ซึ่งก็คือวันอังคาร อีกท่านหนึ่งที่ผมรู้จักดี ก็เสียชีวิตไปเช่นกัน คือ คุณยศ เอื้อชูเกียรติ ชีวิต สิ่งแวดล้อม การเจริญเติบโตของคุณยศ ต่างกับอาจารย์สมเกียรติ ตรงกันข้ามหน้ามือเป็นหลังมือ คุณยศ เกิดมาในตระกูลที่ร่ำรวย บิดาของคุณยศ ชื่อ คุณจรูญ เอื้อชูเกียรติ มีประสบการณ์ธุรกิจมากมาย ถือว่าเป็นนักธุรกิจชั้นแนวหน้าในยุค จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งเป็นช่วงระยะเวลาส่งเสริมอุตสาหกรรมไทย ก็เลยมีการลงทุนกันโดยที่ตั้งอุตสาหกรรมผลิตพลาสติก PVC และโรงกลั่นน้ำมันแห่งแรกก่อตั้งเป็นบริษัท โรงกลั่นน้ำมันไทย หรือที่เราเรียกกันว่า ไทยออยล์ และบริษัท ไทยพลาสติกและเคมีภัณฑ์


คุณยศ เอื้อชูเกียรติ ต่างจากอาจารย์สมเกียรติ อาจารย์สมเกียรติ นั้น เรียนที่ มศว ประสานมิตร คุณยศ เอื้อชูเกียรติ ในฐานะทายาทและครอบครัวร่ำรวย ถูกส่งไปเรียนที่อังกฤษ เรียนในสาขาทางธุรกิจที่บิดาวางเอาไว้ ก็จบปริญญาตรีทางวิศวฯ โยธา ที่ University College London มหาวิทยาลัยลอนดอน ประเทศอังกฤษ ในขณะที่อาจารย์สมเกียรติ เรียนจบแล้วก็ไปเป็นครู เป็นอาจารย์ เป็นครูโรงเรียน แล้วก็ไปเป็นอาจารย์ที่ราชภัฏนครราชสีมา ถึง 31 ปี คุณยศ จบมา ก็ทำงานที่บริษัท ไทยชิปบอร์ด แล้วก็ย้ายมาทำที่ไทยพลาสติกและเคมีภัณฑ์ หลังจากนั้นแล้ว คุณจรูญ เอื้อชูเกียรติ ก็เข้ามาสู่วงการธนาคาร เข้าไปเป็นเจ้าของธนาคารเอเชีย ปี 2508 คุณยศ ก็เลยเข้ามาเป็นรองผู้จัดการใหญ่ แล้วเลื่อนขึ้นมาเป็นผู้จัดการใหญ่ในปี 2524 เป็นรองประธานกรรมการธนาคารเอเชีย


ในช่วงนั้น ปี 2540 วิกฤตต้มยำกุ้ง ทำให้ธนาคารหลายแห่งอยู่ในสถานภาพที่ง่อนแง่นมาก ธนาคารเอเชีย ก็ไม่มีข้อยกเว้น ธนาคารเอเชีย ก็เลยต้องเปลี่ยนชื่อและถูกผู้ถือหุ้นซึ่งเป็นชาวต่างชาติมาซื้อไป เผอิญคุณยศ เอื้อชูเกียรติ สนิทสนมกับท่านองคมนตรี คุณจิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา ว่ากันว่าตระกูลของคุณจิรายุ กับคุณยศ สนิทสนมกันถึงขนาดที่เรียกว่า ในขณะที่เรียนอยู่ที่อังกฤษนั้น คุณจิรายุ ไปพำนักที่บ้านของคุณยศ ที่อังกฤษ ต่อมาคุณจิรายุ ก็ไปเรียนต่อที่ออสเตรเลีย ก็เอาเป็นว่าเป็นเพื่อนรักที่สนิทสนมกันมาก


แล้วเผอิญช่วงหลัง ท่านองคมนตรี คุณจิรายุ ได้ไปเป็นผู้อำนวยการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ก็เลยดึงเอาคุณยศ ซึ่งคุณยศ ในขณะนั้น หลังจากที่ธนาคารเอเชีย ถูกเทกโอเวอร์ไปแล้วโดยต่างชาติ เอามาร่วมพัฒนาทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ คุณยศ ก็เลยเข้ามาในที่สุด เป็นประธานกรรมการบริษัท ทุนลดาวัลย์ เป็นประธานกรรมการบริษัท วังสินทรัพย์ เป็นประธานกรรมการบริษัท ไทยพลาสติกและเคมีภัณฑ์ และเป็นกรรมการบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย ตามที่ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ได้ถือหุ้นอยู่ เป็นประธานกรรมการบริหาร บริษัท ทุนลดาวัลย์ เป็นประธานกรรมการบริษัท วังสินทรัพย์

ชีวิตครอบครัวของคุณยศ เอื้อชูเกียรติ แต่งงานกับ ดร.นฎาประไพ สุจริตกุล หรือที่เรียกกันว่า คุณกี้ มีรักกันมา 28 ปี มีลูกชาย 2 คน คือ ภูมิ และภัทร เอื้อชูเกียรติ

ก่อนคุณยศ เอื้อชูเกียรติ จะเสียชีวิต คุณยศ เอื้อชูเกียรติ อยู่กับคุณนฎาประไพ สุจริตกุล มานาน แต่ไม่ได้ทำพิธีแต่งงานกันหรือจดทะเบียนสมรส ก่อนคุณยศ จะเสียชีวิตประมาณไม่กี่ปี เหมือนกันจะรู้ว่าตัวเองจะไม่อยู่แล้ว ก็เลยตัดสินใจแต่งงานกับคุณนฎาประไพ (คุณกี้) และวันแต่งงานผมก็ไปด้วย


ทำไมผมถึงต้องพูดถึงคุณยศ เอื้อชูเกียรติ มาเปรียบเทียบกับคุณสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ? ท่านผู้ชมครับ หลายท่านอาจจะคิดไปอีกแบบหนึ่ง แต่ผมขอเรียนว่า ท่านคิดผิดหมดเลย คุณยศ เอื้อชูเกียรติ โตมาในสิ่งแวดล้อมของ "ทุน" เพื่อนฝูงของคุณยศ เอื้อชูเกียรติ นั้น เอ่ยชื่อมาทุกคนก็รู้จัก อยู่ในวงการธุรกิจที่ยิ่งใหญ่มาก อดีตผู้บริหารชั้นสูงของธนาคารไทยพาณิชย์ ล้วนแล้วแต่เป็นเพื่อนของคุณยศ เอื้อชูเกียรติ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นคุณธารินทร์ นิมมานเหมินท์ คุณชุมพล ณ ลำเลียง หลายต่อหลายคน บริษัทเงินทุนธนชาต ซึ่งตอนนี้มาเป็นเจ้าของธนาคาร ธนาคารธนชาต-ทีเอ็มบี หลายคนก็เป็นคนที่สนิทสนมกับคุณยศ มาก คือพูดง่ายๆ ว่าคุณยศ อยู่ในระดับสูงสุดของสังคมในเรื่องของเงินทอง ในเรื่องของอิทธิพล อำนาจ บารมี แต่ท่านผู้ชมทราบไหมว่าคุณยศ เป็นคนที่ไม่มีใครรู้ คุณยศ คือหนึ่งในผู้สนับสนุนพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย คุณยศ จะส่งภรรยา คือคุณกี้ นฎาประไพ สุจริตกุล รวมทั้งลูกชาย ไปร่วมชุมนุมกันหลายครั้ง และคุณยศ ก็ฝากปัจจัยต่างๆ เงินทอง มาสนับสนุนกลุ่มพันธมิตรฯ ตลอดจนให้กำลังใจ

ผมได้มีโอกาสพบกับคุณยศ และสนทนากันอย่างลึกซึ้ง อย่างละเอียด อย่างชนิดที่เรียกว่าเปิดอกคุยกัน ปรากฏว่าคุณยศ เป็นคนรวยที่มองว่าประเทศไทยนั้นจำเป็นต้องปฏิรูปหลายๆ ด้าน คุณยศ เคยพูดถึงวงการตำรวจ ซึ่งก็ตรงกับที่ผมเคยพูดถึง และคุณยศ ก็ยังพูดถึงเพื่อนฝูงของคุณยศ ที่ล้อมรอบคุณยศ อยู่ เนื้อหาที่คุณยศ พูดถึงเพื่อนฝูงบางคนนั้น ทำให้ผมรู้ว่าคุณยศ ไม่ได้เป็นอย่างคนพวกนั้น คุณยศ ทำหน้าที่อยู่ที่ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ พัฒนา ปรับปรุง ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ให้มีมูลค่าเพิ่ม พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เก่าแก่ โบร่ำโบราณ ให้มีความทันสมัย และเปิดโอกาสให้คนที่อยู่เก่าได้เข้าไปอยู่ในที่ที่พัฒนาใหม่ในราคาที่สมเหตุสมผล คุณยศ จะพูดตลอดเวลาถึงความถูกต้องในสังคม ความอยุติธรรม การโกงกินของผู้มีอำนาจ ซึ่งตอนนั้นก็หนีไม่พ้นคุณทักษิณ ชินวัตร และหนีไม่พ้นพวกนอมินีของคุณทักษิณ ชินวัตร ไม่ว่าจะเป็นคุณสมชาย วงศ์สวัสดิ์ หรือคุณสมัคร สุนทรเวช


ในขณะที่เพื่อนของคุณยศ หลายคน โดยเฉพาะที่อยู่ธนาคารไทยพาณิชย์ กลับเป็นคนที่ไม่มีอุดมการณ์เพื่อชาติบ้านเมืองเลยแม้แต่นิดเดียว อาจจะมีบางคนที่มีอยู่ แต่ไม่ได้แสดงออก แต่คุณยศ ก็ไม่รีรอที่จะช่วยเหลือผมเวลาที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย อยู่ในสภาวะคับขันในเรื่องการหาเงินหาทองมาจับจ่ายใช้สอย มาดูแลและใช้จ่ายในการประท้วง คุณยศ จะนั่งคุยกับผมเป็นชั่วโมง บางทีก็ทานข้าวด้วยกัน

จากการสัมผัสและการกระทำของคุณยศ ทำให้ผมเห็นได้ชัดเจนว่า คุณยศ ไม่ใช่ลูกเศรษฐี ถึงแม้จะจบการศึกษาจากต่างประเทศที่มหาวิทยาลัยลอนดอน และเจริญเติบโตมาในสายธุรกิจ เป็นผู้จัดการใหญ่ธนาคารเอเชีย แล้วมาอยู่ช่วยงานที่สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เป็นประธานกรรมการ ทุนลดาวัลย์ ซึ่งทุนลาดวัลย์นั้นก็มีโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เยอะแยะไปหมด อันหนึ่งที่เพิ่งสร้างเสร็จไปก็คือ โครงการของอาคารต่างๆ ที่อยู่ที่ซอยหลังสวน

คุณยศ กับ อาจารย์สมเกียรติ แบ็กกราวนด์ พื้นฐานต่างกันมาก คนหนึ่งเป็นลูกชาวบ้าน เกิดที่ด่านขุนทด เรียนจบ มศว ไปเป็นครู 31 ปี ไปเป็นผู้ก่อตั้งชมรมหรือสหพันธ์ที่จะดูแลเกษตรกรและชาวบ้านที่ยากจน ทำงานร่วมกับคุณบำรุง คะโยธา นำประชาชนออกเพื่อมาเรียกร้องอิสรภาพ เรียกร้องสิทธฺเสรีภาพ เรียกร้องความยุติธรรม


ส่วนคุณยศ เอื้อชูเกียรติ โตมาท่ามกลางการถูกป้อนด้วยช้อนเงินช้อนทอง ไม่เคยลำบากในชีวิต ผ่านการศึกษาจากต่างประเทศ กลับมาทำงานระดับสูง อยู่ในแวดวงของพวกที่เขาเรียกว่าไฮโซ แต่จิตใจของคุณยศ กับ อาจารย์สมเกียรติ เหมือนกันทั้งคู่ คือจิตใจรักความยุติธรรม อยากให้ประเทศชาติดีขึ้น คุณยศ ไม่ได้ภูมิใจเลยนะกับเงินทองที่ตัวเองมีอยู่ หรือกับกิจการที่มันไปได้ดี คุณยศ มองส่วนรวมเป็นตัวตั้ง ซึ่งตรงนี้แม้กระทั่งเพื่อนของคุณยศ หลายคนก็ยังไม่รู้นิสัยคุณยศ บางทีคุยกัน เมื่อเอ่ยชื่อถึงคนบางคน คุณยศ และคุณกี้ (ภรรยา) ก็บอกผมว่า ผมไม่อยากยุ่งกับเขา ปล่อยเขาไป ผมรู้จักเขาดี จริงๆ ก็เป็นเพื่อนกันนั่นล่ะ แต่ทางใครทางมัน ผมเชื่อว่าสิ่งที่เขาทำนั้นมันไม่มีประโยชน์กับชาติบ้านเมืองเลย และผมเชื่อว่าในที่สุดแล้ว พอเขาตายลง วันที่เขาตาย เขาก็จะรู้ว่าเงินทองที่เขาสรรหามา การเอารัดเอาเปรียบจากการที่เขาอยู่ในสถานภาพกลุ่มเศรษฐกิจที่เหนือประชาชน แล้วเอารัดเอาเปรียบประชาชนนั้น มันเป็นสิ่งที่ว่างเปล่า ไม่มีความหมายในชีวิตเลย ซึ่งก็จริงท่านผู้ชม เพราะฉะนั้นผมเลยจำเป็นต้องอธิบายให้ท่านผู้ชมฟังว่า คุณยศ เอื้อชูเกียรติ ไม่ได้เป็นเศรษฐีหรือคนที่มีเงินเพียงเพราะมีเงิน แต่คุณยศ เป็นเศรษฐีในเรื่องของคุณงามความดีด้วย ซึ่งผมต้องยอมรับว่าหาได้ยาก เพราะหลายๆ คนที่คุณยศ รู้จัก ผมก็เคยได้ยินชื่อ และเคยติดตามพฤติกรรมคนพวกนี้ และผมก็ไม่เคยเห็นคุณยศ เข้าไปร่วมสังฆกรรมกับความชั่วต่างๆ ของเพื่อนคุณยศ หลายๆ คน ซึ่งผมขอไม่เอ่ยชื่อก็แล้วกัน

และที่สำคัญคือ คุณยศ กล้าพอที่จะส่งภรรยาและลูกของตัวเองเข้ามาร่วมชุมนุม และให้คุณกี้ มาบอกว่าถ้าขาดเหลืออะไรให้บอกมา และบางทีไม่ต้องบอกคุณยศ เลย คุณยศ ให้น้องชายตัวเองเอาเงินมาบริจาคให้กับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเป็นล้าน

ท่านผู้ชมครับ คน 2 คน แบ็กกราวนด์คนละแบบ เจริญเติบโตมาในสิ่งแวดล้อมคนละสิ่งแวดล้อม แต่ในที่สุดแล้ว ตายไปด้วยหลักการที่ดีทั้งคู่ ก็คือ เป็นคนดี ที่ผมยังมั่นใจว่าผมยกมือไหว้ได้โดยสะดวกใจ มีคนอีกเยอะเลย ร่ำรวยมาก มีตำแหน่งแห่งที่ในสังคมไทย อย่าว่าแต่ไหว้เลย แต่เห็นว่าคนนี้เดินตรงนี้ ผมจะเดินหนีออกไปเลย เพราะผมรังเกียจรังสีสกปรกของคนพวกนี้

ขอให้คุณยศ เอื้อชูเกียรติ และอาจารย์สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ได้ไปพบกันในที่ๆ ชอบ คุณงามความดีของคุณยศ เอื้อชูเกียรติ และอาจารย์สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ จะอยู่ตลอดไป

ผมจำเป็นต้องเอาเรื่องของคุณยศ เอื้อชูเกียรติ มาพูดให้ทุกคนทราบ จะได้ให้ทุกคนไม่เข้าใจผิดว่าคุณยศ นั้น เป็นเศรษฐี ไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้กับประชาชน ไม่ใช่ คุณยศ คือนักสู้อีกคนหนึ่ง แต่เขาเป็นเศรษฐีนักสู้เท่านั้น แต่หลักการการสู้เขาก็ไม่ได้ต่างกว่าอาจารย์สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ เท่าไร เพียงแต่วิธีการมันไม่เหมือนกัน เพราะว่าโตภายใต้สิ่งแวดล้อมที่ต่างกัน


ท่านผู้ชมครับ สิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้ มันเป็นควันหลงจากอาทิตย์ที่แล้ว ที่ผมได้อธิบายเรื่องคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ว่าม็อบสามนิ้ว และแกนนำม็อบนั้น อยู่ในขบวนการล้มล้างการปกครอง ที่ผมจำเป็นต้องเอามาพูดก็เพราะว่า มันมีขบวนการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกม็อบสามนิ้ว หรือสามกีบ นั้น พยายามบิดเบือนข้อเท็จจริงว่า สิ่งที่เขาทำนั้น เขาพยายามทำในรูปแบบของการปฏิรูป เขาไม่ได้ต้องการล้มล้าง โดยที่คุณรุ้ง ปนัสยา ได้โพสต์ลงในโซเชียลมีเดียของเธอว่า "เขาบอกว่าหนูล้มล้างการปกครอง ทั้งที่หนูขอแค่การปฏิรูป"


ท่านผู้ชมครับ ความเห็นอันนี้ในขณะนี้ทุกฝ่ายพยายามที่จะใช้วาทกรรมว่า ที่แท้จริงแล้วเขาไม่ได้ล้มล้าง เขาแค่ขอปฏิรูป ผมคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมาก ที่จำเป็นต้องเอามาพูดอีกครั้งหนึ่ง และเอาหลักฐานมาตอกหน้าความเห็นที่มั่วซั่วแบบนี้ เป็นวาทกรรมที่ปลิ้นปล้อน และผมจะอธิบายให้ฟังว่า ข้อเท็จจริงที่เด็กพวกนี้ผิดพลาด ไม่ได้ผิดพลาดเพราะตัวเอง แต่ว่าถูกผู้ใหญ่หลอกใช้ นี่ก็เป็นที่รู้กันอยู่แล้ว

แต่ที่น่าสนใจอย่างหนึ่งก็คือว่า ทิศทางที่เด็กพวกนี้ไป และผิดพลาด ตกไปในหลุมพราง กับดักที่เขาขุดล่อเอาไว้ ไม่ได้ต่างจากทิศทางของพรรคอนาคตใหม่ สมัยที่คุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นหัวหน้าพรรค

ก่อนที่จะพูดต่อไป ผมอยากจะเอาการ์ตูนที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2564 ไม่กี่วันมานี้เอง


โดยหัวข้อของการ์ตูนนี้เขียนว่า "แค่เล่นคำ" ท่านผู้ชมดูรายละเอียดของการ์ตูนดีๆ ผมจะยกตัวอย่างการ์ตูนนี้ให้ฟังก็แล้วกัน เป็นรูปของคุณรุ้ง พูดว่า "จาน...อยู่ดีๆ พวกเราไปโค่นต้นไม้นั่น เราไม่โดนข้อหาล้มล้างเหรอ?" รูปการ์ตูนนั้นก็เป็นรูปอาจารย์ที่ทุกคนก็คงจะรู้ว่าเป็นใคร บอกว่า "ไม่ต้องห่วง...เรื่องนั้นจานคิดไว้ก่อนแระ เพียงแต่ทุกครั้งที่ลงขวาน พวกเราต้อง .... พูดว่า ปฏิรูป ปฏิรูป ปฏิรูป ปฏิรูป ปฏิรูป ... ปฏิรูป ... ไม่ใช่การล้มล้าง" แต่ขวานที่ฟันลงไปนั้น ในที่สุดแล้วมันก็จะถึงจุดที่ว่าต้นไม้ใหญ่จะต้องล้ม

ท่านผู้ชมครับ ก่อนที่จะพูดถึงเรื่องข้อผิดพลาดของพวกเขา ผมจะทวนความจำของคุณรุ้ง ปนัสยา และความจำของคนที่เชียร์ม็อบสามกีบอยู่ ผมรู้ว่ามีคนหลายคนเข้ามา แล้วก็มาด่าว่าผม โน่นนี่นั่น แต่ผมคิดว่าบางครั้งเวลาคุณปักใจเชื่ออะไร เวลาคุณศรัทธาในความเชื่อที่งมงายของคุณ โดยที่คุณไม่ดูหลักฐานแล้ว ผมก็ไม่รู้จะชี้แจงคุณอย่างไร เพราะว่าของพวกคุณมันสุดกู่ไปแล้ว แต่สิ่งที่ผมจะทำคือ ผมต้องการจะพูดให้เป็นหลักฐานเก็บเอาไว้

ที่ลานพญานาค เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2563 พวกคุณยังจำได้ใช่ไหม เมื่อประมาณปีกว่าๆ ที่แล้ว คุณเรียกร้องการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ 10 ข้อ ที่คุณรุ้ง ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนากุล ได้รับใบสั่งให้อ่านบนเวที รายการ "ธรรมศาสตร์จะไม่ทน" ที่ลานพญานาค มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต


เนื้อหาที่คุณอ่านนั้น ไม่ใช่เป็นการปฏิรูป แต่เป็นการล้มเจ้าชัดเจน และนี่ก็คือประจักษ์พยานที่ศาลรัฐธรรมนูญนำมาพิจารณาชี้ขาดว่า คุณเป็นม็อบล้มล้างการปกครอง แล้วเรื่องนี้ผมเคยเตือนเอาไว้แล้วนะ ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยเตือน ผมจะสรุปประเด็นสิบข้อที่พวกคุณพูด สิบข้อที่พวกคุณรับงานมา ไม่ใช่ความคิดของคุณหรอก สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ส่งสิบข้อนี้มาให้คุณอ่าน คุณเป็นเครื่องมือของสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล คุณก็มาอ่านเลย โดยที่คุณไม่ได้พิจารณารายละเอียดว่ามันเป็นอย่างไร

คุณบอกว่า ข้อที่ 1 ขอให้ยกเลิกมาตรา 6 ของรัฐธรรมนูญ ที่ว่าผู้ใดจะกล่าวหาฟ้องร้องกษัตริย์มิได้ และเพิ่มบทบัญญัติให้สภาผู้แทนราษฎรสามารถพิจารณาความผิดของกษัตริย์ได้ เช่นเดียวกับที่เคยบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับคณะราษฎร หรือที่ผมเรียกว่า คณะโจร 2475

ท่านผู้ชมครับ พวกคุณที่ฟังผมอยู่ครับ ถ้าเรายกเลิกมาตรานี้ไปแล้ว ใครๆ ก็กุเรื่องขึ้นมาฟ้องร้องต่อศาลด้วยความเท็จ ทั้งคดีแพ่งและอาญา กระบวนการสู้คดี ต่อให้ไม่จริง พระมหากษัตริย์ก็ต้องมาประทับในคอกจำเลย กลายเป็นเป้าโจมตี นานมากกว่าจะพิสูจน์ความจริงได้

ข้อที่ 2 คุณบอกว่าขอให้ยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 รวมถึงเปิดให้ประชาชนได้ใช้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นต่อสถาบันกษัตริย์ และนิรโทษกรรมให้กับผู้ถูกดำเนินคดีเพราะวิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์ทุกคน

ข้อนี้ทำไมถึงว่าล้มเจ้า ? คำตอบ หลักการคุ้มกันประมุขของรัฐไม่ให้ถูกฟ้องร้องนั้น เป็นหลักการสากล ถ้ายกเลิก ใครๆ ก็โพสต์ใส่ร้ายป้ายสีพระมหากษัตริย์ได้ ใช่หรือเปล่า คนธรรมดามีสิทธิที่จะฟ้องร้องหมิ่นประมาทได้ แต่ไม่ใช่พระมหากษัตริย์

ข้อที่ 3 ยกเลิกพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2561 ให้แบ่งทรัพย์สินออกเป็น ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของกระทรวงการคลัง และทรัพย์สินส่วนพระองค์ ที่เป็นของส่วนตัวของกษัตริย์ อย่างชัดเจน

คำตอบมีอย่างนี้ คุณพูดอย่างนี้ แสดงว่าคุณจะไปยึดทรัพย์สินของพระมหากษัตริย์เอามาแจกจ่ายประชาชน 2475 คุณก็เห็นว่าสมาชิกคณะราษฎร ก็ทำให้เห็นแล้วไม่ใช่หรือ สุดท้ายพวกเขาทำอย่างไร ? ยึดทรัพย์สินพระมหากษัตริย์มาแจกจ่ายกันเอง ซึ่งผมเคยพูดไปแล้ว และพวกคุณเถียงอะไรไม่ออกเลย ไม่ได้เอามาพัฒนาประเทศอย่างที่อ้างก่อนปฏิวัติ

ข้อที่ 4 ตัดลดงบประมาณแผ่นดินที่จัดสรรให้กับสถาบันกษัตริย์ ให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจของประเทศ

คำตอบของผมคือ ภารกิจโครงการช่วยเหลือประชาชนของพระเจ้าอยู่หัวมีมากมาย เป็นโครงการที่มีประโยชน์ ถ้าไปลดโครงการตรงนี้ ถามว่าประชาชนจะได้ประโยชน์จากโครงการเหล่านี้หรือไม่ ถามคนงานที่ทำงานให้โครงการ ว่าเขาขาดรายได้แล้วหรือยัง


ข้อที่ 5 ยกเลิกส่วนราชการในพระองค์ หน่วยงานที่มีหน้าที่ชัดเจน เช่น หน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ ให้ย้ายไปสังกัดหน่วยอื่น และหน่วยงานที่ไม่มีความจำเป็น เช่น คณะองคมนตรี ให้ยกเลิก

คำตอบมีอย่างนี้ครับ ทุกประเทศมีหน่วยงานรักษาความปลอดภัยผู้นำอย่างเข้มงวด ไม่มีข้อยกเว้น ขนาดมีอำนาจ มีกฎหมายอยู่ทุกวันนี้ ยังมีคน พวกคุณ ชูนิ้วกลางให้กับขบวนเสด็จของสมเด็จพระราชินี องคมนตรี คือ ตัวแทนกษัตริย์ ไปทำหน้าที่แทนกษัตริย์ในแต่ละวัน จึงจำเป็นต้องมีการเดินทาง องคมนตรีทุกคนมีงานทำกันหมด เดินทางไปจังหวัดโน้นจังหวัดนี้ ไม่ได้นั่งอยู่เฉยๆ เหมือนพวกคุณ ที่ทำหน้าที่อยู่อย่างเดียว คือออกมาประท้วง

ข้อที่ 6 ยกเลิกการบริจาคและรับบริจาคโดยเสด็จพระราชกุศลทั้งหมด เพื่อกำกับให้การเงินของสถาบันกษัตริย์อยู่ภายใต้การตรวจสอบทั้งหมด

คำตอบ : ประชาชนบริจาคให้สถาบันกษัตริย์ด้วยความศรัทธา เพื่อนำไปประกอบสาธารณกุศลและสาธารณประโยชน์ การขอยกเลิกเป็นการละเมิดสิทธิของผู้บริจาค และผู้รับบริจาค หรือเปล่า ?

ข้อที่ 7 ยกเลิกพระราชอำนาจในการแสดงความเห็นทางการเมืองในที่สาธารณะ

คำตอบ : เวลาคุณชุมนุม ม็อบบอกทุกคนมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกทางความคิดเห็น แต่ห้ามสถาบันฯ แสดงความคิดเห็น แล้วจะเป็นประชาธิปไตยได้อย่างไร มันย้อนแย้งกัน

ข้อที่ 8 ยกเลิกการประชาสัมพันธ์และการให้การศึกษาที่เชิดชูสถาบันกษัตริย์แต่เพียงด้านเดียวจนเกินงามทั้งหมด

การห้ามรายงานข่าวในพระราชสำนัก คือการปิดกั้นสื่อ ละเมิดสิทธิในการรับรู้ข่าวสารของประชาชนหรือไม่ ? ข่าวพระราชสำนัก ไม่ได้บังคับให้ทุกคนดู ถ้าไม่มีใครอยากดูก็เปลี่ยนช่องไปดูอย่างอื่น เพราะข่าวราชสำนักไม่ได้ออกในเวลาเดียวกันทุกวันนี้

ข้อที่ 9 สืบหาความจริงเกี่ยวกับการสังหาร เข่นฆ่าราษฎรที่วิพากษ์วิจารณ์หรือมีความเกี่ยวข้องใดๆ เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์

คำตอบ : นี่คุณกำลังใส่ร้ายพระมหากษัตริย์ว่าฆ่าคนหรืออย่างไร

ข้อ 10 ห้ามมิให้ลงพระปรมาภิไธยรับรองการรัฐประหารครั้งใดอีก

การเขียนข้อเรียกร้องแบบนี้เพื่อจะใส่ร้ายสถาบันว่าสนับสนุนเผด็จการและการรัฐประหาร ใช่ไหม ?

นี่ไงครับ สิบข้อที่คุณพูดออกมา และคำตอบของผม นี่คือการล้มล้าง แล้วผมจะบอกให้รู้ว่าข้อผิดพลาดของพวกคุณอยู่ตรงไหน ข้อผิดพลาดของพวกคุณไม่ได้ต่างไปจากข้อผิดพลาดของคุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ตอนที่เป็นหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่


และผมได้เตือนไปแล้ว คุณธนาธร ในยุคนั้น โอหังมมังการมาก คิดว่ามีเสียงสนับสนุนมาก และประชาชนให้การสนับสนุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนรุ่นใหม่ คุณธนาธร ออกอาการห้าวเป้ง ไม่สนใจ ถึงแม้ตัวเองจะทำผิดกฎหมายในหลายๆ จุด แต่ตัวเองคิดว่าตัวเองชี้แจงได้ หารู้ไม่ว่า นั่นก็เป็นหลุมพราง กับดัก ที่มีคนวางเอาไว้ให้ แทนที่จะระมัดระวังตัว ไม่เปิดโอกาสให้ทางกฎหมายมาเอาเรื่องยุบพรรคเขาได้ กลับไม่ เพราะคิดว่าตัวเองโอหังมมังการ แน่อยู่เสมอ ไม่ได้ต่างกว่าพวกคุณ

ถ้าคุณจะเรียกร้องขับไล่ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เชิญคุณตามสบาย ถ้าคุณจงใจที่จะปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ คุณก็น่าจะเสนอประเด็นว่า คุณอยากให้สถาบันกษัตริย์นั้นมีการพัฒนาปฏิรูปเพื่อให้ทันสมัยกับยุคสมัย ผมคิดว่าเพียงแค่นี้ โดยที่คุณไม่ต้องลงรายละเอียดว่าทำอะไรบ้าง หรือถ้าคุณลงรายละเอียด ก็ลงรายละเอียดที่ไม่เป็นการล่วงละเมิดพระราชอำนาจของพระองค์ท่าน หรือไปกล่าวหาท่าน ผมคิดว่าจะมีคนเข้ามาร่วมกับคุณเยอะพอสมควร เพราะว่าหลายๆ คนก็เห็นด้วยว่าสถาบันกษัตริย์นั้นจำเป็นต้องพัฒนาและปฏิรูปให้เป็นไปตามยุค เป็นไปตามสมัย แต่คุณไม่ได้ทำอย่างนั้นเลย นอกจากไม่ได้ทำแล้ว คุณยังชั่วช้าสามานย์ พูดจาหยาบคาย หลักฐานมีหมด คนที่ไม่เห็นด้วยกับผม คุณทำใจนิดหนึ่ง คุณกลับไปดูหลักฐาน คุณคิดว่าคนที่คุณสนับสนุนอยู่ ให้ของลับ ด่าสถาบันกษัตริย์ บิดเบือนทุกอย่าง เผาสถานที่ราชการ เผาพระบรมฉายาลักษณ์ เหมือนกับแอมมี่ ไปทำที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ ด้านหน้า


ลักษณะแบบนี้คุณยังมีหน้ามาพูดว่าคุณเสนอปฏิรูปอีกหรือ นี่คุณไม่ได้ปฏิรูปนะ คุณลุกขึ้นมาก่นด่าพระมหากษัตริย์ ด่าอย่างสาดเสียเทเสีย เสียผู้เสียคน นี่คือการปฏิรูปหรือ แล้วพฤติกรรมนี้ไม่ใช่เพิ่งมีนะ มีมาตลอด

ทำไมพวกคุณไม่หยุดคิดสักนิด คิดสักนิดสิวันที่คุณขึ้นเวทีลานพญานาค วันที่ 10 สิงหาคม 2563 ตัวไหนเป็นคนยื่นข้อเรียกร้อง 10 ข้อ ให้คุณล่ะ ถ้าไม่ใช่สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ทำไมคุณไม่คิดสักนิด


เวลาผมต่อสู้เพื่อความยุติธรรมของชาติบ้านเมือง ขับไล่คุณทักษิณ ไปนั้น ผม อาจารย์สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ที่เสียชีวิตไปแล้ว พลตรี จำลอง ศรีเมือง พิภพ ธงไชย สมศักดิ์ โกศัยสุข เดินออกมาแนวหน้า นำประชาชนเพื่อเรียกร้องความถูกต้องของสังคม พวกผมไม่ได้แอบอยู่ข้างหลัง คุณยอมรับความจริงไหม่ว่า มีทั้งอาจารย์ มีทั้งหลายคน ที่แอบให้คำปรึกษาคุณ ยุยงส่งเสริมคุณ ทำไป นี่ทำนะ เราต้องออกอย่างนี้ๆ คุณยอมรับว่ามันมี ทำไมคุณไม่หยุดถามตัวคุณเองว่า เฮ้ย จาน ... จานมาร่วมสู้กับผมดีกว่า ผมยังเด็ก ความลึกซึ้งยังไม่มี จานนำ จานเป็นอาจารย์ ตำแหน่งดี เป็นครูบาอาจารย์คนจะได้เคารพนับถือ คนจะได้เอะอะอะไรก็เห็นด้วยกับอาจารย์ ผมยังเด็กอยู่ คุณไม่ได้คิดตรงนี้บ้างหรือ หรือคุณเพียงแต่อยากจะดัง คุณอยากจะมีแสงในตัวเองใช่ไหม คุณก็เลยกระโดดเข้าไปงับสิ่งที่พวกอาจารย์อีแอบทั้งหลายแอบหนุนคุณอยู่เบื้องหลัง เพื่อให้คุณไปพินาศฉิบหายด้วยตัวคุณเอง แล้วเป็นอย่างไรล่ะวันนี้ ?

คุณรู้หรือเปล่าว่าอาจารย์คุณแต่ละคนที่คุณเคารพนับถือ เบื้องหน้าเบื้องหลังมีอะไร ? คุณปิยบุตร แสงกนกกุล อาจารย์ที่คุณเคารพนับถือ คุณยังดูไม่ออกหรือว่าเขาหมกมุ่นกับการปฏิวัติฝรั่งเศสขนาดไหน แม้กระทั่งการชุมนุมครั้งหลังสุด มีการลากเอาเครื่องมือที่เรียกว่า "กิโยติน" มา


คุณจะประหารใครล่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะกิโยตินนั้นมันเป็นสัญลักษณ์สะท้อนให้เห็นถึงการประหารกษัตริย์ในฝรั่งเศส มันก็มีอยู่แค่นี้ ทำไมคุณไม่คิดตรงนี้บ้าง เพราะฉะนั้นแล้ว เมื่อศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาจากหลายๆ เรื่องที่ผมพูดออกมา ผมไม่อยากจะพูดว่าพวกเขาขุดหลุมพรางกับดักให้พวกคุณ ให้พวกคุณยะโสโอหังมมังการ คิดว่าไม่มีใครทำอะไรคุณได้ จำได้ไหม ทำไมผมถึงสงสัย ฟังให้ดีๆ นะ รุ้ง-ปนัสยา เพนกวิน-พริษฐ์ ชิวารักษ์ ภาณุพงศ์ จาดนอก (ไมค์) และอีกหลายคน ผมยังสงสัยเลยว่าตอนแรกๆ ที่คุณโดน 112 ทำไมศาลให้ประกันตัว เพราะว่ามองได้สองมิติ


หนึ่ง ศาลมองเห็นว่าคุณคงจะสำนึกตัว และไม่ทำผิดซ้ำอีก หรือสอง มีกระบวนการใดกระบวนการหนึ่งที่ปล่อยให้ศาลปล่อยตัวคุณโดยไม่ต้องเก็บตัวไว้ แค่ประกันตัวออกมา แล้วปล่อยให้คุณฮึกเหิม เพราะว่าคุณยังหนุ่มยังแน่น ยังสาว พอคุณได้รับการปล่อยตัว คุณมองว่า เฮ้ย ทำได้แล้ว ขนาดศาลยังปล่อยตัวเลย คุณก็ทำซ้ำแล้วซ้ำอีกๆ ซ้ำจนกระทั่งวันนี้ พอศาลไม่ให้ประกันตัว ไม่ปล่อยตัว อย่างเช่นกรณีล่าสุด ศาลอาญาใต้ไม่ปล่อยตัวชั่วคราวคุณรุ้ง-ปนัสยา เพราะศาลใช้คำพูดที่พวกคุณเอง ทนายคุณเองก็ยังเถียงไม่ออก เนื่องจากจำเลยได้กระทำผิดซ้ำซาก ไม่เข็ดหลาบ


ทั้งๆ ที่ได้มีการเตือนมาแล้วในการปล่อยตัวครั้งแรกว่า อย่าทำผิดซ้ำซาก แต่คุณก็ยังทะลึ่งทำผิดซ้ำซาก คำถามคือ แล้วคุณมาร้องอะไรตอนนี้ เขาขุดหลุมพรางกับดักให้คุณ คุณทะลึ่งกระโดดลงไปในหลุมนั้น เขาก็เอาดินกลบคุณสิ เห็นหรือยัง

ทั้งหมดนี้มันเกิดขึ้นเพราะว่าคุณไม่รู้จักใช้ยุทธวิธีที่ถูกต้องในการนำมวลชนเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทย เดิมทีผมยังคิดว่าพวกคุณมีสติปัญญาดีนะ เด็กรุ่นใหม่ แต่ผมดูแล้ว พวกคุณโง่บัดซบ นี่ผมพูดด้วยความช้ำใจนะ ช้ำใจที่ว่าคุณนี่โง่ฉิบหาย สู้ไม่เป็น วันนี้ถ้าคุณแตะแต่ประยุทธ์ คุณไม่แตะสถาบันกษัตริย์ คุณแตะสถาบันกษัตริย์ในประเด็นหลักๆ เฉยๆ ว่ากลุ่มผู้ชุมนุมเรียกร้องอยากให้สถาบันกษัตริย์ปฏิรูปตัวเองเพื่อให้ทันยุคทันสมัย คุณเที่ยวไปกล่าวหารัชกาลที่ 10 พูดจา คือคุณเอาข้อมูลจากสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ตอนแรก แล้วเอาข้อความจากนายสุนัย จุลพงศธร ที่อยู่ที่อเมริกา แล้วบางส่วนจากปวิน


คุณฮึกเหิมมาก ผมจำเป็นต้องพูด ส่วนพวกที่เข้ามาด่าผมเพราะว่าเป็นพวกคุณน่ะ ผมไม่สนใจคุณหรอก เพราะว่าสติปัญญาคุณโคตรจะตื้นเขิน ยังอ่านเกมไม่ออก ถ้าคุณสู้ด้วยสันติวิธีอย่างที่คุณบอก คุณอ้างว่าคุณสู้ด้วยสันติวิธี แต่วาจาคุณมันไม่สันติวิธีนี่ คุณกล่าวอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระองค์ท่านเงียบ ไม่พูดสักคำ แล้วการกระทำของคุณก็กลายเป็นเชือกที่มาผูกคอคุณไปทีละเส้นๆ ความตึงของเชือกที่ผูกคอนั้นมันค่อยๆ รัดคอคุณไป จนกระทั่งศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งออกมาอย่างนี้ คุณโทษใครไม่ได้ คุณบอกว่าศาลรัฐธรรมนูญนี้ตั้งขึ้นมาโดยผู้มีอำนาจ เอาล่ะ ไม่เป็นไร นั่นคือข้อเท็จจริง ไม่เถียง แต่ข้อเท็จจริงและประจักษ์พยานที่ศาลเอามาอ้างอิงในการพิพากษา ในการวินิจฉัยเรื่องนี้ กลายเป็นประจักษ์พยานและข้อเท็จจริงที่เถียงไม่ได้

ผมไม่รู้จะสั่งสอนอะไรคุณ แล้วคุณก็ไม่อยากจะฟังผมอยู่แล้ว แต่ผมจะพูดกับท่านผู้ชมว่า เห็นหรือยังว่า ทุกคนที่มีเรื่องมีราวอยู่ทุกวันนี้ ทำตัวเองทั้งสิ้น

ท่านผู้ชมครับ ผมเป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือ และเมื่อไม่กี่วันมานี้ สักอาทิตย์กว่าๆ ผมได้เจอข่าว ซึ่งเป็นของทั้งฝ่ายจีนออกมา และฝ่ายอเมริกาออกมา ก็คือ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ของจีน ฉบับที่ 14 สำหรับปี 2564-2568 ก็คือ 2021-2025


ผมเห็นแล้วผมต้องพูดว่าผมทึ่ง ผมก็เลยอดไม่ได้ที่จะต้องเอามาเปรียบเทียบกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ซึ่งสำหรับผมแล้ว มันคือความฝันเดิมๆ ในขวดเก่าๆ

ผมจะพูดถึงแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ของไทยก่อน ประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2561 และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ไทยจะมีแผนการพัฒนาประเทศที่วางกรอบนานถึง 20 ปี ระยะเวลาใช้ 2561-2580 ท่านผู้ชมครับ วิสัยทัศน์ 2580 ที่ตั้งไว้ คือ ประเทศไทยต้องมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน


ของไทยเรา ยุทธศาสตร์แบ่งออกเป็น 6 ด้าน

1. ยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง
2. ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน
3. ยุทธศาสตร์การพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพคน
4. ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างโอกาสความเสมอภาคและเท่าเทียมกันทางสังคม
5. ยุทธศาสตร์ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
6. ยุทธศาสตร์ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ

ท่านผู้ชมครับ ก่อนที่ผมจะลงรายละเอียดของยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ท่านผู้ชมและผมน่าที่จะมาดูกันนิดหนึ่งว่าคนที่ร่างยุทธศาสตร์เหล่านี้ น่าสนใจมาก ไม่ค่อยมีใครพูดเท่าไร เป็นข้าราชการ อดีตข้าราชการ รัฐมนตรี คนในเครื่องแบบทหาร-ตำรวจ ตัวแทนภาคเอกชนสายธุรกิจการค้าการเงิน ซึ่งก็มาจากกลุ่มที่มีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ คสช.

ท่านผู้ชมครับ เมื่อดูรายละเอียดลงไปนิดหนึ่ง จะเห็นจุดอ่อนหลายจุดซึ่งไม่มีใครพูดเท่าไรนัก

คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติทั้งหมดมี 29 คน เป็นผู้ชายทั้งหมด ไม่มีผู้หญิงเลย และอายุเฉลี่ย 63 ปี อายุน้อยที่สุด 55 ปี อายุมากที่สุด 90 ปี คือท่านพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา (อายุตอนแต่งตั้ง) กรรมการยุทธศาสตร์ชาติ เมื่อดูในมิตินี้แล้ว เป็นศูนย์รวมของผู้ชายแก่ วัยเกษียณทั้งสิ้น


ท่านผู้ชมครับ เมื่อดูหลักการของยุทธศาสตร์ชาติแล้ว ถ้าท่านผู้ชมได้ดูเหมือนที่ผมดู ก็น่าที่จะสรุปได้ตรงกันว่า ที่จะบังคับใช้ยาวถึง 20 ปี มีลักษณะที่เป็นนามธรรมค่อนข้างสูง

ยุทธศาสตร์ชาติ สรุปเนื้อหาสั้นๆ ผมสรุปอย่างนี้ พูดอีกก็ถูกอีก เราต้องให้ชาติไทยมีความมั่นคง เราต้องให้โอกาสในการเท่าเทียมกันในการใช้ชีวิต ในการทำมาหากิน ฯลฯ คือพูดร้อยครั้งก็ถูกร้อยครั้ง เป็นยุทธศาสตร์ที่พูดบนทุ่งลาเวนเดอร์ ยกตัวอย่าง ใช้คำว่า "รักษาความสงบภายในประเทศ รักษาความมั่นคงและผลประโยชน์ทางทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทางบกและทางทะเล ให้ความสำคัญกับการเพิ่มผลิตภาพการผลิตทั้งเชิงปริมาณและมูลค่า และความหลากหลายของสินค้าเกษตร สร้างอุตสาหกรรมและบริการแห่งอนาคต ปรับระเบียบการเรียนรู้และพัฒนาระบบการเรียนรู้ตลอดชีวิต เปลี่ยนโฉมครูให้เป็นครูยุคใหม่ บุคลากรภาครัฐเป็นคนดี คนเก่ง ยึดหลักคุณธรรม จริยธรรม" ท่านผู้ชมเห็นหรือยังครับ พูดอีกก็ถูกอีก ที่พูดมานี่ไม่ผิดสักเรื่องเลย แต่เมื่อเราดูแล้ว เราได้เห็นอะไรบ้าง ? เป็นนามธรรม เพราะในรูปธรรม ตั้งแต่ปี 2561 ที่ประกาศการใช้ยุทธศาสตร์ชาติ มา 2564 สามปีแล้ว สิ่งที่พูดไว้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว และก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นต่อไป เพราะว่าเราใช้หลักนามธรรมมากไป

ท่านผู้ชมครับ เนื่องจากยุทธศาสตร์ชาติของเราเน้นความมั่นคงเป็นอันดับแรก ก็เลยไม่ได้พูดถึงเรื่องการกระจายอำนาจ การแก้ไขปัญหาทุจริตคอร์รัปชันอย่างเป็นรูปธรรม ต้องเป็นรูปธรรมนะท่านผู้ชม ถึงแม้ว่าจะมีการบรรจุคำพูดที่สวยหรูไว้ว่า "ภาครัฐต้องมีความโปร่งใส ปลอดการทุจริตและประพฤติมิชอบ" แต่ยุทธศาสตร์ชาติไม่ได้บอก คือพูดง่ายๆ ว่า ติดยี่ห้อเอาไว้เฉยๆ เท่านั้นเอง อาหารร้านนี้สะอาด ปลอดภัย มีคุณภาพ จบ แต่ไม่ได้พูดถึงว่าปลอดภัยอย่างไร มีคุณภาพอย่างไร

ยุทธศาสตร์ชาติของเราไม่มีสิ่งใดแสดงความเด็ดขาดหรือระบุว่าแก้ปัญหาในเชิงรูปธรรมได้อย่างไร

ท่านผู้ชมครับ เมื่อเราดูยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่ร่างโดยคนที่เกษียณอายุแล้ว เป็นข้าราชการประจำสัก 90 เปอร์เซ็นต์ ถามผมว่าจะทำให้เป็นจริงได้อย่างไร จะให้ผมตอบว่าอย่างไร ผมก็ต้องขออนุญาตใช้คำพูดที่ดูแล้วเหมือนล้อเลียน คือ แบ๊ะๆๆๆ ทำไม่ได้ มองไม่เห็นทางจริงๆ ท่านผู้ชม


ประเทศไทยจะเดินหน้าหรือบรรลุเป้าหมายตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ได้อย่างไร ? และที่สำคัญ เมื่ออายุเฉลี่ยของคนที่ร่างแผนฯ นี้ 29 คน 63 ปี ถามว่าคนที่อายุสามสิบกว่า หรือสี่สิบกว่า ที่มีความสามารถ ที่มองอนาคตประเทศไทยในอนาคตว่าคนรุ่นเขา หรือรุ่นลูกเขา กำลังจะเข้ามาเพื่อรับไม้ต่อ ไม่มีคนพวกนี้เข้ามาร่วมเลย คุณเอาคนอายุ 63 ปี แล้วยิ่งเป็นอดีตข้าราชการเก่า ก็คิดยุทธศาสตร์ชาติในระบบราชการ ด้วยเหตุนี้ ผมไม่ได้ตื่นเต้นอะไรกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เลย ผมคิดว่ามันเป็นวาทกรรมที่ คสช. สร้างขึ้นมาเพื่อให้ตัวเองดูเท่ ท่านผู้ชมครับ "เท่กินไม่ได้"

ผมก็เลยหันมาดูเรื่องของแผนพัฒนาเศรษฐกิจฯ จีน ฉบับที่ 14 แผนฯ นี้ได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมสภาผู้แทนประชาชนแห่งชาติ ชุดที่ 13 ประกาศใช้ในปี 2564 (ปีนี้) เดือนมีนาคม เขาแบ่งออกเป็น 19 บท 147 หน้า และการทำแแผนฯ


ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้เข้ามามีบทบาทร่วมวางแผนด้วยตัวเอง แต่ก่อนนั้้นมอบหมายหน้าที่นี้ให้กับนายกรัฐมนตรี ทีมบริหารเศรษฐกิจ แผนฯ นี้มีเป้าหมายชัดเจน การสร้างคุณภาพชีวิตให้กับประชาชนและพัฒนาคุณภาพสิ่งแวดล้อม

ท่านผู้ชมครับ แผนพัฒนาฯ ของจีนฉบับที่ 14 เขาเน้นหลายๆ เรื่องเป็นรูปธรรม เขาเน้นเรื่องคอมพิวเตอร์ พันธุศาสตร์ เขาเน้นเรื่องการแพทย์ เขาเน้นเรื่องการสาธารณสุข อวกาศ สำรวจใต้ทะเล และแต่ละหัวข้อนั้นเขามีรายละเอียดว่าเขาจะทำอย่างไรบ้าง อย่างเช่น เขาเน้นในด้านของปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) เขาจะทำอย่างไร เขามีเป้าหมายชัดเจนว่าในกี่ปี ประเทศจีนต้องเป็นผู้นำในเรื่องของปัญญาประดิษฐ์


เขาเน้นเรื่องอวกาศ อีกกี่ปีเขาจะพัฒนาวงจรอวกาศของเขาเป็นอย่างไร ของเขาไม่ใช่เป็นนามธรรม เขาเป็นหลักๆ อย่างเช่น การสาธารณสุข เขาเน้นเลยว่าเขาต้องคิดค้นวัคซีนอะไรขึ้นมาบ้าง ป้องกันการระบาดของโรคระบาดอย่างไร

นักการเมืองและผู้นำประเทศของเขามีความเข้าใจและรู้ซึ้งถึงความสำคัญของความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จนกระทั่งเขาเอาความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มาระบุอยู่ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม เลยทีเดียว

ผมยกตัวอย่างให้ฟังง่ายๆ ถ้ายุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ของเราระบุชัดเจนว่า ใน 20 ปีนั้น เราจะทำอย่างไรกับความรู้ความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้ประชาชนคนไทยได้เข้าถึง ได้เรียนรู้ ได้มีประสบการณ์ วิธีการต้องทำอย่างไรบ้าง ? โรงเรียนทุกโรงเรียนในประเทศไทย ในอนาคต ภายในไม่เกิน 5 ปีแรก จะต้องมีหลักสูตรทางวิทยาศาสตร์ที่เมื่อเรียนจบมัธยมไปแล้วก็สามารถที่จะไปต่อหลักสูตรทางวิทยาศาสตร์ของระดับอุดมศึกษา ระบุไปเลยว่าจะต้องมีสถาบันในเรื่องการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ยกตัวอย่างให้ฟังง่ายๆ ราชภัฏทุกแห่งต้องระบุไปว่าจะต้องมีคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ต้องผลิตครู ผลิตผู้เชี่ยวชาญต่างๆ ออกมา การสาธารณสุข เราก็ต้องระบุชัดเจนว่าจะพัฒนาการสาธารณสุขให้อยู่ในระดับสากล และขณะเดียวกัน ไม่ละทิ้งภูมิปัญญาท้องถิ่น แพทย์แผนไทย พัฒนาสมุนไพรให้สมุนไพรนั้นสามารถที่จะมาทดแทนการนำเข้าจากยาจากต่างประเทศ ของเราไม่มีนะท่านผู้ชม ของเราทุ่งลาเวนเดอร์อย่างเดียว แบ๊ะๆๆๆ ผมถึงบอกว่าผมไม่เห็นอะไรน่าตื่นเต้นเลยแม้แต่นิดเดียว

ท่านผู้ชมครับ ผมขอลงรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ในเรื่องแผนพัฒนาฯ นี้ ในแผนพัฒนาฯ จีนเขาใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ จีนตอนนี้ ในยุทธศาสตร์แผนพัฒนาฯ ของเขา ดำเนินการที่เป็นรูปธรรมโดยการทุ่มงบประมาณในด้านการค้นคว้าวิจัย เขาระบุชัดเจน ไม่ต่ำกว่า 7 เปอร์เซ็นต์ ของจีดีพีต่อปี ทำให้จีนมีงบประมาณทางด้านพัฒนาและวิจัยสูงที่สุดในโลก และเขาระบุชัดเจนว่ายุทธศาสตร์ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เขามุ่งเป้าไปที่ หนึ่ง ปัญญาประดิษฐ์ สอง สารสนเทศเชิงควอนตัม


จีนได้สร้างคอมพิวเตอร์ ชื่อ จิ่วจาง 2.0 (Jiuzhang 2.0) เป็นคอมพิวเตอร์ระบบควอนตัมรุ่นใหม่ บันทึกภาพเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2564 คอมพิวเตอร์ระบบควอนตัมของจีนนั้น เร็วกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์อันดับ 1 ของโลก "ล้านล้านล้านล้านเท่า" อีกทีนะท่านผู้ชม เร็วกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่อเมริกามีอยู่ ในโลกมีอยู่ "ล้านล้านล้านเท่า" เพราะฉะนั้นแล้ว จิ่วจาง 2.0 สามารถทำการสุ่มแบบ GBS ได้เร็วกว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่เร็วที่สุดในโลก หรือเท่ากับว่าซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่เร็วที่สุดในโลกในปัจจุบัน ใช้เวลาราว 30 ล้านล้านปี เพื่อแก้ปัญหาที่ จิ่วจาง 2.0 สามารถแก้ได้ภายใน 1 มิลลิวินาที บ้าไปแล้วท่านผู้ชม แต่นี่คือเป้าที่เขาตั้งเอาไว้ในแผนพัฒนาฯ ของเขา เขาจะสร้างวงจรรวม อย่างที่ผมเรียนให้ทราบแล้วว่าจีนจะสร้างชิปคอมพิวเตอร์ขึ้นมาเอง ใช้วัสดุใหม่ๆ ที่ไม่ใช่ซิลิคอน ตอนนี้เขาค้นพบคาร์บอน

ข้อสี่ เขาวิจัยเรื่องเกี่ยวกับสมอง ข้อห้า พันธุศาสตร์ เทคโนโลยีชีวภาพ ข้อหก วิทยาศาสตร์การแพทย์ด้านคลินิกและสุขภาพ

เขาพูดอย่างนี้ครับ "เราจะทำการวิจัยขั้นพื้นฐานเกี่ยวกับการเกิดโรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคทางเดินหายใจ และความผิดปกติของเมตาบอลิซึม เช่น เบาหวาน โดยวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีในการรักษา วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีที่ล้ำหน้า เช่น เวชศาสตร์ฟื้นฟูสภาวะเสื่อม รวมถึงการวิจัยเทคโนโลยีอันเป็นกุญแจสำคัญเพื่อป้องกันการเกิดโรคดังกล่าว รวมไปถึงรักษาโรคติดต่อสำคัญๆ โรคร้ายแรงที่ไม่ติดต่อเรื้อรัง ตลอดจนพัฒนาสมุนไพรและยาจีนให้มีคุณภาพเทียบเท่าและเหนือกว่าระดับสากล

ท่านผู้ชมฟังแล้วตกใจไหม ของเราเอาแค่ฟ้าทะลายโจรอย่างเดียว ไม่ได้ไปไหนอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว ก็ยังย่ำอยู่กับที่ ไม่มีใครสนใจ กลับกลายเป็นวาทกรรมของผู้นำรัฐบาลและคนที่ต้องการจะโชว์ออฟว่าเห็นด้วยกับฟ้าทะลายโจร แต่ไม่ได้ทำอะไรเลยกับมันแม้แต่นิดเดียว ไม่มีลงรายละเอียดเหมือนอย่างที่จีนเขาลง ผมเอารูปให้ดูนะครับ พฤศจิกายน จีนพัฒนาวัคซีนโควิดแบบสูดดม โดยพนักงานของ แคนไซโนไบโอลอจิกส์ (CanSino Biologics) อธิบายว่า แก้วพลาสติกมีไว้สูดละอองลอยของตัวยาออกมาจากเครื่องพ่น หลังจากที่กดปุ่มแล้วรอสัก 10 วินาที หายใจลึกๆ สูดละอองลอยเข้าไป กลั้นหายใจ 5 วินาที ก็เรียบร้อยแล้ว


จีนเน้นแผนพัฒนาฯ ของเขา การสำรวจห้วงอวกาศ ใต้พื้นโลก ใต้ทะเล ขั้วโลก ผมเอารูปขึ้นให้ดู


เจียวหลง ยานสำรวจใต้น้ำที่ทำให้จีนผงาดขึ้นเป็นเจ้าแห่งยานดำน้ำลึกและการพัฒนาเทคโนโลยีสำรวจใต้ทะเลลึก เขาทำแม้กระทั่งเรือตัดน้ำแข็ง เสวี่ยหลง 2 (Xuelong 2) หรือ มังกรหิมะ 2


ออกปฏิบัติภารกิจสำรวจขั้วโลกใต้ สุดท้าย โมดูลหลักของสถานีอวกาศ เทียนเหอ ที่จีนปล่อยขึ้นสู่อวกาศเมื่อต้นเดือนเมษายน 2564 นี่คือสถานีอวกาศเทียนเหอ


นี่แค่ตัวอย่างเฉยๆ ที่บรรจุอยู่ในแผนพัฒนาฯ ของเขา จึงไม่มีอะไรน่าประหลาดใจที่ว่าทำไมจีนถึงเดินหน้าก้าวไกลกว่าเรา เรียกว่าฉีกกระดาษ มองอะไรไม่เห็นเลย เราเป็นประเทศที่ด้อยพัฒนา ด้อยพัฒนาอย่างมาก ไม่เหมือนสมัย 2534 ผมเดินทางไปประเทศจีน จีนยังใช้จักรยานขี่เต็มบ้านเต็มเมือง ผมไปที่ยูนนาน เมืองคุนหมิง เมืองยังเก่า ทุกอย่างสโลว์ไลฟ์ ไม่มีวี่แววเลยว่าจีนจะฟื้นขึ้นมาได้

เรามาดูนักการเมือง ส.ส. ส.ว. นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี มองซ้าย-มองขวา มองล่าง-มองบน ก็เจออย่างคน 3 ป. เจอเสี่ยเฮ้ง เจอจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ เจอธรรมนัส พรหมเผ่า เจอสิระ เจนจาคะ เจอปารีณา ไกรคุปต์ เจอมงคลกิตติ์ เจอธนาธร เจอพิธา แย่งเก้าอี้ ทะเลาะเบาะแว้ง แบ่งเค้กผลประโยชน์ คุยกันอยู่แต่เรื่องล้มเจ้า/ไม่ล้มเจ้า แค่นี้ล่ะ

ระหว่างแผนพัฒนาฯ ที่เป็นรูปธรรม กับแผนยุทธศาสตร์ฯ ที่เป็นนามธรรม ท่านผู้ชมตัดสินใจเอาเองก็แล้วกัน


ท่านผู้ชมครับ เมื่อวันอังคารที่ผ่านมานี้ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564 ซึ่งเป็นเวลาในประเทศไทย ในทางเอเชีย แต่ถ้าย้อนกลับไปที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ที่ทำเนียบขาว มันเป็นช่วงค่ำของวันจันทร์ที่ 15 พฤศจิกายน ได้มีการประชุมสุดยอดของผู้นำแบบเสมือนจริง ที่เขาเรียกว่า Virtual Summit ทางไกลผ่านระบบออนไลน์ ระหว่างประธานาธิบดีสี จิ้นผิง กับ นายโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ เป็นการพบปะของผู้นำเศรษฐกิจที่ใหญ่อันดับ 1 และอันดับ 2 ของโลก ทุกคนในโลกนี้จับตาดูว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร

ท่านผู้ชมครับ ความสัมพันธ์ของสองประเทศนี้เสื่อมทรุดลงตั้งแต่สมัยอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และดูเหมือนจะย่ำแย่ที่สุดในรอบหลายสิบปี มีความตึงเครียดในช่องแคบไต้หวัน และมีการพยายามที่จะปิดล้อมจีน และจีนก็จะตอบโต้กลับ คือพูดง่ายๆ ว่างัดเอาอาวุธทุกอย่างที่มีอยู่ เอามาประจันหน้ากัน ฉวัดเฉวียนกันไปมา เล่นเอาชาวโลกเสียวไส้กันไปหมด


เพราะฉะนั้นการพูดคุยกันระหว่าง โจ ไบเดน กับ สี จิ้นผิง ในวันที่ 16 ที่ผ่านมา ก็เลยมีความคาดหวังว่าการเจรจา Summit ครั้งนี้ "อาจจะ" เปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ทั่วโลกในลักษณะที่เป็นรูปธรรม

ทีนี้ การประชุมครั้งนี้มันก็เริ่มต้นด้วยสัญลักษณ์ที่ดี มีการพูดคุยอย่างเป็นมิตร ส่งผ่านสัญลักษณ์บางอย่าง ท่านผู้ชมครับ เขาเอาสัญลักษณ์มา ท่านผู้ชมดูในรูปที่ผมขึ้นนะครับ โจ ไบเดน ใส่เนกไทสีแดง สีแดง เป็นสีของประเทศจีน คือสีของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน ส่วน สี จิ้นผิง ก็ใส่เนกไทสีน้ำเงิน สีฟ้า ซึ่งเป็นสีของพรรคเดโมแครตที่โจ ไบเดน สังกัดอยู่ ก็ว่าเป็นเกร็ดเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งผมเชื่อว่าคงมีการวางแผนเอาไว้แล้ว

การพบปะครั้งนี้เป็นการพบปะครั้งที่ 3 ที่ผู้นำทั้งสองชาติได้พูดคุยกัน และเป็นครั้งแรกที่มีการพูดคุยกันแบบเห็นหน้าเห็นตา ตั้งแต่ โจ ไบเดน รับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในเดือนมกราคม 2564 นี่ก็เป็นระยะเวลา 10-11 เดือน ส่วนสี จิ้นผิง ก็ไม่ได้เดินทางออกไปไหนเลยจากจีน เป็นเวลา 2 ปีแล้ว ตั้งแต่เกิดการระบาดของโควิด-19

การพูดคุยกัน การทักทายกัน ก็พยายามที่จะทบทวนและย้อนอดีตกัน คือสุภาพเรียบร้อยมาก และมีการทักทายกันผ่านวิธีการหลายอย่าง และมีการเอาเรื่องราวต่างๆ ที่โจ ไบเดน สมัยที่เป็นรองประธานาธิบดี เคยไปเยือนประเทศจีน ตอนนั้น สี จิ้นผิง ก็เป็นรองประธานาธิบดีเช่นกัน จริงๆ แล้วสองคนนี้เป็นคนที่สนิทสนมกันมาก ในที่สุดแล้ว โจ ไบเดน ก็บอกว่า ผมเฝ้ารอการพูดคุยอย่างจริงจังในหัวข้อที่กว้างขวาง รวมไปถึงในสาระเกี่ยวกับวาระที่เราต้องพูดคุย และขอบคุณมาก


โจ ไบเดน พูดกับ สี จิ้นผิง ภายใต้ความกดดันอย่างมหาศาลที่เขาได้รับ เหตุผลก็เพราะว่า ศัตรูทางการเมืองของเขาคือกลุ่มรีพับลิกัน กำลังจับตาดู จ้องดู โจ ไบเดน ว่าในการเจรจาพูดคุยกันครั้งนี้ โจ ไบเดน จะการ์ดตกไหม และจะอ่อนข้อให้จีนในเรื่องอะไรบ้าง เพื่อนำมาโจมตี ซึ่งเดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟังถึงปฏิกิริยาก็แล้วกัน

ทั้งคู่ยอมรับว่าจะต้องหาทางแก้ไขความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดมา ให้ดีขึ้น แล้วโจ ไบเดน ก็บอกว่า พยายามอย่างยิ่งที่จะเอาข้อแตกต่างต่างๆ มานั่งคุยกัน ทางสี จิ้นผิง ก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป ตั้งแต่ผมเคยติดตามข่าวเขามา เขาพูดชัดเจนว่า "ความสัมพันธ์ที่มั่นคงและราบรื่นนั้น เป็นสิ่งจำเป็นในการเดินหน้าพัฒนาชาติของเราทั้งสอง ธำรงรักษาสภาพแวดล้อมทางสากลที่สงบสุขให้มีเสถียรภาพ รวมไปถึงการหาหนทางที่มีประสิทธิภาพในการจัดการเรื่องความท้าทายระดับโลก เช่น ภาวะโลกร้อนที่คุยกัน เรื่องการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 จีนและอเมริกาต้องให้ความเคารพซึ่งกันและกัน อยู่ร่วมกันอย่างสันติ และดำเนินความร่วมมือแบบวิน-วิน คือได้ประโยชน์ทั้งคู่

สี จิ้นผิง พูดชัดเจนเหมือนกับทุกครั้งที่เขาพูด ว่า เขาพร้อมจะทำงานร่วมกับ "คุณ" ก็คือประธานาธิบดีไบเดน เพื่อร่วมสร้างฉันทามติ เดินทางอย่างจริงจังเพื่อขับเคลื่อนความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ ไปในเชิงบวก โดยการที่ทำเช่นนี้จะตอบสนองต่อผลประโยชน์ของประชาชนของเรา และตอบสนองความคาดหวังของประชาคมโลก

ท่านผู้ชมครับ มันมีเกร็ดอยู่นิดหนึ่ง สี จิ้นผิง ในการพูดคุยกับ โจ ไบเดน ไปเรียก โจ ไบเดน ว่า "เหล่าเผิงโหย่ว" คือ เพื่อนเก่า ทีนี้ในภาษาจีน คำว่า "เหล่าเผิงโหย่ว" มันสะท้อนให้เห็นถึงความสนิทสนมในการที่จะพูดคุยกันทุกเรื่อง คือเราเป็นเพื่อนเก่ากัน


ก็หมายความว่าถ้าเป็นเพื่อนเก่ากันแล้ว เรื่องอะไรที่เป็นข้อขัดแย้ง ก็ตกลงกันได้ ก็ปรากฏว่า พอหลังจากการพูดคุยจบ คนในทำเนียบขาวก็รีบให้สัมภาษณ์สวนออกมาทันทีเลยว่า ถึงแม้สี จิ้นผิง จะเรียกโจ ไบเดน ว่าเพื่อนเก่า (เหล่าเผิงโหย่ว) แต่เขาบอกว่า โจ ไบเดน ไม่เคยคิดว่า สี จิ้นผิง เป็นเพื่อนเก่า ท่านผู้ชมครับ นัยตรงนี้ก็คือว่า พวกเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวกำลังประสาทเสียว่า ถ้ายอมรับว่า โจ ไบเดน เป็นเพื่อนเก่าของ สี จิ้นผิง จะโดนพวกรีพับลิกันฟาดงวงฟาดงา ก็เลยรีบออกมาแก้ทันที ซึ่งน่าเสียดายมาก เพราะว่าการที่ สี จิ้นผิง ใช้คำว่า "เหล่าเผิงโหย่ว" หรือเพื่อนเก่า มันเป็นคำพูดที่มีนัยลึกซึ้ง และเป็นนัยที่เป็นสิริมงคล เป็นนัยที่เปิดประตูให้ความขัดแย้งสามารถตกลงกันได้ ถ้าเราเป็นเพื่อนเก่ากัน เราต้องเข้าใจซึ่งกันและกัน

รองโฆษกทำเนียบขาว นายแอนดรูว์ เบตส์ (Andrew Bates) ออกมาพูดว่า เพื่อนเก่า Old friend ซึ่งในภาษาจีนเขาเรียกว่า เหล่าเผิงโหย่ว นายเบตส์ ตอบกลับว่า นายสี จิ้นผิง อาจจะมองโจ ไบเดน เป็นเพื่อนเก่า แต่ว่านายไบเดน ไม่ได้มองว่านายสี เป็นเพื่อนเก่าแต่อย่างใด เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ชัดว่า เขาออกมาดาหน้ากันเพื่อแก้ประเด็นนี้ เพราะจะต้องโดนพรรครีพับลิกันโจมตีอย่างหนัก


อย่างเช่น นายเบตส์ บอกว่า ผมจะไม่พูดแทนประธานาธิบดีสี แต่อย่างที่คุณกล่าว คุณได้ยินชัดเจนจากท่านประธานาธิบดีไบเดน แล้วว่าเขามีความสัมพันธ์อันยาวนานกับประธานาธิบดีสี พวกเขาเคยใช้เวลาด้วยกันมานานมาก พวกเขาสามารถถกเถียงกันได้อย่างตรงไปตรงมา ซึ่งช่วยให้งานเกิดผล แต่เขาไม่ได้คิดว่าประธานาธิบดีสี เป็นเพื่อนเขา" รองโฆษกทำเนียบขาว ระบุ

ซึ่งจริงๆ มันก็ย้อนแย้ง เพราะเขาพูดว่าสองคนนี้ทำงานด้วยกันมานานแล้ว ถ้าทำงานด้วยกันมานานแล้ว ใช้เวลาด้วยกันมานานมาก ก็แสดงว่าเป็นเพื่อนเก่าอยู่แล้วไง แต่คำที่สี จิ้นผิง ใช้คำว่า "เหล่าเผิงโหย่ว" มันสะเทือนใจ

โฆษกทำเนียบขาว นางเจน ซากี (Jen Psaki) ระบุว่า ไบเดน ก็ยังไม่คิดว่าสี เป็นเพื่อนเก่า มันคงเป็นเช่นเดิมอย่างที่มันเป็น ท่านผู้ชมครับ วงการทูตนี่ใช้ภาษากวนมาก คือการแสดงออกมันชัดเจน มันเป็นเพื่อนเก่า อ้างอิงถึงเรื่องราว คุณก็อ้างอิงว่าเคยรู้จักกันมานานแล้ว เคยทำงานร่วมกันมานานแล้ว แต่ไม่ได้แปลว่าเป็นเพื่อนเก่า ตรงกันข้ามกับทางจีน


เราต้องรู้ว่านายไบเดน กับคณะ ต้องออกมาแสดงท่าทีที่มึนตึงกับประธานาธิบดีสี ทั้งๆ ที่ทั้งคู่สนิทกันมาก แต่ด้วยข้อจำกัดทางการเมืองภายในประเทศที่นายไบเดน ถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด จากทางคู่ปรับจากพรรครีพับลิกัน ตั้งแต่การหาเสียงเลือกตั้งแล้ว ว่าถ้านายไบเดน ชนะ ก็จะสามารถสยบต่อจีน ทรัมป์ ตอนเลือกตั้งบอกว่า ถ้าเขา (คือนายทรัมป์) ไม่ชนะในการเลือกตั้ง China will own the United States จีนจะเป็นเจ้าของอเมริกา แล้วเขาก็พูดต่อ You going to have to learn to speak Chinese คือคนอเมริกันต้องเรียนรู้ในการพูดภาษาจีน ทรัมป์นี่ พูดถึงคำพูดที่เขาพูดดักคอไว้


เขาดักคอไว้ล่วงหน้าหลายๆ เรื่อง แล้วก็คมกริบเลย ขยับไปทางอื่นไม่ได้ โดนบาดเป็นบาดแผลแน่ แล้วประเด็นนี้เป็นประเด็นที่กดดันนายไบเดน มาตลอด ตั้งแต่ก่อนการเลือกตั้งปี 2563 จนถึงปัจจุบัน จนกระทั่งถึงมิถุนายน 2564 (4-5 เดือนที่ผ่านมา) ในการแถลงข่าวที่เจนีวา ไบเดน ถึงกับตอบผู้สื่อข่าวว่า เขา กับสี ไม่ใช่เพื่อนเก่ากัน เขาบอกว่า ให้พูดกันอย่างตรงๆ ในเรื่องนี้ เราสองคนรู้จักกันและกันดี แต่เราไม่ใช่เพื่อนเก่ากัน มันเป็นเรื่องของงานล้วนๆ ไบเดน จำเป็นต้องพูดเช่นนี้เพื่อลดความกดดันทางการเมืองภายในประเทศ

ท่านผู้ชมครับ ก่อนที่ผมจะเข้าไปสู่จุดว่าใครได้อะไร ใครเสียอะไร ในการประชุม Summit ครั้งนี้ ผมอยากจะเอาภาพรวมของทั้งสองคนมาให้ท่านผู้ชมวิเคราะห์กันก่อนนิดหนึ่ง

ก่อนที่สี จิ้นผิง จะพบกับไบเดน ทางออนไลน์ สี จิ้นผิง เพิ่งได้รับการเลือกและแต่งตั้งจากคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์ องค์ประชุมองค์ใหญ่เลย ร่วม 100-200 คน เพื่อยืนยันตำแหน่งของสี จิ้นผิง ว่า สามารถจะเป็นประธานาธิบดีต่อไปได้อีก 5 ปี


ซึ่งคณะกรรมการกลางชุดใหญ่ชุดนี้ถ้าเขาตัดสินมาแบบนี้ ก็แสดงว่าสมัชชาประชาชนของจีนก็ต้องยืนตามความเห็นของคณะกรรมการกลางชุดใหญ่ชุดนี้ ก็เท่ากับว่า สี จิ้นผิง เดินเข้ามา เปิดโทรทัศน์ พูดออนไลน์บนพื้นฐานที่ว่าเขาจะยังคงเป็นประธานาธิบดีต่อไปได้อีก 5 ปี ในขณะที่โจ ไบเดน คะแนนเสียงของพรรคเดโมแครตนั้น ตกต่ำลงไปอย่างมาก ในการเลือกตั้งกลางปีของพวกสมาชิกพรรคเดโมแครตในคองเกรส และใน Senate (วุฒิสภา) นั้น ปรากฏว่าพรรคเดโมแครตสูญเสียที่นั่งไปพอสมควร แล้วประชาชนเสียงที่สนับสนุนนายโดนัลด์ ทรัมป์ นับวันก็ยิ่งมากขึ้นๆ นายไบเดน ได้รับความนิยมจากประชาชนต่ำที่สุดในรอบ 75 ปี ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Negotiation from Strength ไบเดน เจรจาบนพื้นฐานของความมั่นคงของเขา ที่มีเสถียรภาพ ไบเดน เจรจาบนความไม่แน่นอนของเขา เหตุผลก็เพราะว่าอีกไม่กี่ปี ถ้ามีการเลือกตั้ง อีกสามปีกว่า เกือบๆ สี่ปี ถ้าไบเดน ไม่ได้เป็นประธานาธิบดีอีก ก็จะเป็นโดนัลด์ ทรัมป์ ก็มีโอกาสสูงมาก เพราะว่าทรัมป์ โจมตีไบเดน มาตลอดว่าอ่อนข้อให้จีน แล้วถ้าทรัมป์ ขึ้นมา พนันกับผมเลยท่านผู้ชม เชื่อผมเลย นายทรัมป์ จะรื้อทุกสิ่งทุกอย่างที่ไบเดน ทำกับจีน ใหม่หมด แล้วก็จะมากำหนดวิถีทางความสัมพันธ์ของจีนกับเขาเริ่มจาก 0 ใหม่ เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้าเราจะมีความสงบสุข โลกก็จะมีความสงบสุขแค่ 2-3 ปีนี้เท่านั้นเอง

ในขณะเดียวกัน ความสงบสุขนี้ก็เป็นความสงบสุขที่ไม่มีเสถียรภาพ เพราะว่าไบเดน จะทำอะไรที่ให้โลกสงบสุขนั้น จะทำได้ยาก เพราะว่ามีดาบเล่มหนึ่งของทรัมป์ จ่ออยู่ข้างหลังไบเดน ตลอดเวลา นี่คือสถานภาพที่ท่านผู้ชมต้องรับรู้เอาไว้ก่อนที่ผมจะลงไปสู่รายละเอียดว่าทั้งสองฝ่ายนั้นตกลงอะไรกันได้ ตกลงอะไรกันไม่ได้


ท่านผู้ชมครับ เนื้อหาในการสนทนากันของผู้นำสองฝ่ายนั้น 3 ชั่วโมงกว่า ซึ่งค่อนข้างยาว แต่สรุปได้ว่าเป็นเนื้อหาที่ค่อนข้างไปทางบวก คือพูดง่ายๆ ว่าผู้นำทั้งสองชาติมหาอำนาจพยายามปรับปรุงความสัมพันธ์ใหม่ หลังจากที่ความสัมพันธ์เสื่อมทรุดและขัดแย้งหนักในยุคนายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่มีท่าทีก้าวร้าว ถึงกับสั่งปิดสถานกงสุลของจีนในเมืองฮูสตัน เทกซัส ก่อนที่จีนก็ตอบโต้ด้วยการปิดสถานกงสุลสหรัฐฯ ที่เมืองเฉิงตู มณฑลเสฉวน

ท่านผู้ชมครับ ประเด็นสำคัญในการหารือทวิภาคีระหว่างผู้นำสหรัฐฯ กับผู้นำจีนครั้งนี้ มีทั้งประเด็นความร่วมมือ และประเด็นความพยายามรับผิดชอบให้การแข่งขันระหว่างจีน-สหรัฐฯ ไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้งทางอาวุธที่จะนำไปสู่สงครามใหญ่ได้

สี จิ้นผิง ได้พูดในการประชุมร่วมกับโจ ไบเดน ผ่านระบบวิดีโอ เน้นถึงหลักการ 3 ประการ ได้แก่ การเคารพซึ่งกันและกัน การอยู่ร่วมกันอย่างสันติ และความร่วมมือแบบได้ผลประโยชน์ร่วมกัน

ท่านผู้ชมครับ ในการพูดคุยของสองผู้นำมหาอำนาจเศรษฐกิจอันดับ 1 ของโลก กับเศรษฐกิจอันดับ 2 ของโลก ระหว่าง โจ ไบเดน กับ สี จิ้นผิง ผมได้ทำการบ้านมาให้ท่านผู้ชมทราบ แล้วท่านผู้ชมจะได้ตามเรื่องนี้และเข้าใจดี ทั้งหมดมี 5 ประเด็น

ประเด็นแรกที่พูด คือ เรื่องไต้หวัน ความขัดแย้งทางช่องแคบไต้หวัน ประเด็นที่สองที่พูดกันก็คือ เรื่องสงคราม เรื่องคลังอาวุธนิวเคลียร์จีน ประเด็นที่สาม คือเรื่องเกี่ยวกับสงครามทางการค้า ประเด็นที่สี่ คือ สงครามทางเทคโนโลยี และประเด็นที่ห้า คือ กีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวของจีน

เอาประเด็นเรื่องไต้หวันก่อนก็แล้วกัน ประเด็นเรื่องไต้หวันนั้น หลายคนที่ฟังคำพูดของโจ ไบเดน กับสี จิ้นผิง ที่ยืนข้างไต้หวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางพวกไต้หวันเอง มองว่าโจ ไบเดน ยืนข้างไต้หวัน แต่ขณะที่คนซึ่งยืนข้างจีนก็บอกว่า โจ ไบเดน ถอยออกมาในเรื่องไต้หวันพอสมควร ลักษณะการถอยนั้นก็คือ ประการแรกที่เขาชี้ให้เห็นเลย ชัดเจน คือ โจ ไบเดน ออกมายอมรับอย่างเต็มที่เลยว่า นโยบาย "1 จีน" ของไบเดน นั้น ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง ก็คือว่าประเทศจีนนั้นก็คือ One China Policy


แต่ขณะเดียวกัน โจ ไบเดน ก็พูดถึงความขัดแย้ง เพราะว่าสี จิ้นผิง พูดชัดเจนแล้วก็เป็นจุดยืนของรัฐบาลจีน ซึ่งโจ ไบเดน ก็ทราบ นายแอนโทนี บลิงเกน (Antony Blinken) ซึ่งเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ ก็ทราบ สภาความมั่นคงของอเมริกาก็ทราบ ว่าจีนจะไม่มีวันยอมเรื่องไต้หวันเด็ดขาด ถ้าหากจะมีการแยกตัวออกมาเป็นอิสระจากจีน ก็คือพูดง่ายๆ ว่า รัฐบาลไต้หวัน ชุด นางไช่ อิงเหวิน ถ้าเกิดทำอะไรก็ตามโดยอเมริกาสนับสนุนอยู่เบื้องหลังให้แยกออกมาเป็นอิสระนั้น จีนไม่ยอมอย่างแน่นอน

แต่ขณะเดียวกัน ไบเดน ถึงแม้จะไม่ชนกับสี จิ้นผิง ในเรื่องนี้โดยตรง แต่ไบเดน ก็พูดออกมากำกวมมาก ว่า การดำเนินการเพียงฝ่ายเดียวของจีนที่จะเปลี่ยนสถานะเดิมของไต้หวัน หรือทำลายสถานภาพทั่วไต้หวันนั้น อเมริกาจะไม่ยอม นั่นก็คือการที่จะใช้กำลังเข้ามายึดครองไต้หวัน เพราะจีนอ้างว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีน

เรื่องของสิทธิการปกครองตัวเองที่ไต้หวันอ้าง ไบเดน ก็พูดกำกวมมาก ว่า ไม่เคยเปลี่ยนแปลงยุทธศาสตร์นี้ คือ One China ขณะที่จีนยึดนโยบายจีนเดียว มองว่าเกาะไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของตัวเอง แต่ขณะเดียวกันนั้น ไบเดน ก็พูดไม่ชัดเจนว่า ถ้าจีนจะเทกไต้หวันกลับคืนไป จะด้วยกำไรหรืออย่างไรก็ตาม อเมริกาจะมีทีท่าที่ชัดในการพูดจาระหว่างคนสองคนนี้ ไม่มีทีท่าเลยแม้แต่นิดเดียว เพียงแต่พูดคลุมเครือไว้ว่าถ้าเป็นการกระทำฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งของจีน หรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งของไต้หวัน ที่จะแยกตัวเป็นอิสรภาพนั้น ไบเดน ไม่เห็นด้วย ก็คือพูดคลุมเอาไว้ เป็นยุทธศาสตร์ที่คลุมเครือมาก


สรุปเรื่องไต้หวันก็คือว่า มันก็ยังอึมครึมอยู่เหมือนเดิม ไม่มีอะไรที่ชัดแจ้ง แต่ที่ชัดแจ้งที่สุดก็คือ ทางอเมริการู้อยู่ว่าถ้าไต้หวันแยกตัวเป็นอิสรภาพเมื่อไร มีเรื่องทันที ซึ่งถ้ามองในมุมกลับแล้ว คนที่เจ็บตัวในขณะนี้คือไต้หวัน เพราะว่าจากนี้ไปอเมริกาก็จะยัดอาวุธให้ไต้หวันซื้อไปเรื่อยๆ เพราะว่าอเมริกายืนในสิทธิที่สนับสนุนให้ไต้หวันป้องกันตนเอง แล้วไต้หวันจะป้องกันตนเองได้อย่างไรถ้าไม่มีอาวุธ ไต้หวันก็เลยต้องซื้ออาวุธจากอเมริกาเต็มที่เลย ไม่ว่าจะเป็นอาวุธประเภทไหน รุ่นใหม่ออกมา อเมริกาจะยัดขายให้ไต้หวัน นี่คือธุรกิจ

แต่สิ่งหนึ่งที่เห็นชัดเจนก็คือ วันนี้ ไช่ อิงเหวิน และคนในไต้หวัน รวมทั้งรัฐมนตรีต่างประเทศสายเหยี่ยวของไต้หวัน เริ่มต้องรู้แล้วว่า เมื่อถึงเวลาหง่ายไพ่จริงๆ แล้วอเมริกาจะไม่ออกมาปกป้องไต้หวันอย่างแน่นอนที่สุด เพราะว่าผลประโยชน์ของอเมริกานั้นมีมากกว่าการสูญเสียไต้หวันไป ถ้าสามารถตกลงกับจีนได้ในหลายๆ เรื่อง

ประเด็นที่หนึ่งก็เลยยังเป็นประเด็นที่คลุมเครือกันอยู่ ใครยืนข้างใคร คนนั้นก็บอกว่าฝ่ายตนเองชนะ แต่จริงๆ แล้วไม่มีใครชนะ ไม่มีใครแพ้ หลักการยังอยู่เหมือนเดิม คือจีนจะไม่ยอมให้รัฐบาลนางไช่ อิงเหวิน หรือใครก็ตาม แยกไต้หวันเป็นอิสระ เป็นประเทศอิสระออกจากจีน ตรงนั้นมีเรื่องแน่นอน ไบเดน ก็รู้ว่าตรงนั้นมีเรื่องแน่นอน ไบเดน เลยจำเป็นต้องคลุมเครือเอาไว้ก่อน

เรื่องที่สอง เรื่องคลังอาวุธนิวเคลียร์จีน ไบเดน พูดว่าจีนตอนนี้มีอาวุธนิวเคลียร์จำนวนมากผิดปกติ ซึ่ง สี จิ้นผิง ก็ออกมาชี้แจงว่า ไม่ใช่ อันนี้เป็นการให้ข้อมูลที่ผิดของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ที่ปั่นข้อมูลเพื่อทำให้จีนดูน่ากลัว


ประเด็นที่สาม คือสงครามการค้า ตอนนี้สงครามการค้าลดการตอบโต้ลง แต่ว่าทางการจีนก็ยังไม่ได้ซื้อสินค้าสหรัฐฯ ตามเป้าหมาย เฟสแรก อีกมูลค่าสองแสนล้านสหรัฐ ตามข้อตกลงที่ทำไว้ และจีนเองก็ยังไม่มีมาตรการใดๆ ในการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา แล้วก็ยังไม่ได้เปิดประเทศอย่าง 100 เปอร์เซ็นต์ ให้บริษัทอเมริกันเข้าถึงตลาดจีนด้านผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีชีวภาพและการเงิน ทั้งหมดนี้เพราะว่าจีนต้องการต่อรองให้สหรัฐฯ ลดกำแพงภาษีสินค้าจีนที่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ตั้งเอาไว้ เพื่่อคลี่คลายปัญหาเงินเฟ้อและกระตุ้นการจ้างงานทั้งในจีนและอเมริกา

ประเด็นที่สี่ สงครามเทคโนโลยี สงครามเทคโนโลยีระหว่างอเมริกากับจีนนั้นยังดำเนินต่อเนื่องไป โดยคำสั่งของไบเดน ได้ให้ขึ้นบัญชีดำบริษัทเทคโนโลยีของจีนในอเมริกาและบริษัทอื่นๆ รวมทั้งสิ้น 59 แห่ง ตั้งแต่วันที่ 2 สิงหาคม ที่ผ่านมา ก็เป็นนโยบายที่ต่อเนื่องจากประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งนายสี จิ้นผิง ก็ยืนยันว่า เรื่องการแข่งขันทางเทคโนโลยีนั้นไม่ควรที่จะเอาความมั่นคงมาอ้าง เพื่อที่จะกีดกั้นบริษัทเทคโนโลยีของจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เห็นได้ชัดคือการเอาความมั่นคงมาอ้างเรื่องบริษัทหัวเว่ย ทำให้หัวเว่ยไม่สามารถที่จะนำผลิตภัณฑ์อุปกรณ์โทรคมนาคม 5G มาใช้ได้ในสหรัฐอเมริกา และในกลุ่มประเทศที่อเมริกามีอิทธิพลอยู่ อย่างเช่น อังกฤษและหลายๆ ประเทศ


ประเด็นสุดท้าย คือประเด็นของโอลิมปิกฤดูหนาว กรุงปักกิ่งของจีนจะเป็นเจ้าภาพมหกรรมโอลิมปิกฤดูหนาว ในเดือนกุมภาพันธ์ 2565 แต่ตอนนี้นักการเมืองสหรัฐฯ กำลังเรียกร้องให้มีการคว่ำบาตรการแข่งขันด้วยข้อกล่าวหาว่า จีนละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อชาวอุยกูร์ในมณฑลซินเจียง และการปราบปรามผู้สนับสนุนประชาธิปไตยในฮ่องกง

จนถึงสัปดาห์ที่แล้ว รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุว่า กำลังหารือกับนานาประเทศว่าสหรัฐฯ จะเข้าร่วมหรือไม่ แต่ไม่กำหนดเส้นตายที่ชัดเจน อย่างไรก็ดี สี จิ้นผิง ก็หงายไพ่อีกใบหนึ่งมา ก็คือถือโอกาสเชิญประธานาธิบดีโจ ไบเดน เดินเข้าร่วมพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวที่ปักกิ่ง ในเดือนกุมภาพันธ์นี้

นักวิเคราะห์บอกว่าคำเชิญดังกล่าวจะถือว่าเป็นบททดสอบกับประธานาธิบดีไบเดน ถ้าอเมริกายอมรับคำเชิญของสี จิ้นผิง ก็จะขัดแย้งกับท่าทีของอเมริกาในการวิพากษ์วิจารณ์จีนก่อนหน้านี้


มีแถมพกประเด็นสุดท้าย คือประเด็นที่หก เส้นทางสายไหมของจีนกับผลประโยชน์ของอเมริกา เมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 2564 รัฐบาลไบเดน เพิ่งได้รับอนุมัติจากสภาฯ ให้ผ่านกฎหมายพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานครั้งประวัติศาสตร์ มูลค่า 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ ได้สำเร็จ ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยให้อเมริกาสามารถแข่งขันและต่อสู้กับการพัฒนาเศรษฐกิจของจีนได้อย่างสมน้ำสมเนื้อกัน โดยที่ไบเดน พยายามทำงานร่วมกับกลุ่ม G7 ในโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานระดับสากล ที่เขาเรียกว่า B3W นั่นก็คือ Build Back Better World ถูกขนานนามว่าเป็นเส้นทางสายไหมใหม่ของอเมริกา เพื่อแข่งขันกับจีนที่มีโครงการ "1 แถบ 1 เส้นทาง"

ท่านผู้ชมครับ นี่คือข้อตกลงทั้งหมดที่คุยกันเป็นเวลาสามชั่วโมงครึ่ง การพูดคุยครั้งนี้ไบเดน ไม่สามารถจะพูดคุยได้อย่างเต็มที่ เพราะความกดดันทางการเมืองที่ไบเดน ถูกพรรครีพับลิกันกดดันอย่างหนัก ขณะเดียวกัน สี จิ้นผิง เองก็ไม่ได้แสดงอาการก้าวร้าวอะไรเลยในการที่บอกว่า มีเรื่องก็มีเรื่อง ชนก็ชน แต่ สี จิ้นผิง ยังยืนยันในหลักการ 3 หลักการ หลักการที่สำคัญคือ ต้องเคารพซึ่งกันและกัน ก็หมายความว่าอเมริกาต้องเคารพจีน ในเรื่องสิทธิของจีนที่มีต่อไต้หวัน ต้องเคารพจีนในการที่จีนต้องปฏิบัติต่อกระบวนการประชาธิปไตยที่ฮ่องกง ว่าเป็นสิทธิอันชอบธรรมของจีน นี่คือหลักการที่ สี จิ้นผิง วางเอาไว้ และก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะฉะนั้น สี จิ้นผิง ใช้หลักการทูตของจีนที่นุ่มนวล ไม่ก้าวร้าว อ่อนนอกแข็งใน อ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอ แข็งแรงแต่ไม่แข็งกร้าว นี่คือลักษณะการเจรจาที่ผมประเมินออกมาในครั้งนี้

ท่านผู้ชมครับ รายการ SONDHI TALK สุดท้ายของวันนี้ จะเป็นเรื่องของแรงงานต่างด้าวเถื่อน ซึ่งเริ่มกลับมาอีกครั้งหนึ่งแล้ว และครั้งนี้กลับมาอย่างเป็นชุดใหญ่ไฟกะพริบเลย และเรื่องนี้ผมคิดว่าหลายๆ ท่านอาจจะยังไม่รู้ แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นของความไม่สงบในอนาคตในเรื่องของโรคภัยไข้เจ็บ

ผมเคยพูดเรื่องเกี่ยวกับขบวนการค้ามนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่มีสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ต่อให้ประเทศควบคุมอย่างไรก็ตาม ก็ยังมีช่องโหว่ ปล่อยปละละเลย และที่สำคัญที่สุด ยิ่งวันเจ้าหน้าที่รัฐ ทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง ยิ่งทำมาหากินมากขึ้น ขบวนการขนส่ง ซุกซ่อน กระจายแรงงานต่างด้าว

ผมให้ทีมงานพยายามเก็บข้อมูลกับสถานการณ์ลักลอบเข้าเมือง ทางภาคเหนือ ภาคตะวันตกของไทย ตั้่งแต่เชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ตาก ตอนนี้ลงมาถึงภาค 7 แล้ว ก็คือกาญจนบุรี ราชบุรี และเพชรบุรี เริ่มกลับมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาค 7 สมัยก่อนนี้ไม่ค่อยมี ตอนนี้เยอะมาก


ตั้งแต่รัฐบาลเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวขึ้นมา ผมเอาการ์ตูนของบัญชา คามิน ให้ดูก็แล้วกัน เขียนเมื่อ 10 พฤศจิกายน โดยที่บัญชา คามิน ระบุว่า ขณะนี้นักท่องเที่ยวเข้ามาหลักหมื่น แต่แรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้ามาเป็นแสนคน ไม่ว่าจะเป็นฝั่งพม่า หรือฝั่งกัมพูชา


ท่านผู้ชมครับ ทั้งหมดนี้มันเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เหตุผลก็เพราะว่าคนหนีความยากจน หนีสงคราม หนีความวุ่นวายทางการเมือง และต้องการหางานทำ อย่างที่ผมเคยพูดไปแล้วว่าคนพม่าที่ทำงานอยู่ในพม่าเอง ถ้าทำงานเป็นลูกจ้างของโรงงานชาวจีน ค่าแรงได้วันละ 100 บาท มาเมืองไทยต้องมี 300 และยังมีสวัสดิการหลายอย่างที่ไม่เหมือนทำงานอยู่ในพม่า

ตอนนี้ที่ประเทศไทยต้องการแรงงานพม่า หรือแรงงานต่างด้าว มีหลายอุตสาหกรรมเลย มีอุตสาหกรรมการก่อสร้าง ประมง โรงงานต่างๆ ธุรกิจร้านอาหาร กรรมกรทุกประเภท สวนยาง สวนผลไม้ เกษตรกรรมขนาดใหญ่

ท่านผู้ชมครับ ถ้าสถานการณ์ในพม่ายังเป็นเช่นนี้อยู่ ยังมีปัญหาวุ่นวายทางการเมือง ความไม่สงบ ผู้ประกอบการคนไทยยังต้องการแรงงานต่างด้าวอยู่ การลักลอบเข้าเมืองก็ยังจะเพิ่มต่อเนื่อง ตอนนี้วิธีการ ขบวนการค้าแรงงานข้ามชาติกลับเข้ามาดำเนินการอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ท่านผู้ชมสังเกตคำพูดนี้ "เป็นล่ำเป็นสัน" พากลุ่มชาวพม่าข้ามตามช่องทางธรรมชาติสู่ประเทศไทย แล้วทั้งในประเทศไทยและพม่าจะมีเครือข่ายทางพม่าและไทยดำเนินการต่อเนื่องกัน เชื่อมโยงกัน

ตั้งแต่เราผ่อนปรนการล็อกดาวน์ในพื้นที่คุมเข้ม 29 จังหวัด มันก็เลยมีแรงจูงใจให้หนีเข้าเมืองมากขึ้นๆ


ผมจะเอาง่ายๆ ก็แล้วกัน เอาตัวอย่างที่ผมให้คนของผมไปหาข้อมูลมา ที่เชียงราย ก็ยังมีการลักลอบเข้าทางเขตแม่สาย อำเภอแม่สาย ตั้งแต่ดอยช้างมูบ ตำบลโป่งงาม ไปตามถนนเลียบชายแดน ตำบลเวียงพางคำ อำเภอแม่สาย ตลอดแนวลำน้ำสาย ลำน้ำรวก ก่อนถึงแม่น้ำโขงที่สามเหลี่ยมทองคำ อำเภอเชียงแสน ทั้งหมดระยะทาง 35 กิโลเมตร ในฝั่งตรงข้ามนั้นเป็นจังหวัดท่าขี้เหล็ก ของพม่า เป็นชุมชนเมือง มีที่พัก เป็นชุมทาง เป็นศูนย์ของคนที่จะหลบหนีเข้าเมืองต่างๆ จากชาวพม่าที่รัฐฉาน และเคยมีท่าน้ำตามลำน้ำสาย ลำน้ำรวก นับสิบแห่ง

ขบวนการขนส่งคนเข้าสู่ชั้นในของประเทศไทย ใช้หลายเส้นทาง จากชายแดนตามช่องทางด้านชุมชนเกาะทราย เวียงหอม อำเภอแม่สาย ลงไปถนนพหลโยธิน สู่แม่จัน เมืองเชียงราย ทางบ้านวังลาว อำเภอเชียงแสน อำเภอแม่จัน เมืองเชียงราย เส้นทางติดลำโขง เชียงใหม่ก็มี เข้ามาแนวไล่ชายแดน ตั้งแต่อำเภอแม่อาย ฝาง เวียงแหง เครือข่ายขบวนการใหญ่ๆ ที่นำพวกนี้เข้ามา จริงๆ แล้วผมเช็กดูแล้ว มี 4 เครือข่าย

ขุมทองใหญ่เครือข่ายค้าแรงงาน ค้ามนุษย์ ที่แม่สอด คือหนึ่งเครือข่ายใหญ่ แม่สอด พบพระ แม่ระมาด มีแม่น้ำเมยเป็นพรมแดนกั้น ยิ่งถ้าแม่น้ำเมยแห้ง ก็เดินข้ามมาเลย ผมเอาแผนที่ให้ดูนะครับ


ผมเคยเล่าให้ท่านผู้ชมฟังแล้ว ในพื้นที่ภูธรภาค 6 พื้นที่ 9 จังหวัด พิษณุโลก นครสวรรค์ เพชรบูรณ์ กำแพงเพชร พิจิตร อุตรดิตถ์ อุทัยธานี สุโขทัย และตาก เป็นพื้นที่ขุมทองคำ เพราะว่ามันมีเรื่องบ่อนการพนันทางฝั่งพม่า มียาเสพติด แรงงานเถื่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ที่อยู่ตรงกันข้ามเมียวดีฝั่งพม่า ใครว่าแม่สาย เชียงราย เป็นขุมทอง มาเจอแม่สอด จังหวัดตาก เด็กๆ ไปเลย เรียกได้ว่าเดินไปที่ไหนก็ปูด้วยทองคำ เปรียบเทียบได้คือ มีผลประโยชน์ทุกจุด เป็นเงินเป็นทองทุกตำแหน่ง ผลประโยชน์เหล่านี้ผมเคยแจกแจงไปแล้ว มีบ่อนออนไลน์ที่เชื่อมโยงไปเมียวดีคอมเพล็กซ์ ตรงข้ามแม่สอด มีตำรวจใหญ่ของไทยเป็นหุ้นส่วน เชื่อมโยงกับเสี่ยโป้ ลองไปฟังรายการผมตอนที่ 72 วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2564


ท่านผู้ชมครับ คดีต่อเนื่องในการจับยาไอซ์ 1,500 กิโลกรัม ที่บ้านห้วยยะอุ จังหวัดตาก รายการตอนที่ 73 "จากเสี่ยโป้ หลงจู๊สมชาย ถึงเรื่องสะท้านฟ้า สะเทือนดิน" และตอนย่อย "ใหญ่ตัดใหญ่ สุชาติ ชน ต่อศักดิ์" ไปฟังได้ครับ หรือลืมไปแล้ว กลับไปฟังได้อีกทีหนึ่ง

คดีฆ่าคลุมถุงพ่อค้ายาสะเทือนขวัญ อดีตผู้กำกับโจ้ ที่กำลังถูกส่งฟ้องไปขณะนี้ รายการทั้งหมดนี้ผมได้พูดมาแล้ว และมันเกี่ยวโยงกันเลย เกี่ยวโยงกับสิ่งที่ผิดกฎหมาย ประเด็นต่างๆ เหล่านี้ที่ผมพยายามต่อจิ๊กซอว์ให้ท่านผู้ชมเห็นว่า ขบวนการทั้งหมดนี้มันเกี่ยวข้องกันหมด ทุกเรื่องมันเรียงร้อยเข้าสู่ขบวนการเดียวกัน ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 เกษียณอายุไปแล้ว เปลี่ยนคนใหม่มา คือ พลตำรวจโท อัคราเดช พิมลศรี

ในเมื่อผลประโยชน์มันยังอยู่ ขบวนการมันก็ดำเนินการต่อไปได้ ภาษานักเลงเขาเรียกว่า "สวมตอ"

จากข้อมูลที่ผมสืบเสาะมา แรงงานพม่าเข้ามาทางชายแดนแม่สอด แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม หลักๆ คือ หนึ่ง แรงงานภาคเกษตร ที่ข้ามไปข้ามมาเหมือนเป็นวิถีชีวิตในท้องถิ่น มากันแบบครอบครัว ข้ามแม่น้ำเมยมา ทำงานเสร็จก็ข้ามแม่น้ำเมยกลับไป

สอง แรงงานที่มุ่งหางานในโรงงานอุตสาหกรรมที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล กลุ่มนี้จะผ่านนายหน้าค้าแรงงาน ทั้งฝั่งไทยและพม่า ค่านำพาต่อหัวประมาณ 15,000-25,000 บาท (ยังไม่รวมค่าเรือข้ามแม่น้ำเมย) ต้องจ่ายอีกประมาณ 2,000 บาทต่อคน รวมค่าใช้จ่ายต่อหัวประมาณ 17,000-28,000 บาท


แรงงานกลุ่มนี้เมื่อข้ามเข้าชายแดนไทย ก็จะมีเครือข่ายนายหน้านำรถมารับไปจากชายแดน นำพาเลี่ยงด่านตรวจร่วมต่างๆ มีทั้งขนลำเลียงด้วยรถคอก ก็คือรถกระบะติดคอกเหล็กสำหรับบรรทุกขนผัก เลาะเส้นทางบนดอย ออกทางอำเภอวังเจ้า จังหวัดตาก-กำแพงเพชร บางส่วนให้เดินข้ามเทือกเขาถนนธงชัย ไปรอขึ้นรถแถบรอยต่อจังหวัดตาก-กำแพงเพชร

อีกกลุ่มหนึ่งคือ โรฮีนจา จากรัฐยะไข่ของเมียนมา กลุ่มนี้ปลายทางจะไปที่มาเลเซีย ค่าหัว ค่านำพากลุ่มนี้จะแพงหน่อย ตกหัวละประมาณ 35,000 บาท

ท่านผู้ชมครับ ประเด็นอยู่ตรงนี้ เส้นทางการค้าแรงงานเถื่อนจากอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก จะต้องวิ่งผ่านด่านร่วมหลายหน่วยงานไม่ต่ำกว่า 3 ด่าน เช่น ห้วยยะอุ ห้วยหินฝน กว่าจะผ่านเข้าตัวเมืองชั้นใน ก็เลยถูกตั้งคำถามว่า เจ้าหน้าที่หน่วยอื่นมีส่วนแบ่งในครั้งนี้หรือเปล่า ข้อมูลจากคนวงใน ตั้งข้อสังเกตว่า ลำพังเจ้าหน้าที่รัฐชั้นผู้น้อยเข้าไปเอี่ยว สุดท้ายก็ไม่รอด หากเค้นถึงตัวการ แต่รอบนี้ขบวนการค้าแรงงานเถื่อนแข็งแรงมาก เพราะได้ไฟเขียวจากผู้ใหญ่ในพื้นที่ ส่งต่อระดับจังหวัด ระดับภาคเลย


เงินค่าหัวแรงงานที่จ่ายเจ้าหน้าที่รัฐมี 2 วิธี วิธีที่หนึ่ง กลุ่มแรงงานเถื่อนรายย่อยที่จะเอาแรงงานเถื่อนมาส่งถึงฝั่งไทย ปกติแล้วต้องจ่ายค่าหัวแรงงานให้กับเจ้าหน้าที่ไทย ตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง 70 เปอร์เซ็นต์ ของเงินที่เก็บจากแรงงาน เช่น เก็บ 20,000 บาท ต้องมาจ่ายให้เจ้าหน้าที่ไทย 14,000 บาสท วิธีที่สอง กลุ่มแรงงานเถื่อนที่เป็นขบวนการใหญ่ มีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเจ้าหน้าที่รัฐฝั่งไทย ผู้หลักผู้ใหญ่ พวกนี้จะตีตั๋วเป็นรายเดือน และจ่ายเป็นรายครั้ง แบ่งเป็นล็อตของการเอาแรงงานเข้า คล้ายๆ ขบวนการยาเสพติด

ท่านผู้ชมครับ คำนวณง่ายๆ ถ้านำเข้าขั้นต่ำวันละ 200 คน เดือนหนึ่ง 30 วัน ตก 6,000 คน ค่าหัวให้เจ้าหน้าที่คนละ 14,000 บาท เดือนหนึ่งก็ตก 84 ล้านบาท เพราะฉะนั้นแล้วที่ร่ำลือกันในพื้นที่ว่าค่าส่วยแรงงานเถื่อนในพื้นที่แม่สอดอย่างเดียว เงินก็สะพัดเป็นหลักร้อยล้านบาทแล้ว ไม่น่าจะเกินเลยครับ น่าจะเป็นอย่างนี้จริงๆ

แล้วในช่วงนี้ กาญจนบุรี ก็เริ่มมีเรื่องมีราวแล้ว สมัยก่อนไม่ค่อยมี พื้นที่ตำรวจภูธรภาค 7 ท่านผู้บัญชาการภาค 7 เป็นคนรู้จักกัน สมัยก่อนฉายาว่า "โอ๋สืบ 6" ชื่อเดิมคือ ฤทธิรงค์ เทพจันดา


ท่านผู้ชมที่เป็นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย คงจำ "โอ๋สืบ 6" ได้ใช่ไหม วันนี้บุญมาวาสนาส่ง ได้เป็นผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 เปลี่ยนชื่อ-นามสกุลหมดแล้ว ชื่อ พลตำรวจโท ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์ ชื่อเดิมคือ ฤทธิรงค์ เทพจันดา

ตอนนี้กาญจนบุรีกลายเป็นช่องทางนำเข้าหลัก เพราะมีช่องทางตลอดแนว กาญจนบุรี มีชายแดนติดพม่าครอบคลุมพื้นที่ 5 อำเภอ สังขละบุรี ทองผาภูมิ ไทรโยค อำเภอเมืองกาญจนบุรี ด่านท่ามะขาม ด่านมะขามเตี้่ย มีความยาวทั้งหมด 371 กิโลเมตร ห้วงเวลาตั้งแต่รัฐบาลสั่งเปิดประเทศ ตั้งแต่ 1 พฤศจิกายน รวม 11 วัน เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงชายแดน จังหวัดกาญจนบุรี สามารถจับกุมแรงงานต่างด้าวชาวพม่าที่หลบหนีหลบหลีกเข้าราชอาณาจักรไทย มุ่งไปทาง กทม. ได้จำนวน 11 คดี ผู้ต้องหา 658 ราย เป็นชาย 396 ราย หญิง 262 ราย ผู้นำพาเป็นชายชาวพม่า 1 ราย และชายชาวไทย 3 ราย


พวกนี้จะเดินทางมาจากหลายเมืองในพม่า มีมะละแหม่ง พะโค พะอาน มูโด่ง ที่เมืองพญาตองซู ตรงข้ามบ้านพระเจดีย์สามองค์ ติดต่อผ่านนายหน้าในพื้นที่ซึ่งเป็นคนรวบรวมแรงงาน แล้วก็ออกเดินทางทางเท้า จากเมืองพญาตองซู มีชาวพม่าที่พูดภาษามอญ 3 คน พาเดินลัดเลาะป่าข้ามคืน รอรถยนต์มารับเพื่อเดินทางต่อ แรงงานพวกนี้ส่วนใหญ่ไปทำงานพื้นที่ ตำบลมหาชัย สมุทรสาคร นครปฐม นนทบุรี สมุทรปราการ ราชบุรี ประจวบคีรีขันธ์ กาญจนบุรี และกรุงเทพฯ ทั้งหมดนี้เสียค่าหัวกันประมาณ 25,000-26,000 บาท เช่นกัน


ท่านผู้ชมครับ อดีตนั้นช่องทางกาญจนบุรี ในพื้นที่ภาค 7 จะไม่ค่อยเป็นที่นิยมในการเคลื่อนย้ายแรงงานเถื่อน มากกว่าตาก เฉพาะอำเภอแม่สอด อาจจะเป็นความหละหลวม จะจงใจหรือไม่จงใจของเจ้าหน้าที่ต้องรับผิดชอบ นี่ผู้บัญชาการภาค 7 คนใหม่ ผมยังเคยชินกับชื่อเก่าของท่าน คือ โอ๋ สืบ 6 ไหนๆ ท่านก็มีบุญมาวาสนาส่งได้เป็นผู้บัญชาการภาค 7 แล้ว ท่านลองตรวจสอบดูซิ ขยันขันแข็งหน่อยได้ไหมครับ ผมรู้ว่าเงินที่มันผ่านมามันเยอะ แต่ผมเชื่อว่าท่านคงไม่ได้รับเงินรับทองกับเขาด้วยหรอก แต่ท่านทำงานให้สมกับที่ท่านได้เป็นผู้บัญชาการภาค 7 เสียหน่อยได้ไหม ไม่ต้องห่วงครับ ผมไม่เคยลืมท่าน "โอ๋ สืบ 6" และไม่ลืมจนกระทั่งท่านเกษียณอายุไป

ท่านผู้ชมครับ เมื่อเร็วๆ นี้มีการขนแรงงานต่างด้าว 23 คน รถชนคว่ำ แรงงานบาดเจ็บ 20 คน ตาย 3 คน ท้องที่วังเจ้า จังหวัดตาก และมี พันตำรวจเอก อำพล วงศ์ใหญ่ รอง ผบก. และ ผบก.ตาก ไปตรวจที่เกิดเหตุ ก็คือพูดง่ายๆ ว่า รับคนมาแล้วก็วิ่งทำอิท่าไหนไม่รู้ รถคว่ำ คนตาย แล้วก็มีรถมารับคนๆ นี้กลับไป มีรถอีกคันหนึ่งมารับคนที่รอดตาย ไปส่งตามเป้าหมาย ทิ้งคนบาดเจ็บให้รอการช่วยเหลือ ซึ่งไม่มีใครมาช่วยเหลือ ในที่สุดก็สิ้นใจตายกันไปหลายคน


เรื่องพวกนี้ ท่านผู้ชมเชื่อผมเลย ตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง อัยการ ร่วมมือกันอย่างเป็นระบบ รัฐบาลวางตัวเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องตามหน่วยงาน ตามเส้นทางทุกท้องที่ของตำรวจ ทุกหน่วยงาน เป็นการอำนวยความสะดวก เรียกรับผลประโยชน์ทั้งในจังหวัดตาก กาญจนบุรี ประจวบฯ และสระแก้ว

ท่านผู้ชมครับ ที่สำคัญคือตัวผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 คือพลตำรวจโท อัตราเดช พิมลศรี และผู้บัญชาการภาค 4 โอ๋ สืบ 6 พลตำรวจโท ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์


ท่านผู้ชมรู้หรือเปล่าว่าสองคนนี้เป็นตั๋วที่ท่านนายกฯ ส่งบัญชีลงมาให้รับตำแหน่ง ผมไม่รู้ ท่านนายกฯ คงจะเห็นคุณงามความดีของคนสองคนนี้ ประเด็นไหนผมไม่รู้ แต่ว่าสองคนนี้ในการโยกย้ายแต่งตั้งคราวที่แล้ว ได้รับบัญชีที่มาจากมือท่านนายกฯ เองเลยว่า ให้มานั่งที่ภาค 6 และภาค 7 ก็ฝากท่านผู้ชมคิดดูก็แล้วกัน

วันนี้ก็มีอยู่เพียงแค่นี้ที่ผมจะพูด ก่อนที่ผมจะจากรายการนี้ไป ผมขอพูดเรื่องอาจารย์สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ และคุณยศ เอื้อชูเกียรติ นิดหนึ่งก่อนจบ สองคนนี้มีความเหมือนในความแตกต่าง และมีความแตกต่างในความเหมือน แต่ในที่สุดแล้ว ณ วันนี้ มีแต่ความว่างเปล่า เพราะตายไปแล้วทั้งคู่ เหลืออยู่อย่างเดียวเท่านั้นเอง คุณงามความดีที่อาจารย์สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ได้ทำไว้กับประเทศชาติ สำหรับคุณยศ นั้น คือคุณงามความดีที่ผมรับทราบว่าเป็นคนที่มีจิตใจต่อสู้เพื่อส่วนรวม ไม่ชอบความอยุติธรรม แต่ด้วยความจำกัดในสิ่งแวดล้อม ในชาติวุฒิ ในเพื่อนฝูงแวดวงสังคมของตัวเอง ก็ไม่สามารถที่จะแสดงออกได้อย่างเด่นชัด แต่แสดงออกด้วยการกระทำผ่านมาทางผม และทางคุณคำนูณ สิทธิสมาน ทำให้เราได้รู้ว่า คุณยศ เอื้อชูเกียรติ นั้น ก็คือสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ อีกคนหนึ่ง เพียงแต่ว่าอยู่กันคนละมิติเท่านั้นเอง เป็นคนดีทั้งคู่ สวัสดีครับท่านผู้ชม
กำลังโหลดความคิดเห็น