xs
xsm
sm
md
lg

[คำต่อคำ ]SONDHI TALK : ล้มล้างการปกครอง จะเกิดขึ้นอะไรต่อจากนี้

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



วันที่ 12 พ.ย. นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ไลฟ์สด “SONDHI TALK” ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ คุยทุกเรื่องกับสนธิ และช่องยูทูป Sondhitalk โดยมีเรื่องที่นำมาเล่าในวันนี้ ที่จะไม่พูดไม่ได้ คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญคดีล้มล้างการปกครองที่ 3 แกนนำม็อบสามนิ้วเป็นผู้ถูกร้อง ผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร หน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทยกำลังเดินไปทิศทางใด? เรื่องต่อมาคือการจับโกหก “บิ๊กอ๊อด” คดีบอส อยู่วิทยา  เมื่อเจ้าหน้าที่พูดโกหก ประชาชนจะเชื่อไจตำรวจไทยได้อย่างไร ตีเเสกหน้า จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ กับทุกปัญหาของกระทรวงพานิชย์ "ราคาข้าวตกต่ำ” สงครามประชาชนในพม่า ความวุ่นวาย เเละสงครามตัวแทนของมหาอำนาจที่ใช้พม่าเป็นหมากในการเดินเกม ทั้งหมดนี้ ติดตามได้ใน SONDHI TALK : ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง Ep.111



คำต่อคำ SONDHI TALK [12 พ.ย. 64] : ล้มล้างการปกครอง จะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ !!


ช่องทางการรับชมรับฟัง "คุยทุกเรื่องกับสนธิ"หรือ SONDHI TALK
เฟซบุ๊กแฟนเพจ : คุยทุกเรื่องกับสนธิ
YouTube : Sondhitalk
เว็บไซต์ : www.sondhitalk.com
Podcast หรือ podbean : SONDHI TALK


สวัสดีครับท่านผู้ชม วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564 เหมือนเช่นเดิม เรามาพบกันทุกๆ วันศุกร์ เวลาผ่านไปเร็วมากท่านผู้ชมครับ ยังไม่ทันไรเลย เหลืออีกเดือนกว่าๆ ก็จะสิ้นปีแล้ว

วันนี้มีรายงาน ก่อนที่จะเข้าสู่รายการ ที่จะรายงานให้ทราบบางเรื่อง เรามีการทำบุญกฐินครั้งสุดท้ายในวันอาทิตย์ที่ 14 พฤศจิกายน ที่วัดป่าดอยลับงา จ.กำแพงเพชร โดยเราเอาเงินไปร่วมทำกฐินบริจาคเพื่อสร้างเจดีย์พระธรรมวิสุทธิมงคล หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เราได้โอนเงินไปให้เรียบร้อยแล้ว ก็จะรายงานผลให้ทราบนะครับ

ตอนนี้ฟ้าทะลายโจรที่มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน และผู้ที่มีจิตศรัทธาในการร่วมบริจาคเข้ามูลนิธิฯ อาทิตย์ที่แล้วมาเราแจกไปอีก 1 หมื่นกระปุก ยอดรวมแจกแล้วประมาณร่วม 5 แสนกระปุก ประมาณ 40 ล้านเม็ด สัปดาห์ที่แล้วเราส่งไปหลายๆ ที่ เยอะแยะไปหมด ไม่ว่าจะเป็นสงขลา หาดใหญ่ สะบ้าย้อย สงขลา ฝาง เชียงใหม่ 1 พันกระปุก กระบี่ เชียงใหม่ กาญจนดิษฐ์ สุราษฎร์ธานี อำเภอเทิง เชียงราย ภูกระดึง เลย สุไหงโก-ลก นราธิวาส เรือนจำกลางยะลา


มูลนิธิสร้างสรรค์เด็ก หลักสี่ 5 ร้อยกระปุก และยังมีชุมชนทั่วไปที่สตูล อำเภอนาทวี สงขลา 3 พันกระปุก ยอดบริจาคของฟ้าทะลายโจร และการทำบุญร่วมกฐินในครั้งนี้ อาทิตย์หน้าเราจะสรุปตัวเลขและลงรายละเอียดให้ท่านผู้ชมทราบในวันศุกร์หน้า คือวันศุกร์ที่ 19 พฤศจิกายน 2564

ท่านผู้ชมครับ แฟนๆ ที่อยากจะร่วมทำบุญเรื่องฟ้าทะลายโจร โดยรับเสื้อฟ้าทะลายโจร ที่ร่วมบริจาคเข้ามาที่มูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินได้ บริจาคเข้ามา 5 ร้อยบาท ก็จะได้รับเสื้อฟ้าทะลายโจร 1 ตัว


ท่านผู้ชมครับ อาทิตย์นี้เรามีอยู่หลายๆ เรื่องที่ผมคิดว่าน่าสนใจมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของพม่าที่ผมรับปากท่านผู้ชมไว้เมื่ออาทิตย์ที่แล้วว่าผมจะมารายงานรายละเอียดและความลึกของเหตุการณ์ให้ท่านผู้ชมฟัง แต่อันแรกที่เราจะพูดอาทิตย์นี้ รายการวันนี้ คือ ผมจะอัปเดตสถานการณ์โควิดทั่วโลกให้ดู แล้วก็มีแผนที่จำนวนผู้ติดเชื้อโควิดทั่วโลก ซึ่งน่าสนใจมาก เดี๋ยวผมจะมาเล่าให้ฟัง

สอง เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานซืนนี้ คือเรื่องที่ศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดว่า "ม็อบสามนิ้ว" เป็นม็อบล้มล้างการปกครอง คำถามมีอยู่ว่า จากนี้ไปอะไรจะเกิดขึ้น ซึ่งผมจะอธิบายหลายๆ เรื่องให้ทราบจากเหตุการณ์ที่ศาลรัฐธรรมนูญได้ชี้ออกมาแล้วว่าเป็นการล้มล้างการปกครอง

เรื่องที่สาม คือเรื่องของท่าน พลตำรวจเอก สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ท่านเคยปฏิเสธมาตอนที่มีเรื่องมีราวเรื่องคดีบอส ว่าท่านไม่ได้เข้าร่วมประชุมในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 ที่ท่าน พลตำรวจเอก สมยศ ท่านยืนยัน นั่งยัน นอนยัน อ้างว่าท่านอยู่ที่ต่างประเทศ แล้วปรากฏว่า จากการสอบคำให้การของท่าน หรือว่าสอบข้อมูลที่ท่านจะต้องยืนยันนั้น ปรากฏว่ามีหลักฐานในเทปที่ทางคณะกรรมการสอบสวน คือท่านจเรตำรวจแห่งชาติ พลตำรวจเอก วิสนุ ปราสาททองโอสถ ในที่สุด พลตำรวจเอก สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ก็ยอมรับอย่างหน้าตาเฉย คือท่านไม่รู้สึกสะทกสะท้านเลยวันนั้นที่เคยโกหกมาว่าอย่างไร ว่าวันที่ 29 นั้นท่านอยู่จริง ผมจะเอารายละเอียดและคำถามที่ผมจะตั้งถาม ให้ท่านผู้ชมช่วยคิด ตลอดจนความรู้สึกที่ผมมีและท่านผู้ชมมีมอบให้กับ พลตำรวจเอก สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง เป็นของขวัญวันปีใหม่ปีนี้

เรื่องที่สี่ คือ สงครามตัวแทนในพม่า ซึ่งผมเพิ่งอธิบายให้ฟังสรุปง่ายๆ ว่า เป็นการสัประยุทธ์กันระหว่างมหาอำนาจ ระหว่างจีนกับทางตะวันตก โดยใช้พม่าเป็นนอมินี แล้วก็ต่อท้ายเรื่องนี้ด้วยการอัปเดตความคืบหน้าการก่อสร้างกงสุลสหรัฐฯ ประจำ จ.เชียงใหม่ ที่ผมเปิดประเด็นมาสักพักหนึ่งแล้วว่าเป็นการก่อสร้างกงสุลที่พิลึกพิลั่น ใช้เงินร่วมหมื่นล้านบาท จนวันนี้ฐานรากก็ยังไม่เสร็จ เหตุผลที่ฐานรากยังไม่เสร็จ ก็เพราะว่ามีการขุดลึกลงไปเป็นชั้นใต้ดินอยู่มากมาย รวมทั้งอุปกรณ์ทางอิเล็กทรอนิกส์มากมายที่ถูกส่งเข้ามาที่ จ.เชียงใหม่ นัยนี้จะเป็นอย่างไร ผมอัปเดตให้ฟังแล้ว

เรื่องสุดท้ายที่ต้องพูด ไม่พูดไม่ได้ ก็คือ ผมเห็นโพลต่างๆ ที่ออกมาเชียร์คุณจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ว่าเหมาะสมที่จะเป็นนายกฯ เป็นโพลที่มีอันดับ 1 เลย รวมไปจนถึงโพลของมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ซึ่งเมื่อผลโพลออกมาแล้ว ท่านศาสตราจารย์ด็อกเตอร์ ธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ ซึ่งท่านเป็นที่ปรึกษาของทีมงานนี้ ท่านประกาศลาออก เพราะว่าท่านทนไม่ไหว ท่านอับอายขายหน้ามาก นัยเป็นอย่างไร และผมก็มีคำถามที่ผมจะตั้งถามคุณจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ และทีมงานพรรคประชาธิปัตย์ ที่พยายามทำงานทางด้าน IO และอวยคุณจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ ให้ตอบคำถามผมหน่อยก็แล้วกันนะครับ


ท่านผู้ชมครับ เรามาที่สถานการณ์โควิดก่อน ในวันนี้ทั่วโลก ผมจะเอาแผนที่เมื่อวานนี้ ตัวเลขทั้งหมดเมื่อวานนี้ เอาขึ้นมาให้ท่านดู

ท่านผู้ชมจะเห็นแผนที่โลก วงสีดำคือบริเวณที่มีการระบาด ถ้าวงใหญ่หน่อยก็แสดงว่ามีผู้ติดเชื้อเยอะ ในภาพ สหรัฐอเมริกามีวงใหญ่มาก เพราะมีปริมาณติดเชื้อในสัปดาห์ที่ผ่านมา 387,295 เคส แต่ถ้าท่านผู้ชมได้ดูแผนที่อย่างจริงๆ แล้ว จะเห็นว่าตอนนี้การระบาดกระจุกตัวอย่างหนาแน่นที่ยุโรป เป็นวงเล็กๆ เต็มไปหมด ทั้งๆ ที่ยุโรปนั้นฉีดวัคซีน 2 เข็ม ไปแล้วถึง 62 เปอร์เซ็นต์ ความรุนแรงของการระบาดในยุโรปทำให้วันที่ 7 พฤศจิกายน 2564 (เมื่อ 5 วันที่แล้ว) องค์การอนามัยโลกต้องออกมาเตือนว่า ประเทศแถบยุโรปบางส่วน และเอเชียกลาง รวมทั้ง 53 ประเทศ ตอนนี้มีแนวโน้มว่าโควิดกลับมาระบาดหนักอีกครั้ง มีผู้ติดเชื้อรวมกันแล้ว 78 ล้านราย โดยเฉพาะในยุโรปนั้น ตัวเลขพุ่งสูงสุด เมื่อวันศุกร์ที่ 5 พฤศจิกายน 2564 (7 วันที่แล้ว) เฉพาะเยอรมนีอย่างเดียว มีผู้ติดเชื้อใหม่ 37,000 ราย ภายในวันเดียว สูงสุดตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาด ทั้งๆ ที่ปัจจุบันเยอรมนีฉีดวัคซีนให้ประชาชนครบโดสไปแล้ว 70 เปอร์เซ็นต์


ส่วนอังกฤษ มีผู้ติดเชื้อเพิ่มวันละ 3 หมื่นราย เสียชีวิตวันละเกือบ 120 ศพ

ในภาพ แผนที่ด้านล่างคือแอฟริกา ซึ่งฉีดวัคซีนไปไม่มาก แต่กลับมีจำนวนความรุนแรงในการระบาดน้อยกว่า น่ามหัศจรรย์ไหมท่านผู้ชม โดยถึงตอนนี้แล้ว ประเทศในทวีปแอฟริกาเพียง 15 ประเทศ ใน 54 ประเทศ ที่สามารถฉีดวัคซีนได้ถึงเป้า 10 เปอร์เซ็นต์ อีกครึ่งหนึ่งยังฉีดวัคซีนได้ไม่ถึง 2 เปอร์เซ็นต์

ที่น่าสนใจ ประเทศจีน ท่านผู้ชมดูแผนที่สิครับ


ทั้งๆ ที่เป็นประเทศขนาดใหญ่ แต่วงการรระบาดเล็กมาก แทบไม่มีเลย จีนมีการระบาดในสัปดาห์ที่ผ่านมา 509 เคส จากจำนวนประชากร 1,400 ล้านคน ท่านผู้ชมครับ จีนฉีดวัคซีนอะไร ? จีนฉีดซิโนแวค ซิโนฟาร์ม ประกอบกับการรักษาด้วยยาสมุนไพรจีน

ท่านผู้ชมครับ ซิโนแวค ซิโนฟาร์ม เป็นวัคซีนที่หลายๆ คนในประเทศไทย รวมทั้งหมอทั้งหลาย ด้อยค่าวัคซีนนี้ แต่จีนกลับติดเชื้อน้อยที่สุด ในขณะซึ่งประเทศยุโรปฉีดวัคซีนเทพ ไม่ว่าจะเป็นไฟเซอร์ โมเดอร์นา หรือจอห์นสันฯ รวมทั้งในสิงคโปร์ ท่านผู้ชมดูแผนที่ในสิงคโปร์ก็แล้วกันว่าร้ายแรงขนาดไหน


ปรากฏว่าวัคซีนเทพนั้น คนที่ฉีดแล้วกลับไปติดเชื้อโควิดสายเดลตามากขึ้น เพราะฉะนั้นแล้ว ผมก็เลยอยากจะเรียนท่านผู้ชมให้ทราบถึงความรู้สึกของผม ซึ่งผมพูดมาตั้งนานแล้ว หลายๆ ครั้ง แล้วก็ไม่มีใครฟังเท่าไรนัก หรือว่าหลายคนฟังแล้วก็บอก คุณสนธิ จะไปรู้เรื่องอะไร ผมไม่รู้เรื่องอะไร แต่ผมดูจากตัวเลขและผมดูจากความเคลื่อนไหวของเหตุการณ์

สรุปง่ายๆ ท่านผู้ชมครับ ตั้งใจฟังดีๆ ข้อที่หนึ่ง ผมยังยืนยันว่า การฉีดวัคซีนไม่ได้เป็นการป้องกัน ป้องกันไม่ได้ เรายังคงจะต้องป้องกันตัวเราเองอยู่ ถึงแม้จะฉีดวัคซีนไปแล้ว 2 เข็ม หรือแม้กระทั่ง 3 เข็ม ถ้าเราไม่ป้องกันตัวเราเองนั้น เราแย่มากๆ อะไรก็เอาไม่อยู่ แต่วัคซีนจะทำให้ความรุนแรงของการติดเชื้อที่โอกาสจะถึงขั้นเสียชีวิตนั้น เปอร์เซ็นต์การเสียชีวิตจะน้อยลงกว่าเก่าเยอะ อันนี้คือคุณูปการของวัคซีน แต่ ท่านผู้ชมครับ วัคซีนฉีดแล้ว 2 เข็ม หรือ 3 เข็ม จะเทพ หรือไม่เทพ ป้องกันไม่ได้เด็ดขาด ท่านผู้ชมครับ ผมจะเตือนสตินิดหนึ่ง ผมอยากให้ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ แต่ในยุโรปขณะนี้เขากำลังกลัวกันมาก เพราะว่าหน้าหนาวเข้ามาแล้ว และช่วงหน้าหนาวเป็นช่วงที่โควิด-19 นั้นจะระบาดอย่างมากที่สุด แน่นอนที่สุด การฉีดวัคซีนก็ยังดีกว่าการไม่ฉีดวัคซีน แต่ว่าการระมัดระวังตัวตลอดเวลา หลังจากฉีดวัคซีนแล้ว หรือไม่ได้ฉีดวัคซีน กลับเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด

ถ้าเป็นไปได้ ผมจะกราบเรียนท่านผู้ชมด้วยความรักและห่วงใย ปีนี้อย่าไปเคานต์ดาวน์อะไรกับเขา อะไรที่เขาแห่กันไปเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นภูกระดึง ไม่ว่าจะเป็นเทิง ไม่ว่าจะเป็นภูชี้ฟ้า ไปรับลมหนาว อดทนสักนิดหนึ่งนะครับท่านผู้ชม ความเลวร้ายของการระบาดยังไม่หมดสิ้นไป ท่านผู้ชมครับ เราอยู่ในภาวการณ์ที่เราเปิดประเทศแล้ว และประเทศส่วนใหญ่ที่เราเปิดให้เข้ามานั้น ก็คือยุโรปที่มีวงดำๆ ไปดูเอาเองก็แล้วกันนะครับ เดี๋ยวจะหาว่าผมไม่เตือน แน่นอนที่สุด ผมระวังตัว ทุกคนที่ผมรู้จัก ผมจะแนะนำให้ระวังตัวตลอดเวลา และผมก็รู้มาว่า ทางกรุงเทพมหานคร ศบค. ชุดเล็ก กำลังจะเปิดให้มีการทานเหล้าทานเบียร์กัน เฮ้วกันเต็มที่ เพื่อสะท้อนให้เห็นว่าเรากลับไปสู่ภาวะปกติแล้ว ท่านผู้ชมครับ สวดมนต์ไหว้พระ ตั้งสตินิด บอกลูกหลานว่าถ้าไม่จำเป็นอย่าเพิ่งไปเฮ้วเลย รอดูเหตุการณ์อีกสักพัก นั่นคือการอัปเดตโควิดล่าสุด


ท่านผู้ชมครับ เมื่อวันพุธที่ผ่านมานี้ วันพุธที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564 เมื่อวานซืนนี้ ศาลรัฐธรรมนูญได้มีการอ่านคำวินิจฉัยกรณีการปราศรัยของแกนนำการชุมนุมเพื่อเสนอข้อเรียกร้องการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ว่าเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง หรือเปล่า

ท่านผู้ชมครับ ก่อนที่จะสรุปเรื่องราวต่างๆ ว่า ศาลรัฐธรรมนูญมีความเห็นว่าล้มล้าง ผมจะอธิบายที่มาที่ไปก่อน ผมขอย้อนกลับไปเมื่อเดือนสิงหาคม วันที่ 10 ปี 2563 แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ในชื่อ "ธรรมศาสตร์จะไม่ทน" ที่ลานพญานาค หน้าสนามกีฬามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต มีการปราศรัยเรียกร้องว่าด้วยสถาบันกษัตริย์ อ่านแถลงการณ์


มีรายละเอียดตามที่ผมได้พูดไปแล้วในตอนที่ 57 เมื่อวันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม 2563 ว่า เนื้อแท้ของ 10 ข้อเรียกร้องดังกล่าว ไม่ใช่การปฏิรูป แต่เป็นการล้มล้างสถาบันกษัตริย์

วันที่ 18 สิงหาคม 2563 คุณณฐพร โตประยูร อดีตที่ปรึกษาประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 ว่า การกระทำของแกนนำ ซึ่งประกอบด้วย นายอานนท์ นำภา กับพวก รวม 8 คน ชุมนุมปราศรัยเพื่อเสนอข้อเรียกร้อง เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 วรรคหนึ่ง หรือไม่ คนที่ถูกร้องมี นายอานนท์ นำภา ซึ่งเป็นทนายความด้านสิทธิมนุษยชน ภาณุพงศ์ จาดนอก แกนนำกลุ่มเยาวชนภาคตะวันออก หรือที่ชื่อเล่นว่า ไมค์ นางสาวปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล (รุ้ง) แกนนำกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์ฯ นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ (เพนกวิน) แกนนำกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์ฯ นางสาวจุฑาทิพย์ ศิริขันธ์ (อั่ว) ประธานสหภาพนักเรียน นิสิต นักศึกษาแห่งประเทศไทย นางสาวสิริพัชระ จึงธีระพานิช นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข แกนนำกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย นางสาวอาทิตยา พรพรหม (ซัน) แกนนำกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย


ท่านผู้ชมครับ ศาลรัฐธรรมนูญได้รับคำร้องของผู้ร้อง คือ คุณณฐพร โตประยูร โดยให้ผู้ถูกร้องยื่นคำชี้แจงข้อกล่าวหา และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานอัยการสูงสุด โรงพักคลองหลวง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดส่งเอกสารและหลักฐานที่เกี่ยวข้อง ในที่สุดแล้ว เมื่อวันพุธที่ผ่านมานี้ ศาลรัฐธรรมนูญท่านก็ได้อ่านคำวินิจฉัยว่า ผู้ถูกร้องทั้งสาม คือ นายอานนท์ นายภาณุพงศ์ และ นางสาว ปนัสยา ได้ปราศรัยในที่สาธาระหลายครั้ง ต่อเนื่อง เรียกร้องให้แก้ไขเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยการชุมนุมเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม เรียกร้องให้เปลี่ยนสถาบันพระมหากษัตริย์ ด้วย 10 ข้อเรียกร้อง

มีข้อโต้แย้งว่า คำร้องที่ร้องไปนี้คลุมเครือ ไม่ชัดเจน ครบองค์ประกอบตามมาตรา 49 หรือไม่ ศาลฯ วินิจฉัยว่า เมื่อพิจารณาการปราศรัยวันที่ 10 สิงหาคม 2563 พบว่ามีเนื้อหาบิดเบือน จาบจ้วง ล้อเลียน หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เป็นการกระทำที่มีเจตนาล้มล้างการปกครอง โดยที่เอกสารต่างๆ การถอดคลิปเสียงของผู้ถูกร้องและพวก ประกอบท้ายคำร้อง ชัดเจนเพียงพอที่จะทำให้ผู้ถูกร้องทั้งสามเข้าใจสถานภาพของการกระทำที่เป็นขั้นกล่าวหาสามารถต่อสู้คดีได้ ข้อโต้แย้งนี้จึงฟังไม่ขึ้น


กรณีที่ต้องวินิจฉัยว่าผู้ถูกร้องทั้งสามใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง หรือไม่ ศาลรัฐธรรมนูญพูดอย่างนี้ครับ "คำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาและพยานหลักฐานต่างๆ ที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องส่งมาให้ศาลรัฐธรรมนูญ พบว่าผู้ถูกร้องทั้งสาม คือ นายอานนท์ นายภาณุพงศ์ นางสาว ปนัสยา ปราศรัยถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ มีเจตนาเพื่อทำลายหรือล้างผลาญ สูญสลาย หมดสิ้นไป ไม่ให้ดำรงอยู่หรือมีอยู่อีกต่อไป" ศาลรัฐธรรมนูญท่านวินิจฉัยต่อว่า "การใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อเรียกร้องให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ว่าด้วยพระราชฐานะของพระมหากษัตริย์ ที่ทรงอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ อยู่เหนือความรับผิดชอบทางการเมือง ตามหลักกฎหมายรัฐธรรมนูญที่ว่าพระมหากษัตริย์ทรงกระทำผิดมิได้ และให้มีการยกเลิกกฎหมายที่้ห้ามผู้ใดล่วงละเมิด หมิ่นประมาท หมิ่นพระบรมเดชานุภาพสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งการแก้ไขรัฐธรรมนูญและกฎหมายดังกล่าวจะส่งผลให้สถาบันพระมหากษัตริย์ไม่อยู่ในสถานะที่เคารพสักการะ อันจะนำไปสู่การสร้างความปั่นป่วนและความกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพเกินความพอเหมาะพอสมควร โดยมีผลทำให้กระทบกระเทือนหรือเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของรัฐ เป็นอันตรายต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน และจะนำไปสู่การบ่อนทำลายการปกครองในที่สุด"


ข้อเจตนา ชัดเจน ข้อเรียกร้องที่เรียกร้องให้ยกเลิกรัฐธรรมนูญ มาตรา 6 ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่รับรองพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในฐานะทรงเป็นประมุขของรัฐ ที่ผู้ใดจะกล่าวหาหรือละเมิดมิได้นั้น จึงเป็นการกระทำที่มีเจตนาทำลายล้างสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างชัดแจ้ง การกระทำของผู้ถูกร้องทั้งสามเป็นการเซาะกร่อนบ่อนทำลายระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข การออกมาเรียกร้อง โจมตีในที่สาธารณะโดยอ้างใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ นอกจากจะเป็นวิถีที่ไม่ถูกต้อง ใช้ถ้อยคำหยาบคาย และยังไปละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนที่เห็นต่างได้ด้วย อันจะเป็นกรณีตัวอย่างให้คนได้ทำตาม สำคัญมากครับท่านผู้ชม

ศาลรัฐธรรมนูญยังวินิจฉัยต่อว่า ทั้งหมดนี้ ตรงนี้เป็นกุญแจสำคัญที่ผมอยากจะเล่าให้ท่านผู้ชมฟัง ศาลรัฐธรรมนูญบอกว่าทั้งหมดนี้ทำกันเป็นขบวนการ ไม่ว่าจะเป็นการที่มีพรรคการเมือง พรรคก้าวไกล เข้ามาเกี่ยวข้อง เมื่อคนพวกนี้ถูกดำเนินคดีกรณี 112 ก็จะมีเฉพาะ ส.ส. พรรคก้าวไกล โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณอมรรัตน์ ส.ส. พรรคก้าวไกล จังหวัดนครปฐม และ ส.ส. พรรคก้าวไกลทุกคน


รวมทั้งนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ วิ่งเต้นเข้าไปขอประกันตัว เพราะฉะนั้นแล้ว เครือข่ายพวกนี้มีส่วนร่วมในการล้มล้างระบอบการปกครอง นี่คือสิ่งที่ศาลรัฐธรรมนูญพูดนะครับ อ้างสิทธิเสรีภาพแต่อย่างเดียวไม่ได้ เพราะไม่ยอมรับความต่าง ล่วงละเมิดสิทธิส่วนตัวของบุคคลอื่น

ท่านผู้ชมครับ รายละเอียดมันมีเยอะ แต่ผมเอาที่สำคัญๆ มาให้ฟัง ศาลฯ วินิจฉัยว่า ข้อเรียกร้อง 10 ข้อ ของผู้ถูกร้องทั้งสาม เช่น การยกเลิกมาตรา 6 ของรัฐธรรมนูญ การยกเลิกการรับบริจาคโดยพระราชกุศล การยกเลิกพระราชอำนาจ การแสดงความคิดเห็นทางการเมืองในที่สาธารณะ เป็นข้อเรียกร้องที่ทำให้สถานภาพของสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่เป็นไปตามประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยของชาติไทยที่ยึดถือปฏิบัติกันมานาน


ศาลฯ ยังพูดต่อครับ สำคัญมาก "ทั้งพฤติการณ์และเหตุการณ์ต่อเนื่องจากการกระทำของผู้ถูกร้องทั้งสาม แสดงให้เห็นมูลเหตุจูงใจว่าผู้ถูกร้องทั้งสามมีเจตนาซ่อนเร้น เพื่อล้มล้างระบอบการปกครอง ไม่ใช่เป็นการปฏิรูป การใช้สิทธิและเสรีภาพของผู้ถูกร้องทั้งสาม เป็นการแสดงความคิดเห็นที่ไม่สุจริต ละเมิดกฎหมาย มีมูลเหตุจูงใจเพื่อล้มล้างการปกครอง ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 วรรคหนึ่ง แม้เหตุการณ์ตามคำร้องผ่านพ้นไปแล้ว แต่หากยังคงให้ผู้ถูกร้องทั้งสาม รวมทั้งกลุ่มในลักษณะองค์กรเครือข่าย (เครือข่าย นี่รวมหมดทุกคน ทั้งพรรคการเมือง ทั้งอาจารย์ พวกชาญวิทย์ เกษตรศิริ ทั้งปิยบุตร แสงกนกกุล ทั้งคนโน้นคนนี้ รวมไปจนถึงคุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ) กระทำการดังกล่าว ย่อมไม่ไกลเกินเหตุที่จะนำไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคสอง ให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจสั่งการให้เลิกกระทำดังกล่าวที่จะเกิดขึ้นอีกในอนาคตได้"

ท่านผู้ชมครับ คำถามมีอยู่ว่า จากนี้ไปจะเกิดอะไรขึ้น ? ผมบอกอย่างนี้ครับ การวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญนั้น คือการตีกรอบ เพื่อเปิดทางให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ ไม่ว่าจะเป็นอัยการ ไม่ว่าจะเป็น ปปง. ไม่ว่าจะเป็นศาล หรือหลายอย่าง เข้ามาใช้คำวินิจฉัยในการต่อยอดเพื่อดำเนินคดีอาญากับแกนนำทั้งสาม ตลอดจนขบวนการและบุคคลที่เกี่ยวข้องได้ต่ออีกอย่างมากมายมหาศาล เพราะว่ารัฐธรรมนูญ มาตรา 211 วรรคสี่ ระบุว่า "คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นเด็ดขาด มีผลผูกพันต่อรัฐสภา ผูกพันต่อคณะรัฐมนตรี ผูกพันต่อศาล ผูกพันต่อองค์กรอิสระ และหน่วยงานของรัฐ" เพราะฉะนั้นแล้ว การฟ้องร้องกลุ่มคนพวกนี้ในกรอบที่ศาลรัฐธรรมนูญตีเอาไว้ น่าสนใจว่าจะครอบคลุมไปถึงไหนบ้าง ส.ส. ถึงไหม ? พรรคการเมือง รวมไปถึงกลุ่มบุคคลใดบ้าง ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์ชาญวิทย์ เกษตรศิริ หรือบรรดาอาจารย์อีแอบทั้งหลายที่เรารู้กันอยู่แล้ว รวมไปจนถึงคนอย่างเช่น นาย ส. ศิวรักษ์ รวมไปถึงพรรคการเมืองก้าวไกลด้วยหรือเปล่า ? เพื่อไทย เกี่ยวข้องไหม ? รวมไปถึงกลุ่มบุคคลใด ? เพราะกรอบนี้น่ากลัว เพราะมันมีนัยว่าเจ้าหน้าที่รัฐที่ได้รับอำนาจมา ตำรวจก็สอบต่อ อัยการเดินเรื่องเพื่อเล่นงาน บางอันก็โยงไปที่ศาล บางอันโยงไปที่ กกต. อย่างเช่น โยงไปที่ กกต. เพื่อยื่นให้ กกต. ยุบพรรคก้าวไกล


เพราะว่าเป็นหนึ่งในองค์กรเครือข่ายของคน 3 คนนี้ ให้ดำเนินการยุบพรรค ตรงนี้เพื่อไทย ก้าวไกล อาจจะโดนด้วย เพราะว่ามี ส.ส. ใช้ตำแหน่งไปประกันกลุ่มคนเหล่านี้หลายคน

ท่านผู้ชมครับ ก่อนจะมีการเลือกตั้งอีกครั้งหนึ่งในอีก 8-9 เดือน หรือ 10 เดือนข้างหน้า อะไรก็เกิดขึ้นได้ พูดกันอย่างแฟร์ๆ ศาลรัฐธรรมนูญยุคนี้จุดด่างพร้อยก็มีเหมือนกัน ตรงที่ถูกโจมตีว่าอยู่ภายใต้อำนาจรัฐ ทำให้ฝ่ายตรงข้ามไม่ยอมแพ้ เพราะถือว่าคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญสอดคล้องกับแนวทางของรัฐบาล แต่ก็เพื่อความแฟร์อีกเหมือนกัน คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญนั้น เป็นคำวินิจฉัยที่ค่อนข้างจะมีน้ำหนักอย่างสูง และมีประจักษ์พยาน มีเอกสาร มีแถลงการณ์ มีการกระทำที่ผูกเรื่องราวต่างๆ มาจนกระทั่งศาลรัฐธรรมนูญสามารถจะออกคำวินิจฉัยที่ฟังดูแล้วมีเหตุมีผล

ท่านผู้ชมครับ คุณปิยบุตร แสงกนกกุล ท่านเป็นอดีตอาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่านเป็นคนที่มักจะเพ้อเจ้อและใฝ่ฝันในเรื่องราวต่างๆ ท่านเป็นแกนนำคณะก้าวหน้า ท่านเป็นผู้ใหญ่อีแอบ กับผู้ใหญ่อีแอบบางคนที่อยู่เบื้องหลังเด็กสามนิ้ว ตอนนี้ออกมาพูดเรื่องสงครามประชาชน


แต่! ท่านผู้ชมครับ ตามผมมา และคุณปิยบุตร ครับ สงครามประชาชนนั้นมันมี 4 ปัจจัย ที่ต้องรู้เอาไว้ ปัจจัยแรก คือต้องมีผู้นำประชาชน ที่ต้ององอาจ กล้าหาญ เป็นที่นับถือของประชาชน คุณปิยบุตร ไม่ใช่ผู้นำที่กล้าหาญ คุณธนาธร ก็ไม่ใช่ผู้นำที่กล้าหาญ คุณอานนท์ ก็ไม่ใช่ผู้นำที่กล้าหาญ คุณรุ้ง ก็ไม่ใช่ผู้นำที่กล้าหาญ คุณเพนกวิน ก็ไม่ใช่ คุณอาจจะเป็นผู้นำที่กล้าหาญของกลุ่มพวกคุณซึ่งมีอยู่ไม่มากเลย น้อยมาก

ปัจจัยที่สอง ต้องมีทฤษฎีทำสงครามประชาชน และเป็นทฤษฎีที่ชี้นำ สาม ต้องมีมวลชนทั่วประเทศ ไม่ใช่กลุ่มคนไม่กี่ร้อยคน ไม่กี่พันคน มวลชนทั่วประเทศต้องพร้อมเข้าไปทำสงครามประชาชนจนถึงที่สุด และสุดท้าย ปัจจัยข้อที่สี่ สถานการณ์ที่จุดชนวนสงครามประชาชนสุกงอม คือประชาชนทั่วประเทศพร้อมจะเข้าร่วมทำสงครามประชาชน ไม่มีครับ คุณปิยบุตร โดยเฉพาะข้อสุดท้าย สถานการณ์ที่จุดชนวนสงครามประชาชนสุกงอม คือประชาชนทั่วประเทศ ของคุณมีแค่เด็กแว้นที่เข้ามาร่วมทำสงคราม เอาระเบิดขวดมาปา เอาไฟไปจุดเผาพระบรมฉายาลักษณ์ เพราะฉะนั้นแล้ว ปัจจุบันนี้ที่เหตุการณ์เกิดขึ้นในประเทศไทยมันไม่ได้มีเงื่อนไขทั้ง 4 ประการนั้นเลย คุณปิยบุตร คุณปั่นกระแสมานานจนหลายคนแก่เฒ่า ป่วย พิกลพิการกันแล้ว ก็มีคนร่วมชุมนุมแค่ระดับพันคน ชุมนุมได้ไม่กี่ชั่วโมงก็แยกย้ายกันไป หลายปีมานี้ บทชี้นำสงครามประชาชนไม่มีเลยแม้แต่บทเดียว เพลงหรือละครปลุกใจในการทำสงครามประชาชนก็ไม่มีปัญญาทำแม้แต่นิดเดียว แบบนี้อย่ายกตนชี้นำเรื่องสงครามประชาชนเลย จะทำลายอนาคตลูกหลานชาวบ้าน หรือทำให้ชาวบ้านหลงเชื่อ ติดคุก เดือดร้อนไปเปล่าๆ

ท่านผู้ชมครับ คอยจับตาดู เพราะศาลรัฐธรรมนูญมีหน้าที่ตีกรอบแล้วว่า ห้ามทำอะไรที่ทะลุกรอบ ส่วนที่ทำอะไรทะลุกรอบไปแล้ว คนที่มีหน้าที่ไปจัดการ เพราะการทำทะลุกรอบของอานนท์ ไมค์ และมนัสยา และผู้ร่วมอีก 5-6 คน ได้ทำผิดกฎหมายอะไรบ้าง ซึ่งศาลชี้แล้วว่าทำไม่ได้ ในขณะเดียวกัน อาจารย์ต่างๆ พรรคการเมือง พรรคก้าวไกล คุณพิธา ลิ้มเจริญรักษ์ คุณชาญวิทย์ เกษตรศิริ คุณ ส. ศิวรักษ์ คุณต่างๆ หลายคนถือว่าเป็น "เครือข่าย" ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญว่าหรือเปล่า ถ้าเป็นเครือข่ายและเข้าสู่คำจำกัดความของ "เครือข่าย" ที่ว่า ก็แสดงว่ากฎหมายสามารถจะยื่นมือเข้าไปจัดการได้แล้ว เพราะว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญนั้น ถือว่าเป็นเด็ดขาด ผูกพันต่อรัฐสภา องค์กรอิสระทุกอย่าง หน่วยงานราชการทุกอย่าง ก็คือพูดง่ายๆ ว่า ศาลรัฐธรรมนูญเคาะไปแล้ว ปัง! พวกนี้ทำผิดกรอบ ต้องการจะล้มล้าง ห้ามทำ ให้หยุดทำเดี๋ยวนี้ แต่ที่ทำไปแล้ว ใครมีหน้าที่จัดการ ก็เข้าไปจัดการ

ท่านผู้ชมครับ จากนี้ไปอย่ากะพริบตา ผมเชื่อว่าคนพวกนี้กำลังหาวิธีที่จะแก้เกม แต่ผมยังหาทางออกไม่เห็น มันช่วยไม่ได้ เพราะว่าพวกคุณเล่นกันแรงจนเกินไป คุณไม่รู้จักเล่นในประเด็นที่ไม่เป็นที่เดือดร้อน และไม่อ่อนไหว คุณเปิดฉากมาคุณก็ต้องการจะล้มล้างสถาบันกษัตริย์เลย ถ้าคุณไม่ได้ต้องการจะล้มล้างสถาบันกษัตริย์ คุณขอให้มีการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ และคุณไม่ใช้คำหยาบคาย คุณพูดอย่างสาธุชนพูด คุณก็จะไม่โดนข้อหานี้ แต่เมื่อมองย้อนหลังแล้ว ไปดูคำพูดของคุณ ไปดูการแสดงออกของคุณ ไปดูการเขียนป้ายโปสเตอร์ของคุณ ทั้งหยาบคาย ทั้งจาบจ้วง ทุกสิ่งทุกอย่าง ก็เลยเป็นมูลฐานสำคัญที่ทำให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้ว่า พวกคุณจริงๆ ก็คือมีเจตนาในการล้มล้างการปกครอง นั่นล่ะครับ คือบทวิเคราะห์ของผม


ท่านผู้ชมครับ วันนี้ผมมีเรื่องเก่าจะมาเล่าให้ฟังใหม่ คือเรื่องเก่าที่ผมจะติดตามผลตลอดเวลา คือเรื่องคดีบอส วรยุทธ อยู่วิทยา ท่านผู้ชมคงจำได้ใช่ไหมเรื่องนี้ ผมเล่าคร่าวๆ แล้วกัน ไม่ต้องลงรายละเอียด เรื่องนี้ก็คือเรื่องการชนดาบตำรวจคนหนึ่งเสียชีวิต แล้วก็มีการดำเนินคดีกัน โดยที่ตำรวจ สน.ทองหล่อ ได้ช่วยเหลือผู้ต้องขัง โดยมีการเปลี่ยนตัวจำเลย แล้วตอนหลังยอมรับสารภาพ ตำรวจคนนั้นโดนย้ายไป และหลังจากนั้นก็ได้ดิบได้ดีเหมือนเดิม แต่เรื่องที่ผมจะพูดวันนี้ ผมจะพูดถึงเรื่องผู้ใหญ่ในวงการตำรวจคนหนึ่ง ชื่อ พลตำรวจเอก สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ท่านเป็นถึงอดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ปัจจุบันท่านเป็นนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ทั้งตำแหน่ง ทั้งศักดิ์ศรีของท่าน สูงเลอเลิศ มีศักดิ์ศรีเพียบพร้อมทุกอย่าง

ท่านผู้ชมครับ ท่านนายกรัฐมนตรีตอนนั้นท่านเห็นกระแสสังคมแรงมาก ท่านก็เลยตั้ง ศาสตราจารย์พิเศษ วิชา มหาคุณ เป็นผู้ที่ตั้งคณะกรรมการชุดหนึ่งเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและตรวจสอบออกมาเรียบร้อยแล้ว ในรายงานท่านก็ส่งไปให้นายกฯ


ท่านแจกแจงทั้งหมด 11 ประเด็น ท่านระบุชัดเจนว่ามีกระบวนการช่วยเหลือนายบอส ให้รอดคุกอย่างไร มีใครเกี่ยวข้องบ้าง ผมเคยตีแผ่มาให้ฟังแล้วในรายการ "คุยทุกเรื่องกับสนธิ" เมื่อวันศุกร์ที่ 9 เมษายน 2564

ประเด็นหนึ่งซึ่งเป็นประเด็นสำคัญมากที่ท่านวิชา ระบุชัดเจน คือประเด็นกระบวนการเปลี่ยนความเร็วของรถเฟอร์รารี จาก 177 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มาเป็น 79 กิโลเมตรต่อชั่วโมง


ท่านผู้ชมครับ สิ่งที่ผมพยายามจะพูด และช่วงนั้นท่าน พลตำรวจเอก สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2563 ก่อนที่จะมีรายงานออกมา และก่อนที่เรื่องราวต่างๆ ที่ท่านนายกฯ ได้ส่งเรื่องหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อย่างเช่นอัยการ เนตร นาคสุข ก็ส่งไปให้ จนกระทั่งอัยการเนตร นาคสุข ปัจจุบันถูกสอบสวนและถูกลงมติว่าผิดวินัยร้ายแรง ผลออกมายังไม่ทราบว่าจะเป็นอย่างไร แต่ผิดวินัยร้ายแรงก็คือต้องให้ออกจากราชการ

ส่วนของตำรวจ ส่งไปที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ นานแล้ว ถ้าจำไม่ผิด ผมนี่ล่ะเป็นคนกระทุ้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าเรื่องราวไปถึงไหนแล้ว จนในที่สุดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็เลยส่งเรื่องนี้ไปให้จเรฯ แห่งชาติ คือ พลตำรวจเอก วิสนุ ปราสาททองโอสถ เป็นประธานในการสอบข้อผิดพลาด ข้อกล่าวหา ที่รายงานของท่านวิชา มหาคุณ ที่เกี่ยวข้องกับตำรวจ

เอาล่ะ ก่อนที่จะพูดถึงผลการสอบสวน ผมจะย้อนหลังกลับไปถึงประวัติศาสตร์นิดหนึ่ง ไม่นานมานี่เอง 20 สิงหาคม 2563 ปีกว่าๆ ที่แล้ว พลตำรวจเอก สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง เคยออกมาโกหกประชาชน โดยท่านอ้างว่า เมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2559 ซึ่งเป็นวันที่สำคัญมาก เพราะเป็นวันที่มีการระบุว่า พลตำรวจเอก มนู เมฆหมอก อยู่ในที่ประชุมของสำนักงานกองบัญชาการพิสูจน์หลักฐาน เป็นผู้บัญชาการอยู่ในขณะนั้น มี พันตำรวจเอก ธนสิทธิ์ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง และด็อกเตอร์ สายประสิทธิ์ ที่เป็นคนระบุแล้วทำตามออร์เดอร์ ทำตามคำสั่งของอัยการและผู้ใหญ่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติในขณะนั้น


แล้วในนั้นมีการระบุว่า พลตำรวจเอก สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อยู่ด้วย ในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ ปรากฏว่า วันที่ 20 สิงหาคม พลตำรวจเอก สมยศ ออกมาโกหก โดยอ้างหลักฐานว่าในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2559 ที่ในรายงานนั้นระบุว่าอยู่ด้วยกันในที่กองบัญชาการพิสูจน์หลักฐาน อ้างว่าตัวเองยังอยู่เมืองนอก ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนอย่างหน้าตาเฉย โกหกหน้าตาย นี่เป็นคำพูดของ พลตำรวจเอก สมยศ ว่า "ผมยืนยันต่อหน้าท่าน ว่าผมไม่ได้อยู่ในห้องดังกล่าว เพราะในวันนั้น ในช่วงเวลา 23-28 กุมภาพันธ์ ผมเดินทางไปประชุมฟีฟ่า ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ผมอยู่สวิตเซอร์แลนด์แล้วผมจะมาได้อย่างไร ส่วนด็อกเตอร์ สายประสิทธิ์ ผมไม่รู้จัก ไม่รู้จักใครเลย ไม่เกี่ยวข้องกับคดีนี้เลย ไม่ทราบว่ามีชื่อไปเกี่ยวข้องได้อย่างไร เอาแค่ว่าผมไม่ได้อยู่ ไม่ได้ทำตามที่กล่าวอ้าง ไม่ทราบเรื่องนี้เลย ไม่มีเรื่องขัดแย้งกับใคร ไม่ขัดแย้งกับ พันตำรวจเอก ธนสิทธิ์ ไม่เคยทำอะไร ผมไม่มีปัญหา ไม่เคยขัดแย้งอะไรเป็นส่วนตัว ฝากสื่อมวลชนทำให้กระจ่างในข้อเท็จจริง ผมมั่นใจว่าผมไม่เกี่ยวข้อง และผมไม่อยู่ในเหตุการณ์ที่มีการรื้อหรือสอบสวนอย่างไรทั้งสิ้น ที่เพิ่งออกมาเพราะผมอยากรู้จักคน ใครคือเพื่อนแท้ผม ที่เข้ามาให้กำลังใจช่วยเหลือผม ซึ่งแค่กำลังใจก็เพียงพอ และผมได้รู้จักคนที่ชัง รอซ้ำเติม รอทำร้ายผม ผมทน ผมรับได้กับสิ่งที่ผ่านมา เพราะรู้ตัวเองว่าผมทำอะไรลงไป อาศัยสื่อมวลชนทำให้กระจ่าง"

หวังว่าคุณสมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง คงไม่ได้คิดว่าผมเป็นคนที่ชังท่าน รอซ้ำเติม รอทำร้ายท่าน ผมทน ผมไม่ได้ซ้ำเติมท่าน ผมทำความจริงให้ปรากฏ และผมกำลังกล่าวหาว่าท่านโกหก ในวันที่ 20 สิงหาคม ที่ท่านให้สัมภาษณ์มา เดี๋ยวผมจะดูวันที่ 20 สิงหาคม 2563 นะ ท่านโกหกชัดๆ ตอนนั้นทุกคนก็คิดว่าท่านอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์ ก็ปรากฏว่า คำให้การของท่านสมยศ ถูกคณะกรรมการชุดท่านวิชา จับโกหกได้ว่ามีการทำรายงานเท็จ ว่าพบกันในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ แต่จริงๆ แล้ว รองศาสตราจารย์สายประสิทธิ์ พบกับ พันตำรวจเอก ธนสิทธิ์ ที่สำนักงานพิสูจน์หลักฐาน เมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ ไม่ใช่ 26 กุมภาพันธ์ พร้อมด้วย พลตำรวจเอก สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง


ท่านผู้ชมครับ ปรากฏว่า วันที่ 3 พฤศจิกายน 2564 ประมาณเดือนกว่าๆ นิดๆ พลตำรวจเอก วิสนุ ปราสาททองโอสถ จเรตำรวจแห่งชาติ ประธานคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง ในกรณีที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้รับรายงานของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่มี ศาสตราจารย์พิเศษ วิชา มหาคุณ เป็นประธาน ว่ามีข้าราชการตำรวจเกี่ยวข้องกับการจัดให้ รศ.สายประสิทธิ์ เกิดนิยม พบกับ พันตำรวจเอก ธนสิทธิ์ แตงจั่น นักวิทยาศาสตร์ สบ 4 กองพิสูจน์หลักฐาน จนทำให้มีการเปลี่ยนแปลง แก้ไขความเร็วรถยนต์ในคดีที่นายวรยุทธ อยู่วิทยา เป็นเหตุผลให้พนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธ ไปเมื่อปี 2563 ได้มีรายงานในที่ประชุมว่า พลตำรวจเอก สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ส่งคำให้การเป็นเอกสาร ยืนยันว่า ในวันที่ 26-28 กุมภาพันธ์ นั้น ตนได้เดินทางไปประชุมคณะกรรมการฟุตบอลโลก ที่สวิตเซอร์แลนด์ และกลับมาประเทศไทยในช่วง 28 กุมภาพันธ์ 2559 จากนั้นวันรุ่งขึ้น คือวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2559 ในช่วงเช้า พลตำรวจเอก สมยศ ได้เดินทางไปพบกับ พลตำรวจเอก มนู ที่สำนักงานพิสูจน์หลักฐาน จริง ได้ไปพบจริง


หลังจากที่ให้สัมภาษณ์ไปเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม ที่ผมอ่านให้ฟังแล้วเมื่อกี้นี้ว่าท่านไม่อยู่ ท่านไม่ได้ไปพบ เพราะท่านอยู่สวิตเซอร์แลนด์ วันนี้คณะกรรมการชุดสอบหาข้อเท็จจริงของ พลตำรวจเอก วิสนุ ปราสาททองโอสถ จเรตำรวจแห่งชาติ ได้ยืนยันว่า สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ได้ไปพบจริงในวันที่ 29 ก็เท่ากับว่าวันที่ 20 สิงหาคม 2563 นั้น ท่านพูดโกหก

มีพูดต่อนะ ได้ยอมรับว่าอยู่ในเหตุการณ์ขณะที่ รศ.สายประสิทธิ์ พบกับ พันตำรวจเอก ธนสิทธิ์ ที่สำนักงานพิสูจน์หลักฐาน ประมาณเกือบๆ ครึ่งชั่วโมง ท่านยังยอมรับ เพราะเขามีการเปิดคลิปเสียง ในคลิปที่ใช้เป็นหลักฐานในกรณีนั้น เป็นเสียงของ พลตำรวจเอก สมยศ จริง ก็แสดงว่าท่านอยู่ นี่คือประเด็นข้อแรกก่อนนะ แสดงว่าท่านอยู่ในที่ประชุมในวันนั้นจริง 29 กุมภาพันธ์ แต่วันที่ 20 สิงหาคม 2563 ท่านตอแหล ท่านบอกว่าท่านไม่อยู่ ท่านอยู่สวิตเซอร์แลนด์ แต่วันนี้ในคลิปเสียงท่านยอมรับว่าท่านอยู่จริง เพราะฉะนั้นแล้ว นี่คือข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น

ผมอยากจะเอาเรื่องของคลิปเสียงออกมาอธิบาย แต่เรื่องมันยาว ผมสรุปเรื่องคลิปเสียงให้ดีกว่า ท่านผู้ชม ในคลิปเสียงก็จะมียศพลตำรวจตรี พันตำรวจเอกธนสิทธิ์ พันตำรวจเอก ว.(คนที่หนึ่ง) และพลตำรวจเอก ก็คือ สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ท่านพูดบอกว่า "ผู้กำกับสอบไป 2 ช็อต ว่าตามนั้น สอบอันนี้ไปก่อน อีกอันสอบเพิ่มเติม เอาวันที่ให้มันต่าง จะได้จบ" ท่านเสนอเองนะว่าเอาวันที่ให้มันต่าง จะได้จบ เสร็จเรียบร้อยแล้วก็พูดต่อ อัยการบอกว่า "เอาวันแรกเป็นวันที่ 26 ไปก่อน" พันตำรวจเอก ว. (คนที่หนึ่ง) บอกว่า "ก็ได้ครับ แต่ถามธนสิทธิ์เขาก่อน" พลตำรวจเอก สมยศ บอกว่า "ต้องเอาให้เสร็จเลยนะ" พันตำรวจเอก ธนสิทธิ์ บอกว่า "ผมมาทำงานวันที่ 25 ครับ" อัยการตอบว่า "อยากให้ขอให้ (ความเร็ว) เป็น 79.22 ตามที่อาจารย์สายประสิทธิ์ คำนวณ"


เสร็จเรียบร้อยแล้ว ท่านผู้ชมครับ ตรงนี้สำคัญมากๆ อัยการคนนี้กำลังจะถูกคณะกรรมการสอบเช่นกัน อัยการคนนี้พูดว่าอย่างไรในที่ประชุมที่มี พลตำรวจเอก สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อยู่ด้วย "อันนี้ขอความกรุณาท่านผู้การ คือทางอัยการเขาสั่งมาอย่างนี้ คือเขาก็มองว่าเขาจะช่วยนะ" ก็หนีไม่พ้นนายเนตร นาคสุข "คือก็อยากให้เขาสบายใจนิดหนึ่ง ใช่ไหมฮะ เวลาเขาจะสั่ง คือที่เขาสั่งมาเนี่ย เขาตั้งใจจะช่วยเต็มที่ แล้วก็อยากจะขอความกรุณานะฮะ เรียนตรงๆ เลยฮะ" ก็คืออัยการคนนี้บอกว่า ได้รับคำสั่งมาจากผู้ใหญ่อัยการเพื่อให้บิดเบือนคดีนี้ เพื่อให้นายบอส หลุด แล้ว พลตำรวจเอก สมยศ ก็อธิบายความ บอก "ก็ไม่ต้องบอกว่าผิดสิ เราใช้คำนวณกันคนละแบบ error จากการคำนวณ คำนวณทดแทน" "เราก็อ้างว่า error จากการคำนวณได้ไหม เหมือนที่อาจารย์เขาบอก แต่จริงๆ ทุกอย่างเหมือนกันหมด การแทนค่าสูตรแทนการจับประเด็น"


คือสรุปง่ายๆ ท่านผู้ชมครับ จากข้อความที่ พลตำรวจเอก สมยศ พูดในคลิป ซึ่งมีหลักฐานอยู่แล้ว ถ้าสมมุติผมโดนฟ้อง ก็จะเอาหลักฐานนี้ไปชี้แจง จากข้อความในคลิปที่ พลตำรวจเอก สมยศ พูด ไม่ว่าจะเป็นที่ท่านพูดว่า "ก็ไม่ต้องบอกว่าผิดสิ เราใช้คำนวณกันคนละแบบ error จากการคำนวณ คำนวณทดแทน" "เราก็อ้างว่า error จากการคำนวณได้ไหม เหมือนที่อาจารย์เขาบอก แต่จริงๆ ทุกอย่างเหมือนกันหมด การแทนค่าสูตรแทนการจับประเด็น" "เราไปพูดอย่างนั้นได้ไหมล่ะ จะได้เป็นการ error จากเจ้าหน้าที่ ไม่ใช่ error แต่เป็นการผิดพลาดจากการวัด การคำนวณ อะไรอย่างนี้"

ท่านผู้ชมครับ ฟัง พลตำรวจเอก สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง พูดแล้ว ท่านผู้ชมเชื่อหรือเปล่า ตามที่ท่านอ้างว่าท่านไม่ได้พูดชี้นำ กดดัน พันตำรวจเอก ธนสิทธิ์ และอ้างว่าผู้ที่จะได้ประโยชน์ในการเปลี่ยนแปลงความเร็วรถนั้น คือฝ่ายทนายความของผู้ต้องหา นอกจากนั้นแล้ว บรรดาคนที่ออกมาปกป้อง พลตำรวจเอก สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ในตอนนั้น จะตอบสังคมว่าอย่างไร ? วันที่ 19 สิงหาคม 2563 พลตำรวจเอก มนู เมฆหมอก รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเกี่ยวพันกับคดีนี้ ในฐานะอดีตผู้บัญชาการสำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ ท่านเคยไปให้ข้อมูลกับคณะกรรมาธิการการกฎหมายฯ ท่านโกหกหน้าด้านๆ


พลตำรวจเอก มนู เมฆหมอก ท่านโกหกโคตรหน้าด้านๆ "ยืนยัน พลตำรวจเอก สมยศ อดีต ผบ.ตร. ท่านไม่ได้มาในวันนั้น ไม่ได้อยู่ในห้องที่พบ 3 ฝ่าย อาจารย์สายประสิทธิ์ มากับพนักงานสอบสวน วันนั้นหากท่านอดีต ผบ.ตร. มาจริงหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ ไม่ได้มาห้องผม ไม่ได้มาสั่งการ กดดันอะไร ไม่มีใครสั่งนักวิทยาศาสตร์ได้ ผม หรือ ผบ.ตร. ก็สั่งนักวิทยาศาสตร์ของพิสูจน์หลักฐานตำรวจไม่ได้ เพราะนักวิทยาศาสตร์คล้ายแพทย์ที่ต้องรับผิดชอบการตรวจ ไม่มีใครก้าวก่าย พิสูจน์หลักฐานคือนักวิทยาศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์มีอิสระ มีความรับผิดชอบในผลรายงาน ที่ใครก็สั่งไม่ได้" แต่ท่านโกหกหน้าด้านๆ บอกว่า พลตำรวจเอก สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ไม่ได้อยู่ แต่ในคลิปนั้นระบุชัดเจนว่าอยู่

นี่ไงท่านผู้ชม นี่คือควันหลง รอมาตั้งปีกว่า เรื่องเดินช้าเหมือนทาก อัยการนี่เดินเร็วมาก เล่นงานนายเนตร นาคสุข แล้ว กำลังจะเล่นงานอัยการอีกคนหนึ่งที่อยู่ในที่ประชุม

ท่านผู้ชมครับ เราจะเชื่อใจข้าราชการไทยได้อย่างไร แม้กระทั่งคนอย่างพลตำรวจเอก 2 คน สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง และ มนู เมฆหมอก ยังโกหกได้เลย ทั้งๆ ที่เรื่องนี้มันเป็นคดีอาญาแผ่นดิน โกหกเพื่อเปิดช่องทางให้เป็นการช่วยผู้ต้องหา ท่านผู้ชม นี่คือประเทศไทย วันนี้ผมเอาหลักฐานมาจับผิดหมดแล้ว แล้วหลักฐานนี้คือคำให้การของ พลตำรวจเอก สมยศ เสียงอยู่ในคลิป ท่านยอมรับต่อคณะกรรมการที่จเรตำรวจแห่งชาติ พลตำรวจเอก วิสนุ ปราสาททองโอสถ เป็นประธาน ว่าท่านอยู่ในเหตุการณ์ ก็แสดงว่าท่านอยู่ ในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 20 สิงหาคม 63 ท่านบอกว่าท่านไม่อยู่ ท่านอยู่สวิตเซอร์แลนด์ ท่านผู้ชมครับ ผู้ใหญ่บ้านเมืองเรามีแนวโน้มจะเป็นอย่างนี้กันเยอะ หรือเปล่า ? ผมไม่รู้ ท่านผู้ชมคิดอย่างไร แล้วนี่คือกระบวนการยุติธรรมบ้านเรา เรายังจะเชื่อมันต่อไปไหม เราล้มเหลวมากไหมเรื่องนี้ ? โคตรจะล้มเหลวเลย ประชาชนพึ่งอะไรได้บ้าง ขนาด "พลตำรวจเอก" ไม่ใช่แค่ "พลตำรวจ" แต่ "พลตำรวจเอก" ยังโกหกได้แบบนี้ แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองเราทุกวันนี้ เราจะเชื่อมันได้หรือเปล่า ผมฝากให้คิดแค่นี้ แต่ผมยังไม่ทิ้งเรื่องนี้ ผมจะตามต่อไป ว่าเมื่อผลอย่างนี้ออกมาแล้ว เขาจะทำงานอย่างไร เขาจะดำเนินการอย่างไรกับคนที่โกหกในการให้การ นี่ต้องถือว่าให้การเท็จแล้วใช่ไหม ถ้าคุณเล่นงานประชาชนข้อหาให้การเท็จได้ คุณจะกล้าเล่นงานพลตำรวจเอก อดีต ผบ.ตร. และพลตำรวจเอก อดีตรอง ผบ.ตร. ว่าให้การเท็จ ด้วยได้ไหม ? ผมไม่คิดว่าคุณจะทำ เพราะอะไรรู้ไหม ? เพราะคุณคือตำรวจไทย


เมื่อวันศุกร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2564 หรือประมาณสองศุกร์ที่ผ่านมา ผมได้พูดถึงกรณีวิวาทะระหว่างคุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และคุณธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกรัฐบาล คือทั้งสองคนนี้โต้เถียงกันในเรื่องนโยบายต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่าทีเกี่ยวกับประเทศเพื่อนบ้านของเรา คือ พม่า

ท่านผู้ชมครับ ผมได้เตือนคนทั้งสองคนไปแล้วว่า อย่าทำตัวไร้เดียงสา ยืนอยู่บนทุ่งลาเวนเดอร์ ไปสาระแนเรื่องในประเทศของเขา เพราะว่าเกมเรื่องพม่ามันเป็นเกมใหญ่กว่าเรื่องอุดมคติของการต่อสู้ระหว่างฝ่ายเผด็จการทหาร กับฝ่ายประชาธิปไตยภายในพม่ามาก

ในรายการคราวที่แล้วผมได้เตือนไปว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเท่ หรือไม่เท่ แต่ต้องยึดถือผลประโยชน์มาก่อน ผมพูดอย่างนี้ท่านผู้ชม ขอเตือนความจำนิดหนึ่ง สองศุกร์ที่แล้วผมบอกว่า ผมเอาความจริงมาหงาย ท่านผู้ชมคิดดูเอาเองว่าสิ่งที่ผมพูด คือผมพูดถึงขยะ ผมพูดถึงความเหม็นเน่า ผมพูดถึงความเปื่อย แต่คุณพิธา พูดถึงเรื่องทุ่งลาเวนเดอร์ที่หอมหวล ต้องยืนตัวตรง คุณจะยืนแบบไหนก็ตาม ผลประโยชน์ของชาติไทยต้องมาก่อน ไม่ใช่ผลประโยชน์ทางสากล คุณจะให้คนไทยเท่ในสายตาอเมริกา เพราะถ้าคุณจะเท่ได้ คุณก็ต้องกลายเป็นสุนัขรับใช้ เลียแข้งเลียขาอเมริกา

สัปดาห์ที่แล้วผมได้เกริ่นประมาณ 20 นาที นำท่านผู้ฟังไปแล้วเกี่ยวกับกรณีสถานการณ์ทางการเมืองในพม่า หรือเมียนมา ว่าขณะนี้มีความอ่อนไหว มีความซับซ้อนอย่างมาก ซึ่งก็ได้รับความสนใจจากท่านผู้ชมจำนวนไม่น้อย คลิปสั้นเรื่อง "อย่าเผือก!!!" ที่ออกไปนั้น มีคนดูหลายล้านคน แล้วผมสัญญากับท่านผู้ชมว่า อาทิตย์นี้ผมจะเล่าเรื่องพม่าที่ลึกๆ ว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้นในพม่าบ้าง ผมขอสรุปสถานการณ์ในพม่าในภาพรวมให้ท่านผู้ชมที่ไม่ค่อยได้ติดตามเรื่องราวแบบนี้ แต่อยากจะรับรู้เรื่องที่ผมพูดวันนี้

ท่านผู้ชมครับ ตั้งแต่กองทัพพม่าเข้ายึดอำนาจในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ตอนนี้ผ่านมา 10 เดือนแล้ว ในภาพรวมที่เห็นคือการต่อสู้ระหว่างทหารภายใต้การนำของ มิน อ่อง หล่าย และพรรค NLD ภายใต้การนำของอองซาน ซูจี ผมจะพยายามอธิบายการต่อสู้เป็น 3 ระยะใหญ่ๆ


ช่วงแรก กุมภาพันธ์ 2564 ฝ่ายทหาร เขาใช้ชื่อทางการว่า สภาบริหารแห่งรัฐ เป็นรัฏฐาธิปัตย์ ที่สถาปนาขึ้นโดยกองทัพพม่า มีกำลังตำรวจและทหารอยู่ในมือ ฝ่ายอองซาน ซูจี นั้น เขาตั้ง เรียกว่าคณะกรรมาธิการตัวแทนรัฐสภาเมียนมา ตั้งขึ้นโดยสมาชิกพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย ที่เขาได้ชนะการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563 ทั้งสองฝ่าย ทั้งอองซาน ซูจี และฝ่ายทหาร คือ มิน อ่อง หล่าย แสดงบทบาทเป็นรัฏฐาธิปัตย์คู่ขนานกัน กล่าวหาซึ่งกันและกันว่าอีกฝ่ายเป็นองค์กรผิดกฎหมาย และฝ่ายตนคือรัฏฐาธิปัตย์ที่ชอบธรรม

อองซาน ซูจี มีปัญหา เพราะว่าไม่สามารถดำเนินการด้วยตัวเองได้ หากปราศจากแรงสนับสนุนจากองค์กรระหว่างประเทศ เช่น สหประชาชาติ กับประเทศมหาอำนาจทางตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกา และอังกฤษ


ฝ่ายซูจี นั้น ใช้ประชาชนที่ออกมาประท้วงโดยบริสุทธิ์ใจในทุกพื้นที่ของประเทศ เป็นกำลังใจมือ โดยฝ่ายซูจี และประเทศมหาอำนาจตะวันตก จับจุดได้ถูกว่าประชาชนส่วนใหญ่ในพม่า ทุกชาติพันธุ์ แม้จะไม่ชอบพรรค NLD ของอองซาน ซูจี แต่ทุกคนล้วนเกลียดทหาร ทำให้การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2563 พรรค NLD สามารถชนะด้วยคะแนนเสียงที่ถล่มทลาย เพราะไม่มีตัวเลือกอื่นมาให้ประชาชนพิจารณา

เพราะฉะนั้นแล้ว เมื่อกองทัพพม่ายึดอำนาจจากพรรค NLD ประชาชนทุกกลุ่ม ทุกเหล่า จึงพร้อมใจกันออกมาประท้วงโดยบริสุทธิ์ใจ พวกเขาไม่ยอมรับการรัฐประหารและไม่เกรงกลัวอำนาจ อาวุธในมือของทหาร ผมจะยกตัวอย่างให้ฟังง่ายๆ ผมจะเอารูปขึ้นให้ดู บุคลากรทางการแพทย์ที่โรงพยาบาลกลางในเมืองย่างกุ้ง ถ่ายภาพหมู่แสดงการประท้วงการรัฐประหารเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์

ฝ่ายทหารนั้น แม้มีกำลังตำรวจและทหาร และอาวุธอยู่ในมือ แต่เสียเปรียบที่ถูกปิดกั้นการนำเสนอข่าวสารข้อมูลต่อสาธารณะผ่านสังคมออนไลน์ เพราะทุกแพลตฟอร์ม ทั้งเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม ทวิตเตอร์ และยูทูป ซึ่งเป็นบริษัทอเมริกา ต่างปิดบัญชีกองทัพพม่าและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกองทัพพม่าไปแล้วทั้งหมด ตั้งแต่สัปดาห์ที่สองของการยึดอำนาจ ทำให้คนที่สนใจติดตามการเคลื่อนไหวในฝั่งของทหาร ต้องเข้าไปดูตามเว็บไซต์ของหน่วยงานรัฐแต่ละแห่งด้วยตนเองเพียงช่องทางเดียว


อย่างไรก็ตาม ต้องกล่าวกันอย่างตรงไปตรงมาในเรื่องนี้ว่า ตำรวจและกองทัพพม่าเองในยุคของ มิน อ่อง หล่าย ก็ไม่ฉลาดเอาเลย ค่อนข้างจะโง่อย่างมากๆ เพราะว่ายังยึดวิธีคิดและรูปแบบการปราบปรามประชาชนผู้ประท้วงแบบโบราณ โดยใช้วิธีที่ป่าเถื่อนมาก เช่น บุกรุกเข้าไปทำร้ายผู้คนในบ้านยามวิกาล รุมทำร้ายคนที่ปราศจากอาวุธ บุกรุกทำลายทรัพย์สิน ขโมยของมีค่า อาหาร ตามบ้านเรือนประชาชน ทั้งๆ ที่รู้ว่าทุกวันนี้ประชาชนทุกคนต่างก็มีโทรศัพท์มือถืออยู่ในมือ สามารถถ่ายภาพ ถ่ายคลิป บันทึกเหตุการณ์ และนำไปเผยแพร่ในชุมชนออนไลน์ได้ทันที ทุกปฏิบัติการของตำรวจและทหารพม่า ภาพที่ถูกสื่อออกมาก็เลยกลายเป็นภาพที่เลวร้าย ตรงกันข้ามกับผู้ชุมนุมประท้วงที่มีการคิดรูปแบบการเคลื่อนไหวอย่างเป็นแบบแผน มีการจัดการที่เป็นระบบ มีกลวิธีที่สามารถดึงผู้ชมซึ่งอยู่ภายนอกให้เข้าไปติดตามเหตุการณ์ผ่านสังคมออนไลน์ได้เป็นจำนวนมาก ยังมีการคิดค้นวิธีกระตุ้นตำรวจ ทหาร ให้โกรธ ให้ใช้ความรุนแรงเข้าจัดการกลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงอย่างไม่ยั้งคิด นั่นเป็นยุทธวิธีของการป่วนบ้านป่วนเมือง


ก็คือ ยิ่งตำรวจ และทหาร ทำร้ายประชาชนมากเท่าไร โอกาสที่ประชาชนที่เป็นกลางๆ หรือไม่อยากเข้ามาร่วม ก็เริ่มเห็นใจฝ่ายที่เป็นฝ่ายตรงข้ามทหาร มีการสร้างเครือข่ายชุมชนออนไลน์ ทั้งในประเทศไทย และในพม่า เพื่อช่วยเผยแพร่ภาพความเสียหาย การบาดเจ็บล้มตายของประชาชน จนสามารถสร้างกระแสเพื่อดึงความรู้สึกของผู้คนในพม่า ในรัฐชาติพันธุ์ และในประเทศไทย รวมทั้งสื่อหลัก ทั้งภายในและต่างประเทศ โดยเฉพาะในประเทศไทย เพื่อให้มีอารมณ์ร่วมต่อเหตุการณ์ความรุนแรงเหล่านั้นได้เป็นอย่างดี


ท่านผู้ชมครับ ช่วงที่สอง เดือนมีนาคม 2564 ประชาชนชาวพม่าทั่วประเทศเริ่มประสบความยากลำบากในการต่อต้านรัฐประหาร เพราะการทำอารยะขัดขืนด้วยการหยุดงานประท้วงต่อเนื่องกันเป็นเวลา 1 เดือนเต็ม ทำให้เศรษฐกิจหยุดชะงัก ภาคธุรกิจไม่สามารถจ่ายเงินเดือนพนักงานได้ เพราะธนาคารหยุดให้บริการ รัฐบาลทหารพม่าตัดเงินเดือนเจ้าหน้าที่รัฐที่ออกมาร่วมการต่อต้าน ทำให้ 1 เดือนหลังรัฐประหาร ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม ฝ่ายซูจี ก็ตัดสินใจเริ่มปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ ด้วยการดึงกองกำลังติดอาวุธชาติพันธุ์ต่างๆ เข้าไปเป็นพันธมิตร ช่วยเคลื่อนไหวไปด้วยกัน หมายความว่า กองกำลังติดอาวุธชนกลุ่มน้อย หรือชาติพันธุ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกะเหรี่ยง คะฉิ่น ไทใหญ่ ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ริมฝั่งที่ติดชายแดนไทย


สมรภูมิของการต่อสู้ได้ขยายจากพื้นที่ของฝ่ายทหาร กับฝ่ายซูจี ที่มีประชาชนประท้วงเป็นทหาร และจำกัดพื้นที่อยู่ในเมือง ตอนนี้กลายเป็นการต่อสู้ระหว่างกองทัพพม่า กับกองกำลังติดอาวุธชาติพันธุ์ ในพื้นที่ป่าเขา ก็เป็นปกติธรรมดา เริ่มมีดารา นางงาม คนมีชื่อเสียงจำนวนมากของพม่า เข้าไปจับอาวุธของกองกำลังติดอาวุธของชนกลุ่มน้อย เพื่อต่อสู้กับรัฐบาลทหารพม่า

ท่านผู้ชมครับ เรื่องนี้ทำให้ผมอดคิดไม่ได้ถึงภาพคล้ายๆ ประเทศไทย ช่วงหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 ผมเอารูปให้ดู รูป ทาร์ เทต เทต (Htar Htet Htet) อดีตนางงามเวทีมิสแกรนด์พม่า 2013 โพสต์ภาพตัวเองพร้อมปืนไรเฟิล ลงบนสื่อสังคมออนไลน์ พร้อมกับข้อความระบุว่า ตัวเองได้เข้าร่วมกับกลุ่มติดอาวุธชนกลุ่มน้อยชาติพันธุ์เพื่อต่อสู้กับรัฐบาลทหารในประเทศ


ผมเอารูปหลายๆ รูปให้ดูนะครับ อีกรูปหนึ่งก็คือรูปของเธอกำลังนั่งอยู่ในเพิง ศึกษาเอกสารต่างๆ


ส่วนสภาเพื่อการกอบกู้รัฐฉาน ซึ่ง พลเอก เจ้ายอดศึก (Yawd Serk) เป็นประธาน เป็นกองกำลังชาติพันธุ์กองทัพแรกที่แสดงจุดยืนออกมาอย่างชัดเจนว่าไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหารตั้งแต่วันแรกที่มีการยึดอำนาจแล้ว หลังจากนั้นกองกำลังชาติพันธุ์ต่างๆ อื่นๆ ก็เริ่มแสดงท่าทีออกมา โดยเฉพาะกองกำลังที่รวมกลุ่มกันในนามของ PPST หรือที่เรียกภาษาไทยว่า คณะทำงานกระบวนการสันติภาพ ซึ่งมี พลเอก เจ้ายอดศึก ประธานสภากอบกู้รัฐฉาน เป็นประธาน PPST


ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2564 กองทัพพม่าได้เปิดฉากสู้รบอย่างชัดเจนแล้วกับ 3 กองกำลังชาติพันธุ์ ใน 3 พื้นที่ หนึ่ง กองทัพพม่า กับ กองทัพเอกราชคะฉิ่น ในรัฐคะฉิ่น ซึ่งมีพรมแดนติดจีน สอง กองทัพพม่า กับ กองกำลังปลดปล่อยชาติกะเหรี่ยง ในรัฐกะเหรี่ยง ซึ่งมีพรมแดนติดไทย สาม กองทัพพม่า กับ กองทัพของสภาเพื่อการกอบอู้รัฐฉาน ที่ พลเอก เจ้ายอดศึก เป็นหัวหน้า อยู่ติดพรมแดนไทย ผมจะเอาแผนที่ขึ้นให้ดู


อย่างไรก็ตาม เป้าหมายในการทำสงครามของกองกำลังทั้ง 3 กองกำลังชาติพันธุ์ ยังคงจำกัดพื้นที่อยู่ที่ 3 วัตถุประสงค์ หนึ่ง เพื่อยุติการปกครองโดยระบอบเผด็จการ สอง เรียกร้องให้มีการสร้างระบอบการปกครองในรูปแบบของสหพันธรัฐประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ขึ้นมาในเมียนมา สาม เพื่อปกป้องคุ้มครองประชาชน

ฝ่ายอองซาน ซูจี ก็พยายามใช้โอกาสนี้ดึงกองกำลังติดอาวุธชาติพันธุ์มาเป็นพันธมิตร การประกาศให้กองทัพพม่าคือกลุ่มก่อการร้าย ในทางกลับกัน ให้กองกำลังติดอาวุธของชาติพันธุ์ เป็นองค์กรที่ถูกกฎหมาย โดยประกาศตั้งกองทัพแห่งสหพันธรัฐขึ้นมา ด้วยประกาศนี้ ซูจี ตั้งใจจะเปิดช่องทางให้กองกำลัง กองทัพทุกชาติพันธุ์ สามารถนำกำลังเข้ามาเคลื่อนไหวในเมืองใหญ่


เข้ามาในย่างกุ้ง หรือบุกเข้าไปในเนปิดอว์ ในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ เพื่อสร้างความหวังให้แก่ประชาชนที่กำลังประท้วงอยู่ และเชื่อว่าจะมีกองกำลังติดอาวุธชาติพันธุ์นำกำลังทหารมาช่วยพวกเขาที่ประชาชนที่สู้อยู่ในเมือง เพื่อต่อสู้กับกองทัพพม่า

ท่านผู้ชมครับ สถานการณ์ในพม่าในเวลานี้ จึงคล้ายคลึงกับสมัยที่พ่อของอองซาน ซูจี คือ นายพลอองซาน พยายามนำพม่าไปพ่วงกับความเคลื่อนไหวของกลุ่มชาติพันธุ์ที่กำลังเรียกร้องเอกราชจากอังกฤษเมื่อประมาณ 70 กว่าปีก่อน


จนเป็นที่มาของการเซ็นสัญญา "ปางโหลง" (The Panglong Agreement) ในเดือนกุมภาพันธ์ 2490 (ปีที่ผมเกิด) แต่บทสรุปสุดท้ายไม่ได้เป็นอย่างที่กลุ่มชาติพันธุ์หวังเอาไว้

ท่านผู้ชมครับ ผมจะอธิบายคำว่า "สนธิสัญญาปางโหลง" ให้ฟัง สนธิสัญญาปางโหลง หรือข้อตกลงปางหลวง เป็นความตกลงระหว่างพม่า ไทใหญ่ ชิน คะฉิ่น ที่เป็นผลสืบเนื่องมาจากการประชุมปางโหลง หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อจัดตั้งสหภาพพม่า หลังจากได้รับเอกราชจากอังกฤษ อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงนี้ไม่บรรลุผล เพราะว่าพม่า ชนกลุ่มพม่า เบี้ยวข้อตกลง


สภาร่างรัฐธรรมนูญ เริ่มประชุมที่ย่างกุ้ง ในวันที่ 10 มิถุนายน - 24 กันยายน 2490 ตัวแทนจากรัฐต่างๆ แสดงความต้องการให้จัดตั้งสหพันธรัฐอย่างจริงจัง แต่ระหว่างการร่างรัฐธรรมนูญก็มีมือปืนบุกเข้าไปยิง นายพลอองซาน พ่อของอองซาน ซูจี และที่ปรึกษา เสียชีวิต เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2490 ทำให้การร่างรัฐธรรมนูญต้องเปลี่ยนทิศเปลี่ยนทางไป


ท่านผู้ชมครับ เมื่ออองซาน (พ่อของอองซาน ซูจี) เสียชีวิต อู้นุ นายกรัฐมนตรีคนแรกของพม่า ขึ้นมาเป็นผู้นำแทน สิทธิในการถอนตัวได้ถูกบรรจุไว้ในรัฐธรรมนูญ ตามสนธิสัญญา เพื่อลดแรงกดดันจากกลุ่มรัฐชายแดน โดยระบุเงื่อนไขว่า เมื่อเข้ามาร่วมแล้ว ต้องผ่านไป 10 ปี จึงจะถอนตัวได้ แล้วสิทธิในการถอนตัวต้องได้รับคะแนนเสียง 2 ใน 3 ของสภาแห่งรัฐ ผู้นำของรัฐต้องแจ้งผู้นำของสหภาพฯ ทราบ เพื่อดำเนินการลงประชามติ

ท่านผู้ชมครับ จากประสบการณ์ดังกล่าว ทำให้ยังไม่มีกองกำลังชาติพันธุ์ใดหลงทำตามแนวทางของซูจี เสนอมา ทุกกองกำลังยังคงจำกัดการเคลื่อนไหว การสู้รบกับกองทัพพม่าอยู่ในพื้นที่ชาติพันธุ์ของตัวเองเท่านั้น ก็คือว่า ถ้ามีกองทัพพม่าบุกเข้ามาในพื้นที่ของ พลเอก เจ้ายอดศึก พลเอก เจ้ายอดศึก ก็จะประกาศสงครามและรบด้วย

ทีนี้ ช่วงวันที่ 3-14 มีนาคม จนถึงปัจจุบัน ปีนี้ จากรูปแบบของการชุมนุมประท้วงการรัฐประหารแบบอารยะขัดขืน ได้พัฒนามาในรูปแบบของการจลาจล ทำลายศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ รวมไปถึงการจัดตั้งกองกำลังอย่างเป็นระบบมากขึ้น ภายใต้การสนับสนุนและการแทรกแซงของต่างชาติ

ท่านผู้ชมครับ ตั้งแต่กองทัพพม่ายึดอำนาจ การชุมนุมต่อต้านในหลายพื้นที่มีข้อมูลปล่อยออกมาตลอดเวลา ว่า ในการรัฐประหารครั้งนี้ กองทัพพม่าได้รับการสนับสนุนจากจีน


มีการปล่อยข่าวว่า จีนส่งทหารและยุทธปัจจัยมาช่วยกองทัพพม่า ถึงแม้สถานทูตจีนจะออกมายืนยันว่า จีนไม่มีส่วนรู้เห็นกับการรัฐประหาร แต่ผู้ชุมนุมประท้วงก็ไม่เชื่อ ยังคงมุ่งเป้าไปโจมตีจีนอย่างต่อเนื่อง โดยมีการชุมนุมประท้วงหน้าสถานทูตจีนและหน้าด่านชายแดนเมียนมา-จีน ที่เมืองหมู่เจ้ ทางภาคเหนือของรัฐฉาน กระทั่งมีการปล่อยข่าวขู่ว่า จะมีการเผาและทำลายท่อแก๊ส ท่อน้ำมัน ซึ่งจีนวางไว้ที่ชายฝั่งทะเลที่เมืองเจ้าผิ่ว รัฐยะไข่ พาดข้ามประเทศพม่าเข้าไปในจีนผ่านชายแดนรัฐฉาน ผมเอาแผนที่ให้ดู เป็นการวางท่อแก๊ส


ท่านผู้ชมครับ 14 มีนาคม 2564 การประท้วงในเขตหลายเขต ในเขตหล่ายตายา เขตอุตสาหกรรมของกรุงย่างกุ้ง กลายเป็นจลาจล มีการเผาโรงงานทอผ้า 2 โรง ซึ่งเป็นของนักลงทุนจีน ทำลายธุรกิจห้างร้านของชาวจีนอีก 30 กว่าแห่ง ในย่านชเว-ปยีตา


สถานทูตจีนเลยออกมาเรียกร้องฝ่ายทหารให้ช่วยปกป้องทรัพย์สิน ดูแลความปลอดภัยของประชาชนจีนที่อยู่ในเมียนมา หลังจากมีการเผาโรงงาน ทางรัฐบาลพม่าก็ได้ประกาศกฎอัยการศึกในเขตหล่ายตายา และชเว-ปยีตา ทันที ในตอนบ่ายวันที่ 14 มีนาคม และประกาศเพิ่มอีก 5 เมืองในมัณฑะเลย์ ในวันรุ่งขึ้น คือวันที่ 15 มีนาคม

การประกาศกฎอัยการศึก ก็เพื่อให้ทหารได้เป็นกำลังหลักในการปราบผู้ชุมนุมแทนที่กำลังตำรวจซึ่งเป็นหลักในช่วงก่อนหน้านั้น

ท่านผู้ชมครับ ตรงนี้เองที่ทำไมผมถึงบอกตั้งแต่ตอนที่แล้วว่า เรื่องพม่ามันไม่ใช่เรื่องการเมืองชาติเดียว เป็นความขัดแย้งสองฝ่าย คือ กองทัพพม่า กับประชาธิปไตย แต่ยังมีผลประโยชน์ทับซ้อนอีกหลายชั้น เรื่องท่อแก๊สนั้น ผมเคยเรียนให้ทราบแล้วไม่ใช่หรือว่า ประเทศจีนได้ส่งกองทัพจีนเข้าไปดูแลเส้นทางที่ท่อแก๊สตามแผนที่ที่ผมเอาให้ดู จำนวน 1 แสนคน เพื่อป้องกันผลประโยชน์ของแก๊สที่ตกลงกับในพม่า ที่สูบออกมาแล้วผลิตออกมาแล้ว ส่งออกไปเพื่อเข้าทางประเทศจีน เพราะว่าถ้าถูกกองกำลังของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งของฝั่งอองซาน ซูจี หรือกองกำลังชาติพันธุ์ ทำให้ท่อส่งแก๊สเสียหาย จะเป็นผลเสียต่อจีนมาก ทางรัฐบาลพม่าก็เลยอนุญาตให้จีนส่งกองกำลังที่เรียกว่ากองกำลังป้องกันตนเอง ก็คือทหารนั่นเอง ซึ่งส่วนนี้เอามาจากมองโกเลีย เพราะว่าจีนตั้งกองทัพกำลังไว้ที่มองโกเลีย ใช้คนประมาณ 5 แสนคน เป็นกองกำลัง ตอนนี้ 1 แสนคน มาดูแลท่อส่งแก๊ส ซึ่งเป็นผลประโยชน์ของจีน


แล้วใครล่ะที่อยู่เบื้องหลังความไม่สงบของพม่า ? ท่านผู้ชมไม่ต้องสงสัยเลยว่า ณ ปัจจุบัน สถานการณ์พม่าได้ขยายนัยของความขัดแย้งไปสู่การเมืองระดับโลกแล้ว เป็นตัวแทนของสองขั้วมหาอำนาจใหญ่ของโลก คือ มหาอำนาจใหม่อย่างจีน กับมหาอำนาจเดิมอย่างสหรัฐอเมริกา

ท่านผู้ชมครับ สำหรับจีนแล้ว โดยพื้นฐานการลงทุนในพม่ามีอยู่ 2 แบบ รัฐวิสาหกิจ ที่ไปลงทุนสร้างเขื่อน ท่าเรือน้ำลึก วางท่อแก๊ส ส่วนภาคเอกชนก็คือทำโรงงานเย็บผ้า ทอผ้า นายทุนจีนเมื่อมาลงทุนในพม่าก็ใช้แรงงานชาวพม่า กดขี่ข่มเหง ให้ค่าแรงต่ำ 110 บาทต่อวัน เพราะจีนเป็นประเภทที่ขอให้ราคาถูกอย่างเดียว จะไม่สนใจเรื่องสวัสดิการพื้นฐาน ที่อยู่อาศัย ที่กิน ระบบสาธารณสุข แต่อย่างใด และนี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำไมแรงงานพม่าถึงชอบเข้ามาทำงานในเมืองไทย เพราะได้ค่าแรงวันละ 330 บาท มิหนำซ้ำแล้ว หน่วยงานบางหน่วยงาน ภาคเอกชนบางแห่ง จัดที่พักที่อาศัยให้อยู่ และมีสวัสดิการในเรื่องการรักษาพยาบาล

พอมีทหารยึดอำนาจคนพม่า ที่โดยปกติจะถูกนายทุนจีนกดขี่ข่มเหง ก็เลยอ่านเกมว่า จีนน่าจะอยู่เบื้องหลังการลุกขึ้นมายึดอำนาจของทหารพม่า ว่าจีนนั้นหนุนให้ทหารพม่าปฏิวัติ แต่จริงๆ แล้วเมื่อเรามาดูแล้ว ต้องดูเหตุผลกันนิดหนึ่ง

ถ้าพม่ารัฐประหารตัวเอง ทำแล้วจีนจะได้อะไร ? ทำแล้วสมเหตุสมผลหรือไม่ ? จีนก็รู้ว่าทหารพม่าฆ่าประชาชน ตะวันตกเข้ามาแทรกได้เลย แล้วสงครามกลางเมืองก็จะกระทบถึงธุรกิจจีน และเงินลงทุนในพม่า เพราะฉะนั้นเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง จีนจึงไม่ได้อยากให้รบกัน ในทางกลับกัน ความวุ่นวายในพม่า ซึ่งมีที่ตั้งสำคัญมาก อยู่ตรงที่ว่าอยู่ตรงชายขอบประชิดจีน ดูไปแล้วมันจะเข้าทางตะวันตกเลย ก็คือพูดง่ายๆ ว่า เมื่อวุ่นวายแล้ว เหตุวุ่นวายมันอยู่ในพื้นที่ที่ติดกับชายแดนจีน ฝ่ายตะวันตกพอใจมาก เพราะฉะนั้นแล้ว ตะวันตกอยากจะสกัดกั้นจีนไม่ให้เข้าสู่มหาสมุทรอินเดีย จากมณฑลยูนนาน อยู่ทางใต้ ผ่านมาทางอ่าวเบงกอล ตาม "ยุทธศาสตร์ 2 มหาสมุทร" ที่ สี จิ้นผิง ได้วางเอาไว้


ท่านผู้ชมครับ "ยุทธศาสตร์ 2 มหาสมุทร" คืออะไร ? ในจีนเขาเรียกว่า ยุทธศาสตร์ยี่ไห่ เหลี่ยงหยาง หรือแปลเป็นไทยว่า "2 มหาสมุทร 1 ท้องทะเล" หมายถึงการเชื่อมระหว่างมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งอยู่ทางฝั่งไทย เข้ากับมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งอยู่ทางฝั่งพม่า

เรามาดูพม่า ซึ่งเป็นฝั่งตะวันตกของจีนกันนิด จากลักษณะและแหล่งที่ตั้งของภูมิศาสตร์ เราจะเห็นได้ชัดว่าประเทศจีนมีทางออกทะเลอยู่ฝั่งเดียว คือทางฝั่งทิศตะวันออก และช่องแคบมะละกา ซึ่งเป็นจุดอ่อนไหวสำคัญของจีนในการขนส่งสินค้า พลังงาน รวมทั้งส่งกำลังบำรุงทางทหารหากมีสงครามเกิดขึ้น ด้วยเหตุนี้จีนถึงมียุทธศาสตร์ "2 มหาสมุทร"

ยุทธศาสตร์ของทางทะเลจีน เป็นองค์ประกอบสำคัญของแผน "1 แถบ 1 เส้นทาง" อันเป็นเอกลักษณ์ของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ซึ่งความคิดนี้จริงๆ แล้วได้รับแรงบันดาลใจจากนักคิดด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ชื่อ เซอร์ฮัลฟอร์ด แมคคินเดอร์ (Sir Halford Mackinder) ในศตวรรษที่ 19 และนายอัลเฟรด เธเออร์ มาฮัน (Alfred Thayer Mahan) นักยุทธศาสตร์ทางทะเล โครงการ "1 แถบ 1 เส้นทาง" ก่อเกิดเป็นเส้นทางการขนส่งทางบกและการค้าทั่วทวีปยูเรเซีย รวมทั้งพัฒนาเครือข่ายท่าเรือริมทะเล เพื่อรักษาความปลอดภัยในการควบคุมทรัพยากรและตลาด เครือข่ายทางทะเลเป็นจุดสูงสุดของยุทธศาสตร์ "2 มหาสมุทร" ของกองทัพเรือ กองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน

ท่านผู้ชมครับ อเมริกาพยายามระบุว่า จีนพยายามครอบครองมหาสมุทรแปซิฟิก และกลายเป็นมหาอำนาจครองมหาสมุทรอินเดีย พลเรือตรี หยิ่นจัว ซึ่งเกษียณอายุแล้ว ได้เรียกร้องให้สร้างเรือบรรทุกเครื่องบิน อย่างน้อย 5-6 ลำ เพื่อคงไว้ซึ่งกองบรรทุกเรือบรรทุกเครื่องบิน 2 กอง ในมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตก และอีก 2 กอง ในมหาสมุทรอินเดีย ก็คือว่า 2 ลำ แบ่งไปทางมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตก และอีก 2 ลำ วางไว้ที่มหาสมุทรอินเดีย


สำหรับรัฐบาลจีนแล้ว เส้นทางรถไฟส่งน้ำมันระหว่างซินเจียง กับ กวาดอร์ รวมถึงเส้นทางรถไฟ และท่อส่งน้ำมัน ระหว่างคุนหมิง กับ Kyaukphyu หรือท่าเรือเจ้าผิ่ว ซึ่งมีท่อส่งน้ำมันและแก๊ส ขึ้นไปสู่ยูนนาน ถือเป็นเส้นเลือดที่สำคัญที่สุดของสองสายโครงการ "1 แถบ 1 เส้นทาง" เพื่อให้สามารถเข้าสู่ฝั่งมหาสมุทรอินเดีย และที่สำคัญ เส้นทางนี้ช่วยให้จีนหมดกังวลในเรื่องความเสี่ยงเกี่ยวกับการเคลื่อนย้ายการค้าและทรัพยากรทางพลังงานที่เคยผ่านช่องแคบมะละกา ซึ่งอยู่ระหว่างมาเลเซีย ภายใต้หลักกลาโหมทางโพ้นทะเลของจีน นักยุทธศาสตร์หลายคนของกองทัพเรือจีน มองว่า ปากีสถาน กับพม่า เป็นชายฝั่งตะวันตกของจีน คือเขามองข้ามไปเลย ว่าพม่า กับปากีสถาน นั่นคือชายฝั่งตะวันตกของจีน เป็นการออกทะเลทางฝั่งตะวันตกของจีน ทางเสฉวน ทางยูนนาน ทางซินเจียง จะออกทะเลด้วยการใช้พม่า และปากีสถาน เพื่อปิดช่องโหว่ที่เกิดขึ้นที่ช่องแคบมะละกา ซึ่งจีนใช้อยู่ทุกวันนี้ แล้วจีนกลัวมากว่า ถ้าช่องแคบมะละกาถูกปิดแล้ว จีนไม่มีทางออก


สำหรับท่าเรือ Kyaukphyu หรือภาษาจีนเรียกว่า "เจ้าผิ่ว" ซึ่งแปลว่า "หินขาว" เป็นเมืองใหญ่ในรัฐยะไข่ ท่าเรือเจ้าผิ่ว ตั้งอยู่ในอ่าวเบงกอล ระยะ 400 กิโลเมตร ทางตะวันตกเฉียงเหนือของกรุงย่างกุ้ง ใกล้กับเมืองชิตตเว ในศตวรรษที่ 17 เมืองนี้เป็นแค่หมู่บ้านชาวประมงธรรมดา แต่เมื่อกองกำลังอังกฤษรบกับพม่า มาสร้างเมืองนี้ขึ้น ต่อมาก็เลยกลายเป็นเมืองท่าค้าข้าวไปยังเมืองกัลกัตตา หรือที่เรียกว่า โกลกาตา ในปัจจุบัน ของอินเดีย เพราะฉะนั้นแล้ว ท่าเรือน้ำลึกเจ้าผิ่ว เมื่อสร้างเสร็จก็จะกลายเป็นจุดขนถ่ายน้ำมันและแก๊สธรรมชาติสำคัญทั้งพม่า และจีน ซึ่งถือว่าเป็นยุทธศาสตร์ที่สำคัญมากของจีน

ท่านผู้ชมครับ ผมจะกระโดดมาที่อเมริกานิดหนึ่ง มันมีรายงานประจำปีต่อสภาคองเกรส ว่าด้วยการพัฒนาการทหารและความมั่นคงที่เกี่ยวกับประเทศจีน ของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เผยแพร่ออกมาเมื่อปีที่แล้ว กันยายน 2563 รายงานนี้ระบุชัดเจนว่า จีนมีแผนสร้างเครือข่ายลอจิสติกส์ทางการทหารให้ครอบคลุมส่วนใหญ่ของมหาสมุทรอินเดีย นอกเหนือจากฐานทัพ จีนมีฐานทัพทางแอฟริกาตะวันออกแล้ว คือที่เมืองท่าจิบูตี จีนมีแนวโน้มอย่างมากที่กำลังจะพิจารณาและวางแผนในการสร้างสาธารณูปโภคในต่างแดน เพื่อสนับสนุนกองทัพเรือของเขาที่ขยายงาน กองทัพบก กองทัพอากาศ จีนหมายตาไทย พม่า สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ปากีสถาน ศรีลังกา และประเทศอื่นๆ ในแอฟริกา และเอเชียกลาง เป็นที่ตั้งฐานที่มั่นลอจิสติกส์ทางทหาร รายงานระบุแล้วว่าจีนได้ทาบทามนามิเบีย วานูอาตู หมู่เกาะโซโลมอน เพื่อขอตั้งฐานทัพดังกล่าว

ท่านผู้ชมครับ นักวิจัยอเมริกัน ชื่อ แซค คูเปอร์ เผยว่า นี่เป็นครั้งแรกที่ข้อสังเกตในลักษณะนี้ปรากฏในรายงานของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เป็นครั้งแรก สำหรับอเมริกาแล้ว ยุทธศาสตร์ปิดล้อมของอเมริกาที่อเมริกาตั้งเอาไว้ จุดมุ่งหมายก็คือ ต้องการให้เกิดการ "ปฏิวัติสี" ที่เขาเรียกว่า Color Revolution


อิทธิพลของรัสเซีย อเมริกาต้องการจะให้มีปฏิวัติสีเกิดขึ้นในพม่า จะได้จัดตั้งระบอบการปกครองที่ฝักใฝ่อเมริกา ผ่านตัวแทนในท้องถิ่น เข้าปิดล้อม จำกัดให้รัสเซีย และจีน อยู่แต่ข้างในพื้นที่ซึ่งรายล้อมด้วยประเทศที่เป็นศัตรู

ท่านผู้ชมครับ ย้อนกลับไป ที่ผ่านมาการปฏิวัติสีในประเทศจอร์เจีย และยูเครน ผ่านไปได้ประสบความสำเร็จ ส่วนฮ่องกง เบลารุส ประสบความล้มเหลว ตอนนี้ต้องถือว่าไทย และพม่า อยู่ในกระบวนการขั้นตอนการดำเนินการ จริงๆ ก็คือ สองประเทศต้องการช่วงชิงพื้นที่ประเทศที่อยู่ตรงนี้ ให้เป็นพวกของตัวเอง ไม่ได้ด้วยเล่ห์ ก็ต้องได้ด้วยกล อาจจะไม่ใช้เวทย์มนต์คาถา แต่ใช้อาวุธ ใช้การก่อจลาจล


ซึ่งอเมริกาสมัยก่อนใช้กับทางยุโรปตะวันออก เพื่อให้ประเทศอย่างเช่น ยูเครน สามารถจะหลุดพ้นออกจาก

14 มีนาคม 2564 โรงงานจำนวนมากที่เป็นของคนจีน ที่ตั้งอยู่ในเขตหล่ายตายา ในย่างกุ้ง ถูกเผา มีการขู่ทำลายท่อแก๊สจีนที่ลงทุนวางจากชายทะเลรัฐยะไข่ พาดขวางประเทศ ตามแผนที่ที่ผมแสดงให้ดู เข้าไปในจีน ผ่านชายแดนรัฐฉาน

ท่านผู้ชมครับ ปากกระบอกเสียงของจีน Globla Times ได้ตั้งข้อสังเกตว่า การโจมตีด้วยความรุนแรงครั้งนี้ คือโจมตีธุรกิจชาวจีน ดูเหมือนจะวางแผนไว้อย่างดี บทบรรณาธิการพูดเป็นนัยๆ ว่า การประท้วงในพม่า การวางเพลิงเผาโรงงานต่างๆ ของจีน เป็นการวางแผนจากภายนอกประเทศ รัฐบาลจีนยังได้ติดตามไล่เรียงหา account ทวิตเตอร์ของผู้ก่อตั้ง และผู้บริหารของกลุ่มที่เรียกว่า Burma Human Rights Network หรือ BHRN เครือข่ายสิทธิมนุษยชนในพม่า ซึ่งตั้งฐานและดำเนินการอยู่ที่กรุงลอนดอน มาตั้งแต่ปี 2558 โดยยืนยันว่า เป็นผู้ยุยงให้เกิดความไม่สงบในพม่า


กลุ่ม BHRN นี้ เป็นที่ทราบว่ามีความเกี่ยวข้องกับหน่วยงานสืบราชการลับของอังกฤษ ขณะที่แบบแผนของการปฏิวัติสีที่เคยทำสำเร็จในประเทศจอร์เจีย และยูเครน ด้วยวิธีการก่อกวนให้เกิดความไม่สงบผ่านทางสื่อสังคม กำลังเกิดซ้ำอีกครั้งหนึ่งแล้วในพม่า แบบเดียวกับที่เคยเกิดในฮ่องกง สมัย โจชัว หว่อง ยังนำการประท้วงอยู่ และในประเทศไทยโดยผ่านม็อบสามกีบ และเบลารุส


ตลอดระยะเวลาหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา มีทั้งบีบีซี วิทยุเอเชียเสรี กิจการที่ได้รับเงินสนับสนุนจากอเมริกา Voice of America เสียงอเมริกา ล้วนแล้วแต่รายงานข่าวพม่า โดยมีความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับนักปฏิวัติหนุ่มสาวที่เมืองย่างกุ้ง ประกอบกับโซเชียลมีเดียในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ฝังรากความเชื่อมั่นในตัวเองของภาคประชาชนพม่าให้สูงขึ้น จนกล้าลุกขึ้นมาต่อสู้กับทหารและปืน

ท่านผู้ชมครับ ตอนนี้อเมริกาถือโอกาสเรียกร้องให้จีนประณามและประกาศมาตรการลงโทษเล่นงานคณะทหารพม่า กดดันด้วยวิธีการต่างๆ ไม่ว่าจะส่งผู้บริหารระดับสูงของรัฐบาลเข้ามากดดันประเทศไทย และชาติอาเซียน ทำตลอด ง่ายๆ 18-19 ตุลาคม เดือนกว่าๆ ที่ผ่านมานี้ มีที่ปรึกษากระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ชื่อ นายเดเร็ก โชเลต์ และหัวหน้าคณะรองผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ฝ่ายกิจการเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก ชื่อ นายคิน มอย เพิ่งจะเข้าพบนายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และ พลเอก สุพจน์ มาลานิยม เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ


ก่อนหน้านั้นมีนางกมลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดี เดินทางมาอาเซียน ช่วง 22-26 สิงหาคม โดยนายเดเร็ก โชเลต์ เน้นย้ำถึงความสำคัญที่อเมริกาให้ความสำคัญกับภูมิภาคนี้ รวมทั้งความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับไทย

ท่านผู้ชมครับ ที่ปรึกษา นายโชเลต์ และคณะผู้แทน มุ่งหารือเกี่ยวกับความร่วมมือระหว่างไทยกับสหรัฐฯ การดำเนินการตามฉันทามติ 5 ข้อ ของอาเซียน และความช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรมข้ามพรมแดน ซึ่งอันนี้ซ่อนเร้นมาก ดำเนินการมาตรการฉันทามติ 5 ข้อ ก็คือการตัดสินใจให้กลุ่มประเทศอาเซียนไม่เชิญ มิน อ่อง หล่าย มาประชุมที่อาเซียนไง ท่านผู้ชมเห็นหรือยัง ส่วนความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมข้ามพรมแดน ก็หมายความว่า จะยุให้ประเทศไทยเปิดพรมแดน ตั้งเขตตรงพรมแดน เพื่อให้เป็นที่พำนักพักพิงของผู้ลี้ภัยชาวพม่า ซึ่งมี 7 แสนคน นี่เป็นข้อเสนอของอเมริกา แล้วท่านผู้ชมโยงกลับไปถึงข้อเสนอของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ไปฟังคำพูดของเขาที่เขาพูด ที่ผมเล่าให้ฟัง เขาก็บอกไงว่าเขาจะตั้ง Humanitarian Corridor แถบชายแดนที่จะช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรม คอนเซปต์เดียวกันท่านผู้ชม ใครเลียนแบบใครผมไม่รู้ นายโชเลต์ เลียนแบบนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หรือพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ได้รับสัญญาณจากนายโชเลต์ มาให้พูดเรื่องนี้ ?

ท่านผู้ชมครับ นอกจากการดำเนินการการเมืองบนดินแล้ว ยังใช้มาตรการทางการทูต ยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก อเมริกาเข้ามาแทรกแซงในลุ่มแม่น้ำโขง ในส่วนเกมการเมืองทหารใต้ดิน อเมริกาเดินเกมอย่างหนัก ถ้าท่านผู้ชมฟังผมพูด วันศุกร์ที่ 18 มิถุนายน 2564 (5 เดือนที่แล้ว) ผมบอกว่าตอนนี้ทหารอเมริกา สหรัฐฯ ส่งทหารเข้ามาพม่าผ่านชายแดนไทย ท่านผู้ชมครับ ประเทศอเมริกาส่งทหารเข้าไปในประเทศที่กำลังวุ่นวาย หรือประเทศที่ตัวเองต้องการจะล้มล้างการปกครองนั้น หรือประเทศที่ต้องการที่จะหนุนเพื่อปกป้อง ไม่ใช่เรื่องใหม่

เมื่อเร็วๆ นี้ นางไช่ อิงเหวิน ประธานาธิบดีของไต้หวัน ในที่สุด ออกมายอมรับว่าทหารไต้หวันได้รับการฝึกจากทหารอเมริกาเพื่อเตรียมรับมือการโจมตีของจีนหากเกิดขึ้นจริง และฝึกมา 40 ปีแล้ว แอบทำมาตลอด


ท่านผู้ชมครับ หลับตาวาดภาพถึงแผนที่ จะเห็นได้ชัดว่าทางภาคเหนือของไทย เชียงใหม่ เชียงราย แล้วทางภาคตะวันตกของไทย เป็นจุดยุทธศาสตร์ในการที่ฝรั่งจะเข้ามาแทรกแซงสถานการณ์ในพม่า เพราะทางเหนือนั้น ไทยติดกับรัฐฉาน ทางตะวันตก ไทยติดกับรัฐกะเหรี่ยง ซึ่งเป็น 1 ใน 3 ฐานที่มั่นของฝ่ายอองซาน ซูจี ในการจับมือกับแนวร่วมกลุ่มในการต่อกรกับฝ่ายกองทัพพม่าของ มิน อ่อง หล่าย

ผมจะเอาภาพมาให้ดูอีกครั้งก็ได้ พอการต่อสู้ระหว่างกองทัพพม่า กับฝ่ายซูจี เริ่มเข้าสู่ระยะที่สาม ก็เริ่มกลายเป็นสงครามเต็มรูปแบบแล้ว มีการสู้รบกัน มีการประจันหน้ากัน ยิงประชาชน ฝ่ายประชาชนก็เริ่มสงครามกองโจร มีกองกำลังติดอาวุธ ทำตัวเหมือนผู้ก่อการร้าย เผาห้างร้าน โรงงาน โรงไฟฟ้า เผาโรงเรียน เข้าป่าไปฝึกอาวุธกับกองทัพชนกลุ่มน้อย พวกรัฐกะเหรี่ยง รัฐฉาน ว้า และที่สำคัญ ท่านผู้ชมรู้ไหม สื่อฝรั่งเข้าไปทำข่าวออกมาเป็นเรื่องเป็นราวได้หมดเลย เดี๋ยวผมจะเอาขึ้นมาให้ดูว่าสื่อฝรั่งมีอะไรบ้าง

นอกจากนี้ยังเป็นที่รับทราบและรับรู้กันแพร่หลายในกลุ่มชาวกะเหรี่ยง และ NGO ที่ทำงานด้วยกับกะเหรี่ยง ว่าอเมริกานั้นสนับสนุนพวกตนอยู่ ผมเอารูปให้ดู


คนที่นั่งทางขวาคือ พลโท บอจ่อ แฮ รองผู้บัญชาการกองทัพปลดปล่อยแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNLA) ส่วนผู้สูงอายุที่นั่งทางซ้าย เป็น ผบ. KNLA ที่ 5 กำลังรบหนักอยู่ตรงข้ามชายแดนจังหวัดแม่ฮ่องสอน ฝรั่งอีกสองคนไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่ดูจากไทม์ไลน์ในเฟซบุ๊ก ได้เข้าไปอยู่ในพื้นที่กะเหรี่ยงมาระยะหนึ่งแล้ว คงไม่ได้ไปท่องเที่ยวหรอกครับฝรั่งสองคนนี้ ไม่ได้ไปชิลๆ ไปกินอาหารกะเหรี่ยงหรอกครับ นี่คือกองกำลังทหารรับจ้าง หรือกองกำลังส่วนหนึ่งของ CIA ที่ส่งเข้าไปฝึกอาวุธให้พวกกะเหรี่ยง

ท่านผู้ชม ถามกลับว่า ช่องทางที่ฝรั่งนี้จะเข้าไปได้ มีจุดเดียว คือชายแดนไทย ตั้งแต่กาญจนบุรี ตาก ถึงแม่ฮ่องสอน เช่นเดียวกับทีมสารคดีของประเทศต่างๆ ที่เข้าไปถ่ายทำเรื่องการฝึกทหาร มีข่าวนี้ออกมาตลอดเวลา ผมได้ยินมาว่า ช่วงหลังๆ นี้กองทัพชนกลุ่มน้อยที่รบกับกองทัพพม่า ก่อนนี้ถูกเครื่องบินรบถล่มเสียกระเจิดกระเจิง เสียชีวิตไป วันนี้พวกกองทัพชนกลุ่มน้อยได้รับขีปนาวุธ ได้รับจรวด ได้รับอาวุธหนัก เอามาจากไหนไม่รู้ เอามาต่อกรกับรัฐบาลพม่า แล้วก็ทำให้การต่อสู้เข้มข้นขึ้น แหล่งข่าวของผมยืนยันว่า กองทัพพม่าในช่วง 6-7 เดือนที่ผ่านมานี้ เสียชีวิตไปแล้วเกือบ 3 พันคน

ท่านผู้ชมครับ ทุกวันนี้ผมนั่งดูข้อมูลข่าวกรองเกี่ยวกับสถานการณ์พม่าทุกวัน ยกตัวอย่าง ผมเอาตัวอย่างให้ดูข้อมูลข่าวกรองที่เข้ามา (นี่คือเขาเรียงลำดับเหตุการณ์ให้นะ)


23 ตุลาคม 2021 นครย่างกุ้ง เกิดเหตุการณ์โจมตีทหารพม่า 4 ครั้ง ตั้งแต่เวลาตี 4 ครึ่ง 7 โมงเช้า 8 โมงเช้า และบ่าย 2 โมง 40 ในช่วงเวลา 24 ชั่วโมง มีเหตุระเบิดเกิดขึ้น 5 ครั้ง

ที่เมืองเนปิดอว์ เวลา 3 ทุ่ม ของวันศุกร์ที่ 22 ตุลาคม ตำรวจนอกเครื่องแบบถูกลอบยิง ฝ่ายรักษาความปลอดภัยที่ดูแลศูนย์ประชุม Myanmar Internatioanl Convention Center ปะทะกับกลุ่มติดอาวุธทั้งสองฝ่าย ตำรวจได้รับบาดเจ็บ

มัณฑะเลย์ ในวันที่ 16 ตุลาคม 2564 ฝ่ายความมั่นคงทหารพม่าบุกทลายค่ายฝ่ายต่อต้าน ในชื่อ Mandalay Special Task Force (MSTF) สังหารหัวหน้าค่ายและคนในค่ายไป 4 คน

รัฐฉาน 22 ตุลาคม 2564 ปะทะกันระหว่างกองกำลังฝ่ายความมั่นคงรัฐบาลทหารพม่า กับฝ่ายต่อต้าน ฝ่ายกบฏ ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งทางตอนเหนือของรัฐฉาน สื่อของโกก้าง รายงานว่า มีการพบศพทหารพม่ากว่า 20 ศพ ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งในพื้นที่

เขตภาคตะวันตกเฉียงเหนือของพม่า ที่เรียกว่า เขตสะกาย ในเมืองโมนยวา กองกำลังฝ่ายต่อต้านวางระเบิด 5 จุด ทางเข้าเมือง สำนักงานของบริษัทโทรคมนาคม มายเทล มีคนบาดเจ็บ 5 คน สองคนเป็นคนต่างชาติ วางระเบิดค่ายทหารใกล้ๆ กับสถานีรถไฟ ใกล้ๆ กับสุสาน และศาลากลางเมือง ทำให้ทหารได้รับบาดเจ็บ

นี่ผมเอาตัวอย่างเล็กๆ น้อยๆ มาให้ดูนะ ซึ่งรายงานข่าวทางด้าน Intelligence Report แบบนี้ผมได้รับมาตลอดเวลา และผมได้รับทุกวันด้วย นี่แค่บางส่วน เพียงวันเดียวเท่านั้นเองที่ผมรายงานให้ฟัง

ท่านผู้ชมครับ ถามว่าพม่าตอนนี้จะตอบโต้กลับอย่างไร ? เพราะหลักการโดยข้อเท็จจริงแล้ว ทหารพม่าตอนนี้อาวุธด้อยกว่าพวกกลุ่มกบฏเยอะ เพราะกลุ่มกบฏนั้นได้รับขีปนาวุธ อาวุธหนัก จากทางตะวันตก โดยส่งผ่านข้ามชายแดนของไทย แล้วพร้อมทั้งเจ้าหน้าที่ที่มาเรียนรู้วิธีการใช้อาวุธต่างๆ พวกนี้ อันเป็นเหตุทำให้ทหารพม่าเสียชีวิตไป 2-3 พันคน นายมิน อ่อง หล่าย ก็เลยแก้เกมด้วยการไปพบกับ ... เชิญรัฐมนตรีกลาโหมรัสเซีย เพื่อมาเยือนพม่า


แล้วมาขอร้องให้ช่วยพม่าหน่อย รัสเซียก็เลยตัดสินใจส่งอาวุธมาช่วยพม่า และเป็นครั้งแรก ในเดือนตุลาคม เป็นครั้งแรกที่เรือรบรัสเซียเข้ามาจอดในท่าเรือของพม่า เพื่อแสดงว่ารัสเซียกำลังกลับมาหนุนพม่า

ท่านผู้ชมครับ เรื่องพม่าตอนนี้ไม่ได้จบแค่ไทย อาเซียน หรืออเมริกา เพราะประเทศมหาอำนาจทางการทหารอย่างรัสเซีย ก็เข้ามายุ่งแล้ว เพราะรัสเซียเชื่อว่าความวุ่นวายในพม่าเกิดจากการที่อเมริกาต้องการกีดกันจีน

ท่านผู้ชมครับ ในการรบของพม่านั้น ถ้าท่านผู้ชมอ่านประวัติศาสตร์ให้ดีๆ ผมเอารูปการเยือนของอเล็กซานเดอร์ โฟมิน รัฐมนตรีช่วยกลาโหมรัสเซีย เข้ามา มิน อ่อง หล่าย ติดเครื่องราชอิสริยาภรณ์ให้ และมิหนำซ้ำรัสเซียยังมอบ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ให้กับมิน อ่อง หล่าย เผยแพร่ทางโทรทัศน์เมียวดี


แล้วเรือรบรัสเซียที่มาจอดนี้ จอดเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม ชื่อเรือรบ Gremyashiy ของกองทัพรัสเซีย ท่านผู้ชมครับ เชื่อกันได้แล้วว่าในที่สุดแล้วเมื่อพม่าได้รับอาวุธจากรัสเซีย มีการฝึกการใช้อาวุธจากรัสเซีย ซึ่งมีคำถามง่ายๆ รัฐบาลทหารพม่า นำโดยนายมิน อ่อง หล่าย ที่ได้แบ็กจากจีน กับรัสเซีย ยังไม่นับอิหร่าน เกาหลีเหนือ จะเป็นหมูให้ฝ่ายซูจี ที่จับมือชาติตะวันตก เคี้ยวง่ายๆ หรือเปล่า ? คงไม่

ท่านผู้ชมครับ ลองคิดดู คิดตามผมมา พอเหตุการณ์การประจันหน้าของชาติมหาอำนาจอย่างนี้เกิดขึ้นในดินแดนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นซีเรีย ลิเบีย ในตะวันออกกลาง มันไม่เคยจบลงง่ายๆ มันได้ประชาธิปไตยขึ้นมาจากการลุกฮือของประชาชนหรือเปล่า ? ก็ไม่ได้ ยังไม่นับถึงวาระซ่อนเร้นของชาติพันธุ์ต่างๆ ที่ต้องการตั้งสหพันธรัฐ แบ่งอำนาจการปกครองตัวเองของพม่าออกไปอีกที ไม่ว่าจะเป็นภายใต้การปกครองของฝั่งกองทัพ หรือฝ่ายซูจี

ท่านผู้ชมครับ ประวัติศาสตร์พม่ามาตั้งแต่สมัยบุเรงนอง หงสาวดี ชี้ชัดเจนว่าทหารพม่าจะไม่รบในช่วงหน้าฝน จะพักรบ สะสมกำลัง วันนี้ทหารพม่าได้รับการเสริมเขี้ยวเล็บทางอาวุธทันสมัย อาวุธหนัก ทั้งขีปนาวุธ มาจากรัสเซียแล้ว ผมเชื่อว่าตั้งแต่มกราคม ปีหน้า หลังจากหมดฝนแล้ว ทหารพม่าจะรุกกลับ แล้วจะรุกกลับกับบรรดาชาติพันธุ์ต่างๆ ที่มีกองทัพอยู่ เพราะว่าประชาชนที่ลุกฮือตามเมืองต่างๆ นั้น ทหารพม่าเอาอยู่ ท่านผู้ชมครับ พม่ามีทหารอยู่ 4 แสนกว่าคน เยอะมาก เพราะฉะนั้นแล้ว ก็จะมีการบุกเข้าไปในรัฐฉาน รัฐกะเหรี่ยง พลเอก เจ้ายอดศึก จะต้องเจอศึกหนักอย่างแน่นอนที่สุด เชื่อผมเถอะครับท่านผู้ชม จะมีการยิงขีปนาวุธกัน ยิงกันไปยิงกันมา ท่านผู้ชมครับ แล้วจะไม่มีลูกไหนตกมาที่แม่สาย แม่สอด บ้างหรืออย่างไร ? ตกเข้าไปในแม่ฮ่องสอน บ้างหรืออย่างไร ? อันนี้เขาเรียกว่า ชักศึกเข้าบ้าน หรือเปล่า ท่านผู้ชม เราต้องอยู่นิ่งๆ อย่าไปยุ่งกับเขา เรื่องมันใหญ่เกินไปกว่าคุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หรือคุณธนกร ใหญ่เกินกว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะทำอะไรได้ วันนี้ประเทศไทย เพื่อคนไทย ต้องป้องกันตัวเองไว้อย่างเดียว อย่าไปเผือกเรื่องของเขา ถ้ามีขีปนาวุธสัก 3 ลูก ตกเข้ามาในแม่สาย 2 ลูก ที่แม่สอด เวลามันรบกัน มันไม่สนใจแล้วใครจะโดน ไม่โดน กูขอยิงก่อน วันนั้นกองทัพภาคที่ 3 จะทำอย่างไร กองทัพภาคที่ 3 จะยิงขีปนาวุธ หรือว่ายิงปืนใหญ่ถล่มกลับไป นั่นก็คือความอิ๊บอ๋ายของเราแล้วคราวนี้ สงครามเต็มรูปแบบอาจจะเกิดขึ้น


ท่านผู้ชมครับ ผมมีเรื่องจะขออัปเดตในเรื่องการก่อสร้างสถานกงสุลอเมริกาประจำเชียงใหม่ ซึ่งกำลังก่อสร้างบนพื้นที่ 16.5 ไร่ บนถนนซูเปอร์ไฮเวย์ เชียงใหม่-ลำปาง ผมเป็นคนที่เปิดประเด็นเรื่องนี้เป็นคนแรก และผมตั้งข้อสังเกตมาตั้งแต่ปีที่แล้วว่า น่าสงสัยว่าอเมริกาจะใช้กงสุลนี้เป็นที่ตั้งของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ทันสมัยมาก เพื่อสอดแนมประเทศจีน หรือไม่ เพราะการลงทุนสถานกงสุลแห่งนี้มากมายมหาศาลเหลือเกิน ใช้งบประมาณเกือบหมื่นล้านบาท สถานกงสุลนะท่านผู้ชม ใช้งบประมาณเกือบหมื่นล้านบาท นอกจากนั้นแล้ว ตั้งเป้าไว้ว่าสถานกงสุลนี้้ใช้เวลาก่อสร้างถึงปี 2566 ใช้เวลาสร้าง 3 ปี ที่แน่ๆ ตอนนี้ฐานรากยังไม่ทำ เพราะว่ากงสุลนี้เขาขุดลงไปชั้นใต้ดิน ผมไม่แน่ใจว่าลึกแค่ไหน แต่ท่าทางจะลึกมาก

ที่ผมตั้งคำถามนี้ขึ้นมา ไม่ใช่เพราะผมอยากไปสาระแนเรื่องของเขา แต่ผมกังวลและหวั่นเกรงว่าในอนาคตหากสถานกงสุลอเมริกาประจำเชียงใหม่ แห่งใหม่ ถูกใช้งานทางด้านความมั่นคงหรือการทหาร เพื่อแทรกแซงกิจการของประเทศเพื่อนบ้านของเรา คือพม่า และจีน ถามว่าชาวเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ จะรับผลกระทบตกเป็นเป้าหมายใดๆ หรือไม่ นี่เป็นสิ่งที่กระทรวงการต่างประเทศของไทย และสหรัฐฯ ต้องรับประกัน ให้ความชัดเจนกับไทย ท่านผู้ชมครับ ผมเอารูปการก่อสร้างให้ดู


ปิดกั้นไม่ให้เห็นเลยแม้แต่นิดเดียวว่าทำอะไรอยู่ข้างใน และที่สำคัญที่สุดก็คือว่า กระทำการเป็นความลับ ลับสุดยอดในการก่อสร้าง บริษัทที่รับเหมาในการก่อสร้างนั้นก็เป็นบริษัทของสหรัฐอเมริกา ไม่ใช่บริษัทไทย ไม่ใช่บริษัทของพวกญี่ปุ่น เป็นบริษัทมาจากอเมริกาโดยตรง และคนงานที่ทำงานอยู่นั้น เท่าที่ทราบมา ถ้าไม่ใช่คนเวียดนาม ก็เป็นคนเขมร หรือคนพม่า ที่พูดภาษาไทยไม่ได้เลย แล้วคอนเทนเนอร์เบ้อเริ่มเลย ใหญ่มาก เป็นร้อยๆ คอนเทนเนอร์ ขนมา แล้วขนเข้ามาในที่ก่อสร้าง ปิดลับ ไม่ให้รู้ว่าบรรจุอะไรในคอนเทนเนอร์มา


ผมคิดว่าสถานกงสุลอเมริกาในเชียงใหม่นั้น ไม่ใช่สถานกงสุลที่จะให้บริการทางด้านวีซ่า หรือแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม ผมมั่นใจ ผมฟันธงได้ อันนี้คือศูนย์ที่ตั้งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในการสอดแนม ตรวจสอบข่าว ข้อมูลต่างๆ ทางอิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถที่จะส่งเข้าไปที่ประเทศจีน ท่านผู้ชมครับ ก่อนที่จะมีสถานกงสุลนี้ ผมจะเรียนให้ทราบนิดหนึ่ง สาเหตุที่เกิดสถานกงสุลนี้ขึ้นมาเพราะว่า สมัยประธานาธิบดีทรัมป์ ได้สั่งปิดกงสุลจีนที่เมืองฮูสตัน ประเทศจีนก็เลยตอบโต้ด้วยความเต็มใจ เพราะที่ประเทศจีนมีกงสุลสหรัฐอเมริกาอยู่ที่เมืองเฉิงตู แล้วจีนอยากจะปิดกงสุลนั้นมานานแล้ว เพราะว่ากงสุลเฉิงตูของอเมริกานั้น เป็นแหล่งติดตามข่าวสารและสอดแนม สืบราชการลับของทางตะวันตกของจีน ซึ่งอยู่ติดกับซินเจียง อยู่ติดกับทิเบต พอจีนได้โอกาสที่อเมริกา นายทรัมป์ ปิดสถานกงสุลจีนที่ฮูสตัน เขาก็เลยปิดสถานกงสุลอเมริกาที่เฉิงตู ทำให้ตาของอเมริกาที่เคยฝังไว้อยู่ในเฉิงตู บอด ก็เลยต้องเปิดมิติใหม่ขึ้นมา หาที่ตั้ง และในที่สุดก็กลายเป็นเชียงใหม่ ผมเคยเอาแผนที่ขึ้นให้ดูแล้ว เชียงใหม่ ยิงตรงขึ้นไปคือ ยูนนาน คือเสฉวน ก็คือเฉิงตู แล้วต่อไปคือซินเจียง ท่านผู้ชมครับผมมั่นใจว่าผมไม่ผิด แล้วเราจะดูกันต่อไป


ท่านผู้ชมครับ ท่านผู้ชมยังจำเรื่องของภรรยาและลูกชายคุณทิวา เงินยวง อดีต ส.ส. น้ำดีศรีสภา ของพรรคประชาธิปัตย์ ที่เสียชีวิตไปเมื่อสิบปีที่แล้ว ที่มาพบผมแล้วก็ขอความช่วยเหลือ จากการที่ไปกู้เงินนอกระบบมาจ่ายค่าเสียหายจากการที่ไฟไหม้บ้านของตัวเอง และลามไปไหม้เพื่อนบ้านสองข้าง ซ้าย-ขวา หลังจากนั้นก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไรเกิดขึ้น ผมถามคุณปารณีย์ แล้ว คุณปารณีย์ ก็บอกว่ามีคนที่พรรคประชาธิปัตย์โทรมาซักถาม สอบถาม แล้วก็เงียบไป เรื่องนี้ตอนนี้จบไปเรียบร้อยแล้ว ท่านผู้ชม มีผู้ประสงค์ไม่ออกนาม ขอร้องว่าไม่ให้เอ่ยชื่อ แล้วก็เป็นคนที่เคยพบคุณทิวา เงินยวง 2-3 ครั้ง แล้วค้นพบว่า ยืนยันว่าเป็นคนดีจริงๆ เขาฟังรายการผม เขาส่งเงินก้อนมาให้เพื่อเคลียร์หนี้คุณปารณีย์ แล้วยังให้เงินอีกส่วนหนึ่งที่เหลือ เพื่อให้คุณปารณีย์ มีชีวิตอยู่ต่อไปกับลูก

ส่วนลูกชายนั้น ก็มีเจ้าของกิจการเห็นใจ เสนอให้ไปทำงาน แล้วก็จะได้มีชีวิตอยู่อย่างปกติสุข มีข้าวกิน มีเงินจ่ายค่าเช่าบ้านได้ สรุปแล้ว ผมก็เลยนัดคุณปารณีย์ มาวันอังคารที่ผ่านมา แล้วก็มอบเงินให้ เงินสดๆ คุณปารณีย์ ก็ได้แต่ร้องไห้ ถามผม ว่าเป็นใคร ผมตอบให้ไม่ได้เพราะผมรับปากผู้บริจาคแล้วว่า เขารู้จัก เคยพบคุณทิวา เงินยวง 2-3 ครั้ง แล้วเขาประทับใจในตัวคุณทิวา เงินยวง มาก และทราบว่าเป็นคนดี เขาก็เลยให้มา


เขาไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ เขาไม่เคยหลอกใช้คุณทิวา เงินยวง และเขาไม่เคยสร้างภาพ เขาอยากจะช่วย เขาบอกว่า คุณสนธิ ครับ ผมขอเถอะครับ ขอความกรุณารับปากผมหน่อย อย่าเอ่ยชื่อผมเป็นอันขาด ตกลงเรื่องนี้จบไปแล้วนะครับ คุณจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ คงจะโล่งใจใช่ไหม แล้วก็บรรดารัฐมนตรีต่างๆ ในพรรคประชาธิปัตย์ ก็คงโล่งใจ เหมือนยกภูเขาออกจากอก

ท่านผู้ชมครับ ท่านผู้ชมเชื่อผมอย่างหนึ่ง นักการเมืองเป็นคนที่ซ่อนเงินเก่งมาก ผมไม่ต้องเอ่ยชื่อให้ทราบนะครับ ผมมีคนๆ หนึ่งเคยเป็นอดีตรองปลัดกระทรวงๆ หนึ่ง มีนักการเมืองพรรคประชาธิปัตย์เข้ามาเป็นรัฐมนตรี เขายืนยันกับผมว่า เขาเป็นคนขนเงินใส่กระเป๋า มูลค่าทั้งหมด 200 ล้านบาท 200 กิโลกรัม เอาไปใส่รถนักการเมืองคนนั้น เป็นรถตู้ รถโฟลก์ตู้ อย่าให้ผมเอ่ยชื่อเลย เขายืนยัน

นักการเมืองอีกคนหนึ่งของพรรคประชาธิปัตย์ ท่านผู้ชมคงจำท่านอดีตสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ เป็นคนสุราษฎร์ธานี ผมไม่เอ่ยชื่อก็แล้วกัน เอาว่าเป็นคนนามสกุล วิชัยดิษฐ ที่เสียชีวิตไปเพราะเครื่องบินตกพร้อมกับภรรยา ลูกชายวิ่งเข้ามาหา คุณหน่า (คุณหน่า คือภรรยาของ ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิช) เด็กคนนี้เคยโตไปสมัยที่ ดร.ชัยอนันต์ และบิดาของเขา เรียนหนังสืออยู่ที่มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน คุณหน่า เขาเลี้ยงเด็กคนนี้เหมือนลูก พ่อเสียชีวิตก็วิ่งมา แล้วก็บอกกับคุณหน่า ว่า ป้าหน่าๆ ท่าน (คำว่า "ท่าน" แล้วก็เอ่ยชื่อ) โทรศัพท์มาหาผมว่า ห่วงเงิน รู้ใช่ไหมว่าฝากเงินไว้กับพ่อ น่าจะเป็นจำนวน 10-20 ล้านบาท เงินอยู่ที่ไหน เอามาคืนให้ด้วย ปรากฏว่าเด็กคนนั้นตอนนี้เป็นหนุ่มแน่นแล้ว มีงานมีการทำ อย่าให้ผมเอ่ยชื่อเลย บอกว่า พ่อเอาเงินนี้ไปฝากแบงก์ค้ำประกันเบิกเงินเกินบัญชีของธนาคาร เพราะว่าภรรยาทำงานเป็นผู้บริหารบริษัททัวร์ พานักการเมืองไปเที่ยวต่างประเทศ ใช้สายสัมพันธ์ของสามี ทั้งภรรยาและสามีเสียชีวิตไปแล้ว "ท่าน" ก็บอกว่า ไปรีบหาเงินมาคืนเสีย

ท่านผู้ชม บทพิสูจน์ นักการเมืองที่ดูซื่อสัตย์ นักการเมืองที่ดูว่าไม่โกงไม่กินอะไรทั้งสิ้น ล้วนแล้วแต่มีโครงกระดูกอยู่ในตู้เสื้อผ้าทั้งสิ้น จับไม่ได้ ไล่ไม่ทัน แล้วผมยืนยันว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง

คนบางคนเอาเงินฝากสมาชิกพรรคการเมืองของตัวเอง ที่ตัวเองหนุน เกื้อขึ้นมา ช่วยเก็บเงินแทนให้หน่อย ท่านผู้ชมครับ นี่เป็นข้อเท็จจริง

ทำไมเดี๋ยวนี้ผมถึงไม่ค่อยเชื่อคน ผมเห็นแต่ละคนสร้างภาพแล้วผมนั่งหัวเราะกึกๆๆ โธ่ ไอ้เวร กูอายุ 74 ย่าง 75 แล้วปีนี้ กูเห็นมามากแล้ว คนเหี้ยๆ อย่างพวกมึงทำภาพดีนัก แต่ลับหลังโสโครกฉิบหาย ท่านผู้ชมครับ นี่คือเกร็ดเล็กๆ น้อยๆ ที่ผมจะเล่าให้ฟัง


เอาล่ะ วันนี้เรามาพูดกันถึงคุณจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จริงๆ ผมก็ไม่ค่อยอยากจะพูดถึงจุรินทร์ เท่าไรนัก เพราะเดี๋ยวจะกลายเป็นว่าทำไมผมชอบจิกชอบกัดพรรคประชาธิปัตย์ แต่มันเป็นเรื่องที่ผมช่วยไม่ได้ ท่านผู้ชม เพราะพรรคประชาธิปัตย์ เป็นพรรคที่โคตรจะสร้างภาพ ของจริงแทบจะไม่มีหรอก ที่มีอยู่คือภาพที่จงใจสร้าง

ที่ผมมาพูดวันนี้ผมจะพูดถึงเรื่องโพล ที่อวยคุณจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ สุดลิ่มทิ่มประตู เริ่มจากสวนสุนันทาโพลก่อน บอกว่า ใครเหมาะจะเป็นนายกฯ อันดับ 1 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา 16.68 เปอร์เซ็นต์ อันดับ 2 คุณจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ 16.26 เปอร์เซ็นต์ เมื่อถามว่า ใครจะสามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศไทยได้ดีที่สุด อันดับ 1 คุณจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ 15.9 เปอร์เซ็นต์ ท่านผู้ชมครับ ประหลาด ตลก และอเมซิงมาก ผมยังไม่เคยคิดว่าคุณจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ จะแก้ปัญหาประเทศได้เลย เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟังถึงคำให้สัมภาษณ์ของกลุ่มพรรคประชาธิปัตย์ และของคุณจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ และพรรคพวกที่ห้อมล้อมว่ามโนในตัวเลขอย่างไรบ้าง


วันเดียวกันกับที่สวนสุนันทาโพลออกมา ปรากฏว่าซูเปอร์โพล วันที่ 17 ตุลาคม ก็ออกมาเสนอผลสำรวจภาคสนาม เรื่อง "ประเมินคู่ชิงนายกรัฐมนตรี" สำรวจว่า อันดับแรก 68.2 เปอร์เซ็นต์ ให้ พลเอก ประยุทธ์ อันดับที่สอง ให้คุณจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ 59.3 เปอร์เซ็นต์ ท่านผู้ชมลองฟังคำอรรถาธิบายของซูเปอร์โพล ที่ให้ 59.3 "เพราะมีอุดมการณ์ ขยัน ทุ่มเท ทำงานแก้ปัญหาเดือดร้อนของประชาชน มีประสบการณ์การเมืองมายาวนาน เชื่อมประสานทุกฝ่ายฝ่าวิกฤตต่างๆ ได้ ไม่มีประวัติด่างพร้อย จงรักภักดีต่อสถาบันหลักของชาติ จุดยืนมั่นคงกับพรรคประชาธิปัตย์ ไม่พบทุจริตคอร์รัปชัน ไม่เอื้อผลประโยชน์แก่ครอบครัวและพวกพ้อง เป็นต้น" ว่ากันไป ท่านผู้ชม

หลังโพลสองสำนักนี้ คือสวนสุนันทาโพล และซูเปอร์โพล เผยแพร่ออกมา คุณจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ ก็ออกมาขอบคุณผลโพลทุกสำนักที่ออกมาเป็นผลคะแนนมีมากบ้าง น้อยบ้าง และพูดว่าตัวเองนั้นเจียมตัวเสมอ ยึดหลักว่ามีหน้าที่อะไรก็ต้องทำให้สมบูรณ์ ท่านผู้ชมครับ ปรากฏว่ามีนิด้าโพล ของสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ได้หยุดฝันคุณจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ กลางทุ่งลาเวนเดอร์ไปเลย

ผมจะบอกท่านผู้ชมนะครับ โพลนี่นะ ในความเห็นประสบการณ์ส่วนตัวของผม โดยเฉลี่ยแล้วผมเชื่อมั่นในความแม่นยำและความไม่เข้าข้างใคร และไม่รับเงินรับทองใครมาทำโพล คือโพลของนิด้า ท่านผู้ชมจำเอาไว้เลย ผมฟันธงไว้เลยว่า ถ้าเป็นโพลจากนิด้าแล้ว เชื่อถือได้ นี่คือประสบการณ์ส่วนตัวของผมนะ

นิด้าโพล เผยผลสำรวจความนิยมต่อพรรคประชาธิปัตย์ในภาคใต้ ซึ่งเป็นฐานเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ ปรากฏว่า คนใต้ที่เคยเลือกพรรคประชาธิปัตย์แบบนำโด่ง ท่านผู้ชมเชื่อไหม มาวันนี้เกือบครึ่งหนึ่ง 48.14 เปอร์เซ็นต์ บอกว่าในการเลือกตั้งครั้งหน้า ยังไม่แน่ใจ หรือพูดอีกนัยหนึ่งว่า กูไม่เอาพรรคประชาธิปัตย์แล้ว เพราะถ้ายังจะเอาอยู่ก็ต้องพูดสิ แต่บอกยังไม่แน่ใจ ปรากฏว่าร้อยละ 84.94 ของเก่า ระบุว่าเคยเลือกพรรคประชาธิปัตย์ มาวันนี้ 48 กว่าเปอร์เซ็นต์ ของ 84.94 ที่เคยเลือกพรรคประชาธิปัตย์ บอกว่า ยังไม่แน่ใจว่าจะเลือกใครดี


ท่านผู้ชมครับ นิด้าโพลทำออกมาว่า การลงคะแนนเสียงเลือกพรรคประชาธิปัตย์ในการเลือกตั้งครั้งหน้า พบว่าร้อยละ 48.14 ระบุว่า ยังไม่แน่ใจ ร้อยละ 30.04 ระบุว่า จะเลือกพรรคประชาธิปัตย์ อ้าว จาก 84 เปอร์เซ็นต์ ทำไมเหลือ 30.04 ล่ะ ท่านผู้ชมเห็นหรือยัง แล้วร้อยละ 20.38 ระบุว่า จะไม่เลือกพรรคประชาธิปัตย์ ท่านผู้ชมครับ นี่เป็นตัวเลขซึ่งตรงกันข้ามกับสวนสุนันทาโพล และซูเปอร์โพล

ท่านผู้ชมครับ นับตั้งแต่ผลการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว มาถึงผลโพลล่าสุดของนิด้า เป็นบทพิสูจน์ และเป็นเรื่องท้าทายความเชื่อมั่น ความยิ่งใหญ่เกรียงไกรของพรรคประชาธิปัตย์ สมัยก่อนมีวลีเด็ดว่า "ต่อให้ส่งเสาไฟฟ้าลง คนใต้ก็ยังเลือก" แต่วันนี้คนใต้ผมเชื่อว่าคงเข็ดขี้อ่อนขี่แก่กับพรรคประชาธิปัตย์แล้ว ดีแต่พูด

ท่านผู้ชมครับ เรามาดูกันนิดหนึ่ง 2554 ในการเลือกตั้งครั้งนั้น พรรคประชาธิปัตย์ ได้ที่นั่ง ส.ส. ใต้ไป 50 ที่นั่ง จาก 53 ที่นั่ง คิดเป็น 94 เปอร์เซ็นต์ แปดปีให้หลัง ปี 2562 พรรคประชาธิปัตย์เสียที่นั่งในทางใต้ ซึ่งเป็นฐานเสียงสำคัญ ไปมากกว่าครึ่งหนึ่ง คือชนะ ส.ส. เขต เพียง 22 ที่นั่ง จาก 50 ที่นั่ง ทั้งหมดนี้ลดลงจากปี 2554 ถึง 50 เปอร์เซ็นต์

ท่านผู้ชมครับ นี่คือสถานการณ์ความเป็นจริงในความนิยมพรรคประชาธิปัตย์ในภาคใต้ ซึ่งพิสูจน์มาตั้งแต่การเลือกตั้งปี 2562 เรื่อยมาจนถึงการสำรวจความนิยมของพรรคประชาธิปัตย์ สะท้อนให้เห็นว่า ถ้าไม่นับรวมกับคะแนนเสียงใน กทม. ที่มีการเลือกตั้งปี 2562 ประชาธิปัตย์สูญเสียที่นั่ง ส.ส. ไปหมดเลย ทุกเขตใน กทม. จนคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต้องลาออก


แม้จะได้รับบทเรียนอันแสนเจ็บปวดรวดร้าวมาแล้ว แต่คุณจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ กับกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ ที่เข้ามาแทนชุดคุณอภิสิทธิ์ ก็ไม่เรียนรู้ ณ วันนี้ ยังคิดว่าตัวเองเดินอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์ มองโลกสวย หลอกตัวเองได้อีก ว่าคุณจุรินทร์ มีสิทธิเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี

ท่านผู้ชมครับ ถ้าเรามองย้อนกลับไปดูผลสำรวจคะแนนนิยมทางการเมืองของนิด้าโพล เมื่อปลายเดือนกันยายน 2564 เดือนกว่าๆ ที่แล้ว ก่อนที่สวนสุนันทาโพล กับซูเปอร์โพล ออกมากลางตุลาคม 2564 คุณจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ ความนิยมอยู่ในอันดับรั้งท้าย คือ อันดับ 9 วันที่ 29 กันยายน ศูนย์สำรวจความนิยม นิด้าโพล สถาบันพัฒนบัณฑิตบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจของประชาชนเรื่อง "การสำรวจคะแนนนิยมทางการเมือง รายไตรมาส ครั้งที่ 3/2564" ทำการสำรวจเมื่อเดือนกันยายน จากประชาชนอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษาและอาชีพทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น 2,018 หน่วย


จากการสำรวจถามว่าบุคคลที่ประชาชนสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรีวันนี้ พบว่า อันดับที่ 1 ร้อยละ 32.61 ระบุว่า ยังหาคนเหมาะสมไม่ได้ ร้อยละ 17 บอกว่า เป็น พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา อันดับ 3 ร้อยละ 11.15 ระบุว่า เป็น คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ร้อยละ 11 ระบุว่า เป็น นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อันดับ 5 ร้อยละ 9.07 ระบุว่า เป็น พลตำรวจเอก เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส มาจนถึงอันดับที่ 9 อันดับสุดท้าย ร้อยละ 1.54 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ พรรคประชาธิปัตย์

มิน่า ท่านผู้ชมครับ ผลนิด้าโพลออกมาเดือนกันยายน คุณจุรินทร์ อยู่อันดับ 9 ร้อยละ 1.54 ยังต่ำกว่าคุณสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ 2.33 ต่ำกว่าคุณกรณ์ จาติกวณิช พรรคกล้า อดีตสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ 2.58 มิน่า ถึงมีโพลของสวนสุนันทา และซูเปอร์โพล ออกมาเพื่้อมาให้เห็นว่า เฮ้ย นิด้าจะพูดอย่างไรก็ตาม ไม่สำคัญ แต่สวนสุนันทาโพล และที่สำคัญที่สุด คือ ซูเปอร์โพล ระบุว่า คุณจุรินทร์ ไม่ใช่อยู่อันดับ 9 โอ้โห ตายล่ะ

ท่านผู้ชมครับ ที่มันกว่านั้น มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช นี่คือหมัดเด็ดของทีมงานคุณจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ โพลของ มสธ. ยกให้จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ มาเป็นอันดับ 1 ที่เหมาะเป็นนายกฯ คะแนนสูงถึง 54.24 เปอร์เซ็นต์ คุณประยุทธ์ ได้แค่ 52 เปอร์เซ็นต์ คุณหญิงสุดารัตน์ 38 เปอร์เซ็นต์ คุณอุ๊งอิ๊ง 8.87 เปอร์เซ็นต์ โอ้โห ท่านผู้ชมครับ คนที่ทำเรื่องนี้ ชื่อ รศ.ดร.วิทยาธร ท่อแก้ว ผู้อำนวยการ มสธ. โพล หรือศูนย์วิจัยและพัฒนาการสื่อสารการเมืองและสังคม มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช


นอกจากนี้ ในผลสำรวจรายการย่อยๆ ของโพล มสธ. อวยคุณจุรินทร์ แบบสุดลิ่มทิ่มประตู ผมอ่านแล้วผมยังคลื่นเหียน อยากอาเจียน หนึ่ง ผลสรุปภาพรวมคุณลักษณะความเป็นผู้นำผู้ที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี คุณจุรินทร์ มีอยู่ 54.24 เปอร์เซ็นต์ สอง ผลสรุปคุณลักษณะด้านที่หนึ่ง ความสามารถในการกอบกู้แก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ 50 เปอร์เซ็นต์ คุณลักษณะความสามารถในการแก้ปัญหาปากท้อง ชีวิตประชาชน ความเป็นอยู่ของประชาชน 50.89 เปอร์เซ็นต์ ความสามารถนี้นะ แก้ปัญหาปากท้องนะ มิน่า ข้าวราคาแค่ 5 บาทต่อกิโลกรัม ในขณะที่บะหมี่มาม่าซองหนึ่งยังแพงกว่าข้าว คุณแก้ปัญหาปากท้องชาวนาได้อย่างไร

ท่านผู้ชมครับ ผลสรุปคุณลักษณะด้านที่สี่ คือ เป็นผู้รอบรู้ รอบคอบ ทุ่มเท ขยัน ด้านที่ห้า เป็นผู้อ่อนน้อม ปรองดองกับทุกฝ่าย ข้อที่หก เป็นผู้ซื่อสัตย์สุจริต ไม่เล่นพวกเล่นพ้อง ผลสรุปข้อที่เจ็ด คือคุณลักษณะด้านการเป็นผู้ที่รักษาสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ผมยังไม่เคยเห็นคุณจุรินทร์ ออกมาพูดอะไรเลยแม้แต่นิดเดียวกับบทบาทของพวกม็อบสามกีบ หรือบทบาทของอาจารย์มหาวิทยาลัยอีแอบ ที่ทำเรื่องทำราว ที่จะล้มล้างสถาบันกษัตริย์ ไม่เคยเห็น คุณจุรินทร์ ไม่เคยเอ่ยมาสักแอะเลย ไม่แสดงออก ไม่มีอาการ ไม่มีการห้ามปราม ไม่มีการไม่เห็นด้วย แต่โพล มสธ. ที่ รศ.ดร.วิทยาธร ท่อแก้ว ทะลึ่งบอกว่าคุณลักษณะข้อที่เจ็ด คือ เป็นผู้รักษาสถาบันกษัตริย์

ท่านผู้ชมครับ ความนิยมคุณจุรินทร์ มาจากไหน ? ชนะแม้กระทั่งผู้บังคับบัญชาอย่าง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา แบบไม่เห็นฝุ่น ทั้งๆ ที่การเลือกตั้งปี 62 พรรคประชาธิปัตย์ได้สูญพันธุ์ใน กทม. ไปแล้ว แล้วที่น่าสนใจอย่าง ท่านผู้ชมตามผมมา

ศูนย์วิจัยและพัฒนาการสื่อสารการเมืองและสังคม มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ถึงกับลุกขึ้นมาทำโพล เพราะสมัยก่อนหน่วยงานนี้ไม่เคยมีโปรไฟล์เรื่องการทำโพล นี่มันเป็นโพลมืออาชีพ หรือรับจ้างทำโพลกันแน่


ความน่าเชื่อถือของโพล มสธ. เป็นอย่างไร ผมไม่รู้ ผมรู้แต่ว่า ศ.ดร.ธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ สมัย พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ เดิมทีเป็นที่ปรึกษาศูนย์วิจัยฯ มสธ. ที่ทำโพลนี้ คุณธีรภัทร์ ลาออกทันทีที่โพลนี้ออกมา แล้วโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ดร.ธีรภัทร์ พูดอย่างนี้ "อันสืบเนื่องมาจากการจัดทำโพลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนในกรุงเทพมหานคร เกี่ยวกับ "ประชาชนในกรุงเทพมหานครต้องการผู้นำที่มีคุณลักษณะแบบใดเพื่อเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป และคุณลักษณะพรรคการเมืองแบบใดที่ผู้นำสังกัดหรือได้รับการเสนอชื่อเพื่อเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป ผมขออนุญาตลาออกจากการเป็นที่ปรึกษาของศูนย์วิจัยและพัฒนาการสื่อสารการเมืองและสังคม มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช นับตั้งแต่วันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564 เป็นต้นไป" และเหตุผลต่อไป ศ.ดร.ธีรภัทร์ พูดอย่างไรรู้ไหม ? "เพื่อรักษาภาพลักษณ์ขององค์กรที่ผมเคยอยู่มานานถึง 36 ปี คือมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช และจุดยืนของความสุจริตและความเที่ยงตรงทางวิชาการที่ยึดมั่นมาโดยตลอดครับ"

ท่านผู้ชมครับ โพลของ มสธ. โพลสำนักโน้นสำนักนี้ จะซูเปอร์โพล หรือจะสวนสุนันทา หลอกคนโน้นได้หลอกคนนี้ได้ แต่อย่าคิดมาหลอกผม ผมทำข่าวมาทั้งชีวิต แค่ดูชื่อสำนักโพล หัวข้อการสำรวจ เอามาเปรียบเทียบสภาพความเป็นจริง ผมก็รู้ว่ารับงานมา มีคนบอกผมว่า สมัยนี้ถือเงิน 5 แสนบาท บางคนเปิดให้คนจ้างเขียนผลโพลได้เอง ผมไม่บอกก็แล้วกันว่าโพลนั้นชื่ออะไร


คุณจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ เผยผลงานของตัวเองมาเยอะแยะไปหมด มีมากเลย เรื่องที่หนึ่ง ข้าวเปลือกราคาถูกกว่ามาม่า กับการประกันรายได้เกษตรกร เลี้ยงไข้เกษตรกร ท่านผู้ชมครับ สถานการณ์ข้าวตกต่ำอยู่ในขณะนี้ทำให้ชาวนาทุกข์ระทมไปทั่วประเทศ ตกต่ำที่สุดในรอบ 10 ปี เล่นเอาทุกคนงงกันไปหมด เกิดขึ้นเพราะอะไร ? สวนทางกับองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ระบุว่า ราคาอาหารทั่วโลกมีราคาเพิ่มสูงสุดในรอบ 10 ปี ยกเว้นข้าวไทย ตอนนี้ราคารับซื้อข้าวเปลือก 1 กิโลกรัม อยู่ที่ 4-5 บาท มาม่า 1 ซอง ยังน้อยกว่า หรือพอๆ กัน ขายข้าวแลกไข่ไก่อาจจะได้ไข่เพียง 1 หรือ 2 ฟอง


คุณจุรินทร์ ภูมิใจมากกับการประกันราคาพืชผล ชาวนารออยู่อย่างเดียว คือการประกัน ซึ่งจ่ายส่วนต่างระหว่างราคาเกณฑ์กลางที่เป็นราคารับซื้อในตลาด กับราคาที่รัฐประกันรายได้ นี่คือโครงการหาเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ ถ้าผมพูด พรรคประชาธิปัตย์ คือพรรคที่ทำลายเกษตรกร ไม่ได้ให้อนาคตเลย คิดอะไรไม่ออก ก็ประกันราคา เพื่อให้ตัวเองได้เสียง แต่ไม่เคยคิดที่จะปรับสถานภาพ คุณภาพข้าว ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ ก็ขึ้นอยู่กับคุณเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ อีก ชาวนาไม่ได้มีอะไรดีขึ้นเลยในยุคที่คุณจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ อยู่ที่กระทรวงพาณิชย์ คุณเฉลิมชัย ศรีอ่อน อยู่ที่กระทรวงเกษตรฯ มีอยู่อย่างเดียวก็คือ รอการประกันราคาข้าว

ท่านผู้ชมครับ พอเขาต่อว่าเรื่องนี้ คุณจุรินทร์ ไม่รู้ว่าไปเอาองค์ความรู้ตรงนี้มาจากไหน บอกว่าราคาข้าวตกเพราะนักท่องเที่ยวต่างชาติไม่มาเมืองไทย และค่าเงินบาทแข็ง ท่านผู้ชมครับ ผมไม่รู้จะพูดอย่างไร คือพูดง่ายๆ ว่า เกษตรกรเขาไม่ได้ต้องการการประกันราคาข้าว เขาต้องการกระทรวงพาณิชย์ที่สามารถขายข้าวเขาออกไปนอกประเทศได้ ไม่มีสตอกเหลือ แล้วได้ราคาที่สูงขึ้นๆ ตามที่องค์การอาหารและการเกษตรของโลก (FAO) เขาบอกแล้วว่าราคาอาหารทั่วโลกขึ้นหมด ถ้ากระทรวงพาณิชย์ทำการตลาดเป็น ขายของออกเป็น ได้ราคาที่สูง พ่อค้าคนกลางก็ได้ราคาที่สูงขึ้น พ่อค้าคนกลางก็ต้องมาซื้อข้าวจากชาวนาในราคาที่สูงขึ้น เขาต้องการตรงนี้ แต่พรรคประชาธิปัตย์ใช้วิธีง่ายๆ ก็คือประกันราคาพืชผล เหมือนประกันราคายาง เฮ้ย! คุณคิดง่ายเกินไปหรือเปล่า หรือทำงานไม่เป็น คุณคิดแบบข้าราชการประจำจริงๆ เลยนะ

ท่านผู้ชมครับ พอราคาข้าวตกต่ำ คุณจุรินทร์ โทษว่านักท่องเที่ยวไม่มา ไม่มีคนกินข้าว ถามกลับ แล้วในช่วงที่ผ่านมาราคาไข่ไก่มันแพงล่ะ ? ก็ไม่มีนักท่องเที่ยวเหมือนกัน คุณเอาตรรกะที่ไหนมา ตรรกะวิบัติ


ท่านผู้ชมครับ การส่งออกข้าวไทยในยุคของคุณจุรินทร์ นั้น ตกต่ำมาเรื่อยๆ อันดับที่ 1 อินเดีย 14 ล้านตัน อันดับที่ 2 เวียดนาม 6.3 ล้านตัน อันดับที่ 3 ไทย 5.72 ล้านตัน คุณจุรินทร์ ตั้งเป้าไว้ที่ 6 ล้านตัน แต่กระทรวงพาณิชย์บอกว่าส่งออกในช่วงมกราคม-กันยายน ไม่ถึงเป้า ปริมาณส่งออกลดลง 6.6 เปอร์เซ็นต์ มูลค่าการส่งออกลดลง 18.3 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2563 ท่านผู้ชม นี่สะท้อนให้เห็นถึงฝีมือของกระทรวงพาณิชย์ ภายใต้การบริหารงานของคุณจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์

ท่านผู้ชมครับ คุณจุรินทร์ ไม่มีทางออก บากหน้ากลับไปหามิตรเก่าอย่างจีน คุณจุรินทร์ ไปขอร้องจีนผ่านนายหาน จื้อเฉียง เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ให้จีนเปิดด่าน 2 ด่านโดยเร็ว ด่านโมฮาน จากเชียงของ ทางเหนือของไทย ผ่านบ่อเต็น ด่านกวนเหล่ย ซึ่งเป็นเส้นทางเข้าจีนทางยูนนานตอนใต้ ผ่านแม่น้ำโขง จากท่าเรือเชียงแสน เพื่อให้นำเข้าสินค้าเกษตรส่งออกของไทย เช่น ผลไม้ ไก่ รังนก และข้าว


ท่านผู้ชมครับ คุณจุรินทร์ บอกว่าการส่งออกขยายตัว 17.1 เปอร์เซ็นต์ คุณจุรินทร์ โกหกครับ พูดความจริงไม่หมด คุณจุรินทร์ ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม ตัวเลขการส่งออก 17.1 เปอร์เซ็นต์ ดีอกดีใจ ไชโยๆ แถลงข่าวตัวเลขการส่งออกเดือนกันยายน 17.1 เปอร์เซ็นต์ ท่านผู้ชมตั้งใจฟังผมให้ดีๆ การขยายตัว 17.1 เปอร์เซ็นต์ ที่เคลมเป็นผลงานนั้น เป็นการเทียบแบบปีต่อปี ที่เขาเรียกว่า Year on Year ซึ่งในปี 63 เศรษฐกิจทั่วโลกตกต่ำมาก เนื่องจากสถานการณ์โรคระบาด รายงานตัวเลขส่งออกปี 63 ติดลบไป 3.86 เปอร์เซ็นต์ ถ้าท่านผู้ชมตามดูข่าวไม่ละเอียด ดูที่เขาทำกราฟ ก็ดูดีนะ การส่งออกดูดีนะ แต่ถ้ามาดูสถานการณ์ความเป็นจริงแล้ว ต้องบอกเลยว่า นี่เป็นวิธีการหลอกลวงด้วยตัวเลข ด้วยสถิติ หรือฝรั่งเขาเรียกว่า Lies with statistic


พอไปดูไส้ในของสินค้าที่ส่งออกสูงสุดในเดือนกันยายน 2564 จะเห็นได้ชัดและไม่แปลกเลยว่า ทั้งๆ ที่กระทรวงพาณิชย์ตีฆ้องร้องป่าวว่ายอดส่งออกโต แต่ทำไมเกษตรกรไทยถึงกระอักเลือด เพราะอะไร ? เพราะว่า 10 อันดับแรกของการส่งออกนั้น คือ 1. น้ำมันสำเร็จรูป 2. เคมีภัณฑ์ 3. เม็ดพลาสติก 4. เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ 5. เครื่องจักรกลและส่วนประกอบของเครื่องจักรกล 6. เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ 7. แผงวงจรไฟฟ้า 8. รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ 9. ผลิตภัณฑ์ยาง 10. อัญมณีและเครื่องประดับ ท่านผู้ชมเห็นหรือยัง 10 อันดับแรก เป็นสินค้าอุตสาหกรรมหมดเลย ส่วนใหญ่ ประเทศที่จ้างผลิตมีฝรั่ง ญี่ปุ่น จีน มาตั้งโรงงาน มีแค่เบอร์ 9 ผลิตภัณฑ์ยางเท่านั้นที่เป็นผลิตผลจากทางการเกษตร เห็นหรือยังท่านผู้ชม โกหก เอาตัวเลขรวมๆ มา แต่พอแยกย่อยออกมาว่ามีอะไรบ้าง จะเห็นได้ชัด


เรื่องที่สี่ กรณีทุจริตถุงมือยาง องค์การ อคส. ทำรัฐเสียหายหลายพันล้าน คุณจุรินทร์ เงียบสนิท ไม่พูด พูดอยู่อย่างเดียว ใครทำผิดก็ว่ากันไป แต่คุณจุรินทร์ ครับ ผู้อำนวยการ อคส. มันไม่ได้มาเพราะว่าตกมาจากฟ้านะ พวกคุณเป็นคนคัดสรรมา แต่งตั้งมา แล้วจะอย่างไรก็ตาม อคส. อยู่ภายใต้การบริหารงานของคุณในฐานะรัฐมนตรี คุณจะไม่แสดงความรับผิดชอบบ้างหรือ ผมไม่ประหลาดใจ แค่ค่ารักษาพยาบาลคุณทิวา เงินยวง พวกคุณยังไม่สนใจเลย แล้วใครจะไปรู้บ้างว่าคนที่ถูกดำเนินคดีมีส่วนเกี่ยวข้องกับพรรคพวกที่ล้อมรอบคุณ แต่หาหลักฐานไม่เจอ เพราะว่าการทุจริตไม่มีใบเสร็จ มิน่าถึงบอกว่าไม่มีการทุจริต แล้วคุณจุรินทร์ ลืมเรื่องสำคัญไปหรือเปล่า ประชาชนคนไทยไม่มีใครลืมหรอก หน้ากากที่หายไป 200 ล้านชุด ไง ทำไมถึงไม่เอาผลงานสองเรื่องนี้มาพูดบ้างล่ะ


ท่านผู้ชมครับ ผมรับไม่ได้จริงๆ กับคนที่เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น แล้วก็สร้างภาพ เมื่อไรพรรคประชาธิปัตย์จะหยุดสร้างภาพเสียที กลับมาตีนติดดิน ตั้งใจทำงาน อย่าหวังว่าเมื่อทำแล้วต้องมีแสงมาฉายให้กับตัวเอง ท่านผู้ชมครับ ท่านผู้ชมพิจารณาด้วยความยุติธรรม ที่ผมพูดนี้มีเหตุผลไหม ? ถึงเวลาเลือกตั้ง ท่านผู้ชมคิดดีๆ ว่ายังจะเอาพรรคประชาธิปัตย์อยู่อีกต่อไปหรือเปล่า ผมไม่มีอะไรจะพูดแล้วครับท่านผู้ชม

รายการวันนี้คงจะจบลงเพียงแค่นี้ ต้องบอกก่อนนะครับ อาทิตย์หน้าสนุกสนานมาก เรื่องที่ท่านผู้ชมคิดไม่ถึง เตรียทำกันอยู่แล้วครับ ขอให้มีความสุขและระมัดระวังตัวอย่างสุดฤทธิ์สุดเดช สวัสดีครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น