xs
xsm
sm
md
lg

มหาอุทกภัยหาดใหญ่ สะท้อนอนาคตที่จะฝากไว้กับอนุทิน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:



หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ

เวลาถามคนไทยว่ามาจากที่ไหน ส่วนมากตอบชื่อจังหวัด แต่กับคนหาดใหญ่ คำตอบมักจะตรงไปตรงมาว่า “ผมเป็นคนหาดใหญ่” ไม่ใช่ “เป็นคนสงขลา” เพราะในความรู้สึกของคนที่นี่ หาดใหญ่ไม่ใช่แค่เมืองหนึ่งในจังหวัด แต่คือ “เมืองหลวงทางเศรษฐกิจของภาคใต้” เมืองที่ทั้งภูมิภาครู้ว่าถ้าอยากทำมาหากินจริงจัง ต้องมาเริ่มต้นที่นี่ โรงพยาบาล มหาวิทยาลัย แหล่งค้าส่ง โรงแรม ร้านอาหาร ย่านการค้า ชายแดน การท่องเที่ยว ทุกอย่างผูกกันเป็นเครือข่ายเดียวที่ชื่อว่า “หาดใหญ่” เพราะฉะนั้น เมื่อทั้งเมืองกลายเป็นทะเลน้ำขุ่นในเวลาไม่กี่ชั่วโมง สิ่งที่จมลงไปด้วยไม่ใช่แค่ถนนและบ้านเรือน แต่รวมไปถึงความเชื่อมั่นต่อโครงสร้างรัฐไทยทั้งระบบด้วย


ข้อมูลที่ออกมาภายหลังจากหน่วยงานด้านภูมิสารสนเทศและอุตุนิยมวิทยายืนยันว่า ครั้งนี้ไม่ใช่น้ำท่วมธรรมดา แต่เป็นฝนระดับวิกฤต ตามข้อมูลของ GISTDA ช่วงวันที่ 19–21 พฤศจิกายน 2568 หาดใหญ่รับฝนสะสมเกิน 630 มิลลิเมตรใน 3 วัน และเฉพาะวันที่ 21 วันเดียวก็วัดได้ราว 335 มิลลิเมตร ซึ่งนักอุตุนิยมวิทยาบางรายประเมินว่าเป็น “ฝนระดับ 300 ปี” คือฝนที่มีโอกาสเกิดน้อยมากตามหลักสถิติ แต่ดันมาเทลงบนเมืองในช่วงเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงแบบเต็ม ๆ

เมื่อฝนลงมาปริมาณขนาดนี้ ในพื้นที่ที่รับน้ำจากสันกาลาคีรี น้ำป่าจึงไหลหลากลงสู่ตัวเมืองด้วยความเร็วไม่ถึง 8–9 ชั่วโมง หาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ในสภาพ “แอ่งกระทะ” จึงต้องรับแรงปะทะเต็ม ๆ คลองภูมินาถดำริ หรือคลอง ร.1 ที่สร้างขึ้นหลังน้ำท่วมใหญ่ปี 2543–2553 ถูกออกแบบให้ระบายน้ำได้ราว ๆ พันกว่าลูกบาศก์เมตรต่อวินาที แต่วันจริงมวลน้ำที่หลากลงมาถูกประเมินว่าแตะระดับมากกว่า สองเท่าของศักยภาพคลอง ต่อให้เปิดประตูระบายน้ำทุกบาน ทั้งเมืองก็ยังต้องจมอยู่ดี เพราะน้ำไม่ได้มากแค่ “เหนือหัวเข่า” แต่คือมวลน้ำทั้งลุ่มน้ำที่ถูกผลิตออกมาจากภูเขาในเวลาอันสั้น ในเมืองที่พื้นที่ซึมน้ำในเขตเมืองถูกถม ถูกสร้าง ตัดถนน วางคันทางรถไฟ และทำสิ่งก่อสร้างขวางทางน้ำไปเกือบหมดแล้ว

งานวิจัยเกี่ยวกับหาดใหญ่ตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมาพูดเรื่องนี้อย่างชัดเจน ทั้งรายงานของ JICA ตั้งแต่ปลายยุค 2530–2540 งานศึกษาของ สกว. และงานวิชาการของมหาวิทยาลัยในภาคใต้ ล้วนเตือนตรงกันว่าหาดใหญ่จำเป็นต้องมี คลองผันน้ำเสริม, พื้นที่รับน้ำตอนบน–ตอนกลาง, พื้นที่หน่วงน้ำในเขตเมือง, ผังเมืองที่ไม่ปิดทางน้ำ และ ระบบเตือนภัยแบบ real-time พร้อมโครงสร้างการสั่งการที่มี “แม่ทัพคนเดียว” เมื่อเกิดวิกฤต แต่งานวิจัยเหล่านั้นก็ถูกวางทิ้งไว้ในแฟ้ม และถูกเปิดมาพูดใหม่ทุกครั้งที่เมืองจม ก่อนจะถูกเก็บเข้าตู้เหมือนเดิมเมื่อระดับน้ำลดลง

แล้วพอถึงเวลาน้ำหลาก ความจริงอีกด้านหนึ่งก็ผุดขึ้นมาชัดเจนไม่แพ้น้ำในถนน นั่นคือโครงสร้างการสั่งการของรัฐที่สับสนตั้งแต่ชั่วโมงแรกอนุทิน ชาญวีรกุล นายกฯ แต่งตั้ง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เป็นผู้อำนวยการ “ศูนย์บริหารจัดการน้ำในสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ (ศนภ.)” เพื่อกำกับการจัดการน้ำและช่วยเหลือภาคใต้ตอนล่าง แต่วันถัดมารัฐบาลกลับประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั้งจังหวัดสงขลา ตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน และมอบอำนาจ “ผู้บัญชาการเหตุการณ์” ให้ผู้บัญชาการทหารสูงสุดเป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินครั้งนี้ ทับโครงสร้างเดิมลงไปอีกชั้น โดยยืนยันว่าการใช้อำนาจนี้ “ไม่ซ้ำซ้อน” กับบทบาทของศูนย์เดิม

จากนั้นรัฐบาลยังตั้ง “ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินอุทกภัย” ขึ้นมาอีกหนึ่งชุด พร้อมแต่งตั้ง ภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้เป็นผู้อำนวยการศูนย์ระดับส่วนกลาง ทำงานควบคู่ไปกับศูนย์ส่วนหน้าและศูนย์โครงสร้างน้ำที่ตั้งมาแล้ว ก่อนจะเกิดดราม่าปิดไมค์หนีนักข่าว

สามศูนย์ สามผู้อำนวยการ สามคำสั่ง ในช่วงเวลาไม่กี่วัน ไม่มีใครรู้จริงว่าต้องเชื่อใคร ต้องไปที่ไหน ต้องประสานกับใคร แม้แต่หน่วยงานเองยังพูดไม่ตรงกัน นี่คือภาพสะท้อนของระบบที่ไม่มีแม่ทัพจริง ไม่มีศูนย์กลางจริง และไม่มี “เสียงเดียว” ในยามที่เมืองต้องการที่สุด

และแทนที่โครงสร้างเหล่านี้จะทำให้ทุกอย่างชัดขึ้น หลังจากนั้นรัฐบาลกลับต้องหันมาใช้ “ไม้แข็งสุด” ด้วยการที่อนุทินในฐานะนายกรัฐมนตรี ลงนามประกาศ “รวบอำนาจรัฐมนตรี” ตามกฎหมาย 38 ฉบับ ให้ย้ายมาอยู่ในมือของนายกฯ ชั่วคราว เพื่อให้การอนุญาต อนุมัติ สั่งการ บังคับบัญชาในสถานการณ์ฉุกเฉินน้ำท่วมหาดใหญ่ ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียว เรียกง่าย ๆ ว่า เมื่อหลายศูนย์ หลายหัว ปัญหาไม่คลี่คลาย สุดท้ายก็ต้องรวบทุกอำนาจมาอยู่ที่ตัวเอง แล้วค่อยสั่งงานย้อนลงไปอีกทีหนึ่ง

บนกระดาษ มันอาจดูเหมือนการสร้างเอกภาพ แต่ในสายตาคนหาดใหญ่ ภาพที่เห็นคือ “กว่ารัฐบาลจะรู้ว่าต้องมีแม่ทัพ เป็นจังหวะที่มวลน้ำกวาดเมืองไปเกือบหมดแล้ว”

ในขณะที่รัฐยังตั้งหลักไม่ทัน อาสากู้ภัยกลับกลายเป็นคนที่วิ่งออกไปก่อน เรือท้องแบน เจ็ตสกี รถยกสูง เชือกที่ผูกจากเสาไฟไปถึงระเบียงบ้าน ล้วนถูกหยิบมาใช้โดยอาสาภาคประชาชนเป็นชุดแรก ๆ หลายชุมชนต้องใช้ระบบ “ไลน์กลุ่ม–เฟซบุ๊กไลฟ์–โทรศัพท์บอกต่อกันเอง” ในการแจ้งข่าวระดับน้ำและเส้นทางปลอดภัย เพราะศูนย์ข้อมูลที่ควรจะบูรณาการทุกอย่างให้เป็นภาพเดียว กลับไม่สามารถตอบคำถามพื้นฐานของคนในพื้นที่ได้ว่า “น้ำถึงไหนแล้ว ควรไปทางไหน และใครรับผิดชอบอะไร”

คำถามจึงย้อนกลับไปที่ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ซึ่งควรเป็น “กองบัญชาการมืออาชีพด้านภัยพิบัติ” ของประเทศ ปภ. มีฐานะเป็นหน่วยงานหลักตาม พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย มีโครงสร้างตั้งแต่ระดับชาติ จังหวัด อำเภอ มีงบประมาณระดับหลักพันล้านบาทต่อปี และมีหน้าที่ต้องวางระบบเตือนภัย–แผนรับมือ–กำลังคนและอุปกรณ์ในภาคสนามให้พร้อม แต่ทุกครั้งที่มีวิกฤตใหญ่ เรากลับเห็นภาพคนไทยตั้งคำถามเหมือนเดิมว่า “ปภ. อยู่ไหน?”

หลายงานวิจัยและรายงานของหน่วยงานตรวจสอบ เคยเสนอให้ปฏิรูป ปภ. ให้มีลักษณะคล้าย FEMA ของสหรัฐ คือเป็นศูนย์บัญชาการที่มีอำนาจจริง ข้ามกระทรวงได้จริง มีข้อมูล real-time และมีบุคลากรภาคสนามจำนวนพอจะลุยงานเอง ไม่ต้องรอผ่านขั้นตอนราชการที่ซับซ้อน แต่ข้อเสนอเหล่านี้ติดอยู่ที่โครงสร้างอำนาจแบบไทย ๆ ที่ไม่อยากให้มีใคร “ใหญ่เกินไป” และมองภัยพิบัติเป็นเรื่องแก้เฉพาะหน้า มากกว่าจะยอมลงทุนยกเครื่องทั้งระบบเพื่ออนาคตยาว ๆ

ระหว่างที่ระบบรัฐลังเลแย่งกันถือไมค์ ประชาชนหาดใหญ่ต้องเผชิญมวลน้ำระดับหน้าอก–ระดับคอ คนแก่ คนป่วย ติดอยู่บนชั้นสองของบ้านเป็นชั่วโมง ๆ โดยไม่รู้ว่าจะมีเรือมารับหรือไม่ การสื่อสารถูกตัดขาด น้ำดื่ม–อาหาร–ยารักษาโรค ถูกส่งแบบกระจัดกระจาย บางจุดล้นจนเก็บไม่ทัน บางจุดไม่มีแม้กระทั่งไฟฉายหนึ่งกระบอก ตลอดแนวถนนลพบุรีราเมศวร์และคันทางรถไฟสายเก่า ภาพน้ำที่เททับถมและไหลข้ามถนนเหมือนสายน้ำขวางเมือง ทำให้เกิดข้อเสนอถึงขั้น “ระเบิดถนน–เจาะถนน–เปิดทางน้ำ” เพื่อระบายน้ำออกสู่ทะเลสาบสงขลาให้เร็วที่สุด แต่ไม่ว่าข้อเสนอนั้นจะถูกหรือผิด มันสะท้อนอย่างหนึ่งชัดเจนว่า คนในเมืองรู้สึกสิ้นหวังกับความสามารถของรัฐในแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ด้านเศรษฐกิจ การประเมินเบื้องต้นชี้ว่าเฉพาะหาดใหญ่เมืองเดียว ความเสียหายไม่ต่ำกว่า หนึ่งหมื่นสองพันล้านบาท เมื่อรวมทั้งจังหวัดสงขลาและผลกระทบเชื่อมโยงทั้งภาคใต้ ตัวเลขอาจพุ่งไปถึงหลัก “หลายหมื่นล้านบาท” การเยียวยา 9,000 บาทต่อครัวเรือนที่รัฐบาลประกาศ แม้จะช่วยประคองชีวิตช่วงสั้น ๆ ได้บ้าง แต่เมื่อเทียบกับร้านค้าที่เสียสินค้าทั้งโกดัง รถที่เสียหายทั้งคัน หรือธุรกิจที่ต้องปิดกิจการเป็นเดือน มันก็ไม่ต่างอะไรจาก “เงินเช็ดโคลน” มากกว่าเงินฟื้นฟูอย่างแท้จริง

มาตรการอื่น ๆ อย่างการปล่อยกู้ พักหนี้สินเชื่อ พักดอกเบี้ย หรือสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำก็ถูกประกาศออกมาเป็นชุดใหญ่ แต่คำถามคือ คนที่เจ็บหนักที่สุด คือคนที่ไม่มีหลักทรัพย์ ไม่มีเครดิตธนาคาร ไม่มีเอกสารสวยหรูในมือ จะเข้าถึงมาตรการเหล่านี้ได้จริงหรือไม่ หรือสุดท้ายรัฐจะช่วยได้เพียงคนที่ “อยู่ในระบบอยู่แล้ว” ขณะที่คนชายขอบต้องต่อสู้กับหนี้และแผลน้ำท่วมด้วยตัวเองต่อไป

ทั้งหมดนี้ทำให้ภาพใหญ่ของวิกฤตครั้งนี้ชัดเจนขึ้น หาดใหญ่กำลังถูกทดสอบทั้งในฐานะเมือง และในฐานะ “กระจก” ส่องให้เห็นสภาพจริงของรัฐไทยในยามเผชิญภัยพิบัติขนาดใหญ่ เรามีองค์ความรู้ มีงานวิจัย มีหน่วยงาน มีงบประมาณ มีศูนย์ปฏิบัติการหลายชั้น มีอำนาจพิเศษตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มีแม้กระทั่งการรวบอำนาจรัฐมนตรีมาไว้ในมือนายกฯ ชั่วคราว แต่เมื่อถึงเวลาจริง สิ่งที่ประชาชนเห็นคือการเริ่มต้นช้า การสื่อสารสับสน การสั่งการขาดเอกภาพ และความรู้สึกว่า “สุดท้ายต้องพึ่งพากันเอง”

บางที อนุทินอาจไม่เพียงออกมาขอโทษ แต่ต้องยอมรับต่อหน้าสาธารณะว่ามาตรการรับมือครั้งนี้ผิดพลาดและล่าช้า ทั้งในเชิงโครงสร้างและการสั่งการ หากไม่มีการยอมรับและปรับปรุงอย่างจริงจัง ความคาดหวังที่พรรคภูมิใจไทยเคยตั้งใจจะกวาด 30 ที่นั่งในภาคใต้ อาจจะถูกพัดหายไปพร้อมกับสายน้ำ และที่สำคัญกว่านั้น คนทั้งประเทศอาจตั้งคำถามใหญ่ข้อเดียวกันว่า เราจะฝากอนาคตของประเทศไว้ในมืออนุทินได้จริงหรือไม่

ติดตามผู้เขียนได้ที่https://www.facebook.com/surawich.verawan


กำลังโหลดความคิดเห็น